--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทิ้งทวนกันเต็มสูบ "ครม."อนุมัติวันเดียว5แสนล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมครม.นัดสุดท้ายวานนี้ (3 พ.ค.) ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติงบประมาณในทุกหน่วยราชการรวมแล้ว มูลค่า 5 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านธนาคารอารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และเห็นชอบในหลักการการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท วงเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ ไม่เกิน 30 ปี และอายุผู้กู้หลักที่ใช้สิทธิรวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 65 ปีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ปีที่ 1 - ปีที่ 2 เท่ากับ 0% ต่อปี ส่วน ปีที่ 3 - ปีที่ 5 กรณีสวัสดิการ เท่ากับ MRR- 0.50% ต่อปี กรณีรายย่อย เท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป กรณีสวัสดิการ เท่ากับ MRR- 1.00% ต่อปี กรณีรายย่อย เท่ากับ MRR- 0.50% ต่อปี

-การให้ความช่วยเหลือบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร จำกัด (มหาชน) ที่ไม่สามารถประกอบกิจการการค้าได้ในช่วงเวลาที่เกิดความไม่สงบในเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เฉพาะวันที่บริษัทฯ หยุดให้บริการรถไฟฟ้า BTS จำนวน 5.5 ล้านบาท

- มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง กรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่ได้รับสินไหมทดแทน จากบริษัทประกันภัย และเห็นชอบชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในอัตรา 0.75% ต่อปี เป็นเวลา 1 ปี คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 15 ล้านบาท โดยใช้วงเงิน 2,000 ล้านบาท

- การรถไฟแห่งประเทศไทย ลงทุนซื้อรถจักรและล้อเลื่อน ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนรอบแรก จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท

- โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม 62.15 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม

- การดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยใช้เงินกู้ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ( Asian Development Bank : ADB) ในวงเงินประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

- การดำเนินงานจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing Cleaning House : CCH) โดยใช้เงินกู้ ADB ในวงเงินประมาณ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

- งบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2555-2561)แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คืองบประมาณตามนโยบายเร่งด่วน 10 โครงการ จำนวน 1.58 หมื่นล้านบาท และเห็นชอบในหลักการแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง อีกจำนวน 371,598.379 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันว่าการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่สองจะเดินหน้าตามที่ได้วางระบบและแผนงานต่อไป

- การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน มหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและมหาวิทยาลัยในสังกัดของรัฐที่เป็นส่วน ราชการในอัตรา 5% เป็นเงินรวม 397.21 ล้านบาท แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 14 แห่ง จำนวน 239.66 ล้านบาท มหาวิทยาลัยที่ส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 102.02 ล้านบาท และมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.)และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) 50 แห่ง จำนวน 55.53 ล้านบาท

- งบประมาณจัดสรรเพิ่มสำหรับพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย สำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2554 เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นเงินจำนวน 174.91 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 93.03 ล้านบาท มรภ.และ มทร. 50 แห่งจำนวน 81.88 ล้านบาท

- ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมให้กับกำลังพลกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 293 ล้านบาท

- โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 9 ส่วนที่ 1 วงเงินลงทุน 7,060 ล้านบาท ส่วนที่ 2 วงเงินลงทุน 4,540 ล้านบาท ส่วนที่ 3 วงเงินลงทุน 15,085 ล้านบาท และส่วนที่ 4 วงเงินลงทุน 4,485 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 31,170 ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ในประเทศ จำนวน 23,374 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 7,796 ล้านบาท และเห็นชอบการกู้เงินในประเทศของโครงการดังกล่าวต่อไป

- การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเพิ่มเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้จากอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เป็นอัตราคนละ 5,000 บาทต่อเดือน

- ศอ.บต. จำนวน 180 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน12อำเภอ พื้นที่3จังหวัดชายแดนใต้

- เช่ารถยนต์ เพื่อใช้ในราชการในกรมการพัฒนาชุมชน เป็นงบก่อหนี้ผูกพัน 2554-2557 จำนวน 152 ล้านบาท เบื้องต้นจะเช่ารถจำนวน 235 คัน แบ่งเป็นรถบรรทุกดีเซล 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ รวมถึงรถประจำตำแหน่งอธิบดีและรองอธิบดี

- โครงการประชาสัมพันธ์การขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 งบประมาณ 200 ล้าน

- โครงการสร้างพิพิธภัณฑ์พระราม 9 มูลค่า 1.8 พันล้านบาท เพื่อเฉลิมฉลองปีมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบรอบ 84 พรรษา

- โครงการกรุงเทพเมืองปลอดภัยห่างไกลอาชญากรม งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2554 (งบกลาง) จำนวน 123 ล้านบาท

- โครงการสร้างสนามกีฬาใน 9 จังหวัด ได้แก่ จ.ชลบุรี จ.ศรีสะเกษ จ.อุดรธานี จ.บึงกาฬ จ.กระบี่ จ.ยะลา จ.แม่ฮองสอน จ.ลำปาง และจ.สุโขทัย

- โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเกษตรกร และเกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกิน วงเงินจำนวน 1,641 ล้านบาท

- โครงการพัฒนาธุรกิจทางอิเล็คโทรนิค ปี 2555 วงเงิน 258 ล้านบาท

- โครงการผลิตทรัพยากรบุคคลตามโครงการตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ปี 2555 -2564 เบื้องต้นได้วางกรอบงบประมาณไว้ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท

- โครงการส่งเสริมการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพ กำหนดเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน ก.พ. 2554 และโครงการ “พ่อแม่มือใหม่เลี้ยงลูกถูกวิธี” เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย จำนวน 415 ล้านบาท


ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เบื้องลึก เบื้องหลัง และคำถาม จากการตายของ บิน ลาเดน

หนึ่งวันหลังข่าวการเสียชีวิตของ “โอซามา บิน ลาเดน” ก็มีรายละเอียดของเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องลึก หรือคำถามที่ยังรอคำตอบ ดังนี้

ข่าวกรอง: สหรัฐรู้ที่อยู่ของ “โอซามา บิน ลาเดน” ได้อย่างไร

  • รอยเตอร์บอกว่า ข้อมูลแรกสุดของ “คนเดินสาร” ของบิน ลาเดน มาจาก “นักโทษ” ผู้ก่อการร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ในยุโรปตะวันออก โดยข้อมูลคือนี้ “นามแฝง” ของคนเดินสารที่บิน ลาเดน เชื่อใจมาก
  • ส่วน CNN ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปเล็กน้อยว่า ข้อมูลมาจากนักโทษที่ถูกคุมขังไว้ที่อ่าวกวนตานาโมในคิวบา โดยพูดถึงชื่อ “Abu Ahmad al Kuwaiti” หลายครั้ง ซึ่งใกล้ชิดกับ “Khalid Sheikh Mohammed” สมาชิกระดับสูงของอัลไคดา ซึ่งเป็นชาวคูเวต
  • ซีไอเอใช้เวลาถึง 4 ปีในการหาว่าคนเดินสารคนนี้มีชื่อจริงว่าอะไรกันแน่
  • พลนำสารคนนี้ใกล้ชิดกับ Mohammed และสมาชิกระดับสูงอีกคนของอัลไคด้า ชื่อ Abu Faraj al Libi ชาวลิเบีย ที่เคยเป็นผู้นำอันดับสามของอัลไคด้า ก่อนจะโดนจับในปี 2005
  • ซีไอเอระบุได้ว่าพลเดินสาร “Abu Ahmad al Kuwaiti” คนนี้เป็นคนหนึ่งที่ส่งข้อมูลและแผนซ้อมปฏิบัติการให้กับทีมก่อวินาศกรรม 9/11 (แต่เป็นทีมที่ไม่ได้ออกปฏิบัติการในท้ายที่สุด)
  • มีรายงานว่า “Abu Ahmad al Kuwaiti” เดินทางร่วมกับบิน ลาเดน ในที่ราบสูง Tora Bora ก่อนที่บิน ลาเดน จะหายไปตัวไป
  • ซีไอเอสามารถดักฟังโทรศัพท์ของคนเดินสารคนนี้ได้ช่วงเดือนสิงหาคมปี 2010 ทำให้รู้ว่าที่อยู่ของคนเดินสารคนนี้อยู่ที่ไหน โอบามาได้รับแจ้งข่าวสารนี้ในอีก 1 เดือนถัดมา
  • กุมภาพันธ์ 2011 หน่วยข่าวกรองสหรัฐได้ข่าวน่าเชื่อถือสูงว่า “บิน ลาเดน” น่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้
  • มีนาคม-เมษายน 2011: โอบามาประชุมกับทีมด้านความมั่นคงของทำเนียบขาวอย่างน้อย 5 ครั้ง ว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่กับข่าวนี้
แผนผังแสดงบริเวณบ้านที่บิน ลาเดน พักอาศัยอยู่ (ภาพจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ)

แผนปฏิบัติการเด็ดชีพบิน ลาเดน: การตัดสินใจของโอบามา

  • โอบามา มี 3 แนวทางให้เลือกในการปฏิบัติการ ได้แก่ ทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบินสเตลท์, จู่โจมด้วยกองกำลังทางเฮลิคอปเตอร์, รอต่อไปเพื่อหาข้อมูลให้มากขึ้นว่าบิน ลาเดน อยู่ในบ้านหรือไม่
  • โอบามาปฏิเสธแนวทางการทิ้งระเบิด เพราะมีความเสี่ยงสูงว่าบิน ลาเดน จะไม่อยู่ในบ้าน และอาจสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์
  • สำหรับแผนการจู่โจมด้วยกองกำลังนั้น สหรัฐได้สร้าง “บ้านจำลอง” เลียนแบบบ้านของบิน ลาเดนในแผ่นดินสหรัฐ และซ้อมปฏิบัติการหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายน 2011
  • การประชุมเพื่อหาแนวทางปฏิบัติการเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสที่ 28 เมษายน ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งที่ปรึกษาของโอบามาก็มีความเห็นแยกเป็นสองทาง ส่วนตัวโอบามาเองขอเวลาคิด 1 คืน
  • ช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 29 เมษายน ก่อนที่โอบามาจะเดินทางไปเยี่ยมผู้ประสบภัยจากทอร์นาโดในสหรัฐ เขาก็บอกคณะที่ปรึกษาว่าตัดสินใจเลือกหนทางบุกจู่โจม และเซ็นคำสั่งอนุมัติการจู่โจมในวันเดียวกัน
  • โอบามาตัดสินใจบุกทันที เพราะเกรงว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า จะทำให้บิน ลาเดน ย้ายที่อยู่หนีไปได้
  • สหรัฐไม่ได้แจ้งแผนปฏิบัติการครั้งนี้ให้ปากีสถานทราบ เพราะกลัวข่าวรั่ว คนที่รู้มีเพียงคนสนิทของโอบามาไม่กี่คนเท่านั้น
  • โอบามาเครียดมากกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ตีหน้าตายไปร่วมงานต่างๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนปฏิบัติการเริ่มต้น ซึ่งรวมไปถึงงานเลี้ยงของนักข่าวทำเนียบขาว ที่เขาไปเข้าร่วมอย่างรื่นเริง
ภาพถ่ายจากภายนอกบ้านบินลาเดน เห็นรั้วสูงและลวดหนามล้อมรอบ (ภาพจาก CNN)

