--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ควายสองขา !!>

เพราะ...เราต้องรักษากรุงเทพให้พ้นน้ำในแต่ละปี ผู้คนในเมืองโดยรอบจึงต้องจมอยู่ในนรกครั้งละหลายๆ เดือนในแต่ละปี

กรุงเทพอยู่ต่ำสุดในประดาเมืองทั้งหลาย...กรุงเทพจึงเป็นหลุมใหญ่ที่น้ำพร้อมจะโถมใส่ กรุงเทพใช้เงินของประเทศไปมากมายหลายแสนล้าน เพื่อจะรักษามันไม่ให้จมน้ำ...และมันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นร้อยเป็นพันปี ตราบเท่าที่ประเทศนี้ยังมีอยู่

ถึงเวลากันสักทีหรือยัง...ที่กรุงเทพจะต้องอยู่ให้ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการเสียสละของใครหน้าไหน...ถึงคราวหรือยังที่วิทยาการสมัยใหม่จะเข้ามามีบทบาทแทนที่ทรายและกระสอบ...ที่หอบกันเข้ามาป้องกันกรุงเทพจากน้ำในแต่ละปี

ทำไม...ผู้รุกล้ำที่ดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องได้รับการปกป้อง...โดยการนำน้ำจำนวนมหาศาลไปจมบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนที่ดินที่ถูกกฎหมายของคนอีกจำนวนหนึ่ง

มันจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่...

ทำไม...เราถึงไม่สร้างถนนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา...เพื่อให้น้ำมันไหลลงสู่ทะเลโดยที่ไม่ต้องไหลบ่าเข้ามาท่วมเมือง...เพราะผู้คนจำนวนหนึ่งไม่ยินยอม...ถอนตัวจากการอยู่อาศัยในบ้านที่ปักเสาลงไปในแม่น้ำ...

ทำไม...เราจึงไม่ยกให้ผู้คนเหล่านั้น...ทิ้งบ้านสลัมริมน้ำขึ้นมาอยู่ในอาคารสูงบนฝั่ง...แล้วทำถนนริมฝั่งเพื่อขังน้ำไว้ในแม่น้ำ...เหมือนอย่างที่เมืองริมแม่น้ำทั้งโลกเขาทำกัน

เราจะขุดคลองอีกพันสาย...เอาน้ำไหลไปสู่ทะเลตะวันออกทะเลตะวันตกได้อย่างไร...ในเมื่อกรุงเทพมันเป็นจุดต่ำสุดบนแม่น้ำสายนี้...มันมีอยู่หรือที่น้ำจะไหลขึ้นไปสู่ที่ที่สูงกว่า...ธรรมชาติเช่นว่ามีอยู่จริงหรือบนโลกใบนี้

ถึงเวลาหรือยัง...ที่ความจำเป็นของชาติจะอยู่เหนือการขัดขืนใดๆ ของ "ควายสองขา"

ถึงเวลาหรือยัง...ที่สติปัญญาจะเข้ามาเป็นผู้แก้ไขปัญหา ไม่ใช่กล้ามเนื้อแขนขาที่ซ้ำซากแก้ปัญหาในทุกๆ ปี

เราจะตามใจ "ควายสองขา" เพื่อจะพากันเป็น "ควายสองขา" กันทั้งแผ่นดิน กระนั้นหรือ

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
****************************************************

ใช้ไฟทะลุ300ล้านค่าใช้จ่ายกทม.ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯปีนี้เดินเครื่องสูบน้ำ24ชั่วโมงน้ำมากทุบสถิติ

รายงานข่าวจากสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า จากการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง สนน.ใช้งานเครื่องสูบเพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ ทั้งจากน้ำฝนและสถานการณ์น้ำเหนือที่มีปริมาณมากเป็นประวัติการณ์ในขณะนี้คาดว่าจะส่งผลให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการเดินเครื่องสูบน้ำทั่วกรุงเพิ่มสูงขึ้น โดยปกติจะมีค่าไฟฟ้าอยู่ที่เดือนละ 21–30 ล้านบาท ตามสถานการณ์ในช่วงเดือนนั้น ๆ ว่ามีปริมาณน้ำฝนตกในพื้นที่มากหรือไม่ ซึ่งจะมีค่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ปีละประมาณเกือบ 300 ล้านบาท โดยค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ไฟมากคือ เครื่องสูบน้ำ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำทั่วกรุงเทพฯ รวม 689 เครื่อง กำลังสูบกว่า 520 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สำหรับอุโมงค์ยักษ์พระราม 9–รามคำแหง ที่เปิดใช้งานแล้วนั้น ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ มีกำลังสูบถึง 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง มีค่ากระแสไฟฟ้าประมาณ 500,000 บาทต่อวัน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ ที่นอกจากการเร่งระบายน้ำฝนที่ขังอยู่ตามผิวการจราจรและจุดอ่อนน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว ในภาวะน้ำเหนือปริมาณมากที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้ต้องเดินระบบการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องโดยสถานีสูบน้ำหลักต้องเดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเร่งระบายน้ำช่วยบรรเทาปริมาณน้ำที่ท่วมขังอยู่ในจังหวัดตอนบนของกรุงเทพฯ รวมทั้งรักษาระดับน้ำในคลองเพื่อรองรับกรณีฝนตกในพื้นที่ด้วย สำหรับสถิติปริมาณน้ำฝนที่ตกในกรุงเทพฯ ขณะนี้พบว่ามีปริมาณสูงกว่าค่าเฉลี่ยฝน 20 ปีซึ่งอยู่ที่ 1,458 มิลลิเมตร โดยในปีนี้ปริมาณฝนถึงแค่กลางเดือนต.ค. ฝนตกมาแล้วกว่า 2,130 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ยคิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ โดยปริมาณฝนมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 ปริมาณฝน 1,910 มิลลิเมตร ปี 2553 ปริมาณฝนอยู่ที่ 1,995 มิลลิเมตร ส่วนปริมาณน้ำเหนือ ที่ขณะนี้ ปริมาณน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 อยู่ที่ 4,430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำที่เขื่อนปล่อยลงมาก็คาดว่าจะมีปริมาณสูงต่อเนื่องเป็นช่วงระยะเวลานานกว่าทุกปีเนื่องจากยังมีน้ำจำนวนมากที่ต้องเร่งระบายสู่ด้านล่าง.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=354&contentId=170200

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิคมฯ บางปะอิน.จมน้ำ คาดเสียหายหนัก !!?




น้ำทะลักท่วมนิคม'บางปะอิน'สูงกว่า 1 เมตร คาดมูลค่าความเสียหายหนัก เหตุมีโรงงานไฮเทคระดับโลก สั่งป้อง'นวนคร-บางกะดี'เหตุติดกลุ่มเสี่ยง

แม้เจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายพลเรือนจะพยายามป้องนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา อย่างเต็มกำลังตลอด 2 วันที่ผ่านมาก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทัดทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงทลายกำแพงดินทะลักเข้าไปในนิคมฯ เป็นแห่งที่ 4 แล้วเมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยกระแสน้ำที่ได้ท่วมขังบริเวณรอบๆ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มปริมาณสูงขึ้นและไหลทะลักเข้าไปภายในนิคมฯ เมื่อกลางดึกวันที่ 14 ต.ค.บริเวณคันกั้นน้ำฝั่งตะวันออกกว้าง 5 เมตร จำนวน 2 จุด ทำให้น้ำท่วมทันทีสูง 1 เมตร จึงต้องตัดกระแสไฟฟ้าและใช้เครื่องปั่นไฟเพื่อส่องสว่างให้เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่ซ่อมรอยรั่ว ขณะที่เจ้าหน้าที่นิคมฯ และโรงงานต่างๆ ได้เร่งขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ออก

น้ำทะลักนิคมฯ บางปะอินจม

นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่นิคมฯ บางปะอินน้ำได้ทะลักเข้าไปภายในนิคมฯ ด้านหน้าผ่านแนวคันดินที่พังทลายลงกว้างกว่า 40 เมตร ทางทิศใต้ 80 เมตร ทำให้มีน้ำท่วมขังกว่า 4 เมตร ส่วนน้ำบริเวณนอกนิคมฯ สูง 5.85 เมตร ล่าสุดได้นำดินและหินเข้ามาอุดรอยรั่วและเร่งซ่อมแซมรอยปริแนวเขื่อนกั้นน้ำด้านหลังนิคมฯ

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมนิคมฯ บ้านหว้า (ไฮเทค) น้ำเข้าท่วม 5 เมตร แต่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยังไม่ยอมแพ้พยายามทำการกู้ อยู่ "ได้สั่งให้ทุกนิคมฯ ที่ถูกน้ำท่วมนำสารเคมีที่เป็นอันตรายไปเก็บไว้นอกนิคมฯ แล้ว มีเพียงบางส่วนที่ยังอยู่ในโรงงาน แต่ก็ได้ผนึกไว้แน่นหนา และนำไปเก็บบนชั้นดาดฟ้าจุดที่สูงสุด มั่นใจในความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ส่วนที่กรณีเจ้าของโรงงานชาวญี่ปุ่น ได้ใช้เทียนไขส่องสว่างขณะที่เข้าไปตรวจภายในโรงงานแล้วเกิดการทำปฏิกิริยากับสารละลายจำพวกกาวที่ใช้ในการพิมพ์ ที่เป็นวัตถุไวไฟจึงเกิดไฟลุกไหม้ แต่ก็ไม่ได้เสียหายใดๆ" นายณัฐพล กล่าว

ห่วงนวนคร-บางกะดีคิวต่อไป

นายณัฐพล กล่าวว่า นิคมฯ ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือเขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร และบางกะดี เนื่องจากนวนครอยู่ไม่ห่างจากนิคมฯ บางปะอิน และอยู่ในแนวน้ำไหลผ่าน ห่างจากแม่น้ำเพียง 7 กม. ซึ่งน้ำภายนอกนิคมฯ มีความสูงต่ำกว่าแนวสันเขื่อนเพียง 50 เซนติเมตร แต่ได้เสริมแนวคันดินเพิ่มอีก 50 เซนติเมตร ทำให้แนวคันดินกั้นน้ำมีความสูง 5 เมตร นิคมฯ แห่งนี้เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญ มีโรงงาน 227 โรง มีการลงทุน 40,000 ล้านบาท และมีแรงงาน 120,000 คน

วรรณรัตน์สั่งปกป้อง

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2554 เวลา 18.30 น.น้ำได้เข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เต็มพื้นที่และบางจุดน้ำมีความสูง 2 เมตร ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พยายามป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามากขึ้น โดยจะเสริมคันดินให้แข็งแรงมากขึ้นด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเสริม และนำกระสอบทรายมาเสริมอีกชั้น เชื่อว่าวิธีนี้จะป้องกันความแรงของแรงดันน้ำได้ และจะสูบน้ำออกจากนิคม

ทั้งนี้ นิคมบางปะอิน มีโรงงาน 90 แห่ง ในพื้นที่ 1,962 ไร่ มีมูลค่าลงทุน 60,000 ล้านบาท และการจ้างงาน 60,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกิจการของนักลงทุนญี่ปุ่น 38.89% สหรัฐ 14.81% มาเลเซีย 12.96% เป็นต้น โดยกลุ่มที่มีการลงทุนสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยนต์ เครื่องนุ่งห่ม

สำหรับนิคมบ้านหว้า (ไฮเทค) มีรอยรั่วของคันดินทิศใต้ 80 เมตร ซึ่งน้ำในนิคมฯ ไหลออกจากนิคมฯ ทางจุดนี้ก็จะปล่อยให้น้ำไหลออกไป และมีรอยรั่วของคันดินที่ทิศตะวันออก 40 เมตร ก็จะรอให้น้ำนิ่งแล้วใช้แผ่นเหล็กเข้าไปเสริมคันดินให้แข็งแรง และถ้าอุดรอยรั่วตรงนี้ได้ก็จะสูบน้ำออกจากนิคมฯ
ส่วนสวนอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี ได้ประสานให้ผู้ประกอบการเสริมคันดินทั้ง 4 ด้าน ขึ้น 1.5 เมตร โดยได้ตรวจสอบทิศทางการไหลของน้ำพบว่ามีน้ำไหลจากทิศเหนือไปทิศใต้ ซึ่งเป็นน้ำจากพระนครศรีอยุธยาก็จะป้องกันส่วนที่ปะทะน้ำให้ดี เพราะน้ำจากเจ้าพระยายังมาไม่ถึง เพราะมีทางรถไฟกั้น สถานการณ์ปัจจุบันยังดูแลสวนอุตสาหกรรมโรจนะได้

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุตุเผยไทยตอนบนฝนยังหนัก !!?

อุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศประจำวันี้ 16ต.ค. ว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกของประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักได้บางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ระวังอันตรายจากสภาวะฝนที่ตกหนักอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากได้ในระยะนี้

อนึ่ง ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่เข้าปกคลุมประเทศเวียดนามและลาวแล้ว คาดว่าจะแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันนี้(16ต.ค.) ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร แพร่ และน่าน อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดชัยภูมิ กาฬสินธ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดอุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กทม.-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ที่มา:เนชั่น
///////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปลือยใจ ปลอดประสพ. ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า..!!?


เปลือยใจ ปลอดประสพ "ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า.."

ทำชาวบ้านตกอกตกใจ อลเวง-อลม่าน กันเล็กน้อยเมื่อทีวีถ่ายทอดสดออกอากาศประกาศเตือน ให้ประชาชนเตรียมอพยพด่วนใน 7 ชั่วโมง หลังรัฐบาลไม่สามารถคุมประตูระบายน้ำบ้านคลองพร้าวที่เสียหายได้ แต่อีกไม่กี่อึดใจถัดมากลับได้ฟังแถลงใหม่อีกครั้งว่า สามารถควมคุมน้ำได้ สร้างความสับสนงงงวยแก่ชาวกรุงในนาทีเป็นนาทีตาย เฝ้าระวังน้ำท่วมอย่างใจจดใจจ่อในเวลานี้....

