ไทยกำลังจะถูกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ยึดวงจรดาวเทียม
แม้กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ก้มลงคุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาเป็นสายเลือด ITU ก็ประกาศเฉียบขาดไม่ยอม...อีกแค่ 4 เเดือน ข้างหน้า สิ้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง
วงจรดาวเทียมไทยที่ระยะ 120 องศา ถูกยึดแน่นอน...นอกจากไทยต้องยิงดาวเทียมเข้าสู่ตำแหน่งนั้น หรือจะทำอย่างไรก็ได้ ต้องมีดาวเทียมในตำแหน่งนั้นให้ได้...ก่อนจะถึงเส้นตาย
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินได้ จนกว่าจะครึ่งหลังเดือนสิงหาคมไปแล้ว เพราะขบวนการเข้าสู่อำนาจเป็นรัฐบาลบังคับ
จำเป็นต้องตะโกนดังๆ บอกพรรคเพื่อไทยและคนไทยเอาไว้ ไทยกำลังจะถูกยึดตำแหน่งดาวเทียม เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาลและความเชื่อถือของชาติอย่างยิ่ง...ไทยอาจเป็นชาติแรกที่ถูกยึด
ITU ไม่ยอมผ่อนปรนจะยึดให้ได้ก็เพราะกว่า 100 ประเทศอยากได้ตำแหน่งดาวเทียมของไทย โดยเฉพาะจีนกับญี่ปุ่นจะเอาให้ได้
เพราะตำแหน่งดาวเทียมที่ระยะ 120 องศา เป็นตำแหน่งดีเยี่ยมเพียงไม่กี่ตำแหน่งเหนือโลก ที่ดาวเทียมมีรัศมีครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลและบนแผ่นดินกว้างใหญ่
นอกจากทางพาณิชย์ ยังเยี่ยมด้วยการอำนวยประโยชน์การเดินเรือและเดินอากาศ แถมเป็นประโยชน์แก่ยุทธศาสตร์ทางทหารมหาศาล ใครล่ะไม่อยากได้
การเสียประโยชน์วงจรดาวเทียมจุดนี้เป็นเรื่องบ้าปนเศร้าสุดบรรยาย มันเกิดเพราะเงินหรือประโยชน์มหาศาลจากระบบโทรศัพท์ 3G ที่บัดนี้มันยังเป็นความลับดำมืด
แต่มีผลทำให้ศาลปกครองสั่งว่า...คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่มีอำนาจออกใบอนุญาติ 3G ต้องรอให้ตั้ง กสทช.ขึ้นแล้วกสทช.เป็นผู้ออก
มีผลทำให้ กทช. หรือแม้ กสทช. ที่ตั้งขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีสิทธิเต็ม100% ออกใบอนุญาติประกอบการดาวเทียม ณ จุด 120 องศา ให้แก่ กสท.ที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการได้
เราไม่อยากให้รัฐบาลอภิสิทธิทิ้งท้ายจากไปด้วยความทรงจำเลวร้าย...ประเทศไทยถูกริบวงจรดาวเทียมเสียประโยชน์ของชาติย่อยยับมหาศาล
เป็นไปได้ใหมที่รัฐบาลรักษาการรีบขอให้ศาลปกครองให้ความคุ้มครองชั่วคราวเป็นการด่วน ให้ออกใบอนุญาติประกอบการดาวเทียม ณ จุดนี้ ให้แก่ กสท.ได้
จะได้รีบไปซื้อดาวเทียมหรือเช่าก็ได้จากดาวเทียมที่ยิงขี้นไปโคจรอยู่บนฟ้าอยู่แล้วลากเข้าสู่จุด120 องศา เพื่อรักษาสิทธิของประเทศไทยเป็นการด่วน
ถ้ารัฐบาลรักษาการทำไม่ได้หรือลังเล คุณยิ่งลักษณ์ต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ ให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาแก้ไขด่วนจี๋...ไฟลนก้นเต็มทีเรากำลังจะถูกริบแล้ว
ในประเทศไทยเรานั้น ไม่มีใครรู้เรื่องดาวเทียมดีเท่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร หรอก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////
วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วงโคจรดาวเทียม ที่ 120 องศา กำลังถูกยึด!!?
คิกออฟรัฐบาลใหม่ กับดักล้ำหน้า โรดแมป ทักษิณคิดเพื่อไทย ทำ !!?
คำพูดย่อมเป็นนายของตัวเอง!!! ยิ่งเป็นสัญญา “หน้าข้าว หน้าเหล้า” ที่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้นจากประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เกินครึ่งประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ไม่ต่างจากจุดศูนย์รวม ความหวัง
n ด่านแรกสาง 6 ภารกิจเร่งด่วน
เป็นธรรมดา เมื่อประชาชนมีความคาดหวังสูง ถ้าสิ่งที่ประกาศออกไปไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ความคาดหวังเหล่านั้น ย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ว่าจะนำมาซึ่งทฤษฎีหัวกลับ กระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความ ช้ำมาก ความผิดหวังมาก หรืออาจถึงขั้นดำเนินไปถึงความเกลียดมันก็มีทางเป็นไป ได้ทั้งนั้น???
ส่งผลให้ ภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ อันประกอบด้วย
1.การยกเลิกเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เฉพาะน้ำมันบางชนิด อาทิ เบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาท เบนซิน 91 ลดลง 6.50 บาท ดีเซล ลดลง 2.20 บาท
2.การแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง
3.การจัดทำระบบประกันสุขภาพใหม่
4.การแก้ไขปัญหายาเสพติด
5.การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศ เพื่อนบ้าน
และ6.การดำเนินการตามแผนการปรองดอง..
กำลังตกเป็นที่จับจ้องจากสายตาสาธารณชนทั่วสารทิศ ด้วยศักยภาพของรัฐบาล ผ่านม็อตโต้หาเสียง “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย” ทำ จะทำได้ไม่ได้ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แจ้งกระจ่างชัดและเห็นจริงแล้วคือ ประชาชนต่างมีคำตอบในใจที่ปรากฏชัดตามคำโฆษณาชวนเชื่อบนป้ายหาเสียงไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน “ทักษิโณมิกส์” แล้ว
n เดิมพันข้าวยากหมากแพงที่ต้องก้าวข้าม
อย่างไรก็ดี หากจับจากภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ ด้วยประสบการณ์บริหาร ภายใต้กรอบ “ทักษิโณมิกส์” เชื่อว่า 4 ใน 6 ภารกิจ ไม่น่าจะยากเกินมือของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1” แต่ 2 ภารกิจที่เหลือถือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ถือเป็นจุดสลบตัวจริงของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และว่ากันว่า ด้วยปมปัญหาดังกล่าว มันมีอานิสงส์ในการตัดสินใจให้กลุ่มคนที่ยังไม่เลือกใคร เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยจนเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์..ถ้างานนี้ แก้ปัญหาไม่ได้ดังที่ประชาชนคาดหวัง คลื่นสึนามิลูกเดียวกัน มันย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ที่อาจจะม้วนหางกลับไปสั่นคลอน เสถียรภาพรัฐบาลเพื่อไทยเช่นกัน
n ยาดำโรดแมปปรองดองฉบับสีแดง
อีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วนที่ถือว่าหินไม่แพ้กัน นั่นก็คือการดำเนินการตามแผน การปรองดอง แม้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะย้ำในทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการชุดของ “คณิต ณ นคร” เป็นผู้ดำเนินการ แต่เนื่องด้วยวาระปรองดองยังคงดังคาบเกี่ยวคู่ขนานมากับ “วาระนิรโทษกรรม” ที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจับจ้องอย่างจดจ่อและตาเป็นมัน ถึงตรงนี้ หากเผอิญบทสรุปสุดท้าย ลงเอยด้วยการปลดล็อกข้อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนเวลาใด ฝ่ายที่ไม่เอา “ระบอบ ทักษิณ” ก็พร้อมจะลุกขึ้นมาคัดค้านได้ในทุกเงื่อนเวลาเช่นกันนั่นรวมไปถึงการเขย่าโผคณะรัฐมนตรี หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 1” ที่สถานการณ์เริ่มใกล้เคียงบรรยากาศ “แดงเดือด” เข้าไปทุกขณะจิต เนื่องด้วยมีการเล่นกำลังภายในระหว่างคนกันเองของนักเลือกตั้งและแกนนำ นปช. ไม่มีแดง ไม่มีเพื่อไทย หรือ ไม่มีเพื่อ ไทย ก็ไม่มีแดง นั้นไม่มีใครทราบ??? แต่ที่ทุกฝ่ายแม้กระทั่ง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” หรือแม้กระทั่ง “ปู-ยิ่งลักษณ์” ทราบและรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว คือหากมวยฮาร์ดคอร์อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รวมไปถึง “น.พ.เหวง โตจิราการ” ได้รับการปูนบำเหน็จ มันจะมีผลสั่นสะเทือนไปถึง “โรดแมปปรองดองฉบับสีแดง” มากน้อยเพียงใด
n หลุมดำสัญญาใจค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท
นอกจาก 6 ภารกิจเร่งด่วน ยังมี นโยบายขายฝันอีกหลายโครงการ ที่เริ่มถูกท้าทายว่าเป็นเพียงนโยบายภาพเสมือนจริง ที่ยากจะจับต้องได้ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ คิกออฟ 1 มกราคม 2555 ดูเหมือนจะเป็นนโยบายที่กำลังเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” อย่างมากในวงสังคมไทย แม้นักธุรกิจเมืองขอนแก่น จะเดิน หน้าขานรับเป็นรายแรก ด้วยการปรับฐาน ค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เสียงดังกล่าวก็ดูเหมือนจะด้อยราคา ลงในทันที พลันที่ “บุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภครายใหญ่ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าว อย่างเผ็ดร้อน“เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ รัฐไม่ควรดำเนิน นโยบายเช่นนี้ หากทำจริงจะเป็นเรื่องที่เสียหายมาก ระบบจะพัง นักลงทุนจะหนีหายหมด เหมือนกับกรณีที่นักลงทุนจีนหนี มาลงทุนในตลาดไทย เพราะประเทศจีนมี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ”นั่นรวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีก มากมาย ที่มองกันว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจเอส เอ็มอีก ที่มีกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ
แม้งานนี้ หลายฝ่ายจะมองว่า การผ่านนโยบายดังกล่าวในขั้นคณะกรรมการ ไตรภาคี ที่ในอดีตไม่ต่างจากปราการสกัด ดาวรุ่งการขึ้นค่าแรง จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เมื่อมีแนวโน้มว่าภาครัฐจะจับมือกับฝ่ายผู้ใช้แรงงาน แต่มันก็ยังมีคำถามย้อน กลับไปอีกว่า หากเจ้าของกิจการอยู่ไม่ได้ แล้วใครกันเล่าจะเข้ามาโอบอุ้มแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ 300 บาท ประเด็นร้อนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จึงกลายเป็นด่านหินในการพิสูจน์ฝีมือ การบริหารประเทศของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ภายใต้แคมเปญ “ทักษิณ”คิด..“เพื่อไทย” ทำ..ได้เป็นอย่างดี!!!
n พันธกิจหินสานเมกะโปรเจกต์
ข้ามช็อตไปที่เมกะโปรเจกต์ที่พรั่งพรู ออกมาแบบรายวันในช่วงหาเสียง จับเฉพาะ โครงการเด่นๆ ที่ประกาศออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท เชื่อมรถ เรือ บีทีเอส บีอาร์ที ที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านป้ายคัตเอาต์หาเสียง โครงการนี้ถือว่าถูกปรามาศอย่างหนักจาก พรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่มีทางจะบริหารจัดการให้คุ้มทุน เพราะรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินแต่ละสาย ลงทุนสายละเป็นหมื่นล้าน มันจึงยากและยากยิ่งกว่า หากจะข้าม ช็อตไปคิดถึงเรื่องผลกำไร และนี่ก็คืออีกด่านสกัดที่จะวัดฝีมือ “ทักษิโณมิกส์” ว่าจะยังคงความขลังเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป หรือไม่???
n ข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนบนแท็บเล็ตเด็ก “ป.1”
ตัดสลับมาที่นโยบายประชานิยมด้านการศึกษา ล็อกเป้าไปที่วาระแจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้คู่เทคโนโลยีอันกว้างไกล แต่สุดท้ายก็ทอดยอดกลายเป็นข้อครหาเก่าๆ ดั้งเดิมใน “วาระซ่อนเร้น ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ต้องกระเด็นตกเก้าอี้มาแล้วครั้งรัฐบาลไทยรักไทย เงื่อนไขอะไรไม่ต่างจากเหตุการณ์ ในวันวาน เมื่อเป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องไป ถึงธุรกิจคมนาคม ทั้งผู้ให้บริการ และผู้ผลิต สินค้า หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นเสริมซึ่งจะเสริมสร้างการเรียนรู้ ที่เมื่อเอา มาเกลี่ยๆ ดู ก็จะพบว่ามีเอกชนเพียงไม่กี่รายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการแข่งขันวันนี้ แม้ในภาคปฏิบัติจะยังคงไม่บังเกิด แต่จากแผลเก่าที่เคยปรากฏ “รัฐบาล เพื่อไทย” จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการตั้งรับการตรวจสอบที่จะมาถึง!!!
