--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จับอาการ หญิงหน่อย. ก่อนคืนฟอร์ม แม่ทัพ พท. !!?

คำพูดที่ว่า “โอกาสในวิกฤติ” ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ แม้ในยามที่ประชาชนคนกรุงเทพฯ กำลังประสบกับชะตากรรมจากการสำลักน้ำที่ไหลเอ่อท่วมพื้นที่เมืองกรุงในหลายๆ พื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องของ “การ เมือง” ที่เคยสร้างความบอบ ช้ำให้กับสังคมไทยหาได้จางหายไปกับมวลน้ำที่ไหลบ่าท่วมพื้นที่เมืองกรุงแห่งนี้ไม่ แต่ยังคงมีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กับ นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือจะเป็นกรณีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงใครต่อใครที่ปรากฎบนหน้าสื่อต่างๆ เรียกว่ามีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งๆ ที่สังคมไทยในช่วงที่ผ่านมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการใช้วาทกรรมทางการเมืองแก้ปัญหาน้ำท่วม ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจของเอแบคโพลระบุว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.6 ทุกข์ใจมากถึงมาก ที่สุด เมื่อได้ยินข่าวความขัดแย้งทาง การเมืองในช่วงที่ชาวบ้านประสบภัยน้ำท่วม และร้อยละ 81.1 อยากเห็นความร่วมมือกันแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย กับผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ แต่จนแล้วจนรอดน้ำลายการเมืองก็ยังคงผสมปนเป อยู่กับกระแสน้ำที่ไหลเอ่อท่วมคนเมืองกรุงอย่างไม่รู้เหน็ดจักเหนื่อย

การปรากฏตัวครั้งแรกของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้พาเหรดมุดเข้าศูนย์เฉพาะกิจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพร้อมแอ็กชั่นความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มที่ โดยการปรากฏตัวของคุณหญิงในครั้งนี้ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้รับคำสั่งจากใคร แถมมีข่าวไล่หลังจากพรรคเพื่อไทยว่า การที่ “คุณหญิง” เข้ามาข้องแวะกับปัญหาน้ำท่วมโดยลงพื้นที่และร่วมประชุมศปภ. สร้างความไม่พอใจให้กับส.ส. บางกลุ่มเนื่อง จากมองว่าการกระทำเช่นนี้ของคุณหญิง เป็นการขโมยซีนการแก้ปัญหาน้ำท่วม และการเข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะสร้างฐานเสียงให้กับตัวเองในการลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.ในครั้งหน้า เช่นเดียวกับเสียงที่สะท้อนผ่านสมาชิกพรรคปชป.

อย่างไรก็ตาม พลันสิ้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างจบลง นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ในฐานะประธานภาคกทม. พรรคเพื่อไทย รวมถึงส.ส.ของพรรค ได้ออกมาตอบโต้พร้อมตำหนิพรรคปชป.ว่ากลัวเกินเหตุเล่นการเมืองเกินพอดีทั้งที่ประชาชนกำลังทุกข์ยาก ตนเป็นประธานภาคยังไม่เคยได้ยินคุณหญิงพูดว่าจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้งๆ ที่มีส.ส.ขอร้องหลายครั้ง คนที่พูดว่าคุณหญิงจะลงสมัครผู้ว่าฯ ก็มีแต่ปชป. เท่านั้นที่ออกมาพูดเตะตัดขา การที่คุณหญิงออกมาช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ต่อสู้กับน้ำท่วมใหญ่มาตั้งแต่ปี 38 จึงรู้ปัญหาดังกล่าวดี

เช่นเดียวกับ จิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค เพื่อไทย ส.ส.กทม.เขตคลองสามวา ที่ออกมาระบุ ว่าตนเคยเรียกร้องไปยังพรรคปชป.และผู้ว่าฯ กทม. ขอให้พรรคปชป.หยุดเล่นเกมการเมืองแล้วรวมใจกันช่วยชาวบ้านจะดีกว่า
2.ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.ปลอดการเมือง เลิกอิงแอบพรรค ปชป.ชั่วคราวจนกว่าน้ำจะลด 3.ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.สั่งการไปยังผอ.เขตที่อยู่ในแนวเสี่ยงให้ทำงานบูรณาการกับส.ส.พื้นที่ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด 4.ขอให้ ส.ส.กทม.ของพรรคปชป.ที่ไม่อยู่ในแนวน้ำท่วมหยุดใช้ปากแก้ปัญหาและหันมาร่วมมือกับส.ส.ทุกพรรคการเมืองที่อยู่ในแนวน้ำท่วม 5.ขอให้นายอภิสิทธิ์ร่วมแก้ไขปัญหากับรัฐบาล

ประเด็น “คุณหญิงหน่อย” ที่มาปรากฏกายในวันที่มวลน้ำอันเชี่ยวกรากกำลังถล่มกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่สังคมกำลังเฝ้าจับจ้องติดตามกันอยู่ โดยเฉพาะใกล้วันที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นจากการถูกจองจำในเดือนพฤษภาคมปีหน้า เธอกำลังจะคืนความเป็นนักการเมืองแถวหน้าคนสำคัญในสนามกรุงเทพฯ สนามเดียวที่พรรคเพื่อไทยหมายจะยึดคืนจากพรรคปชป.แต่ดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา “ขุนพล” หรือ “แม่ทัพ” ในการออกกรำศึกในสนามไม่เป็นที่ยอมรับทั้งจากคนในพรรคและคนกรุงเทพฯ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผลการเลือกตั้งทั้งในสนามท้องถิ่นรวมไปจนถึงระดับชาติพรรคเพื่อไทยจึงไม่ประสบความสำเร็จ

การกลับมาของ “คุณหญิง” ในครั้งนี้แม้จะไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าถึงที่สุดแล้วเธอจะเบนเข็มทิศการเมืองด้วยการพลิกบทหันมาลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ แต่อย่างน้อย ๆ เป็นการส่งสัญญาณผ่านไปยังมวลหมู่สมาชิกพรรครวมถึงคอการเมืองได้รับรู้รับทราบว่าใกล้เวลาที่ “แม่ทัพ” หญิงคนนี้จะคืนสังเวียนการเมืองเต็มตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันสนามกรุงเทพฯโดยเฉพาะศาลาว่าการกทม.ที่ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯ เคยได้ยลโฉมเธอจากการลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในการต่อกรกับ “สมัคร สุนทรเวช” มาแล้ว ประการสำคัญใครที่ติดตามผลงานนับจากที่เธอก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองครั้งแรกด้วยวัยละอ่อน จะรู้ว่าตอนที่พรรคพลังธรรมเปิดตัวเธอครั้งแรก ครั้งนั้น “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ได้ใช้ศาลาว่าการกทม.เป็นที่เปิดตัวเธอเช่นกัน ชีวิตทางการเมืองของเธอจึงหนีไม่พ้นกรุงเทพมหานครนั่นเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดแผนปฏิบัติการ : นิวไทยแลนด์ !!?


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "นิ่ง" ไป 4 เดือน ในโลกออนไลน์

แต่เมื่อ รัฐมนตรี-สายตรง ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เปิดไพ่ไอเดีย "นิวไทยแลนด์" ด้วยโครงการเกือบ 1 ล้านล้านบาท

ทวิตเตอร์ชื่อ ThaksinLive ของ Thaksin Shinawatra ก็กลับมาโลดแล่น

24 ชั่วโมงหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กางสำรับโครงการลงทุน ระยะสั้น-กลาง-ยาว หลังน้ำท่วม 8 แสนล้านบาท

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 ปรากฏข้อความของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ก้าวหน้า-ก้าวข้าม แผนการในเมืองไทยไปหลายช็อต

12 ข้อความต่อเนื่อง มีนัยทาง การเมือง และส่งผลต่อแผนการ"นิวไทยแลนด์"

นโยบายของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ส่งผ่านทวิตเตอร์ แจ่มชัด สามารถนำไปแปลงเป็นแผนงาน-โครงการ ลงสู่ระดับปฏิบัติการท่ามกลางความงุนงงของ รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ

"พ.ต.ท.ทักษิณ" กล่าวว่า "สวัสดีครับ หายไปนาน ไม่ได้ทวีตมาเลย วันนี้ขออนุญาตส่งความห่วงใยมายังทุก ท่านที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ความจริงผมแอบทำงานอยู่ห่าง ๆ"

"ช่วงนี้ผมยังคงเดินทางเช่นเดิม แต่ก็ตรวจสอบข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองตลอด มีอะไรช่วยทำช่วยแนะนำก็ทำ ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นอุทกภัยที่หนักที่สุด"

"การฟื้นฟูครั้งนี้เป็นความท้าทายของคนไทยทั้งประเทศ เพราะปัญหาใหญ่กว่า กินวงกว้างกว่า และยาวนานกว่า สึนามิที่ภาคใต้ เราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันครับ"

"ผมได้ให้กำลังใจทุกคนไปว่า ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส วิกฤตคราวนี้ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้คนไทยได้หันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟูประเทศ"

"และจะเป็นโอกาสให้เราได้แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งถาวรเสียที เพราะเราเสียงบประมาณจำนวนมากแก้ปัญหาและเยียวยาแบบเฉพาะหน้า เฉพาะกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า"

"ถ้าท่านจำกันได้ ตอนปี 2548 ผมเคยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เชิญต่างประเทศมาลงทุนให้ก่อน แล้วผ่อนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีเรื่องน้ำรวมอยู่ด้วย แต่..."

