--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การเมืองก็คือการเมือง ‘บิ๊กจิ๋ว’ยังเป็น บิ๊กจิ๋ว!

ปี่กลองการเมืองขานรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง โหมโรงกันอย่างคึกคัก อื้ออึงแล้ว เพราะฉะนั้นฟันธงแบบไม่เกรงใจหมอดู... การเลือกตั้งจะต้องมีแน่ ชัวร์
ขืนใครมาบล็อกไม่ให้มีการเลือกตั้ง เป็นเรื่องวุ่นวายแน่นอนเช่นกัน ส่วนว่าเข้าคูหาแล้ว จะกาเลือกใคร หรือไม่เลือกใคร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสีสันที่ทำให้มีลุ้นว่า ใครบ้างราคาคุย และใครกันที่เป็นของจริง
แต่การเมืองเป็นเรื่องกลม ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร ยิ่งการสังกัดพรรคด้วยแล้ว เปลี่ยนกันได้แบบไม่ต้องกลัวประชาชนงง ขึ้นอยู่กับว่าเงื่อนไขและข้อต่อรองลงตัวหรือไม่ ถ้าลงตัวก็ไป ไม่ลงตัวก็เดินสายเร่ไปเรื่อยจนกว่าจะลงตัว

นี่คือสีสันการเมืองแบบไทยๆ ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นแม้ว่า วันก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี จะถูกแรงกดดันจนกระทั่งต้องประกาศลาออกจากการเป็นประธานพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายคนวิเคราะห์ว่า นี่คือการอำลาทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จแล้วหรือไม่?

แต่ล่าสุดในวันเกิดของบิ๊กจิ๋ว เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประภัสร์ จงสงวน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นำกระเช้าดอกไม้มาอวยพรวันเกิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายรัฐมนตรี เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 79 ปี ที่ริเวอร์ไรน์ คอนโดมิเนียม อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

ที่สำคัญในการมาครั้งนี้ นายสมชายนำกระเช้าดอกไม้มา 2 กระเช้า ซึ่ง 1 ใน 2 กระเช้ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ติดอยู่ด้วย เหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่า คนไกลยังคงคิดถึงอยู่ ไม่ได้ห่างหายไปเพราะการลาออกจากพรรคของบิ๊กจิ๋วแต่อย่างใด

แม้นายสมชายจะให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบ พล.อ.ชวลิตว่า เป็นการมาอวยพรวันเกิด พล.อ.ชวลิต ไม่ได้มาเชิญเข้าพรรคเพื่อไทย เพราะเรื่องนั้นถือเป็นหน้าที่ของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เนื่องจากโดยส่วนตัวแล้วไม่มีอำนาจศักยภาพพอ

"ถ้าถามถามใจของผม ผมอยากให้ พล.อ.ชวลิตไปช่วยงานพรรคเพื่อไทย เพราะในพรรคมีนายทหารและตำรวจที่เป็นลูกน้องของ พล.อ.ชวลิตเยอะ หาก พล.อ.ชวลิตกลับไปอยู่กับน้องๆ คงจะอบอุ่น ส่วน พล.อ.ชวลิตจะมาช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงหรือไม่นั้น ผมคิดว่าใครมาช่วยพรรคหาเสียงถือว่าดี และเป็นไปได้ที่ พล.อ.ชวลิตจะมาช่วยหาเสียง" นายสมชาย กล่าว

สำหรับกระเช้าดอกไม้มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการฝากอวยพรอะไรมาบ้าง นายสมชายกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มาอวยพรด้วยตัวเอง จึงฝากกระเช้าดอกไม้มาให้ ส่วนการอวยพรคิดว่าคงสามารถคุยกันได้ เพราะรู้เบอร์โทรศัพท์ก็คุยกันได้

ทั้งนี้ นายสมชายใช้เวลาในการไปพบ พล.อ.ชวลิต 20 นาที จากนั้นนายสมชายให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ได้อวยพรพลเอกชวลิตให้มีอายุมั่นขวัญยืนและเป็นกำลังใจให้พวกตนต่อไป โดย พล.อ.ชวลิตได้ขอบคุณ โดยไม่มีการคุยเรื่องการทำงานการเมืองร่วมกันอีกครั้ง


"วันนี้เป็นวันเกิดก็ควรมาแสดงความดีใจ โดย พล.อ.ชวลิตมีหน้าตาสดใส สมองเปี่ยมด้วยความสามารถ”
ซึ่งนายสมชายยอมรับว่าระหว่างที่คุยอยู่กับ พล.อ.ชวลิต นั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้โทรศัพท์มาอวยพร พล.อ.ชวลิตด้วยตัวเอง

ส่วนจะคุยเรื่องการเมืองกันหรือไม่นั้น ยอมรับว่าไม่ได้ฟังเพราะเป็นเรื่องมารยาท
อย่างไรก็ตามพล.อ.ชวลิตบอกว่าไม่ได้ทอดทิ้งน้องๆ มีอะไรก็ช่วยบอกกล่าว ยืนยันว่าวันนี้ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง เพราะเรื่องต่างๆ มันแล้วแต่สถานการณ์ข้างหน้า

“วันนี้สรุปว่ามิตรภาพเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" นายสมชายระบุ
เป็นบรรยากาศวันเกิดที่กลายเป็นนัยยะทางการเมืองขึ้นมาได้เหมือนกัน เนื่องจากไม่ว่าอย่างไร ต้องยอมรับว่า บารมีของบิ๊กจิ๋ว ยังมีอยู่ทั้งในแวดวงการเมือง และในแวดวงกองทัพ

ซึ่งท่าทีของบิ๊กจิ๋วเองก็น่าคิดไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้นก็ได้มีการพูดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นของนายเสนาะ เทียนทอง ว่าได้กลับมาเข้าพรรคเพื่อไทยแล้วใช่หรือไม่
โดยพูดด้วยว่า การที่นายเสนาะมาช่วยงานพรรคเพื่อไทย ถือเป็นเรื่องที่ดี!!!

นั่นแปลได้ว่าลึกๆแล้ว บิ๊กจิ๋วไม่ได้ตัดรอนพรรคเพื่อไทยแบบตัดขาดไม่เหลือใย แต่ยังคงมีความเป็นห่วงเป็นใยผูกพันอยู่ลึกๆด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญการที่บิ๊กจิ๋วแสดงท่าทีดังกล่าว อาจจะเป็นไปได้ว่า แรงกดดันในช่วงที่ผ่านมาอาจจะลดลงเพราะการที่กำลังจะมีการเลือกตั้งก็เป็นได้

เพราะในช่วงที่บิ๊กจิ๋วประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทยนั้น มีกระแสข่าวออกมาอย่างหนาหูว่า เป็นเพราะถูกกดดันมาก

ดังนั้นหากแรงกดดันลดลง เพราะสถานการณ์ของประเทศจะต้องเดินหน้าไปสู่การคลี่คลายในเบื้องต้นด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม

ก็เป็นไปได้ว่านายทหารที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยมาตลอดชีวิตอย่างบิ๊กจิ๋ว
อาจจะมีการรีเทิร์นมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคอการเมืองก็ได้ใครจะรู้
เพราะการเมืองเป็นเรื่องกลมที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ที่สำคัญ “บิ๊กจิ๋ว”ก็คือ “บิ๊กจิ๋ว”ที่ไม่กลัวในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโดยไม่ยึดติดใดๆอยู่แล้ว

ฉะนั้น “บิ๊กจิ๋ว”คัมแบ็ก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้... เพราะวันเกิดปีนี้ บิ๊กจิ๋วยังพูดชัดเจนว่า
“ผมก็ยังห่วงบ้านเมืองอยู่ อะไรที่ช่วยได้ก็ยินดีช่วย”

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

พันธมิตรฯ ชี้ "ยิ่งลักษณ์" ชิงนายกฯ เป็นตัวอย่างของการเมืองที่ล้มเหลว จึงต้องโหวตโน

"สุเทพ" เชื่อ "อภิสิทธิ์" ได้เปรียบกว่า "ยิ่งลักษณ์" มาก เพราะได้แสดงความเป็นผู้นำแก้ปัญหาประเทศ รักษาบ้านเมืองให้รอดพ้นมาได้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ คงทำงานยากเพราะต้องคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกล ส่วน "พันธมิตรฯ" ชี้การโหวตโน คือการทำบุญให้แก่ประเทศ โดยปล่อยให้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง

"ยิ่งลักษณ์" นั่งเบอร์ 1 ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ลั่นไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไขปัญหา

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.) ที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยได้ลงมติเอกฉันท์เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของพรรคเพื่อไทย ภายหลังที่นายวิทยา บุรณศิริ อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา เสนอชื่อเพียงผู้เดียว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยืนยันความพร้อมในการทำหน้าที่ และชูนโยบายความสามัคคี ปรองดอง และเน้นสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และระบุว่าไม่รู้สึกหวั่นไหวกับการโจมตีเรื่องส่วนตัวทางการเมือง พร้อมรับการพิสูจน์ต่อสาธารณะภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ส่วนการชูนโยบายนิรโทษกรรมและนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศนั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป เพราะสิ่งแรกที่ควรทำคือการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

"สุเทพ" ชี้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ คงทำงานยาก เพราะต้องคอยฟังเสียงจากโทรศัพท์ทางไกล

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ ว่า เวลาจะพูดถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพูดด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นสุภาพสตรี แต่ขอบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ขอต้อนรับในฐานะเป็นผู้นำของพรรคการเมือง คู่แข่งขัน และให้ความนับถือจะปฏิบัติต่อเธอในฐานะที่เป็นคู่แข่งขันคนหนึ่ง เขาเชื่อว่าประชาชนไม่ได้พิจารณาที่ความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จะพิจารณาว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมในภาวะบ้านเมืองขณะนี้ ถ้าตรงนี้คิดว่า นายอภิสิทธิ์ได้เปรียบมาก และพรรคประชาธิปัตย์ได้ 10 คะแนนเต็ม เพราะนายอภิสิทธิ์ได้แสดงฝีมือ ความเป็นผู้นำในการเป็นนายกฯแก้ปัญหาของประเทศในช่วงวิกฤตของประเทศ รักษาบ้านเมืองรอดพ้นมาได้ 2 ปีกว่า

"ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่า ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่างไร มันก็เหมือนหนังตะลุง ก็เลยทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นหัวเลี้ยวหัวที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก" เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ

ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้คะแนนน้อยลง เพราะนโยบายพรรค ประชาชนจับต้องไม่ได้นั้น นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้เอาสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดวันนี้แปะติดไว้ข้างฝา ติดไว้คู่กับสิ่งที่เขาพูดไว้เลือกตั้งเสร็จแล้วค่อยมาดูกัน

โฆษกพันธมิตรฯ ชี้เพื่อไทยส่ง "ยิ่งลักษณ์" ชิงนายกฯ เป็นตัวอย่างการเมืองที่ล้มเหลว ต้องโหวตโน

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯ ประเทศคงจะไม่สงบ และมีความวุ่นวายเหมือนเดิม ยกเว้นเงื่อนไข 3 ประการ คือ หนึ่ง การกลับมาของ นช.ทักษิณนั้นจะต้องเคารพในหลักนิติรัฐนิติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมก็ได้สิ้นสุดไปเรียบร้อยแล้ว สอง ต้องหยุดขบวนการทั้งในพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีลักษณะการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ สาม ต้องหยุดพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชัน

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า เมื่อมองอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า พรรคการเมืองไม่ได้เป็นสมบัติของประชาชนอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่าผู้มีอิทธิพลในพรรคสามารถกำหนดชี้ขาดให้ญาติพี่น้องของตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือคู่ชิงนายกฯ ได้ นี่คือตัวอย่างของการเมืองที่ล้มเหลว รวมทั้งในฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพยายามโน้มน้าวว่านักการเมืองไม่ได้เลวทุกคนนั้น ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของนักการเมืองในระบบที่พยายามปกป้องคนในกลุ่มอาชีพของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ต่างจากการยกมือสนับสนุนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้ง แม้ว่าบางคนจะถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ก็ตาม แสดงให้เห็นว่าระบบพรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้องนั้น ไม่สามารถที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดการปฏิรูประบบคนดีในสภาผู้แทนราษฎรได้ และจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสาเหตุที่ประชาชนต้องร่วมมือกันรณรงค์กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อส่งสัญญาณการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่

“การโหวตโน คือการไม่ทำบาปทำร้ายประเทศชาติ และยังถือเป็นการทำบุญให้แก่ประเทศ โดยไม่ส่งเสริมพรรคการเมืองข้างใดข้างหนึ่งที่จะนำเสียงของเราไปแอบอ้างในการทำร้ายประเทศ หรือปล่อยให้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง” นายปานเทพกล่าว

นอกจากนี้ นายปานเทพยังกล่าวว่า จะมีการไปรณรงค์โหวตโน ในที่สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ด้วย


ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สายล่อฟ้าอักษร ป.ปลา.ปู-ยิ่งลักษณ์

“ผมขอถามตรงไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และหวังว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะกล้าหาญออกมาตอบคำถามเอง อย่าใช้คนอื่นมาตอบ โดยเฉพาะการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายอนุสรณ์ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องตอบอย่างหนัก อีกทั้งบุตรชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีตำแหน่งทางการเมือง บุตรชายจะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย”

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวทันที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอยากฝากคำถามถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2 ข้อว่า

1.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยให้สัมภาษณ์ไม่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ระยะหลังกลับให้คนอื่นออกมาพูดแทน จึงอยากถามว่ายังจะให้การสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้อีกหรือไม่

2.อยากให้ตอบคำถามเกี่ยวกับสามีที่ชื่อ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รวมถึงบุตรชายที่ขณะนี้มีอายุ 9 ขวบ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเป็นประธานกรรมการบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงต้องตอบว่าหากได้เป็นนายกฯจะทิ้งหุ้นบริษัทเอกชนทั้ง 2 แห่งหรือไม่ และจะดำเนินชีวิตทางการเมืองอย่างไร

“อภิสิทธิ์” จี้เปิดตัวชัดเจน

ขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่จะชิงตำแหน่งนายกฯว่า ยังไม่ทราบชัดเจน แต่อยากให้มีความโปร่งใส เพราะเมื่อมีการยุบสภา คนไทยมีสิทธิที่จะรู้ว่าใครจะอาสาตัวเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ อีก ทั้งที่บอกว่าการบริหารประเทศสามารถใช้ระบบทางไกล ได้นั้นไม่เป็นจริง และสุดท้ายต้องตอบคำถามว่าถ้าไม่เป็นจริงแล้วจะไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร พรรคเพื่อไทยจึงควรเปิดตัวออกมา จะได้มีการตรวจสอบวิสัยทัศน์และเรื่องต่างๆเพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชน

นายอภิสิทธิ์พูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณว่าต้องการเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้แน่นอน เพราะมีการเคลื่อนไหวมาหลายปี รวมถึงจะเปลี่ยนแปลงและทำคู่ขนานกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดยังให้กลุ่มคนเสื้อแดงถอดเสื้อแดงออกในช่วงระหว่างการเลือกตั้งด้วย

แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายบุญยอดนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตีคู่แข่งว่า จะห้ามปรามลูกพรรคไม่ให้นำเรื่องส่วนตัวมาพูด และอย่าเพิ่งวิจารณ์จนกว่าจะมีการเปิดตัวให้ชัดเจนก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ให้ความนับถือในฐานะคู่ต่อสู้ทางการเมืองเหมือนกัน

ไพร่-อำมาตย์?