n จับตาของร้อนหวยออนไลน์
ต่อจิ๊กซอว์มาที่ของร้อนที่ถูกตั้งแท่นไว้เรียบร้อยโดย “รัฐบาลเทพประทาน” นั่นคืออภิมหาโปรเจกต์มาราธอน “หวยออนไลน์” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรุสมบัติที่จะใช้เป็นกลไกในการหาเม็ดเงินมาอุดรอยรั่วจากการทุ่มทุนในเมกะโปรเจกต์ ซึ่งขณะนี้ หากใครไม่เข้าใจถึงเงื่อนไขว่า มีการตั้งแท่น เอาไว้แล้วจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา การสาน ต่อโดย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ซึ่งมีพี่ชายอย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นต้นความคิด มันย่อมสุ่มเสี่ยงอีกครั้งที่โครงการเจ็ดชั่วโคตรนี้ จะต้องเผชิญกับการคัดค้าน โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวของกองทัพ ธรรมอันมีคู่แค้นเก่าเจ้าเดิม “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เป็นแกนนำ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์คัดค้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว อีกหนึ่งแรงปะทะ อันทอดยอดมาจากการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ คงไม่แคล้ว การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐผ่านการจัดเก็บภาษี ที่มีแนวโน้มว่าภาษีบาปจะต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ นั่นย่อมเท่ากับว่า รัฐบาล ใหม่ อาจสุ่มเสี่ยงกระทบกระทั่งกับบริษัทน้ำเมา ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับขั้วอำนาจเก่าอีกครั้ง ซึ่งผลดีผลร้ายจะลงเอยอย่างไร มันก็ไม่ต่างจากการสร้างศัตรูอันเป็นมหาทุนในทางคู่ขนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ไม่พ้น
n หมากสุดท้ายวัดใจกองทัพ
นี่นับเฉพาะเชิงนโยบายขายฝัน ยังปรากฏแนวปะทะ ป้อมปราการทั้งพ่อค้านายทุน นักเคลื่อนไหว นักเลือกตั้ง ที่พร้อม จะเตะตัดขา “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้หกล้มจนหัวคะมำและหากนับรวมฝ่ายอำนาจพิเศษ ที่ หลายฝ่ายกำลังจับจ้องไปที่เก้าอี้ รมว. กลาโหม ซึ่งค่อนข้างมีผลไปถึงแนวทางการเคลื่อนของกองทัพที่ยังเป็นปริศนา ถือว่าทุกย่างก้าวต่อจากนี้ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มันย่อมไม่ใช่งานง่าย เพราะบังเกิดสารพัดงานงอก กับดักล้ำหน้า ถูกวางไว้ทุกหย่อมหญ้า ปริมณฑลการเมือง โรดแมป “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย ทำ” กำลังเจอบททดสอบใหญ่ หากคนที่อยู่ต่างประเทศไม่เรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต และคิดใหม่ทำใหม่..อีกครั้งมันก็คงไม่ง่าย ที่ “กองทัพปูแดง” จะก้าวผ่านป้อมปราการเหล็ก 7 ชั้น.. ไปได้พ้น???
ที่มา.สยามธุรกิจ
******************
n ด่านแรกสาง 6 ภารกิจเร่งด่วน
เป็นธรรมดา เมื่อประชาชนมีความคาดหวังสูง ถ้าสิ่งที่ประกาศออกไปไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ความคาดหวังเหล่านั้น ย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ว่าจะนำมาซึ่งทฤษฎีหัวกลับ กระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความ ช้ำมาก ความผิดหวังมาก หรืออาจถึงขั้นดำเนินไปถึงความเกลียดมันก็มีทางเป็นไป ได้ทั้งนั้น???
ส่งผลให้ ภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ อันประกอบด้วย
1.การยกเลิกเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เฉพาะน้ำมันบางชนิด อาทิ เบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาท เบนซิน 91 ลดลง 6.50 บาท ดีเซล ลดลง 2.20 บาท
2.การแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง
3.การจัดทำระบบประกันสุขภาพใหม่
4.การแก้ไขปัญหายาเสพติด
5.การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศ เพื่อนบ้าน
และ6.การดำเนินการตามแผนการปรองดอง..
กำลังตกเป็นที่จับจ้องจากสายตาสาธารณชนทั่วสารทิศ ด้วยศักยภาพของรัฐบาล ผ่านม็อตโต้หาเสียง “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย” ทำ จะทำได้ไม่ได้ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แจ้งกระจ่างชัดและเห็นจริงแล้วคือ ประชาชนต่างมีคำตอบในใจที่ปรากฏชัดตามคำโฆษณาชวนเชื่อบนป้ายหาเสียงไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน “ทักษิโณมิกส์” แล้ว
n เดิมพันข้าวยากหมากแพงที่ต้องก้าวข้าม
อย่างไรก็ดี หากจับจากภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ ด้วยประสบการณ์บริหาร ภายใต้กรอบ “ทักษิโณมิกส์” เชื่อว่า 4 ใน 6 ภารกิจ ไม่น่าจะยากเกินมือของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1” แต่ 2 ภารกิจที่เหลือถือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ถือเป็นจุดสลบตัวจริงของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และว่ากันว่า ด้วยปมปัญหาดังกล่าว มันมีอานิสงส์ในการตัดสินใจให้กลุ่มคนที่ยังไม่เลือกใคร เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยจนเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์..ถ้างานนี้ แก้ปัญหาไม่ได้ดังที่ประชาชนคาดหวัง คลื่นสึนามิลูกเดียวกัน มันย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ที่อาจจะม้วนหางกลับไปสั่นคลอน เสถียรภาพรัฐบาลเพื่อไทยเช่นกัน
n ยาดำโรดแมปปรองดองฉบับสีแดง
อีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วนที่ถือว่าหินไม่แพ้กัน นั่นก็คือการดำเนินการตามแผน การปรองดอง แม้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะย้ำในทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการชุดของ “คณิต ณ นคร” เป็นผู้ดำเนินการ แต่เนื่องด้วยวาระปรองดองยังคงดังคาบเกี่ยวคู่ขนานมากับ “วาระนิรโทษกรรม” ที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจับจ้องอย่างจดจ่อและตาเป็นมัน ถึงตรงนี้ หากเผอิญบทสรุปสุดท้าย ลงเอยด้วยการปลดล็อกข้อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนเวลาใด ฝ่ายที่ไม่เอา “ระบอบ ทักษิณ” ก็พร้อมจะลุกขึ้นมาคัดค้านได้ในทุกเงื่อนเวลาเช่นกันนั่นรวมไปถึงการเขย่าโผคณะรัฐมนตรี หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 1” ที่สถานการณ์เริ่มใกล้เคียงบรรยากาศ “แดงเดือด” เข้าไปทุกขณะจิต เนื่องด้วยมีการเล่นกำลังภายในระหว่างคนกันเองของนักเลือกตั้งและแกนนำ นปช. ไม่มีแดง ไม่มีเพื่อไทย หรือ ไม่มีเพื่อ ไทย ก็ไม่มีแดง นั้นไม่มีใครทราบ??? แต่ที่ทุกฝ่ายแม้กระทั่ง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” หรือแม้กระทั่ง “ปู-ยิ่งลักษณ์” ทราบและรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว คือหากมวยฮาร์ดคอร์อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รวมไปถึง “น.พ.เหวง โตจิราการ” ได้รับการปูนบำเหน็จ มันจะมีผลสั่นสะเทือนไปถึง “โรดแมปปรองดองฉบับสีแดง” มากน้อยเพียงใด
n หลุมดำสัญญาใจค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท
นอกจาก 6 ภารกิจเร่งด่วน ยังมี นโยบายขายฝันอีกหลายโครงการ ที่เริ่มถูกท้าทายว่าเป็นเพียงนโยบายภาพเสมือนจริง ที่ยากจะจับต้องได้ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ คิกออฟ 1 มกราคม 2555 ดูเหมือนจะเป็นนโยบายที่กำลังเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” อย่างมากในวงสังคมไทย แม้นักธุรกิจเมืองขอนแก่น จะเดิน หน้าขานรับเป็นรายแรก ด้วยการปรับฐาน ค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เสียงดังกล่าวก็ดูเหมือนจะด้อยราคา ลงในทันที พลันที่ “บุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภครายใหญ่ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าว อย่างเผ็ดร้อน“เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ รัฐไม่ควรดำเนิน นโยบายเช่นนี้ หากทำจริงจะเป็นเรื่องที่เสียหายมาก ระบบจะพัง นักลงทุนจะหนีหายหมด เหมือนกับกรณีที่นักลงทุนจีนหนี มาลงทุนในตลาดไทย เพราะประเทศจีนมี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ”นั่นรวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีก มากมาย ที่มองกันว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจเอส เอ็มอีก ที่มีกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ
แม้งานนี้ หลายฝ่ายจะมองว่า การผ่านนโยบายดังกล่าวในขั้นคณะกรรมการ ไตรภาคี ที่ในอดีตไม่ต่างจากปราการสกัด ดาวรุ่งการขึ้นค่าแรง จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เมื่อมีแนวโน้มว่าภาครัฐจะจับมือกับฝ่ายผู้ใช้แรงงาน แต่มันก็ยังมีคำถามย้อน กลับไปอีกว่า หากเจ้าของกิจการอยู่ไม่ได้ แล้วใครกันเล่าจะเข้ามาโอบอุ้มแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ 300 บาท ประเด็นร้อนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จึงกลายเป็นด่านหินในการพิสูจน์ฝีมือ การบริหารประเทศของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ภายใต้แคมเปญ “ทักษิณ”คิด..“เพื่อไทย” ทำ..ได้เป็นอย่างดี!!!
n พันธกิจหินสานเมกะโปรเจกต์
ข้ามช็อตไปที่เมกะโปรเจกต์ที่พรั่งพรู ออกมาแบบรายวันในช่วงหาเสียง จับเฉพาะ โครงการเด่นๆ ที่ประกาศออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท เชื่อมรถ เรือ บีทีเอส บีอาร์ที ที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านป้ายคัตเอาต์หาเสียง โครงการนี้ถือว่าถูกปรามาศอย่างหนักจาก พรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่มีทางจะบริหารจัดการให้คุ้มทุน เพราะรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินแต่ละสาย ลงทุนสายละเป็นหมื่นล้าน มันจึงยากและยากยิ่งกว่า หากจะข้าม ช็อตไปคิดถึงเรื่องผลกำไร และนี่ก็คืออีกด่านสกัดที่จะวัดฝีมือ “ทักษิโณมิกส์” ว่าจะยังคงความขลังเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป หรือไม่???
n ข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนบนแท็บเล็ตเด็ก “ป.1”
ตัดสลับมาที่นโยบายประชานิยมด้านการศึกษา ล็อกเป้าไปที่วาระแจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้คู่เทคโนโลยีอันกว้างไกล แต่สุดท้ายก็ทอดยอดกลายเป็นข้อครหาเก่าๆ ดั้งเดิมใน “วาระซ่อนเร้น ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ต้องกระเด็นตกเก้าอี้มาแล้วครั้งรัฐบาลไทยรักไทย เงื่อนไขอะไรไม่ต่างจากเหตุการณ์ ในวันวาน เมื่อเป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องไป ถึงธุรกิจคมนาคม ทั้งผู้ให้บริการ และผู้ผลิต สินค้า หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นเสริมซึ่งจะเสริมสร้างการเรียนรู้ ที่เมื่อเอา มาเกลี่ยๆ ดู ก็จะพบว่ามีเอกชนเพียงไม่กี่รายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการแข่งขันวันนี้ แม้ในภาคปฏิบัติจะยังคงไม่บังเกิด แต่จากแผลเก่าที่เคยปรากฏ “รัฐบาล เพื่อไทย” จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการตั้งรับการตรวจสอบที่จะมาถึง!!!
n จับตาของร้อนหวยออนไลน์
ต่อจิ๊กซอว์มาที่ของร้อนที่ถูกตั้งแท่นไว้เรียบร้อยโดย “รัฐบาลเทพประทาน” นั่นคืออภิมหาโปรเจกต์มาราธอน “หวยออนไลน์” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรุสมบัติที่จะใช้เป็นกลไกในการหาเม็ดเงินมาอุดรอยรั่วจากการทุ่มทุนในเมกะโปรเจกต์ ซึ่งขณะนี้ หากใครไม่เข้าใจถึงเงื่อนไขว่า มีการตั้งแท่น เอาไว้แล้วจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา การสาน ต่อโดย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ซึ่งมีพี่ชายอย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นต้นความคิด มันย่อมสุ่มเสี่ยงอีกครั้งที่โครงการเจ็ดชั่วโคตรนี้ จะต้องเผชิญกับการคัดค้าน โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวของกองทัพ ธรรมอันมีคู่แค้นเก่าเจ้าเดิม “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เป็นแกนนำ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์คัดค้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว อีกหนึ่งแรงปะทะ อันทอดยอดมาจากการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ คงไม่แคล้ว การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐผ่านการจัดเก็บภาษี ที่มีแนวโน้มว่าภาษีบาปจะต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ นั่นย่อมเท่ากับว่า รัฐบาล ใหม่ อาจสุ่มเสี่ยงกระทบกระทั่งกับบริษัทน้ำเมา ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับขั้วอำนาจเก่าอีกครั้ง ซึ่งผลดีผลร้ายจะลงเอยอย่างไร มันก็ไม่ต่างจากการสร้างศัตรูอันเป็นมหาทุนในทางคู่ขนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ไม่พ้น
n หมากสุดท้ายวัดใจกองทัพ
นี่นับเฉพาะเชิงนโยบายขายฝัน ยังปรากฏแนวปะทะ ป้อมปราการทั้งพ่อค้านายทุน นักเคลื่อนไหว นักเลือกตั้ง ที่พร้อม จะเตะตัดขา “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้หกล้มจนหัวคะมำและหากนับรวมฝ่ายอำนาจพิเศษ ที่ หลายฝ่ายกำลังจับจ้องไปที่เก้าอี้ รมว. กลาโหม ซึ่งค่อนข้างมีผลไปถึงแนวทางการเคลื่อนของกองทัพที่ยังเป็นปริศนา ถือว่าทุกย่างก้าวต่อจากนี้ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มันย่อมไม่ใช่งานง่าย เพราะบังเกิดสารพัดงานงอก กับดักล้ำหน้า ถูกวางไว้ทุกหย่อมหญ้า ปริมณฑลการเมือง โรดแมป “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย ทำ” กำลังเจอบททดสอบใหญ่ หากคนที่อยู่ต่างประเทศไม่เรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต และคิดใหม่ทำใหม่..อีกครั้งมันก็คงไม่ง่าย ที่ “กองทัพปูแดง” จะก้าวผ่านป้อมปราการเหล็ก 7 ชั้น.. ไปได้พ้น???