"ผมถูกปฏิวัติเสียก่อน เหตุการณ์ครั้งนี้เราเสียหายร่วมกัน ทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐเฉพาะทางตรงน่าจะร่วม ๆ สองแสนล้านบาท แต่ก็อยากให้สบายใจ"

"ว่าหาเงินมาแก้ปัญหาได้ ผมได้ คุยกับท่านนายกฯและผู้รู้หลายท่านรวมทั้งรัฐบาลหลายประเทศถึงแนว ทางการฟื้นฟูครั้งนี้ว่า ควรจะทำกันอย่างไรจะช่วยกัน"

"ทำอย่างไรจะทำให้เขามั่นใจที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจะไม่หนีจากเรา เชื่อว่าท่านนายกฯคงจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ก่อนไปประชุมเอเปก"

"เพราะต้องถูกถามและต้องไปบรรยายให้นักธุรกิจฟัง น้ำท่วมครั้งนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันกอบกู้ความน่าเชื่อถือประเทศกลับคืนมาอนาคตจะลำบากมาก เราต้องเร่งแก้"

"สิ่งที่ทำความเสียหายแก่ประเทศกลับคืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความ ขัดแย้งทางการเมือง การขาดหลักนิติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย การแทรกแซงประชาธิปไตย"

"แน่นอนครับ เราต้องเร่งฟื้นฟูและเยียวยาทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งภาวะน้ำท่วมในครั้งนี้และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่ผ่านมา"

จากนั้นห้องประชุมคณะรัฐมนตรีที่เมืองไทยก็ "รับลูก"

น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งหัวโต๊ะ ในวาระการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผน แก้น้ำท่วมทั้งระบบ และแผนการฟื้นฟูแก้ไขปัญหาประเทศระยะยาวภายหลังน้ำลดภายใต้แนวคิด "นิวไทยแลนด์" โดยมีนายพิชัย รมว.พลังงาน นั่งเป็น "มือขวา"

น.ส.ยิ่งลักษณ์อธิบายเพิ่มเติมว่า "ความจริงคือโครงการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างถาวร โดยจะมีการศึกษาใน รายละเอียดและประกาศตัวเลขงบประมาณที่ต้องใช้อย่างชัดเจน แต่เบื้อง ต้นงบประมาณที่จะใช้ในการเยียวยาอย่างเร่งด่วนคือ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงบฯบูรณาการโครงการ 25 ลุ่มน้ำ หรือโครงการระยะถาวร"

ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลังของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รับแผนไปปฏิบัติเป็น "แผนก่อหนี้" ในร่างกฎหมายกู้เงินทันที

โดย นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุลผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แจกแจงว่า สบน. เตรียมร่างกฎหมายกู้เงินเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินในรูปแบบใด เพื่อรองรับแผนกู้เงินเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูระบบน้ำภายหลังน้ำท่วม

ความเป็นไปได้มีทั้งรูปแบบการออกพระราชกำหนด เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายใน 45 วัน หรือจะเป็นรูปแบบการใ ช้เงินลงทุนระยะ 3-5 ปี โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ รอเพียงให้หัวหน้ารัฐบาล-รมว.คลัง ตกลงตัวเลขและกรอกจำนวนเงินเท่านั้น

แหล่งเงินกู้ที่เข้าแถวรอประเทศไทย ในฐานะลูกค้าชั้นดี มีทั้งไจก้า-เอดีบี และแหล่งเงินกู้สถาบันการเงินในประเทศ โดยอาศัยความตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184-185 ที่กำหนดว่า รัฐบาลสามารถออก พ.ร.ก.กู้เงินได้เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ และมีความจำเป็นฉุกเฉินที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

สำนักบริหารหนี้คำนวณว่า หากกู้อีก 8 แสนล้านบาทใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม จะทำให้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 50% ของจีดีพี ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้

ขณะที่ "ผู้นำสาร" จาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" มาเผยแพร่ อย่าง "พิชัย" ให้รายละเอียดเพิ่มเติม หมายมั่นปั้นมือ จะทำโครงการ "นิวไทยแลนด์" ว่า แนวทางการฟื้นฟูหลังน้ำลด จะนำโมเดลประเทศต่าง ๆ ที่เคยประสบอุทกภัยมาศึกษา เช่น มณฑลเสฉวนของจีน, สหรัฐอเมริกา, เนเธอร์แลนด์, พม่า และอาเจะห์ นำมาปรับใช้กับไทย

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกเก็บอยู่ในธนาคารแห่งประเทศไทยถูกอ้างถึง ว่าอาจจะนำมาใช้ใน "นิวไทยแลนด์" บางส่วน

นายพิชัยยืนยันว่า "รูปแบบการฟื้นฟูนั้นจะนำมาดูในทุกด้าน เช่น ท่อส่งน้ำมัน และแลนด์บริดจ์ ระบบป้องกันน้ำท่วมของนิคมอุตสาหกรรม และในอนาคตหากจำเป็นต้องแก้กฎหมายใดที่เป็นอุปสรรคต่อการทำโครงการนิวไทยแลนด์ก็ต้องแก้ไข และใช้วิธีคิดนอกกรอบ เพื่อทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนให้ได้ โดยต้องว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศมาช่วยเสนอแนวคิดและโมเดลต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการพัฒนาไทยด้วย"

ไอเดียถูกขยายเป็นการตั้งคณะกรรมการถึง 3 ชุด คือชุดที่ 1 ต่อสู้น้ำ ชุดที่ 2 ฟื้นฟูประเทศระยะสั้น 1 ปี และชุดที่ 3 ปรับปรุงประเทศระยะยาว โดยให้ปรับวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส ซึ่งหากพบว่าไปติดขัดกฎระเบียบหรือข้อกฎหมายใด ๆ ก็จะดำเนินการ

วาระวงเงินที่จะนำมาใช้ในระยะสั้นมีเงิน 130,000 ล้านบาท โดย 50,000 ล้านบาท มาจากการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2555 เพิ่มเติม และอีก 80,000 ล้านบาท มาจากที่แต่ละกระทรวงตัดงบประมาณลง 10%

แนวคิดการบริหาร "เงิน" ของแบงก์ชาติถูกแปรรูป เปลี่ยนแนวคิด เพื่อหาเงิน 600,000-800,000 ล้านบาท โดยอาจใช้วิธีการออกพันธบัตรและให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็น ผู้ซื้อด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายให้ ธปท. จะซื้อพันธบัตรในประเทศได้

ทุกองคาพยพในรัฐบาลเพื่อไทยขับเคลื่อน-ควบคู่ ใน-นอกประเทศ เพื่อไป สู่แผน "นิวไทยแลนด์"

ด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ มี นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประกาศกับคณะทูตานุทูตกว่า 80 ประเทศว่า จะมีการเสนอ ครม.ออก พ.ร.บ.เงินกู้ 6 แสนล้านบาท เพื่อนำมาปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

เงินลงทุน 8 แสนล้าน กับการลงทุนแก้กฎเหล็กของธนาคารชาติกำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยการอ้างถึงภาวะ "วิกฤตน้ำท่วม"
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สถานการณ์ น้ำการเมือง-น้ำนิ่ง-น้ำไหล-น้ำลายและ น้ำเน่า !!?

สวนดุสิตโพลเผยแพร่ผลสำรวจ ’ดัชนีการเมือง“ เดือน ต.ค.จากประชาชนทั่วประเทศ 5,253 คน ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.-4 พ.ย. ซึ่งเป็นช่วง ’มหาอุทกภัย“ พบว่า คะแนนนิยมในทุก ๆ ด้าน ’ลดลง“ เอาเฉพาะในแง่มุม ’การเมือง“ พบว่า ทั้งรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน รวมไปถึงความสามัคคีของคนในชาติ ’ลดลง“ ต่ำกว่าครึ่งจากคะแนนเต็มสิบคะแนน

นี่อาจจะเป็นการสะท้อนแค่ ’บางส่วน“ เท่านั้น แต่เชื่อว่าหากมีการสะท้อนในลักษณะที่กว้างขวางกว่านี้แนวโน้มก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน นั่นคือ ความขัดแย้งทางการเมืองยังมีอยู่ มีอยู่สูงด้วยและนับวันสถานการณ์ ’มหาอุทกภัย“ จะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ ’สูงยิ่ง ๆ“ ขึ้นไป

ในช่วงของการตั้ง ศปภ.ของรัฐบาลเพื่อมาบูรณาการแก้ไขปัญหา “อุทกภัย” ภาพที่ทุกหน่วยงานทั้งทหารซึ่งถูกวิจารณ์จากขั้วหนึ่งในรัฐบาล ภาพของผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินเข้าไปให้ความเห็นพร้อมเสนอตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา เป็นสิ่งที่ทำให้ใครต่อใคร ’อุ่นใจ“ ว่า ในสถานการณ์วิกฤติของชาติเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองทั้งหลายยังรู้จัก ’แยกแยะ“

แต่พอนานวัน การบริหารจัดการปัญหากลับยุ่งยากและตามไม่ทันกับสายน้ำที่กำลังไหลบ่าท่วมพื้นที่ภาคกลางตามจังหวัดปริมณฑลเรื่อยมาจนถึงกรุงเทพมหานคร ’ไข่แดง“
ของประเทศไทย

นอกจากภาพของความสามัคคีที่ ’คนไทย“ พึงมีให้กัน ยังมีภาพการช่วงชิงจังหวะทางการเมืองแฝงอยู่ในการแก้ไขปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ยิ่งในสถานการณ์ที่ ’ทุกฝ่าย“ เริ่มจะไม่สามารถควบคุมบริหารจัดการกับปริมาณน้ำที่หลั่งไหลมาอย่างมหาศาลได้ ภาพของความขัดแย้งยิ่งเด่นชัด

และแน่นอนภาพที่ชัดที่สุดคือภาพความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกทม.ในฐานะผู้ดูแลกรุงเทพฯ กับรัฐบาลในฐานะผู้ดูแลทั้งประเทศ

ถ้าจะให้ชัดขึ้นมาอีกก็คือความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าให้ชัดที่สุดก็คือความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย และองคาพยพอย่างแกนนำคนเสื้อแดงกับพวกที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง

ใครจะเชื่อว่า ในสถานการณ์ที่น้ำยังไม่ท่วมกรุงเทพฯสูงสุด กลับมีการพูดถึง “แพะทางการเมือง” พูดถึงต้นเหตุของปัญหา พูดถึงการบริหารจัดการของอีกฝ่ายที่ผิดพลาด พูดถึงภาวะผู้นำ การกล้าตัดสินใจ เรื่อยไปจนพูดถึงแนวทางการฟื้นฟูบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่ ที่เหมือนจะใช้ ’การเมือง“ นำ ’บ้านเมือง“

ถ้า ’นับนิ้ว“ กันดูจะพบว่า ’แพะ“ ที่มากับมหาอุทกภัยครั้งนี้มีมากมาย ทั้งธรรมชาติที่มาอย่างไม่มีใครคาดคิด ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ดูแลเขื่อน ทั้งกรมชลประทานในฐานะผู้รู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำ ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะหน่วยงานหลัก ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาในฐานะดูแลกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง

ผู้ว่าฯ กทม. ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัด รวมไปถึง ’การปฏิวัติ“ ที่เป็นต้นเหตุให้แผนการจัดการที่กำลังจะทำของอดีตรัฐบาลต้องล้มพับไป

ขณะที่อีกฝ่ายก็ ’ตั้งป้อม“ เช่นกันว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ เอาเวลาของการเป็นรัฐบาลตลอด 1 เดือนไปเน้นการแก้ไขปัญหาให้ ’คน ๆเดียว“ การอ่อนประสบการณ์ การไม่เป็นตัวของตัวเองของผู้นำรัฐบาล เรื่อยมาจนถึงการบริหารจัดการกับการรับมือกับสถานการณ์ ทั้งของบริจาคที่ถูกวิจารณ์ การใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ข้อมูลที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา

อย่างล่าสุดข่าวการกระทบกระทั่งกันของ ’หน่วยงานหลัก“ ไม่ว่าจะเป็นกรมชลประทานกับ กทม. หรือ กทม.กับศปภ.และแม้กระทั่ง ผู้นำรัฐบาลกับกรมชลประทาน

ภาพที่เกิดขึ้น ’ล้วน“ เป็นสิ่งที่ช่วยกันกัดกร่อนให้ความน่าเชื่อถือของผู้แก้ไขปัญหา ’ลดต่ำลง“ และแน่นอนรัฐบาลในฐานะ ’เจ้าภาพหลัก“ ซึ่งมีหน้าที่แก้ไขปัญหา มี
หน้าที่ประสานความร่วมมือ มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในชาติ ต้อง ’รับผิดชอบ“

ทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อวิจารณ์และข้อถกเถียงที่ปรากฏออกมาจากผู้ทำงาน จากสื่อมวลชนและจากการรับรู้ของประชาชนเท่านั้น หากมีเวทีทางการเมืองเปิดขึ้น น่าสนใจ
ว่า ’ข้อวิจารณ์“ ต่าง ๆ ที่ออกมาจากนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือ วุฒิสภา น่าจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งทางการเมืองให้สูงขึ้น

’มหาอุทกภัย“ ในครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาลขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไปไม่ต่ำกว่า 400 คน มีผู้ประสบภัยต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมหลายแสนคน เศรษฐกิจแทบจะทุกส่วนของชาติเสียหาย เสียโอกาสทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นมูลค่าที่ประเมินมิได้ ที่สำคัญสูญเสียความเชื่อมั่นจากนานาชาติ

ความน่าสนใจจาก ’บทวิเคราะห์“ ต่าง ๆ ของสื่อมวลชนต่างชาติคือการพยายามตั้งคำถามและหาคำตอบว่า “มหาอุทกภัย” ครั้งนี้เกิดจากฝีมือธรรมชาติเท่านั้นหรือเกิดจากฝีมือคนไทยเองนั่นแหละ

ถ้า ’สังคมไทย“ จะแก้ปัญหาร่วมกัน ก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าฟื้นฟูคือ การแสวงหาความจริงอย่างเป็นระบบเป็นวิชาการ มากกว่าเชื่อด้วยความรู้สึกตัวเอง การหาคำตอบ
หลังความเสียหาย ไม่ใช่เรื่องที่หยิบยกขึ้นหาเรื่องกันแต่ควรหาคำตอบเพื่อเป็น ’บทเรียน“ ไว้ ในอนาคตข้างหน้าอันใกล้จะได้ไม่เกิดขึ้นอีก

แม้รัฐบาลจะมีแนวคิดพลิกฟื้นประเทศไทยหลังน้ำลดหรือที่ ’บางฝ่าย“ เรียกว่า ’นิวไทยแลนด์“ หัวใจสำคัญคือ การหาข้อเท็จจริง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่ายการเมือง อย่างฝ่ายค้าน

’มหาอุทกภัย“ จะปล่อยให้เลยผ่านไปโดยที่ไม่มีการแสวงหาความจริงว่า ’ต้นเหตุ“ ของปัญหาที่นำมาซึ่งความเสียหายอย่างมโหฬาร เกิดขึ้นจากอะไรนั้นไม่ได้

รัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ซึ่งเป็น ’เจ้าภาพหลัก“ นั่นแหละ ต้องใช้โอกาสตรงนี้ดึงทุกภาคส่วนให้เข้ามามี “ส่วนร่วม”อย่างแท้จริง มากกว่าจะพูดว่า จะมาสร้างความสมานฉันท์อย่างนั้นอย่างนี้ 3 เวลาหลังอาหาร

ใน ’วิกฤติ“นั้นมี ’โอกาส“ ประโยคนี้น่าจะใช้กับคนไทยทุก ๆ คน มากกว่า ’ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเอาไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=174139

ที่มา: เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง !!?

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าตำรา One for All, All for all

วันนี้ ผมขอยืมวลียอดฮิตอย่างคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ชาว FaceBook พูดคุยกันในหลากหลายแง่มุมของช่วงภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมปี พ.ศ. 2554 นี้ มาประกอบบทความครับ

เอาอยู่ เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องน้ำท่วมกันอีกแล้วว่า “เอาอยู่” หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ กำลังใจว่ายังเอาอยู่หรือไม่

ลองดูกรณีเหล่านี้นะครับ สองสามีภรรยาที่เคยทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ มีรายได้รวมกันประมาณ 4 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน สามีเป็นหัวหน้าช่าง ภรรยาเป็นหัวหน้าคิวซี วันนี้ทั้งคู่ต้องตกงานและหนีน้ำไปอยู่ขอนแก่น ไปรับจ้างล้างรถรายวัน ได้ค่าแรงวันละ 160 บาทต่อคน รวม 2 คนก็ตกราวๆ 5 พันบาทต่อเดือน เงินที่เคยส่งลูกเรียนและส่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างจังหวัดจะเอาอยู่ได้อย่างไร

อีกกรณีหนึ่ง เป็นช่างทำผมที่อยุธยา ได้เงินเดือนรวมทิปเดือนละหมื่นเศษๆ หนีน้ำมาที่ร้านทำผมข้างๆ เซ็นทรัลปิ่นเกล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้น้ำตามมาที่ร้านเสริมสวยแห่งใหม่ ระดับน้ำสูงสุดที่ 1.20 เมตร ตอนนี้ร้านปิด เข้าใจว่าช่างทำผมคนเดียวกันนี้ก็ยังเอาอยู่ด้วยการหนีน้ำไปหางานทำผมที่ร้านอื่นต่อไป

ขณะที่ แม่ ลูก และหมาชิสุหนึ่งตัวพร้อมรถคู่ใจ ที่หนีน้ำออกมาได้ทันท่วงที หยิบทันแค่โทรศัพท์มือถือติดตัวมาได้เท่านั้น วันนี้เดินทางมาที่ปราจีนบุรีมาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อ จำต้องทิ้งบ้านหลังใหญ่ สมบัติ เอกสารสำคัญ ข้อมูลเกี่ยวกับงานทั้งหมดให้จมน้ำที่บางบัวทอง วันนี้จะเอาอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่ภาพที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ภาพของคนลอยคอ ลอยรถเข็น ลุยน้ำท่วมปิ้งลูกชิ้นขายเพราะลูกต้องใช้เงินทุกวัน

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องอาศัยเวลาในการเยียวยาให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป อย่างคำคมที่เพื่อนของผม คุณบุญยงค์ ตันสกุล CEO บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด มักจะพูดเสมอว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”

แตกแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้หลายคนบอกว่า เปรียบเหมือนเสียกรุงฯ ครั้งที่สาม มองไปในด้านลบ จะเห็นว่า โรงงานต้องปิดไปมากกว่าพันแห่งใน 7 นิคมอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตสินค้าต่างๆ วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตเสร็จเตรียมส่งออกก็เสียหาย คลังสินค้าถูกน้ำท่วมทำลาย ที่ยังไม่เสียหายก็จัดส่งไปขายไม่ได้ เพราะบริษัทขนส่งต่างๆ ก็ปิดตัวเอง การจัดส่งสินค้าด้วยทีมรถของตัวเองก็ขัดข้อง รถจมน้ำทำให้ กระจายสินค้าไปยังภาคอื่นๆ ของประเทศไม่ได้ ยอดขายตกต่ำ ผู้คนตกงานขาดรายได้ กำลังซื้อหด โครงการหมู่บ้าน ทั้งที่ยังขายไม่หมดหรือที่ขายดาวน์ไปแล้วคงต้องหยุดชะงัก ผู้ที่กำลังผ่อนก็อาจจะหยุดผ่อน พวกผ่อนดาวน์จบแล้วก็ลังเลไม่ยอมโอน ธนาคารจะมีหนิ้เสียทั้งจากรายบุคคลและเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ต้องเป็นขาลงแน่นอน เพื่อแบ่งเบาภาระทุกภาคส่วน รายได้ธนาคารจะตกต่ำ หุ้นธนาคารก็อาจจะร่วง หุ้นร่วงผู้คนก็จะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง รายได้ที่จะกระจายต่อไปก็จะน้อยลง กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ก็คงถูกยกเลิกกันไป การใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวก็คงหายตามไป การลงทุนจากต่างชาติก็จะหดตัวด้วยความไม่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติของบ้านเรา

ภาคเกษตรที่เป็นเรื่องหลักในการส่งออกจมน้ำ ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที ก็สะดุดไม่สามารถส่งออกไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้ กระทบต่อยอดจำหน่ายในตลาดโลก ส่งออกน้อยลง จากนี้ไปหลายองค์กรจำเป็นต้องกู้เพิ่ม รัฐเองก็ต้องกู้เพิ่ม จำเป็นต้องนำเข้าน้ำดื่ม อาหาร ยา และอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลการค้าจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สุดเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง เศรษฐกิจย่ำแย่ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอย่างบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ ต่างก็ล้มละเนระนาดไปด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน มองไปในด้านบวกด้วยการเปรียบเปรยกับหลังภูเขาไฟระเบิด ลาวาที่ปะทุพวยพุ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดิน ทำลายพืชไร่นาสวน บ้านเรือน ชีวิตผู้คนและสัตว์ต่างๆนาๆ กลับกลายเป็นการสร้างชีวิตใหม่ให้งอกงามมากยิ่งขึ้น แร่ธาตุต่างๆ เกิดขึ้นจากลาวาที่สงบลงเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นดีให้พืชพันธ์เจริญงอกงามยิ่งกว่า ชีวิตเกิดใหม่มากมาย ท้องฟ้าสดใส และเป็นวัฏจักรที่มาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ฟ้าใหม่กำลังมา วันนี้น้ำที่นครสวรรค์ ลพบุรี อ่างทอง อยุธยา เริ่มลดและแห้งแล้วในบางพื้นที่ ผู้คนจึงเริ่มทำ Big Cleaning กัน สัปดาห์ก่อนที่น้ำถล่มกรุงเทพฯ ใครได้สังเกตราคาหุ้นที่ขึ้นติดต่อกันหรือไม่ นักลงทุนต่างชาติมองเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องที่มาแล้วก็ต้องไป ดังนั้น การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจในด้านลบที่ร่ายยาวมาแต่ต้นก็จะย้อนกลับไปในทางบวกทั้งหมดโดยเร็ว ด้วยพลังแห่งความสามัคคีที่ต้องไม่ให้แตกครับ