รายละเอียดวินาทีกองกำลังสหรัฐโจมตีบ้านของบิน ลาเดน

  • แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีชื่อว่า “Geronimo”
  • เวลาที่ปฏิบัติการคือช่วงประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่งครึ่งตามเวลาท้องถิ่น จากการรายงานของ BBC โดยอ้างประชาชนในพื้นที่
  • หน่วย SEAL ของอเมริกาเดินทางไปยังบ้านพักด้วยเฮลิคอปเตอร์ ตามแผนนี้จะใช้ทีม 12 คน (BBC รายงานว่า 15-25 คน)
  • แต่เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งเกิดปัญหาขณะลอยอยู่เหนือบ้านของบิน ลาเดน เหตุเพราะขาดอากาศที่ช่วยพยุงตัวของเฮลิคอปเตอร์ (เพราะกำแพงภายในบ้านของบินลาเดน มีความสูงมาก) เฮลิคอปเตอร์ลำนี้จึงลงจอดฉุกเฉินในบริเวณใกล้เคียง แต่แผนปฏิบัติการยังเดินหน้าต่อไป โดยส่งเฮลิคอปเตอร์สำรองมารับทีมปฏิบัติการภายหลัง
  • หน่วยปฏิบัติการที่เหลือโรยตัวลงมาด้วยเชือก และฆ่าลูกน้องของบิน ลาเดนที่อยู่นอกบ้าน
  • จากนั้นหน่วยปฏิบัติการบุกเข้าไปยังตึกพักหลัก พบกับบิน ลาเดนที่ชั้นสาม เขาขัดขืนการจับกุม และโดนยิงเข้าที่หัวกับหน้าอก หัวหน้าทีมปฏิบัติการสามารถยืนยันตัวตนว่าเป็นบิน ลาเดน ได้ทันที
  • ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าบิน ลาเดน ยิงตอบโต้หรือไม่ โดยข่าวสับสนระหว่างยิงกับไม่ยิง
  • เมื่อบิน ลาเดน เสียชีวิต หน่วยปฏิบัติการได้แจ้งไปยังหน่วยบัญชาการว่า “Geronimo E KIA” หรือ เป้าหมายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
  • หลังทีมปฏิบัติการได้ศพของบิน ลาเดนแล้ว ก็ออกมาทำลายเฮลิคอปเตอร์ลำที่มีปัญหา
  • เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้น เฮลิคอปเตอร์ได้พาทีมปฏิบัติการออกนอกประเทศ โดยเมื่อออกจากชายฝั่งของปากีสถาน แต่ยังอยู่ในน่านฟ้าปากีสถาน ทางกองทัพอากาศปากีสถานค้นพบเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ แต่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู จึงได้ส่งเครื่องบินออกมาตรวจสอบ แต่ไม่เกิดการปะทะอะไรขึ้น
  • ผู้เสียชีวิตจากการโจมตีได้แก่ตัวบิน ลาเดนเอง, ลูกชายของเขาชื่อ Khalid, สมาชิกคนหนึ่งของอัล ไคด้า และผู้หญิงไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง ส่วนภรรยาของบิน ลาเดน ถูกยิงแต่ไม่เสียชีวิต
  • ปฏิบัติการทั้งหมดใช้เวลา 40 นาที (รายละเอียดจาก CNN)
บารัค โอบามา และผู้บริหารระดับสูงในห้อง Situation Room ของทำเนียบขาว (ภาพจากเว็บไซต์ทำเนียบขาว)

โอบามาเฝ้าดูปฏิบัติการตลอดเวลาจากทำเนียบขาว

  • ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ติดตามดูปฏิบัติการนี้ในห้องเฝ้าดูสถานการณ์ Situation Room ของทำเนียบขาว โดยทีมปฏิบัติการในพื้นที่ถ่ายทอดทั้งภาพและเสียงกลับมายังสหรัฐ
  • ทุกคนในห้องเฝ้าสถานการณ์อยู่เงียบๆ และกระวนกระวาย John Brennan ที่ปรึกษาด้านการก่อการร้ายของทำเนียบขาวบอกว่า “รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก”
  • กลุ่มคนที่อยู่ในห้องเฝ้าสถานการณ์คือ โอบามา, John Brennan, รมว. ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน, รมว. กลาโหม โรเบิร์ต เกตส์, และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ Tom Donilon ส่วน Leon Panetta ผู้อำนวยการซีไอเอ นั่งดูปฏิบัติการอยู่ที่สำนักงานซีไอเอ
  • เมื่อทีมปฏิบัติการรายงานผลความสำเร็จ โอบามาพูดว่า “We got him, guys”

อเมริกาฉลองชัยหลังปฏิบัติการสำเร็จ

  • เหล่าผู้นำจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ยืนปรบมือ (standing ovation) ให้กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา สำหรับความสำเร็จในการเด็ดชีพบิน ลาเดน
  • ประธานาธิบดีโอบามา จะเดินทางไปยังนิวยอร์ค เพื่อแสดงความสำเร็จในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ในวันพฤหัสบดีนี้
  • สหรัฐยังลังเลกับการเผยแพร่ภาพศพของบิน ลาเดน รวมถึงวิดีโอแสดงการทิ้งศพของเขาลงในทะเลด้วย เพราะเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจจากโลกมุสลิมยิ่งขึ้น
แผนที่บ้านพักของบิน ลาเดน แสดงโรงเรียนนายร้อยอยู่ไม่ห่างไปนัก (ภาพจาก MSNBC)

คำถามถึงปากีสถาน: บิน ลาเดน มาอยู่ที่ไหนได้อย่างไร?

  • คำถามที่สำคัญของปากีสถานก็คือ “บิน ลาเดน” มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทางการปากีสถานรู้เรื่องนี้หรือไม่ และถ้ารู้ ก็มีคำถามต่อว่ารู้เมื่อใดกันแน่
  • ปากีสถานไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือมีบางคนในรัฐบาลปากีสถานให้ความคุ้มครองกับบิน ลาเดน กันแน่
  • วุฒิสมาชิก Susan Collins จากพรรครีพับลิกัน ให้ความเห็นว่า ปากีสถานน่าจะเล่นเกมสองหน้า รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐ ในขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับอัล ไคด้า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีภายในประเทศ
  • ในการทูตอย่างเป็นทางการ รมว. ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า “ปากีสถานมีส่วนอย่างมากที่ช่วยให้เรารู้ว่าบิน ลาเดน อยู่ที่ไหน”
  • John Brennan ที่ปรึกษาด้านการก่อการร้ายของทำเนียบขาว ให้ความเห็นว่า “บิน ลาเดน” ต้องมีคนและระบบที่ช่วยสนับสนุนให้เขาอาศัยอยู่ในปากีสถานได้ และสหรัฐจะค้นหาระบบนี้ต่อไป
  • บ้านของบิน ลาเดน มีมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30 ล้านบาท)
  • Brennan ยังบอกว่าบ้านของบิน ลาเดน นั้นผิดสังเกตมากสำหรับบ้านที่พักในละแวกเดียวกัน เนื่องจากมีกำแพงสูง มีระบบเผาขยะของตัวเอง
  • บ้านของบิน ลาเดน อยู่ห่างจากโรงเรียนนายร้อยของปากีสถานเพียง … เท่านั้น และในเมืองยังมีค่ายทหารของปากีสถานตั้งอยู่ด้วย
  • แหล่งข่าวของสหรัฐระบุว่า ทีมปฏิบัติการจู่โจมบ้านของบิน ลาเดน ได้ข้อมูล เอกสาร หลักฐาน ฮาร์ดดิสก์ ดีวีดี กลับมาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐน่าจะได้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ในการแกะรอย “อัล ไคด้า” ที่ยังเหลืออยู่ รวมถึงอาจจะได้ที่อยู่ของ Ayman al-Zawahri เบอร์สองของอัล ไคด้าด้วย

ปฏิกริยาของชาวปากีสถาน

  • ชาวเมือง Abbottabad รายงานเสียงเฮลิคอปเตอร์ในคืนวันปฏิบัติการ แต่ปากีสถานรายงานว่าเป็นการซ้อมรบ
  • ชาวเมืองประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าบิน ลาเดนอยู่ที่นั่น ชาวเมืองบางคนไม่พอใจรัฐบาลปากีสถาน ทั้งในแง่ปล่อยให้บิน ลาเดนมาหลบหนีในเขตใกล้ค่ายทหาร และแง่ว่าปล่อยให้กองกำลังต่างชาติเข้ามาปฏิบัติการตามใจชอบ – CNN

ระดับเตือนภัยการก่อการร้ายเพิ่มสูง เกรงการล้างแค้น

  • สมาชิกคนหนึ่งของอัลไคด้า ประกาศว่าจะล้างแค้นต่อการฆ่า ชีคแห่งอิสลาม’ (หมายถึงบิน ลาเดน)
  • กลุ่มก่อการร้าย Tehrik-e Taliban Pakistan (TTP) แถลงการณ์ว่าภูมิใจในตัวบิน ลาเดน และสัญญาว่าจะล้างแค้นอเมริกาอย่างแน่นอน โดยระบุว่ามีหน่วยปฏิบัติการแฝงตัวอยู่ในสหรัฐแล้ว และจะส่งเข้าไปเพิ่มอีก – CNN
  • รมว. ต่างประเทศคลินตัน ประกาศเตือนกลุ่มก่อการร้ายว่าจะไม่มีวันเอาชนะอเมริกาได้ และขอให้หยุดปฏิบัติการทั้งหมดร่วมกับอัล ไคด้า หันมาสร้างการเมืองที่สงบสุขแทน
  • อย่างไรก็ตาม อัลไคด้าหมดกำลังลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วง 9/11 และตอนนี้มีสภาพคุกคามโลกตะวันตกไม่ต่างอะไรกับกลุ่มก่อการร้ายทั่วไป
  • ช่วงหลังอัลไคด้า ทำหน้าที่สอนและส่งเสริมกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ มากกว่าการปฏิบัติการเอง – BBC
  • อดีตซีไอเอให้ความเห้นว่า อัล ไคด้า ไม่มีผู้นำที่โดดเด่นแบบบิน ลาเดนอีกแล้ว
ข้อมูลส่วนใหญ่จาก MSNBC

คัดมาจาก.Siam Intelligence Unit

////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แฉครม.นัดสุดท้าย3พ.ค.ทิ้งทวนงบ1.2แสนล้าน

โฆษกเพื่อไทยแฉได้รับข้อมูลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้ายก่อนยุบสภาวันที่ 3 พ.ค. นี้จะมีการอนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆแบบเทกระจาดทิ้งทวนรวมยอดสูงถึง 120,000 ล้านบาท โดยจะกระจายไปยังรัฐมนตรีทุกพรรคร่วมรัฐบาลอย่างทั่วถึง จี้นายกรัฐมนตรีถอนเรื่องไม่สำคัญออกไปก่อนเพราะเกรงเป็นภาระให้รัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งเข้ามาแก้ปัญหา เย้ยรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯเรทติ้งต่ำที่สุดตั้งแต่มีนายกฯจัดรายการมา ด้าน “อภิสิทธิ์” ยืนยันไม่มีการอนุมัติโครงการทิ้งทวน สั่งทุกหน่วยงานแล้วให้เสนอแต่เรื่องสำคัญ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้ายก่อนประกาศยุบสภาวันที่ 3 พ.ค. นี้จะมีการเสนออนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆแบบทิ้งทวนรวมมูลค่าสูงถึง 120,000 ล้านบาท

“จะเป็นการเทกระจาดไปยังรัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างทั่วถึง ถือว่าขัดต่อหลักการและทำร้ายจิตใจประชาชน เนื่องจากรัฐบาลที่ใกล้หมดอำนาจไม่ควรอนุมัติโครงการใดๆอีก เพราะถือเป็นการโยนภาระให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาหลังเลือกตั้ง เป็นมรดกบาปที่รัฐบาลนี้จะทิ้งเอาไว้ให้ จึงอยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาทบทวนยกโครงการที่ไม่สำคัญออกจากการพิจารณาของ ครม.”

นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ที่ออกอากาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า พรรคได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วทุกภาค ภาคละ 500 คน พบว่ามีประชาชนติดตามรายการของนายอภิสิทธิ์น้อยมากเพียงร้อยละ 17.5 ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ได้หารือกับรัฐมนตรีทุกกระทรวงแล้วว่าให้เสนอเรื่องที่เร่งด่วนในการประชุม ครม. วันที่ 3 พ.ค. แต่จะไม่มีการพิจารณาโครงการอะไรทิ้งทวนโดยไม่ผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเมื่อยุบสภาแล้วก็ให้ดูว่าเรื่องอะไรควรทำและไม่ควรทำ อย่างไรก็ตาม การทำงานต้องทำเต็มที่ต่อไป ไม่ปล่อยให้เกิดสุญญากาศ

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โอซามา บิน ลาเดน. ตายแล้ว! สหรัฐยืนยันปฏิบัติการสังหารในปากีสถาน .

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าสหรัฐอเมริกาสามารถ “จับตาย” โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก และผู้วางแผนก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ 10 ปีก่อน

สังหาร “บิน ลาเดน” ในปากีสถาน

โอบามาบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับข่าวกรองจากซีไอเอในปากีสถานว่า ค้นพบบิน ลาเดน ในบ้านพักแห่งหนึ่งชานเมืองหลวงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน จึงอนุมัติให้ทีมปฏิบัติการพิเศษเข้าโจมตีในวันนี้ (ตามเวลาสหรัฐ) ซึ่งทีมที่ส่งเข้าไปมีจำนวนไม่มากเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียต่อประชาชนอื่น ซึ่งบิน ลาเดน และคนสนิทเสียชีวิตจากปฏิบัติการของสหรัฐ และสหรัฐได้ศพของบิน ลาเดน กลับมา

จุดจบของบิน ลาเดน ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุด “สงครามกับการก่อการร้าย” (War on Terrorism) ซึ่งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นคนริเริ่มเมื่อปี 2001 หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ก




ในแถลงการณ์ของโอบามายังยืนยันว่า นี่เป็นการต่อสู้กับการก่อการร้าย ไม่ใช่ต่อสู้กับโลกอิสลาม และนี่เป็นสงครามที่อเมริกาไม่ได้เป็นคนต้องการเริ่ม สุดท้ายโอบามาได้ขอบคุณชาวอเมริกันทุกคนที่ช่วยเหลือให้อเมริกาผ่านพ้นช่วงเวลา 10 ปีนี้มาได้

บิน ลาเดน กับนักข่าวปากีสถานในปี 1997

ย้อนรอย “โอซามา บิน ลาเดน”

โอซามา บิน ลาเดน เกิดในตระกูลเศรษฐีของซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 1957 (ปัจจุบันอายุ 54 ปี) พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุฯ ส่วนแม่ของเขาเป็นภรรยาคนที่สิบ ซึ่งภายหลังหย่ากับพ่อของเขาและไปแต่งงานใหม่
บิน ลาเดน จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคิง อับดุลลาซิส (King Abdulaziz University) ในเมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย เขาแสดงความสนใจในศาสนามาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีรายงานว่าเขาศึกษาคัมภีร์อุลกุรอ่าน และแนวคิดของสงครามศาสนา “จิฮัด” มาตั้งแต่สมัยเรียน

หลังจบการศึกษา เขาเข้าร่วมกับกองโจรมูจาฮีดีนของอัฟกานิสถาน เพื่อต่อต้านการรุกรานของโซเวียตในปี 1979 จากนั้นในปี 1984 บิน ลาเดนก็จัดตั้งเครือข่ายสนับสนุนอัฟกานิสถานโดยอาศัยทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เอง ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกอาหรับทั้งหมด และโอนถ่ายเงิน อาวุธ ทรัพยากร เข้าไปยังอัฟกานิสถาน

แต่บิน ลาเดน ก็ออกจากเครือข่ายนี้ในปี 1988 โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการบทบาททางการทหารมากกว่าการสนับสนุนจากภาคพลเรือน เขาจึงตั้งเครือข่ายติดอาวุธ อัล ไคด้า (Al Qaeda) ขึ้นมาในปีเดียวกัน เขาเปลี่ยนนโยบายมาเป็นต่อต้านสหรัฐหลังซาอุดีเปิดประเทศให้กองทัพสหรัฐเข้า มาในปี 1990 เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในซูดานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมายังอัฟกานิสถาน

ช่วงทศวรรษ 1990s บิน ลาเดน และกลุ่มอัล ไคด้า ก็มีบทบาทอย่างมากในการก่อการร้ายตามจุดต่างๆ ของโลกตะวันตก รวมถึงชาติอาหรับที่สนับสนุนโลกตะวันตก ก่อนจะมาสร้างชื่อกระฉ่อนโลกจากเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ซึ่งตามมาด้วยสงครามอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน และทำให้บิน ลาเดน ในฐานะ “ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก” ต้องหลบหนีและหายตัวไปเป็นเวลาถึงสิบปี!

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เชื่อกันว่าบิน ลาเดน อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงชัน มีภูมิประเทศยากแก่การเข้าถึง

“บิน ลาเดน” ตายแล้ว แต่ “อัล ไคด้า” ยังไม่ตาย?

คำถามที่สำคัญที่สุดหลังข่าว “บิน ลาเดน” เสียชีวิต ก็คือ “อัลไคด้า” จะเป็นอย่างไรต่อไป? สงครามในอัฟกานิสถาน และสงครามในอิรักที่ยืดเยื้อมานานสิบปี จะสิ้นสุดลงได้ง่ายๆ หรือไม่?

หลังจากสหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปยังอัฟกานิสถานในปี 2001 โค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน ซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดกับอัลไคด้า กลุ่มอัลไคด้าก็ถูกจับกุมและสังหารเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ก็แยกย้ายกันหลบหนี และเปลี่ยนวิธีปฏิบัติการเป็นกลุ่มย่อย ฐานปฏิบัติการของอัลไคด้าถูกทำลายเกือบหมด อย่างไรก็ตาม อัลไคด้า ยังมีเครือข่ายที่ปฏิบัติงานอยู่ในอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะโซมาเลียและเยเมนในรอบปีหลังๆ

ณ ขณะนี้ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า บิน ลาเดน ยังมีอิทธิพลในอัลไคด้ามากน้อยแค่ไหน และปัจจุบันอัลไคด้าจัดองค์กรอย่างไร จะมีผู้นำคนใหม่ที่มาแทนบิน ลาเดน ได้หรือเปล่า

แต่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ในปัจจุบันคือ เครือข่ายของอัลไคด้าน่าจะยังคงอยู่ แต่จะไม่เข้มแข็งเท่าเดิม และความตายของบิน ลาเดน ทำให้อัลไคด้า ขาด “สัญลักษณ์” ในระดับโลก ที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้ง่ายนัก

สิ่งที่ควรจับตาคือกลุ่มก่อการร้ายใหม่ๆ ในลักษณะเดียวกันกับอัลไคด้า ที่อาจผงาดขึ้นมาสร้างอิทธิพลแทนอัลไคด้าได้ในอนาคต

จอร์จ ดับเบิลยู บุช แสดงความยินดี, สถานทูตสหรัฐทั่วโลกยกระดับการระวังภัย

อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้เผชิญกับเหตุการณ์ 9/11 และเป็นคนสั่งให้บุกอัฟกานิสถานเพื่อตามล่าตัวบิน ลาเดน ได้แสดงความเห็นต่อข่าวการเสียชีวิตของบินลาเดนว่า “เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่”

ส่วนสถานทูตสหรัฐทั่วโลก ได้รับการแจ้งเตือนให้ยกระดับการระวังภัย เนื่องจากเกรงว่าจะมีกลุ่มที่โกรธแค้นกับการเสียชีวิตของบิน ลาเดน เข้าโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐที่ใดที่หนึ่งในโลก – CNN

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เสรีภาพที่จะคิดต่าง




ช่วงที่ผ่านมานี้ สังคมไทยมีประเด็นคาบเกี่ยวกับ “เสรีภาพ” ค่อนข้างบ่อย ทั้งเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพในร่างกายตนเอง หรือเสรีภาพทางความคิดเห็น (ทั้งที่แสดงออก และไม่แสดงออก)

กล่าวโดยรวม เรากำลังมีปัญหากับ “เสรีภาพแห่งการคิดต่าง” เพราะเรามักยินดีปกป้องเสรีภาพของ “พวกเรา” เสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่รัก ไม่เห็นด้วย เราจะไม่เคารพเสรีภาพของ “พวกเขา” ทันที และพร้อมจะให้ใครก็ได้มาทำลายย่ำยีเสรีภาพของ “พวกเขา” ทิ้งเสีย โดยมีเหตุผลยกมาอ้างมากมาย

เรายินดีเดินถอยหลัง ย้อนเวลากลับไปหลายสิบปี เพียงเพราะพวกเราไม่อาจทนฟัง “ความคิดต่าง” ได้ เราจึงยินดีขายวิญญาณแห่งเสรีภาพให้กับปีศาจ เพื่อแลกกับความรู้สึกดีๆที่ได้เห็นทุกคนคิดเหมือนเรา ฟังเหมือนเรา ฝันเหมือนเรา หวังเหมือนเรา
ซึ่งมันไม่อาจเป็นไปได้จริง

ถามว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีเสรีภาพ ? โดยเฉพาะเสรีภาพในการคิดเห็นแตกต่างจากผู้อื่น เราจะไปแคร์อะไรกันนักหนา ? มันเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ ล่องลอยเพ้อฝัน ? เป็นเรื่องของพวกปัญญาชนโรแมนติก เราควรเอาเวลาไปสนใจราคาไข่ไก่ หรือผลโหวตเดอะสตาร์จะดีกว่าไหม ?
ว่ากันเฉพาะเสรีภาพทางวิชาการ

หลายคนอาจไม่รู้ว่ารากฐานสำคัญของ “องค์ความรู้” ทุกแขนงที่ทำให้โลกหมุนมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะเสรีภาพในการคิดต่าง การไม่เห็นด้วย การถกเถียง โต้แย้ง แข่งขันกันเอาชนะด้วยเหตุผล
และในทางกลับกัน สังคมมนุษย์ก็ “มืด” ไปหลายครั้งเมื่อเราไม่ยินดีให้มีคนเห็นต่างจากเราอยู่ในสังคม