ที่มา.สยามธุรกิจ
******************
ทัพพม่าส่งเครื่องบินรบข่มทหารไทใหญ่ เหนือ. ขณะสองฝ่ายรบกันเดือด!!?
กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบ MIG-29 ข่มขวัญกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" ขณะที่การสู้รบสองฝ่ายตลอดช่วง 3-4 วันเป็นไปอย่างดุเดือด ฝ่ายทหารพม่ามีการเสริมกำลั งและเกณฑ์ลูกหาบต่อเนื่อง

่องบินรบไปบินวนเวียนเหนือพื้ นที่เมืองเกซี เมืองไหย๋ และเมืองสี่ป้อ ในรัฐฉานภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่ อนไหวของกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' (SSPP/SSA) และเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการสู้ รบกันอย่างหนักระหว่างทหารพม่ ากับทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" โดยไปบินวน 3 ครั้ง เมื่อเวลา 14.00 น. 1 ครั้ง เวลา 15.00 น. 1 ครั้ง และ เวลา 16.00 น. อีก 1 ครั้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่กองกำลั งไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' คนหนึ่งเปิดเผยว่า เครื่องบินรบกองทัพพม่าชนิด MIG-29 ผลิตในรัสเซียจำนวน 2 ลำ ไปบินวนใกล้กับจุดที่กำลังมี การสู้รบระหว่างทหารพม่ากั บทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" บริเวณดอยน้ำปุ๊ก ทิศเหนือบ้านไฮ ในเขตเมืองเกซี เมื่อช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. โดยเครื่องบินรบ 2 ลำใช้เวลาบินวนอยู่นานประมาณ 30 นาทีก่อนบินกลับฐานทัพที่เมื องน้ำจาง ในรัฐฉานภาคใต้ ซึ่งไม่ได้มีการโจมตีหรือทิ้ งระเบิดใส่ฐานกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" แต่อย่างใด
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' คนเดิมเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพพม่าส่ งเครื่องบินรบไปบินเหนือพื้นที่ เคลื่อนไหวกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" นับตั้งแต่เกิดการสู้ รบของทหารพม่าและกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North'ตั้งแต่กลางเดือนมี นาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่ากองทัพพม่าต้ องการข่มขวัญกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ ทหารพม่าในพื้นที่
ขณะที่มีรายงานว่า การสู้รบระหว่างทหารพม่ากั บทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 12 ก.ค. มาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดการสู้รบของทหารทั้ งสองฝ่ายอย่างหนักและเกิดขึ้ นหลายจุดในเขตพื้นที่เมืองเกซี โดยทหาร SSA 'North' บุกยึดฐานทหารพม่าที่น้ำปุ๊ก ขณะที่ทหารพม่าระดมกำลังเข้ าโจมตีฐาน SSA 'North' ที่ดอยไก่เผือก ซึ่งล่าสุดยังไม่มีรายงานตั วเลขการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' นำโดย ร.ท.จายจิ่ง สังกัดกองพันที่ 187 กองพลน้อยที่ 27 ปะทะกับทหารพม่าใกล้กับดอยน้ำปุ ๊ก เขตเมืองเกซี ผลฝ่ายทหารพม่าเสียชีวิต 5 นาย เป็นนายทหารยศ ร.อ. 1 นาย ส.อ. 1 นาย และพลทหาร 3 นาย ต่อมาในช่วงดึกวันเดียวกัน ทหาร SSA 'North' บุกเข้าโจมตีฐานทหารพม่าที่ตั้ งอยู่ใกล้บ้านป่าคาใส ตำบลหนองแอ๊ด เขตเมืองสู้ ทั้งสองฝ่ายปะทะกันนานกว่า 30 นาที แต่ไม่มีรายงานการสูญเสียเช่นกั น
ล่าสุดมีรายงานว่า ทหารพม่าได้เสริมกำลั งจากหลายกองพันเข้าไปพื้นที่น้ ำปุ๊ก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการสู ้รบกันอย่างหนัก โดยกำลังทหารพม่าถูกส่ งมาจากกองพันทหารราบเบาที่ 510, 518, 519 และกองพันทหารราบที่ 510 จากเมืองกึ๋ง และกองพันทหารราบที่ 67, 22 จากเมืองเกซี โดยขณะนี้ทหารพม่าได้ ออกตระเวนเกณฑ์รถยนต์ชาวบ้าน และลูกหาบ สำหรับใช้ลำเลียงเสบียงและอาวุ ธยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่สู้รบอย่ างต่อเนื่อง
ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------
ทหารกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" ในพื้นที่สู้รบ "ดอยน้ำปุ๊ก" ในรัฐฉาน (ที่มา: SSPP/SSA / สำนักข่าวฉาน)
มีรายงานว่า บ่ายวานนี้ (13 ก.ค.) กองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้ส่งเครืขณะที่เจ้าหน้าที่กองกำลั
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' คนเดิมเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพพม่าส่
ขณะที่มีรายงานว่า การสู้รบระหว่างทหารพม่ากั
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' นำโดย ร.ท.จายจิ่ง สังกัดกองพันที่ 187 กองพลน้อยที่ 27 ปะทะกับทหารพม่าใกล้กับดอยน้ำปุ
ล่าสุดมีรายงานว่า ทหารพม่าได้เสริมกำลั
ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------
เยอรมนีแจง การอายัด 'โบอิ้ง 737' เป็น “หนทางสุดท้าย” ในการเร่งรัดหนี้
“วอลเตอร์ บาว” แจง การอายัดเครื่องบินเป็นมาตรการที่จำเป็น “เอพี” ชี้ ปกติเครื่องบินของรัฐบาลจะมีความคุ้มกันทางการฑูต แต่ในกรณีไทยอายัดได้เพราะใช้ส่วนตัว ฝ่ายจนท. เยอรมันเผย ได้เตรียมการอายัดอย่างลับมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว
สืบเนื่องจากการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นพระราชพาหนะส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ของบริษัทวอลเตอร์ บาว จากคำสั่งของคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีได้รายงานคำพูดของ โรเบิร์ต วิลเฮล์ม โฆษกของสนามบินมิวนิคว่า ในขณะนี้เครื่องบินลำดังกล่าวถูกศาลสั่งอายัดไว้แล้ว ซึ่งในขณะนี้จอดพักอยู่ที่สนามบินมิวนิค และเนื่องจากการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาพำนักที่ประเทศเยอรมนีอย่างบ่อยครั้งนั้น ทำให้พระองค์พลอยตกอยู่ในข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานไปโดยปริยาย
ทางโฆษกฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว, อเล็กซานเดอร์ โกร์บิง กล่าวว่า “มาตรการที่รุนแรง” ในการอายัดเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยนี้ เป็น “หนทางสุดท้าย” ในการที่จะเร่งรัดเงินค้างชำระ ซึ่งเป็นคำสั่งทางการเงินที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินไว้ในปี 2009
“การตามหาเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นไปอย่างซับซ้อนมาก และแน่นอนว่าต้องทำไปด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีสัญญาณเตือนหลุดออกไป” แวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว กล่าวในแถลงการณ์
เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ล้มละลายฝ่ายเยอรมนีได้เตรียมการที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ ยังระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว เครื่องบินของรัฐบาลจะมีสถานะทางการทูต ทำให้โดยส่วนใหญ่จะอยู่นอกเหนืออำนาจศาลจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขตามนั้นจะเป็นได้ก็ต่อเมื่อเครื่องบินถูกใช้ในทางการเท่านั้น ซึ่งไม่นับการใช้ในทางส่วนตัว
ทางกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีกล่าวต่อกรณีดังกล่าวว่า “เราเสียใจสำหรับความขัดข้องที่เกิดขึ้นแก่มกุฎราชกุมาร ที่เกิดขึ้นจากการอายัดดังกล่าว” และมิได้ให้ความเห็นใดๆ เพิ่มเติม
เอพีรายงานว่า เครื่องบินพระราชพาหนะลำดังกล่าว จอดนิ่งอยู่ในลานสนามบินเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีรูปที่แสดงถึงคำสั่งศาลที่ระบุว่า “ต่อราชอาณาจักรไทย ที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นผู้แทน” ติดอยู่บนประตูของเครื่องบิน ซึ่งสั่งห้ามไม่ให้มี “การเปลี่ยนแปลง, การนำไปใช้ หรือการลดมูลค่า (ของเครื่องบิน)”
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ลำดังกล่าวซึ่งสร้างขึ้นในปี 1995 น่าจะมีมูลค่าราว 5-6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีที่นั่ง 36 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับเครื่องบินโบอิ้งที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ทั่วไปซึ่งบรรจุที่นั่งราว 189 ที่นั่ง
ทั้งนี้ ชไนเดอร์ ได้กล่าวด้วยว่า เขาได้ใช้วิธีการอายัดเครื่องบินเพื่อเร่งรัดหนี้เช่นนี้มาแล้วในปี 2005 ในกรุงอิสตันบูล โดยได้อายัดเครื่องบินแอร์บัสของสายการบินมิดเดิ้ลอีสต์ เนื่องมาจากข้อพิพาททางการเงินระหว่างบริษัทวอลเตอร์ บาวและรัฐบาลเลบานอน
ที่มา.ประชาไท
*************************************
สืบเนื่องจากการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นพระราชพาหนะส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ของบริษัทวอลเตอร์ บาว จากคำสั่งของคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีได้รายงานคำพูดของ โรเบิร์ต วิลเฮล์ม โฆษกของสนามบินมิวนิคว่า ในขณะนี้เครื่องบินลำดังกล่าวถูกศาลสั่งอายัดไว้แล้ว ซึ่งในขณะนี้จอดพักอยู่ที่สนามบินมิวนิค และเนื่องจากการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาพำนักที่ประเทศเยอรมนีอย่างบ่อยครั้งนั้น ทำให้พระองค์พลอยตกอยู่ในข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานไปโดยปริยาย
ทางโฆษกฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว, อเล็กซานเดอร์ โกร์บิง กล่าวว่า “มาตรการที่รุนแรง” ในการอายัดเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยนี้ เป็น “หนทางสุดท้าย” ในการที่จะเร่งรัดเงินค้างชำระ ซึ่งเป็นคำสั่งทางการเงินที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินไว้ในปี 2009
“การตามหาเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นไปอย่างซับซ้อนมาก และแน่นอนว่าต้องทำไปด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีสัญญาณเตือนหลุดออกไป” แวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว กล่าวในแถลงการณ์
เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ล้มละลายฝ่ายเยอรมนีได้เตรียมการที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ ยังระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว เครื่องบินของรัฐบาลจะมีสถานะทางการทูต ทำให้โดยส่วนใหญ่จะอยู่นอกเหนืออำนาจศาลจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขตามนั้นจะเป็นได้ก็ต่อเมื่อเครื่องบินถูกใช้ในทางการเท่านั้น ซึ่งไม่นับการใช้ในทางส่วนตัว
ทางกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีกล่าวต่อกรณีดังกล่าวว่า “เราเสียใจสำหรับความขัดข้องที่เกิดขึ้นแก่มกุฎราชกุมาร ที่เกิดขึ้นจากการอายัดดังกล่าว” และมิได้ให้ความเห็นใดๆ เพิ่มเติม
เอพีรายงานว่า เครื่องบินพระราชพาหนะลำดังกล่าว จอดนิ่งอยู่ในลานสนามบินเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีรูปที่แสดงถึงคำสั่งศาลที่ระบุว่า “ต่อราชอาณาจักรไทย ที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นผู้แทน” ติดอยู่บนประตูของเครื่องบิน ซึ่งสั่งห้ามไม่ให้มี “การเปลี่ยนแปลง, การนำไปใช้ หรือการลดมูลค่า (ของเครื่องบิน)”
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ลำดังกล่าวซึ่งสร้างขึ้นในปี 1995 น่าจะมีมูลค่าราว 5-6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีที่นั่ง 36 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับเครื่องบินโบอิ้งที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ทั่วไปซึ่งบรรจุที่นั่งราว 189 ที่นั่ง
ทั้งนี้ ชไนเดอร์ ได้กล่าวด้วยว่า เขาได้ใช้วิธีการอายัดเครื่องบินเพื่อเร่งรัดหนี้เช่นนี้มาแล้วในปี 2005 ในกรุงอิสตันบูล โดยได้อายัดเครื่องบินแอร์บัสของสายการบินมิดเดิ้ลอีสต์ เนื่องมาจากข้อพิพาททางการเงินระหว่างบริษัทวอลเตอร์ บาวและรัฐบาลเลบานอน
ที่มา.ประชาไท
*************************************
วิกฤตครั้งนี้ยูโร คือ การสิ้นสุดของระบบสกุลเงินยูโร !!?