ภายหลัง นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะหัวหน้าศูนย์ตรวจสอบ พื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม(ศปภ.) ออกอากาศยิงสดทีวีเมื่อหัวค่ำวันที่ 13 ต.ค. สร้างความตระหนกต่อคนที่อยู่ในพื้นที่ รังสิต-เชียงรากน้อย-สายไหม ไม่น้อย โดยภายหลังแถลงประกาศเตือนกลับมีคนใน ศปภ. ออกมาบลัฟข้อมูลกันเองโดยยืนยันว่าไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดอพยพผู้คนแต่อย่างใด

ไทยรัฐ ออนไลน์ มีโอกาสสัมภาษณ์นายปลอดประสพ ว่าอะไรและเหตุใดจึงตัดสินใจแถลงเช่นนั้น ในนาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน ที่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่...
“ถ้า ผมไม่พูดวันนี้จะมีคนมาเยอะมั้ย ถ้าผมไม่พูดทหารจะมากันเยอะมั้ย และถ้าผมไม่พูดวันนี้ มันจะคงจะพังไปหมดแล้วมั้ย แต่ไม่เป็นไร ที่เราพูดไปก็เพราะหวังดี ไม่น้อยใจ ผมแก่แล้ว และผมก็รักษาชีวิตคนไว้ได้...”


นายปลอดประสพ เล่าให้กับไทยรัฐออนไลน์ฟังถึงเหตุผลที่ต้องประกาศไปก็เพราะว่า ประตูระบายน้ำคลองบ้านพร้าวนั้น เพราะผมเป็นคนไปเห็นปัญหามาได้ 2-3 วันก่อนที่จะแถลงแล้ว แต่ว่าเมื่อวานสถานการณ์มันเลวร้ายที่สุด แตกยาว และบริษัทที่เข้าไปทำก็ถอนตัวออกมา เหลืออยู่แค่รถของนายก อบจ. และรถลูกน้องเขาเพียง10 กว่าคน และน้ำก็ไหลทะลักเข้ามาเยอะมาก ผมเห็นว่าทั้งคืนก็ยังไม่ได้ทำ น้ำก็ไหลลงมา เห็นมาแล้วก่อนหน้านั้นอีก รวมวันนี้(13 ต.ค.)ก็เข้าวันที่ 4 แล้ว และก็บังเอิญวิม (นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกศปภ.) เขาก็เดินมาบอกผม บอกว่าพี่ๆเขาแจ้งมาว่ามันแตกแล้ว ผมรู้มานานแล้วแต่ไม่พูด รู้กันแค่กับทหารเท่านั้น

เมื่อถามว่า นายวิม เขารู้ได้อย่างไรว่ากั้นน้ำแตก นายปลอดประสพ กล่าวว่า วิมเขามีคนแจ้งเขาแล้วมาบอกว่ามันแตก สุดท้ายก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะแจ้งข่าวให้ประชาชนได้ทราบ ก็เลยรีบชวนกันมาออกบอกกับสื่อและประชาชน แต่วิมเขาไม่ได้เห็น จุดประสงค์ของผมก็คือว่าเขื่อนมันแตก อยากจะมาเตือนและบอกความจริงกับประชาชน เพราะเขื่อนกันน้ำ มันแตกแล้ว และน้ำก็ไหลมาเยอะแยะ มีคนซ่อมอยู่เพียงนิดหน่อย มันก็ไหลและไม่ว่าจะไหลไปทางไหนน้ำมันก็ท่วมทั้งนั้น
“ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า…..”

ส่วน ใครอยู่ที่ในที่ต่ำก็ให้เก็บข้าวของออกมาในที่สูง มีรถก็นำขึ้นที่สูง บ้านชั้นสองก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าบ้านชั้นเดียวแล้วยกสูงหน่อยก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ก็นั่นแหละที่ผมบอกเพราะผมเห็นชีวิตคนน่ะสำคัญไม่เสี่ยง เมื่อถามว่า เป็นการพูดผิดหรือแถลงผิดไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตดีกว่า ถ้าผมไม่พูดแล้วเกิดความเสียหายขึ้นมานั่นมันก็ไม่ถูก ผมบอกไปเท่านั้นเอง แต่บังเอิญมีคนถามขึ้นมาเท่านั้นว่าถ้าเขามาแล้วจะอยู่ที่ไหน ผมก็เลยบอกไปว่าดอนเมืองแล้วกัน แล้วถามว่าเมื่อไหร่ ผมก็บอกไปเลยว่ามาเลยใน 7 ชั่วโมง ผมก็บอกไปอย่างไม่ระวังตัวเองเท่าไหร่หรอก ในเมืองนอกเขาก็ไม่มีใครเอาชีวิตคนไปเสี่ยงหรอกครับ สถานการณ์ในวันนี้ ผมก็อยู่ด้วยทั้งวัน มีรถตักดินมา 3 คัน มีของคุณขวัญชัย ไพรพนา ส่งมาช่วยจากอุดร และมีอีกคันหนึ่งของที่มีอยู่เดิม

และวันนี้มีทหาร มาเยอะ มาทำแนวคันดิน ถ้าผมไม่พูดวันนี้จะมีคนมาเยอะมั้ย ถ้าผมไม่พูดทหารจะมากันเยอะมั้ย และถ้าผมไม่พูดวันนี้ มันจะคงจะพังไปหมดแล้วมั้ย แต่ไม่เป็นไร ที่เราพูดไปก็เพราะหวังดี ไม่น้อยใจ ผมแก่แล้ว และผมก็รักษาชีวิตคนไว้ได้ ผมกลับภูมิใจเสียอีก บวกลบคูณหารแล้วผมรักษาชีวิตคนได้แล้วถูกด่านิดหน่อย ผม ถูกด่าก็ไม่เป็นไร แต่ก็มีคนส่งเอสเอ็มเอสมาให้กำลังใจผมเช่นกัน ไม่ชอบ อยากด่าก็เชิญ ด่าแล้วสบายใจหายเครียดก็เชิญ ผมรับได้ ยืนยันว่าที่ผมทำหน้าที่เพราะหวังดี ที่ทำไปเพราะเห็นคุณค่าชีวิตคน ความจริงถ้าเป็นเมืองนอก เตือนพลาดก็ไม่เป็นไร ดีกว่าปล่อยให้คนตาย ก็อย่างที่คุณวิมเดินมาเตือนครั้งที่แล้วคุณก็ได้ยินแล้วนี่ เชิญคนอื่นแล้วกัน ผมขอทำหน้าที่ตามที่ถนัดในเรื่องเทคนิคของผมดีกว่า
“จริงๆเจ้าของเรื่องคือกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ผมนี่ยุ่งไปเองแท้ๆ....”

เมื่อถามว่าคนมองว่าเกิดความขัดแย้งกันเรื่องข้อมูลภายในศปภ. นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมรู้สึกเฉยๆไม่มีอะไร ไม่มีภาระและผมก็ชัดเจน ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายที่จะไม่ไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ของผม ปลอดประสพไม่เอาอีกแล้ว เปลืองตัว ตอนนี้ผมก็ทำเรื่องผันน้ำหลัก 3 สาย ท่าจีน บางปะกง เจ้าพระยา และก็ดูแลแทนท่านนายกฯในการประสานงานในการระบายน้ำออก มาดูแลตรวจว่าทำตรงไหนบ้าง ผมไม่เข็ดหรอก ผมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ถ้าผมไม่ทำผมก็แย่แล้ว ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้าผมไม่พูดจริงๆก็ไม่รู้จะทำได้หรอไม่ ผมขี้เกียจพูดแล้ว ถ้าให้ไปแถลงอีกก็ไม่เอา ขี้เกียจ เบื่อ ไม่ถูกตำหนิอะไร คนที่เป็นรัฐมนตรีเท่าๆกันจะมาตำหนิอะไรผม ถามว่าเท่ากันหรือเปล่า? ผู้บังคับบัญชาผมคือนายกฯคนเดียว ไม่ว่าใครทั้งนั้นก็เป็นรัฐมนตรีเท่าๆกัน ใครจะมาตำหนิผม ท่านเข้าใจผมนะว่าหวังดีกับส่วนรวม


ถึงตอนนี้ก็ยัง ไม่มีใครกล้าบอกนะว่าประตูน้ำคลองบ้านพร้าว ก็ยังไม่เสร็จ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ไม่รู้สิ คุณก็ไปบอกเองสิ ต้องไปดูเองและเขียนเอง ผมไม่บอกแล้ว ผมเห็นว่ามีอีกหลายประตูแต่จำไม่ได้จริงๆที่ยังไม่เสร็จ ไอ้นี่ผมแค้ไปดูแล้วเห็นโดยบังเอิญ เป็นห่วงก็เลยติดตาม จริงๆเจ้าของเรื่องคือกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ผมนี่ยุ่งไปเองแท้ๆ เมื่อถามว่าแล้วทำไมศปภ.บอกรายงานไม่ครบ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ไม่รู้ เสร็จไม่เสร็จคุณต้องไปดูเอง ผมก็ไม่อยากมีอำนาจ ไม่จำเป็น ไม่อย่าล้วงลูกคนอื่น สังคมไทยละเอียดอ่อน ผมเอานิสัยฝรั่งมาใช้เยอะ ผมก็รู้เรื่องทรัพยากรเยอะ และสิ่งแวดล้อมก็รู้เยอะ แล้วที่ผ่านมาจากวันที่แถลงเมื่อวนก่อนมันเป็นจริงมั้ยละ

ส่วน กรุงเทพน้ำจะท่วมมั้ย นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น คืองี้ที่เราคุยกันรอบๆกรุงเทพคงจะท่วมบ้าง ทั้งภาคตะวันออกและตะวันตก แต่กรุงเทพชั้นในก็คงจะปลอดภัยสัก 90 เปอร์เซ็นต์ แต่รอบๆชานเมือง ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและชานเมืองก็มีบ้าง แต่อย่างไรก็ไม่ท่วมกรุง

*** สำหรับประวัติของนายปลอดประสพ สุรัสวดี นั้นไม่ธรรมดา ดีกรีปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการประมง ม.เกษตรศาสตร์ - ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีการประมง ม.แม่โจ้ - ปริญญาเอก สาขานิเวศวิทยาแค่ 2 ปี 7 เดือน คนแรกและคนเดียวของ Mantoba University ประเทศแคนาดา - ปริญญาโท การบริหารการประมง มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท Oregon State University ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนประสบการณ์ทำงานนั้นเคยดำรง ตำแหน่ง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม,เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม,รองปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เมษายน,อธิบดีกรมประมง


...เรียก ได้ว่าเป็นกูรูและเติบโตมาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติการจัดการโดยแท้จริง ในสายงานอาชีพของตนเอง เมื่อคนเชี่ยวชาญและผ่านงานโดยตรงกล้าออกมาเตือนดังๆ สังคมก็ควรจะรับฟังและวิเคราะห์ประกอบตามด้วย จึงจะเหมาะในสถานการณ์ที่ช่วยอะไรได้ก็ควรช่วยกันดีกว่ามาจ้องเตะตัดขา กันเองในเวลาแบบนี้.

ไทยรัฐออนไลน์

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/209407

ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

นิวยอร์กไทมส์: น้ำท่วมไทยเกิดจากฝีมือมนุษย์ !!?

แปลและเรียบเรียงจาก: As Thailand Floods Spread, Experts Blame Officials, Not Rains.
โดย: Seth Mydans

เซธ เมย์เดนส์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติของไทย ชี้อุทกภัยที่เกิดขึ้นและลามไปหลายพื้นที่ในเวลานี้ ไม่ได้มาจากปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ หากแต่เป็นเพราะการวางแผนการจัดการน้ำและผังเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพ

กรุงเทพ - ท่ามกลางอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย ที่ส่งผลให้จังหวัดต่างๆ และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงโบราณสถานกลายเป็นเมืองบาดาลอยู่ใต้น้ำ ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการน้ำชี้ว่า สาเหตุของหายนะครั้งนี้ เป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปัจจัยหลักๆ ของอุทกภัยในครั้งนี้ คือการตัดไม้ทำลายป่า การปลูกสิ่งก่อสร้างที่มากเกินไปในเขตพื้นที่รับน้ำ การสร้างเขื่อนและการหันเหธารน้ำธรรมชาติ การเจริญเติบโตของเมืองที่กระจัดกระจาย รวมถึงคูคลองในเมืองที่เริ่มอุดตันและการขาดการวางแผน เขาชี้ว่า เขาเคยเตือนทางการไปแล้วหลายครั้งในเรื่องนี้ หากแต่ก็ไม่มีผล

“ผมได้พยายามจะบอกทางการไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่เขาบอกผมว่าผมน่ะบ้าไปเอง” ดร. สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ซึ่งโด่งดังจากการคาดการณ์ภัยพิบัติสึนามิหลายปีก่อนที่คลื่นยักษ์จะเข้าถล่มชายฝั่งในพ.ศ. 2547

ฤดูพายุร้อนในปีนี้ นำหายนะมาสู่กัมพูชา ฟิลลิปินส์ เวียดนามและไทย ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 283 คน

ในฟิลิปปินส์ มีหลายพันคนที่ต้องอพยพเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นที่เข้าถล่มประเทศ ส่วนนาข้าวขั้นบันไดขนาfใหญ่ที่เมืองบานาวของฟิลลิปินส์ ก็ถูกโคลนถล่มทำลายเสียหายย่อยยับ

เช่นเดียวกับในกัมพูชา มีรายงานว่าที่กรุงเสียมราฐ เมืองหลวงของกัมพูชา ระดับน้ำก็สูงขึ้นมาระดับเข่า และกระแสน้ำเริ่มท่วมนครวัดแล้ว

ทางการไทยได้แจ้งเตือนว่า ในไม่อีกกี่วันนี้ กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมด้วยน้ำหลากจากภาคเหนือ น้ำหนุนและน้ำฝนจากพายุฤดูร้อน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ก็ได้เริ่มขนกระสอบทรายมากั้นไว้เพื่อเตรียมความพร้อม และกว้านซื้ออาหารแห้ง น้ำดืม แบตเตอรี่ และเทียนไขมากักตุน

ส่วนการเตรียมการในกรุงเทพฯ ก็เป็นที่วุ่นวายมากทีเดียว กระสอบทรายเรียงรายกันยาวกว่า 45 ไมล์ ถูกวางกั้นตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนแนวกั้นนำและคูคลองก็กำลังสร้างขึ้นมารองรับกระแสน้ำ และประชาชนก็ได้รับคำเตือนจากทางการให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

ในขณะที่น้ำไหลบ่าลงจากทิศใต้จากจังหวัดนครสวรรคและอยุธยา ทำให้โบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ สื่อท้องถิ่นรายงานว่าทหารก็ได้เตรียมขนย้ายกระสอบทรายกว่า 150,000 ถุง ไล่ลงตามกระแสน้ำจากที่ที่ประสบความเสียหายแห่งหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีความเสี่ยงต่อไป