เสียใจ ภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมนี้ ทำให้ผมมองเรื่องการศึกษาบ้านเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นเรายังจะต้องเสียใจกันแบบนี้ต่อไปทุกๆปี ความรู้พื้นฐานในเชิงภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม พวกเราไม่มีในหัวเลย วิกฤตครั้งนี้ พวกเราเพิ่งจะได้เรียนรู้เรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร เป็นเรื่องพื้นๆใกล้ตัวเราทั้งสิ้น คลองมากมายในพื้นที่ที่เราอยู่ เราไม่เคยรู้จักมาก่อน วันนี้ก็ได้รู้ มีกี่คนที่เคยได้ยินชื่อคลองสามวา ความสำคัญของแต่ละคลองเป็นอย่างไร มันทำหน้าที่อะไร น้ำไหลจากไหนไปไหน เมื่อไรจะขึ้นจะลง พื้นที่ไหนต่ำสูง ระดับน้ำทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร เขื่อนทำงานยังไง ตลอดจนแนวทางป้องกัน นวัตกรรมต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ เราจะอยู่กับน้ำมาตลอด แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย ได้เรียนแต่ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” กันตั้งแต่เล็ก มุ่งเน้นแต่เรื่องของการทำมาหากินแบบทุนนิยมกันจนเคยชิน ทุกอย่างใช้เงินจ้างหมด รู้จักแต่ว่าจะเรียกช่างน้ำ ช่างประปา ช่างไฟ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ท่อต่างๆในบ้านมันต่อมันเดินกันอย่างไร ไฟฟ้าดูด ไฟรั่วได้ยังไง ไม่มีหนังสือ ประเภท how to อย่างในต่างประเทศ

ปัญหาน้ำท่วมวันนี้ทุกคนเสียใจและยอมรับว่าเป็นปัญหาของตนเอง ชีวิตที่ต้องพลิกผันกันไป ต่างๆนาๆ หากยังไม่คิดแก้ไขมาเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น เรื่องใกล้ตัว ศึกษากันแบบภัยพิบัตินิยมหรือน้ำท่วมนิยม (ไม่) ให้มากกว่าเรื่องของทุนนิยม พวกเราคนไทยก็คงจะต้องเสียใจและเสียหน้าไม่กล้าไปมาเลเซียอีกต่อไป

ช่วยตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองในภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด ทำตัวไม่ให้เป็นภาระของผู้อื่น เพื่อให้ผู้ที่มีศักยภาพ ผู้ที่มีจิตอาสา ภาคเอกชนที่ก่อตั้งเป็นกลุ่มก้อน ทำงานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นเพื่อลดจำนวนผู้เดือดร้อน หันไปช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น คนป่วย คนชรา ผู้พิการ และเด็กเล็ก ยังช่วยให้สิ่งของทั้งอุปโภคและบริโภคเพียงพอต่อผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ในห้วงแห่งความโกลาหลนี้ เราได้เห็นผู้ที่จริงใจและไม่จริงใจกันแล้ว ใครทำทีช่วยเหลือ ใช้ตำแหน่งและอำนาจเข้ามาจัดการมากกว่าจิตที่บริสุทธิ์ ใครเอาหน้า กักตุนสินค้า สวมรอย เข้ามาทำการค้า โกงกิน ใครถือวิกฤตเป็นโอกาสที่แฝงไปด้วยแผนงานและโครงการคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเบาะๆ ที่เห็นๆ ก็อย่างเช่น เรือที่ได้รับบริจาคจากบริษัทแอร์โรคลาสหรือในส่วนที่ขายในราคาทุนเพียงไม่กี่พันบาท วันนี้ถูกนำมาจำหน่ายโก่งราคาถึงเกือบแปดพันบาท ถุงทรายที่ถุงละไม่ถึงสิบบาทวันนี้ราคาขึ้นไปถึงเจ็ดแปดสิบบาท น้ำดื่มที่กักตุนกันไว้หรือได้รับบริจาคมาก็มีการนำมาขายในราคาเอากำไรเกินควร ทับถมความลำบากให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มสะอาดรายย่อยเกือบ 7 พันบริษัทจากทั่วประเทศร่วมมือกันขายในราคาเดิม ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำดื่มจากต่างประเทศ เจ้าของกิจการที่มีจิตใจดี อย่างโรงแรมที่เกิดวิกฤต ชาวต่างชาติยกเลิกห้องพัก วันนี้หลายๆแห่งก็ยินดีลดราคาพิเศษให้กับคนไทยด้วยกันเอง บริษัทเอกชนหลายแห่งไม่เพียงแต่จัดตั้งทีมอาสาช่วยเหลือผู้คน บริจาคทั้งสิ่งของและปัจจัย สินค้าที่ขายกันอยู่ทั่วไป ต่างก็ลดราคาแบบยิ่งกว่า Clearance Sale กันมากมาย ด้วยหวังเพียงแค่บรรเทาทุกข์ บรรเทาราคาให้กับผู้คนครับ

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเองเช่นเดียวกับการช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น ที่สุดก็เข้าตำรา One for All, All for One

หลายคนคงเบื่อข่าวน้ำท่วม เบื่อคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ได้ยินกันทุกชั่วโมง ลองมาดู คลิปเด็ก ๆน่ารัก ๆจากไทย พีบีเอส นี้สิครับ http://www.youtube.com/watch?v=tQDVcgYSvFE อย่างไหนดีกว่า

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

เมืองไทยยุคหน้าด้าน !!?

แปลกจริงแฮ่ะ, แก้ปัญหาให้กับแผ่นดิน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมีเสียงขับไล่
ทั้งที่ “มาตรฐาน”แก้ปัญหามหาวิบัติภัยน้ำท่วม ทำได้ดีเยี่ยมระดับหนึ่ง..
เทียบกับ “ผู้นำ” อกสามศอกแล้ว...เธอเหนือชั้นกว่า อย่างคาดไม่ถึง
ถ้า “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบ...แล้ว “ผู้นำเก่า” ที่เก็บมวลน้ำมหาศาล จนน้ำเหนือหลากมาเหมือนกัน “เขื่อนแตก” ...กลับลอยตัว กล่าวหาคนอื่นผิด!!
คนแก้ปัญหากลับถูกใส่ไคล้...คนทำผิดกลับลอยนวลไป?..หรือเมืองไทยถึงยุคหน้าด้านสนิท??

++++++++++++++++++++++++++++

“ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ”!!
ตามมาเป็นผีหลอกหลอน เพื่อยุบ “พรรคเพื่อไทย” ซ้ำ??
อยากจะวิงวอน อย่าได้ก่อวิกฤติชาติ ให้ทะรูดทะราด กันมากไปกว่านี้
“ยุบพรรคเพื่อไทย” ทำให้แผ่นดินสูงหรือก็เปล่า..แล้วจะทำกันทำไมล่ะพี่
มีแต่จะสร้างความแยกแตก เป็นเงื่อนปมให้ชาติบาดเจ็บ สาหัสมากกว่าเดิม
ฉะนั้น,กระซิบเป็นการด่วน....อย่าสร้างสถานการณ์กระอักกระอ่วน?..อย่าได้จุดชนวนเพิ่ม

+++++++++++++++++++++++++++

มีความเป็น “นักรบที่กล้าหาญ”
รบพุ่งมุ่งเอาชนะชัย ไม่ผิดอะไรกับ “กวนอู” เชียวล่ะท่าน
ต้องยอมรับว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นนักรบที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน เป็นอย่างดี
จะเก็บ..โดยไม่ใช้สอย กลัวจะเสียทรัพยากรแผ่นดิน หมดเท่านั้นแหละคุณพี่
ดังนั้น,อยากเห็น “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดึง “พล.อ.พัลลภ” มาเป็นประธานควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาล ได้กำหนดเอาไว้
“พล.อ.พัลลภ”ไม่โกงกิน..ซื่อสัตย์เท่ากับ “เปาปุ้นจิ้น”?..ตั้งมาปราบคนโกงกิน ดีจริงๆจะบอกให้

+++++++++++++++++++++++++++

อย่าเป็นเหมือน “น้ำ”
ถึงจะมีคุณ แต่ถ้ามามากเกินไป ประชาชน เขาก็บอบช้ำ??
ขณะนี้ชื่อเสียงเกียรติคุณ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” กำลังขึ้นหม้อ
จะทำอะไร มีคนจับผิด เล่นงานทุกข้อ
ทั้งสองยังมีบทบาทอีกมาก..วันหน้าต้องเติบโตจนใครรั้งไม่หยุด..แต่ตอนนี้ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
ก้าวโตทีละสะเต็ป...รับประกันว่าไม่มีเจ็บ?..ไม่โดนคนเขาเหน็บ ให้เจ็บใจด้วยนะสิ

++++++++++++++++++++++++++

“รัฐธรรมนูญอสูร”
เกาะแข้งเกาะขา “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็น “เผด็จการทหาร” ไปถึงไหนกันจ๊ะพ่อคุณ
ประชาธิปไตยเต็มใบ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของประชาชน ที่มาจาก “รัฐธรรมนูญปี ๕๐” ทำไมไม่ต้องการ...
เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับหน้าแหลมฟันดำ ของ “คมช.” ก็ต้องสนับสนุน กันหน่อยล่ะท่าน
พรรคใดที่คัดค้าน และ ขัดขวาง ต้องการเชลียร์ท๊อปบูต ให้เขาทำกันไปตามสะดวกเสร็จสรรพ
กลัวว่าไม่ได้เกาะหลังเผด็จการ..ไม่มีวัน?..ได้เป็นรัฐบาล เช่นนั้น จริงมั้ยล่ะขอรับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
*****************************************************

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทความ: จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร !!?