สุรศักดิ์ ธรรมโม
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่าในต้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฏาคม 54 นั้นความกังวลในสถานการณ์หนี้สินสาธารณะยุโรปได้เพิ่มขึ้นมาก โดยตลาดกลับมากังวลสถานการณ์ในอิตาลีและสเปน หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้านั้นตลาดพึ่งคลายความกังวลจากการลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสโดยบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมมีคำอธิบายดังนี้
ผู้นำประเทศสำคัญในสหภาพยุโรป เช่น เยอรมันเริ่มแสดงออกถึงท่าทีล่าสุด ในการลดความตั้งใจในการรักษาความเป็นสหภาพยุโรป (EU) แล้ว
ซึ่ง “ความเป็นสหภาพยุโรป” เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่นว่า การปล่อยให้ กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ ล้มละลาย ไม่เพียงแต่ทำลายเงินสกุลเงินยูโรเท่านั้น หากแต่ทำให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปทรุดลงหนักจากผลของการล้มลงของสถาบันการเงินในเยอรมันและฝรั่งเศสเนื่องจากสถาบันการเงินใน 2 ประเทศ ได้ปล่อยกู้ให้แก่ประเทศดังกล่าวจำนวนมหาศาล

นอกจากนี้ ในทางการเมือง การปล่อยให้ประเทศเหล่านี้ล้มลง คือการสิ้นสุด “สหภาพยุโรป” และ “เงินสกุลยูโร” โดยนัย และอาจจะนำพาเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง
ไม่ว่าว่าจะพิจารณาในด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองล้วนได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา ทำไม ผู้นำเยอรมันจึงเริ่มเลือกทางเช่นนั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า การรวมกันเป็นสหภาพยุโรป เป็นมรดกทางความทรงจำในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรปล้วนได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการผนึกกัน
เมื่อเยอรมันตะวันตกต้องการรวมประเทศกับเยอรมันตะวันออก เยอรมันตะวันตกจำต้องสนับสนุนการผนึกกันยิ่งขึ้นไปของสหภาพยุโรปในรูปของสกุลเงินเดียวกันเพราะจะช่วยให้ประเทศอื่นๆในยุโรปซึ่งแต่เดิมกลัวเยอรมันเพราะได้รับผลลบจากคุกคามของเยอรมันในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งนั้น สนับสนุนการรวมชาติเยอรมัน
ปัจจุบัน สหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว เยอรมันรวมประเทศกันเป็นปึกแผ่นแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆที่ผนึกกันเป็นสหภาพสกุลเงินตราเดียวกันในชื่อ “ยูโร” จำนวนหนึ่งประสบกับปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นและปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้
หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จโดยที่ยังรักษาสกุลเงินยูโรอยู่ได้ คือการเป็น Transfer Union หมายความว่าประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เช่นเยอรมันและฝรั่งเศส ต้องช่วยรับภาระทางการคลังของประเทศที่อ่อนแอเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาระทางการคลังของกลุ่ม PIIGS ซึ่งประกอบด้วย กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักการเมืองเยอรมันไม่เห็นด้วย เพราะประเทศตัวเองพึ่งผ่านพ้นการรวมกันเป็นประเทศได้ไม่นาน และพึ่งชำระต้นทุนในการรวมตัวกันเป็นประเทศเดียวกันเสร็จสิ้นไม่กี่ปี
ในเชิงเศรษฐกิจ การรวมกันเป็น Transfer Union หมายความว่า ประชาชนในเยอรมันจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น และเยอรมันจะต้องนำเอาทรัพยากรทางเศรษฐกิจจำนวนมากไปจุนเจือกลุ่มประเทศ PIIGS ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงขนาดของเศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS แล้ว ถ้าเยอรมันเลือกทางดังกล่าว เยอรมันจะต้องยากจนลงอีกหลายสิบปี
ในเชิงการเมือง มีความเป็นไปต่ำมากที่ประชาชนเยอรมันจะสนับสนุน Transfer Union เพราะภาระจะกดทับมาที่ตนเองผ่านภาษีที่เพิ่มขึ้น และสวัสดิการที่ลดลง
แม้ว่ายังไม่เป็น Transfer Union อย่างสมบูรณ์ แต่คนเยอรมันเริ่มมีแรงจูงใจในการออกจากระบบยูโร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปช่วยเหลือประเทศอื่นๆที่ไร้วินัยทางการคลัง และควรนำเงินนั้นมาช่วยคนในประเทศตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองเยอรมันจึงบังคับให้ กรีซ โปรตุเกส ต้องรัดเข็มขัด ลดสวัสดิการ แปรรูปรัฐวิสากิจ ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต รวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยตลาดไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเยี่ยงคนในสหภาพเดียวกัน รวมทั้งเริ่มคิดถึงทางออกในรูปแบบของการปล่อยให้มีการเบี้ยวหนี้บางส่วนของประเทศกลุ่มนี้เพื่อลดภาระตน
มาตรการดังกล่าว ยิ่งมีส่วนทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกรีซเริ่มหมดความผูกพันในการรวมกันเป็นสกุลเงินยูโร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หนทางที่กรีซ และโปรตุเกสจะพ้นจากวิกฤติอย่างเด็ดขาดนั้น จำต้องใช้ “การลดค่าเงิน” เป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของตนให้กลับมามีการขยายตัว
แต่เมื่อสกุลเงินของตนไม่มีเพราะสละทิ้งเพื่อรวมเป็น”ยูโร” ไปแล้ว การรัดเข็มขัดทางการคลังจึงทำได้แค่การลดภาระหนี้สาธารณะเท่านั้นแต่ไม่มากพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ดังนั้น การลดลงของแรงจูงใจในการผนึกกันเป็น “ยูโร” ใช่ว่าจะเกิดกับเยอรมันประเทศเดียว หากแต่ประเทศลูกหนี้เช่น กรีซ และโปรตุเกส คงเริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน
ในปีนี้และปีหน้า ความเสี่ยงของเงินยูโรยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่พ้นปี 2556 ไป โอกาสที่สกุลเงินยูโรจะอยู่กันครบ 17 ประเทศนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง และไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นเงินยูโร เมื่อ 2-3 ประเทศออกจากระบบยูโร ประเทศที่ที่เหลือซึ่งมีเศรษฐกิจอ่อนแอ ยิ่งมีแรงจูงใจการออกจากระบบยูโรมากขึ้น และตอนนั้นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบยูโรที่แท้จริง
หมายเหตุ- บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 15 กรกฏาคม 2554
***********************************************
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่าในต้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฏาคม 54 นั้นความกังวลในสถานการณ์หนี้สินสาธารณะยุโรปได้เพิ่มขึ้นมาก โดยตลาดกลับมากังวลสถานการณ์ในอิตาลีและสเปน หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้านั้นตลาดพึ่งคลายความกังวลจากการลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสโดยบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมมีคำอธิบายดังนี้
ผู้นำประเทศสำคัญในสหภาพยุโรป เช่น เยอรมันเริ่มแสดงออกถึงท่าทีล่าสุด ในการลดความตั้งใจในการรักษาความเป็นสหภาพยุโรป (EU) แล้ว
ซึ่ง “ความเป็นสหภาพยุโรป” เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่นว่า การปล่อยให้ กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ ล้มละลาย ไม่เพียงแต่ทำลายเงินสกุลเงินยูโรเท่านั้น หากแต่ทำให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปทรุดลงหนักจากผลของการล้มลงของสถาบันการเงินในเยอรมันและฝรั่งเศสเนื่องจากสถาบันการเงินใน 2 ประเทศ ได้ปล่อยกู้ให้แก่ประเทศดังกล่าวจำนวนมหาศาล
นอกจากนี้ ในทางการเมือง การปล่อยให้ประเทศเหล่านี้ล้มลง คือการสิ้นสุด “สหภาพยุโรป” และ “เงินสกุลยูโร” โดยนัย และอาจจะนำพาเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง
ไม่ว่าว่าจะพิจารณาในด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองล้วนได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา ทำไม ผู้นำเยอรมันจึงเริ่มเลือกทางเช่นนั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า การรวมกันเป็นสหภาพยุโรป เป็นมรดกทางความทรงจำในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรปล้วนได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการผนึกกัน
เมื่อเยอรมันตะวันตกต้องการรวมประเทศกับเยอรมันตะวันออก เยอรมันตะวันตกจำต้องสนับสนุนการผนึกกันยิ่งขึ้นไปของสหภาพยุโรปในรูปของสกุลเงินเดียวกันเพราะจะช่วยให้ประเทศอื่นๆในยุโรปซึ่งแต่เดิมกลัวเยอรมันเพราะได้รับผลลบจากคุกคามของเยอรมันในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งนั้น สนับสนุนการรวมชาติเยอรมัน
ปัจจุบัน สหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว เยอรมันรวมประเทศกันเป็นปึกแผ่นแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆที่ผนึกกันเป็นสหภาพสกุลเงินตราเดียวกันในชื่อ “ยูโร” จำนวนหนึ่งประสบกับปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นและปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้
หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จโดยที่ยังรักษาสกุลเงินยูโรอยู่ได้ คือการเป็น Transfer Union หมายความว่าประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เช่นเยอรมันและฝรั่งเศส ต้องช่วยรับภาระทางการคลังของประเทศที่อ่อนแอเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาระทางการคลังของกลุ่ม PIIGS ซึ่งประกอบด้วย กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักการเมืองเยอรมันไม่เห็นด้วย เพราะประเทศตัวเองพึ่งผ่านพ้นการรวมกันเป็นประเทศได้ไม่นาน และพึ่งชำระต้นทุนในการรวมตัวกันเป็นประเทศเดียวกันเสร็จสิ้นไม่กี่ปี
ในเชิงเศรษฐกิจ การรวมกันเป็น Transfer Union หมายความว่า ประชาชนในเยอรมันจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น และเยอรมันจะต้องนำเอาทรัพยากรทางเศรษฐกิจจำนวนมากไปจุนเจือกลุ่มประเทศ PIIGS ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงขนาดของเศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS แล้ว ถ้าเยอรมันเลือกทางดังกล่าว เยอรมันจะต้องยากจนลงอีกหลายสิบปี
ในเชิงการเมือง มีความเป็นไปต่ำมากที่ประชาชนเยอรมันจะสนับสนุน Transfer Union เพราะภาระจะกดทับมาที่ตนเองผ่านภาษีที่เพิ่มขึ้น และสวัสดิการที่ลดลง
แม้ว่ายังไม่เป็น Transfer Union อย่างสมบูรณ์ แต่คนเยอรมันเริ่มมีแรงจูงใจในการออกจากระบบยูโร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปช่วยเหลือประเทศอื่นๆที่ไร้วินัยทางการคลัง และควรนำเงินนั้นมาช่วยคนในประเทศตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองเยอรมันจึงบังคับให้ กรีซ โปรตุเกส ต้องรัดเข็มขัด ลดสวัสดิการ แปรรูปรัฐวิสากิจ ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต รวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยตลาดไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเยี่ยงคนในสหภาพเดียวกัน รวมทั้งเริ่มคิดถึงทางออกในรูปแบบของการปล่อยให้มีการเบี้ยวหนี้บางส่วนของประเทศกลุ่มนี้เพื่อลดภาระตน
มาตรการดังกล่าว ยิ่งมีส่วนทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกรีซเริ่มหมดความผูกพันในการรวมกันเป็นสกุลเงินยูโร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หนทางที่กรีซ และโปรตุเกสจะพ้นจากวิกฤติอย่างเด็ดขาดนั้น จำต้องใช้ “การลดค่าเงิน” เป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของตนให้กลับมามีการขยายตัว
แต่เมื่อสกุลเงินของตนไม่มีเพราะสละทิ้งเพื่อรวมเป็น”ยูโร” ไปแล้ว การรัดเข็มขัดทางการคลังจึงทำได้แค่การลดภาระหนี้สาธารณะเท่านั้นแต่ไม่มากพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ดังนั้น การลดลงของแรงจูงใจในการผนึกกันเป็น “ยูโร” ใช่ว่าจะเกิดกับเยอรมันประเทศเดียว หากแต่ประเทศลูกหนี้เช่น กรีซ และโปรตุเกส คงเริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน
ในปีนี้และปีหน้า ความเสี่ยงของเงินยูโรยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่พ้นปี 2556 ไป โอกาสที่สกุลเงินยูโรจะอยู่กันครบ 17 ประเทศนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง และไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นเงินยูโร เมื่อ 2-3 ประเทศออกจากระบบยูโร ประเทศที่ที่เหลือซึ่งมีเศรษฐกิจอ่อนแอ ยิ่งมีแรงจูงใจการออกจากระบบยูโรมากขึ้น และตอนนั้นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบยูโรที่แท้จริง
หมายเหตุ- บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 15 กรกฏาคม 2554
***********************************************
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เก่ง อย่างคน มีสมอง!!
“ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เดินหน้าลุยงาน ไม่มีจด ๆ จ้อง ๆ
ต่อยอดโปรเจค “แอร์พอร์ตลิงค์”ที่เจ๊งไม่เป็นท่า...เสริมใส่เส้นทาง จาก “สนามบินสุวรรณภูมิ” วิ่งโลด แล่นโลด ขยายเส้นทางต่อไปยัง ชลบุรี พัทยา ระยอง ดินแดน ท่องเที่ยว
ขนคนออกไปสัมผัสกลิ่นโอโซน ท้องฟ้าสวย น้ำทะเลใส อิ่มกับกุ้งหอยปูปลา หม่ำผลไม้ที่มีทุกฤดู โดยไม่ต้องนั่งรถติด ให้หน้าเหี่ยวเป็นถุงตะเคียว
ผิดกับ “ประชาธิปัตย์” ของ นายกฯที่นับวันจะหมดอายุ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้ดีแต่พูด ๒ ปี ๖ เดือนที่เป็นรัฐบาล ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย!!!
แค่ “แอร์พอร์ตลิงค์”...ท่านดีแต่ชิ่ง?...ทอดทิ้งไม่เคยแก้ปัญหาอะไร??
/////////////////////////
“รัก”และ “ไว้ใจ” อย่างหนัก!!
ต้องบอกว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เอนดูทะนุถนอม เป็นอย่างดี สำหรับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
ถึงขั้นเตรียมให้เป็น “ทายาททางการเมือง” ก้าวขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี”
แต่ชิชะ พอ “ทักษิณ” ถูกอำนาจนอกระบบปฏิวัติ “เสี่ยสมคิด” ก็ออกมาด่าฉีกอก “บิ๊กแม้ว” ไม่มีชิ้นดี
ความปรารถนาที่ “บิ๊กแม้ว” เคยมี...ได้อันตรธานหายวับไปหมดสิ้น..เดี๋ยวนี้ใครเคยชื่อ “สมคิด” ดูเป็นที่บาดหู!!
“สมคิด” นั่นแหละ...ที่ไม่แยกแยะ?...ที่คอยค่อนแคะมองเห็น “ทักษิณ” เป็นศัตรู?
/////////////////////////
“การเมือง” คิดต่างกันได้!!
เมื่อยืนอยู่คนละมุม ถือขั้วอำนาจกันคนละฝั่ง จะแสดงออกเช่นใด..ก็ไม่ว่ากันหรอกเจ้านาย
แต่ที่ “เจ้าพ่อคิงส์พาวเวอร์” วิชัย รักศรีอักษร ทั้งย้ำทั้งเน้นและสอน ให้พนักงานกว่า ๓,๐๐๐คน เทกระจาดลงคะแนนให้พรรคหนึ่ง..โดยปฏิเสธ “พรรคเพื่อไทย” ดูแล้วไม่เก๋
บอกได้เลย นับแต่นี่ไป, “เสี่ยวิชัย” มีแต่ จะทรุด จะเซ
ก็ทำตัวเอง, เมื่อพรรคที่หนุนพ่ายไม่มีหูรูด ท่านก็ต้องรับชะตากรรม ไปตามระเบียบ!!
ถ้าอยู่เฉย ๆ...ไม่ยุ่งอะไรเลย?.. “เสี่ยวิชัย” ยังอยู่เสบย ใคร ๆก็ไม่กล้าเหยียบ?
/////////////////////////
“แพ้แล้ว” ก็ควรที่จะหยุด!!
ดื้อด้าน หาทาง รื้อ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์๑”..จะถูกประณาม ว่าเป็น “คนขี้ฉ้อ” ของแผ่นดินกันอย่างสุด..สุด??
เมื่อเสียงสวรรค์ ของปวงชนชาวไทย มอบความไว้วางใจให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรให้เธอทำหน้าที่ สร้างชาติให้ต่อเนื่อง
“กลุ่มอำนาจนอกระบบ” หยุดเสียเถอะ ..วันๆ ที่จ้องแต่จะหาเรื่อง
เอาเวลามาสร้างความปรองดอง อยู่ดีกินดีให้กับประชาชน จะเป็นประโยชน์กว่ามาจ้อง “ล้มรัฐบาล” ให้มอดม้วยมรณา!!!
“ยิ่งลักษณ์”คิดทำทุกอย่างเพื่อชาติ...แต่พวกกลุ่มอุบาทว์?..คิดไม่ฉลาดจ้องล้มทุกเวลา?
//////////////////////////
กำลังภายในร้อนแรง!!
ที่จะให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับเข้ามาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่ง?
หากยังจับขั้วขุนทหาร ที่จับตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เข้ามาเป็นใหญ่อีกหน คงก็มีเสียงสวดชยันโต
ใครที่หนุน และ ผลักดัน “บิ๊กป้อม” อย่าได้คิดทำการอะไรโง่ ๆ
ขุนศึกในกองทัพ ขุนพลในแผ่นดิน ยังมีอีกมาก ที่จะสร้างความปรองดองให้กับ “รัฐบาล” กับ “ทหาร” เดินหน้าไปด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องใช้บริการ ของ “บิ๊กป้อม” ให้คนเขาเบื่อหน่าย!!
เลิกคิดเอา “บิ๊กป้อม”มาดีกว่า...ดูแล้วเหมือนเป็นพวกกบอยู่ในกะลา?..ช่างทำสิ่งไร้ค่า จริงๆนะเจ้านาย???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************
ต่อยอดโปรเจค “แอร์พอร์ตลิงค์”ที่เจ๊งไม่เป็นท่า...เสริมใส่เส้นทาง จาก “สนามบินสุวรรณภูมิ” วิ่งโลด แล่นโลด ขยายเส้นทางต่อไปยัง ชลบุรี พัทยา ระยอง ดินแดน ท่องเที่ยว
ขนคนออกไปสัมผัสกลิ่นโอโซน ท้องฟ้าสวย น้ำทะเลใส อิ่มกับกุ้งหอยปูปลา หม่ำผลไม้ที่มีทุกฤดู โดยไม่ต้องนั่งรถติด ให้หน้าเหี่ยวเป็นถุงตะเคียว
ผิดกับ “ประชาธิปัตย์” ของ นายกฯที่นับวันจะหมดอายุ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้ดีแต่พูด ๒ ปี ๖ เดือนที่เป็นรัฐบาล ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย!!!
แค่ “แอร์พอร์ตลิงค์”...ท่านดีแต่ชิ่ง?...ทอดทิ้งไม่เคยแก้ปัญหาอะไร??
/////////////////////////
“รัก”และ “ไว้ใจ” อย่างหนัก!!
ต้องบอกว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เอนดูทะนุถนอม เป็นอย่างดี สำหรับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
ถึงขั้นเตรียมให้เป็น “ทายาททางการเมือง” ก้าวขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี”
แต่ชิชะ พอ “ทักษิณ” ถูกอำนาจนอกระบบปฏิวัติ “เสี่ยสมคิด” ก็ออกมาด่าฉีกอก “บิ๊กแม้ว” ไม่มีชิ้นดี
ความปรารถนาที่ “บิ๊กแม้ว” เคยมี...ได้อันตรธานหายวับไปหมดสิ้น..เดี๋ยวนี้ใครเคยชื่อ “สมคิด” ดูเป็นที่บาดหู!!
“สมคิด” นั่นแหละ...ที่ไม่แยกแยะ?...ที่คอยค่อนแคะมองเห็น “ทักษิณ” เป็นศัตรู?
/////////////////////////
“การเมือง” คิดต่างกันได้!!
เมื่อยืนอยู่คนละมุม ถือขั้วอำนาจกันคนละฝั่ง จะแสดงออกเช่นใด..ก็ไม่ว่ากันหรอกเจ้านาย
แต่ที่ “เจ้าพ่อคิงส์พาวเวอร์” วิชัย รักศรีอักษร ทั้งย้ำทั้งเน้นและสอน ให้พนักงานกว่า ๓,๐๐๐คน เทกระจาดลงคะแนนให้พรรคหนึ่ง..โดยปฏิเสธ “พรรคเพื่อไทย” ดูแล้วไม่เก๋
บอกได้เลย นับแต่นี่ไป, “เสี่ยวิชัย” มีแต่ จะทรุด จะเซ
ก็ทำตัวเอง, เมื่อพรรคที่หนุนพ่ายไม่มีหูรูด ท่านก็ต้องรับชะตากรรม ไปตามระเบียบ!!
ถ้าอยู่เฉย ๆ...ไม่ยุ่งอะไรเลย?.. “เสี่ยวิชัย” ยังอยู่เสบย ใคร ๆก็ไม่กล้าเหยียบ?
/////////////////////////
“แพ้แล้ว” ก็ควรที่จะหยุด!!
ดื้อด้าน หาทาง รื้อ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์๑”..จะถูกประณาม ว่าเป็น “คนขี้ฉ้อ” ของแผ่นดินกันอย่างสุด..สุด??
เมื่อเสียงสวรรค์ ของปวงชนชาวไทย มอบความไว้วางใจให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรให้เธอทำหน้าที่ สร้างชาติให้ต่อเนื่อง
“กลุ่มอำนาจนอกระบบ” หยุดเสียเถอะ ..วันๆ ที่จ้องแต่จะหาเรื่อง
เอาเวลามาสร้างความปรองดอง อยู่ดีกินดีให้กับประชาชน จะเป็นประโยชน์กว่ามาจ้อง “ล้มรัฐบาล” ให้มอดม้วยมรณา!!!
“ยิ่งลักษณ์”คิดทำทุกอย่างเพื่อชาติ...แต่พวกกลุ่มอุบาทว์?..คิดไม่ฉลาดจ้องล้มทุกเวลา?
//////////////////////////
กำลังภายในร้อนแรง!!
ที่จะให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับเข้ามาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่ง?
หากยังจับขั้วขุนทหาร ที่จับตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เข้ามาเป็นใหญ่อีกหน คงก็มีเสียงสวดชยันโต
ใครที่หนุน และ ผลักดัน “บิ๊กป้อม” อย่าได้คิดทำการอะไรโง่ ๆ
ขุนศึกในกองทัพ ขุนพลในแผ่นดิน ยังมีอีกมาก ที่จะสร้างความปรองดองให้กับ “รัฐบาล” กับ “ทหาร” เดินหน้าไปด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องใช้บริการ ของ “บิ๊กป้อม” ให้คนเขาเบื่อหน่าย!!
เลิกคิดเอา “บิ๊กป้อม”มาดีกว่า...ดูแล้วเหมือนเป็นพวกกบอยู่ในกะลา?..ช่างทำสิ่งไร้ค่า จริงๆนะเจ้านาย???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************
ก้าวไปด้วยกัน..!!
นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ไม่ใช่แค่ถูกต่อต้านหรือคัดค้านจากผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีเท่านั้น แต่ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แถลงไม่เห็นด้วย และเสนอความเห็นให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณา 5 ข้อคือ
1.ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ เพราะจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมและต้องการให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ 2.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับตามกลไกตลาด 3.ให้คณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) เป็นผู้พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่มีการกดดันจากภาคการเมือง 4.หากรัฐบาลจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการจ่ายส่วนต่างค่าจ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่รอด และ 5.ส.อ.ท. พร้อมหารือกับภาครัฐเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ส.อ.ท. ยังอ้างการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการทุกขนาดจำนวน 513 รายว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะจะกระทบต่อต้นทุนการผลิต และส่วนใหญ่เห็นว่าควรปรับค่าจ้างแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ ความสามารถในการจ่ายของผู้ประกอบ การ และสภาพเศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด
นอกจากนี้ยังระบุอัตราค่าจ้างที่ผู้ประกอบการยอมรับได้ เช่น ผู้ประกอบการขนาดเล็กยอมรับที่วันละ 200บาท ผู้ประกอบการขนาดกลางยอมรับที่วันละ 211 บาท และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ยอมรับที่วันละ 205 บาท
ขณะที่ผู้ประกอบส่วนใหญ่ก็ต้องการให้เรื่องของค่าจ้างเป็นไปตามกระบวนการไตรภาคี ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าไม่มีวันที่จะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำถึง 300 บาทแน่นอน ไม่ว่าผู้ใช้แรงงานจะแบกรับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจะอ้างว่าหากขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิต และทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งยังอ้างถึงการจ้างงานที่จะลดลงและหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวมากขึ้น หรือจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน
แต่นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหา วิทยาลัยหอการค้าไทย กลับเห็นว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องทยอยปรับเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว ส่วนแรงงานต่างด้าวที่จะทะลักเข้ามานั้นถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะแรงงานไทยเลือกงานมากขึ้นด้วย
ปัญหาจึงอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าจะเดินหน้าอย่างไร ซึ่งผู้ใช้แรงงานทุกคนต้องการที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพในการแข่งขันที่จะมีมากขึ้นด้วย ส่วนรัฐบาลก็ต้องดูทุกมิติไม่ใช่ในแง่เศรษฐกิจอย่างเดียว เพื่อให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงานก้าวไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่ลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างทุกวันนี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
1.ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ เพราะจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมและต้องการให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ 2.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับตามกลไกตลาด 3.ให้คณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) เป็นผู้พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่มีการกดดันจากภาคการเมือง 4.หากรัฐบาลจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการจ่ายส่วนต่างค่าจ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่รอด และ 5.ส.อ.ท. พร้อมหารือกับภาครัฐเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ส.อ.ท. ยังอ้างการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการทุกขนาดจำนวน 513 รายว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะจะกระทบต่อต้นทุนการผลิต และส่วนใหญ่เห็นว่าควรปรับค่าจ้างแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ ความสามารถในการจ่ายของผู้ประกอบ การ และสภาพเศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด
นอกจากนี้ยังระบุอัตราค่าจ้างที่ผู้ประกอบการยอมรับได้ เช่น ผู้ประกอบการขนาดเล็กยอมรับที่วันละ 200บาท ผู้ประกอบการขนาดกลางยอมรับที่วันละ 211 บาท และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ยอมรับที่วันละ 205 บาท
ขณะที่ผู้ประกอบส่วนใหญ่ก็ต้องการให้เรื่องของค่าจ้างเป็นไปตามกระบวนการไตรภาคี ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าไม่มีวันที่จะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำถึง 300 บาทแน่นอน ไม่ว่าผู้ใช้แรงงานจะแบกรับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจะอ้างว่าหากขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิต และทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งยังอ้างถึงการจ้างงานที่จะลดลงและหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวมากขึ้น หรือจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน
แต่นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหา วิทยาลัยหอการค้าไทย กลับเห็นว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องทยอยปรับเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว ส่วนแรงงานต่างด้าวที่จะทะลักเข้ามานั้นถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะแรงงานไทยเลือกงานมากขึ้นด้วย
ปัญหาจึงอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าจะเดินหน้าอย่างไร ซึ่งผู้ใช้แรงงานทุกคนต้องการที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพในการแข่งขันที่จะมีมากขึ้นด้วย ส่วนรัฐบาลก็ต้องดูทุกมิติไม่ใช่ในแง่เศรษฐกิจอย่างเดียว เพื่อให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงานก้าวไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่ลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างทุกวันนี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
อัยการหอบหลักฐานโต้ ยึดเครื่องบินไม่ได้..!!?
"อัยการสูงสุด"บินไปเยอรมนี หอบหลักฐานจดทะเบียน ชัดเจนไม่ได้เป็นทรัพย์สินรัฐบาลและข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนไทย-เยอรมนี ไม่ให้อำนาจยึดทรัพย์สิน
นอกจาก นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และคณะจะบินไปเยอรมนี เมื่อกลางดึก 14 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงข้อมูลแล้ว นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดได้เดินทางไปเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้ทางการเยอรมนียกเลิกการอายัดเครื่องบินโบอิง 737 โดยเร็วที่สุด เพราะมีหลักฐานการจดทะเบียนอย่างชัดเจนว่าเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย และข้อมูลที่ทางการเยอรมนีได้รับนั้นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเพราะรับฟังจากโจทย์เพียงฝ่ายเดียว จึงถือว่า"เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง"
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ส่วนการที่บริษัทวอเตอร์บาวน์ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยตามสนธิสัญญาว่า ด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนไทย-เยอรมัน พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยลงนามไว้นั้น การคุ้มครองการลงทุนของผู้ลงทุนทั้ง 2 ประเทศ จะคุ้มครองในกรณีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ส่งผลให้รัฐไปยึดกิจการของต่างชาติมาเป็นของรัฐ หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่ได้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนอยู่แล้วถูกตัดสิทธิ แต่การคุ้มครองตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือการจลาจลเพราะพิสูจน์ไม่ได้
"การที่เยอรมนีจะใช้ข้อตกลงดังกล่าวมายึดทรัพย์สินของรัฐบาลไทยเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือทรัพย์สินของเอกชนก็ตาม เพราะต้องมีคำสั่งศาลก่อน เมื่อนักลงทุนเยอรมนีเห็นว่าได้รับความเสียหายจากการลงทุนในไทย ก็ต้องฟ้องร้องรัฐบาลไทยตามขั้นตอน โดยข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนให้สิทธิฟ้องได้ แต่ไม่ให้สิทธิยึดทรัพย์สิน การยึดทรัพย์สินจะเกิดได้ต่อเมื่อมีการประกาศสงครามกัน ซึ่งในกรณีนักลงทุนเยอรมนี อาจมองว่าการเปลี่ยนแปลงสัญญาโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เข้าข่ายการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ทำให้นักลงทุนเสียประโยชน์ แต่ในข้อตกลงได้กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทไว้ และคงไม่สามารถมายึดทรัพย์สินได้" แหล่งข่าว กล่าว
เงื่อนไขยืดสัมปทานให้ถอนฟ้องทุกคดี
ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ปรับขึ้นค่าผ่านทางโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2552 หลังจากนั้น ครม.ได้หารือปัญหาโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์อีกครั้งวันที่ 22 ธ.ค.2552 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตในที่ประชุมว่า ตามข้อตกลงในบันทึกข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานในปี 2550 ระบุว่าหากมีคดีข้อพิพาทที่ผู้รับสัมปทานได้ยื่นฟ้องต่อศาล หรือได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้ก่อนหน้านี้ ผู้รับสัมปทานจะต้องถอนฟ้อง หรือถอนข้อพิพาทที่เสนอต่ออนุญาโตตุลาการภายใน 30 วัน มิฉะนั้นกรมทางหลวงมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงได้
ทั้งนี้ บริษัท วอเตอร์บาวน์ อดีตผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัท ทางยกระดับฯ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการโดยไม่ถอนข้อพิพาท ซึ่งถือว่าบริษัทไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลง กรมทางหลวงจึงอาจยกเลิกข้อตกลงเรื่องการปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ โดยนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และพิจารณาความจำเป็นในการทำหนังสือทักท้วงการปรับขึ้นค่าผ่านทางที่ไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงไปยังบริษัท และหลังจากนั้นกระทรวงคมนาคมไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อ ครม.อีก จนเกิดปัญหาขึ้นในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้เยียวยาจากที่โทลล์เวย์เรียกค่าชดเชยไป แล้ว เช่น ขยายสัมปทานออกไปอีกจากเดิมสิ้นสุด ปี 2557 ขยายถึงปี 2577 ให้ปรับค่าผ่านทางได้ตามสัญญาเดิม และล่าสุดวันที่ 22 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา ก็ให้ปรับค่าผ่านทางขึ้นรถยนต์ 4 ล้อ จาก 55 บาทเป็น 85 บาท ส่วนค่าชดเชยรายได้จากการให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย กรมทางหลวงจ่ายชดเชยไปแล้ว 30 ล้านบาท เป็นต้น
ย้อนปมข้อพิพาท
นายกษิต ได้แถลงเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากได้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับ บริษัท วอเตอร์ บาวน์ ของเยอรมนี ซึ่งได้เลิกกิจการไปแล้ว แต่ได้มอบหมายให้ทนายความ เป็นผู้จำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ เมื่อปี 2548 และได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ไต่สวนที่ฮ่องกง และมาสิ้นสุดที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โดยมีคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ดำเนินการภายใต้อนุสัญญานิวยอร์กว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2552 ได้ชี้ขาดให้ราชอาณาจักรไทย ชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัท วอเตอร์ บาวน์ เป็นเงินประมาณ 30 ล้านยูโร บวกดอกเบี้ยอีก 6 เดือนในอัตรา 2% ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.2549 รวมถึงค่าใช้จ่ายในกระบวนการอนุญาโตตุลาการของบริษัทนี้ เป็นเงินเกือบ 2 ล้านยูโร
นายกษิต กล่าวว่า โดยเหตุผลที่ชี้ขาดให้ไทยเป็นผู้แพ้คดีคือ เพราะรัฐบาลไทยผิดพันธกรณี กระทั่งเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2553 บริษัทดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการให้บังคับตามคำชี้ขาดตามคณะอนุญาโตตุลาการ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลไทยได้อุทธรณ์โดยสำนักงานอัยการสูงสุดของไทย โดยกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของเรื่อง และมีกระทรวงการต่างประเทศช่วยดำเนินการอุทธรณ์ด้วย ทั้งนี้ผลออกมาบังคับให้ไทยต้องจ่ายเงินชดเชยในประเทศใดก็ได้ที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญานิวยอร์ก ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ
อีกทั้งบริษัทดังกล่าวยังได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมของเยอรมนีด้วย ทำให้เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมของเยอรมันได้มีคำพิพากษาให้อายัดเครื่องบินที่จอดอยู่ที่นครมิวนิก ของเยอรมนี ทั้งนี้ตนได้ทราบเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา จึงได้เร่งดำเนินการมาจนถึงวันนี้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**********************************
นอกจาก นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และคณะจะบินไปเยอรมนี เมื่อกลางดึก 14 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงข้อมูลแล้ว นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดได้เดินทางไปเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้ทางการเยอรมนียกเลิกการอายัดเครื่องบินโบอิง 737 โดยเร็วที่สุด เพราะมีหลักฐานการจดทะเบียนอย่างชัดเจนว่าเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย และข้อมูลที่ทางการเยอรมนีได้รับนั้นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเพราะรับฟังจากโจทย์เพียงฝ่ายเดียว จึงถือว่า"เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง"
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ส่วนการที่บริษัทวอเตอร์บาวน์ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยตามสนธิสัญญาว่า ด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนไทย-เยอรมัน พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยลงนามไว้นั้น การคุ้มครองการลงทุนของผู้ลงทุนทั้ง 2 ประเทศ จะคุ้มครองในกรณีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ส่งผลให้รัฐไปยึดกิจการของต่างชาติมาเป็นของรัฐ หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่ได้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนอยู่แล้วถูกตัดสิทธิ แต่การคุ้มครองตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือการจลาจลเพราะพิสูจน์ไม่ได้
"การที่เยอรมนีจะใช้ข้อตกลงดังกล่าวมายึดทรัพย์สินของรัฐบาลไทยเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือทรัพย์สินของเอกชนก็ตาม เพราะต้องมีคำสั่งศาลก่อน เมื่อนักลงทุนเยอรมนีเห็นว่าได้รับความเสียหายจากการลงทุนในไทย ก็ต้องฟ้องร้องรัฐบาลไทยตามขั้นตอน โดยข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนให้สิทธิฟ้องได้ แต่ไม่ให้สิทธิยึดทรัพย์สิน การยึดทรัพย์สินจะเกิดได้ต่อเมื่อมีการประกาศสงครามกัน ซึ่งในกรณีนักลงทุนเยอรมนี อาจมองว่าการเปลี่ยนแปลงสัญญาโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เข้าข่ายการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ทำให้นักลงทุนเสียประโยชน์ แต่ในข้อตกลงได้กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทไว้ และคงไม่สามารถมายึดทรัพย์สินได้" แหล่งข่าว กล่าว
เงื่อนไขยืดสัมปทานให้ถอนฟ้องทุกคดี
ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ปรับขึ้นค่าผ่านทางโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2552 หลังจากนั้น ครม.ได้หารือปัญหาโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์อีกครั้งวันที่ 22 ธ.ค.2552 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตในที่ประชุมว่า ตามข้อตกลงในบันทึกข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานในปี 2550 ระบุว่าหากมีคดีข้อพิพาทที่ผู้รับสัมปทานได้ยื่นฟ้องต่อศาล หรือได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้ก่อนหน้านี้ ผู้รับสัมปทานจะต้องถอนฟ้อง หรือถอนข้อพิพาทที่เสนอต่ออนุญาโตตุลาการภายใน 30 วัน มิฉะนั้นกรมทางหลวงมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงได้
ทั้งนี้ บริษัท วอเตอร์บาวน์ อดีตผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัท ทางยกระดับฯ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการโดยไม่ถอนข้อพิพาท ซึ่งถือว่าบริษัทไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลง กรมทางหลวงจึงอาจยกเลิกข้อตกลงเรื่องการปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ โดยนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และพิจารณาความจำเป็นในการทำหนังสือทักท้วงการปรับขึ้นค่าผ่านทางที่ไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงไปยังบริษัท และหลังจากนั้นกระทรวงคมนาคมไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อ ครม.อีก จนเกิดปัญหาขึ้นในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้เยียวยาจากที่โทลล์เวย์เรียกค่าชดเชยไป แล้ว เช่น ขยายสัมปทานออกไปอีกจากเดิมสิ้นสุด ปี 2557 ขยายถึงปี 2577 ให้ปรับค่าผ่านทางได้ตามสัญญาเดิม และล่าสุดวันที่ 22 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา ก็ให้ปรับค่าผ่านทางขึ้นรถยนต์ 4 ล้อ จาก 55 บาทเป็น 85 บาท ส่วนค่าชดเชยรายได้จากการให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย กรมทางหลวงจ่ายชดเชยไปแล้ว 30 ล้านบาท เป็นต้น
ย้อนปมข้อพิพาท
นายกษิต ได้แถลงเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากได้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับ บริษัท วอเตอร์ บาวน์ ของเยอรมนี ซึ่งได้เลิกกิจการไปแล้ว แต่ได้มอบหมายให้ทนายความ เป็นผู้จำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ เมื่อปี 2548 และได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ไต่สวนที่ฮ่องกง และมาสิ้นสุดที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โดยมีคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ดำเนินการภายใต้อนุสัญญานิวยอร์กว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2552 ได้ชี้ขาดให้ราชอาณาจักรไทย ชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัท วอเตอร์ บาวน์ เป็นเงินประมาณ 30 ล้านยูโร บวกดอกเบี้ยอีก 6 เดือนในอัตรา 2% ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.2549 รวมถึงค่าใช้จ่ายในกระบวนการอนุญาโตตุลาการของบริษัทนี้ เป็นเงินเกือบ 2 ล้านยูโร
นายกษิต กล่าวว่า โดยเหตุผลที่ชี้ขาดให้ไทยเป็นผู้แพ้คดีคือ เพราะรัฐบาลไทยผิดพันธกรณี กระทั่งเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2553 บริษัทดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการให้บังคับตามคำชี้ขาดตามคณะอนุญาโตตุลาการ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลไทยได้อุทธรณ์โดยสำนักงานอัยการสูงสุดของไทย โดยกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของเรื่อง และมีกระทรวงการต่างประเทศช่วยดำเนินการอุทธรณ์ด้วย ทั้งนี้ผลออกมาบังคับให้ไทยต้องจ่ายเงินชดเชยในประเทศใดก็ได้ที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญานิวยอร์ก ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ
อีกทั้งบริษัทดังกล่าวยังได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมของเยอรมนีด้วย ทำให้เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมของเยอรมันได้มีคำพิพากษาให้อายัดเครื่องบินที่จอดอยู่ที่นครมิวนิก ของเยอรมนี ทั้งนี้ตนได้ทราบเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา จึงได้เร่งดำเนินการมาจนถึงวันนี้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**********************************
วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ถึง เพื่อนนักประชาธิปไตย ที่สวมเสื้อแดงทุกคน
พวกเรารักความเสมอภาคให้เกียรติซึ่งกันและกัน มาตลอด
วันนี้อยากถาม กลับไปพวกแกนนำ นปช.ทั้งหมด
ว่าท่าน ได้มา เป็นแกนนำที่ถูกต้องหรือไม่ ??