ในขณะที่รัฐบาลพยายามปกป้องพื้นที่ในตัวเมืองและพื้นที่อุตสาหกรรมโดยการหันเหน้ำไปทางอื่นเท่าที่จะทำได้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องเผชิญกับการตัดสินใจว่าจะเลือกช่วยเมืองไหน และเมืองไหนที่จะต้องเสียสละ

ในอยุธยา มีรายงานว่ามีชาวบ้านสองกลุ่มที่เกิดการทะเลาะวิวาทเรื่องทำนบที่กั้นน้ำจากฝั่งหนึ่ง ไม่ให้ไหลเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง ชาวบ้านฝั่งที่โชคร้ายรับน้ำท่วมเกิดความไม่พอใจ ได้ขุดรูตรงคันกั้นน้ำเพื่อปล่อยน้ำให้ไหลไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จึงเกิดการยิงต่อสู้กัน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ ยังมีรายงานว่า ทหารได้ถูกส่งไปยังคันกั้นน้ำในบริเวณต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังคันกั้นน้ำด้วย

เอวา นาร์คีวิกซ์ ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารองค์กร Elephantstay ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรที่ดูแลช้างสูงอายุ ให้ข้อมูลว่า มีช้างราว 15 ตัวในอยุธยาที่ถูกปล่อยเกาะ โดยพวกมันหนีเอาตัวรอดโดยการปีนขึ้นหนีน้ำบนกำแพงยอดสูง ช้างโขลงนั้นประกอบด้วยแม่ช้างเจ็ดตัว และลูกๆของมัน ในจำนวนนั้น ยังรวมถึงช้างอายุ 9 ปีตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยทักษะการวาดภาพด้วยงวง

“ถ้าหากความช่วยเหลือที่เหมาะสมยังไม่มาถึงเร็วๆ นี้ แม่และลูกช้างจะอยู่ในอยู่ในอันตรายมาก” นาร์คีวิกซ์กล่าว เธอเสริมว่า ช้างแต่ละตัวบริโภคอาหารมากถึง 440 ปอนด์ (ราว 200 กิโลกรัม) ต่อวัน แต่เรือที่อาจใช้ขนส่งกล้วย สับปะรดและอ้อย จำเป็นต้องกู้ภัยและช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ

นายสมิทธ นักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ถูกทำให้เลวร้ายกว่าเดิม เป็นเพราะแผนการจัดการน้ำที่ไม่ดี

“พวกเขาคำนวณระดับน้ำผิดไป และไม่ได้ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนให้เร็วพอในฤดูฝน” เขากล่าว “และตอนนี้ระดับน้ำในเขื่อนก็เกือบจะเต็มหมดแล้ว พอเมื่อเขาปล่อยน้ำในเวลานี้ น้ำก็ไหลลงมายังพื้นที่ราบต่ำ”

เขากล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นอุปสรรคต่อกระแสการไหลของน้ำ เนื่องจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายยังคงดำเนินการการปลูกสร้างต่อไปไม่หยุดหย่อน

“พวกเขาสร้างอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ที่ควรจะเป็นอ่างเก็บน้ำ” เขากล่าว “และเมื่อพวกเขาสร้างเขื่อนหรือทำนบกั้นน้ำตรงนั้นขึ้นมา มันก็จะปิดกั้นการไหลของกระแสน้ำ ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นทางผ่านของน้ำในฤดูฝน”

เมื่อกระแสน้ำท่วมไหลบ่าเข้ามายังกรุงเทพฯ มันก็จะไหลเข้ามายังมหานครที่สูญเสียปราการกั้นน้ำตามธรรมชาติไปแล้ว กล่าวคือ คูคลองต่างๆ ที่ควรจะรองรับน้ำ ได้อุดตันไปด้วยเศษขยะต่างๆ ที่มาพร้อมกับประชากรที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นในเมือง

“การวางผังเมืองของเรานั้นไร้ประสิทธิภาพ” นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

“ฤดูกาลมิได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่หรอก” เขากล่าว “เรามักจะมีน้ำเยอะมากเป็นพิเศษในฤดูฝน แต่ถ้าหากเรายังไม่มีแผนการจัดการน้ำที่ดี เราก็จะเผชิญกับปัญหานี้อีกในปีหน้า”

เขากล่าวต่อว่า มนุษย์และธรรมชาติเริ่มขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ และการอยู่ร่วมกันก็กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อย “นี่เป็นสัญญานที่เตือนให้เรารู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะอนุรักษ์ผืนป่า... เราทำลายธรรมชาติไปมากพอแล้ว และตอนนี้ ก็เสมือนว่าเป็นเวลาที่ธรรมชาติจะขอเอาคืน”

ที่มา:แปลและเรียบเรียงจาก Seth Mydans. As Thailand Floods Spread, Experts Blame Officials, Not Rains. New York Times. 13/10/54
http://www.nytimes.com/2011/10/14/world/asia/a-natural-disaster-in-thailand-guided-by-human-hand.html

หมายเหตุ: ประชาไทได้แก้ไขข้อความและสำนวนตามคำท้วงติงจากผู้อ่านเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 54 เวลา 7.50 น.

////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นักธุรกิจยุ่นยันไม่ทิ้งไทย

ห้างค้าปลีกจำกัดซื้อบะหมี่-อาหารกระป๋อง-น้ำดื่มไม่เกินคนละ6ชิ้น

หวั่นคนไทยตื่นแห่กักตุนหวั่นวิกฤติอุทกภัยยาว ขณะที่เอกชนเต้นรายงานตลท.ทยอยปิดกิจการหนี “พาณิชย์” ลั่นห้ามฉวยโอกาสขายสินค้าเกินราคา ขู่เจอคุก 7 ปี ด้านหอการค้าเผยเสียหายกว่า 1.5 แสนล้านบาท แนะเบรกประชานิยมผันงบช่วยน้ำท่วมแทน ญี่ปุ่นย้ำไม่เผ่นหนีไทย โต้งเรียกถกกรรมการฟื้นฟู 17 ต.ค.นี้

ห้างค้าปลีกจำกัดซื้อเสบียง

บรรยากาศภายในห้างค้าปลีกต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังมีประชาชนจำนวนมากแห่เข้าไปซื้อสินค้ากักตุนไว้ ทำให้สินค้ากลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง อาหารกระป๋อง และน้ำดื่มไม่มีวางขาย ขณะเดียวกันยังได้จำกัดการซื้อที่ 6 ชิ้นต่อครอบครัว โดยติดป้ายประกาศไว้ชัดเจนว่าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งห้างค้าปลีกบิ๊กซีและท็อปส์ เนื่องจากโรงงานผลิตสินค้าได้ไม่ทันกับความต้องการและยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ขนส่งสินค้าไม่สะดวก ที่สำคัญยังมีโรงงานบางแห่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ขณะที่ห้างบางสาขาไม่มีสินค้าดังกล่าววางจำหน่ายแล้ว

น้ำท่วมยาวสต๊อกน้ำดื่มหมด

ด้านนายเพิ่มศักดิ์ ยิ้มดี ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ทีทีซี น้ำดื่มสยาม จำกัด ผู้ผลิตน้ำดื่มตรา สยาม และผู้รับจ้างผลิตน้ำดื่มรายใหญ่ (โออีเอ็ม) รายใหญ่สุดของประเทศ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้สั่งหยุดผลิตน้ำดื่มทั้งหมด ทั้งเป็นแบรนด์ของบริษัทและที่รับจ้างผลิตน้ำดื่มให้แบรนด์ต่าง ๆ กว่า 100 แบรนด์ เพราะโรงงานผลิตน้ำดื่ม ที่ตั้งอยู่ที่ ต.เชียงรากน้อย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤติ แต่มั่นใจสต๊อกน้ำดื่มที่มีอยู่จะเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามถ้าสถานการณ์ยังแย่อยู่ต่อเนื่อง อาจเกิดการขาดแคลนน้ำดื่มได้

กกร.ส่งฉก.จับกักตุนสินค้า

วันเดียวกันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ทยอยรายงานผลกระทบจากภัยน้ำท่วมต่อตลท. อย่างต่อเนื่อง บางแห่งที่มีโรงงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ในจ.พระนครศรีอยุธยา ได้แจ้งว่าได้หยุดผลิตเป็นการชั่วคราว ขณะที่โรงงานในนิคมฯอื่นได้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า มอบหมายให้กรมการค้าภายในเร่งออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ห้ามให้ผู้ประกอบการฉกฉวยโอกาสกักตุนสินค้าและจำหน่ายสินค้าสูงเกิน หรือปฏิเสธการจำหน่าย หรือไม่นำสินค้าออกมาจำหน่ายหรือเสนอขายตามปกติ โดยไม่มีเหตุอันสมควร และสั่งให้ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายให้ชัดเจน หากกระทำผิดมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หากประชาชนพบเห็นสามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วน กรมการค้าภายใน 1569 และยังได้จัดชุดสายตรวจเฉพาะกิจ 15 สาย ออกตรวจสอบราคาสินค้าด้วย

ถก กก.ฟื้นฟู 17 ต.ค.นี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ จะเรียกประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจเพื่อรวบรวมข้อมูลความเสียหายทั้งหมดโดยยอมรับว่าความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้มีมากกว่า 1 แสนล้านบาท หรือมากกว่า 1% ของจีดีพีประเทศ แต่สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ยังไม่นิ่ง ซึ่งทำให้ประเมินความเสียหายและกำหนดแผนช่วยเหลือทำได้ยาก แต่ต้องอยู่ในกรอบวินัยการคลัง โดยอาจออกมาตรการช่วยเหลือบางอย่าง ซึ่งการใช้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด โดยจะเน้นหาวิธีอื่นควบคู่ เพื่อทำให้เอกชนสามารถฟื้นฟูกิจการโดยเร็ว

เศรษฐกิจเจ๊งเพิ่ม1.5แสนล้าน

ที่หอการค้าไทย ถนนราชบพิธ เวลา 11.00 น. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจความเสียหายจากอุทกภัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-12 ต.ค. 54 มีความเสียหายเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วอีก 40,000-50,000 ล้านบาท จาก 1.04 แสนล้านบาท เป็น 1.5 แสนล้านบาท และส่งผลกระทบต่ออัตราเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีจาก 0.8-1.0% เป็น1.3-1.5% แบ่งเป็นผลกระทบต่อบ้านเรือน 3,400 ล้านบาท สาธารณสมบัติ 11,000 ล้านบาท การเกษตร 68,000 ล้านบาท อุตสาหกรรม 50,000 ล้านบาท ท่องเที่ยว 8,200 ล้านบาท การค้า 12,347 ล้านบาท และอื่น ๆ 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้พื้นที่การเกษตรสำคัญ นาข้าวได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านไร่ เป็น 8 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวเปลือกเสียหายเพิ่มจาก 3.5 ล้านตัน เป็น 5-6 ล้านตัน ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรหายไปถึง 60,000 ล้านบาท

หวั่นจีดีพีหดบี้ธปท.หั่นดอก

“ภาพความเสียหายจากน้ำท่วมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้จีดีพีไทยปีนี้จะเหลือขยายตัวเพียง 3-3.5% จากเดิมคาดว่า 3.6% แต่หากไม่คลี่คลายในเร็ว ๆ นี้ จะทำให้จีดีพีปีนี้เหลือเพียง 2-2.5% เท่านั้น ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 19 ต.ค.นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ประคองตัวไปได้ ไม่เช่นนั้นจีดีพีไทยปีหน้าอาจขยายตัวไม่ถึง 4-4.5%” นายธนวรรธน์กล่าว

เบรกประชานิยมเพิ่มงบน้ำท่วม

นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังน้ำท่วม เพราะการแบ่งงบประมาณแต่ละกระทรวงออกมา 10% ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากมูลค่าความเสียหายขณะนี้สูงถึง 20% ของงบประมาณรวม ดังนั้นงบประมาณโครงการประชานิยมจะต้องเปลี่ยน แปลง โดยที่ดำเนินการไปแล้วต้องเดินหน้าต่อ ส่วนที่ไม่ทำก็คงต้องกลับมาพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะต้องทำหรือไม่ เพราะควรนำงบประมาณมาเยียวยาผลกระทบจากน้ำท่วม

นักธุรกิจญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานหนี

นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร ) กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยืนยันว่ายังไม่มีแผนจะย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนหลังจากพื้นที่อุตสาหกรรมหลายแห่งถูกน้ำท่วมจนได้รับความเสียหาย เพราะว่าไทยยังมีศักยภาพหลายด้านที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เนื่องจากน้ำท่วมเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ แต่ต้องการให้รัฐบาลไทยแก้ไขปัญหาให้น้ำลดเร็วที่สุดและให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกต้อง รวดเร็ว เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาเตรียมตัว

จี้รัฐประกาศภาวะฉุกเฉิน

นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า เอกชนต้องการให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขและจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ รวมถึงให้รัฐบาลแจ้งล่วงหน้าก่อน 12 ชม. ให้ประชาชนได้ขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ อพยพได้ทัน ไม่ใช่แจ้งก่อนเกิดเหตุการณ์ 3 ชม. เหมือนในปัจจุบัน

บัญชีกลางผ่อนปรน

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้รวดเร็วขึ้น โดยขณะนี้มียอดขอเบิกจ่ายเงินทดรองราชการกว่า 5,000 ล้านบาท และอนุมัติเบิกจ่ายไปแล้วเกือบ 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเบิกจ่ายสูงสุดนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย พร้อมยืนยันจะไม่ให้การเบิกจ่ายเงินเป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=169564

ที่มา: เดลินิวส์
///////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิติราษฎร์ รุกต่อสู้ทางความคิดทำตำรา นิติรัฐ-ประชาธิปไตย..