กาลิเลโอ ถูกคุมขังเพียงเพราะเขาไม่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ชาร์ลส ดาร์วิน ท้าทาย “ความศักดิ์สิทธิ์” ของศาสนจักร “อันที่เป็นรักยิ่ง” ของผู้คนในยุคนั้นด้วยทฤษฏีวิวัฒนาการ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แสดงความ “คิดต่าง” ว่าเราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ของ “แสง” ในแง่มุมของ “อนุภาค” ได้เช่นกัน (โดยขณะนั้นวงการฟิสิกส์ต่างคิดว่าแสงเป็น “คลื่น”) เขาถึงกับตั้งชื่ออนุภาคสมมุตินั้นว่าโฟตอน และความคิดต่างนั้นเองที่ทำให้เรามีกล้องดิจิตอลใช้กันในวันนี้
ในวันที่สังคมโลกกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากเศรษฐกิจตกต่ำ นักเศรษฐศาสตร์ล้วนเชื่อว่ารัฐบาลควร “รัดเข็มขัด” ตามทฤษฏีแบบดั้งเดิม จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ก็ออกมา “คิดต่าง” ว่ารัฐบาลควรอัดฉีดเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจต่างหาก

กล่าวโดยไม่ต้องหาข้อมูลอ้างอิง – หากปราศจากความคิดต่างของวิศวกร เทคโนโลยีแห่งปืน “สไนเปอร์” ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้เป็นแน่ ฯลฯ

ดังนั้นคงจะไม่เกินไปนักที่จะกล่าวว่า สังคมใดปราศจากเสรีภาพทางวิชาการ ปราศจากเสรีภาพที่จะ “อดทนฟังความคิดต่าง” สังคมนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องมีนักวิชาการเลยก็ได้

เพราะงานของนักวิชาการคือการมุ่งค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆให้แก่สังคม ซึ่งองค์ความรู้เหล่านั้นจะ “ใหม่” ได้อย่างไร ถ้ามันไม่​“ต่าง” จากเดิม

และแน่นอน สังคมที่ไม่มีองค์ความรู้ ย่อมไม่อาจพัฒนา ไม่อาจต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง ก็อยู่กันไปวันๆ รอวันผุพังไปตามธรรมชาติ

ถ้าไม่มีเสรีภาพแห่งความคิดต่าง บางทีตอนนี้เราทุกคนอาจอยู่ในถ้ำ ไม่รู้จักกระทั่งการปลูกพืชด้วยตนเอง (เพราะมันอาจขัดต่อประเพณีปฏิบัติแห่งมนุษย์ถำ้ผู้บูชาการเก็บผลไม้รายวัน)

หลายคนอาจไม่รู้ว่า เสรีภาพ เป็นหนึ่งในสิ่งนามธรรมไม่กี่อย่าง ที่มนุษย์ต่อสู้บาดเจ็บล้มตายกันมากที่สุดตลอดอารยธรรมของพวกเรา ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เผ่าพันธุ์ใด

ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ มนุษย์เรายินดี “สู้ตาย” เพื่อเสรีภาพกันมาเป็นพันๆปีแล้ว
ดังนั้น เราจึงไม่อาจปฏิเสธความจริงได้เลยว่า หากอยากอยู่ร่วมกันอย่าง “สันติ” ในระยะยาว เสรีภาพคือสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆในสังคม

ดูเหมือนสังคมไทยยังมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับ “เสรีภาพในความคิดต่าง”
หลายคนมักบอกว่า คิดต่างไม่ได้แปลว่ามันจะดีเลิศ มีกี่คนที่คิดทฤษฏีห่วยๆออกมา กี่คนที่อยากเป็นไอน์สไตน์ เราควรยอมรับสิ่งที่ดีเลิศ ไม่ใช่ไปส่งเสริมให้คนคิดอะไรแผลงๆห่วยๆออกมามากมาย
ซึ่งก็จริง – มีคนนับล้านอยากเป็นไอน์สไตน์ มีอีกหลายล้านที่อยากเป็นกาลิเลโอ มีความคิดห่วยๆเกิดขึ้นมากมายกว่าจะได้ความคิดดีๆสักชิ้น – แต่การสรุปแบบข้างต้นเป็นความคิดที่ “ผิด” โดยสิ้นเชิง เพราะการ “ยอมรับ” เสรีภาพในความคิดต่าง ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับความคิดนั้นว่ามันดี มันถูก มันควร

เสรีภาพในความคิดต่าง คือการยอมรับว่าทุกคนมีสิทธิคิดเห็นแตกต่างกัน และเป็นหน้าที่โดยตรงของคนผู้นั้นที่จะต้องทุ่มเทพลังของตนในการแสวงหา ข้อมูล ทฤษฏี หลักฐาน มาสนับสนุนความคิดความเชื่อของตนเอง

การที่สังคมมีความคิดต่างห่วยๆขึ้นมาสักอย่าง แล้วเราพาลไปบอกว่า “นี่ไง ห่วย อย่าไปมีเลยเสรีภาพ มันไม่สำคัญหรอก มีไปก็เท่านั้น เละเทะเปล่าๆ” เป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะหากสังคมไม่มีเสรีภาพ แล้วเราจะมีพื้นที่ไหนให้ความคิดดีๆได้โผล่ขึ้นมาบ้าง

อะไรดี อะไรห่วย กาลเวลาจะพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นเสมอ
การเคารพในเสรีภาพของเขา กับ การเห็นด้วยในสิ่งที่เขาคิด – เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้น

ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือ เมื่อเราบอกว่าใครสักคนควรมีเสรีภาพกับอะไรสักอย่าง มันไม่ได้แปลว่าเขามี “สิทธิพิเศษ” เหนือคนอื่นที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ผิด
มันควรแปลว่าเขามีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ และหากมันจะผิด เขาก็ต้องรับผลลัพธ์แห่งการกระทำของเขาไปตาม กฏ กติกา ของสังคมที่บังคับใช้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
โลกนี้มีคนเพียงสองกลุ่มเท่านั้นที่ทำอะไรไม่ผิด
หนึ่ง คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย

และสอง คือคนที่มีเสรีภาพแต่เพียงผู้เดียว ในสังคมที่ไม่มีใครอื่นมีเสรีภาพอีก

เมื่อพูดถึงเสรีภาพ หลายคนนึกถึง “เทพีเสรีภาพ” ที่ฝรั่งเศสสร้างและมอบให้สหรัฐอเมริกาเป็นของขวัญแห่งอิสรภาพในปี 1886

ภาพที่ทุกคนคุ้นตาคือ “มือขวา” ของเทพีที่ถือคบเพลิงชูขึ้นเหนือศีรษะ – คบเพลิงนั้นเป็นสัญลักษณ์แทน “เสรีภาพ” ที่อเมริกันชนล้วนเชิดชูบูชา

แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า “มือซ้าย” ของเทพีถือหนังสือไว้่เล่มหนึ่ง – หนังสือเล่มนั้นเป็น “หนังสือกฏหมาย”
เสรีภาพ และ กฏกติกา เป็นสองสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ
กฏกติกา ควรค่าแก่การแนบไว้ข้างกายอย่าได้ขาด
ส่วนเสรีภาพนั้น…
ควรค่าแก่การเชิดชูไว้ให้สูงที่สุด … เท่าที่แขนของมนุษย์พึงจะทำได้

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไทย-เขมรยิงเล็กน้อยกลางดึก

สถานการณ์ไทยกัมพูชาคืนที่ผ่านมามียิงกันประปรายจากหน่วยสอดแนมกัมพูชา โฆษกทัพภาค 2 แจงมนุษย์ลิงลม แค่ทหารตัวเล็ก หลบสายตาเร็ว ไม่มีไสยศาสตร์ โวยคนปล่อยข่าวขาดแคลนเสบียงหวังดิสเครดิต ส่งผลทหารอาจหมดกำลังใจ

พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่สองได้ให้สัมภาษณ์รายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ถึงสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ในคืนที่ผ่านมาว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ใช่การปะทะกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากมีหน่วยสอดแนมกัมพูชาเข้ามาเมื่อเวลาประมาณ 22.00-23.00 น.ของวันที่ 1 พ.ค. และ 03.00-.4.00น.ของวันที่ 2 พ.ค. ทำให้มีการใช้ปืนเล็กยิงกันประประปราย แต่โดยรวมสถานการณ์ถือว่าเบาบางลงมากเป็นที่น่าพอใจ

วานนี้มีการเจรจาหารือในระดับพื้นที่โดยฝั่งไทยมีเสนาธิการของกองกำลังสุรนารี ได้นำ ผบ.กองพัน ผู้บ.กองร้อย ไปพบปะกับทหารกัมพูชาในระดับพื้นที่ เพื่อทำให้การเจรจาของผู้บังคับบัญชาทั้งสองประกาศเป็นจริงร้อยเปอร์เซนต์ และเมื่อดูท่าทีแล้วทุกหน่วยของกัมพูชาก็มีแนวโน้มว่าต้องการที่จะยุติปัญหา โดยมีข้อตกลงว่าจะจัดชุดประสานงานว่าหากเกิดเหตุอะไรจุดใดก็จะพากันไปดูว่าไม่มีการวางกำลังในพื้นที่ที่ตกลง

พ.อ.ประวิทย์กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ระบุว่าทางกัมพูชาขอเข้ามาเก็บศพเนื่องจากมีทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้กระทบต่อขวัญกำลังใจว่า ยอมรับว่าจากการข่าวพบว่าการปะทะตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.เป็นต้นมาทางโน้นก็สูญเสียเยอะ แต่การหารือระดับพื้นที่วานนี้ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องทางกัมพูชาขอนำศพออกไป เราพูดแค่ว่าทำอย่างไรให้การเลิกปะทะสัมฤทธิ์ผล 100%

ต่อข่าวลือเรื่องกัมพูชาใช้ไสยศาสตร์ มนุษย์ลิง ที่มีความรวดเร็วฆ่าไม่ตาย ลมมารบ นั้น พ.อ.ประวิทย์กล่าวว่า ตนก็ได้ข่าวเช่นกัน แต่ตามที่มีประสบการณ์พบว่าทหารกัมพูชามีร่างกายเล็กกว่าคนไทย อาจจะคล่องแคล่ว พอเจอหลบได้เร็วก็มี ตนเคยออกยุทธการช่องบกก็เคยพบ เขาตัวเล็กหลบสายตาพวกเราได้อย่างรวดเร็ว จึงเปรียบเทียบเหมือนลิงลม

"ยืนยันว่าเราไม่ได้ขาดแคลนเสบียง เรามีอาหารสำรอง 5-10 วัน และยังแจกอาหารที่สามารถทานได้โดยไม่ต้องประกอบ ส่วน คนที่มาปล่อยข่าวนั้นอาจจะประสงค์ดี หรืออาจจะต้องการดิสเครดิตผู้บังคับบัญชา แต่หากเป็นอย่างนี้ทหารก็อาจจะหมดกำลังใจ"พ.อ.ประวิทย์กล่าว

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

เพื่อไทยยัน'มิ่งขวัญ'ไม่ทิ้งพรรค แจงส.ส.สัดส่วนทะลุ200

รองหน.เพื่อไทยยัน"มิ่งขวัญ"ไม่คิดย้ายพรรค โวกระแสเพื่อไทยดีกว่าช่วงปี 48และปี 50 แจงรายชื่อส.ส.ระบบสัดส่วนทะลุ 200 ชื่อ ต้องแยก 2 บัญชี

นายคณวัฒน์ วสินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ว่า ตนได้รับการยืนยันจากผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค ว่า นายมิ่งขวัญได้ติดต่อพูดคุยกับผู้ใหญ่ของพรรคโดยยืนยันว่า จะยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีแนวคิดตั้งพรรคใหม่ หรือนำ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยออกไปแต่อย่างใด ดังนั้น จึงมั่นใจว่านายมิ่งขวัญ ยังอยู่กับพรรคและพร้อมลงพื้นที่ขึ้นเวทีปราศรัย เพื่อแนะนำนโยบายของพรรคในการหาเสียง แต่ทั้งนี้คงต้องรอจนกว่ามีการยุบสภาอย่างเป็นทางการ ทุกอย่างก็จะชัดเจน