เมื่อท่านทั้งหลาย เรียกร้อง ความยุติธรรม กันมาตลอด
เรียกหาหีบ บัตรเลือกตั้ง เรียกร้อง ประชาธิปไตย..
โดยการลง คะแนน
แต่พวกท่าน กลับปฎิบัติตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
โดยการแต่งตั้งกันเอง เออ ออ กันเอง โดยไม่ไถ่ถาม?
กลุ่มคนรักประชาธิปไตย หรือเสื้อแดงเลย อย่างนี้ เขาเรียกว่า ระบอบเผด็จการ
ใช่หรือไม่ ท่านแกน นำ นปช.ทั้งหลาย
ถ้าท่านรัก คนเสื้อแดงจริง ท่านควร มีการเลือกตั้ง
หน.นปช. และทีมงาน อย่างนักประชาธิปไตย
โดยการลงคะแนนเสียง เหมือนกับ สิ่งที่พวกท่าน เรียกร้องมาตลอด
ด้วยความปราถนาดี
คนเสื้อแดงคนหนึ่งที่รักประชาธิปไตยอย่างล้นเหลือ
***********************
วันนี้อยากถาม กลับไปพวกแกนนำ นปช.ทั้งหมด
ว่าท่าน ได้มา เป็นแกนนำที่ถูกต้องหรือไม่ ??
เมื่อท่านทั้งหลาย เรียกร้อง ความยุติธรรม กันมาตลอด
เรียกหาหีบ บัตรเลือกตั้ง เรียกร้อง ประชาธิปไตย..
โดยการลง คะแนน
แต่พวกท่าน กลับปฎิบัติตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
โดยการแต่งตั้งกันเอง เออ ออ กันเอง โดยไม่ไถ่ถาม?
กลุ่มคนรักประชาธิปไตย หรือเสื้อแดงเลย อย่างนี้ เขาเรียกว่า ระบอบเผด็จการ
ใช่หรือไม่ ท่านแกน นำ นปช.ทั้งหลาย
ถ้าท่านรัก คนเสื้อแดงจริง ท่านควร มีการเลือกตั้ง
หน.นปช. และทีมงาน อย่างนักประชาธิปไตย
โดยการลงคะแนนเสียง เหมือนกับ สิ่งที่พวกท่าน เรียกร้องมาตลอด
ด้วยความปราถนาดี
คนเสื้อแดงคนหนึ่งที่รักประชาธิปไตยอย่างล้นเหลือ
***********************
คนเป็น คนตาย !!?
เมื่อตัดสินใจเข้าสู่ถนนการเมืองและต้องแบกภาระในฐานะผู้นำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี จึงเหมือนเป็นทุกขลาภ เพราะต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
แม้แต่วันนี้ชัยชนะก็กำลังจะเป็นยาขม เพราะทุกเสียงของประชาชนต่างก็ตั้งความหวังว่าผู้นำและรัฐบาลใหม่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้
ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโควตาที่ใครก็เป็นรัฐมนตรีได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และสามารถทำงานได้ทันทีตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เพราะแค่เรื่องการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเรื่องเดียวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลและภายในพรรคเพื่อไทยเองก็มีแต่ข่าวในทางลบของกลุ่มต่างๆที่ออกมาเรียกร้องขอตำแหน่ง ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ท่ามกลางเขาควาย ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหลายกลุ่มก็ประกาศชัดเจนว่าพร้อมจะเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลทันทีหากบริหารผิดพลาด หรือพยายามผลักดันนโยบายที่มีผลต่อความขัดแย้ง
จึงไม่แปลกที่แม้แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตำแหน่งเดียวก็ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาแสดงความชัดเจนว่าจะไม่มีการนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดๆ ซึ่งข่าวที่ออกมาจะเป็นข่าวลือ ข่าวปล่อย หรือข่าวมั่วที่ผู้สื่อข่าวคิดเองก็ตาม ล้วนส่งผลในทางลบทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงความสำคัญของกองทัพที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตราบใดที่สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความขัดแย้งและแตกแยกสูง
ขณะที่ภาคประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมฟื้นฟูสภาพจิตใจครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งนักโทษทางการเมืองและคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยการผลักดันให้เกิดความยุติธรรมตามหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้มีการประกันตัวตามหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เพื่อเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีจึงต้องให้ความสำคัญทั้งเรื่องของคนเป็นและคนตาย ซึ่งไม่ใช่แค่เสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปอย่างมั่นคงด้วย
เพราะหากไม่มีความยุติธรรมก็ไม่สามารถทำให้ความจริงปรากฏ และไม่มีวันทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดองขึ้นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
*******************************************
แม้แต่วันนี้ชัยชนะก็กำลังจะเป็นยาขม เพราะทุกเสียงของประชาชนต่างก็ตั้งความหวังว่าผู้นำและรัฐบาลใหม่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้
ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโควตาที่ใครก็เป็นรัฐมนตรีได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และสามารถทำงานได้ทันทีตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เพราะแค่เรื่องการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเรื่องเดียวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลและภายในพรรคเพื่อไทยเองก็มีแต่ข่าวในทางลบของกลุ่มต่างๆที่ออกมาเรียกร้องขอตำแหน่ง ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ท่ามกลางเขาควาย ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหลายกลุ่มก็ประกาศชัดเจนว่าพร้อมจะเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลทันทีหากบริหารผิดพลาด หรือพยายามผลักดันนโยบายที่มีผลต่อความขัดแย้ง
จึงไม่แปลกที่แม้แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตำแหน่งเดียวก็ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาแสดงความชัดเจนว่าจะไม่มีการนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดๆ ซึ่งข่าวที่ออกมาจะเป็นข่าวลือ ข่าวปล่อย หรือข่าวมั่วที่ผู้สื่อข่าวคิดเองก็ตาม ล้วนส่งผลในทางลบทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงความสำคัญของกองทัพที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตราบใดที่สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความขัดแย้งและแตกแยกสูง
ขณะที่ภาคประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมฟื้นฟูสภาพจิตใจครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งนักโทษทางการเมืองและคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยการผลักดันให้เกิดความยุติธรรมตามหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้มีการประกันตัวตามหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เพื่อเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีจึงต้องให้ความสำคัญทั้งเรื่องของคนเป็นและคนตาย ซึ่งไม่ใช่แค่เสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปอย่างมั่นคงด้วย
เพราะหากไม่มีความยุติธรรมก็ไม่สามารถทำให้ความจริงปรากฏ และไม่มีวันทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดองขึ้นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
*******************************************
วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เสียงครวญ ฉายแสง.. 19 ปี ไม่เคยสอบตก ยกตระกูล..!!?
แต่ยังมีบางตระกูลที่พ่ายแพ้ให้แก่พรรคคู่แข่ง แม้ผลสำรวจ-คะแนนเสียงจะ "นอนกิน" มาตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
หนึ่งในนั้นคือตระกูล "ฉายแสง" เจ้าถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่คว้าชัยมา ตั้งแต่รุ่นพ่อ "อนันต์ ฉายแสง" ซึ่ง ดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์สมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
กระทั่งสืบสายเลือด ส่งไม้ผลัดต่อให้ลูกหญิง-ลูกชาย 3 คน "จาตุรนต์-
วุฒิพงศ์-ฐิติมา" ทำให้ตระกูล "ฉายแสง" ยังคงวนเวียนอยู่บนเวทีการเมืองตลอดมา
ครั้งนี้แม้พี่ชายคนโต "จาตุรนต์ ฉายแสง" ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ตามก๊วนบ้านเลขที่ 111
แต่ยังมี "ฐิติมา-วุฒิพงศ์" ที่ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา เขต 1 และ 4 ตามลำดับ
ด้วยบารมี-ผลงานที่สั่งสมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่า ตระกูล "ฉายแสง" จะตกเก้าอี้ ส.ส.
พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับคู่แข่งคนสำคัญ "พรรคประชาธิปัตย์" ทั้ง 2 เขต
บรรทัดต่อจากนี้ คือความในใจของ "ฐิติมา ฉายแสง" ที่เปิดเผยผ่านสายโทรศัพท์กับนักข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความลับ-หมัดเด็ด ที่คู่แข่งยิงตรง ล้มยักษ์ตระกูล "ฉายแสง" ได้สำเร็จ
"เราแพ้ยกตระกูลในรอบ 19 ปี ทุกครั้งที่สมัครรับเลือกตั้ง อย่างส่ง 2 คน อาจจะมีตกบ้าง ได้บ้าง แต่ที่ผ่านมา มีเพียงปี 2535 และครั้งนี้เท่านั้น ที่ไม่มีคนนามสกุลฉายแสงอยู่ในเก้าอี้ ส.ส."