การนำเรื่องส่วนตัวมาใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามทาง การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก่อนหน้านี้นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกวิจารณ์ว่ามักให้สัมภาษณ์โดยนำเรื่องส่วนตัวของฝ่ายตรงข้ามมาถากถาง หรือสร้างเรื่องให้ดูหวือหวาและไม่เป็นความจริง อย่างกรณีมีคนปาอุจจาระบ้านนายอภิสิทธิ์ก็ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตว่ามีการจ้างวานถึง 10 ล้านบาท แต่ภายหลังมือปาอุจจาระสารภาพว่าเพราะไม่พอใจเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร นายเทพไทจึงได้ฉายาว่า “เทพอุนจิ (ขี้)”

หรือกรณีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คถากถางนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และครอบครัวที่ไปรับประทานอาหารที่ร้านเดียวกันว่า

“ทำให้เราอดนึกขำไม่ได้ว่าคนที่เรียกตัวเองว่าไพร่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นพวกอำมาตย์สักเท่าใดนัก...”

ทำให้มีการโพสต์ข้อความตอบโต้ระหว่างนายณัฐวุฒิกับนายกรณ์ จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมนำมาวิพากษ์ถึงความเหมาะสม และปัญหาชนชั้นในสังคมไทยที่ยังไม่ได้หลุดพ้นจาก “ไพร่-อำมาตย์” แม้นายกรณ์จะออกมาปฏิเสธว่ามิได้ต้องการปลุกปั่นให้สังคมแตกแยก และไม่เคยเห็นว่าสังคมไทยมีความแตกต่างกัน แต่นางวรกร จาติกวณิช ภรรยาของนายกรณ์ ที่โพสต์ข้อความเช่นกันนั้นกลับยิ่งตอกย้ำชัดเจน

“ณ ร้านอาหารในซอยทองหล่อคืนนี้ อำมาตย์และอำมาตย์หญิงแชร์เบียร์ไทย 1 ขวด ส่วนไพร่กับภรรยาดื่มไวน์ราคาแพง และมีพยาบาลตามมาดูแลลูก...”

ในขณะที่นายณัฐวุฒิได้ขอยุติการตอบโต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เหนือกว่า

ยิ่งตียิ่งได้คะแนน

การที่นายสุเทพออกมาเตือนนายบุญยอดเรื่องนำเรื่องส่วนตัวมาเป็นเกมการเมืองนั้นก็เหมือนการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีข่าวเรื่องครอบครัวและชู้สาวอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคำถามของนายบุญยอดเรื่องจดทะเบียนสมรสก็เหมือนการแทงใจดำนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ หรือคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ไปด้วยเช่นกัน

แม้แต่นายสุเทพเองก็มักจะถูกพาดพิงถึงภรรยาในปัจจุบัน ซึ่งนายสุเทพก็ไม่พอใจที่ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะรู้ดีว่าต้องการให้เกิดความบาด หมางกับแกนนำบางคนในพรรคประชาธิปัตย์

ที่สำคัญสังคมไทยเป็นสังคมครอบครัวที่มีความเมตตาและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างหญิงและชาย ทั้งยังให้ความเคารพยกย่อง เพศหญิงว่าเปรียบเสมือน “แม่” ผู้มีพระคุณอีกด้วย

ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์พยายามใช้เรื่องส่วนตัวโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่เคยมีบาดแผลทาง การเมืองมาก่อนนอกจากเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แทนที่จะเป็นผลดีกลับยิ่งทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเพิ่มมากขึ้น และทำให้โอกาสที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกเป็นไปได้สูง เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีการพูดถึงคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าอาจเล่นการเมืองและจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เช่นเดียวกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งต้องเว้นวรรคการเมืองเพราะการยุบพรรคไทยรักไทย

คุณสมบัตินายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศรัสเซีย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดนอกจากคาดว่าน่าจะไปหารือเรื่องทั่วๆไป หรือถือโอกาสรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ตามปรกติ เพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์

แต่เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งพรรคเพื่อไทยกำลังมีการแย่งชิงว่าใครจะได้เป็นแคนดิเดตตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีชื่อทั้งนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตข้อ ความผ่านทวิตเตอร์ว่า คนที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนายกฯหากได้เป็นรัฐบาล แต่บังเอิญพรรคสายเลือดไทยรักไทยเป็นพรรคที่ถูกแกล้ง จึงโดนยุบพรรคมาหลายครั้งแล้ว ส่วนพรรคคู่แข่งทำอะไรผิดก็ช่วยกันให้ไม่ผิด เลยต้องสู้กันแบบนี้

เมื่อหลายคนถามว่าถ้าชนะการเลือกตั้งจะเสนอใครเป็นนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตข้อความถึงคุณสมบัติผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งประชาชนต้องการ 9 ข้อคือ

1.ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาประสานงานกับทุกฝ่ายได้ ไม่ขยันสร้างศัตรู 2.ต้องเป็นคนที่มีเมตตาธรรม 3.ต้องมีจิตใจรักความเป็นธรรม 4.ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสิ่งที่ผิด 5.ต้องเป็นคนเข้าใจเศรษฐกิจของประชาชนและของภาคธุรกิจ 6.ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์บริหารองค์กรขนาดใหญ่ เข้าใจอย่างเดียวแต่ทำไม่เป็นไม่ได้ 7.ต้องเป็นคนที่มีใจรักประชาชน 8.ต้องเป็นผู้รักความเป็นประชาธิปไตย โดยเคารพความสามารถและสติปัญญาของประชาชน และ 9.ต้องเป็นผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ชู “ยิ่งลักษณ์” รวมพลังสู้ ปชป.

คุณสมบัติ 9 ข้อ มี 2 ข้อที่ทำให้ชื่อของ พล.ต.อ.ประชาหลุดไปคือ ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจและการบริหารองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ จึงเหลือแค่นายมิ่งขวัญกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่ในทวิตข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณก็อ้างว่าแฟนคลับรายหนึ่งได้ทวิตข้อความถามว่าหลายคนยอมรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณตอบไปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อจบปริญญาโทจากอเมริกาก็มาทำงานธุรกิจกับตน โดยเริ่มเป็นเซลล์ขายโฆษณาเยลโล่เพจเจสจนโตเป็นประธานบริหารเอไอเอส ซึ่งในทางการเมืองก็เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญเชื่อว่าหากให้บุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นนายมิ่งขวัญหรือ พล.ต.อ.ประชาก็อาจทำให้ความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยมีมากขึ้น เหมือนที่ผ่านมาที่มีความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือกรณี ร.ต.อ.เฉลิมกับกลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์

ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นสัญญาณเตือนให้แกนนำในพรรคที่ต้องการจะขึ้นเป็นนายกฯในนามพรรคเพื่อไทยต้องหยุดให้ข่าวได้แล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นผู้เลือกเฟ้นบุคคลที่เหมาะสมและเห็นชอบ เนื่องจากดูแล ส.ส. และพรรคมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเตรียมบุคคลที่เลือกไว้ในใจแล้วว่ามีคุณสมบัติที่สามารถ นำพาประเทศให้หลุดพ้นวิบากกรรม แก้ปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจได้

จากธุรกิจสู่การเมือง

สำหรับว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีชื่อเล่นว่า “ปู” ปัจจุบันอายุ 44 ปี เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2510 เป็นน้องสาวคนสุดท้องในจำนวน 9 คน ของนายเลิศและนางยินดี ชินวัตร สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรชาย 1 คน

ด้านการศึกษาจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2533 และเข้าทำงานที่บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด เป็นกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

แต่หลังจากตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ลาออกจากเอไอเอสไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ส่วนบทบาททางการเมืองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เข้าร่วมกิจกรรมและอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยมาตลอดหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องใช้ชีวิตในต่างประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเหมือนตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นผู้ดูแลเงินที่ใช้ในกิจการต่างๆของพรรค จึงมีความสนิทสนมกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี

เปรียบเทียบกึ๋น “ปู-มาร์ค”?

แม้ยังไม่มีความชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคู่ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่ แต่ก็มีการเตรียมป้ายหาเสียงที่มีรูปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์คู่กับผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนหนึ่งไว้แล้ว ในเวทีการเมืองจึงหนีไม่พ้นการเปรียบเทียบความเหมาะสมและคุณสมบัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งในทางการเมืองแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะอยู่เบื้องหลังมานานพอสมควร แต่ก็ถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่ชั้นเชิงในทางการพูด การอภิปราย การโต้ตอบด้วยคารม เทียบชั้นไม่ได้กับนายอภิสิทธิ์ แต่ในด้านความรู้ความสามารถและการบริหารจัดการทางธุรกิจแล้วถือว่ามีมากกว่านายอภิสิทธิ์แน่นอน

โดยเฉพาะผลงานของนายอภิสิทธิ์ในช่วงที่เป็นรัฐบาล 2 ปีที่ผ่านมาถูกโจมตีว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างที่คณะกรรมการนโยบายเพื่อไทยชี้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารล้มเหลวจนบ้านเมืองใกล้ล้มละลายใน 9 ด้านคือ หนี้สาธารณะ การบริหารงบประมาณล้มเหลว ปัญหาค่าครองชีพสูง การทุจริตคอร์รัปชัน ความสามารถในการแข่งขัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหายาเสพติด ความล้มเหลวด้านการต่างประเทศ และความล้มเหลวด้านการศึกษา

“ฉายา” บ่งบอกผลงาน

อย่างการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหารที่ได้ฉายาว่า “รัฐบาลเทพประทาน” ก็บ่งบอกถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าอยู่เคียงข้างประชาชนหรือเผด็จการ ซึ่งเป็นบาดแผลลึกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่อาจลบออกไปได้ โดยเฉพาะนักวิชาการและฝ่ายประชาธิปไตยถือว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง อีกทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ยังถูกวิจารณ์อย่างมากถึงภาวะผู้นำที่ไม่มีความเด็ดขาดและอ่อนแอ โดยเฉพาะการดำเนินการกับรัฐมนตรีที่มีข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งที่ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ แต่กลับขึ้นสนิม จนนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาว่า “หล่อหลักลอย” ขณะที่ภาพลักษณ์โดยทั่วไปก็ถูกวิจารณ์ว่า “ดีแต่พูด” หรือ “เก่งแต่สร้างภาพ” เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเดินสายเปิดงานและปาฐกถามากมายแค่ไหน ส่วนรัฐบาลก็ได้ฉายาว่า “ใครเข้มแข็ง?” ซึ่งสะท้อนถึงการทุจริตคอร์รัปชันในแทบทุกโครงการ

โดยในปีแรกของรัฐบาล นักข่าวสายทำเนียบรัฐ-บาลตั้งฉายาให้ว่า “รัฐบาลรอดฉุกเฉิน” เพราะรอดพ้น ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนมีคนตายถึง 91 คน และบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน และยังรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งที่แทบไม่มีผลงานเศรษฐกิจอะไรที่โดดเด่น ส่วนนายอภิสิทธิ์ได้ฉายา “ซีมาร์คโลชั่น” เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้นอกจากการบรรเทาโรค เหมือนการใช้ซีม่าโลชั่นทาแก้คันเท่านั้น

เพื่อตระกูล “ชินวัตร”

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาเล่นการเมืองเต็มตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่บวกและลบ โดยเฉพาะคำถามว่าจะทำให้คนในตระกูลชินวัตรกลับมารุ่งเรืองหรือตกต่ำกว่าเดิม เพราะเมื่อเล่นการ เมืองก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือวิสัยทัศน์ อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมขณะนี้ ซึ่งต้องพยายามดิสเครดิตตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยทุกรูปแบบ

ขณะที่ในมุมมองของนักวิชาการก็มีความเห็นที่หลากหลาย อย่างเช่น น.ส.สิริพรรณ นกสวน อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ไม่แปลกใจที่มีกระแสข่าวจากพรรคเพื่อ ไทยว่าจะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 และจะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเป็นครอบครัวและพรรคชินวัตรทันที ซึ่งที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็พยายามปกป้องครอบครัวและคนในตระกูลมาตลอด

“แนวโน้มที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกชูตัวเป็นนายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นไปได้สูง นั่นหมายความว่าจะเป็นการเปิดศึกสู้กับชนชั้นนำและทหารเต็มที่”

น.ส.สิริพรรณเห็นว่าหลังการเลือกตั้งแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบพรรคยังมีสูง เพราะจะมีกระบวนการสกัดกั้นมิให้พรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลอย่าง เต็มที่ และหากพรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลก็ต้องเป็น การตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งโอกาสจะเกิดวิกฤตการเมืองก็เป็นไปได้สูง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงจะมีความวุ่นวายตามมาแน่ไม่ว่าพรรคใดจะชนะเลือกตั้ง แต่หากรอให้อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมา เมื่อถึงเวลานั้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองก็ได้

“ยิ่งลักษณ์” สายล่อฟ้า!