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร เปิดแนวรบต่อสู้ทางความคิดใหม่ด้วยการเปิดตัวสำนักพิมพ์จัดทำหนังสือให้ประชาชนได้เรียนรู้หลักการที่แท้จริงของการสร้างอุดมการณ์นิติรัฐและประชาธิปไตย ชี้ในอดีตที่ผ่านมาประชาชนถูกครอบงำโดยการยกเรื่องคุณงามความดี จารีต และธรรมเนียมมาปิดกั้นความคิดไม่ให้โต้แย้งฝ่ายปกครองจนถูกข่มเหงรังแก ขณะที่คนเรียนนิติศาสตร์ก็ติดอยู่ในกรอบนี้จึงทำให้มีนักกฎหมายจำนวนมากพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐประหารทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ถึงเวลาเข้าสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาเพื่อให้ราษฎรรู้จักคิดแบบมีเหตุผล มีคำอธิบาย แทนการก้มหน้ายอมโดยไม่โต้แย้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้กฎหมายเพื่อช่วงชิงอำนาจและสร้างความชอบธรรม

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ที่สร้างความฮือฮาด้วยการเสนอลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 เพื่อสร้างหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและป้องกันการก่อรัฐประหารในอนาคต เปิดสำนักพิมพ์นิติราษฎร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลด้านกฎหมายให้ความรู้กับประชาชนเพิ่มอีกช่องทางหนึ่งนอกจากเว็บไซต์ www.enlightened-jurists.com ที่ใช้ต่อสู้ทางความคิดมาตลอดหลังเกิดรัฐประหารเมื่อปี 2549

ในคำประกาศก่อตั้งสำนักพิมพ์ระบุว่า หวังให้เป็นกลไกอีกประการหนึ่งในการสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้เจริญงอกงามในวงวิชาการนิติศาสตร์

ใช้กฎหมายชิงอำนาจสร้างแผลลึก

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วงชิงอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ตลอดจนทำลายอำนาจ การช่วงชิง สร้างความชอบธรรม และทำลายล้างในนามของกฎหมายและความยุติธรรมนั้น ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลที่ลึกอย่างยิ่งให้กับวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลสร้างความอยุติธรรมอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมโดยรวมด้วย เหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์แบบนี้ขึ้นในสังคมก็เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผลและสติปัญญาของผู้คน

วงการกฎหมายต้องก้าวข้ามยุคมืด

เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ สังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา หรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumières; Aufklärung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย

ตั้งคำถามสร้างความเคลื่อนไหวทางความคิด

ลักษณะสำคัญของ Enlightenment คือการเกิดความเคลื่อนไหวทางความคิดในทุกแขนงวิชา โดยการเคลื่อนไหวทางความคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ การสงสัยต่อสิ่งที่ยอมรับเด็ดขาดเป็นยุติ ห้ามโต้แย้ง ห้ามคิดต่าง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือคำสอนทางศาสนา ทั้งนี้ โดยถือว่า “เหตุผล” มีคุณค่าเท่าเทียมกับ “ความดี” การใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรอง ไม่หลงเชื่ออะไรอย่างงมงายมีค่าเป็นคุณธรรม ถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสามารถได้รับการฝึกฝนให้ใช้สติปัญญาได้ และถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างเท่าทัน ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดการเรียกร้องให้มีขันติธรรมในเรื่องความเชื่อทางศาสนา

สร้างความเสมอภาคแทนชนชั้น

กล่าวให้ถึงที่สุด ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาคือยุคที่เสรีภาพจะเข้าแทนที่สมบูรณาญาสิทธิ์ ความเสมอภาคจะเข้าแทนที่ระบบชนชั้น เหตุผล ความรู้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จะเข้าแทนที่อคติและความงมงายทั้งหลาย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นักคิดสกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) และนักคิดในสายถอดรื้อโครงสร้าง (Deconstruction) จะปฏิเสธคุณค่าภววิสัยและความจริงปรมัตถ์ และเห็นว่าตรรกะไม่ใช่รากฐานเพียงประการเดียวของความรู้ของมนุษย์ก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเราไม่เริ่มต้นตั้งคำถามและใช้สติปัญญาของเราอันเปรียบเสมือนแสงสว่างขับไล่ความมืดมนคืออคติและความงมงายแล้ว เราก็คงจะสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ที่ยุติธรรมไม่ได้ แม้ว่ายุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาจะเป็นเพียงยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่การใช้เหตุผลและสติปัญญาแสวงหาความจริงเป็นกระบวนการที่ไม่รู้จักจบสิ้น เราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผลที่สามารถยอมรับได้ เราเห็นด้วยกับคำขวัญของยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คำขวัญที่ Immanuel Kant (ค.ศ. 1724-1804) นักปรัชญาผู้เรืองนามชาวเยอรมัน ให้ไว้ว่า “จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณแห่งตน!” (Habe Mut, dich deines eigenen Verstandes zu bedienen!)

วงการนิติศาสตร์เปลี่ยนแปลงน้อย

หากเราย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว เราจะพบความจริงประการหนึ่งว่าวิธีคิดของคนในวงการนิติศาสตร์และระบบ ตลอดจนโครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นไม่ได้ถูกปลูกฝังบ่มเพาะให้เข้าสู่ความรับรู้ของบุคคลในวงการกฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น

การเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ในช่วงก่อนการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 ย่อมต้องถือว่าเป็นผลพวงของความล้มเหลวในอันที่จะสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์หลักในวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์

สถาบันไม่สอนเรื่องหลักการ

เหตุผลของความล้มเหลวดังกล่าวมีอยู่หลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งน่าจะเนื่องมาจากการที่สถาบันที่อบรมให้ความรู้ทางวิชาการและฝึกฝนวิชาชีพทางกฎหมายตัดตัวเองออกจากการเรียนการสอนกฎหมายมหาชนในแง่ของหลักการและคุณค่าที่แท้จริง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมาเราจึงได้เห็นการรัฐประหารและล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร และพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย โดยแทบจะไม่มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในทางเนื้อหาของบรรดาประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลทำลายคุณค่าของวิชานิติศาสตร์ลงอย่างถึงรากแล้ว ในที่สุดยังเท่ากับเป็นการทำร้ายราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐด้วย

กฎหมายต้องใช้เพื่อราษฎร

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้บรรดานักนิติศาสตร์และนักกฎหมายทั้งปวงเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตยเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออกจากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ที่สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร

อำนาจเป็นของราษฎร

วิชานิติศาสตร์ควรสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและเริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้วหาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร ผู้ที่ศึกษาวิชานิติศาสตร์ควรศึกษาอย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และเมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วจะต้องใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน การใช้กฎหมายเช่นนี้ในที่สุดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย

สำหรับผลงานหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์นิติราษฎร์คือการจัดพิมพ์หนังสือกฎหมายปกครอง ภาคทั่วไป โดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ซึ่งเป็นตำราที่ปรับปรุงและขยายความมาจากหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง : หลักการพื้นฐานของกฎหมายปกครองและการกระทำทางปกครอง

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

ปริมาณน้ำ-ก้อนใหญ่ มาถึงกรุง 15 ต.ค.นี้ ทะเลหนุน !!?

รับสถานการณ์ได้หรือไม่50-50 นายกเข้าเฝ้าถวายรายงานด่วน สามีเผย‘ยิ่งลักษณ์’เครียดมาก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายรายงานสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัย นายกรัฐมนตรีสั่ง ผวจ.เตรียมแผนอพยพ กำชับกระทรวงพาณิชย์คุมพ่อค้าอย่าโก่งราคาสินค้า ขณะที่แม่หนูน้อยวัย 6 เดือนที่ติดน้ำท่วมอยู่กลางเกาะกรุงเก่าอุ้มลูกขอบคุณนายกฯ หลัง “ยิ่งลักษณ์” สั่งให้ตามหาจนเจอ “ประชา” ระบุน้ำก้อนใหญ่ถึงปากน้ำโพแล้ว จ่อถล่มกรุงเก่าอีกระลอก14 ต.ค. เตือนคนกรุง 15 ต.ค. อ่วมแน่ เร่งทำ 3 แนวกั้นน้ำป้องกันเมืองกรุง เผยเปิดสุวรรณภูมิ-วัดพระธรรมกาย รองรับ กทม.เร่งระดมสร้างสะพานคนเดินเหนือน้ำเตรียม เรือ-แพไว้ใช้แล้ว จีนขนสิ่งของช่วยเหลือถึงไทยแล้วสามี “ปู” เผยนายกฯเครียดจัดจากปัญหาน้ำท่วม “พิจิตต” ใช้เครื่องบินเล็กบินเก็บภาพน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ไว้เป็นข้อมูลแก้ปัญหาระยะยาว สาธารณสุขสั่งทุกโรงพยาบาลรอบ กทม.เคลียร์เตียงรอรับผู้ป่วย ทีโอทีติดตั้งระบบสื่อสารช่วยเหลือคนน้ำท่วม

มหาอุทกภัยที่สร้างความสูญเสียเหลือคณานับทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 จังหวัดภาคกลาง ที่วิกฤติหนัก คือ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี ที่มีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า 2 ล้านคน และนับเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดอีกครั้งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติ ซึ่งรัฐบาลได้ระดมสรรพกำลังจากทุกด้านให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในขณะที่องค์กรภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปจำนวนมากก็ได้หลั่งไหลเทน้ำใจให้ความช่วยเหลือคนไทยที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติยากลำบากสุดๆในชีวิต นำข้าวของเครื่องอุปโภคบริโภคไปบริจาคและประกอบอาหารสดๆแจกจ่ายผู้ประสบอุทกภัยถึงในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมนั้น

แม่ “น้องนาย” อุ้มลูกขอบคุณนายกฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ต.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง น.ส.สุพรรณษา โสภาค อายุ 31 ปี มารดา “น้องนาย” ด.ช.สุกิจ เเสงโสม เด็กทารกอายุ 6 เดือน ที่ได้ติดต่อผ่านสายด่วน 1111 กด 5 ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วยติดตามหาลูกชายที่ติดอยู่กลางเกาะเมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอบคุณที่ได้ช่วยตามหาลูกชายจนพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวกับมารดาน้องนายว่า เมื่อวานนี้ต้องการที่จะนำเสบียงอาหารไปมอบให้ แต่เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องแจ้งมาว่า ไม่สามารถที่จะลงไปได้ จึงมอบให้ตำรวจน้ำนำเสบียงอาหารและเครื่องใช้จำเป็นนำไปมอบให้แทน ต้องขอขอบคุณสายด่วน 1111 กด 5 เพราะพยายามที่จะแยกสายสำคัญๆ เช่น ชีวิต เด็ก และคนชรา จึงได้ มอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบตามหาตัวให้จนเจอ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้มอบกระเช้าบรรจุสิ่งของจำเป็นเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดให้แก่ น.ส. สุพรรณษา ก่อนที่จะอุ้มน้องนายวัย 6 เดือน ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ พร้อมกล่าวว่า “ดีใจมาก ใครที่เป็นแม่คงดีใจมากที่ตามหาลูกจนเจอ”

นายกฯสั่ง ผวจ.เตรียมแผนอพยพ

เวลา 09.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัย ว่า วันนี้ต้องดูแลเรื่องการอพยพผู้คนให้ปลอดภัย เพราะจากการขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจพบว่า ยังมีประชาชนต้องการความช่วยเหลือ และติดอยู่กลางน้ำอีกมาก ขณะเดียวกันต้องเร่งกู้ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมด้วย ได้เชิญจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องเตรียมรองรับสถานการณ์ต่างๆเพื่อปรับปรุง แต่หากคิดว่าจะสู้น้ำไม่ไหวคงต้องมี แผนสำรองในการเตรียมอพยพผู้คน โดยต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยให้ได้มากที่สุด เราเป็นห่วงทุกจังหวัดจะกระจายกำลังโดยไม่ให้ซ้ำซ้อน สิ่งสำคัญคือต้องให้ความปลอดภัยกับชีวิต ส่วนเรื่องทรัพย์สินเป็นอันดับรองลงมา เพราะเราไม่สามารถทำ 2 อย่างในเวลาเดียวกันได้ ต้องนำประสบการณ์จากจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ ผวจ.เตรียมทำงาน หากโซนไหนที่คิดว่าปลอดภัยต้องกั้นไว้ก่อน ไม่ควรกั้นน้ำที่กำลังจะมาเพราะจะสู้น้ำไม่ไหว เนื่องจากวันนี้น้ำทั้งประเทศเยอะมาก แม้แต่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทคที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่กำแพงปูนสูงถึง 2 เมตร วันนี้น้ำเริ่มซึม ซึ่งรัฐบาลได้เตือนให้ขนย้ายแล้ว และเวลานี้กำลังดูแลเรื่องของพนักงาน

กำชับ พณ.คุมพ่อค้าโก่งราคาสินค้า

เมื่อถามถึงปัญหาที่ขณะนี้มีการโก่งราคาสินค้าโดยเฉพาะกระสอบทราย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า จะกำชับให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปดูแล แต่คงต้องขอร้อง และขอความร่วมมือผู้ค้าทุกราย เพราะวันนี้ประชาชนเดือดร้อนมาก ดังนั้น อยากให้ขายในปริมาณที่เพียงพอต่อต้นทุนที่ดำรงอยู่ หากปรับราคาสูงคนยิ่งจะเก็บสต๊อก ส่งผลให้ ผู้เดือดร้อนไม่สามารถนำไปแก้ไขปัญหาได้ เบื้องต้นรัฐบาลพยายามจะล็อกสินค้าบางส่วนที่ขาดตลาดมาบริการเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยประสานตรงกับทุกหน่วยงาน ส่วนความต้องการกระสอบทราย 1.7 ล้านกระสอบนั้น เวลานี้น่าจะได้ครบแล้ว กทม.เป็นผู้รับผิดชอบ แต่บางครั้งเราตั้งทิ้งไว้นานๆบางทีก็เปื่อยยุ่ย เป็นสาเหตุหนึ่ง ในการทำให้แนวกั้นน้ำพัง ส่วนแนวกั้นน้ำ 3 จุดที่ป้องกันน้ำทะลักเข้าพื้นที่ กทม.นั้น เวลานี้จะเร่งรัดภายในวันที่ 13 ต.ค.คงจะเสร็จ ส่วนแนวกั้นน้ำฝั่งตะวันออกที่พังบางส่วน ยืนยันต้องทำให้ดีที่สุด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่นเมื่อมีการนำกระสอบทรายตั้งเป็นแนวกั้นน้ำ แต่ถูกประชาชนดึงออกบวกกับความไม่แข็งแรง และกระสอบทรายเปื่อย ดังนั้น วันนี้จะใช้สรรพกำลังตรวจสอบคุณภาพให้ดีที่สุด แต่จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า พายุลูกใหม่ยังไม่พัดผ่านเข้าไทย หากไม่มีตัวนี้จากการวางแผนที่ดำเนินการมาคิดว่าน่าจะรับมือได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนด้วย และไม่ใช่เป็นการแตกของคันกั้นที่ไหวแรงเกินกว่าปริมาณ