"ปี 2535 คุณพ่อ (อนันต์ ฉายแสง) ซึ่งลงสมัครด้วย แต่ไปช่วยหาเสียงในเขตพี่อ๋อย (จาตุรนต์ ฉายแสง) จนเกิดความประมาท เสียเก้าอี้ให้กับคนอื่น"
เธอบอกว่า "โพลลับ" ก่อนวันเลือกตั้งแค่ 1 วัน ชี้ชัดว่า มีคะแนนนิยมถึง 75% ขณะที่คู่แข่งมีเพียงแค่ 25% แต่ผลลัพธ์ออกมากลับพลิกล็อกสวนทาง
"ครั้งนี้ต้องพูดว่าแพ้เพราะซื้อเสียง แพ้เพราะความไม่ยุติธรรมตามกติกาการเลือกตั้ง"
ปัจจัยแรกที่ทำให้ตระกูล "ฉายแสง" แพ้ เพราะถูกอิทธิพลใหญ่จากเครือข่ายพ่อค้ายาต้องห้ามสกัดดาวรุ่ง
เธอบอกว่า "จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นถิ่นอิทธิพลใหญ่ของพ่อค้า จากอดีตที่เคยเป็นแค่เส้นทางการค้า พัฒนาสู่การเป็นคลังกักเก็บ กระทั่งปัจจุบัน กลายเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ในประเทศไทย"
"ในเขตของดิฉัน มีคนเขาว่าพ่อค้าขนเงิน ขนคน มาเล่นงานอย่างเต็มที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้"
เธอยืนยันคำพูดด้วยข้อมูลที่ได้รับจากเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้ง (แอมเฟล) ว่า การซื้อเสียงครั้งนี้ อาศัย "ยา" แทนการใช้เงินสด จึงทำให้ผลประโยชน์ของนักการเมือง-พ่อค้า เอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน
ปัจจัยที่สอง มาจากการซื้อสิทธิ-ขายเสียงผ่านเงินสดด้วยวิธีการที่แยบยล
"เดี๋ยวนี้การซื้อเสียงมีกระบวนการที่แยบยลมากขึ้น ให้ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นหัวคะแนนรายย่อย ชนิดที่เรียกว่าดูแลเพียงแค่ 10-15 คน แล้วค่อยรวมกันเป็นเครือข่าย เรียกได้ว่าซื้อเสียงแบบแชร์ลูกโซ่"
"วิธีการซื้อเสียงเหล่านี้ก็เพิ่งทราบหลังรู้ผลการเลือกตั้ง คืนวันเลือกตั้งเราหมดแรงแล้ว เรารู้ว่าเราแพ้ แต่มีชาวบ้านเดินถือใบแจ้งความมาให้อ่าน มีเนื้อหาสารภาพว่า ได้รับเงินจากนาย ก. มาจริงเพื่อทุจริตการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน นาย ก. ในฐานะหัวคะแนนก็ไปสารภาพที่สถานีตำรวจ เพราะเห็นว่ายังไม่พ้น 7 วันหลังเลือกตั้ง จะถูกกัน ให้เป็นพลเมืองดีแทนผู้ต้องหา ปรากฏว่าวันนั้นวันเดียวเราได้หลักฐานเป็นใบแจ้งความทั้งผู้ซื้อผู้ขาย"
"บางคนเคยประกาศว่าเป็นนัดล้างตา ต้องใช้เงินถล่มกันเพื่อเกณฑ์คนมาลงเลือกตั้ง ในเขต 1 ลงทุน 50 ล้านบาท ส่วนเขต 4 ของพี่ชาย ซึ่งคู่แข่งไม่ค่อย มีผลงานทางการเมืองต้องใช้เงินถึง 100 ล้านบาทในการเอาชนะเรา"
หมัดเด็ดที่เธอเชื่อว่าจะล้มคู่แข่งจนนำไปสู่การเลือกตั้งซ่อม ไม่ได้มีเพียง คำพูดจากปากพยานเท่านั้น แต่ยังมี "คลิปลับ" ที่เป็นบทสนทนาจากเจ้าตัวกับทีมงานของตนเอง
"ในบทสนทนาเขายอมรับว่าได้มี การจัดเลี้ยงและสัญญาว่าจะให้ ขณะที่กฎหมายการเลือกตั้งระบุชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ห้ามทำ ซึ่งเหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงที่พรรคการเมืองสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงระบบเขต แต่มันก็ชัดเจนว่าพรรคไหนเบอร์อะไร แถมมี คำอุทานที่ว่า ตายแล้วยังไม่ได้ทำเรื่องนี้เรื่องนั้นเลย ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะผิดกฎหมาย"
สิ่งที่ "ฐิติมา ฉายแสง" เป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่ข้อมูลจากหลักฐานไม่ชัด แต่เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
"บางส่วนของการคัดค้านได้แจ้งเรื่องไปถึง กกต.จังหวัดตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. ซึ่งแนบเอกสารและข้อมูลไปหมดแล้ว โดยตามหลักการจะต้องถึงมือ กกต.ใหญ่ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่า ขณะนี้เขารับรู้เรื่องเหล่านี้แล้วหรือยัง เพราะหากรับรู้แล้ว ส.ส.ชุดแรกที่จะได้ การรับรองสิทธิจะต้องไม่มีชื่อของเขต 1 และ 4 จังหวัดฉะเชิงเทรา"
หากผลลัพธ์สุดท้ายการคัดค้านครั้งนี้จะไม่สำเร็จ แต่ตระกูล "ฉายแสง" อยู่เคียงข้าง "ทักษิณ ชินวัตร" มาตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เธอจึงเชื่อว่า ยังมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1"
"ท่านไม่เคยพูดกับเราโดยตรง แต่ทุกครั้งที่มีประชุมท่านมักจะพูดถึงเรา อย่างโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ท่านก็ถามว่า เป็นไงบ้าง จะไปถึงฉะเชิงเทราแล้ว ดีใจไหม คนในพรรคเองก็ยังพูดแซวกัน ว่า จะเอากระทรวงไหนที่เป็นอย่างนี้เพราะผู้ใหญ่ทั้งหมดก็รู้ว่าเราทำงาน"
"หากไม่ได้เป็น ส.ส.เราก็ไม่ทวงสิทธิทวงเก้าอี้อะไร เราก็เกรงใจ เพราะมีคนต่อสู้ ทำงานในพื้นที่มาเยอะ แต่ทุกวันนี้ยังช่วยงานพรรคอยู่ คุณปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ก็เรียกเราเข้าประชุมทุกวัน ท่านให้ความสำคัญกับเราตลอด ซึ่ง ตอนนี้แม้จะยังไม่ได้เป็น ส.ส. ก็รับหน้าที่ดูแลนโยบายเรื่องสตรีให้พรรค"
เธอบอกว่าตำแหน่ง "รัฐมนตรี" อาจไกลเกินไปที่จะพูดถึงวันนี้ แต่ตำแหน่ง ที่ ส.ส.เป็นไม่ได้ตามกฎหมายอย่าง "เลขาฯ-ที่ปรึกษา" คงไม่ไกลเกินไป สำหรับเส้นทางการเมืองครั้งนี้
"แม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนหัวหน้าพรรค แต่ตำแหน่งคู่คิดใกล้ชิดอย่างเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ทำไม่ได้หรอก มีคนเก่งอีกเยอะ อย่างท่านนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ยังครบครันมากกว่า แต่ถ้าหากเป็นรองเลขาฯเราก็พอ ได้นะ"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
***********************************
มาร์ค.ปิดฉาก ครม. เสธ.หนั่น ลั่นพบกันเมื่อชาติต้องการ !!?
ครม.นัดอำลา "เสธ.หนั่น" ตัวแทน ครม. กล่าวลา "มาร์ค" ยกก้นมีจุดเด่นรับฟังคนอื่น ตัดสินใจถูกต้อง ปล่อยมุกทิ้งท้ายพบกันเมื่อชาติต้องการ ด้าน "อภิสิทธิ์" ขอบคุณ ครม.-ขรก.ประจำอวยพรล่วงหน้า รมต.พรรคร่วม รีเทิร์นร่วม ครม.ปู ขรก.กรี๊ดรุมขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์...
ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นนัดสุดท้ายของ ครม.รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักชื่นมื่น โดยมีรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเกือบครบ ขาดเพียงบางคน อาทิ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม ซึ่งที่ประชุมได้ใช้เวลาในการหารือและพิจารณาตามระเบียบวาระเพียงสั้นแค่ 1 ช.ม.เศษ
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการประชุม พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ในฐานะรัฐมนตรีอาวุโส ได้เป็นตัวแทน ครม. กล่าวขอบคุณนัดส่งท้ายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยกล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนายกฯที่ได้ทำงานร่วมกันมาเพื่อบ้านเพื่อเมืองด้วยดีโดยตลอด ท่านนายกฯ เป็นคนที่มีจุดเด่น ที่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และมีการตัดสินใจที่ดี ที่ถูกต้อง โดยเห็นได้จากเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ทั้งนี้ต้องขออวยพรให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง "เอาไว้พบกันเมื่อชาติต้องการ" พล.ต.สนั่นกล่าว พร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้กล่าวขอบคุณ ทั้งบรรดาข้าราชการประจำ ที่ได้ร่วมมือร่วมงานกันลุล่วงไปได้ด้วยดี และต้องขอบขอบคุณ ครม.ทุกคน ที่ได้ร่วมงานกันมาเป็นอย่างดี มีงานสำคัญหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จด้วยดี จากการที่ได้รับความร่วมไม้ ร่วมมือด้วยกันมา และตนต้องขอแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีบางท่าน ที่อาจจะได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงหนึ่งระหว่างที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ ได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยว่าถือว่า ครึ่งปีเข้ามาเกินครึ่งของที่ตั้งเป้าไว้ ถึงสิ้นปีต้องเข้ามามากแน่นอน ดังนั้น จึงขอให้ทาง กต.ยกเว้นการเก็บค่าวีซ่า และตั้งกงสุลให้เยอะๆ ซึ่งนายกษิต ได้แย้งว่า ไม่ควรจะไปยกเว้นค่าวีซ่า เพราะผลประโยชน์จะไปตกอยู่กับบริษัทท่องเที่ยวหมด แต่ควรจะได้เอาเงินไปจัดทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวตัดบทว่า ไม่เป็นไร ก็เดี๋ยวท่านชุมพล ก็ดูแลต่อนี่ คอยดูว่าถึงสิ้นปีนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเกินเป้าหรือไม่ เห็นว่านายชุมพลจะได้อยู่ต่อที่เดิม
และในตอนหนึ่งระหว่างพิจารณาการต่ออายุ พ.ร.ก.การบิรหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯได้แจ้งต่อครม.ด้วยว่า ตนคาดการณ์ว่าจะมี ครม.ใหม่ได้ก่อนวันที่ 11 ส.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายเมื่อเลิกการประชุม ครม.ปรากฏว่า บรรดารัฐมนตรีต่างลุกขึ้นเดินวน จับไม้จับมือกล่าวอำลา และอวยพรซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รมว. มหาดไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ลุกขึ้นไปจับมือขอบคุณเลขาธิการ สมช. ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการสำนักเลขาธิการ ครม.ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปยังห้องประชุม ครม. เพื่อขอถ่ายรูปร่วมกับนายอภิสิทธิ์ พร้อมขอลายเซ็นต์นายกฯคนที่ 27 เป็นครั้งสุดท้าย บางคนถึงขนาดให้เซ็นต์ลงบนเสื้อ และบางคนได้เตรียมของขวัญมามอบเป็นที่ระลึกแก่นายอภิสิทธิ์ด้วย
ที่มา: ไทยรัฐ
********************************
ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นนัดสุดท้ายของ ครม.รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักชื่นมื่น โดยมีรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเกือบครบ ขาดเพียงบางคน อาทิ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม ซึ่งที่ประชุมได้ใช้เวลาในการหารือและพิจารณาตามระเบียบวาระเพียงสั้นแค่ 1 ช.ม.เศษ
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการประชุม พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ในฐานะรัฐมนตรีอาวุโส ได้เป็นตัวแทน ครม. กล่าวขอบคุณนัดส่งท้ายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยกล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนายกฯที่ได้ทำงานร่วมกันมาเพื่อบ้านเพื่อเมืองด้วยดีโดยตลอด ท่านนายกฯ เป็นคนที่มีจุดเด่น ที่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และมีการตัดสินใจที่ดี ที่ถูกต้อง โดยเห็นได้จากเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ทั้งนี้ต้องขออวยพรให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง "เอาไว้พบกันเมื่อชาติต้องการ" พล.ต.สนั่นกล่าว พร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้กล่าวขอบคุณ ทั้งบรรดาข้าราชการประจำ ที่ได้ร่วมมือร่วมงานกันลุล่วงไปได้ด้วยดี และต้องขอบขอบคุณ ครม.ทุกคน ที่ได้ร่วมงานกันมาเป็นอย่างดี มีงานสำคัญหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จด้วยดี จากการที่ได้รับความร่วมไม้ ร่วมมือด้วยกันมา และตนต้องขอแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีบางท่าน ที่อาจจะได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงหนึ่งระหว่างที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ ได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยว่าถือว่า ครึ่งปีเข้ามาเกินครึ่งของที่ตั้งเป้าไว้ ถึงสิ้นปีต้องเข้ามามากแน่นอน ดังนั้น จึงขอให้ทาง กต.ยกเว้นการเก็บค่าวีซ่า และตั้งกงสุลให้เยอะๆ ซึ่งนายกษิต ได้แย้งว่า ไม่ควรจะไปยกเว้นค่าวีซ่า เพราะผลประโยชน์จะไปตกอยู่กับบริษัทท่องเที่ยวหมด แต่ควรจะได้เอาเงินไปจัดทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวตัดบทว่า ไม่เป็นไร ก็เดี๋ยวท่านชุมพล ก็ดูแลต่อนี่ คอยดูว่าถึงสิ้นปีนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเกินเป้าหรือไม่ เห็นว่านายชุมพลจะได้อยู่ต่อที่เดิม
และในตอนหนึ่งระหว่างพิจารณาการต่ออายุ พ.ร.ก.การบิรหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯได้แจ้งต่อครม.ด้วยว่า ตนคาดการณ์ว่าจะมี ครม.ใหม่ได้ก่อนวันที่ 11 ส.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายเมื่อเลิกการประชุม ครม.ปรากฏว่า บรรดารัฐมนตรีต่างลุกขึ้นเดินวน จับไม้จับมือกล่าวอำลา และอวยพรซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รมว. มหาดไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ลุกขึ้นไปจับมือขอบคุณเลขาธิการ สมช. ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการสำนักเลขาธิการ ครม.ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปยังห้องประชุม ครม. เพื่อขอถ่ายรูปร่วมกับนายอภิสิทธิ์ พร้อมขอลายเซ็นต์นายกฯคนที่ 27 เป็นครั้งสุดท้าย บางคนถึงขนาดให้เซ็นต์ลงบนเสื้อ และบางคนได้เตรียมของขวัญมามอบเป็นที่ระลึกแก่นายอภิสิทธิ์ด้วย
ที่มา: ไทยรัฐ
********************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