ขณะที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เคยกล่าวเปรียบเทียบพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า หากดูฐานเดิมกับรูปแบบเลือกตั้งใหม่ จำนวน ส.ส. ที่จะได้คงไม่หนีกันเท่าไร แต่ยอดรวมพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ระบบเขตเพิ่มขึ้นบวก-ลบไม่เกิน 1-2 คน แต่พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. มากที่สุดแล้วจะได้ตั้งรัฐบาลหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งที่พรรคเพื่อไทยมีความชอบธรรมทางการเมืองและมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ซึ่งคนในตระกูลชินวัตรมีบทเรียนสูง จึงรู้ดีว่าอะไรที่ชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย

“ในประวัติศาสตร์การเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยได้กลับมาเป็นรัฐบาลเบิ้ลสมัยที่ 2 แต่ประวัติศาสตร์ก็มีไว้ให้ทำลาย ไม่แน่ หรืออาจจะมีเรื่องมนต์ดำ แต่ผมไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่มนต์เขมร แต่เราอย่าไปกลัวมัน มันก็ไม่สามารถมาครอบงำเราได้” นายสุวัจน์กล่าวยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินแสดงความมั่นใจว่าจะได้กลับประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่พรรคใดจะเป็นรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเดิมพันถึงอนาคตของตระกูลชินวัตรทั้งหมดด้วย จึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายฟันธงว่าการเลือกตั้งจะไม่สามารถยุติวิกฤตความขัดแย้งได้เช่นเดียวกับกระแสการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย หรือข่าวจริง แต่การออกมาตบเท้าแสดงพลังของกองทัพ รวมถึงการไล่บี้คนเสื้อแดงและปิดสื่อต่างๆ โดยอ้างมาตรา 112 และข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง ล้วนแยกไม่ออกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งอาจถูกยุบพรรคได้ไม่ยาก

แม้ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ แต่การเมืองไทยวันนี้ประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์ เพราะต้องฟังเสียงจากสวรรค์จริงๆเท่านั้น

เมื่ออยู่กลางฝนก็อย่ากลัวเปียก...เมื่ออยู่ใต้ฟ้าจงอย่ากลัวฟ้าผ่า เพราะเมื่ออสุนีบาต...สายฟ้าฟาดจะผ่าน “สายล่อฟ้า” ลงสู่ใต้พื้นปฐพี!

ตั้งสติไว้ให้ดี นับแต่นี้ชีวิตจะเปลี่ยนไป กับคำทำนายถึงผู้มีชื่อเล่นอักษรย่อ ป.ปลา “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ประชาธิปัตย์ (ไม่) อยู่ในภาวการณ์ไหนของความขัดแย้ง !!?

โดย.นักปรัชญาชายขอบ

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการสัมมนาผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ว่า


“สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ทำให้นึกไปถึงคำคมของอดีตประธานสภาฯ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ที่กล่าวว่า "อย่างนี้ก็ยุ่งตายห่ะ" ซึ่งตนคิดว่ามีภาวการณ์อันตราย 7 ข้อ ประกอบด้วย ภาวการณ์แห่งความขัดแย้ง ความแตกแยกเป็นฝ่ายชัดเจน, ภาวการณ์แห่งความมุ่งประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นสำคัญ, ภาวการณ์แห่งการพยายามเอาชนะทุกรูปแบบ และทำลายกันอย่างรุนแรง, ภาวการณ์ความเชื่อในเรื่องเหตุผลน้อยลง และเชื่อพวกเดียวกัน, ภาวการณ์ที่อยู่ในคำคม "กูไม่กลัวมึง", ภาวการณ์ไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และภาวการณ์ไม่เคารพสถาบันสูงสุดของประเทศ” (มติชนออนไลน์. 14 พ.ค.2554)


คำถามคือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในภาวการณ์ความขัดแย้ง หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาวการณ์ความขัดแย้งแบบ“ยุ่งตายห่ะ” 7 ข้อนี้ อะไรบ้าง?


1. ภาวการณ์แห่งความขัดแย้ง ความแตกแยกเป็นฝ่ายชัดเจน หากการเป็นฝ่ายชัดเจนไม่ได้ตัดสินแค่การใช้ “เส้นสี” เป็นเส้นแบ่ง แต่ตัดสินจาก “เส้นแบ่งเชิงอุดมการณ์” ที่ชัดเจนยิ่งคือ อุดมการณ์ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของอำมาตย์หรืออำนาจนอกระบบ กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ยืนยันเสรีภาพและความเสมอภาค ก็ชัดเจนอย่างยิ่งว่าประชาธิปัตย์อยู่ในฝ่ายแรก


เป็นการอยู่ในฝ่ายแรกในบทบาทของ “หัวหอก” เริ่มจากบอยคอตการเลือกตั้ง ชวนพรรคการเมืองอื่นๆ บอยคอตด้วย เสนอมาตรา 7 จัดคนมาชุมนุมร่วมกับพันธมิตร ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร สร้างวาทกรรมขบวนการล้มเจ้า ขบวนการก่อการร้ายเพื่อปราบปรามประชาชนที่ออกมาทวงอำนาจอธิปไตยของตนเองคืน แก้รัฐธรรมนูญให้พรรคตนเองได้เปรียบในการเลือกตั้ง อาศัยบารมีอำมาตย์จนได้ประโยชน์จากระบบสองมาตรฐานทำให้พ้นคดียุบพรรค กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเป็นคอมมิวนิสต์ เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ


ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ขัดแย้งกับฝ่ายเดียวกันคือพันธมิตร จนนำไปสู่ความขัดแย้งและการรบกับประเทศเพื่อนบ้าน และการรณรงค์ Vote No ยิ่งทำให้ “ยุ่งตายห่ะ” หนักเข้าไปอีก


2. ภาวการณ์แห่งความมุ่งประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นสำคัญ โอ้โห...ข้อนี้ เชื่อเลยครับ! อภิสิทธิ์จูบปากกับเนวินตั้งรัฐบาลอำมาตย์อุ้ม ฯลฯ ไม่ได้อยู่ใน “ภาวการแห่งความมุ่งประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นสำคัญ” แต่อย่างใด


3. ภาวการณ์แห่งการพยายามเอาชนะรูปแบบ และทำลายกันอย่างรุนแรง ผมนี่แม่งโง่บัดซบฉิ๊บหายว่ะที่เสือกไม่เข้าใจว่า การเรียกร้อง การสนับสนุนการทำรัฐประหาร การสลายการชุมนุมที่ทำให้คนตายเกือบร้อยศพ บาดเจ็บร่วมสองพัน ไม่ใช่ “การพยายามเอาชนะทุกรูปแบบและทำลายกันอย่างรุนแรง”


4.ภาวการณ์ความเชื่อในเรื่องเหตุผลน้อยลง และเชื่อพวกเดียวกัน ข้อนี้ผมยอมรับว่าผมโง่จริงๆ อีกแล้วครับท่าน ที่สามารถรู้อย่างชัดแจ้งเพียงว่า “เหตุผล” ของฝ่ายที่ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตยภายใต้กำกับของอำมาตย์หรืออำนาจนอกระบบเป็นเหตุผลที่ไม่ยึดโยงอยู่กับหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง คือหลักเสรีภาพ และหลักความเสมอภาค ฉะนั้น หลักความยุติธรรม (the principle of justice) ของพวกเขาจึงไม่ยึดโยงอยู่กับหลักเสรีภาพและหลักความเสมอภาคด้วย กระบวนการยุติธรรมที่พวกของใช้จึงเป็น “ระบบสองมาตรฐานซ้ำซาก” (หรือ “ไร้มาตรฐาน”?)


ผมเลยอยากถามประสาคนโง่ว่า ฯพณฯ ทั่น จะให้เกล้ากระผมเชื่อ “เหตุผลเอี้ยๆ” อะไรของ ฯพณฯ ทั่นขอรับ (วะ) ฯพณฯ ทั่น ใช้เหตุผล (บนหลักการประชาธิปไตย) อะไรในการปราบปรามประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ใช้เหตุผลอะไรในการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าล้มเจ้า เป็นคอมมิวนิสต์ ใช้เหตุผลอะไรในการจับกุมคนเสื้อแดงและขังลืม ฯลฯ


5. ภาวการณ์ที่อยู่ในคำคม "กูไม่กลัวมึง" อ้าวก็พวกมึงไม่เดินตามกติกาประชาธิปไตย ทำรัฐประหาร ปราบปรามประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารเรียกร้องประชาธิปไตย จะให้พวกกูกลัวมึงได้ไงวะ! (พวกมึงมี “ความชอบธรรม” สำหรับให้พวกกูกลัวด้วยหรือวะ?)


6.ภาวการณ์ไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ว้าว! บอยคอตเลือกตั้ง เสนอมาตรา 7 สลายการชุมนุมด้วยวิธีป่าเถื่อนเวลากลางคืน ใช้สองมาตรฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ฯลฯ เนี่ยนะครับท่านคือ “การเคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม”


7. ภาวการณ์ไม่เคารพสถาบันสูงสุดของประเทศ ถามจริงๆ เถอะ ถามอย่าง “ซีเรียสเลย” นะครับ การเสนอให้ยกเลิก/ปรับปรุงกฎหมายหมิ่นฯ เสนอให้วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบสถาบันได้ หรือข้อเสนอ 8 ข้อ เพื่อปฏิรูปสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ของ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (เป็นต้น) กับการอ้างสถาบันทำรัฐประหารและการอ้างสถาบันเป็นเครื่องมือต่อสู้และทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างที่พวกท่านและพวกเดียวกัน (หรืออดีตพวกเดียวกัน?) ทำมาตลอดน่ะ อย่างไหนกันแน่ที่เป็นการ “ไม่เคารพสถาบันสูงสุดของประเทศ” ที่แท้จริง?


หรือย่างไหนกันแน่ ที่เป็นการทำความเสื่อมเสียแก่สถาบันมากกว่ากัน! ระหว่างวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผล และเสนอทางออกให้สถาบันอยู่ได้อย่างมั่นคงภายใต้ระบบกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ กับการประจบสอพลอสถาบันให้ให้ตนเองและพวกพ้องมีอำนาจรัฐ มีตำแหน่งหน้าที่งานงานก้าวหน้า ฯลฯ อย่างไหนกันแน่ครับ ที่เป็นการเคารพสถาบันที่ควรแก่การยอมรับยกย่องของ “วิญญูชน” มากกว่ากัน


และในที่ประชุมเดียวกันนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็กล่าวว่า


"70-80 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองเราก้าวหน้า ไม่ได้ถอยหลัง อย่างที่คนมองว่าประเทศไทยล่าหลังนั้นไม่จริง ใน 10 ประเทศอาเซียน ถามว่าประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพของคนมากที่สุด สื่อประเทศไทยมีเสรีภาพเท่าประเทศไทย ไม่มีหรอก" ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ และศาสนา แต่ตอนนี้มีคนในชาติไม่สนใจ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของระบบประชาธิปไตย แต่เป็นความคิดของคน เราต้องเชื่อมั่นประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราต้องเชื่อและเคารพการตัดสินใจของประชาชน”


สรุป “คำคม” ...ประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพของคนมากที่สุด... สื่อมีเสรีภาพมากกว่าประเทศอื่นๆ... ไม่ใช่ความผิดของระบอบประชาธิปไตย... เราต้องเชื่อและเคารพการตัดสินใจของประชาชน...


555 มีดโกนอาบน้ำผึ้งจริงๆ (แต่โทษทีข้าพเจ้าสงสัยเหลือเกินว่า “ท่านเชื่อคำพูดของตัวเองหรือไม่?” )


สรุป “จบ” ประเทศไทยโชคดีที่มีพรรคการเมืองเก่าแก่ มีความเป็น “สถาบันทางการเมืองสูง” อย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่สะอาด อุดมด้วยคนดี คนซื่อสัตย์สุจริต รักประชาธิปไตย เคารพการตัดสินใจของประชาชน


ที่สำคัญเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในประเทศนี้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับภาวะความขัดแย้งทางการเมืองแบบ “ยุ่งตายห่ะ” ทั้ง 7 ประการ ดังกล่าวมา !

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Social Network กับการเมือง กรณีศึกษา อำมาตย์กินเบียร์ !!?