เมื่อถามว่าขณะนี้สามารถยืนยันได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีส.ส.ย้ายออกจากพรรค นายคณวัฒน์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ไม่มีส.ส.คนไหนคิดออกจากพรรค เพราะช่วงเวลาเลือกตั้ง เป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะย้ายพรรค หรือไปตั้งพรรคใหม่ และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ยิ่งกระแสของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ดีมาก ทั้ง ส.ส.และผู้สมัคร ส.ส.ต่างก็ทราบดี ถ้าคิดออกจากพรรควันนี้ โอกาสสอบตกสูง จึงมั่นใจว่าไม่มีส.ส.คนไหนคิดออกจากพรรค

เพราะได้มีการทำโพลมาตลอด ต้องยอมรับกระแสของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ดีกว่าช่วงเลือกตั้งปี 2550 ในนามพรรคพลังประชาชน เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างมาก แต่จากที่พูดคุยผู้ใหญ่ของพรรคบางคนยังบอกอีกว่ากระแสของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้กระแสแทบจะดีกว่าสมัยการเลือกตั้งปี 2548 ในยุคของพรรคไทยรักไทย เสียด้วยซ้ำ เพราะมีปัจจัยหลายๆด้าน

เมื่อถามถึงความคืบหน้าของผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย นายคณวัฒน์ กล่าวว่า รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดต้องรอประกาศในวันสมัครรับเลือกตั้ง เพราะขณะนี้ยอมรับว่ารายชื่อล้น 200 คนไปแล้ว แต่จะต้องจัดให้เป็น 125 คนตามที่กฎหมายเลือกตั้งกำหนด ส่วนที่เหลือจะเป็นบัญชีผู้บริหารพรรค ซึ่งจะเป็นในส่วนของตำแหน่งรัฐมนตรี เลขานุการและที่ปรึกษา ดังนั้น คงจะต้องมี 2 บัญชีเป็นอย่างน้อย ไม่น่ามีปัญหา

นายคณวัฒน์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ ว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีได้ประกาศชัดว่าจะมีการยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ก็ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างจะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง ก็คงไม่ได้แล้ว ประเทศจะอยู่อย่างไร แม้จะมีการปะทะตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ไม่น่ามีปัญหาซึ่งมีความพยายามในการเจรจาอยู่ ไม่น่าจะเป็นเหตุ หรือเงื่อนไขให้เลื่อนการยุบสภาออกไป เพราะหากมีการยุบสภา ทางรัฐบาลรักษาการก็สามารถทำหน้าที่ดูแลต่อไปได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

90 ปี น้าชาติ.. Tomorrow Never Dies !!?

ขอนำเสนอรายงานพิเศษอันเกี่ยว เนื่องมาจากการจัดงาน “90 ปี พลเอกชาติชาย รำลึก..เอกบุรุษ ชาติอาชาไนย Tomorrow Never Dies” ที่จัดขึ้นโดย “มูลนิธิพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ” ซึ่งเกิดขึ้นจาก ความร่วมมือของคีย์แมนหลักอย่าง “อาจารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” บุตรชาย และ “เสี่ยกล้วย-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ศิษย์ก้นกุฏิของ “น้าชาติ”

“สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานการจัดงานฯ

โดย “เสี่ยกล้วย” ถ่ายทอดถึงที่มา ที่ไปของการตั้งชื่องานว่า “Tomorrow Never Dies” ไว้ได้อย่างน่าสนใจและแหลมคมยิ่ง

“ที่มาที่ไปของชื่องาน Tomorrow Never Dies นั้นเป็นเพราะท่านชาติชายเป็น ส.ส.โคราชคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาภาคอีสานอย่างเอาจริงเอาจัง ท่านจึงเปรียบ เสมือนนายกฯ ของคนโคราช รวมไปถึงนายกฯ ของคนอีสาน ซึ่งท่านก็มีบ้านพักอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองโคราช”

“ด้วยความผูกพันที่ท่านชาติชาย มีต่อ คนอีสานและคนโคราช และด้วยความผูกพัน ที่คนโคราชและคนอีสานมีต่อท่าน ในทุกๆ ปีท่านจึงจะมีการเปิดบ้านพักในซอยสามยอด จ.นครราชสีมา ให้ชาวโคราชเข้ามาอวยพรวันคล้ายวันเกิดในวันที่ 5 เมษายน ของทุกๆ ปี”

“โดยในปีสุดท้ายก่อนท่านจะเสียชีวิต ก็มีการจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 78 ปีของท่านเช่นเดิม ซึ่งในปีนั้นบังเอิญหนังเจมส์ บอนด์ ตอน Tomorrow Never Dies หรือชื่อไทย พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย มีโปรแกรมเข้า ฉายตรงกับช่วงนั้นพอดี ผมและผู้ร่วมจัดงาน จึงเอาคำว่า Tomorrow Never Dies มาใช้เป็นธีมงานในวันนั้น โดยมีการขึ้นตัวอักษร ดังกล่าวคู่ไปกับคัตเอาต์ฉากหลังที่เป็นรูปท่าน ชาติชายคาบซิการ์และนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ฮาร์เล่ย์ เดวิสัน คันโปรดของท่าน”

“อย่างไรก็ดี ก่อนวันเกิดปีสุดท้ายของ ท่าน ท่านได้บอกกับผมและพี่กร (ทัพพะรังสี) ว่าท่านไม่สบาย พวกเราเลยมาคุยกันว่าจะจัดงานตามกำหนดการเดิมหรือไม่ ซึ่งท่านก็บอก ว่า ท่านมาถึงทุกวันนี้ได้เพราะความรักและน้ำใจของคนโคราชที่มีต่อท่าน ซึ่งท่านต้องชดใช้ให้คนโคราช ต่อให้ร่างกายจะเจ็บป่วยแค่ไหนท่านก็ต้องไป จนเป็นที่มาของประโยค ที่กินใจผมมากระทั่งทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งที่ท่านพูดบนเวทีต่อหน้าคนโคราชว่า พรุ่งนี้ไม่มีวันตาย ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”

“อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่มีวันตายเกี่ยวกับท่าน นั่นก็คือวิธีคิดวิสัยทัศน์ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการเมืองที่ยังคงเป็นอมตะ อาทิ การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นนิคส์ เป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย รวมไปถึงการผลักดันโครงการอีสานคือประตูสู่อินโดจีน พร้อมกับผลักดันนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”

“และอีกหนึ่งโครงการที่ผมมองเห็นถึง วิสัยทัศน์อันก้าวไกลของท่าน คือการเปิดการ ค้ากับจีนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงที่จีนกำลังปิดประเทศ ส่งผลให้วันนี้ มีนักธุรกิจไทย เข้าไปลงทุนในประเทศมหาอำนาจอย่างจีน และนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวน มาก ประสบความสำเร็จลุล่วงโดยดีหรือไม่ ความยิ่งใหญ่ของซีพีในจีนและในไทย ย่อมเป็นเครื่องการันตีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่านชาติชายได้เป็นอย่างดี”

“ด้วยวิธีคิดทั้งด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจที่ยังคงเป็นอมตะกระทั่งทุกวันนี้ จึงกลายมาเป็นชื่องาน 90 ปี พลเอกชาติชาย รำลึก..เอกบุรุษ ชาติอาชาไนย Tomorrow Never Dies ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 เวลา 18.00-22.00 น. ณ ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เอ1 ชั้น 22, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อเป็นการจัดหาทุนในการดำเนินการโครงการต่างๆ ที่ท่าน ชาติชายริเริ่ม และมูลนิธิพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้สืบสานมาอย่างต่อเนื่อง โดยในงานจะมีการประมูลของรักของห่วงของท่านชาติชายจำนวนมาก และจะมีแขกวีไอพีซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่คลุกคลีและเคยร่วมงานกับท่านชาติชาย มาถ่ายทอดถึงบางมุมที่ยังไม่เคยทราบเกี่ยวกับท่าน”

“ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ประธานมูลนิธิพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

สำหรับกิจกรรมและที่มาที่ไปของมูลนิธิ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นั้น “อาจารย์โต้ง” ได้ขยายภาพไว้ได้น่าสนใจเช่นกัน


“มูลนิธิ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นองค์กรเอกชน (NGO) ที่มีนโยบายมุ่งมั่นทำประโยชน์ด้านมนุษยธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง แนว ทางในการปฏิบัติงานโครงการต่างๆ จะเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่น รวมทั้งภาครัฐ และองค์กรภาคเอกชนอื่นๆ ซึ่งเป็นความร่วมมือในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม มูลนิธิฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2536 โดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือการอุปการะครอบครัว ทหาร ตำรวจ ที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ เนื่องจากการปฏิบัติ หน้าที่ การสงเคราะห์นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือด้านสังคมสงเคราะห์ แก่สาธารณชน และส่งเสริมกิจกรรมด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาตลอดระยะเวลา 18 ปี”

“สุทธิเกียรติ โสภณิก” ผู้อำนวยการมูลนิธิฯ

นอกจากนี้ “สุทธิเกียรติ โสภณิก” ผู้อำนวยการมูลนิธิฯ ได้เปิดเผยทิ้งท้ายถึงภารกิจหลักและผลงานที่ผ่านมาในการช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิฯ ไว้พอสังเขปดังนี้

“ภารกิจ และการทำงานของมูลนิธิฯ ที่ผ่านมาว่า โครงการสำคัญที่มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการสุนัขกู้ภัยแห่งชาติ ซึ่งเป็นระบบอาสาสมัครเปิด รับผู้ที่เป็นเจ้าของสุนัขและมีความสนใจและเต็มใจที่จะช่วยเหลือสังคมเข้ามาเป็นสมาชิก ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้นจำนวน 294 ราย และมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับ สมาชิก เช่น การอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น การบริหารจัดการเรื่องภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ หรือภัยอื่นๆ โดยทำการค้นหาผู้ประสบภัยหรือให้การช่วยเหลือ เบื้องต้น เช่น แผ่นดินไหว โคลนถล่ม ตึกถล่ม ก็จะมีชุดสุนัขกู้ภัยซึ่งเป็นอาสาสมัครเข้าปฏิบัติการ ณ จุดที่เกิดเหตุอย่างทันเวลา”

“อีกทั้ง มูลนิธิฯ ยังจัดโครงการฝึกสุนัขเพื่อให้มีทักษะและคุณสมบัติในการค้นหายาเสพติด ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) การพัฒนาศักยภาพของสุนัขทางการแพทย์ เช่น การใช้สุนัขเพื่อตรวจหาโรคมะเร็ง โครงการผลิตขาเทียมโดยช่างผู้พิการ และโครงการวิจัยและอนุรักษ์พันธุ์ช้างป่าเพื่อพัฒนาชุมชนไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์ช้าง ไทยอย่างยั่งยืน เป็นต้น”

ทั้งหมดทั้งมวลที่ลำดับมาตั้งแต่ต้น เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งที่ เอกบุรุษ ชายชาติ อาชาไนย อย่าง “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” สร้างคุณูปการทิ้งไว้ให้กับบ้านนี้เมืองนี้ และเป็นที่ประจักษ์ชัดผ่านคุณงามความดีแห่งตำนาน “Tomorrow Never Dies ฉบับการเมืองไทย

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์พิเศษ สก็อต ธอมป์สัน (Scott Thompson) ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ .

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสก็อต ธอมป์สัน (Professor Emeritus W. Scott Thompson) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคง ที่เคยมีผลงานในรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาแล้วมากมาย

ประวัติของ Scott Thompson

ศาสตราจารย์สก็อต ธอมป์สัน จบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด (โดยได้ทุน Rhodes Scholar) สาขาที่เชี่ยวชาญคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง การทหาร การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
ศาสตราจารย์สก็อต ธอมป์สัน เคยสอนวิชาการเมืองระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และสอนด้านกฎหมายและการทูตที่วิทยาลัยเฟลทเชอร์ มหาวิทยาลัยทัฟท์ เคยเป็นที่ปรึกษาให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ เขาเคยร่วมรัฐบาลเรแกน โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ระหว่างปี 1975-1976) และผู้ช่วยผู้อำนวยการของ US Information Agency ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ (ปัจจุบันหน่วยงานยุบรวมกับหน่วยงานอื่นแล้ว เขาดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1982-1984)

ผลงานภาคเอกชน ศ. สก็อต ธอมป์สัน เป็นประธานของบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศ Strategic Research Associates ในสายงานวิชาชีพ เขาเป็นสมาชิกของคลังสมองด้านนโยบายต่างประเทศที่มีชื่อเสียงคือ Council on Foreign Relations ของสหรัฐและ International Institute for Strategic Studies
ศาสตราจารย์สก็อต ธอมป์สัน มีความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพิเศษ ในอดีตเคยได้รับตำแหน่ง SEATO Fellowship และเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับประธานาธิบดีรามอสแห่งฟิลิปปินส์ กระทรวงการต่างประเทศของไทย และหน่วยงานภาครัฐบาลของอินโดนีเซีย สก็อต ธอมป์สัน กำลังจะมีผลงานหนังสือชีวประวัติของประธานาธิบดีรามอส ออกวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้
อ่านประวัติอย่างละเอียดของ Scott Thompson

ในโอกาสที่สก็อต ธอมป์สัน มาเยือนประเทศไทยรอบล่าสุด SIU มีโอกาสเข้าสัมภาษณ์ในหัวข้อที่เกี่ยวกับอาเซียน สถานการณ์การเมืองไทย และนโยบายด้านการต่างประเทศของไทย

Prof. Emeritus W. Scott Thompson
Prof. Emeritus W. Scott Thompson

บทสัมภาษณ์ Scott Thompson

ถาม: ในฐานะที่คุณมีความเชี่ยวชาญเรื่องประเทศไทยไม่น้อย มีมุมมองอย่างไรต่อสถานการณ์ในประเทศไทย

ตอบ: กรุงเทพฯ เปลี่ยนจากเดิมไปมากจนผมหลงทาง มาประเทศไทยรอบนี้ผมกำลังพยายามเรียนรู้สถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพใหม่อีกครั้ง

ปัญหาที่แย่ที่สุดของประเทศไทยในรอบ 15 ปีหลังคือการกระจายรายได้ โดยค่า Gini coefficient (ดัชนีวัดการกระจายรายได้ของประเทศ) เพิ่มขึ้น 20%

ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่พยากรณ์ได้ถ้าเศรษฐกิจของประเทศนั้นเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่โดยทั่วไปแล้ว ประเทศที่เผชิญปัญหาลักษณะนี้ จะมีแรงกดดันทางสังคมต่อความไม่เท่าเทียมของรายได้ให้กลับมาสู่ภาวะที่ไม่ตึงจนเกินไป เกิดเป็นวัฏจักรทางสังคม ซึ่งอธิบายได้ด้วยทฤษฎี Kondratiev cycle วัฎจักรแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาเช่นกัน

คำถามที่สำคัญของประเทศไทยก็คือ ทำไมแรงกดดันทางสังคมที่จะทำให้รายได้กลับมาเท่าเทียมเกิดขึ้นช้ามาก เดิมทีประเทศไทยไม่ได้มีค่า Gini แย่ขนาดนี้ ปรากฎการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีมาแล้วเท่านั้น
ผมเพิ่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศปากีสถาน ซึ่งมีค่า Gini ดีมาก แต่สาเหตุเกิดจากความบังเอิญ เพราะผู้นำชาติพันธ์ต่างๆ จำเป็นต้องกระจายความมั่งคั่งให้กับบริวารของพวกเขา เพื่อที่จะรักษาความเป็นผู้นำต่อไปได้

เพื่อนๆ ปัญญาชนของผมทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย ต่อต้านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ถ้าพิจารณาจากสถานะทางสังคมของพวกเขา และผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับ ก็เป็นธรรมชาติที่จะเข้าข้างฝ่ายเสื้อเหลือง คนกลุ่มที่ผมหมายถึงนี้เป็นปัญญาชนระดับสูงสุดของไทย ซึ่งจบการศึกษาปริญญาเอกจากอ๊อกซฟอร์ด เคมบริดจ์ ฮาร์วาร์ด

ดังนั้นปัญญาชนกลุ่มที่จะเห็นด้วยกับเสื้อแดง จึงเป็นปัญญาชนรุ่นใหม่ที่ปรับความคิดได้ง่ายกว่า นี่เป็นเรื่องของคนแต่ละรุ่น

ถาม: สาเหตุของการกระจุกตัวของรายได้ เกิดจากสภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ของประเทศไทย ที่มีลักษณะรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพหรือเปล่า

ตอบ: หนังสือที่อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างดีคือหนังสือของผาสุก พงษ์ไพจิตร ที่อธิบายว่าทำไมทุกอย่างในประเทศไทยถึงมารวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพ

ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ทุกประเทศในอาเซียนต้องเผชิญ ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้อาจเป็นการสร้างศูนย์อำนาจใหม่ขึ้นมาแข่งกับกรุงเทพ ตัวอย่างที่น่าสนใจของการกระจายอำนาจในอาเซียนคืออินโดนีเซีย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากนโยบายของอินโดนีเซียเอง อินโดนีเซียมีเมืองคู่แข่งด้านศูนย์อำนาจอย่าง “ยอกยาการ์ตา” (Yogyakarta) ซึ่งยังมีสุลต่านปกครอง มาแข่งกับจาการ์ตา (Jakarta) ทำให้นักการเมืองที่ต้องการอำนาจปกครองประเทศต้องแบ่งทรัพยากรมาสนับสนุนยอกยาการ์ตาด้วย

ตัวอย่างการกระจายความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจคือ ธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ทำลายพรมแดนระหว่างประเทศ และมองหาทรัพยากรจากต่างชาติ หรือที่ตั้งที่ตัวเองจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (competitive advantage) ได้มากที่สุด ซึ่งปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาอาจใช้วิธีนี้ ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเริ่มเกิดปรากฎการณ์ SME หันไปดำเนินธุรกิจที่เกาะอื่น และถ้าภาครัฐเปิดไฟเขียว ช่วยสนับสนุน ธุรกิจเหล่านี้จะออกไปเองโดยธรรมชาติ

ถาม: คุณค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่ามีมุมมองต่อสภาพสังคมของสองประเทศนี้อย่างไรบ้าง

ตอบ:  เพื่อนชาวฟิลิปปินส์เคยบอกกับผมว่า อินโดนีเซียมีอุดมการณ์ด้านชาตินิยมที่เข้มแข็งกว่ามาก เหตุผลก็เพราะในปี 1927 ในการประชุมสภาของพรรคชาตินิยมอินโดนีเซีย ได้เลือกภาษาของชนเผ่าเล็กๆ ที่มีรากมาจากภาษาตระกูลมาเลย์ที่พูดกันในแถบนั้น (หมายถึงภาษา Riau ซึ่งภายหลังถูกเรียกว่า Bahasa Indonesia – รายละเอียดดูใน Wikipedia) เป็นภาษาประจำชาติ แทนที่จะเป็นภาษาชวาซึ่งเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในขณะนั้น

กรณีของฟิลิปปินส์นั้นกลับกัน สมัยสร้างชาติฟิลิปปินส์ในฐานะประเทศอิสระ ผู้นำในยุคนั้นเลือกภาษา ฟิลิปิโน (Filipino) ซึ่งพูดโดยชาวตากาล็อก ประชากรกลุ่มหลักของประเทศเป็นภาษาประจำชาติ ผลก็คือประชากรเผ่าอื่นที่อาศัยอยู่ตอนใต้ของเกาะลูซอน (เกาะหลักของฟิลิปปินส์) และเกาะอื่นๆ ไม่ยอมพูดภาษานี้ ทำให้คนในชาติไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

การตัดสินใจของอินโดนีเซียถือเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชาญฉลาด และมองผลประโยชน์ระยะยาวเป็นสำคัญ ตอนนี้นโยบายนี้เริ่มจะเห็นผล ผมอายุมากแล้ว สิ่งที่ผมเห็นมาคือผลเสียของนโยบายแต่ละอย่างที่จะแสดงออกมาในระยะยาวหลายสิบปี นโยบายที่ดีจะเป็น “ตัวคูณ” ให้ประเทศได้ประโยชน์มากขึ้น

ถาม: นโยบายของสหรัฐอเมริกาต่ออาเซียนในขณะนี้เป็นอย่างไร และในอนาคตสหรัฐควรวางตัวอย่างไร ควรจะเข้ามาในอาเซียนมากขึ้นเพื่อถ่วงดุลกับจีนหรือเปล่า?

ตอบ: คำตอบของคำถามหลังสุดคือ “ไม่” เพราะอเมริกาไม่สามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับอาเซียนเพื่อถ่วงดุลจีนได้

ส่วนคำตอบของคำถามแรกต้องย้อนกลับไปที่รากเหง้าของอาเซียน อาเซียนเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลสหรัฐ ในกรณีที่สหรัฐจะต้องถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม ก่อนจะพัฒนาตัวมาเป็นองค์กรระหว่างประเทศอย่างแท้จริงในภายหลัง

ผมรู้สึกมหัศจรรย์มากที่อาเซียนมาได้ถึงขนาดนี้ ในการประชุม UN ครั้งหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ UN เคยให้ความเห็นกับผมว่า อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีมากกลุ่มหนึ่ง เป็นรองก็แต่กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเท่านั้น แต่นั่นก็เพราะสแกนดิเนเวียทำงานร่วมกันมานานมากแล้ว
ตอนนี้สหรัฐให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเรา (หมายถึงฮิลลารี คลินตัน) มาเยือนอาเซียนหลายครั้ง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศก็เข้ามามีบทบาทไม่น้อย

แต่ในภาพรวม นโยบายต่างประเทศของเราคือไม่ต้องการแข่งกับใคร โดยเฉพาะจีน ไม่ว่าภูมิภาคไหนในโลก ถ้าเลือกได้เราอยากจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมากกว่า เพราะเราไม่ต้องการเผชิญหน้ากับจีน อาเซียนอาจอยู่ใกล้กับจีนมากกว่า แต่เรามาอยู่ในอาเซียนนานกว่าจีน ผู้บริหารและปัญญาชนของไทยยังไปศึกษาต่อในสหรัฐมากกว่าจีนมาก

บทบาทและความท้าทายสำคัญของอาเซียนคือจะทำอย่างไรต่อสถานการณ์ในพม่า อาเซียนจะเป็นคำตอบที่สำคัญต่อพม่า

