ผู้หญิงในสนามการเมือง มักถูกเปรียบเป็นไม้ประดับ
ผู้หญิงที่อยู่ในวงล้อมของผู้มีอำนาจ มักถูกโจมตีเรื่องชู้สาว
"สดศรี สัตยธรรม" ต้องพัวพันกับนักเลือกตั้งทั้งหญิง-ชาย
เธอเคยบอกว่า เป็นกรรมการตัดสินยุคนี้ลำบาก ต้องกลืนเลือด กลืนน้ำตา ขาข้างหนึ่งอยู่ในตะราง
ในยุคที่สังคมยังแตกแยก ในวาระ วันสตรีสากล "สดศรี" ส่งสัญญาณกระเทือนทั้งกระดานอำนาจด้วยคีย์เวิร์ด "คิดว่าถ้าปฏิวัติได้ปฏิวัติเลย ไม่อยากให้มีเลือกตั้งเพราะเหนื่อยมาก"
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเธอ ผู้หญิงที่ใช้สมอง-เหตุผล มองการเมือง
- การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีแรงกดดันจากสถานการณ์ชุมนุมหรือไม่
ตราบใดที่ยังมีม็อบอย่างนี้ การหาเสียงของแต่ละฝ่ายก็คงมีปัญหา เช่น ประชาธิปัตย์จะไปหาเสียงทางภาคอีสานก็คงไม่ปลอดภัย หรือพรรคเพื่อไทยไปภาคใต้ก็คงไม่สะดวก แม้เขียนกฎหมายห้าม แต่หากไม่มีกลไกดูแล มี กกต.แค่ 2,000 กว่าคน ไม่มีมือไม้ ทหาร ตำรวจ หากเกิดเหตุรุนแรง กกต.จะจัดการยังไง หรือควรมีกฎหมายพิเศษให้ กกต.หรือไม่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
- วิเคราะห์แนวโน้มหลังเลือกตั้ง รัฐบาลพรรคเดียวเป็นไปได้แค่ไหน
พรรคการเมืองระดับใหญ่มีการสำรวจฐานเสียงเขา ทราบมาว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นพรรคเพื่อไทย สำหรับภาคใต้ก็เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นลักษณะแบบนี้เหมือนประเทศไทยแบ่งเป็น 3 ส่วน แน่นอนที่สุดคิดว่าเป็นรัฐบาลผสม
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการคุมคะแนนเสียงไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งคงเป็นลักษณะเดียวกันกับของเก่าหลายพรรคด้วยกัน...พวกท่าน (นักการเมือง) ทำเพื่อบ้านเมืองหรือเปล่า พูดเรื่องอุดมการณ์กันหรือเปล่า ถ้าทำเพื่อประเทศชาติก็ไปได้ด้วยดี
- รัฐธรรมนูญใหม่เปิดช่องให้พรรคไหนได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุดมีสิทธิชิงตั้งรัฐบาล
ไม่เห็นด้วยที่จะเอาปาร์ตี้ลิสต์มาชี้วัด การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุด แต่จำนวน ส.ส.เขตได้มาน้อย เราก็คงจะต้องดูว่าประชาชนเลือก ส.ส.พรรคไหนมากที่สุด สมควรเป็นตัวนำตั้งรัฐบาลหรือไม่ ส่วนปาร์ตี้ลิสต์เป็นระบบที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงลงไปหาเสียงเหมือน ส.ส.ลงเลือกตั้งเขต ที่เข้าใจประชาชนมากกว่าปาร์ตี้ลิสต์ ที่มาจากนายทุน มีเงิน มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์ก็ได้แล้ว
ส.ส.ที่แท้จริงคือผู้ที่ไปสัมผัสกับประชาชน ท่านจะได้ไปรู้ความทุกข์สุขของประชาชนมากกว่าอาศัยคะแนนเสียงจากปาร์ตี้ลิสต์แล้วได้เป็น
- การแจกใบแดงมีผลต่อตัวเลข ส.ส.และการจัดตั้งรัฐบาล
หลังเลือกตั้งภายใน 30 วัน กกต.มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดง มีผลต่อการตั้งรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่แล้วการสอบสวนจะทำไม่ทัน จึงต้องประกาศไปก่อนแล้วสอยทีหลัง เพราะสภาต้องเปิดหลังการเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน ฉะนั้นต้องเร่งระยะเวลานั้นให้เร็วที่สุด ต้องถามฝ่ายสืบสวนสอบสวนว่าไหวไหม ส่วนใหญ่แล้วไม่ทัน เว้นแต่จับได้คาหนังคาเขา แน่นอนว่าโดนใบแดงหรือใบเหลืองเลยเป็นอำนาจ กกต. ไม่ต้องส่งขึ้นศาล