วิวาทะระหว่างกรณ์ จาติกวณิช และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สอดแทรกไปกับข่าวการเลือกตั้งที่แต่ละพรรคต่างเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ออกมาเรื่อยๆ
เรื่องเริ่มมาจากนายกรณ์ ในฐานะ รมว. คลัง โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าไปรับประทานอาหารที่ร้านเดียวกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง โดยมีข้อความดังนี้
“เมื่อสักครู่ ได้มาทานข้าวกับภรรยาที่ร้านอาหารแถวๆ ทองหล่อ คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆบอกว่า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ กับครอบครัวเพิ่งลุกไปจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไม่ถึง 5 นาทีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เราอดนึกขำไม่ได้ว่า คนที่เรียกตัวเองว่า ′ไพร่′ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นพวก ′อำมาตย์′ สักเท่าใดนัก”
จากนั้นนายณัฐวุฒิก็ตอบโต้ผ่าน Facebook ของตัวเองเช่นกันว่า
“เพราะประเทศนี้มีคนคิดอย่างคุณ การกดขี่จึงดำรงอยู่…ทำไมไพร่มันจะกินข้าวร้านเดียวกับนายทุนไม่ได้…”
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะภรรยาของกรณ์ “วรกร จาติกวณิช” ก็โพสต์ข้อความลงใน Facebook ของตัวเองเช่นกัน
“ณ ร้านอาหาร ในซอยทองหล่อคืนนี้ อำมาตย์และอำมาตย์หญิงแชร์เบียร์ไทย 1 ขวด ส่วน “ไพร่กับภรรยา” ดื่มไวน์ราคาแพง และมีพยาบาลตามมาดูแลลูก”
จากนั้นวิวาทะเรื่องชนชั้น ไพร่ vs อำมาตย์ และ เบียร์ vs ไวน์ ก็ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟระเบิด จากผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่า “พื้นที่” ของวิวาทะเหล่านี้ก็ย่อมเกิดใน Facebook อีกนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในหน้าของกรณ์ วรกร ณัฐวุฒิ หรือพื้นที่ของผู้ใช้ Facebook แต่ละคนที่สามารถกด “แชร์” ข้อความต้นเรื่องมาบนหน้าวอลล์ของตัวเอง

ปก มติชน สุดสัปดาห์ กรณ์ ณัฐวุฒิ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ วิวาทะครั้งนี้ถูกนำไปเป็นประเด็นข่าวลงในนิตยสารการเมืองอย่าง “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุด ซึ่งนำภาพของกรณ์และณัฐวุฒิมาขึ้นปก พร้อมกับพาดหัวว่า “คนชั้นสูงดื่มเบียร์”
ในเล่มยังประกอบด้วยคอลัมน์ “จัดหนัก” ต้อนรับสถานะ Facebook ของนายกรณ์ถึง 3 คอลัมน์ (ซึ่งสามารถอ่านได้จากบนเว็บไซต์ของมติชน) ดังนี้
เมื่อเทียบ “โทน” ของเนื้อหาที่ตีพิมพ์ ก็ต้องบอกว่าเป็นผลเสียต่อคะแนนนิยมของนายกรณ์ไม่น้อย เมื่อพิจารณาจากอิทธิพลของ “มติชนสุดสัปดาห์” ในฐานะนิตยสารวิจารณ์การเมืองที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ

เราคงยกเรื่องการวิจารณ์เนื้อหาทั้งฝั่งนายกรณ์และณัฐวุฒิให้กับนักเขียนของ “มติชนสุดสัปดาห์” ส่วนประเด็นที่ SIU อยากนำเสนอในวันนี้คือ “พื้นที่” ของวิวาทะทางการเมืองที่เกิดขึ้นบน Social Network ยอดนิยมอย่าง Facebook

กรณี “อำมาตย์กินเบียร์” ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถ้ามองด้วยกรอบของ “พื้นที่” ทั้งในโลกไซเบอร์สเปซและโลกความเป็นจริง ก็มีประเด็นที่น่าสนใจหลายข้อดังนี้

1) Social Network ในฐานะ “ช่องทางการสื่อสารโดยตรง” ของนักการเมือง
การที่นักการเมืองถกเถียงกันแล้วเป็นข่าวตามหน้าสื่อ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาช้านานในสังคมไทย
เพียงแต่ที่ผ่านมา การถกเถียงของนักการเมืองจะใช้สื่อกลางคือ “การให้สัมภาษณ์” ผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ จากนั้นนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจะตอบโต้ด้วยกระบวนการเดียวกัน ส่วนบรรดา “แฟนคลับ” ก็มีหน้าที่รออ่าน-ชมวิวาทะตามหน้าสื่อ แล้วค่อยวิจารณ์กันเองในภายหลัง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ นักการเมืองทั้งสองฝ่าย ต่าง “โพสต์ข้อความ” ลงในพื้นที่ Facebook ส่วนตัวของตัวเอง จากนั้นสื่อมวลชนถึงนำมาเล่นเป็นประเด็นข่าวในภายหลัง ส่วน “แฟนคลับ” กลับเป็นผู้ที่เห็นข้อความเหล่านี้ก่อนใคร และสร้างบทสนทนาขึ้นรายล้อมในพื้นที่ Facebook ของนักการเมืองเหล่านั้น
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งกรณ์และณัฐวุฒิ ต่างก็มี “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่นอยู่มาก และการ “โพสต์ข้อความ” ของทั้งคู่ ก็มุ่งเน้นการสื่อสารกับแฟนคลับเป็นหลัก มากกว่าจะสร้างประเด็นให้สื่อกระแสหลักนำไปเล่นเหมือนกับการให้สัมภาษณ์แบบเดิม ๆ (นายกรณ์ในฐานะต้นเรื่อง ก็คงไม่คิดว่าเพียงข้อความสถานะเดียวของตนเอง ถึงกับทำให้มติชนนำไปลงเป็นเรื่องปก)

กรณีที่คล้ายๆ กันเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ก็คือ Twitter ของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (@pm_abhisit) ทักไปถึง @thaksinlive อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในแดนไกลว่า “ขอให้ท่านเห็นดวงตาธรรม” ในวันเด็ก จนเป็นประเด็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

กรณี “อำมาตย์กินเบียร์” ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก Twitter เป็น Facebook และเปลี่ยนคู่สนทนาจากนายกรัฐมนตรีสองคน มาเป็น รมว. คลังกับแกนนำเสื้อแดงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมของ Facebook ที่เพิ่มขึ้นสูงมากในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ดีกรีของวิวาทะแรงกว่าเดิมหลายเท่า และรูปแบบการสนทนาของ Facebook ที่รวมศูนย์กว่า Twitter ก็ทำให้บรรดาแฟนคลับเข้ามาวิพากษ์กันได้โดยง่ายมากขึ้น

ต่อจากนี้ไป Facebook ของนักการเมืองทั้งหลายจะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากสื่อมวลชนกระแสหลัก เนื่องเพราะ “ข่าวเด็ด” เริ่มย้ายตัวเองจากปลายไมโครโฟนที่สื่อเคยเป็นคนควบคุมเบ็ดเสร็จ มาเป็น “วอลล์” บน Social Network ที่สื่อได้แต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ดังเช่นประชาชนทั่วไป

2) ความเร็วในการกระจายสารของ Social Network

ลักษณะเฉพาะของ Social Network คือการ “แชร์” ข้อมูลไปให้ “เพื่อน” อ่านต่อ ไม่ว่าจะผ่านปุ่ม Like/Share ใน Facebook หรือวิธีการ Retweet ใน Twitter

เมื่อเจอข้อความที่โดนใจ ธรรมชาติของผู้ใช้ Social Network ก็มักจะแชร์ข้อความหรือรูปภาพไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ Facebook ระบุว่ามีผู้ใช้ที่บอกว่า “อาศัยอยู่ในประเทศไทย” (ไม่รวมคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ และอาจรวมชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย) จำนวน 9.3 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 7 ของประชากรทั้งประเทศ)

พฤติกรรมของผู้ใช้ Facebook มักจะติดตามอ่านสถานะและข้อความของเพื่อนๆ ตลอดเวลา ถ้าแอบดูจอมอนิเตอร์ของพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป เรามักจะเห็น Facebook ถูกเปิดอยู่บนหน้าจอ (ถ้าไม่โดนบริษัทบล็อคเสียก่อน) นอกจากนี้ยังใช้ Facebook ผ่านทางมือถือเกือบทุกยี่ห้อได้ทุกที่ตลอดเวลา
ตัวเลข 9.3 ล้านคน (และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) บวกด้วยธรรมชาติของการแชร์ และพฤติกรรมการตามอ่านข้อความตลอดเวลา รวมๆ แล้วเป็น “สื่ออันทรงพลัง” เป็นอย่างยิ่ง

ประเด็นร้อนอย่างวิวาทะของกรณ์กับณัฐวุฒิ, คลิปสงกรานต์ที่สีลม, เรยาและดอกส้มสีทอง สามารถส่งต่อและแพร่กระจายไปยังชนชั้นกลางจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็วเป็นหลักนาที หรืออย่างมากก็หลักชั่วโมงเท่านั้น

ถ้าเป็นข่าวลบ ก็รับรองได้ว่านักการเมืองจะโดนรุมอัดเละชนิดตั้งตัวไม่ทัน ในทางกลับกัน ถ้าเป็นข่าวบวก กระแสอาจดีขึ้นผิดหูผิดตาโดยไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปด้วยซ้ำ

นักการเมืองที่เคยสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้มีเพียง “ทักษิณ” กับบัญชี @thaksinlive ใน Twitter
แต่นั่นต้องไม่ลืมว่าเขาเป็น “ทักษิณ” ผู้ที่ใครๆ ก็สนใจ และเป็นผู้อยู่แดนไกลที่สื่อกระแสหลักไทยเข้าถึงตัวได้ยาก (หรือถ้าเข้าถึงได้ก็อาจจะโดนปลดจากสถานีแบบกรณีของจอม เพชรประดับกับช่อง 11) ทุกข้อความที่ทักษิณโพสต์จึงถูกจับตาจากสื่อ

แต่วิวาทะของนักการเมืองระดับรองๆ ลงมาอย่างกรณ์และณัฐวุฒิ ก็เปิดโอกาสกว้างให้กับนักการเมืองรุ่นใกล้เคียงกัน มาใช้ประโยชน์จาก Social Network กันได้มากขึ้น

ดังนั้นอีกไม่นาน เราคงได้เห็นนักการเมืองที่เข้าใจถึงธรรมชาติของ Social Network อย่างถ่องแท้ และสามารถสร้างประเด็นข่าว (set agenda) ด้วยเพียงข้อความไม่กี่บรรทัดใน Social Network ส่งผลสะเทือนกับเกมการเมืองของประเทศ

3) การเปลี่ยนพื้นที่ไซเบอร์ให้เป็นพื้นที่จริง ด้วย “เทศกาลอาหารไพร่ทองหล่อ”

วิวาทะของกรณ์และณัฐวุฒิ เป็นการเปลี่ยนเหตุการณ์บนโลกจริง (ร้านอาหารที่ซอยทองหล่อ) ที่มีคนอยู่ในเหตุการณ์เพียงหลักสิบ ให้เป็นเหตุการณ์เล่าซ้ำบนโลกไซเบอร์ (เล่าถึงทองหล่อบน Facebook) ที่มีผู้รับรู้จำนวนมหาศาล และผลิตซ้ำได้ตลอดเวลา (เป็นสัปดาห์แล้วกระแสยังไม่หมด)

แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดในวิวาทะครั้งนี้ คือการเปลี่ยนวิวาทะบนพื้นที่ไซเบอร์ ให้กลับมาอยู่บนโลกจริงอีกครั้ง ด้วยตัวเชื่อมคือ “ซอยทองหล่อ” ซึ่งมีสถานะเป็นทั้งสถานที่จริง และสถานที่ในข้อความของกรณ์-ณัฐวุฒิ

ผู้ที่เปลี่ยนโลกไซเบอร์กลับมาเป็นโลกจริง ก็คือ “บก. ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมชื่อดังจาก “แกนนอนเสื้อแดง”

บก. ลายจุด กับ "เทศกาลอาหารไพร่" ที่ทองหล่อ (ภาพจากมติชน)

หลังจากข่าววิวาทะ “อำมาตย์กินเบียร์” แพร่กระจายออกไป บก. ลายจุดก็เสนอไอเดีย “ชวนไพร่ไปกินอาหารที่ทองหล่อ” ซึ่งมีภาพลักษณ์เสมอมาว่าเป็นพื้นที่ของคนชั้นสูง (หรือ “อำมาตย์” ถ้าจะใช้คำนิยามของกรณ์)

เท่านั้นยังไม่พอ บก. ลายจุด ยังเสนอว่า “อาหาร” ที่ไพร่ควรไปกินที่ทองหล่อ ไม่ควรเป็นร้านอาหารหรู สถานที่สร้างวิวาทะไซเบอร์ แต่เป็น “อาหารไพร่” อย่างหาบเร่แผงลอย ซึ่งมีผู้ประกอบการที่สนับสนุนเสื้อแดงอาสาไปขายทันทีที่ทราบข่าว

ถือเป็นการ “ท้าทาย” การแบ่งแยกทางชนชั้นอย่างแหลมคมยิ่ง เพราะเป็นการนำ “ไพร่เสื้อแดง” (ตามความหมายของสมบัติ) ไปบุก “พื้นที่อำมาตย์” อย่างซอยทองหล่อ ถือเป็นการแสดงออกสัญลักษณ์ด้วยการใช้พื้นที่อย่างน่าสนใจ

ถึงแม้วันที่จัดงานจริง (14 พ.ค. 54) จะประสบปัญหาฝนตกจนผู้ร่วมงานลดลงก็ตาม (ข่าวจากมติชน) แต่ทีมของ บก.ลายจุด ก็ประสบความสำเร็จในการ “ช่วงชิงพื้นที่” ซอยทองหล่อให้มาเป็น “พื้นที่ที่ไพร่ก็สามารถเข้าถึงได้”

น่าเสียดายว่า วิวาทะเรื่องชนชั้นแบบนี้ ฝ่ายอำมาตย์มีทางเลือกน้อยมากในการตอบโต้ (เพราะถือว่ามีฐานะทางสังคมเพียบพร้อมกว่า) มิฉะนั้นเราอาจได้เห็น “เทศกาลอาหารอำมาตย์” บุกไปยัง “พื้นที่ไพร่ๆ” บ้างเสียแล้ว และจะยิ่งทำให้พัฒนาการของโลกไซเบอร์-โลกจริง น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

พุทธศาสนากับ ประชาธิปไตยหางด้วน !!?