ปล่อยคาราวาน ฮ.ส่งเสบียงทางอากาศ

จากนั้นเวลา 10.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ปล่อยขบวนคาราวานเฮลิคอปเตอร์ขนสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยทางอากาศ โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งเฮลิคอปเตอร์เบล 412 และ 212 รวม 10 ลำ นำสิ่งของกระจายไปช่วยผู้ประสบภัยที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงโดยเฉพาะในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาร่วมพิธี รวมทั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รักษาการ ผบ.ตร. ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ช่วยลำเลียงสิ่งของขึ้นเฮลิคอปเตอร์ด้วย

ควัก 3 ล้านซื้อข้าวกระป๋องแจก

เวลา 13.30 น. นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานกรรมการกิตติมศักดิ์หอการค้า จ.ตรัง นำข้าวราดหน้ากระป๋องจำนวน 50,000 กระป๋อง มูลค่า 1,600,000 บาท มอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ที่ศูนย์ปฏิบัติการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ท่าอากาศยานดอนเมือง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม นายสุรินทร์กล่าวว่า การที่นำเอาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มามอบให้ เพราะว่าเหมาะกับผู้ประสบภัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องมีไฟหรือน้ำ ก็สามารถที่จะเปิดกระป๋องรับประทานได้ทันที ตนเห็นถึงความเสียสละและความรักประชาชนของ น.ส.ยิ่งลักษณ จึงนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมามอบให้เพิ่มเติมอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้าวราดหน้ากระป๋องดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยซื้อไปรับประทานตอนหาเสียง ดังนั้นหลังจากรับมอบจากนายสุรินทร์แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สั่งซื้อข้าวราดหน้ากระป๋องถึง 100,000 กระป๋องเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับมอบเงินบริจาคจากภาคส่วนต่างๆอีกจำนวนหลายราย รวมถึงนพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวแทน ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาทด้วย

ขอความร่วมมือ กทม.ร่วมมือรับน้ำ

ต่อมาเวลา 14.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความร่วมมือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ในการเตรียมแก้ไขวิกฤติน้ำท่วม กทม.ว่า เราพยายามใช้กลไกของการทำงานภาพรวมในการประสานทุกจังหวัด รวมถึงใน กทม. แต่เนื่องจากการดูแลในส่วนของ กทม.แยกจากกัน การดูแล กทม. เราต้องให้ผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ในความร่วมมือที่จะเป็นความร่วมมือระหว่างกัน เราจะพยายามแลกเปลี่ยน ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือจากกทม. ให้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำงานเพื่อรับประสานงาน ในรายละเอียดการเตรียมการคงต้องให้ทาง กทม.เป็นผู้ชี้แจงดีกว่า

สั่งเร่งขุดคลองระบายน้ำพ้น กทม.

เมื่อถามว่า กทม.ให้ความร่วมมือกับ ศปภ.มากน้อย แค่ไหน ในการแก้ไขปัญหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบว่า เบื้องต้นเราพยายามทำงานสัมพันธ์กันอยู่ แต่จะมีการทำงานที่ต้องแบ่งงานกันรับผิดชอบ ความร่วมมือภาพรวมก็คุย กันดี เมื่อถามต่อว่า ประเมินสถานการณ์อุทกภัยใน กทม. อย่างไรบ้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า มี 2 ส่วนที่ กทม. จะได้รับผลกระทบคือ 1.จากรอยต่อของจังหวัดใกล้เคียง ดังนั้น จุดสำคัญจุดแรกของ กทม.คือรอยต่อที่ต้องรักษาให้ดี ปัญหาเรื่องรอยต่อโดยเฉพาะ จ.ปทุมธานี เรามี ปัญหาเรื่องการทำพนังกั้นน้ำ ซึ่งการขอความร่วมมือจากประชาชนทำได้ยาก เนื่องจากอยู่ในภาวะที่เครียดไม่สามารถทำการกั้นน้ำได้อย่างเต็มที่ 2.แนวกั้นน้ำของอีกฝั่งที่อยู่ในการดูแลของ กทม. เบื้องต้นผู้ว่าฯ กทม.รับปากว่าจะทำ แต่ส่วนใหญ่พื้นที่ของ กทม.เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ จึงทำให้มีปัญหากับการระบายน้ำ เราจะมีการเร่งขุดคลองให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ การขุดคลองคงทำได้ยาก เพราะมีปริมาณน้ำมาก เรื่องนี้ได้มอบหมายให้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปตรวจงานพร้อมหาพื้นที่ เพื่อเร่งรัดในการขุดคลองให้มีการระบายจาก กทม.โดยเร็ว

สั่งเร่งเตรียมศูนย์อพยพล่วงหน้า

เมื่อถามถึงการผลักดันน้ำด้านตะวันตกลง 4 คลองหลัก คือ คลองพิมลราช คลองลัดโพธิ์ คลองมหาสวัสดิ์ และคลองภาษีเจริญ ลงแม่น้ำท่าจีน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า การระบายน้ำยังไม่ใช่ตรงนั้น คลองทั้ง 4 จะเป็นการไหลตามปกติ เป็นคลองที่เราเห็นว่าน่าจะระบายได้ แน่นอนอาจจะมีผลกระทบข้างเคียง เราได้เร่งทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะขณะนี้น้ำมีทั่วไปหมดทั้งประเทศไทย ดังนั้น วันนี้ที่เราหารือกันเป็นการระบายในส่วนน้อยก็ต้องพัง เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ แต่ปัญหาการระบายน้ำออกสู่ทะเลทำได้ยาก เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น ตนจึงสั่งการให้ ผวจ.ทุกจังหวัดเตรียมแผนสำรองไว้ คือการเร่งเตรียมสถานที่ศูนย์อพยพต่างๆ การดูแลชีวิตประชาชน ล่าสุดได้ไปดูในศูนย์ของแพทย์ฉุกเฉินที่เราจะขอความร่วมมือในการบูรณาการจากทุกโรงพยาบาลในการทำงานร่วมกับทางแพทย์กรณีที่ประชาชนประสบภาวะฉุกเฉิน จะได้ดูแลอย่างทั่วถึงและรวดเร็วแล้ว

กทม.นอกแนวกั้นท่วมแน่ แต่น้ำไม่สูง

เมื่อถามว่า วันนี้นายกฯพูดได้หรือไม่ว่า กทม.มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมสูงเหมือนจังหวัดอื่น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้มีหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือจนถึงภาคกลางมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำท่วมแล้ว ส่วน กทม.ที่อยู่นอกแนวกั้นน้ำก็มีความเสี่ยงที่จะถูกภาวะน้ำท่วม แต่อาจจะไม่มีปริมาณสูงมากนัก ส่วนพื้นที่ชั้นในวันนี้เชื่อว่ายังปลอดภัยอยู่ แต่คงต้องติดตามสถานการณ์ และดูปริมาณน้ำในทุกวันอย่างต่อเนื่อง ตนขอให้ประชาชนอยู่ด้วยความระมัดระวัง ขอความกรุณาอย่าตื่นตระหนก แต่หากมีการเตรียมตัวส่วนของทรัพย์สินและสิ่งของต่างๆที่อยู่บริเวณชั้นล่างที่คิดว่ามีความเสี่ยงที่น้ำจะเข้ามาถึง ขอความกรุณาให้ย้ายของขึ้นชั้นบน ส่วนระบบไฟฟ้าหากน้ำท่วมชั้นล่างแล้วควรจะมีการแยกระบบไฟระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อให้มีน้ำ ไฟ ใช้อย่างสมบูรณ์ ใน กทม.ถึงแม้จะมีน้ำเข้ามาแต่คงเป็นน้ำในปริมาณที่ไม่สูง เชื่อว่าการคมนาคมต่างๆคงดำเนินต่อไปได้

แจงไม่จำเป็นต้องงัดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องใช้กฎหมายบังคับ ตนมองว่าในส่วนของกฎหมายบังคับเพื่อให้ทำตามนั้นเรายังไม่ได้ต่อสู้กับผู้คน แต่สิ่งที่เราต่อสู้คือการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ วันนี้ความร่วมมือที่เราได้รับเกินกว่าข้อกฎหมายที่ได้รับ เราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน วันนี้สื่อมวลชนและประชาชนจะเห็นว่าทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน จึงไม่มีความสำคัญและความจำเป็นที่จะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะจะเป็นการใช้อำนาจทางทหารและทางกฎหมายมาบังคับอย่างเดียว วันนี้ศูนย์บัญชาการต่างๆเราได้สั่งงานทุกกระทรวง ทุกเหล่าทัพก็ให้ความร่วมมือ

มหาดไทยไอเดียเจ๋งทำครัวลอยน้ำ

เวลา 15.30 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) สนามบินดอนเมือง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศปภ. เป็นประธานการประชุมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยกระทรวงมหาดไทยได้เสนอแนวคิดในการทำครัวลอยน้ำ เพื่อเข้าไปทำอาหารแจกจ่ายให้ประชาชน เนื่องจากเห็นว่าเรือสามารถลอยลำนำอาหารไปในที่ต่างๆที่มีประชาชนได้รับอุทกภัยได้อย่างทั่วถึง ขณะที่ประเทศจีนได้ให้ความช่วยเหลือส่งเรือชนิดต่างๆ จำนวน 64 ลำ ซึ่งมีเรือเล็กในการเข้าในพื้นที่น้ำท่วม เรือยาง เรือเร็ว พร้อมเครื่องยนต์ และอุปกรณ์กรองน้ำ 60 เครื่อง ถังน้ำ 120 ถัง มูลค่า 10 ล้านหยวน โดยวันนี้ เวลา 17.00 น. อุปกรณ์ต่างๆจะนำมาถึงสนามบินดอนเมือง นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ได้มอบตู้รถไฟที่ไม่ได้ใช้งานกว่า 70 ตู้ เพื่อนำไปเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา

ศปภ.เตือนน้ำถึงกรุงเทพฯ 15 ต.ค.

พล.ต.อ.ประชากล่าวหลังการประชุมว่า ขณะนี้มวลน้ำก้อนใหญ่ทางภาคเหนือได้ผ่าน จ.นครสวรรค์ มาแล้ว คาดว่าจะถึง จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณวันที่ 14 ต.ค. โดยขณะนี้ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำอยู่ประมาณ 8 พันล้าน ลบ.ม. รัฐบาลได้พยายามผันน้ำลงทะเลใน 2 ทิศทาง คือ ทางตะวันออกจะผันลงทางคลองระพีพัฒน์ ทางคลองแสนแสบ ลงทะเล ลงแม่น้ำบางปะกง อีกเส้นทางจะผันลงแม่น้ำท่าจีน ทางคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ อีกส่วนจะมีการผลักดันน้ำลงที่บริเวณคลองลัดโพธิ์ โดยใช้เรือนับพันลำผลักน้ำลงทะเล สำหรับน้ำทางตะวันออกจะไปทาง จ.ฉะเชิงเทรา จ.สมุทรปราการ จึงเกิดน้ำหลากท่วมเขตสายไหม มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง ผ่านทางรังสิตลงไป ส่วนทางซีกตะวันตกน้ำจำนวนมหึมาจะไหลเอ่อไปที่ จ.ปทุมธานี นนทบุรี และเชื่อว่าคงกระทบถึง จ.นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการครั้งนี้เราจะพยายามผันน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด เพราะมวลน้ำขนาดใหญ่จากนครสวรรค์จะลงมาสมทบอีก ก็ต้องเรียนให้ทราบเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ โดยคาดว่าน้ำจะถึง กทม. ประมาณวันที่ 15 ต.ค.

เร่งทำ 3 แนวกั้นป้องกันเมืองกรุง

“ตอนนี้ กทม.เหมือนเป็นไข่แดง มีน้ำล้อมรอบ เราทำแนวป้องกันไว้ 3 แนว คือ 1. แนวหลัก 6 เมืองเอก รังสิต 2. คลองทวีวัฒนา ศาลายา และ 3. คลอง 1-9 รังสิต โดยพยายามทำเต็มความสามารถเพื่อรักษา กทม.ไว้ให้ได้ ทั้งนี้ ช่วงที่น่าเป็นห่วงคือช่วงวันที่ 14-17 ต.ค. เพราะน้ำเหนือคงลงมาบรรจบที่จ.พระนครศรีอยุธยา น้ำทะเลก็จะหนุนขึ้นสูงสุดในช่วงนั้น และอีกช่วงคือวันที่ 28-31 ต.ค.ซึ่งก็เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงสุดเช่นเดียวกัน และหากเกิดพายุขึ้นมาอีก ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน สำหรับน้ำที่มาจากปริมาณน้ำฝน เราไม่สามารถห้ามได้ เพราะหากปริมาณน้ำฝนมาก เขื่อนต่างๆก็จำเป็นต้องระบายออก ซึ่งตรงนี้เราเป็นห่วงอยู่ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสถานการณ์น้ำในวันที่ 12 ต.ค.ก็เป็นที่น่าพอใจและเป็นข่าวดีว่า น้ำในแม่น้ำทั้ง 5 สาย มีปริมาณที่ลดลง หากไม่มีฝนตกหรือพายุเข้ามา จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ เบื้องต้น ตนได้เรียนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เราไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกมากนัก เพราะเรายัง 50-50 ว่าจะรับสถานการณ์ได้หรือไม่”

เปิดสุวรรณภูมิ–วัดธรรมกายรองรับ

“ในส่วนของ กทม.ได้ส่งเจ้าหน้าที่สำคัญมาหารือกับ ศปภ.อยู่ตลอดเวลา และได้มีการเตรียมการรับมือไว้เหมือนกัน โดยในสถานที่ลุ่มได้มีการทำสะพานคนเดินรองรับไว้แล้วหากมีน้ำท่วม และก็ได้มีการเตรียมเรือ แพ ไว้บ้างแล้ว ส่วนสถานที่ที่จะเตรียมไว้รองรับผู้อพยพนั้นมีหลายสถานที่คือ 1. ดอนเมือง ที่ขณะนี้เริ่มมีความแออัดแล้ว ที่จอดรถที่รองรับได้ประมาณ 5,000 คันก็เริ่มเต็ม โกดังที่รองรับประชาชนก็เริ่มที่จะเต็มเหมือนกัน เราจึงได้เตรียมไว้อีกที่คือที่สนามบินสุวรรณภูมิที่สามารถรองรับรถประมาณ 5,000 คัน และรับผู้อพยพได้บางส่วน และอีกแห่งหนึ่งคือวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี ที่ได้มีการประสานไว้ สามารถรองรับรถได้ประมาณ 5,000 คัน จุประชาชนได้ 20,000-30,000 คน” พล.ต.อ.ประชากล่าว