โดย : ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง..

"สวัสดีครับ คุณ เอกยุทธ อัญชันบุตร ครับ วันนี้ทันทีที่ข้าพเจ้าได้อ่านสเตตัสของท่านแล้วก็เห็นว่า ข้าพเจ้าสมควรเขียนอะไรถึงท่านสักหน่อย ข้าพเจ้าไม่ออกความเห็นว่าสิ่งที่ท่านคิดเป็นอย่างไร เลว ดี อย่างไร ข้าพเจ้าคงตอบท่านไม่ได้เพราะข้าพเจ้าเองนั้นไม่ได้มีพื้นกำเนิดอันเดียวกับท่านเลยไม่รู้ว่าท่านสูงส่งมาจากไหนและข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะขุดคุ้ยท่านแต่อย่างใดเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตพึงทำ

"คุณเอกยุทธครับ คุณรู้จักตำหนักแดงในพระบรมมหาราชวังไหมหรืออีกนัยยะหนึ่งเขาจะเรียกว่า ตำหนักเจ้าดารา เจ้าดารานั้นพระนามเต็ม ๆ ของพระองค์คือ เจ้าหญิงดารารัศมี เป็นพระธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงแห่งเชียงใหม่ ความสำคัญของพระองค์คือเป็นผู้ที่ผนวกแผ่นดินล้านนากับแผ่นดินสยามให้เป็นปึกแผ่นกันทั้ง ๆ ที่พระองค์เองมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าหญิงหรือบุตรบุญธรรมของพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ถ้าพระเจ้าอินทวิชยานนท์เลือกทางนั้นข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าแผ่นดินล้านนาในทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะเป็นถึงฮ่องกงแห่งภาคพื้นอุษาคเนย์ก็เป็นได้ แต่เพราะเหตุอันใดนั้นไม่ทราบพระเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงเลือกจะส่งลูกสาวของพระองค์มายังสยามประเทศ ทำให้แผ่นดินสยามกับล้านนาประเทศเป็นอันหนึ่งเดียวกันและทำให้สยามประเทศนั้นปลอดภัยภยันตรายอันเกิดจากประเทศอังกฤษเจ้าอาณานิคม

"ดังนั้นถ้าจะมองว่าสตรีสูงศักดิ์เหนือทำให้ประเทศพ้นภัยก็น่าจะได้นะครับคุณเอกยุทธ นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากพูดถึงหรอกครับยังมีอีกเรื่องคือ คุณเอกยุทธรู้จักคำว่า นางสาวถิ่นไทยงาม ไหม ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดนางงามเวทีนี้คือรายการประกวดประชันนางงามภาคเหนือที่เกิดขึ้นในสมัย จอมพล. ป. พิบูลสงคราม และไม่เพียงเท่านั้นท่านจอมพลคนเดียวยังเป็นคนให้จังหวัดทางภาคเหนือมีการจัดงานฤดูหนาวและประกวดนางงามในงานนั้นด้วย ที่ข้าพเจ้าพูดมาถึงตรงนี้เพียงเพราะอยากจะชี้ให้ท่านเห็นว่า อาณาจักรล้านนา มีการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่ใกล้ ๆ กัน แต่ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่าความเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรงของล้านนานั้นมาเกิดขึ้นในสมัย จอมพล ป. ที่ประกาศใช้ลัทธิชาตินิยมอย่างเต็มขั้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมายในแผ่นดิน ไม่ใช่เพียงแต่ล้านนาที่ได้ผลกระทบ เพราะนโยบายของจอมพล ป. นโยบายเดียวทำให้เกิดผลกระทบไปทุกภูมิภาค ตอนนั้นทางอีสานก็ระส่ำ ทางใต้ก็ระส่าย ทางเหนือก็เจอยัดเยียดความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น

"สิ่งที่ จอมพล ป. ทำนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายในแผ่นดินล้านนาและน่าจะเป็นการเปิดประตูล้านนาให้คนอื่นได้เข้าไปยึดครอง โดยเฉพาะเรื่องความงามของสาวเจ้าความงามของสาวเหนือได้ปรากฏสู่สายตาโลกกว้างก็คงเพราะจากนโยบายนี้ของท่าน ข้าพเจ้าคิดไปเอาเองว่าจากนั้นก็เริ่มมีการล่อการลวงเกิดขึ้นมากมายตามมา แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในแผ่นดินล้านนาซึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลกลาง ป่าไม้ เหมืองแร่ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เขาหาได้โดยง่ายก็ถูกยึดครองเป็นของรัฐ รัฐบาลกลางได้เข้าไปยึดถือครองและทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาเลวร้ายลง กฏเกณฑ์ของรัฐบาลกลางนั้นไม่เอื้อกับความเป็นอยู่ของเขาจึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ ล้านนาที่เคยเป็นดินแดนที่เรียบง่าย งดงาม ก็ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการหรือไม่... นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลกลางไม่เคยเพียรถาม เขาได้แต่คิดว่าต้องเปลี่ยนต้องยึดโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนพื้นที่คิดอย่างไร มีคนพูดถึงว่า ′หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความเป็นล้านนาก็ค่อย ๆ หายและลบเลือนไป เขาเอาสิ่งที่ไม่ต้องการมาให้เราและก็ยังกดขี่เรา′ คำกล่าวนี้น่าจะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงอย่างไรนั้นต้องให้คนพื้นที่มาตอบเองข้าพเจ้าเพียงแต่มองจากสายตาคนอ่านหนังสือมาเท่านั้น

"สิ่งที่ตามมาคือความยากเข็ญในแผ่นดินล้านนา นายทุนเริ่มบุกไปเอาเปรียบ รัฐบาลกลางเริ่มขูดรีดและจัดระบบจนทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายได้เหมือนเดิม เกิดการดิ้นรนและต่อสู้เพื่อจะมีชีวิต ความเชื่อที่ว่าสาวเหนือนิยมมาขายตัวก็เกิดมาจากตรงนี้... แต่คุณเอกยุทธรู้ไหมว่าเพราะอะไรถึงมีการขายลูกกิน... ไม่มีใครที่ขายลูกในอกได้หรอกครับ ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้นแต่ถ้าเขาแร้นแค้นไม่มีแม้แต่เงินจะยาไส้จึงบีบให้เขาต้องทำ ก่อนหน้านี้มาถ้าเรามองย้อนไปเคยเกิดเรื่องราวแบบนี้ไหมในแผ่นดินล้านนา สถานชำเราชายก็เป็นคนจีนเสียส่วนใหญ่ ตึกต่าง ๆ ในเยาวราชก็เป็นต่างด้าวและเป็นชาวจีนที่หนีภัยพิบัติและสงครามมา แต่ก่อนมีแต่คนจีนจริง ๆ ที่ทำอาชีพนี้แต่เมื่อคุณไปบีบคั้นเขาและล่อลวงมาชาวเหนือจึงตกเป็นขี้ปากอย่างปฏิเสธไม่ได้

"เขาไม่ได้มาขายตัวเพราะขี้เกียจ แต่มีการศึกษาพบแล้วว่า คนเหนือที่มาขายบริการในกรุงเทพฯ เพราะส่วนหนึ่งถูกล่อลวงมา พ่อแม่จำเป็นต้องขายพวกเธอเพราะถูกคนกดขี่เอารัดเอาเปรียบ ถ้าจะพูดกรุณาพูดให้ถูก ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือของ สุภาพบุรุษน้ำหมึก อย่าง คุณ ณรงค์ จันทร์เรือง หนังสือเกือบทุกเล่มของท่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับการผู้หญิงขายบริการไม่ว่าจะเป็น เทพธิดาโรงแรม เทพธิดาวารี เทพธิดาคาเฟ่ โดยเฉพาะ เทพธิดาโรงแรม ที่โด่งดังก็ชี้ให้เห็นชัดว่า มาลี เธอมาขายบริการเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะความซื่อของเธอหรอกเหรอถึงถูกหลอก ไม่ใช่เพราะความเลวระยำของคนกรุงเทพฯ เหรอที่ไปล่อลวงเขามา

"ถ้าข้อความดูถูกผู้หญิงเหนือจะหลุดออกมาจากใครสักคน ข้าพเจ้าไม่คิดเลยจะออกมาจากคนที่มีชาติกำเนิดดีและมีการศึกษาที่ดีอย่างท่านเลย ทำไมคนอย่างท่านถึงดูเหตุและปัจจัยไม่ออกครับ ทำไมถึงกล่าวว่าคนทั้งภาคทั้ง ๆ ที่ภาคนั้นได้ช่วยเหลือให้เราได้เป็นไทยจนถึงทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นเขาเลือกจะไปทางอังกฤษ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยในวันนี้จะเหลือแผ่นดินแค่ไหนกัน... และจากประวัติศาสตร์ก็บอกชัด ๆ ว่า รัฐบาลของประเทศไทยทั้งนั้นที่รังแกเขา ทำไมถึงถึงได้หยาบคายกับเพื่อนมนุษย์ได้ขนาดนี้ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ...

"แต่ผ่านอ่านคอมเมนต์คุณไป ข้าพเจ้าก็ได้พบว่า ท่านได้แก้ตัวไว้ถึงสองความเห็นว่า

′ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใครแต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก็ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..′

และ ′คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบายแต่บอกแล้วว่าผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..′

"ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า... สิ่งที่คุณพูดบนสเตตัสว่าอย่างไร คุณต้องรับผิดชอบให้ครบไม่ใช่มาถึงกลางลำก็แก้ตัว เพราะสิ่งที่คุณพูดมันเป็นแค่คำพูดของคนรู้ไม่จริง เพราะสาวเหนือที่มาขายบริการส่วนใหญ่นั้นเพราะถูกหลอก ส่วนขี้เกียจและแก้ปัญหาด้วยการขายตัวมันมีทุกภาคล่ะครับ แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่นและอเมริกาก็ยังมี มันมีกันทั้งโลกไม่ใช่แค่สาวเหนืออย่างเดียว...