โดย.สุรพศ ทวีศักดิ์

คำพูดที่ว่า พุทธศาสนาบริสุทธิ์จากการเมือง อยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาจเป็นคำพูดที่ถูกต้องหากหมายถึงพุทธศาสนาส่วนที่เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ “อริยสัจ 4”

แต่หากหมายถึงพุทธศาสนาในความหมายที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น พุทธศาสนาที่มีคำสอนเกี่ยวกับมิติทางสังคมและการเมือง หรือการปรับใช้คำสอนของพุทธศาสนาเพื่อตอบสนองต่อบริบททางสังคม-การเมืองในยุคสมัยต่างๆ หรือพุทธศาสนาเชิงสถาบันที่ประกอบด้วยศาสดา พระสาวก องค์กรสงฆ์ พุทธบริษัท 4 พุทธศาสนาในความหมายที่ซับซ้อนดังกล่าวนี้ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมืองอย่างสิ้นเชิง หากแต่มีมิติที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเสมอมากบ้างน้อยบ้างตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่พุทธศาสนาเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับการเมืองในสมัยพุทธกาล ซึ่งบทบาททางศาสนาที่สำคัญในยุคนั้นขึ้นอยู่กับบทบาทของพระศาสดา และบทบาทสำคัญทางการเมืองขึ้นอยู่กับบทบาทของกษัตริย์ หากพระศาสดาและกษัตริย์มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการเผยแผ่พุทธศาสนาย่อมประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

แน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็น “เพื่อนสนิท” กับกษัตริย์ในรัฐมหาอำนาจในชมพูทวีปถึงสองรัฐคือ รัฐมคธกับรัฐโกศล โดยสัมพันธภาพดังกล่าวย่อมส่งผลให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในสองรัฐใหญ่ และรัฐเมืองขึ้นอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

คำสอนของพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับการเมือง เช่น ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร วัชชีธรรมหรืออปริหานิยธรรม เป็นต้น ก็น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่ยุคนี้ แต่มีข้อสังเกตว่ากษัตริย์ที่เคร่งครัดในคุณธรรมของผู้ปกครองตามคำสอนของพุทธศาสนากลับเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอใน “เกมแห่งอำนาจ” ดังเช่นกษัตริย์ที่เป็นเพื่อนสนิทของพระพุทธเจ้าสองพระองค์คือ พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าปเสนทิ ต่างก็ถูกโอรสของตนเองทำรัฐประหาร

ต่อมาหลังสมัยพุทธกาล ยุคพระเจ้าอโศกมหาราชถือเป็นยุคแห่งการปรับ “อุดมการณ์ธรรมราชา” ตามคำสอนของพุทธศาสนาเป็นอุดมการณ์แห่งรัฐ ทำให้พระราชามีอำนาจในการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักร เช่น พระราชาเป็นแบบอย่างของผู้ปฏิบัติธรรม สอนธรรม มีพระบรมราชโองการให้พระสงฆ์และข้าราชการสอนธรรมเรื่องนั้นเรื่องนี้แก่พสกนิกร อุปถัมภ์บำรุงคณะสงฆ์และมีอำนาจเข้าไปจัดการปัญหาภายในของคณะสงฆ์ เช่นกรณีมีพระปลอม การแตกสามัคคีในวงการสงฆ์ มีการใช้อำนาจของพระราชาลงโทษประหารชีวิตพระสงฆ์จำนวนมาก เป็นต้น [1]

ทว่าในท้ายที่สุดพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของกษัตริย์ตามคติธรรมราชาของพุทธศาสนาที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็สิ้นสุดสถานะแห่งความเป็นกษัตริย์ลงด้วยการรัฐประหารโดยหลานของพระองค์เอง

ในยุคต่อมา เมื่อกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์หันมานับถือพุทธศาสนาต่างก็ปรารถนาที่จะเป็นธรรมราชาดังพระเจ้าอโศกมาหาราช และกษัตริย์แห่งนครรัฐต่างๆ ในแผ่นดินสยาม นับแต่พ่อขุนรามคำแหงเรื่อยมาถึงยุครัตนโกสินทร์ต่างก็ยืนยัน “ความชอบธรรม” แห่งสถานะความเป็นกษัตริย์โดยอ้างอิง “ทศพิธราชธรรม” เช่นพระเจ้าอโศก

อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงทศพิธราชธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่สถานะของกษัตริย์ในแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาที่เริ่มมีการสมมติให้กษัตริย์เป็น “เทวดาบนแผ่นดิน” หรือ “สมมติเทพ” เป็นต้นมานั้น ทำให้เกิดภาวะขัดแย้งในตัวเองอย่างที่เรียกกว่า “หัวมงกุฏท้ายมังกร” อย่างมีนัยสำคัญ

กล่าวคือ กษัตริย์ตามคติพุทธศาสนานั้นไม่ใช่เทพ ไม่ใช่โอรสของเทพ หรือไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าสร้างมาและให้อำนาจศักดิ์สิทธิ์มาปกครองแผ่นดิน หากแต่กษัตริย์ตามคติพุทธคือ “คนธรรมดา” ที่ถูกคนส่วนใหญ่เลือกให้เป็นผู้ปกครอง (เรียกว่า “มหาชนสมมติ”) และให้ค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ของผู้ปกครองตามความจำเป็น หรือได้ค่าตอบแทนเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่แบบพอเพียง [2]

ซึ่งผู้ปกครองที่กินอยู่แบบพอเพียงแล้วทำหน้าที่ปกครองให้ราษฎรมีความสุข พุทธศาสนาเรียกผู้ปกครองเช่นนี้ว่า “ราชา” แปลว่า “ผู้ที่ทำให้ประชาชนรัก” ด้วยการมีคุณธรรมของผู้ปกครองคือ “ทศพิธราชธรรม”

แต่คำว่า “กษัตริย์” ที่แปลว่า “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขตแดน” หรือผู้เป็นเจ้าที่ดิน ผู้ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน บวกกับคติแบบเทวสิทธิ์ที่ว่ากษัตริย์เป็นเทพหรือเป็นผู้ที่ได้อำนาจศักดิ์สิทธิมาจากพระเจ้าเพื่อปกครองแผ่นดิน หากมองตามคติของพุทธศาสนาคำว่า “กษัตริย์” ตามคติดังกล่าวเป็นคำที่มีความหมายในทางลบ หรือเป็นคำที่ชาวบ้านตั้งขึ้นเพื่อปรับทุกข์กันว่า “ทำไมคนที่พวกเราเลือกให้ทำงานเพื่อพวกเราซึ่งสมควรอยู่อย่างสมถะเพราะเป็นคนแห่งธรรม จึงกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินเช่นนี้” [3]

คำที่มีความหมายเชิงบวกตามคติพุทธคือ “ราชา” ซึ่งหมายถึงคนธรรมดาที่ถูกเลือกจากคนส่วนใหญ่ให้มาทำหน้าที่ปกครอง ได้ค่าตอบแทนในการทำหน้าที่เพียงเพื่อดำรงชีวิตอย่างพอเพียง และเป็นที่รักของประชาชนโดยการปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรม

จะเห็นได้ว่า ปัญหา “หัวมงกุฏท้ายมังกร” ของคติกษัตริย์ในแผ่นดินสยามคือ คติเรื่องกษัตริย์เป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีเทวสิทธิ์แบบพราหณ์กับคติธรรมราชาแบบพุทธ ผลก็คือ สถานะของกษัตริย์จึงไม่ชัดว่าเป็นโอรสของเทพ (แบบจักรพรรดิญี่ปุ่น ฟาร์โรของอียิปต์ ฯลฯ) หรือเป็นเทพ ทว่าเป็นกึ่งคนกึ่งเทพ ที่เรียกว่า “สมมติเทพ” ส่วนที่เป็นเทพคือส่วนที่เป็นสถานะและอำนาจของกษัตริย์ที่ศักดิ์สิทธิ์แตะต้องหรือล่วงละเมิดมิได้ ส่วนที่เป็นคนคือส่วนที่เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้ปกครองที่ถูกคนส่วนใหญ่เลือกให้ทำงานแก่ผู้ใต้ปกครองตามครรลองของทศพิธราชธรรม

ทั้งสองส่วนนี้ขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน กล่าวคือ “สาระ” (essence) ของความเป็นเทพเรียกร้องหรือต้องการภาวะ “อภิมนุษย์” ที่อยู่เหนือหรือห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ แต่สาระของทศพิธราชธรรมเรียกร้องหรือต้องการการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ (เพราะถ้าไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบจะรู้ได้อย่างไรว่ามี หรือปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรมได้สมบูรณ์หรือบกพร่องหรือไม่)

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความขัดแย้งในเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ชนชั้นปกครองไทยกลับนำคติเรื่องทศพิธราชธรรมมาสนับสนุนสถานะความเป็นเทพของกษัตริย์ตามคติเทวสิทธิ์แบบพราหฒณ์ได้อย่างลงตัว (นี่อาจเป็นความสามารถพิเศษของชนชั้นปกครองไทย) โดยอ้างอิงคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมและการบำเพ็ญบุญบารมีมารองรับสถานะ “สมมติเทพ” ของกษัตริย์และความแตกต่าง ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม ฉะนั้น “จินตภาพสังคมไทยภายใต้ร่มพระบารมี” จึงมีลักษณะเด่นชัดดังที่ ธงชัย วินิจจะกูล อธิบายว่า

“องค์รวมที่เรียกว่าประเทศไทย จึงเต็มไปด้วยหน่วยย่อยๆที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะพิจารณาหน่วยสังคมใดๆ เช่นครอบครัว ที่ทำงาน หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด กระทรวงกรม โรงเรียน บริษัท โรงงาน ฯลฯ ก็จะพบผู้คนที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน และต้องยอมรับความสูงต่ำในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” [4]

ปัญญาคือ เมื่อสังคมไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 จินตภาพสังคมไทยภายใต้ร่มพระบารมี ซึ่งมีสาระสำคัญคือ “การยอมรับความสูงต่ำในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” โดยอ้างอิงฐานคิดที่นิยาม “ความเป็นมนุษย์สูง-ต่ำตามบุญบารมีที่บำเพ็ญมาแตกต่างกัน” ยังคงเป็นจินตภาพที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมทางความคิดความเชื่อของสังคมไทย

ซึ่งจินตภาพดังกล่าวขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญกับจินตภาพของสังคมประชาธิปไตยที่นิยามความเป็นมนุษย์บนฐานคิดเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาค จึงทำให้สังคมประชาธิปไตยแบบไทยๆ มีลักษณะแบบ “หัวมงกุฎท้ายมังกร” คือหัวยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขณะที่หางเป็นประชาธิปไตย (เช่นมีการเลือกตั้ง มีเสรีภาพในระดับที่จำกัด)

และโดยลักษณะ “หัวมงกุฏท้ายมังกร” ดังกล่าว บ่อยครั้งก็เกิดปรากฎการณ์ “หัวกินหาง” (และกินกลางตลอดตัว?) ทำให้กลายเป็น “ประชาธิปไตยหางด้วน” อย่างที่เห็นและเป็นอยู่!

อ้างอิง

[1] ดู ส. ศิวรักษ์ (แปลและเรียบเรียง).ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาร.(กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย,2552). หน้า 26.
[2] ดู อัคคัญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 11
[3] สมภาร พรมทา.นิติปรัชญา.วารสารปัญญา ฉบับที่ 6 (มีนาคม 2554), หน้า 329
[4] ธงชัย วินิจจะกูล.พุทธศาสนา ความสัมพันธ์ทางสังคม ลัทธิประวัติศาสตร์ มรดกจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์.(มติชนออนไลน์ 8 พ.ค.2554)

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////

มาร์ค.. ไขปมเศรษฐกิจ สางไข้การเมือง ทิ้งทวน-ซ่อนมีด-ปักหลัง ยิ่งลักษณ์..