ถาม: ช่วงหลังมีข่าวว่าสหรัฐกลับมาให้เงินสนับสนุนใต้โครงการ US AID กับประเทศไทยแล้ว จากที่ว่างเว้นไปนาน นี่เป็นสัญญาณว่าสหรัฐกำลังกลับมามีอิทธิพลในไทยหรือเปล่า

ตอบ: สหรัฐจ่ายเงินสนับสนุนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่าน US AID ในยุค 1960-70s เพราะกังวลว่าประเทศไทยจะเป็น “โดมิโน” ตัวถัดไปในภูมิภาคนี้ นอกเหนือไปจากงบประมาณทางทหารที่สหรัฐช่วยสนับสนุนอยู่ในขณะนั้น

ตอนนั้นเศรษฐกิจไทยมีขนาดเพียงหมื่นล้านดอลลาร์ การให้เงินสนับสนุนหลักร้อยล้านดอลลาร์ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เยอะพอตัว แต่ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยมีขนาดใหญ่กว่าสมัยนั้นหลายเท่า การให้เงินช่วยเหลือจึงมีสัดส่วนน้อยมาก เป็นเรื่องเชิงสัญลักษณ์เสียมากกว่า

สหรัฐเรียนรู้ว่าการให้เงินสนับสนุนผ่านภาคพลเรือน หลายครั้งมีประสิทธิภาพดีกว่าให้ผ่านกองทัพ อย่างไรก็ตามวิธีการเลือกผู้รับเงินบางครั้งก็ไม่มีหลักการตายตัวมากนัก ขึ้นกับบุคคลากรของรัฐบาลในสมัยนั้นรู้จักใครเสียเยอะ

ถาม: ถามแทนคนไทยหลายๆ คนว่า ทำไมสหรัฐถึงใส่ใจพม่ามากขนาดนี้

ตอบ: (คิดไปครู่ใหญ่) มันเหมือนกับว่าเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นในพม่าได้ ถ้าเรากดดันรัฐบาลพม่ามากพอ

ถ้าให้เทียบ เราไม่สามารถกดดันรัฐบาลซาอุดีอาระเบียว่าปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรมได้ เพราะเป็นเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมที่ตกทอดมานาน การกดดันลักษณะนี้ไม่เกิดในทางปฏิบัติ (practical)
แต่กรณีของพม่า เรารู้สึกว่าเป็นประเทศที่เราสามารถกดดันได้ แต่สุดท้ายเราก็พบว่าข้อสันนิษฐานของเราผิด

เหตุผลหนึ่งที่สหรัฐเห็นว่าสามารถกดดันพม่าได้ ก็เพราะชัยชนะในการเลือกตั้งของอองซานซูจี ในปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับชัยชนะของขบวนการมวลชนในฟิลิปปินส์ (ที่สามารถขับไล่ประธานาธิบดีรามอสในปี 1986) ทำให้เรารู้สึกว่า น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะเดียวกัน เราน่าจะปลุกพม่าให้ตื่นขึ้นได้

บทเรียนสำคัญของเราคือเหล่านายพลในพม่าคือ พวกเขาไม่สนใจโลกภายนอกแม้แต่น้อย พวกเขามีแนวคิดในการบริหารพม่าของตัวเอง เราไม่สามารถคุยกับนายพลพม่าได้ เหล่านายพลของประเทศไทยก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จในการพูดคุยอย่างจริงใจกับนายพลของพม่า

ประธานาธิบดีรามอสของฟิลิปปินส์เคยเป็นนายทหารมาก่อน ตามหลักก็น่าจะเข้าใจทหารด้วยกัน แต่การไปเยือนพม่าของรามอสไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะนายทหารของพม่าไม่เปิดใจรับอะไรเลย
บางทีการแก้ปัญหาเรื่องพม่าอาจต้องเป็นเรื่องระยะยาวจริงๆ เพราะยังไงนายพลในรุ่นนี้ก็ย่อมแก่ตายไปสักวัน และรอคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน

มีหนังสือด้านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ของ Thomas Kuhn เล่มหนึ่งเขียนไว้ว่า สมัยก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน ถึงแม้โคเปอร์นิคัสจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกกลม คนในสมัยนั้นก็ยังเชื่อว่าโลกแบนอยู่นั่นเอง ไม่มีใครเปลี่ยนใจ แต่เมื่อคนรุ่นนี้ตายไป คนรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาแทนถึงค่อยเชื่อว่าโลกกลม

ถาม: สาขาที่คุณเชี่ยวชาญอีกด้านคือการต่อต้านการคอร์รัปชัน คุณมีประสบการณ์อย่างไรบ้าง

ตอบ: ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญมาก ในฟิลิปปินส์มีโครงการตรวจสอบนักการเมือง โดยเทียบจำนวนทรัพย์สินที่แจ้งต่อสาธารณะ ต่อทรัพย์สินจริงที่ปรากฏ เช่น แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 20 ล้านบาท แต่ภาพถ่ายรถยนต์ในบ้านของนักการเมืองคนนี้พบว่ามีราคารวมกันเกิน 50 ล้านบาท ในฟิลิปปินส์ทำสำเร็จมาแล้ว
วิกิลีกส์เป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ ตอนนี้ถือว่าสายเกินไปแล้วที่รัฐบาลสหรัฐจะดำเนินการใดๆ กับข้อมูลที่รั่วออกมาในวิกิลีกส์ เมื่อคนรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เราไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ความรู้เป็นสิ่งถาวร สมมติว่าประเทศไหนสักแห่งสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จแล้ว เราจะไปเรียกคืนความรู้ในการสร้างนิวเคลียร์ก็คงเป็นไปไม่ได้

หลักการของการต่อต้านการคอร์รัปชันคือ เราไม่สามารถทำให้ทุกอย่างโปร่งใสได้ แต่ความท้าทายคือเราจะทำให้ข้อมูลโปร่งใสได้มากแค่ไหน

ข้อตกลงหลายๆ อย่างยังต้องทำในที่ลับ (backroom) แต่มันจะดีกว่าถ้าเราสามารถนำข้อตกลงเหล่านี้มาทำในที่แจ้ง (frontroom) ให้มากที่สุด เราต้องสร้าง front room ให้ใหญ่ๆ เท่าที่เป็นไปได้
สถานการณ์ด้านคอร์รัปชันของประเทศอาเซียน ในภาพรวมถือว่าดีกว่าในอดีตมาก ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนปัจจุบัน (หมายถึงซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน) มีความเป็นมืออาชีพ และที่สำคัญคือไม่รับเงินใต้โต๊ะ

ผมไม่ได้บอกว่าปัญหาคอร์รัปชันหายไปหมด พวกนี้ต้องใช้เวลา แต่ในอดีตคุณสามารถขนเงินสดเป็นกระเป๋าเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีได้ ตอนนี้คุณทำไม่ได้แล้ว ในฟิลิปปินส์ อดีตประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดา เคยขนเงินสดๆ จากคาสิโนเข้าไปทำเนียบ เพื่อจ่ายให้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่เขาต้องการการสนับสนุน



 
 
 
ดร. พรชัย มงคลวนิช (ที่สองจากซ้าย) ถ่ายภาพร่วมกับ Scott Thompson และทีมงาน SIU

หมายเหตุ: SIU ขอขอบคุณ ดร. พรชัย มงคลวนิช อธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม และ อ. เอกชัย ไชยนุวัติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ และอำนวยความสะดวกในการเข้าสัมภาษณ์ Prof. Scott Thompson ระหว่างที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// 

ขายยาก

โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
เห็นอาการของวุฒิสภาตอนประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ "กฎหมายลูก" 3 ฉบับ ก็นึกว่าจะมีการยื้อการดึงเอาไว้ แต่สุดท้ายทั้ง 3 ฉบับก็ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาเรียบร้อย

รอส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาว่าจะมีบทบัญญัติขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากไม่มีปัญหานายกฯนำทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

หลังจากนั้นนายกฯคงจะทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกายุบสภา รอการโปรดเกล้าฯต่อไป

ที่ถามกันมาตลอดว่า ตกลงจะมีเลือกตั้งหรือเปล่า เพราะเกิดสถานการณ์หวิวๆ ขึ้นหลายรอบหลายระลอกเหลือเกิน

ตอนนี้ก็ดูจะเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 พรรคการเมืองคู่แค้น คือ ประชาธิปัตย์ กับเพื่อไทย เป็นมวยคู่เอก
นอกนั้นเป็นการต่อสู้ของพรรคอันดับรองๆ ลงไป ตั้งแต่ ภูมิใจไทย ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ และอาจจะมีพรรคใหม่ๆ งอกขึ้นตามสถานการณ์อีก 2-3 พรรค

สำหรับพรรคใหญ่ 2 พรรค กว่าจะรอดมาถึงสังเวียนเลือกตั้งได้ อยู่ในสภาพสะบักสะบอม

พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะเป็นแกนนำรัฐบาล แต่ผลงานที่ผ่านมายังอวดอ้างได้ไม่เต็มปาก

การแก้ไขปัญหาปากท้องยังไม่เข้าตา ทั้งน้ำมันปาล์ม สินค้าราคาแพง การช่วยเหลือน้ำท่วม ตั้งแต่ภาคกลาง อีสาน ไปจนถึงภาคใต้

กรรมการพยายามกดคะแนนให้แล้ว ยังร่อแร่

ส่วนพรรคเพื่อไทย ตอนแรกทำท่ามาแรง กี่โพลๆ คะแนนนำลิ่ว

พักเดียวงานเข้า เจอมรสุมเข้าไป 3-4 ลูกติดๆ ทำเอาระส่ำระสายไปเหมือนกัน

พรรคระดับนี้ต้องเสนอคนเป็นนายกฯ แต่ควานแล้วควานอีก ไม่มีใครเอา

ทั้งโดนบล็อคบ้าง "กลัว" บ้าง

ตอนนี้ไปดึงเอา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดินมา

เริ่มมีเสียงเรียก "นายกฯประชา" ยังไม่รู้ว่าสักพักจะเจออะไรอีก

สถานการณ์ของ 2 พรรคใหญ่เป็นแบบนี้ ทำให้พรรครองๆ ฝันถึง "ส้มหล่น" ได้เหมือนกัน

คำว่ารองๆ อาจฟังดูไม่สำคัญ แต่ที่จริงสำคัญเอาเรื่องอยู่

เพราะถ้า 2 พรรคใหญ่ ไม่ได้เสียงเกินครึ่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ ก็จะต้องหันมาใช้บริการพรรคอันดับรองๆ เหล่านี้ ตั้ง "รัฐบาลผสม"แต่สำหรับพรรคใหญ่ รัฐบาลผสมเที่ยวนี้จะไม่ง่ายอีกแล้ว

ถ้าเพื่อไทยเข้าป้ายก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ปชป.เข้าก็เป็นอีกปัญหา

นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าพรรคร่วมรัฐบาลเขาบ่นว่ายังไง

ถ้าจะต้องร่วมงานกันอีก อาจจะเกิดเงื่อนไขเรื่องตัวนายกฯขึ้นมาให้ผู้จัดการรัฐบาลได้ปวดหัวเล่นอีกก็ได้

เลือกตั้งครั้งนี้ จึงต้องเตรียม "นโยบาย" ไว้ขาย ไว้โฆษณาหาเสียงให้มากๆ เข้าไว้

เพราะ "ตัวบุคคล" มีแนวโน้ม "ขายยาก"