- กกต.มักถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่ว่า กกต.หรือศาลวินิจฉัยอะไร ก็ต้องมีคนแพ้กับคนชนะ ซึ่งคนชนะก็จะชื่นชมว่ายุติธรรม ส่วนคนแพ้ก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรม และเชื่อว่าคนตัดสินได้รับเงินรับทองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นของธรรมดา แต่ไม่เป็นธรรมกับผู้ตัดสิน กกต.โดนว่าตลอดเวลา
ตราบใดไม่ยอมรับกติกา เหมือนลงสนามแล้วไม่นับถือกรรมการ แทนที่กรรมการจะเป็นผู้ให้ใบแดงแต่กรรมการ กลับโดนใบแดงเสียเอง ไม่ให้ตัดสินแล้วการเลือกตั้งจะอยู่ได้ยังไง สังคมจะอยู่ได้ยังไง ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ก็ต้องอยู่กันแบบเผด็จการ แล้วขณะนี้ กกต.ไม่ได้ตัดสินคนเดียว เพราะหลังเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน กกต.ต้องส่งไปให้ศาล ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาด่านสุดท้าย
- ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่
ตราบใดถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้บ้านเมืองภายในสงบ และมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ การเลือกตั้งก็ไม่อาจเป็นยารักษาโรคได้ แต่อาจจะทำให้เป็นแผลพุพองมากขึ้นด้วยซ้ำ รัฐบาลต้องแก้ทั้งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนและม็อบภายในประเทศ รวมถึงศึกสงคราม
- ประเด็นการยุบพรรคจะเป็นเงื่อนไขในการจัดโครงสร้างอำนาจ
ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต. เพราะมีการร้องขึ้นมาว่า คนในพรรคเพื่อไทยเข้าไปอยู่ในกลุ่มม็อบ ทั้งม็อบ นปช. และคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ ทำให้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ จะเป็นเหตุยุบพรรคตามมาตรา 94 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูเพราะต่างฝ่ายต่างร้องเข้ามา
- ฝ่ายหนึ่งมักจะระบุว่าถูกปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐาน
ตอนนี้โดนทั้ง 2 พรรค ต่างฝ่ายต่างก็ร้อง...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องพิจารณาให้มีบรรทัดฐาน การที่นักการเมืองจะ อยู่ในม็อบได้หรือไม่หรือจะเข้าไปสนับสนุน ม็อบได้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าต้องขึ้นศาลไหม หรือว่าจะให้อยู่ในชั้น กกต.ก็พอ
- คิดว่าผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นไหม
ไม่ว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นก็มีนายก อบต. หรือนายก อบจ.เป็นผู้หญิงก็เยอะ หรือระดับชาติก็มี ส.ส.หญิง รัฐมนตรีหญิง แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสนใจการเมืองมาก ลบแนวความคิดเก่า ๆ ว่าการเมืองเป็นเรื่องผู้ชาย โดยเฉพาะลูกสาวของนักการเมืองจะสนใจการ เมืองมากกว่าลูกชายอาจเป็นเพราะการศึกษาสมัยใหม่
- ความเป็นผู้หญิงมีข้ออ่อนถูกโจมตีได้ง่ายหรือไม่
สิ่งที่จะถูกโจมตีคือเรื่องชู้สาว เรื่องทางเพศ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีผู้หญิงเกินไป สังคมไทยมักเอาเรื่องเหล่านี้มาปนกับเรื่องความสำเร็จทางการงาน บางคนกล่าวหาคนอื่นว่าได้เป็นปลัด เป็นอธิบดีเพราะไต่เต้า ถ้าให้ความเป็นธรรมกับผู้หญิง และเปิดโอกาสให้ทำงานบ้านเมืองก็จะดี
ข้อได้เปรียบของผู้หญิง คือ เรื่องคอร์รัปชั่นมีน้อยมาก อาจเพราะเป็นเพศที่ใจไม่ถึงในเรื่องนี้ ผู้หญิงที่มาถึงจุดนี้มีความพร้อมอยู่แล้วทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษา
ในอนาคตเราอาจจะมีผู้หญิง เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ขณะนี้มีรัฐมนตรีหญิง แต่ก็ถูกโจมตีว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ซึ่งไม่จริง บางครั้งโดนเทคนิคทางการเมืองไม่ให้โอกาสเขาทำงานก็มี
- ในอดีตท่านถูกมองว่าเข้าข้าง คมช. ถูกโจมตีทั้งตัวท่านและลูกสาว
คนที่ไม่ได้ถูกใส่ร้ายป้ายสีคงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อตัวเองตกอยู่ในฐานะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหญิงหรือชายก็ทนไม่ได้ เพราะลูกเราทำผิดอะไร ทำไมถึงเอามาเกี่ยวข้อง
ที่จริงไม่ได้เข้าข้าง คมช. แต่ในอดีตคงมีเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจ การปฏิวัติครั้งนั้นประชาชนให้ดอกไม้ ไม่ได้ลุกฮือเหมือนในปัจจุบันที่ต่อต้านการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามถ้าปฏิวัติเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มีการฆ่าแกงประชาชน ไม่ว่าจะทำโดยทหารกลุ่มไหน เราก็ไม่เห็นด้วยแน่นอน
ส่วน กกต.จริง ๆ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เขาลากไปว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เมือง เมื่อโจมตีแม่ไม่ได้ก็ไปโจมตีลูก
หลายครั้งเราคิดว่ามาทำกับเราคนเดียวดีกว่า ทุกคนก็รักลูกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนร่ำรวย คนจน ผู้ดี หรือไพร่ แล้วสิ่งที่เราทำมันผิดไหม
ตอนเป็นผู้พิพากษาไม่เคยมีใครมา ยุ่งโจมตีกับลูกสาว แต่พอมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เหมือนเขาทำอะไรแม่ไม่ได้ก็มาทำกับลูก ซึ่งเรามีลูกอยู่คนเดียวและเป็นผู้พิพากษาด้วย คิดว่าการชกควรจะชกตัวต่อตัว อย่าไปเอาคนอื่นมายุ่ง มันไม่แฟร์ ต่อไปข้างหน้า ผู้หญิงที่ลงการเมืองต้องไม่มีลูก ไม่แต่งงาน ต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554
จำลอง..ยัน ไม่ช้าก็เร็วจะกลับมาที่เดิม
เมื่อเวลาประมาณ 05.20 น. ตำรวจเคลื่อนขบวน เข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งสู่กองทัพธรรมสันติอโศก จากนั้นได้จัดการบุกพื้นที่ชุมนุม เพื่อเอาพื้นที่คืน โดยให้เหตุผลว่า ขอทางเข้าเพื่อให้ข้าราชการเข้าไปทำงานในทำเนียบฯได้ ด้านจำลอง บอก เป็นตามคาด ยันจะกลับไปที่เดิม
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เปิดการถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 04.30 น. มวลชนคนไทยหัวใจรักชาติ ตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมรับมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลา 05.00 น. ตำรวจเริ่มจัดแถว ด้านพันธมิตรฯก็จัดแถวเรียกความกระฉับกระเฉง ด้วยการเต้นแอโรบิค
เวลา 05.17 น. พิธีกรรายงานว่า มีตำรวจเดินขบวนเข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ ผ่านรั้วกองทัพธรรมสันติอโศก คาดมุ่งสู่เวทีพันธิมตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ฝากพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน องค์กรต่างๆที่เคยประสานงานกันไว้ ขอให้ดำเนินการตามแผนที่เคยตกลงกันได้เลย
เวลา 05.20 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวที กล่าวว่าพี่น้องครับ เราอย่าตื่นตกใจ เป็นไปตามที่เราคาดไว้ทุกประการ ใจเย็น ๆ นั่งฟังคำปราศรัยต่อไป ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ ตำรวจไล่เรา แต่คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ช้าก็เร็วเรายืนยันจะกลับมาที่เดิม ให้มันรู้ไปว่าเราจะกลับที่เดิมไม่ได้เพราะที่นี่คือดินแดนไทย พี่น้องที่อยู่ที่บ้านหรือกำลังดูโทรทัศน์อยู่ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเรา พันธมิตรฯที่นี่รับมือได้ ยังไม่ต้องออกมาตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้เป่านกหวีดแค่คลอๆ หากรัฐบาลเป่าเมื่อไรเราค่อยออกมาให้เต็มแผ่นดิน