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล2554

72 ชั่วโมง หลังรับสนองพระบรมราชโองการพระราชกฤษฎีกายุบสภา นายกรัฐมนตรีมีนัดอย่างเป็นทางการเพียง 2 นัด

1 คือ ประชุมคณะรัฐมนตรี "รักษาการ"

2 คือ ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ "หัวหน้าพรรค"

นัดหมายที่ 3 คือ นัดสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจประจำทำเนียบรัฐบาล

1 ชั่วโมงกับ 30 นาที มีเรื่องการเมืองที่นายกรัฐมนตรีปริปากเพียง 20 นาที

ที่เหลือเป็นการ "เคลียร์" ปมปัญหา-ข้อกังขาวาระเศรษฐกิจ

- อะไรคือผลงานเศรษฐกิจที่ทำให้คนจำนายกฯคนที่ 27 ได้

แล้วแต่ว่าเราไปถามใคร แต่สำหรับประชาชนที่เป็นเกษตรกร โครงการประกันรายได้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะมีเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยได้รับการชดเชยประกันรายได้แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวกินเอง เกษตรกรที่ไม่มีความสามารถในการจำนำข้าว เกษตรกรที่อาจจะปลูกข้าวไปแล้วมีความเสียหายจากภัยแล้ง น้ำท่วม ศัตรูพืชก็ยังได้รับการชดเชย ตรงนี้สำคัญกับเกษตรกรจำนวนมาก

แต่ถ้าพูดถึงภาพรวม ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจจะชัดเจนที่ประเทศไทยฟื้นตัวค่อนข้างเร็วจากวิกฤตโลกรอบนี้ หากถามคนเล่นหุ้นดัชนีก็สูงที่สุดในรอบ 13 ปี

- เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมาแล้ว จะแข็งแรงในระยะต่อไปหรือไม่
เราสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย บางเรื่องน่าจะเกินกว่าที่คาดการณ์ เช่น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสูงขึ้น ก่อนหน้านี้วิธีการฟื้นตัวด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นนี้ จะทำให้เกิดหนี้สาธารณะพุ่งสูง ก็ไม่เกิดขึ้น และช่วงรุนแรงในปี 2552 อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว เรากลับเจอปัญหาใหม่คือ ราคาพลังงาน อาหารแพง ทำให้ประชาชนจำนวนมาก รู้สึกว่าผลประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ตกถึงพวกเขา แต่ในแง่ภาพรวมระดับมหภาค ผมคิดว่าทุกคนยอมรับว่าเราฟื้นตัวแล้วและไม่มีปัญหาตกค้าง อย่าลืมว่าอเมริกามีการว่างงานตกค้าง ยุโรปมีหนี้สินตกค้าง แต่เรากลับเจอปัญหาใหม่ที่รุนแรงกว่าที่กระทบกับกระเป๋าเงินโดยตรง

- ภาพที่ตอกย้ำรัฐบาลคือเป็นยุคข้าวยากหมากแพง
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับว่า คนกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสิ่งที่มองไปข้างหน้า แต่หากนึกย้อนกลับไปปี 2551 สมัยท่านนายกฯสมัคร สุนทรเวช ก็เจอปัญหาเช่นนี้ ซึ่งเรากำลังพิสูจน์ว่าแนวทางของเราเป็นอย่างไร อย่างการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทได้ เพราะการตัดสินใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนช่วงปี 2552-2553 และการตัดสินใจตรึงราคาเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ค่าขนส่งถีบตัวสูงขึ้น และการตัดสินใจเรื่องภาษีสรรพสามิต ก็ถูกตำหนิว่ารู้ได้อย่างไรว่าราคาน้ำมันจะไม่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งขณะนั้นผมกล้ายืนยันว่า การวิเคราะห์ออกมานั้นไม่ใช่

ทุกวันนี้แสดงให้เห็นว่าเราตัดสินใจถูกต้อง แต่ทั้งนี้ก็ยังระมัดระวังในการใช้เงินของกองทุนน้ำมันฯอยู่เช่นเคย

- การตรึงราคาสินค้า คนมองว่าตั้งใจบิดเบือนกลไกการตลาด
ต้องพิจารณากรณีสินค้าที่เป็นพลังงาน จะพูดถึงกลไกการตลาดลำบาก แท้จริงการไม่มีภาษี ไม่เก็บเงินคือกลไก การตลาด หากถามว่าการเก็บภาษีบิดเบือนหรือไม่ ก็ต้อง บอกว่าบิดเบือน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่สินค้าที่เราพยายามดูแลเป็นพิเศษ คือสินค้าที่ประชาชนไม่ค่อยมีทางเลือก

กรณีก๊าซหุงต้ม รัฐบาลเห็นว่า อาจต้องยอมสูญเสียบ้างสำหรับคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว สำหรับเอ็นจีวีก็เป็นนโยบายที่พยายามผลักดันให้คนมาใช้ เหล่านี้คือความจำเป็น หากผมตั้งใจบิดเบือนสินค้าทุกตัว ซึ่งคนมีทางเลือกที่จะประหยัดได้ อย่างก๊าซหุงต้ม มีคนกล่าวหาว่าผมบิดเบือนกลไกการตลาด ผมต้องถามกลับว่าประชาชนจะนำก๊าซไปจุดเล่นหรืออย่างไร

- มีนโยบายใดที่อยากทำ แต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ต้องเร่งตัวเข้าไปอีก อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตหลายอย่าง ที่ทำให้จังหวะเวลาต้องช้า เช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งระบบราง โครงการรถไฟไทย-จีน ใจผมอยากบรรลุข้อตกลงกับทางสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทันที แต่ขณะนี้ก็ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ แต่มันได้เริ่มต้นแล้ว

ยังมีเรื่องปฏิรูปเชิงโครงสร้างในเชิงกฎระเบียบกับภาษี ซึ่งที่ผ่านมาเป็นงานที่ยังไม่มีจังหวะ คาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มทำได้ โดยมาพร้อมกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

- ทำไมถึงตัดสินใจไม่เอาโครงการแลนด์บริดจ์
ผมว่ามันชัดเจนว่า ในที่สุดแล้วเราต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอุตสาหกรรมหนักเข้ามาอยู่ตรงนั้นหรือไม่ การที่จะพัฒนาโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถเป็นจริงได้ ในการนำโครงการแลนด์บริดจ์เข้ามา เราได้คำนึงแล้วว่าจะมีผลกระทบกับประโยชน์ ส่วนรวม ทั้งการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของคน โดยข้อเท็จจริงคือ เราไม่มีความจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมทุกประเภทอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นขึ้นอยู่ที่ว่าจะวางตำแหน่งประเทศเราอย่างไร

กรณีมาบตาพุด ยังต้องตอบโจทย์ในเรื่องความสามารถ การรองรับอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ผมว่ามันหมดยุคแล้วที่ให้คนกรุงเทพฯตัดสินใจว่าประเทศไทยอยากได้อะไร และชี้นิ้วสั่ง ซึ่งมีปัญหาตามมาเยอะ ในหลักเศรษฐศาสตร์บอกชัดเจนว่า ไม่ใช่ความได้เปรียบอะไรหากมีอุตสาหกรรมทุกประเภทในประเทศ

- รัฐบาลรักษาการ จะทำให้ข้าราชการเกิดภาวะเกียร์ว่าง
ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ ใครไม่ทำหน้าที่อาจโดนเล่นงาน ขณะเดียวกันต้องรักษามารยาททางการเมือง ในการไม่ทำโครงการที่ผูกมัดกับรัฐบาลหน้า ซึ่งสิ่งที่กำหนดทิศทางไว้ ผมคิดว่ามันเพียงพอต่อการบริหารงานช่วงนี้

- การประชุม ครม.นัดสุดท้าย ต่อเนื่อง 2 วันคงจะเพียงพอ
การประชุมวันนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างเทคนิค เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดว่า งานโครงการใด ๆ ที่ผูกพันถึงโครงการหน้าจะไม่สามารถทำได้ในช่วงรักษาการ ซึ่งมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น เรื่องปุ๋ย ชดเชยเงินให้เกษตรกร น้ำท่วม ภัยแล้ง โรคที่เกิดขึ้นกับพืช หากไม่รีบ ขณะนั้น หมายความว่าเกษตรกรจะไม่ได้รับเงินชดเชยจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่อีก 3-4 เดือน

ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่ได้ผ่านการอนุมัติ ครม.ได้ดูตามความจำเป็น งบฯกลาง สุดท้ายใช้ไปเพียง 13,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณการเลือกตั้ง 3,000 ล้านบาท จ่ายเงินค่าเงินเดือนหมอกับบุคลากรสาธารณสุข 4,200 ล้านบาท หักค่าน้ำท่วม ภัยพิบัติอีก 2,000 ล้านบาท ที่เหลือก็คือเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้ทหารพราน แล้วตรงไหนที่บอกว่าทิ้งทวน ทุจริตเทกระจาด

เราจะไม่ให้ กกต.มีเงินจัดการเลือกตั้ง จะไม่ให้หมอรับเงินเดือน ให้ทหารพรานรับเบี้ยเลี้ยง 15 บาทต่อวัน เกษตรกรไม่มีปุ๋ยใช้ และรอเงินชดเชยน้ำท่วม ภัยแล้ง เหล่านี้จะให้เขารอไปเพื่ออะไร ?

- กระทรวงไอซีทีก็เรียกค่าเสียหายจากกลุ่มชินคอร์ปไม่ได้
เรื่องนี้ยังไม่จบต้องรอรัฐบาลใหม่ หากผมเริ่มทำวันนั้นก็จะถูกกล่าวหาว่าทิ้งทวนอีก ซึ่งรายงานการเจรจาเพิ่งถูกส่งเข้ามาที่ ครม.เพียงไม่กี่วัน โดยขอให้เราตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการที่ปรึกษาทางกฎหมาย ท้ายที่สุดหากวันนั้นเราตัดสินใจในเชิงเนื้อหาสาระคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกมาก ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการจัดการกับพรรคคู่แข่ง เพราะทุกอย่างดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

- เรื่องนี้จะกลายเป็นดาบปักหลัง "คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ผมยังไม่ทราบว่าจะไปปักหลังอะไรใครได้ ในเมื่อมีคำพิพากษาจากศาล แล้ว ครม.จึงมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีไปไล่ดูว่า ต้องทำให้ข้อมูลกลับมาถูกต้องอย่างไร กับ การเสาะหาว่ามีใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง โดยจำเป็นต้องมีการแต่งตั้งคณะทำงานที่มีอำนาจในการตรวจสอบ ประกอบด้วยนักกฎหมาย และมีความแตกต่างจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จทั่วไป เพราะสามารถอาศัยกลไกของดีเอสไอและ ปปง. ในการดำเนินงานภายใต้กฎหมายที่กำหนดได้ แต่ในที่สุดแล้วการเรียกค่าเสียหายจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดต่อไป

สาเหตุที่ต้องยืดเยื้อ ผมต้องบอกตามตรงว่า คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีมากมาย และแฝงตัวอยู่ในทุกหน่วยงาน ฉะนั้นลำพังการเดินหน้าต่อไปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ผ่านมามีหลายคนถูกข่มขู่ แต่ก็ยังยืนยันว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น ก็จะตั้งใจทำต่อไปหากได้รับโอกาส

- การขับเคลื่อนนโยบาย 3G ทำให้ประชาชนผิดหวัง
ผมว่าตัวหลักคือวันที่ศาลปกครองมีคำสั่งไม่ให้ กทช.ดำเนินการต่อ แต่เราต้องเคารพกฎหมาย แม้หน่วยงานของรัฐจะเป็นผู้ยื่นฟ้องร้อง ก็เพื่อสร้างความชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าดำเนินการไปแล้วจะไม่มีปัญหา ต้องยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่มักเกิดปัญหาการฟ้องร้องเป็นประจำ ในกรณีธุรกิจโทรคมนาคมก็มีความวุ่นวายซ้ำซ้อนจากมรดกโครงสร้างสัมปทาน ซึ่ง 3G เกิดไม่ได้เพราะกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะเราพยายามผลักดันให้มีการเจรจา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้เร็ว แต่ตามข้อกฎหมายเราเร่งดำเนินการไม่ได้

- ภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจโดยรวมยังมีทิศทางขยับขึ้น ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้ได้ใกล้กับเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 4% เพียงแต่ว่า ต้องบริหารจัดการด้วยความละเอียดอ่อน ยกตัวอย่างในไตรมาสแรก ที่เรากลัวว่าจะมีโอกาสติดลบ แต่เท่าที่เห็นตัวเลขเรื่องส่งออกและดัชนีอุตสาหกรรมแล้วน่าจะเป็นบวก

ขณะที่ไตรมาสสองเราเจอผลกระทบจากประเทศญี่ปุ่น อุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงัก แต่ที่ผมพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซล เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเจอปัญหา 2 ต่อเนื่องจากว่าหากปล่อยสินค้าราคาขึ้นมาก ๆ ธนาคาร แห่งประเทศไทยก็ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ประเทศประสบปัญหาทั้งเงินฝืดและเฟ้อพร้อมกัน

- บรรยากาศการเลือกตั้งจะไม่ฉุดให้เศรษฐกิจแย่ลง
การเลือกตั้งจะคลายปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองส่วนหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรกับเศรษฐกิจมากนัก แต่มีเรื่องเดียวที่เป็นปัญหาคือ งบประมาณปี 2555 จะล่าช้า โดยปกติ พ.ร.บ.งบประมาณจะถูกนำเสนอเข้าสภาประมาณปลายเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน เมื่อเลือกตั้งเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม หากรัฐบาลเข้ามาแบบทำงานได้เลย กฎหมายก็ดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม แต่หากรัฐบาลที่เข้ามาแบบ รื้อทุกสิ่งทุกอย่าง อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น

- งบลงทุนเพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือไม่
ผมคิดว่าเพียงพอ สัดส่วนในงบฯลงทุนก็เพิ่มขึ้น อย่างโครงการไทยเข้มแข็งที่มีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งในระดับมหภาคการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลชัดเจน ส่วนที่สองในรายละเอียดของโครงการต้องดูเป็นราย ๆ ไป ในภาพรวมก็สามารถดำเนินการไปได้ตามเป้าหมาย แม้อาจจะมีข้อบกพร่องจุดอ่อนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา

แม้คนจะรู้จักกันแค่โครงการถนนปลอดฝุ่น แต่ความเป็นจริง มีโครงการนมโรงเรียน โรงพยาบาลที่ทำไว้ได้เยอะ แต่เกิดปัญหาในกระทรวงทำให้ขับเคลื่อนออกไปได้ช้า ในเมื่อมีปัญหาในกระทรวง เราก็ต้องตรวจสอบให้โปร่งใสก่อนที่จะขับเคลื่อน ผมเชื่อว่าในพื้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนที่ได้ประโยชน์ก็มีมากมาย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อยากได้อำนาจถึงกับต้องฆ่าคนเป็นความเลวร้ายที่เหมือนไม่ใช่คน

การแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองด้วยการสั่งฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายและเป็นบาปหนักมาก การกระทำอย่างนี้เป็นการย้ำภาพว่าการเมืองโหดร้าย การเมืองไม่มีความปรานี

เสน่ห์ของอำนาจทำให้คนเรากล้าฆ่าคนเพื่อให้ได้มา ในแง่ความเป็นมนุษย์ควรมีจิตใจสูง มีจิตใจประเสริฐ หากอยากได้ตำแหน่งหรืออำนาจควรจะได้มาด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ใช้กระสุน ใช้การคุกคาม ใช้ความโหดเหี้ยมเพื่อให้ตนได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง

จริงๆแล้ว ส.ส. ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตอะไรจนต้องเอาชีวิตคนอื่นมาแลก หากใครได้มาด้วยวิธีอย่างนี้อย่าคิดว่ามีเกียรติ เพราะเข้ามาแล้วทำอะไรไม่เป็น ถูกชาวบ้านด่าก็มีให้เห็นมากมาย ยุบสภาได้ไม่กี่วันก็เล่นกันแล้ว

การกระทำอย่างนี้ไม่ต่างจากวัวควายที่ไม่ใช้สมอง ใช้แต่กำลังเข้าขวิดกัน หวังให้ฝ่ายตรงข้ามตายสถานเดียว ประชาธิปไตยจะกลายเป็นประชาธิปตายกันไปแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะแค่เริ่มต้นก็ยิงกันแล้ว

ส่วนนายประชา ประสพดี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูกไล่ฆ่าบอกว่าอโหสิกรรมให้กับคนที่ทำร้ายตัวเองแล้ว ซึ่งมีความจริงใจแค่ไหน ถ้าจริงใจจริงๆถือว่าวิเศษมาก ส่วนผู้กระทำจะหยุดได้หรือยัง หรือยังจะก่อกรรมใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หยุดจะกลายเป็นเวรกรรมที่ต้องตามชดใช้กันไปทุกชาติ

อีกหลายๆจังหวัดการแย่งชิงอำนาจก็มีความหวาดเสียวไม่แพ้กัน อาตมาเป็นพระอยู่จังหวัดนนทบุรี ทราบดีว่าเมืองนนท์ก็เป็นเขตหนึ่งที่อยู่ในข่ายความรุนแรง อยู่ในข่ายที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะก่อนหน้านี้นายกเทศมนตรีบางบัวทอง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ถูกดักยิงเสียชีวิตเพราะการเมืองเช่นกัน หากต้องมีการตายอีกเพราะการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง แสดงว่าประชาธิปไตยไทยไม่ใช้สมอง ใช้แต่ความอัปรีย์มาไล่บี้ ไล่ฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและตำแหน่ง

เมื่อไรประเทศไทยจะมีกฎกติกาว่าถ้านักการเมืองตระกูลไหนมีประวัติฆ่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามห้ามคนตระกูลนั้นยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพื่อไม่ให้มาสร้างเคราะห์กรรมกับคนอื่นและตัวเอง

คนเราเกิดมาทั้งทีควรใช้โอกาสสร้างโชค ไม่ใช่คิดแต่จะเอาโอกาสมาสร้างเคราะห์ เราเคยได้ยินแต่คำว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่ตอนนี้บ้านเมืองวิกฤต การเลือกตั้งยังไม่ทันจะเริ่มต้นกลับมาสร้างวิกฤตซ้ำเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นการทำลายโอกาสแห่งความก้าวหน้าทางสติปัญญาของมนุษย์ที่ควรมีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม

เราพูดกันเสมอว่าการเมืองสกปรก การเมืองโหดร้าย การเมืองไม่มีความปรานี ซึ่งเป็นความจริง นอกจากนี้ยังเป็นความเถื่อนและหายนะ ดังนั้น เราต้องช่วยกันแก้ไข อย่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เพราะจะเป็นเคราะห์กรรม เป็นวิกฤตที่ตกมาถึงประชาชน ฉะนั้นเราต้องช่วยกันทำวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เอาวิกฤตมาเป็นโอกาสฆ่ากัน หากเป็นอย่างนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้ายังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ยังสกัดกั้นความชั่วร้ายทางการเมืองไม่ได้บ้านเมืองจะยุ่งเหยิงและไม่สงบต่อไป

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองอย่างที่นายประชาพูด ต้องถือว่าเป็นบาป เป็นความเลวที่เกิดขึ้นในทางการเมือง

ความคิดของผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องการให้ปวงชนปกครองกันเอง ตอนนั้นคงไม่คิดว่าพอเปลี่ยนแล้วปวงชนจะมาแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำเยี่ยงกับบ้านป่าเมืองเถื่อน ทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นการปกครองที่ป่าเถื่อน ภาพพจน์ของประชาธิปไตยไทยถูกชาติอื่นมองว่าป่าเถื่อน เพราะเพียงแค่อยากได้ก็ใช้กำลังแย่งชิงเพื่อให้ตัวเองได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่สนว่าจะเหยียบหัวคนอื่นขึ้นมาเป็น ส.ส. เป็นนักการเมือง การเบิกทางให้ได้มาซึ่งอำนาจด้วยการหยุดลมหายใจคนอื่น หรือทำลายชีวิตคนอื่น ถามว่าสง่างามตรงไหน มีแต่คนความเลวทรามต่ำช้าเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้

หากเป็นนักการเมืองแล้วมือต้องเปื้อนเลือด ใจเปื้อนบาป สมองคิดแต่เรื่องอำมหิตผิดมนุษย์ อย่างนี้ถือว่าไม่ใช่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

อยากให้นักการเมืองทั้งหลายเขียนเป็นกฎหมายออกมาเลยว่าหากนักการเมืองตระกูลไหนใช้วิธีแสวงหาอำนาจหรือตำแหน่งด้วยวิธีการฆ่าคนอื่นอย่าให้คนในตระกูลนั้นเล่นการเมืองอีก เพราะเดี๋ยวจะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย คิดจะยิงใครก็ยิง เรียกว่าหมดแล้วความเคารพยำเกรงในกฎหมาย ต่อไปจะได้ไม่ต้องเป็นเลือพล่าน เพราะนักการเมืองไม่ใช่วัวชน ไม่ใช่ไก่ชนที่ต้องตีกันตายไปข้างหนึ่ง หรือตีกันจนเลือดตกอย่างออก

เจริญพร

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

กสทช.สั่งสอบ 3 จี ทรู-กสท. เน้นประเด็นพรบ.ร่วมทุนฯ

บอร์ดมีมติให้สำนักงาน กสทช. จัดทำเอกสารสรุปสัญญา กสท-ทรู ผิดมาตรา 46 ตามพ.ร.บ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯหรืิอไม่ พร้อมวาง3ขั้นตอน

เผยต้องดูเรื่อง พ.ร.บ.ร่วมทุน เป็นหลัก หากสรุปว่าผิด ไม่ต้องดูประเด็นอื่น เผยบอร์ดไม่กล้าฟันธงสัญญา หวั่นมีผลผูกพันในอนาคต ซ้ำนักกฎหมาย กทช.ไม่เคยอยู่ร่วมประชุม

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เมื่อวันที่ (12 พ.ค.) มีมติให้สำนักงาน กทช.ไปสรุปรายละเอียดในสัญญาการให้บริการโทรศัพท์มือถือเอชเอสพีเอระหว่าง บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ว่าขัดต่อมาตรา 46 ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) ที่ระบุว่า ผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่เป็นสิทธิเฉพาะตัวต้องประกอบกิจการด้วยตัวเอง จะโอนหรือมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนไม่ได้

หากสำนักงาน กทช. มีข้อสรุปออกมาว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ก็จะมาพิจารณาในขั้นที่ 2 คือ การให้บริการของบริษัท เรียลมูฟ ที่ได้รับสิทธิในการทำตลาดบริการขายส่งบริการ (โฮลเซล-รีเทล) เรียลมูฟถือเป็นเอ็มวีเอ็นโอให้ กสท ในระดับใด เพราะที่ประชุมบอร์ด มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาหารือ โดยระบุว่าหากเป็นเอ็มวีเอ็นโอระบบต่ำ (Thin MVNO) ก็สามารถดำเนินการได้ แต่หากเป็นระบบกลาง (Medium MVNO) หรือระบบสูง (Full MVNO) อาจต้องมีการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ดำเนินการได้หรือไม่ และหากสมมติว่าการ

กรณีสัญญา กสท และ กลุ่มทรู ที่ถกเถียงว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ในเบื้องต้นต้องพิจารณาในแง่ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) หากศาลปกครอง หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคำสั่งหรือลงความเห็นว่าสัญญาฉบับดังกล่าวจำเป็นต้องเข้า พ.ร.บ.ร่วมทุน ก็ถือว่าผิดแล้วไม่จำเป็นต้องดูในประเด็นอื่น

"การประชุมวันนี้ ก็เถียงกันพอสมควร ว่าจะเอาอย่างไรกับสัญญา กสท และทรู ซึ่ง กทช.ไม่ได้นิ่งนอนใจ เรามีความเห็นอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ต้องดูในประเด็นกฎหมายอื่นๆ ควบคู่กันไป ซึ่งกรณีนี้ประเด็นที่สำคัญที่พิจารณามีเพียงว่า สัญญาดังกล่าวเข้า พ.ร.บ.ร่วมทุน หรือไม่ แต่ในส่วนนี้เราไม่ได้มีสิทธิออกความเห็น"

แหล่งข่าวจาก กทช. กล่าวว่า แม้ที่ประชุมบอร์ดวานนี้ จะมีบรรจุวาระเรื่องการทำสัญญาให้บริการโทรศัพท์มือถือเอชเอสพีเอ ระหว่าง กสท และกลุ่มทรู แต่เรื่องดังกล่าว ยังไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา เนื่องจากบอร์ด กทช.รอดูท่าทีของศาลปกครองกลางก่อน ว่า ในวันที่ 18 พ.ค. นี้ คำสั่งของศาลฯ จะออกมาในลักษณะใด จะมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน หรือกำหนดการบรรเทาทุกข์ให้กับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) หรือไม่ หลังจากที่ดีแทคได้ยื่นฟ้อง กสท และพวก ในกรณีการเซ็นสัญญากับกลุ่มทรูไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในคดีหมายเลขดำที่ 871/2554

อย่างไรก็ตาม พ.อ.นที ย้ำว่า กทช. ไม่ต้องการมีบทบาท หรือมีมติทางกฎหมายใดๆ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพราะจะถือเป็นผลผูกพัน และในอนาคตก็จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ กสทช. อย่างเต็มรูปแบบ และปัจจัยที่สำคัญ คือ ประเด็นที่มีหยิบยกในกรณีสัญญา กสท กับกลุ่มทรู ว่าอาจขัดต่อกฎหมาย ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.กสทช. แต่เป็นประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ร่วมทุน นอกจากนี้ กทช.ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากหน่วยงานที่ตรวจสอบสัญญา เพื่อประสานให้ กทช. ไปให้ข้อมูลเลย

"สำนักงาน กทช. ก็ได้หารือและรวบรวมรายละเอียดสัญญาทั้ง 6 ฉบับของ กสท และ ทรู มาตลอด แต่ก็ยังไม่เสร็จ หรือจริงๆ อาจจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะเรื่องนี้ไม่มีบอร์ดคนใดอยากจะฟันธงว่าสัญญาผิดหรือถูก และนายสุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการ กทช. ที่รับผิดชอบด้านกฎหมายโดยตรง ก็ไม่อยู่ ไปต่างประเทศ"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โตขึ้นหนูจะต้องเป็น เรยา : แด่ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาสูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความปราถนาดี

โดย.จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์


“…คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจมีการศึกษาน้อย ไม่มีกำลังปัญญาที่จะสอนลูก แยกแยะถูกผิด ผิดชอบชั่วดีนะคะ เราต้องยอมรับว่ามีบุคคลพวกนั้นนะคะ ถ้าเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง คุณพ่อคุณแม่จบปริญญาตรี ก็ไม่ต้องอะไรเยอะ ลูกก็คงต้องรู้ว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร…” [http://www.youtube.com/watch?v=NxBQ4QgaBgQ]

ลัดดา ตั้งสุภาชัย (ผู้อำนวยการกลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม) ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้ เมื่อครั้งที่เธอได้รับเชิญไปแสดงความเห็นต่อปรากฏการณ์ดอกส้มสีทองบานสะพรั่งในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ว่าพ่อแม่ควรจะมีบทบาทอย่างไรกับการดูละครของเด็กและเยาวชนในสังคมไทย ความปราถนาดีครั้งนี้ของคนที่เรียกตัวเองว่าเปฌนผู้เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ซึ่งมีหน้าที่อันไม่มีขอบเขตท่านนี้ คงทำให้พ่อแม่หลายต่อหลายคนหน้าชาขึ้นมา ไม่มากก็น้อย

ทัศนคติที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การจำแนกแบ่งคนที่มีระดับสติปัญญาหรือจริยธรรมด้วยการศึกษาในระดับปริญญาตรี ความคิดที่ว่า การศึกษาในระดับปริญญาตรีจะเป็นดั่งยาครอบจักรวาล แก้ปัญหาได้ทุกอย่างในชีวิต รับมือได้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และสังคมนั้น ส่วนตัวผู้เขียน คิดว่าสิ้นสมัยของความเชื่อเช่นนี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป

เรื่องการดูละครถูกวกมาผูกติดกับชนชั้นและระดับสติปัญญาของสังคมอีกครั้ง แม้ก่อนถ้อยคำเหล่านี้ (ในคลิปเดียวกัน) ลัดดาจะออกตัวไว้ก่อนว่า สังคมเรามีความหลากหลาย มีทั้งผู้ที่เข้มแข็งและอ่อนแอ แต่คำพูดของลัดดาที่ยกมาข้างต้น เหมือนคำพิพากษาในที ที่กำลังส่งสารไปยังผู้รับฟังว่า ชนชั้นไหนมีระดับความสามารถในการแยกแยะความผิดชอบชั่วดีหรือความถูกผิดได้ดีกว่ากัน