"และถ้าในมุมมองของคุณนั้นก็บิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก เพราะคุณปูไม่ใช่คนขี้เกียจแต่ถ้าคุณจะมองว่าเขาไม่มีปัญญานั้นก็เป็นสิทธิของคุณแต่คุณไม่มีสิทธิไปบอกให้เขาไปทำอะไรหรือไปชี้่ว่าเขาควรไปทำอะไรโดยเฉพาะอาชีพไม่พึงประสงค์เช่นนั้น..."

////////////////////////////////////////////////////

มีผู้แจ้งความเอกยุทธ อัญชันบุตร-พร้อมเรียกร้องให้ขอขมา !!?

กลุ่มผู้หญิงในเชียงใหม่ ร่วมกับ ส.ส.เชียงใหม่ แจ้งความดำเนินคดีต่อนายเอกยุทธ อัญชันบุตร กรณีโพสต์ข้อความโจมตีสตรีภาคเหนือในเฟซบุค

 บริเวณสถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเจียงใหม่ (แปลว่า กลุ่มพลังปัญญาผู้หญิงล้านนาเชียงใหม่) ร่วมกับส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ในกรณีที่ได้โพสต์ข้อความดูถูกสตรีภาคเหนือในเฟซบุคเมื่อวานนี้ (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)


โดยกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเจียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มสตรีหลายอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ ได้รวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ แถลงการณ์คัดค้านและประณามข้อความดังกล่าว โดยมีการแจกข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์ รวมทั้งประวัติของนายเอกยุทธให้กับผู้สื่อข่าว และกลุ่มผู้หญิงที่มารวมตัวกัน

โดยในแถลงการณ์ได้คัดลอกข้อความของนายเอกยุทธมา และระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นการดูถูกดูหมิ่นดูแคลนผู้หญิงชาวเหนือ และนายเอกยุทธ อัญชัญบุตรต้องรับผิดชอบในการกระทำที่ทำให้เสื่อมเสียครั้งนี้ และเรียกร้องให้นายเอกยุทธออกมาขอขมาหรือขอโทษสตรีชาวเหนืออย่างเป็นทางการ

นางสุชีรา รักษาภักดี ประธานกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเชียงใหม่ กล่าวว่าเมื่อได้อ่านข้อความนี้ ตนรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึก ไม่ว่าคนเสื้อสีใด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือไม่ว่าจะอยู่ทางภาคเหนือหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้อ่านข้อความนี้ ก็ย่อมรู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสม และไม่สมควร เพราะอาชีพของแต่ละคนก็มีที่มาที่ไป มีศักดิ์ศรีของตน อีกทั้งนายเอกยุทธเป็นผู้ชาย แต่มาพูดคำที่ประณาม หยามเกียรติผู้หญิง เป็นการดูถูก ดูหมิ่น และดูแคลนผู้หญิงคนเหนือทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่คนที่อยู่ตำแหน่งทางการเมือง ทางกลุ่มของตนจึงจะได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกยุทธ และเรียกร้องให้นายเอกยุทธออกมาขอโทษต่อสตรีชาวเหนือ อีกทั้งยังเรียกร้องให้กลุ่มสตรีจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ หรือจังหวัดอื่นๆ ได้ร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีนายเอกยุทธ ในพื้นที่ของตนเอง

จากนั้นกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีนายเอกยุทธ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยทางตำรวจร้อยเวรได้รับเรื่อง ลงบันทึกประจำวันไว้ และได้ให้นางสุชีราไปแจ้งความอย่างเป็นทางการที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นางสุชีราเปิดข้อความดูในอินเตอร์เน็ต โดยทางกลุ่มจะได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.ดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ต่อไป


ในระหว่างนั้น นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เพื่อไทย เขต 1จังหวัดเชียงใหม่ได้เดินทางมายังสถานีตำรวจภูธร และให้กำลังใจกลุ่มสตรีที่มาร่วมตัวกัน โดยนางสาวทัศนีย์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าในวันนี้ (4 พ.ย.) ทางสมาชิกสตรีของสภาเทศบาล สภาจังหวัดเชียงใหม่ และทางกลุ่ม ส.ส.สตรีในจังหวัด

เชียงใหม่ จะร่วมกันแถลงข่าวในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เวลา 11.00 น. เพื่อให้นายเอกยุทธออกมารับผิดชอบต่อข้อความของตัวเอง ซึ่งแม้จะเป็นข้อความที่โพสต์ลงในสื่อออนไลน์ แต่ก็เป็นการเผยแพร่ในที่สาธารณะ เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง และยังเป็นการเหยียดหยามผู้หญิงอย่างมาก จึงอยากจะเรียกร้องให้ผู้หญิงทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ภาคเหนือได้ออกมาร่วมกันประณามข้อความดังกล่าวของนายเอกยุทธ

ในส่วนของประเด็นทางกฎหมาย นางทัศนีย์กล่าวต่อว่าจะให้ทางที่ปรึกษากฎหมายของพรรคเพื่อไทยดูว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ตามความผิดฐานหมิ่นประมาท ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ระบุว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
และในมาตรา 328 ระบุว่า “ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท”
นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนี้ ทางกลุ่มสตรีในพื้นที่จังหวัดลำพูนได้มีการรวมตัวการประณามข้อความของนายเอกยุทธเช่นกัน


ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่เมื่อคืนวานนี้ (2 พ.ย.) ได้มีผู้นำโปสเตอร์ไปติด เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อความของนายเอกยุทธ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย โดยโปสเตอร์ถูกติดในหลายอาคารเรียน

ที่มา:ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความเชื่อมั่นกับปัญหาน้ำ ....

แม้ว่าขณะนี้การแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อมิให้น้ำไหลทะลักเข้ากรุงเทพมหานครในเขตชั้นในจะสามารถสกัดกั้นมวลน้ำให้ไหลไปทางอื่นได้หรือไม่นั้น เชื่อว่า ณ วินาทีนี้คงไม่มีใครที่มีคำตอบได้ชัดเจนว่ามาหรือไม่มา ดังนั้นความเชื่อมั่นในเรื่องนี้จึงเป็นความไม่เชื่อมั่นของประชาชนคนกรุงชั้นในที่น้ำยังไม่น่าไว้วางใจ แต่เชื่อว่าประชาชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่เขตไหนที่น้ำยังเดินทางมาไม่ถึงต่างก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ส่วนใหญ่จะตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทในการรุกเงียบของน้ำที่ค่อย ๆ ไหลเข้ามาท่วม และเชื่อว่าทุกคนรู้อย่างมีสติ ถ้ามีปัญหาน้ำเกิดขึ้นจึงย่อมไม่มีปัญหาของผู้ที่ไม่ประมาท

ปัญหาของน้ำในเวลานี้ยังไม่ได้คลี่คลายให้เห็นแล้วเบาใจ แต่รัฐบาลก็ได้เตรียมแผนฟื้นฟูประเทศและการแก้ไขปัญหาน้ำในอนาคต โดยจะวางแนวทางปรับโครงสร้างระบบน้ำทั้งประเทศ ซึ่งการเตรียมไว้ก่อนดีกว่ามาวางแผนในตอนหลังประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมแล้ว ก็อาจทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจเรื่องน้ำในวันข้างหน้าได้ ในการวางโครงสร้างระบบน้ำทั้งประเทศของรัฐบาลจะไม่มีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจะมีแต่ผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญและรู้จริงในเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำจากภาคเอกชนมาช่วยกันจัดระบบ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันจะได้ไม่มีปัญหาทางด้านการเมืองจากน้ำลายของนักการเมืองด้วยกันเอง

การจัดระบบน้ำทั้งประเทศคงมีการตั้งคำถามว่า ในอนาคตข้างหน้าจะสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและชาวต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยได้มากน้อยแค่ไหนว่าจะไม่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ และนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกต่อไป ซึ่งปัญหาความเชื่อมั่นดังกล่าวนี้ คณะทำงานในการจัดระบบน้ำทั้งประเทศไม่ควรที่จะชักช้าในการเสนอแผนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมออกมา เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และรับทราบถึงความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ถึงแม้ว่าปัญหาของน้ำในขณะนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ และอีก 6 เดือนข้างหน้าประเทศไทยก็ถึงฤดูฝนอีกแล้ว ฉะนั้นความเชื่อมั่นในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเร่งสร้างขึ้นมา

เป็นธรรมดาที่รัฐบาลจะใช้วิกฤติน้ำนี้สร้างความเชื่อมั่นของน้ำให้เกิดขึ้นไปยังประเทศต่าง ๆ ได้รับรู้ข่าวคราว เพราะต่างประเทศก็ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ของเมืองไทยกันในหลายแง่หลายมุม โดยเฉพาะในแง่ลบที่พูดถึงการแก้ไขปัญหาน้ำที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เหมือนกับเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติหนีไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านแทน เพราะฉะนั้นนักการเมืองที่ยังสนุกกับการทะเลาะกันในช่วงวิกฤติโปรดพึงระลึกเอาไว้ว่า การเมืองนั้นสามารถไปเขย่าขย่มเศรษฐกิจให้เลวร้ายลงไปอีก ความเห็นต่างนั้นไม่มีใครว่าแน่ แต่ความเห็นต่างนั้นจะต้องมุ่งไปสู่การฟื้นฟูชาติบ้านเมืองด้วยกัน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=173930

ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////

ปชป.สับยิ่งลักษณ์ 5 คุณสมบัติแย่ไม่ควรเป็น นายก ฯ !!?