จีนขนสิ่งของช่วยเหลือถึงไทยแล้ว

ต่อมาช่วงเย็น เครื่องบิน China Southern Airline ที่บรรทุกสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มูลค่า 10 ล้านหยวนหรือ 50 ล้านบาท เดินทางถึงท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นที่เรียบร้อย โดยเครื่องบินลำดังกล่าวได้บรรทุกสิ่งของต่างๆ อาทิ เรือยนต์ความเร็วสูง และเรืออื่นๆหลายขนาด ตั้งแต่เรือบรรทุกผู้โดยสารขนาด 8 ที่นั่ง 8-10 ที่นั่ง และขนาด 12 ที่นั่ง จำนวนทั้งสิ้นกว่า 128 ลำ พร้อมทั้งเครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ 60 เครื่อง และถังบรรจุน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 120 ถัง ทั้งนี้ รัฐบาลจีนนับเป็นประเทศแรกที่เสนอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยแก่รัฐบาลไทย ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค. 2554 โดยนายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ส่งสารแสดงความเสียใจแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายก– รัฐมนตรี นอกจากนี้ นายกว่าน มู เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยังได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบเงินสดจากรัฐบาลจีนสำหรับบรรเทาปัญหาอุทกภัยเป็นจำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านบาท รวมทั้งสิ่งของที่บรรทุกเครื่องบินที่จะมาถึงจำนวน 50 ล้านบาท

“ยงยุทธ” วอนชาวบ้านเร่งอพยพ

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่อพยพไว้เรียบร้อยแล้ว มีสถานที่พัก อาหาร เครื่องดื่มไว้รองรับ ต้องขออาศัยความร่วมมือจากสื่อมวลชนและทุกฝ่าย ให้แจ้งกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้ออกมาจากพื้นที่จะปลอดภัยกว่า เพราะหากไม่ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยอาจจะเกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม หากยังมีประชาชนบางส่วน อาศัยอยู่ในบ้านเรือน รัฐบาลก็จะส่งความช่วยเหลือเข้าไปให้ หากส่งทางปกติไม่ได้ก็จะส่งทางเฮลิคอปเตอร์ ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติแล้วในจังหวัดที่ประสบอุทกภัยหรือไม่ นายยงยุทธตอบว่า ได้ประกาศทุกจังหวัด เพราะหากไม่ประกาศ จะไม่สามารถใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนกรณีที่มีประชาชนบางส่วนไม่ยอมให้ทำคันกั้นน้ำอย่างที่ จ.ปทุมธานีนั้น เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองในจังหวัด ถ้าสามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ก็จะรับทราบและปฏิบัติตามได้

สามีเผย “ยิ่งลักษณ์” เครียดมาก

เวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมคู่สมรสคณะรัฐมนตรีได้หารือเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพื่อสนับสนุนและเสริมการทำงานของรัฐบาล โดยจะประสานตรงกับ ผวจ.แต่ละจังหวัดว่า ทางจังหวัดต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทางคู่สมรสคณะรัฐมนตรีจะจัดส่งไปให้โดยตรง ส่วนใหญ่ต้องการอาหารพร้อมรับประทาน นมผง ผ้าถุง ยาทาแก้โรคเท้าเปื่อย ผ้าขาวม้า ผ้าอนามัย ผ้าอ้อม นอกจากนี้ตนยังได้ย้ำในที่ประชุมว่า การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่าไปเอาภาพ สร้างภาพมากเกินไป ขอให้ช่วยเหลืออย่างเกิดประโยชน์จริงๆ “ช่วงนี้นายกรัฐมนตรีมีบ่นบ้างว่า ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมไม่ทั่วถึง ส่วนผมต้องคอยดูอารมณ์ของนายกฯก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าวันนั้นกลับมาบ้านแล้วน้ำท่วมเยอะ ผมจะพยายามพูดคุยให้น้อยที่สุด ไม่เช่นนั้นจะโดนหางเลขไปด้วย ยอมรับว่าช่วงนี้นายกฯเครียดมาก บางครั้งโทรศัพท์เข้ามาแทบผวา เพราะส่วนใหญ่โทร.เข้ามาบอกว่าน้ำเข้า ที่นั่นที่นี่แล้ว ดังนั้น วิธีที่ช่วยได้ดีที่สุดคือรับฟังและทำให้อารมณ์เสียน้อยที่สุด”

นายกฯเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน

เวลา 16.10 น.วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ไปยังโรงพยาบาลศิริราช เนื่อง จากมีหมายกำหนดการเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เพื่อถวายรายงานสถานการณ์ และการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

นายกฯ เผยในหลวงให้เร่งระบายน้ำ

ต่อมาเวลา 19.50 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า พระองค์ทรงรับสั่งว่าในเรื่องของน้ำครั้งนี้ก็มากจริงๆ และกระทบกับความเสียหายเป็นจำนวนมาก พระองค์ท่านทรงเป็นห่วงประชาชนอย่างมาก ได้นำความกราบบังคมทูล ในเรื่องที่เราได้ร่วมทำการดูแลพี่น้องประชาชน และพระองค์ท่านให้ความสำคัญในส่วนการเร่งระบายน้ำด้านตะวันออก ที่เรามีการเร่งระบายน้ำและขุดคลอง คงต้องเร่งรัดในการขุดคลองเพื่อให้เกิดการระบายน้ำให้เต็มที่ ในส่วนตะวันตกคงจะไปดูในส่วนของการหาพื้นที่หรือคลองในการระบายน้ำ ซึ่งตนจะไปสำรวจในวันที่ 13 ต.ค. เพิ่มเติม การระบายน้ำต่างๆอย่างคลองลัดโพธิ์ โดยหลักการการระบายน้ำที่ดีที่สุดคือการระบายน้ำสู่ทะเล ดังนั้นการทำงานของประตูปิดเปิดระบายน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องบริหารจัดการให้สัมพันธ์กับระดับน้ำทะเลหนุน หรือน้ำทะเลขึ้นลงต้องใช้หลักการให้เต็มที่

“พิจิตต” ใช้บินเล็กเก็บข้อมูลน้ำท่วม

ที่ ช่วงเย็น ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ผู้อำนวยการบริหารศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติในทวีปเอเชีย ได้นำแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมระบุพื้นที่น้ำท่วมมาชี้แจงว่า กำลังจะนำเครื่องบินเล็กไร้คนขับติดกล้องบันทึกภาพ มาบินเก็บภาพในพื้นที่น้ำท่วมเพื่อจัดทำข้อมูลซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยแผนที่จะระบุพื้นที่ในชุมชนอย่างละเอียด เพราะขณะนี้มวลน้ำก้อนใหญ่ยังอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ยังไม่ได้ลงมา ขณะที่น้ำทะเลกำลังจะหนุน ฝนก็กำลังมา ที่คิดว่าน้ำจะหมดในเดือน พ.ย. คงไม่ใช่เพราะจะยังยืดเยื้อไปจนถึง ธ.ค. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงต้องเร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปแล้วไล่น้ำเหนือลง การระบายผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาลงทะเล เป็นทางที่ดีที่สุด แต่ กทม.จะต้องทำเขื่อนกั้นน้ำสองฝั่งให้แข็งแรง จากเดิมสูง 2.50 เมตร ไม่พอต้องเสริมกระสอบทรายสูง 30 ซม.บนสันเขื่อน หากได้ 3 เมตร จะช่วยได้มาก วันที่ 15-18 ต.ค. ถ้าน้ำทะเลหนุนสูง 2.40 เมตร จะปริ่มพอดี แต่เชื่อว่าพื้นที่ชั้นใน กทม.จะได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะระบบป้องกันแข็งแรงไว้วางใจได้ แต่ก็ไม่ควรประมาทฝนจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด

ส่ง ฮ.ทอ.บินสแกนหาคนติดเกาะ

ด้านนายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษก ศปภ. กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 12 ต.ค. กองทัพอากาศได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ที่มีเทคโนโลยีสูง สามารถใช้รังสีอินฟราเรดสแกนความร้อนจากร่างกายมนุษย์ได้ จำนวน 5 ลำ ดำเนินการสแกนพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลที่ถูกน้ำท่วมในปริมาณสูง เพื่อตรวจสอบว่าในบ้านเรือนมีประชาชนอาศัยอยู่หรือไม่ และหากพบว่าไม่มีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ก็จะประสานกับทางจังหวัดเพื่อประกาศว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ปลอดจากผู้ประสบภัย เนื่องจากหน่วยกำลังบำรุงที่เข้าไปช่วยเหลือจะต้องเคลียร์แต่ละพื้นที่ว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่ที่ผู้มีอพยพหรือผู้ประสบภัยอยู่ เพราะการลำเลียงสิ่งของเข้าไปเป็นไปด้วยความยากลำบาก สำหรับประชาชนที่ไม่ยอมอพยพออกจากบ้านเนื่องจากห่วงทรัพย์สินนั้น คงต้องขอร้องหรือหามาตรการเพื่อขนย้ายออกมา

ระดม ตชด. 600 นายเฝ้าทรัพย์คนอยุธยา

ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. โฆษกด้านการช่วยเหลือประชาชนด้านกำลังพลตำรวจ พล.อ.พลางกูร กล้าหาญ โฆษกด้านการช่วยเหลือประชาชนด้านกำลังพลทหาร ร่วมกันแถลงว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กองทัพและ สตช.ออกสำรวจผู้ประสบภัยที่ตกค้าง ในพื้นที่น้ำท่วมห่างไกลจากเขต และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ตกค้างออกมาพักอาศัย ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ทางจังหวัดจัดขึ้น เบื้องต้นได้มีชาวบ้านในจังหวัดนครสวรรค์ ประมาณ 3,500 คน อพยพออกจากบ้านเรือนมายังศูนย์พักพิงแล้ว ส่วนใน จ.พระนครศรีอยุธยา ยังมีประชาชนอีกมากที่ยังไม่ยอมออกจากบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใน ต.ลุมพลี ต.วัดตูม และ ต.ท่าช้าง อำเภอพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 10,000 คน ที่ยังไม่ยอมออกจากที่อยู่อาศัย เนื่องจากเกรงว่าทรัพย์สินจะถูกขโมย เพราะมีกลุ่มชายฉกรรจ์พายเรือลักทรัพย์ตามบ้านเรือนประชาชนในตอนกลางคืน สตช.ได้ส่งตำรวจ ตชด. 600 นาย เข้าในพื้นที่ลาดตระเวนดูแลทรัพย์สินตามบ้านเรือน ประชาชนในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลและอพยพออกมายังที่ปลอดภัย

สั่งจับกระสอบทราย–เรือขึ้นราคา

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้กระทรวงฯดูแลราคาสินค้าทั้งหมด ไม่ให้ผู้ผลิต ผู้ค้าฉวยโอกาสกักตุน และปรับขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำเติมความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นที่ต้องใช้ในช่วงน้ำท่วม ทั้งทราย ถุงบรรจุทราย เรือท้องแบน เครื่องยนต์ (ใช้ติดเรือ) เสื้อชูชีพ ไฟฉาย แบตเตอรี่ ซึ่งได้สั่งให้กรมการค้าภายในกำหนดราคาแนะนำสำหรับขายปลีกขึ้น หากผู้ค้ารายใดฉวยโอกาสขึ้นราคา หรือกักตุนสินค้าจะมีโทษสูงสุดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 จำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ จากการสำรวจราคาสินค้าจำเป็นเบื้องต้นพบว่า ราคาทรายได้ปรับขึ้นจากช่วงปกติ เพราะแหล่งผลิตทรายใหญ่คือ อยุธยา อ่างทอง และปทุมธานี ประสบปัญหาน้ำท่วม ต้องดูดทรายที่นครปฐม กาญจนบุรีแทน ทำให้มีต้นทุนด้านค่าขนส่งเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเกิดปัญหาขาดแคลนเพราะความต้องการใช้จำนวนมาก ทำให้ทรายปรับขึ้นราคาจากคิวละ 300-400 บาท เป็นคิวละ 450-500 บาท ซึ่งกระทรวงฯเห็นว่า ราคาทรายไม่ควรปรับเพิ่มจากนี้แล้ว ถุงบรรจุทราย ขนาด 25 กก. ราคาควรอยู่ 3 บาท/ถุง ซึ่งขณะนี้หมดแล้ว ส่วนขนาด 50 กก. ราคา 7 บาท/ถุง ยังสามารถหาซื้อได้อยู่

เตือนอย่าฉวยโอกาสขายเกินราคา

ส่วนเรือพลาสติกและเรือที่ผลิตจากไฟเบอร์ ราคาเรือเปล่า 2 ที่นั่ง 2,800-3,000 บาท/ลำ ขนาด 4 ที่นั่ง 4,000 บาท/ลำ ขนาด 10 ที่นั่ง 10,000 บาท/ลำ แหล่ง ผลิตอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ เครื่องยนต์ 9 แรงม้า ราคาไม่ควรเกิน 21,000 บาท/เครื่องยนต์ ส่วนเสื้อชูชีพ รองเท้าบู๊ต พบว่าสถานการณ์ราคายังพบปกติ และมีจำหน่ายเพียงพอ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เครื่องกระป๋อง ทางผู้ผลิตยืนยันที่จะเพิ่มกำลังการผลิต จึงไม่ขาดแคลนแน่นอน และราคาไม่ควรปรับเพิ่มขึ้นจากช่วง ปกติ ส่วนเนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ ยืนยันว่าราคาไม่มีปัญหา ดังนั้น การฉวยโอกาสขึ้นราคา เช่น ขายปลีกไก่เพิ่มขึ้นเป็นปีกละ 20-30 บาท ถือว่าจงใจฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา

สั่งทุก รพ.รอบ กทม.เคลียร์เตียงรอรับผู้ป่วย

นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหารือเพื่อเตรียมความพร้อมรับการ ย้ายผู้ประสบอุทกภัย โดยมีเครือข่ายทางการแพทย์นอกกระทรวงสาธารณสุข 4 เครือข่าย เข้าร่วม ว่า ได้สั่งการ ให้ทุกสถานพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯเป็นพื้นที่สูง และมีความปลอดภัยจากสถานการณ์น้ำท่วม เช่น จ.กาญจนบุรี และราชบุรี สำรองเตียงให้ว่างเพื่อรองรับผู้ป่วยที่อาจจะต้องเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หากเกิดน้ำท่วมขึ้น และมีความพร้อมในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสะดวกหากต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ อยากให้ทุกเครือข่ายทางการแพทย์ เตรียมทีมแพทย์ฉุกเฉินเพื่อร่วมสนับสนุนกับส่วนของ สธ.ด้วย

ผู้ประกันตนเข้า รพ.เอกชนได้ทุก รพ.

นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นาย

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/today/view/208945
ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นอนน้อย..แต่ทำงานหนัก !!?

เข้านิทราตี ๒...ตี ๕ ก้อ,ดีดตัวลุกจากที่นอนแล้ว สำหรับ นายกฯหญิงเหล็ก “ปูยิ่งลักษณ์”
โหมงานกันยันรุ่ง ยันค่ำ ...แบบ ฟ้าแจ้งจางปาง ก็มี
สละเวลา ทั้งกาย-ใจ-มันสมอง “สนองรับใช้-งานแผ่นดิน” อย่างเต็มที่
นับว่า “นายกฯปูยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ทำงานเข้าตากรรมการ เก่งกล้า เกรียงไกร มีความเก่งกาจอยู่ตัว..ไม่ใช่ “เก่งแต่ปาก” แต่ทำงานไม่เป็น!!
ใช้ผลงาน เป็นเกราะแก้วกำบังกาย..ทำงานถูกใจ..ประชาชนทั้งหลาย เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

----------------------------

ตำแหน่ง “เท้าลอย”!!
ถึงเก้าอี้ ใหญ่เบอะบะ เบ้อเริ่มเทิ่ม..แต่อำนาจ “ชิล-ชิล” สั่งการได้ แค่จิ๊บจ๊อย??
“บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผบ.ทบ. ดูเหมือนใหญ่โอฬาร แต่ข้างในกลวง
นัยว่า, จะให้ไปนั่ง “เปิบพิสดาร” เป็น “ผู้ช่วย ผู้อำนวยการ กอ.รมน.” มีอำนาจคับฟ้า อย่างใหญ่หลวง
แต่ถูกขวาง ไปไม่ถึง “ดวงดาว”?...เมื่อมีการแก้เกมกลับ ..โดยจะแต่งตั้ง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ทหารเฒ่าเนิฟเวอร์ดาย ผู้ไม่มีวันตาย เป็น “ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” จากนั้นคอยเหิรฟ้า ก้าวไปคว้าดาว เป็น “ผช. ผู้อำนวยการ กอ.รมน.” ทำหน้าที่แทน “นายกฯ”
หมายให้มีอำนาจสูงส่ง..แต่กับต้องอยู่เฝ้าโยง?..เมื่อ “บิ๊กพัลลภ”แหกโค้ง เข้ามารับมรดก

----------------------------

“จับตา” ดูกันสักหน!!
เหล่มองกันไปดู เก้าอี้ “จเรทหาร” ที่ยังปล่อยว่างเอาไว้ ไม่ให้ใครมานั่งแหมะเป็น “จอมพล”
เตรียม “ที่ว่าง” กันเอาไว้ หรือเปล่า??
หรือเตรียม ประเคนถวาย ให้กับ ผู้ที่มีเรื่องฉาว
โดยเฉพาะถ้ามีใครบ้างคน?...ถูกสอบเรื่องประชาชน ๙๑ ศพ ถูกสอยร่วงกลางเมือง...อาจต้องเจี๊ยะเต้ เข้าไปดื่มน้ำชา เพื่อสลายพิษ!!!
ใครที่สร้างรอยด่าง-ดำ...มักหนีกฎแห่งกรรม?...ที่ทำเอาไว้ ไม่พ้นหรอกพี่ทิด????

----------------------------

“ความลับ” ไม่มี ในโลก!!!
รู้เห็น..และซาบซึ้งเป็นอันดี ถึงพฤติกรรม อันยอกย้อน และสกปรก??
ย้อนไปเล่าเรื่องเก่า เอามาบอกกันใหม่..ในกรณี “มังกรเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถือกล่าวหาว่าเป็นลูกต่างด้าว ไม่ใช่คนไทย...
การปลอมหลักฐาน ด้วยกระดาษแผ่นดิน..ด้วยการแก้ “เลข ๗” ให้เป็น “เลข ๙” กล่าวได้ว่า ผู้เอกสารเท็จ ฝีมือยอดเยี่ยมกระเทียมโทน เหลือหลาย
ถึงกับต้องยกนิ้ว “ซูฮก” กันเลยทีเดียวเชียว...กับการสะกิดแก้ตัวเลข..จน “อดีตนายกฯบรรหาร” เจอพิษกลายเป็น “คนต่างด้าวท้าวต่างแดน” เข้าไปเต็มรัก!!!
ฉะนั้น,อย่าเชื่อหลักฐานบางชิ้น..บางทีอาจปลอมจนชิน?..สร้างมลทิน เพื่อให้บางคนได้กระอัก????

----------------------------

“สยบ” ได้ไม่เหลือ!!
ขย่ม พรรคฝ่ายค้านเสียงข้างมาก “ประชาธิปัตย์” ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ด้วยผลงานเนื้อ..เนื้อ??
หยิบเอา “คลิปภาพ” กองทัพมดที่นำข้าวเขมร เข้ามาสวมสิทธิ์เป็น “ข้าวไทย” เพื่อเข้าโครงการรับจำนำข้าวแพง เกวียนละหมื่นห้า
พรรครักประเทศไทย ของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ซึ่งมี ๔ ที่นั่ง..โชว์พาว โชว์ออฟผลงาน ได้ยอดเยี่ยม เหนือชั้นกว่า
ถึงมียอด สส. นับหัวได้..แต่ก็เป็นพวกที่มีคุณภาพเต็มร้อย... โชว์ผลงานได้เจ๋ง!!!
เลิก “ค้าน” แบบทำเรื่องยุ่ง..ทำเช่นนี้ไม่มีวันรุ่ง?..หากทำตัวเป็น ผักบุ้งโหรงเหรง

----------------------------

เป็น “ขุน” อย่าลดตัวเป็น “เบี้ย”
ฟาดตำแหน่งใหญ่คับแข้งคับขา..ลดเพดานบิน มาเป็นแค่ “ประธานกรรมาธิการ”..บอกได้เลยว่า มี เสียกับเสีย???
เห็นแล้วให้ละเหี่ยเพลียหัวใจ..เมื่อ “คุณปู่ชัย ชิดชอบ” และ “ท่านชวรัตน์ ชาญวีรกุล” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มารับจ๊อบ เป็น “ประธานกรรมาธิการ”
ในพรรคภูมิใจไทย มี สส.เกรดดีชั้นเยี่ยม อีกเป็นกระบุงโกย....แต่โดนดอง แช่เย็น ไม่ให้เขา เป็นกัน
ที่ถูกควร ที่ควร น่าสร้างรากฐาน, ให้พรรคภูมิใจไทย ก้าวและเติบโตตามสเต็ป..โดยหนุนเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง!!
ถึงท่านจะเป็นคนเก่ง..แต่ก็ควรปลดระวางตัวเอง?...ไม่ใช่เขย่ง เอากันทุกตำแหน่ง???

ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

ผบ.ทบ. ฮึ่มขวางแก้ พรบ.กลาโหม ยันให้เลิกพูดปฏิวัติ !!?

งดประชุม3วันไฟเขียว'ส.ส.-ส.ว.'ช่วยน้ำท่วมชูโรดแม๊พเหลือง-แดง

คอป.เปิดโรงแม๊พเยียวยาเหยื่อการเมืองวางคิวถก'แม่น้องเกด-เมียร่มเกล้า-ลูก เสธ.แดง-มาร์ค-พ่อค้าราชประสงค์'หวังสร้างปรองดอง ขณะที่ “รัฐสภา” สั่งงดประชุม 3 วันไฟเขียว ส.ส.-ส.ว. ช่วยน้ำท่วม “จตุพร” แจงเปิดหมู่บ้านแดงระดมปัจจัยซับน้ำตา จวก “ปชป.” เล่นการเมืองไม่รู้จักกาลเทศะย้ำรื้อกฎหมาย “สนช.” 177 ฉบับหลังน้ำลดแน่นอน ด้าน “ผบ.ทบ.” ลั่นพร้อมบุกสภาขวางแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ด้วยตัวเอง แถมสอนมวยผู้แทนต้องแก้จิตสำนึกสำคัญที่สุด ยันเลิกพูดปฏิวัติได้แล้ว ฝ่าย “ปชป.” ซัด “ปู” ทำตัวปากว่าตาขยิบ ส่วน “เรืองไกร” ยื่น “กกต.” สอยเก้าอี้ 2 ส.ส.ปชป. แทรกแซงอัยการ ด้าน “วิรัตน์” ขีดเส้น 15 ต.ค. ลุยล่าชื่อถอดถอน “จุลสิงห์” หากไม่ยอมส่งเอกสารคดีเลี่ยงภาษี

งดประชุมสภา 3 วันลุยน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 รักษาการประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า จากการหารือกับนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เห็นว่าควรงดการประชุมสภาในวันที่ 12 และ 13 ต.ค. รวมทั้งการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 17 ต.ค. นี้ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภาและนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ เสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อมาแก้วิกฤติในขณะนี้ว่า ไม่ทราบเจตนาของ ส.ว. และนายถวิล แต่ตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วย เพราะรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี สามารถสั่งการได้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติตามคำสั่งได้อยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

“พท.”อ้างระดมแดงซับน้ำตา

นายจตุพร ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวตอบโต้นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่ จ.อุดรธานี เป็นการสร้างความแตกแยกภายในประเทศว่า นายชวนนท์ไม่ทราบข้อเท็จจริงแล้วมาพูดใส่ร้าย ภารกิจหลักของการไปเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่ จ.อุดรธานี นั้น เพื่อเชิญชวนชาวอุดรธานีและคนไทยทั้งประเทศที่ไม่ประสบภัยน้ำท่วมมาร่วมกันตั้งเต็นท์บริจาคสิ่งของช่วยผู้ประสบภัย และวันที่ 14 ต.ค. เวลา 10.00-24.00 น. จะจัดคอนเสิร์ตคนเสื้อแดงที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เพื่อรับบริจาคเงินและสิ่งของจำเป็น จากนั้นวันที่ 15 ต.ค. จะขนสิ่งของที่ได้ไปแจกจ่ายผู้ประสบภัย ทั้งนี้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง จะประสานไปยังศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือ (ศปภ.) เพื่อกำหนดให้คนเสื้อแดงแต่ละจังหวัดรับผิดชอบเฉพาะจุดในแต่ละพื้นที่

จวก“ปชป.”ไม่รู้จักกาลเทศะ

ส.ส.เสื้อแดง กล่าวอีกว่า การดำเนินการของคนเสื้อแดงในครั้งนี้จะใช้รูปแบบการเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินเหมือนวันที่ 12 มี.ค. 2553 แต่ครั้งนี้เป็นรูปแบบการเคลื่อนพลขนของไปบริจาค ดังนั้นคนที่เล่นการเมืองไม่รู้กาลเทศะและเล่นไม่เลิกคือพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ขอฝากไปถึงประชาชนที่กำลังประสบอุทกภัยในขณะนี้ว่า ตนเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบและความสูญเสียจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม แต่อยากให้อดทนอดกลั้น หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกไปบริจาคสิ่งของในพื้นที่ใด ขออย่าแสดงอาการใด ๆ เหมือนเหตุการณ์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวตนมองว่าชาวบ้านคงไม่ได้มีเจตนาก่อกวน แต่เป็นเพียงแค่การแสดงความเห็นเป็นปกติ เพราะวันที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนไม่เห็นว่าทำอะไร

ฮึ่มน้ำลดรื้อกฎหมาย“สนช.”

ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า หลังรัฐประหารสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านกฎหมายจำนวน 177 ฉบับ บางฉบับผ่านด้วยองค์ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่งโดยมี พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมรวมอยู่ด้วย บางฉบับมีองค์ประชุม 84-85 เสียง บางฉบับมีแค่ 40 คนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 250 คน ซึ่งเป็นการตรากฎหมายที่มิชอบ หลังน้ำลดจะสังคายนากฎหมาย 177 ฉบับทั้งหมด คาดว่ากว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายรวมเวลาฟื้นฟูคงไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ดังนั้นไม่ใช่ว่าจะดำเนินการทันทีตามที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังบิดเบือน อีกทั้งแก้ไขวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายผ่านพ้นไปแล้ว

ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า การที่นายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิ ปัตย์ ระบุว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยหวังรวบอำนาจในกองทัพนั้น คนที่พูดเป็นทายาทคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แต่พวกตนเป็นคนในกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนมีสิทธิตรวจสอบรัฐบาลและรัฐบาลก็มีสิทธิตรวจสอบการบริหารของราชการ

“บิ๊กตู่”แนะแก้จิตสำนึกของคน

วันเดียวกัน ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเตรียมขอแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่มีอำนาจโยกย้ายแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ขอถามว่าถ้าทหารแข็งแรงเกินไปแล้วจะปฏิวัติอย่างเดียวใช่หรือไม่ ทำไมไม่ให้ทหารแข็งแรงเพื่อป้องกันชายแดน พัฒนาช่วยเหลือประชาชน

“วันนี้อย่าพูดคำนี้ สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็แก้กัน อย่าให้เกิดขึ้นมาอีก และไปหาวิธีการอื่น ไม่ใช่มาแก้กันด้วยกฎหมาย ถามว่ากฎหมายหรือรัฐธรรมนูญที่แก้กันมา ทำอะไรได้บ้าง แก้อะไรได้บ้าง อยู่ที่คนทั้งสิ้น ต้องมีความสำนึก ความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต ท้ายสุดคือความจงรักภักดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ต้องไปแก้อะไรทั้งสิ้น” ผบ.ทบ. ระบุและว่า วันนี้ตนไปมีทีท่าอะไรอย่างอื่นหรือไม่ เราไม่ได้ไปต่อสู้กับใครเลย เป็นเรื่องของการทำงานร่วมกัน

ลั่นบุกสภาแจง พ.ร.บ.กลาโหม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาไม่ได้มีประเด็นขัดแย้งใน พ.ร.บ. ดังกล่าว เพียงแต่ถามมาตนก็ตอบให้ฟังว่ามี พ.ร.บ. กลาโหมอยู่ ถามว่าแก้ได้ไหม ตนก็ตอบว่าไม่ได้ เพราะเวลาประชุมกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ก็หัวเราะพูดคุยกัน คนนี้เป็นตรงนั้น คนนั้นเป็นตรงนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ขัดข้อง ไม่มีการยกมือโหวตกัน ไม่เคยทะเลาะกัน และทะเลาะกันไม่ได้ มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะเป็นพี่น้องโตตามกันมาทั้งนั้น และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา

ต่อข้อถามว่า คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน กมธ. เตรียมให้กองทัพเข้าชี้แจงเรื่อง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนอาจไปชี้แจงด้วยตัวเองก็ได้ แต่ปกติแล้วหากมีหนังสือเชิญมาจะให้ผู้แทนหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องเรื่องกฎหมาย เช่น นายทหารพระธรรมนูญ กรมพระธรรมนูญ ไปชี้แจง ทั้งหมดเป็นระบบ

“ปชป.”ซัด“ปู”ปากว่าตาขยิบ

ด้านนายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนถึงการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากพรรคเพื่อไทยจุดประเด็นการแก้ไข ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เห็นด้วย จะได้เป็นการปรามลูกพรรคให้ไปสนใจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมมากกว่าการแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ หรือถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เห็นด้วย ประชาชนจะได้รับทราบว่ากระบวนการเรียกร้องแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยขณะที่นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการสั่งงดการประชุมสภา เพราะเวทีสภาไม่ใช่เวทีของรัฐบาล แต่เป็นเวทีสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การที่จะให้ ส.ส. ได้ลงพื้นที่ไปช่วยแก้น้ำท่วมก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเข้าใจ แต่ ส.ส.กรุงเทพฯ ซึ่งกำลังจะประสบปัญหาก็ต้องการสะท้อนความเดือดร้อนเพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข การปิดสภาเช่นนี้จึงไม่เป็นผลดีต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาของทุกฝ่าย

“คอป.”แย้มแนวทางเยียวยา

ขณะเดียวกัน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ถึงผลการประชุม คอป. ว่า ที่ประชุมจะจัดให้มีการประชุมระดมความเห็นวางกรอบการเยียวยาโดยจะเชิญนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของ คอป. (ปคอป.) เข้าร่วม ส่วนตัวแทนผู้เกี่ยวข้องจะเชิญมา 3 กลุ่ม คือ ผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่ ญาติผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ เช่น ภรรยา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ หรือ เสธ.แดง ผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น กลุ่มผู้ค้าย่านราชประสงค์ด้วย กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มผู้มีประสบการณ์ด้านการเยียวยาหรือเคยได้รับผลกระทบมาก่อน เช่น คุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ญาติวีรชนพฤษภา 35 องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในช่วงเดือน ต.ค. นี้

นายกิตติพงษ์ เปิดเผยอีกว่า วันที่ 12 ต.ค.นี้ นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป. พร้อมคณะ จะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ที่โรงแรมสยามซิตี จากนั้นจะนัดพูดคุยกับบุคคลสำคัญอื่น ๆ ต่อไป

“อสส.”ส่งเอกสารคดีเลี่ยงภาษี

อีกเรื่องหนึ่ง นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงการจัดส่งสำเนาเอกสารการไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายบรรพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ตามที่ได้ร้องขอก่อนหน้านี้ว่า นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด (อสส.) กำลังพิจารณาว่าเอกสารส่วนใดที่สามารถส่งให้พรรคประชาธิปัตย์ได้บ้าง ที่ขอมาก็สามารถส่งให้ได้มากพอสมควร แต่เอกสารบางอย่างก็ไม่มี ส่วนสำเนาความเห็นของอัยการแต่ละคนไม่สามารถให้ได้ จะให้ได้เฉพาะความเห็นของคณะทำงาน

ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ขู่จะยื่นถอดถอนอัยการสูงสุดนั้น โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะถอดถอนด้วยเรื่องอะไร เพราะอัยการมีความเห็นโดยถูกต้องแล้ว โดยคณะทำงานของอัยการตรวจสอบคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็มีความเห็นพ้องไปในทางเดียวกัน

ร้อง“กกต.”เชือด“ถาวร-วิรัตน์”

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. สรรหา ยื่นหนังสือให้ กกต. ตรวจสอบนายถาวร เสนเนียม และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้สถานการณ์เป็น ส.ส. เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือพรรคการเมือง อันเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (1) ที่อาจจะทำให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (6)

หนังสือระบุว่า การที่นายวิรัตน์และนายถาวรเข้ายื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการไม่ยื่นฎีกาคดีภาษีหุ้นบริษัทชินคอร์ปต่อศาลฎีกา และขอให้อัยการดำเนินการส่งมอบเอกสารของคดี รวมทั้งการออกมาให้สัมภาษณ์เตรียมจะถอดถอนอัยการสูงสุด ทั้งหมดนี้ทำให้เชื่อได้ว่าบุคคลทั้งสองมีพฤติการณ์เข้าข่ายการกระทำต้องห้าม รวมทั้งให้ กกต. พิจารณาด้วยว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจใดในการลงมติและมีหนังสือไปยังอัยการสูงสุด ซึ่งหากเห็นว่า ป.ป.ช. กระทำการโดยไม่มีอำนาจ ก็ให้ส่งเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 244 (1) (ค) เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ซึ่งเป็นอำนาจในการตรวจสอบ

“วิรัตน์”โต้ล้วงลูกองค์กรอิสระ

ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ยื่นให้ กกต. ตรวจสอบนายวิรัตน์และนายถาวร ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงองค์กรอิสระว่า ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแทรก แซง เพราะ ส.ส. ทำหน้าที่เพื่อประชาชนในการตรวจสอบการทำงาน และไม่เป็นการแทรก แซงดุลพินิจของอัยการสูงสุด เพราะคดีได้สิ้นสุดไปแล้ว เนื่องจากอัยการได้ใช้ดุลพินิจไม่ฎีกาคดีแล้ว เพียงแต่ตนและนายถาวร อยากทราบเหตุผลว่าเหตุใดอัยการจึงพิจารณาสั่งฟ้องบุคคลทั้งสามในตอนแรก และขอความเห็นถึงขั้นตอนที่อัยการไม่ฎีกาคดีด้วย

“การที่นายเรืองไกรออกมาร้องอย่างนี้ ไม่กระทบการทำงานของพวกผมอย่างแน่นอน แต่อยากถามนายเรืองไกรว่าทำหน้าที่โดยสุจริตหรือทำเพื่อใคร และมีเจตนาอะไร ในช่วง 1-2 วันนี้จะให้เวลาอัยการเรียกประชุมคณะทำงาน เพื่อพิจารณาว่าจะส่งเอกสารใดมาให้พรรคบ้าง แต่ถ้าถึงวันที่ 15 ต.ค. แล้วไม่มีความคืบหน้า พรรคก็จะพิจารณากระบวนการยื่นถอดถอนต่อไป” หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ระบุ

ครม. แต่งตั้ง“บิ๊ก” 2 กระทรวง

วันเดียวกัน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้ นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ นางพรทิพย์ ปั่นเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และนายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบการแต่งตั้งในกระทรวงคมนาคม ดังนี้ นายวันชัย ภาคลักษณ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง เป็นอธิบดีกรมทางหลวง และนายชาติชาย ทิพย์สุนาวี รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท เป็นอธิบดีกรมทางหลวงชนบท นอกจากนี้ยังได้รับทราบการแต่งตั้งนายอัยยณัฐ ถินอภัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และแต่งตั้ง น.อ.จิรพล เกื้อด้วง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=169113

ที่มา: เดลินิวส์

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วรเจตน์ มีเจตนาอะไร !!?

ปรากฏการณ์ “นิติราษฎร์” เริ่มเขย่าวงการ “นักกฎหมายมหาชน” อย่างหนักหน่วง โดยทางกลุ่มคณาจารย์ด้านกฎหมายแห่งรั้วแม่โดมกลุ่มนี้ จงใจเลือกวันก่อตั้ง “คณะนิติราษฎร์” ในวันที่ 19 กันยายน 2553 ซึ่งเป็น วันเดียวกัน เดือนเดียวกันกับการทำรัฐประหารครั้งล่าสุดของสยามประเทศ คือ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือเลือกที่จะก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาหลังจากมีการยึดอำนาจผ่านไปได้เพียง 4 ปี

คณะนิติราษฎร์จงใจเลือกวันก่อตั้งในวันที่ 19 กันยา ก็เพียงเพื่อจะสื่อสารไปยังประชาชนคนไทย ทั้งประเทศว่า.. ปัญญาชนด้านกฎหมายนั้นเอือมระอากับการยึดอำนาจรัฐด้วยปากกระบอกปืนเต็ม ทนแล้ว..การพร้อมใจกันของกลุ่มอาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ทั้ง 7 ท่านในนาม “คณะนิติราษฎร์” ที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทาย “อำนาจกองทัพ” ในครั้งนี้..จะเป็นคุณต่อประเทศหรือไม่?? สังคมควรพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียดถี่ถ้วนและเป็นกลาง...ปฏิกิริยาของแถลงการณ์ “คณะนิติราษฎร์” เนื่องในโอกาสเว็บไซต์ครบรอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2554 นับได้ว่าสั่นคลอนระบบอำนาจของประเทศอย่างชนิดที่ไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าเคย ทำมาก่อน..

การเสนอให้มีการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นต้นเหตุ ของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนไม่เพียงเฉพาะนักกฎหมายต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่า..เมื่อมีการทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐไว้ในมือคนเพียงไม่มีกี่คน.. มันคุ้มหรือไม่กับผลกระทบที่จะตามมา?!?! เราคนไทยสมควรก้มหัวให้การ ยอมรับ “การทำรัฐประหาร” ของคณะบุคคลใดๆ ก็ได้อย่างนั้นหรือ??? และที่ผ่านๆ มาทำไมสังคมไทยต้องให้การยอมรับการทำ “รัฐประหาร” หรือเพราะความหวาดกลัว “คนถือปืน”...
คนไม่มีปืน..ไม่มีรถถัง.. ยึดอำนาจได้หรือไม่??? สำหรับประเทศไทยนั้นคงจะยาก.. แต่ในต่างประเทศที่ “ประชาธิปไตยเสื่อม” มีความเหลื่อมล้ำสูง ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม..การ เกิด “ปฏิวัติจากประชาชน” ก็มีให้เห็นอย่างที่เป็นข่าวไปแล้วเกือบครึ่งโลกเมื่อไม่นานมานี้..สำหรับ “นิติราษฎร์” ที่เดินหน้าชูธงว่าการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นทำลายนิติรัฐ ที่สำคัญมันเป็นการทำลายประชาธิปไตยของประเทศ เราคนไทยมีสิทธิ์คิดเห็นต่างไปจากคณาจารย์กลุ่มนี้ได้มิใช่หรือ???

เพราะเพียงแค่หยิบประเด็น “การยึดอำนาจ” ขึ้นมาถกกัน..ยังวุ่นกันไม่เลิก..เพราะมีสื่อบางจำพวกตีความเลยเถิดเกินขอบเขต..ในทำนองที่ว่า..หากใครไม่เห็นด้วยหรือต่อต้าน “คณะนิติราษฎร์” จะถูกผลักให้ไปอยู่กลุ่มผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารไปซะอย่างนั้น!!! แต่ที่ “นิติราษฎร์” แทงตรงโดนใจผู้มีอำนาจนอกระบบ..ก็ตรงที่เสนอให้คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นั้นเสีย เปล่าและถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย..ไม่รู้ว่า “กลุ่มนิติราษฎร์” ไปกินดีหมีมาจากไหน??? เพราะข้อเสนอการลบล้าง ผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มันเหมือนกับวันที่ 18 กันยายน 2549 ก่อนวันยึดอำนาจ 1 วัน คือเสมือนไม่มีการทำรัฐประหาร!!! คล้ายกับว่าคนไทยยังคงใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 อยู่เช่นเดิม..

แม้ว่าทาง “นิติราษฎร์” จะออกมานั่งยันนอนยันว่าข้อเสนอเรื่องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ใช่ นิรโทษกรรม-อภัยโทษ หรือการล้างมลทินแก่บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เพียงแต่อยากให้ดำเนินคดีไปตามกระบวนการทางกฎหมายปกติ.. แต่สังคมก็มีสิทธิ์ตั้งข้อสังเกตในประเด็น “การล้างผิด” ให้กับผู้มีอำนาจมิใช่หรือ??? คงต้องจับตา “ปรากฏการณ์นิติราษฎร์” ว่าจะทำให้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นความว่างเปล่าเหมือนอากาศธาตุได้จริงหรือไม่ ??? แต่อย่างน้อย “การต่อต้านรัฐประหาร” ก็สร้างแรงสะท้อนในระบอบประชาธิปไตยไทยได้เป็นวงกว้าง..ส่วนการสร้างความชอบธรรมให้กับทางกลุ่มนิติราษฎร์..โดยการเสนอให้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นดอกผลจาก “ต้นไม้พิษ” รัฐประหาร 19 กันยายน ซึ่งมีปัญหาด้านความชอบธรรมทางประชาธิปไตย สมควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน “ผลไม้พิษเผด็จการ 2550” ก็เห็นหลายฝ่ายขานรับอยู่มิใช่น้อย...

ด้านข้อเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 นั้นก็คงเป็นเพียงการ “แหย่รังแตน” เพื่อทำการเปิดหน้ากลุ่มอนุรักษ์ให้ออกมาโชว์ตัวต่อสาธารณชน.. คาดว่าทางกลุ่มนิติราษฎร์คงไม่คาดหวังผลการเปลี่ยนแปลงประเด็นดังกล่าวในห้วงเวลานี้..แต่สุดท้ายก็มีผู้ออกมา “งับเหยื่อ” ในมาตรา 112 อยู่หลายราย... แต่ไม่รู้ว่า “จริงใจ” หรือ... “เล่นละคร” ?!?! ไม่ว่าความเห็นทางวิชาการของกลุ่มใดก็ตาม.. จะมีธงในใจหรือไม่ก็ตามที.. แต่หาก “แก่นแท้” ในเนื้อหาที่นำเสนอสู่สาธารณะนั้น “เป็นความจริง”.. และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทยโดยส่วนรวม..
เราคนไทยพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับ “ความจริง” และยอมรับมันได้มากน้อยเพียงใด??? หลังจากนี้ต่อไปหากสังคมขานรับกับแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์.. “อำนาจนอกระบบ” ที่ฝังรากลึกกับประเทศแห่งนี้คงต้องมีการเปลี่ยนแปลง.. หรือไม่อย่างน้อย “กองทัพ” ผู้ทรงอิทธิพล ในวันนี้ คงจะลดบทบาทตัวเองลงเป็นแค่ “ส่วนประกอบของอำนาจ” มิใช่เป็นฝ่ายกุมอำนาจของประเทศแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป..


ที่มา:สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////