ถ้าระดับการศึกษา, ชนชั้น และวุฒิภาวะที่พัฒนาขึ้นตามอายุ คือคำตอบของการวิเคราะห์สังเคราะห์ในสื่อประเภทต่างๆ ได้จริง ทำไมกระทรวงวัฒนธรรมยังคงต้องทำตัวเป็น ผู้ใหญ่แสนดีและรู้มากไปเสียทุกเรื่องอยู่อีก? ที่ย้อนแย้งที่สุด หากใช้ฐานความคิดชุดเดียวกัน ไปทาบทับเพื่อวิเคราะห์ในกรณีการห้ามฉายหนัง Insects in the backyard แล้ว นับว่าเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุด ที่ฟ้องว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วมาตรฐานการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อและการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาสื่อในประเทศนี้ไม่เคยมี และหากใครสักคนยกอ้างคิดว่ามาตรฐานขึ้นมากล่าว มันก็คือวิธีคิดที่ล้นไปด้วยอัตวิสัยและอำนาจตามตำแหน่งที่ตนสวมบทบาทอยู่เท่านั้นเอง

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 มติคณะรัฐมนตรีฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการส่งเสริมให้มีรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชนมากขึ้น และส่งต่อให้เกิดการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจำแนกประเภทรายการที่เหมาะสมกับผู้คนวัยต่างๆ ในสังคม จนกลายเป็น ฉลาก “เรต” แปะหน้ารายการโทรทัศน์อย่างเช่นทุกวันนี้

แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ภาควิชาการด้านสื่อสารมวลชนพยายามจัดทำขึ้นมาตีคู่กับมติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว นั่นคือ การจัดทำหลักสูตร “สื่อศึกษา” หรือ “Media Literacy” ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา ทั้งในหลักสูตรสถาบันการศึกษาและสำหรับการศึกษาแบบสาธารณะ แต่ดูเหมือนว่า งานที่วางโครงสร้างทางความคิดของอนุชนเช่นนี้กลับไม่ได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นจริงจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่การสร้างให้อนุชนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และรู้เท่าทันในสื่อประเภทต่างๆ ที่รายล้อมตัวตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเข้านอนคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าการจะผูกขาดหน้าที่การเซนเซอร์ในเนื้อหาสื่อของคนเพียงไม่กี่คนในประเทศนี้เท่านั้น ที่จะต้องออกมาเสนอหน้าตัวเองออกมาเรื่อยๆ และชี้ถูกชี้ผิดว่าอะไรควรดู อะไรไม่ควรดู
เรามีผู้ใหญ่รู้ดีมากมายไปหมด แต่ในทางกลับกัน เรามีแต่เด็กและเยาวชนที่อ่อนแอจากระบบการศึกษาที่กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ใหญ่ในสังคม ต้องลำบากผัดหน้าผัดตาแต่งตัวเป็นลิเกตัวพระตัวนางมาช่วยเหลือเด็กตัวน้อยๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสื่อน้ำเน่าไร้สาระกันเรื่อยไป เพราะว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเด็กน้อยเหล่านี้ เป็นชนชั้นล่าง เป็นคนที่มีการศึกษาน้อย เป็นพวกทำมาหากินไปวันๆ

สิ่งที่คนชนชั้นกลางและมีการศึกษาอย่างต่ำที่สุดคือระดับปริญญาตรีต้องรักษาไว้ ก็คือโครงสร้างและสถานะของตัวเองในสังคม ผ่านการให้คุณค่าและมาตรฐานทางจริยธรรมที่แปรผกผันมาจากสถานะทางสังคมนั่นเอง

การที่ใครสักคนพยายามจะผูกขาดความดี ความงาม และจริยธรรมศีลธรรม เพื่อให้ดำรงไว้ซึ่งสถานะทางสังคมของตนเองและพรรคพวกของตน มันน่ากลัวมากกว่าการที่เด็กสักคนประกาศให้โลกรู้ว่า “โตขึ้นจะเป็นแบบเรยา” เสียด้วยซ้ำไป

ถ้าผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้ เล็งเห็นจริงๆ ว่าการศึกษาจะแก้ไขปัญหาของเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากสื่อที่เขาเห็นว่าเป็นของอันตราย ทำไมการจัดการศึกษาสำหรับการวิเคราะห์ สังเคราะห์สื่อสำหรับเด็กและเยาวชนจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง?

หลังจากละครเรื่องดอกส้มสีทองจบไป เราจะต้องเห็นลัดดา ตั้งสุภาชัย หรือคนในกระทรวงวัฒนธรรม ออกมาสื่อสารกับสังคมในเรื่องซ้ำเดิมเช่นนี้กันอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้งกัน? ทั้งที่การแก้ปัญหาผลกระทบจากสื่อต่อเด็กและเยาวชนก็คือการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์,สังเคราะห์สื่อให้ติดตัวเด็กและเยาวชนนั่นเอง
สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีทั้งหลายในสังคมเลือกที่จะ “ไม่ทำ” บอกใบ้ให้เรารู้อยู้ในทีแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาเหล่านี้หวาดกลัว

ผู้ใหญ่รู้มากพวกนี้อาจจะไม่ได้กลัวว่าเด็กจะโตขึ้นแล้วเป็นแบบเรยา

แต่การที่เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสื่อ , สามารถจำแนกแยกแยะ “สาร” รวมถึงประเมินคุณค่าของสื่อทุกประเภทได้ด้วยตนเอง คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้กลัวต่างหาก.

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อนาคตประเทศ

การประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเริ่มต้นการหาเสียงอย่างเป็นทางการ ทุกพรรคการเมืองต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อภายใต้กฎกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งทั้งระบบ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่ากฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และไม่มีข้อความใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

กกต. ได้กำหนดวันเลือกตั้งคือวันที่ 3 กรกฎาคม โดยพรรคการเมืองต้องส่งรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อระหว่างวันที่ 19-23 พฤษภาคม ณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง และแบบแบ่งเขตระหว่างวันที่ 24-28 พฤษภาคม ณ เขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดที่กำหนดไว้ ส่วนการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้ามีเพียง 1 วันคือ วันที่ 26 มิถุนายน

งบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ 3,817 ล้านบาท แยกเป็นการจัดหน่วยเลือกตั้ง 94,000 หน่วย เขตเลือกตั้ง 375 หน่วย จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 48 ล้านคน โดยมีค่าตอบแทนให้แก่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยวันละ 300 บาท ขณะเดียวกัน กกต. ต้องมีเจ้าหน้าที่ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความรุนแรงและมีการทุจริตซื้อเสียงอย่างมาก

แม้หลายฝ่ายไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติ และอาจเกิดความรุนแรงมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การปฏิวัติรัฐประหารที่ยิ่งทำให้บ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง หรือทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุคที่คนไทยจะเข่นฆ่ากันตายมากกว่าที่ผ่านมา

ดังนั้น ไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม ประชาชนทุกคนจะเป็นผู้ตัดสินอนาคตของประเทศและชีวิตของตัวเองว่าจะเดินต่อไปอย่างไร แม้จะเป็นอำนาจเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหรือนาทีในการใช้สิทธิ 1 คนต่อ 1 เสียง แต่มีความหมายอย่างยิ่งที่จะกำหนดทิศทางของประเทศ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไพร่หรืออำมาตย์ ทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน เพราะระบอบประชาธิปไตยถือว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค สิทธิในความเป็นพลเมือง และสิทธิในความเป็นมนุษย์

ความขัดแย้งทางการเมืองจึงขึ้นอยู่กับประชาชน ขณะที่นักการเมืองต้องตระหนักว่าเป็นผู้แทนของประชาชนที่อาสามาทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เป็นนายของประชาชนและคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องอย่างที่ผ่านมา ซึ่งในที่สุดจะหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ หรือประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่และล้างนักการเมืองชั่วออกจากระบบ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง !!?

รู้รักสามัคคี แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด

พลันที่การเมืองประเทศไทยเข้าสู่ทางตรงร้อยเมตรสุดท้ายของ ศึกเลือกตั้งใหญ่

นั่นก็เป็นที่ชัดเจนว่าบรรดาป้อมค่ายการเมืองต่างปล่อยแคมเปญคิกออฟเลือกตั้งออกมาขายฝันซื้อใจประชาชนให้เข้าคูหากากบาทให้กับพรรคนั้นๆ หลักชัยสำคัญนั่น คงไม่พ้นการมีเก้าอี้ ส.ส.ในสภา และการได้เข้าไปร่วมรถด่วนขบวนสุดท้ายเพื่อเข้าไปนั่งในหอคอยงาช้าง

แต่จะเข้าไปกระชับพื้นที่ครม.บนตำแหน่ง หัวโต๊ะหรือซีกเสนาบดี มันก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนเสียงจำนวนมือที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

“นับถอยหลังเลือกตั้ง” ฉบับนี้ขอนำเสนอมุมมองนโยบายของพรรค “SME”น้องใหม่อย่างพรรคมาตุภูมิ ภายใต้การนำของ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประ ธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช.

ที่ล่าสุดพรรคเล็กอย่างพรรคมาตุภูมิ ได้ ออกมาชูนโยบายพรรค โดย “บิ๊กบัง” แสดงความมั่นใจว่า การเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะได้จำนวน ส.ส.เกินคาดหมาย โดยตั้งเป้าไว้ที่ตัว เลขสองหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มี ส.ส.ลงทุกพื้นที่ รวมถึงภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลางบางส่วน อีก ทั้งยังมี ส.ส.เก่าจำนวนหนึ่งแสดงเจตจำนงจะเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคมาตุภูมิ

โดยจุดมุ่งหมายของพรรคนั้น “บิ๊กบัง” ระบุว่า ต้องการคลื่นลูกใหม่มาทดแทนนัก การเมืองรุ่นเก่า และจะเน้นที่การศึกษา ความรู้ ความสามารถ ภายใต้การทำงานที่มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมกับปลูกฝังให้รักบ้านเมืองมากกว่าตัวเอง

กระนั้นหากพลิกมาดูนโยบายของมาตุภูมิ จะพบว่า แม้จะเป็นพรรคเล็กแต่นโยบายของพรรคมาตุภูมินั้นไม่เล็กเลย

โดยเริ่มต้นด้วยสโลแกนอันสวยหรูว่า “กล้ากล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง พัฒนาสังคมให้รู้รัก สามัคคี มีแต่รอยยิ้ม ชาติไทยต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ยิ่งใหญ่และ เข้มแข็ง”

พร้อมกับยึดแนวทางการเป็นข้ารับใช้แผ่นดิน ทหารของพระราชา รับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และยึดมั่นในปณิธานที่ได้รับ การปลูกฝังมาตลอดชีวิตความเป็นทหารของ “บิ๊กบัง”ว่า “รู้รักสามัคคี” และ “จะแน่วแน่ แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทอง หลังองค์พระปฏิมา”

ส่วนนโยบายหลักๆ พรรคมาตุภูมิมุ่ง เป้าไปที่นโยบายเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องของการสมานรอยร้าวจากความแตกแยกทาง สังคม และความขัดแย้งทางความคิด ด้วยการ ชูนโยบายสร้างความรัก ความสามัคคีของคน ไทยทั้งชาติ ด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ ความเป็นคนไทย ภายใต้แผ่นดินเดียวกัน การขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม ชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา เพื่อให้สังคมอยู่ ร่วมกันอย่างหลากหลายวัฒนธรรมและประเพณี

นอกจากนั้น ยังยึดนโยบายความเป็น กลาง เพื่อประสานประโยชน์สุขของทุกภูมิภาค ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกความแตกต่าง เพื่อสร้างความรัก ความเข้าใจ บนรอยยิ้มแห่งสยามเดียวกัน รวมไปถึงการชูเรื่องของการพัฒนา ประเทศ ซึ่งต้องเกิดจากการกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว และทันสมัย บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อให้ประเทศชาติมีความเจริญ และยิ่งใหญ่ ตามประชาธิปไตยแบบไทยๆ

สำหรับนโยบายเพื่อคนเมืองกรุง มาตุภูมิก็มุ่งเน้นที่การพัฒนากรุงเทพฯ เป็น “เวนิสตะวันออก” อย่างที่คนต่างชาติร่ำลือ พร้อมกับปั้นให้เป็น “เมืองฟ้าเมืองอมร” มีน้ำใส สะอาด อากาศดี ต้นไม้สีเขียว รถไม่ติด มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยพิบัติตามธรรม ชาติในทุกภูมิภาคของประเทศ

ส่วนนโยบายแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นนโยบายที่ขาดไม่ได้ของทุกพรรค ก็จะเน้นในความเข้มงวดและจริงจัง ในขณะที่ผู้เสพก็จะได้รับการฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อมุ่งหวังลดปัญหาอาชญากรรมที่จะตามมา เพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตและวิถีชีวิตที่ดีของคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับไฮไลต์คงหนีไม่พ้นการแก้ ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากพรรค มี ส.ส.ในพื้นที่ ก็จะใช้มาตรการการเมืองนำการทหาร ด้วยการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม และแก้ปัญหาของตนเองให้มาก ที่สุด โดยการบริหารทั้งหมดทั้งมวล จะรวม ศูนย์ภายใต้ไอเดีย “ทบวง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อความเป็นอิสระในการบริหารการจัดการ

นอกจากนี้ ยังเน้นไปที่นโยบายในการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน หลังเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมไปถึงต้องพัฒนาศักยภาพในการป้องกันประเทศให้มีความทันสมัย และกองทัพต้องมีส่วนร่วมสนับสนุนในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน

ตบท้ายด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นผู้นำในภูมิภาค และเป็นแหล่งอาหารโลก เพื่อนำไปสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และกระจายรายได้ เพื่อยกระดับฐานะ ความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความสุข และอยู่ดีกินดี

น้อยพรรคนักที่จะขายฝันนโยบายหาเสียงโดยปราศจากวาระประชานิยม แต่พรรคส่วนใหญ่เหล่านั้นไม่นับรวมพรรคมาตุภูมิ ที่เน้นในนโยบายภาพใหญ่

ส่วนจะเรียกคะแนนนิยมได้ มากมายเพียงใด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้พิสูจน์แรงศรัทธา

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////