โฆษกฯปชป.แฉ ครม. ไม่สนคำเตือนกรมชลฯ สั่งลดการระบายน้ำในเขื่อนรักษานาข้าว เมินพายุเข้า มัวแต่จูบปาก ฮุนเซน ห่วง ทัวร์อาเซียน กว่าจะรู้ตัวน้ำเต็มเขื่อน สั่งระบาย 6 ต.ค. ทำน้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ ลำดับเหตุการณ์มัดยิ่งลักษณ์โกหกคำโต โยนบาป ปชป. พร้อมชี้ 5 คุณสมบัติแย่ ไม่ควรเป็นนายกฯ

นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปริมาณน้ำในเขื่อนในลักษณะโยนความผิดให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า เป็นการโกหกคำโตของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกเสมอให้มุ่งช่วยเหลือประชาชนงดเว้นการตอบโต้ทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งได้ แต่ด้วยความไร้ฝีมือของนายกฯ ทำให้ไม่กล้าพูดความจริงกับประชาชน จนสถานการณ์บานปลายเกิดความเสียหายมหาศาล แทนที่จะแก้ปัญหา นายกฯกลับโยนความผิดให้คนอื่น โดยเฉพาะข้าราชการ เช่น ผู้ว่าฯปทุมธานี และกรมชลประทาน ก็ตกเป็นเหยื่อของรัฐบาล

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดง วิจารณ์ทหาร ฝ่ายค้าน เสนอข่าวลือที่ไม่เป็นจริงทำสังคมสับสนให้ประชาชนหลงประเด็น และนายกรัฐมนตรียังไม่กล้าตัดสินใจในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการจัดการพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง ซึ่งจะโทษประชาชนไม่ได้เพราะเขาต้องการอยู่โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่รัฐบาลไม่เคยไปดูแลและไม่พูดชัดเจนถึงการชดเชย ทำให้เกิดเหตุการณ์ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐที่คลองสามวามและคลองประปา 17 จุด ถ้าน้ำประปาใช้ไม่ได้ นายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะอำนาจอยู่ในมือนายกฯแต่กลับปล่อยให้ทุกอย่างบานปลาย

นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจแต่ใช้อำนาจไม่เป็น เช่น การตั้งกรรมการดูแลเปิด-ปิดประตูคลองสามวา เป็นเรื่องน่าแปลกในวิธีบริหาร ที่นายกรัฐมนตรีเป็นคนสร้างปัญหา โดยที่ไม่รู้ผลกระทบแต่ทำตามใจฐานเสียง จากนั้นตั้งกรรมการเป็นแพะรับบาป จากสิ่งที่นายกรัฐมนตรีเป็นคนก่อ ทำให้ไม่มีใครกล้าแนะนำนายกรัฐมนตรี เพราะถ้าเสนอให้ลาออกจะเชื่อหรือไม่ บ้านเมืองคงไม่วิกฤตเท่านี้ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่มีคุณสมบัติ 5 ข้อ คือ ไม่พูดความจริง โยนความผิดให้คนอื่น เบี่ยงเบนความสนใจ ไม่กล้าตัดสินใจ และใช้อำนาจไม่เป็น

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เอกยุทธ อัญชัญบุตร ด่าสาวเหนือ กระทบยิ่งลักษณ์ !!?

เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ด่ายิ่งลักษณ์ “ยายหน้าโง่” หน้าด้านเข้ามารับตำแหน่ง ให้ทบทวนอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง ระบุสาวเหนือไร้การศึกษา ขี้เกียจ ด้อยปัญญา มักทำงานขายบริการ ขณะที่มีผู้ตั้งกลุ่มต่อต้านเอกยุทธในเฟซบุคเรียกร้องให้ออกมาขอโทษ

นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุคว่า “ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี..แต่ในความเป็นจริงนั้น..สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน..หลักๆก็คือขายบริการ..ฉะนั้นสาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ?”

ekayuth
ekayuth2

โดยข้อความดังกล่าวมีผู้มาคลิกไลค์และวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก ซึ่งนายเอกยุทธได้ตอบโต้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า

“ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใคร แต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก้ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..”

ekayuth3
ekayuth4
ekayuth5
ekayuth6

“คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก้ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก้ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก้แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบาย แต่บอกแล้วว่า ผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆ ก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..”

หลังจากนั้น นายเอกยุทธไม่ได้ตอบโต้ความเห็นในสเตตัสเดิม แต่ได้โพสต์สเตตัสใหม่ต่อเนื่องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็นไม่พอใจต่อการโพสต์ข้อความของเขา

“ตำแหน่งนายกฯ นั้น ไม่ใช่ของครอบครัว..และไม่ใช่ที่ฝึกหัดงาน..หากไร้ปัญญาก็อย่าหน้าด้านมารับตำแหน่ง..”

“สื่อถามรัฐบาลและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่าต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศเรื่องน้ำท่วมมั้ย ? คำตอบที่ได้คือ "เราช่วยตัวเอง" ได้...มิน่าถึงได้ยินบ่อยๆว่า"เอาอยู่ค่ะ"

ekayuth7

“รัฐบาล"มาร์ค" ไข่ชั่งโลขาย..แต่รัฐบาล"ปู"..ไข่ใบละ 8 บาท..อย่าไปกังวลมากรัฐบาล"ปูไข่" นั่นเอง...”
“รัฐบาลนี้ถนัดและเก่งอย่างเดียวคือการเป็น "นักกู้ " เริ่มจาก "กู้น้ำท่วม ".."กู้ความมั่นใจนักลงทุน ".." กู้เงิน"...ดีนะที่"ธิลิ้ม" ไม่ได้ร่วมรัฐบาล..ไม่งั้นต้อง "กู้ชาติ "อีกแล้ว....”

ekayuth8

“คนบางกลุ่มงมงายและหลงไหลในคนที่พล่ามและสร้างภาพและต้องตกอยู่ในสภาวะเป็นนักโทษหนีคุก..จะทนไม่ได้และไม่ยอมรับความจริงกับคนที่เอาความจริงมาพูดว่า"โง่แล้วอยากอาสามาทำงาน" เลยพล่านกันไปหมด..”

ทั้งนีเมื่อมีผู้โพสต์ลิงก์ “กลุ่มคนรักภาคเหนือ เรียกร้องให้ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ออกมากราบเท้าสาวเหนือคนเหนือ.....” นายเอกยุทธ์ กล่าวตอบว่า

“ทราบครับ..แต่ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเค้าพยายามพูดถึงนั้น ไม่ตรงกับความหมายที่ผมสื่ออกไป..ตามสบายพวกเค้าครับ..คงเครียดกับ"ความโง่"ของคนที่พวกเค้าคลั่งมากมั่งครับ..”

ekayuth9

“จะอนาถหรือสงสารหรือเวทนาบรรดาสาวกทักษิณดีครับ ? พวกที่เข้ามาในบล๊อคผมและต่อว่าด้วยถ้อยคำที่พวกเสื้อแดงถ่อยๆบางคนใช้นั้น ก็คงไม่ต่างกับคนที่พวกเค้างมงายหรอก..ผมเป็น ปชช.ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้ตระกูลชั่วๆหรือพวกโง่เขลามานั่งเสนอหน้าบริหารประเทศหรอก..อายหมาว่ะ ++++”

ekayuth10

“หากจะมีคนเกลียดผมเพิ่ม 15 ล้านคน เพราะผมว่า"ยัยหน้าโง่" แล้ว ก็ยังสบายใจที่ยังมีอีก 50 ล้านคนที่ไม่ได้เกลียดหรือรัก...”

ekayuth11

สำหรับปฏิกิรยาตอบโต้กรณีที่นายเอกยุทธ์กล่าวพาดพิงผู้หญิงชาวเหนือนั้น ผู้เล่นเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันสร้างเพจ กลุ่มคนรักภาคเหนือ เรียกร้องให้ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ออกมากราบเท้าสาวเหนือ โดยเมื่อเวลา 22.20 มีผู้คลิกไลค์กลุ่มดังกล่าวแล้ว 695 คน โดยเพจดังกล่าวมีการแชร์ประวัติของนายเอกยุทธ์ซึ่งเคยต้องคดีฉ้อโกง และคดีกบฏจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ นายเอกยุทธ์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในอดีตเคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์มีผู้เข้าร้องเรียนกับกองปราบเป็นจำนวนหลายพันคน ทางการประกาศอายัดทรัพย์สินของเอกยุทธ อัญชันบุตร บริษัท ชาร์เตอร์ และผู้ถือหุ้น เพื่อนำออกขายทอดตลาด และต้องคดีกบฏทหารนอกราชการ เมื่อ พ.ศ. 2528 และหลบคดีออกนอกประเทศ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น จอร์จ ตัน และขอลี้ภัยการเมืองที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นจึงย้ายไปนิวยอร์ก และเริ่มทำธุรกิจในตลาดค้าหุ้นวอลล์สตรีท และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีธุรกิจหลักอยู่ในลอนดอน และกัวลาลัมเปอร์

นายเอกยุทธ์เพิ่งจะเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากคดีหมดอายุความแล้วและกลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้งในกลางปี พ.ศ. 2547 เมื่อได้เข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ เพื่อเจรจาทางการเมือง มีการกล่าวหาว่า นายเอกยุทธพยายามจะให้เงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใช้ในการโค่นล้มรัฐบาล แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงข่าวปฏิเสธและว่าไม่ได้รับเงินไว้ จากนั้น นายเอกยุทธได้ร่วมกับกลุ่ม “ประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์” จัดปราศรัยขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นที่ท้องสนามหลวงในเดือนกันยายนปี 2547 แต่มีผู้ร่วมชุมนุมไม่มากนัก จากนั้น นายเอกยุทธจึงได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ วิจารณ์และโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่อยมา และได้เปิดเว็บไซต์ส่วนตัว อีกทั้งในบางครั้งบางช่วงก็ได้วิพากษ์และโจมตี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำผู้หนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

ที่มา:ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รับลูก นายกฯ จีน เฉลิม บุกจี้คดี สังหารโหด ชาวจีน 13 ศพ กลางแม่น้ำโขง !!?