//////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

กมธ.ตปท.มีมติ 8 ข้อกรณีไทย-เขมร จี้หยุดเหตุปะทะ นำสู่กรอบเจรจาทวิภาคี

มีการประชุมคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ. มีวาระสำคัญคือการหารือกรณีเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาบริเวณชายแดน ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก รองผู้ว่าราชการ จ.สุรินทร์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กรมกิจการชายแดนทหาร กรมยุทธการทหาร กรมการข่าวทหารบก รองเลขาธิการสภาความมั่นคง

นายต่อพงศ์แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาศึกษาและได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ กมธ.จึงได้มีมติ ต่อสถานการณ์ 8 ข้อ

1.อยากให้สถานการณ์ทั้งสองประเทศอยู่ในกรอบการเจรจา อย่าได้บานปลายไปสู่การปะทะกัน โดยการเจรจาอยากให้อยู่ในวงการเจรจาของทวิภาคี

2.ยุติความรุนแรงและอย่าได้ยกระดับไปสู่การปะทะกัน

3.กมธ.ไม่เห็นด้วยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะประกาศสงคราม เพราะสงครามไม่ได้เป็นการยุติปัญหา

4.กมธ.ไม่เห็นด้วยตามกระแสข่าวลือว่าจะประกาศกฎอัยการศึกมาถึงพื้นที่กรุงเทพฯ

5.ขอให้ทหารใช้ยุทธศาสตร์กองกำลังด้วยความระมัดระวังในการปฏิบัติการ ซึ่งขณะนี้ทหารฝ่ายตรงข้ามมีการใช้อาวุธในขีดความสามารถที่ขยายความรุนแรงทำลายล้างสูง ทหารโดยกองทัพจะต้องระมัดระวัง โดยเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ต้องเป็นทหารไม่ใช่พลเรือน ขณะนี้มีการละเมิดจากฝ่ายตรงข้าม ขอให้ประชาชนระมัดระวัง

6.กมธ.ไม่เห็นด้วยกับทุกฝ่ายไม่ว่า ฝ่ายการเมืองและฝ่ายปฎิบัติการ ที่จะยั่วยุให้เกิดความแตกแยก

7.ให้สื่อมวลชนระมัดระวังในการตั้งคำถามที่จะนำไปสู่การยั่วยุและความแตกแยก และ

8.ขอส่งความห่วงใยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่างๆ จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ โดย กมธ.จะมีมติเพิ่มเติมหลังจากลงพื้นที่จริง รวมถึงส่งความห่วงใยถึงทหารที่ปฏิบัติงานด้วย

"ที่ประชุมเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามขยายผลเพื่อให้มีอำนาจต่อรองโดยใช้ทุกวิถีทางทำให้การเจรจากับไทยไปสู่รูปแบบพหุภาคี โดยเฉพาะขยายไปถึงยูเอ็นเอสซี ซึ่งฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเข้าสู่การเจรจาในกรอบทวิภาคี เพราะเขาจะมีอำนาจในการต่อรองเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตัวประธาน ยูเอ็นเอสซี เป็นประเทศฝรั่งเศสซึ่งก็ทราบดีว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา ซึ่งการเป็นประธานก็สามารถชี้นำได้ ดังนั้น ไทยก็ควรจะหาพันธมิตรด้วย โดยเฉพาะประเทศจีนก็ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในภูมิภาค" นายต่อพงษ์กล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จรัล ดิษฐาอภิชัย เปิดใจจากต่างแดน การเมืองไทยยังไม่มีใครรู้ตอนจบ !!?

จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำเสื้อแดง

เปิดใจจากต่างแดน"จรัล ดิษฐาอภิชัย"การเมืองไทยยังไม่มีใครรู้ตอนจบ! ลั่นการต่อสู้ประชาธิปไตยรอบนี้ยากเย็น แสนเข็ญ และยาวนาน

No one knows the end คือคำตอบของ จรัล ดิษฐาอภิชัย เมื่อถามเขาว่าตอนจบของการเมืองไทยจะเป็นเช่นไร ในฐานะที่ จรัล คือหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งเขาขอไม่เปิดเผยชื่อเมืองที่พำนักอยู่

ชื่อของ จรัล ห่างหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เขาเดินทางออกนอกประเทศอย่างเงียบๆ ภายหลังเหตุรุนแรงทางการเมืองจากการชุมนุมของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 โดยมีคดีพ่วงท้ายพร้อมหมายจับ 2 คดี คือคดีนำมวลชนบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์สมัยที่ยังเป็นแกนนำ นปก.หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ และคดีชุมนุมมั่วสุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อครั้งที่เป็นแกนนำ นปช.เมื่อปีที่แล้ว

แต่เขายืนยันว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่ยอมกลับเมืองไทย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาในฐานะ “แกนนำคนเสื้อแดง” รวมถึงความเชื่อที่ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นกลางปีนี้จะไม่ทำให้บรรยากาศความสับสนอลหม่านในบ้านเมืองหมดไป และที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยเที่ยวนี้จะจบลงเช่นไร!

“ผมไม่กลับเพราะผมไม่อยากมอบตัว การมอบตัวเหมือนกับเรายอมจำนน” จรัล บอก และว่า “ผมคงต้องรอดูก่อนว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วสถานการณ์เป็นอย่างไร ถ้าประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ผมก็คงอยู่ต่างประเทศต่อ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ผมก็อาจจะกลับไป”

ในฐานะอดีตคนเดือนตุลาฯ และแกนนำคนเสื้อแดงที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐมาเกือบทั้งชีวิต จรัลประเมินสวนทางกับหลายคนในประเทศไทยและคนไทยในต่างประเทศที่เชื่อกันว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น แต่จะมีทหารขับรถถังออกมาแทน

“ผมเชื่อว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ค่อนข้างแน่นอน เพราะเป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายปกครองที่จะครองอำนาจต่ออย่างนุ่มนวลที่สุด ถามว่าคุณจะรัฐประหารอีกหรือ จะซ้ำอีกหรือ ปีที่แล้วคุณก็เพิ่งปราบปรามคนเสื้อแดงไป ปีนี้คุณจะยึดอำนาจอีก ผมยังไม่ค่อยเชื่อว่าจะกล้าทำกันขนาดนั้น”

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในความเห็นของจรัล แต่เขาก็มองข้ามช็อตไปว่า กระบวนการเลือกตั้งจะมีปัญหาใหญ่ตามมา 3 ประการ คือ

1.ถูกตั้งคำถามว่าการเลือกตั้งมีความเสรีและยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่าไม่น่าจะมี

2.ถ้าผลของการเลือกตั้งออกมาว่าพรรคเพื่อไทยได้เสียงมากที่สุดจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าหากไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ก็ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หากได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาดก็มีโอกาสตั้งได้

3.แม้พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลได้ จะอยู่ได้นานหรือไม่ ซึ่งก็คาดการณ์ได้เช่นกันว่าคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะจะมีแรงต่อต้านทุกรูปแบบตามมา

เขายังตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ ว่า น่าแปลกที่มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่คิดว่าจะมีการรัฐประหารในเร็ววันนี้ ขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองพยายามให้มีการรัฐประหาร เพราะมีข้อเรียกร้องให้ปิดเทอมทางการเมือง 2 ปี และล่าสุดคือให้ปิดประเทศ 5 ปี

“แต่ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนั้นได้” เขาสรุป พร้อมขยายความต่อ “จริงๆ แล้วในกองทัพก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ ผมเพิ่งสไกป์คุยกับทหารที่เป็นพรรคพวกกัน เขาบอกว่าตอนนี้ข่าวรัฐประหารซาลงแล้ว ที่สำคัญเขาจะทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ทำไม เนื่องจากตอนนี้ทหารมีอำนาจเหนือรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว”

ส่วนความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในต่างประเทศนั้น จรัลในฐานะที่เดินทางไปพบปะคนไทยในต่างแดนทั้งยุโรปและอเมริกา บอกว่า กระแสเสื้อแดงมีสูงมาก ขณะที่ฝ่ายเสื้อเหลือง ลองดูที่สะพานมัฆวานก็จะรู้ว่ากระแสเป็นอย่างไร แต่กระนั้นก็ไม่ได้ประมาทพลังของกลุ่มเสื้อเหลือง เนื่องจากถ้าไม่มีพลังคงถูกคุณสุเทพ กับ คุณเนวินจัดการไปนานแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในสายตาของจรัล กระแสของคนเสื้อแดงในระยะหลังมาแรงกว่าเสื้อเหลืองมากทั้งในและต่างประเทศ ทว่าการขยายแนวร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ด้วยการดึงนานาชาติให้ร่วมกันกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพ ที่เขาใช้คอนเนคชั่นสมัยเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนอยู่ กลับเป็นเรื่องยากและเป็นประเด็นที่เขากังวล เพราะที่ผ่านมามีปัญหาในระดับโลกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในลิเบีย หรือแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ทำให้ประเด็นการเมืองไทยหลุดจากข่าวต่างประเทศไป

“คำถามที่คนสนใจมากที่สุดคือปัญหาการเมืองไทยจะจบลงอย่างไร ซึ่งผมก็ตอบตรงๆ ว่าไม่มีใครรู้... No one knows the end”

จรัล อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติอันหนักหนาสาหัสถึง 3 วิกฤติใหญ่พร้อมๆ กัน คือ 1.วิกฤติการเมืองว่าด้วยการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งมีกลุ่มคนชั้นสูงและคนชั้นกลางจำนวนหนึ่งไม่เชื่อว่าประชาชนสามารถปกครองตนเองได้จริง 2.วิกฤติทางสังคมที่ผู้คนขัดแย้งแตกแยกกันลงลึกถึงระดับครอบครัว และ 3.วิกฤติความยุติธรรม ซึ่งคนเสื้อแดงใช้คำว่า “สองมาตรฐาน”

“ที่สำคัญเราไม่มีผู้ใหญ่ที่จะเป็นคนกลางเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นกลางและได้รับการยอมรับจริงๆ ไม่มีอีกแล้วในประเทศไทย ฉะนั้นวิกฤติครั้งนี้จึงไม่มีทางออก”

แต่ถึงที่สุดแล้วทุกวิกฤติย่อมมีจุดจบเสมอ และจรัลก็เชื่อเช่นนั้น โดยเขาเห็นว่ามีเพียง 2 แนวทางที่จะนำพาประเทศออกจากวิกฤติเที่ยวนี้ คือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเด็ดขาด หรือไม่ก็เปิดการเจรจาปรองดองแห่งชาติ

“ผมเสนอ 3 ข้อเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ 1.ต้องตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงจากความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการชุดของ ดร.คณิต ณ นคร ยังไม่เป็นกลางเพียงพอ2.ต้องนิรโทษกรรมให้กับทุกสี ทุกฝ่าย รวมทั้งทหาร แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจบ และ 3.ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงๆ”

อย่างไรก็ตาม จรัลออกตัวว่า ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อสำเร็จยาก เพราะแม้แต่คนเสื้อแดงด้วยกันก็ยังไม่เห็นด้วยกับเขาในบางข้อ โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยรอบนี้จึงยากเย็น แสนเข็ญ และยาวนาน

ส่วนข้อกล่าวหาที่สาดใส่คนเสื้อแดง ทั้งล้มเจ้าและต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น จรัล ปฏิเสธที่จะอธิบายในรายละเอียด โดยเขาบอกเพียงว่า...ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะขบวนการเสื้อแดงโตขึ้นทุกวัน ฉะนั้นด่าได้ด่าไป!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////