4 ประเทศลุ่มน้ำโขง 'จีน-ไทย-ลาว-พม่า' ได้ข้อสรุปสนธิ กำลัง 4 ชาติลาดตระเวนตลอดลำน้ำโขงป้องกันเหตุร้าย และร่วมมือกันสอบสวนคดี 13 ศพด้วย 'เฉลิม'ขึ้นเชียงรายตามคดีฆ่าลูกเรือ ชี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลของทหาร 9 นาย ไม่เกี่ยวกับสถาบัน ให้ 'ภาณุพงศ์'ประสานผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 3 ดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง เผยจีนไม่ติดใจเรื่องค่าชดเชย ต้องการเพียงหาผู้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น พบข้อมูลโยงแก๊ง 'ไทยใหญ่' ของ 'จาย หน่อคำ' กองกำลังติดอาวุธ เก็บค่าคุ้มครอง และค้ายาใกล้สามเหลี่ยมทองคำ

ความคืบหน้าเหตุฆ่าหมู่ลูกเรือจีน 13 ศพ กลางแม่น้ำโขง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม. ถึงความคืบหน้าที่รัฐบาลจีนเรียกร้องให้ดำเนินการกับทหาร 9 นาย ที่เกี่ยวข้องกับคดีสังหารลูกเรือจีนซึ่งมีรายงานข่าวว่าคดีดังกล่าวอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายค้ายาเสพติด ว่า ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ จะเดินทางไปจ.เชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์ ขณะนี้เรารวบรวมพยานหลักฐานเรียบร้อยและมีความแน่นหนา มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง 9 คน ยืนยันว่าเราทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างระเทศ

เมื่อถามถึงชายชุดดำที่มากับเรือสินค้า ซึ่งหลบหนีไปขึ้นฝั่งประเทศลาวนั้น มีความคืบหน้าอย่างไรว่าเป็นใคร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าทราบแล้วแต่ขอเวลาให้ตรวจสอบในสุดสัปดาห์ก่อนและจะชัดเจนขึ้น

เมื่อถามว่าจะสรุปคดีนี้ได้เมื่อไหร่ รองนายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ค่อนข้างสรุปได้แล้ว และตนลงไปกำกับด้วย มีพยานยืนยันว่าเป็นเรื่องบุคคลไม่เกี่ยวกับสถาบันทหาร ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาของเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี และมอบหมายให้พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธนา ซึ่งมีความใกล้ชิดกับผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 3 ให้ไปประ สานเรื่องนี้และได้รับความร่วมมืออย่างดี ซึ่งกอง ทัพภาค 3 และกองกำลังผาเมืองก็ช่วย แต่มีเด็กซนอยู่ ดังนั้นเมื่อลงไปตรวจสอบจึงจะรู้ว่าบกพร่องผิดพลาดหรือตั้งใจและจะได้ความชัดเจน

"ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำอย่างตรงไปตรงมาแน่ นอน ถ้ารัฐบาลหรือผมบิดเบี้ยวประเทศชาติจะเสียหายยิ่งกว่าคดีซาอุฯหลายร้อยล้านเท่า ส่วนค่าชดเชยทางจีนเขาไม่ติดใจ แต่ติดใจที่การฆ่าครั้งนี้มันโหดร้ายทารุณมาก" รองนายกฯ กล่าว

วันเดียวกันสำนักข่าวซินหัว ประเทศจีน ราย งานว่า จากการหารือร่วมระหว่างประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง 4 ประเทศ ได้แก่ จีน ไทย ลาว และพม่า เพื่อหาแนวทางความร่วมมือกำกับดูแลความปลอดภัยการเดินเรือในลำน้ำโขง หลังเกิดเหตุลูกเรือชาวจีนถูกสังหารไป 13 ราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมานั้น ผลสรุปออกมาว่า ทั้ง 4 ประเทศจะร่วมมือกันบังคับใช้กฎหมายในแม่น้ำโขง

นายเมิ่ง เจี้ยนจู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน กล่าวภายหลังการหารือกับผู้แทนรัฐบาลอีก 3 ประเทศ ได้แก่ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีไทย พล.ท.ดวง ใจ พิจิต รมว.กลาโหมลาว และพล.ท.โกโก รมว.มหาดไทยพม่าว่า เจ้าหน้าที่จากทั้ง 4 ชาติ จะร่วมกันลาดตระเวนบริเวณลำน้ำโขงและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองระหว่างกัน

ในคำแถลงการณ์ร่วม มีเนื้อหาระบุว่าการลักลอบขนยาเสพติดและอาวุธผิดกฎหมาย ดำเนิน การกันผ่านแม่น้ำโขงมานานนับปี นอกจากนี้ยังมีกรณีข่มขู่ ขูดรีด และใช้กำลังจี้ปล้น เกิดขึ้นหลายครั้ง จึงเห็นควรให้ร่วมกันบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็งเพื่อทำลายกลุ่มนอกกฎหมายในพื้นที่ มติครั้งนี้รวมไปถึงความร่วมมือกันสืบสวนเพื่อเปิดเผยความจริงเบื้องหลังคดีสังหารลูกเรือจีนทั้ง 13 ราย ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ รวมไปถึงกำลังพลถ้าจำเป็น

ด้านนายซ่ง ชิงหรัน นักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีน กล่าวว่าความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการทำลายกำแพงเดิมๆ ด้านกรอบความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับพลเรือนที่สัญจรบนแม่น้ำโขงอีกครั้ง และจะเป็นการช่วยในเรื่องของระบบเศรษฐกิจระหว่างจีน กับประเทศต่างๆ บนลุ่มน้ำโขง ด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า จากแหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงหลายฝ่ายระบุตรงกันว่า พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงเขตสามเหลี่ยมทองคำไทย-สปป.ลาว-พม่า ใกล้จุดเกิดเหตุฆ่าหมู่ เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มนายจาย หน่อคำ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวไทยใหญ่ มีพฤติกรรมเรียกเก็บค่าผ่านทางจากเรือสินค้าและค้ายาเสพติดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีเรือสินค้าจีนถูกปล้นหรือยิงทำร้ายซึ่งหลายครั้ง หลายฝ่ายต่างเพ่งเล็งไปที่กลุ่มนี้เป็นสำคัญ แม้แต่ในการประชุมคณะกรรมการประ สานงานชายแดนไทย-พม่า ระดับท้องถิ่นหรือทีบีซี ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.แม่ สาย ทาง พ.ต.หล้าเมียวอู รอง ผบ.กองพันเคลื่อน ที่เร็วที่ 526 เป็นประธานฝ่ายพม่าได้เสนอให้ฝ่ายไทยช่วยติดตามจับกุมเครือข่ายกลุ่มนี้ด้วย เพราะพม่าถือว่าเป็นภัยต่อประเทศพม่าเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังเกิดเหตุลูกเรือจีนถูกฆ่าหมู่และทางการไทยยึดของกลางยาบ้าได้ 920,000 เม็ด ทางกองกำลังผาเมืองคาดการณ์ว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่มนายจาย หน่อคำด้วย ทั้งนี้นายจาย หน่อคำ มีเครือข่ายในฝั่งไทยหลายคนหนึ่งในนั้นคือ นาย น. ซึ่งกำลังหลบหนีการตรวจสอบ และมีความสัมพันธ์รู้จักกับข้าราชการระดับสูงบางคน

ที่ผ่านมาทหารพม่าเข้าปราบปรามกลุ่มนี้และทำลายแพที่พักกลางแม่น้ำโขงของกลุ่มนายจาย หน่อคำ เหนือสามเหลี่ยมทองคำไปแล้ว แต่คาดการณ์กันว่ากลุ่มนี้ยังมีกำลัง 20-30 คน ใช้เรือเร็วเป็นพาหนะ เก็บค่าผ่านทางยาบ้าจากกลุ่มค้ายาบ้าเม็ดละ 3 บาท ค่าผ่านเรือสินค้าครั้งละ 3,000-4,000 บาทเป็นอย่างต่ำ เคลื่อนไหวอยู่แถบเมืองเชียงกกหรือป่าเลียว-เชียงลาบ เรื่อยมาจนถึงเกาะสีดอนเรือง เหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไปเล็กน้อย โดยอาศัยป่าเขาที่อำนาจรัฐของทั้งสองประเทศเข้าไปไม่ถึง

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ช่วยประชาชนก่อนหา ..แพะ !!?

ขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังฝ่าวิกฤติอภิมหาอุทกภัย เผชิญความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเพื่อเอาชีวิตของตน เองและครอบครัวให้รอดพ้นจากพิบัติภัยธรรมชาติ แต่สำหรับ “เกมการเมือง” ที่เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ของบรรดานักการเมืองทั้งหลายกลับมิอาจหยุดนิ่งกับที่ได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำลดอาจถึงคราวตอผุดให้เห็นตำตาจึงจำต้องเตรียมการเช็กบิลหาผู้รับผิดชอบและผู้มีส่วนกระทำผิดพลาดจนเป็นต้นเหตุวิกฤติครั้งนี้

ความเคลื่อนไหวของนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย ที่เปิดประเด็นปัดสวะให้พ้นตัว โยนบาปไปที่ข้าราชการและรัฐบาลชุดก่อน ด้วยความพยายามปล่อยข่าวสร้างความกดดันให้นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน รับผิดชอบเนื่องจากกรม ชลประทานประเมินสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจะเกิดเหตุภัยแล้ง จำต้องเก็บกักน้ำอย่างเต็มที่ ครั้นฝนมาก่อนกำหนดก็ยังพอมีเวลาที่จะพร่องน้ำในเขื่อน แต่กลับไม่ดำเนินการ และหากพิจารณาให้ดีจะพบว่าขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลรักษาการและพรรคชาติไทยพัฒนายังดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้ว่ารัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้บริหารประเทศมาเกือบ 2 เดือนแล้ว ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปี การกล่าวโทษโยนความผิดก็เพียงเพื่อตัดตอนหาแพะรับบาปและทางรอดให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งการกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ภาวะผู้นำของนางสาวยิ่งลักษณ์ลดน้อยถอยลงไปอีก ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ร่วมรัฐบาลอยู่ด้วยก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงอ่อยเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันรับผิดชอบ พร้อมระบุสาเหตุความล้มเหลวว่าเกิดจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) แก้ปัญหาแบบสะเปะสะปะในลักษณะขอไปที ขาดการบูรณาการและสรุปแนวคิดแก้ปัญหาให้ตกผลึกก่อนลงมือทำ โดยเฉพาะความเห็นของนักวิชาการที่ทำให้เกิดความหลากหลายในทางปฏิบัติ

เราเห็นว่า ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญเหตุ วิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ นักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชน สมควรยึดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันขจัดปัญหา บรรเทาวิกฤติ ดีกว่าสาดน้ำลายโยนความผิดให้กัน เพราะน้ำท่วมยังมีวันลด แต่น้ำลายท่วมใจประชาชนไม่มีวันลด ยิ่งทำให้ปัญหาทับถมทวีคูณ อย่าลืมว่า ประชาชนคือผู้ให้กำเนิดนักการเมืองมาโลดแล่นบนถนนแห่งอำนาจและผลประโยชน์ จึงมิควรทำให้ประชาชนสิ้นหวังและเสื่อมศรัทธามากไปกว่านี้.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=173476

ที่มา: เดลินิวส์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////