เวลา 06.12 น. พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่กำลังใช้รถยกแท่งคอนกรีตวางเป็นแนว ไม่เป็นไรนั่นเป็นเรื่องของเขา หากเราจะเอาพื้นที่คืนเราใช้คนยกเอาก็ได้ บอกพี่น้องอีกครั้ง ยังเป็นไปตามปกติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตามปกติ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้หมด เราชนะแน่ ไม่ต้องไปสนใจตำรวจเขาทำของเขาแค่นั้นเรารู้ ตามที่คาดการณ์ไว้ เราติดตามเวที ฟังเพลงไปเรื่อยๆตามหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนที่ตำรวจอ้างว่าเปิดทางเพื่อเข้าทำเนียบฯ แล้วทำไมตรงนี้ที่สะพานมัฆวาน ทำไมไม่มาเปิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เปิดการถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 04.30 น. มวลชนคนไทยหัวใจรักชาติ ตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมรับมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลา 05.00 น. ตำรวจเริ่มจัดแถว ด้านพันธมิตรฯก็จัดแถวเรียกความกระฉับกระเฉง ด้วยการเต้นแอโรบิค
เวลา 05.17 น. พิธีกรรายงานว่า มีตำรวจเดินขบวนเข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ ผ่านรั้วกองทัพธรรมสันติอโศก คาดมุ่งสู่เวทีพันธิมตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ฝากพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน องค์กรต่างๆที่เคยประสานงานกันไว้ ขอให้ดำเนินการตามแผนที่เคยตกลงกันได้เลย
เวลา 05.20 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวที กล่าวว่าพี่น้องครับ เราอย่าตื่นตกใจ เป็นไปตามที่เราคาดไว้ทุกประการ ใจเย็น ๆ นั่งฟังคำปราศรัยต่อไป ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ ตำรวจไล่เรา แต่คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ช้าก็เร็วเรายืนยันจะกลับมาที่เดิม ให้มันรู้ไปว่าเราจะกลับที่เดิมไม่ได้เพราะที่นี่คือดินแดนไทย พี่น้องที่อยู่ที่บ้านหรือกำลังดูโทรทัศน์อยู่ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเรา พันธมิตรฯที่นี่รับมือได้ ยังไม่ต้องออกมาตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้เป่านกหวีดแค่คลอๆ หากรัฐบาลเป่าเมื่อไรเราค่อยออกมาให้เต็มแผ่นดิน
เวลา 06.12 น. พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่กำลังใช้รถยกแท่งคอนกรีตวางเป็นแนว ไม่เป็นไรนั่นเป็นเรื่องของเขา หากเราจะเอาพื้นที่คืนเราใช้คนยกเอาก็ได้ บอกพี่น้องอีกครั้ง ยังเป็นไปตามปกติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตามปกติ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้หมด เราชนะแน่ ไม่ต้องไปสนใจตำรวจเขาทำของเขาแค่นั้นเรารู้ ตามที่คาดการณ์ไว้ เราติดตามเวที ฟังเพลงไปเรื่อยๆตามหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนที่ตำรวจอ้างว่าเปิดทางเพื่อเข้าทำเนียบฯ แล้วทำไมตรงนี้ที่สะพานมัฆวาน ทำไมไม่มาเปิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554
รำลึกบ่อนไก่-พระราม 4: (2): เสี้ยวส่วนของชีวิตชุมชนบ่อนไก่
อาสาสาสมัครศูนย์ข้อมูลประชาชนฯ (ศปช.)
หลังจากรัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่ราชประสงค์ ทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมสถานที่ชุมนุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 จึงเป็นพื้นที่สำคัญของการต่อสู้ เริ่มด้วยในตอนสาย ทหารเข้ายึดพื้นที่แยกวิทยุและบริเวณใกล้เคียง และปิดการจราจร ต่อจากนั้น ราวเที่ยงวัน สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทหารติดอาวุธเข้าผลักดันและปะทะกับผู้ชุมนุม บนถนนพระราม 4 มาทางบ่อนไก่ พร้อมส่งหน่วยสไนเปอร์ไปอยู่ตามอาคารต่างๆ

ทหารเคลื่อนกำลังตามแนวถนนพระราม 4 มุ่งหน้าบ่อนไก่

ทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง ขณะเข้า “กระชับพื้นที่” (Photo by Paula Bronstein/Getty Images)


ประชาชนที่ถูกจับบริเวณสนามมวยลุมพินี (Photo by Athit Perawongmetha/Getty Images)

ประชาชนรวมตัวกันต่อต้านปฏิบัติการของทหาร (Photo by Andy Nelson /Getty Images)

การต่อสู้กับทหารของประชาชน (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
ขณะที่ทหารได้ตั้งกำลังไว้ตามจุดต่างๆ และสาดกระสุนใส่ประชาชนเป็นระยะ คนเสื้อแดงก็พยายามสร้างเครื่องกีดขวาง เผายาง เพื่อป้องกันตัว และรบกวนปฏิบัติการของทหาร

นับจากเที่ยงวันของวันที่ 14 -19 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 กลายเป็น “ทุ่งสังหาร” คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไป
เรื่องราวของชาวบ่อนไก่
เมื่อราชประสงค์ถูกปิดล้อม ตัดน้ำตัดไฟ “บ่อนไก่” กลายเป็นเส้นทางส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” ทั้งคนเข้า-ออก และอาหาร-น้ำ ไปสนับสนุน จนกระทั่งถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2553
“มีคนไปแจ้ง ศอฉ. ว่าที่นี่เป็นทางผ่าน ทางน้ำเลี้ยง ลำเลียงเสบียงไปราชประสงค์ จากนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้อีก มีทหารเข้ามาปิดซอยร่วมฤดี ใครก็เข้าไม่ได้ เราไม่มีโอกาสที่จะไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์แล้ว บางส่วนก็รู้สึกว่าตายเป็นตาย คิดจะไปฝ่าด่าน” นายวีรชัย ลื่นผกา เล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ในภาวะวิกฤต “เสื้อแดงบ่อนไก่” ต้องทำหน้าที่ใน 2 ฐานะ คือ “คนบ่อนไก่” และ “คนเสื้อแดง”

คนในชุมชนออกมาดูสถานการณ์หน้าถนนพระราม 4

เตรียมท่อน้ำไว้สำหรับดับเพลิงกรณีฉุกเฉิน
ในฐานะ “คนบ่อนไก่”
พวกเขารวมตัวกันจัดเวรยามตลอดถนนภายในชุมชนและหน้าถนนพระราม 4 เพื่อตรวจตราคนเข้า-ออก คอยระวังภัยให้กับคนในชุมชน เนื่องจากมี “กระแส” ว่าจะมีการเผาชุมชนทุกวัน
สิ่งที่กลัวไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เพราะ “ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ส่วนใหญ่ อย่างไรก็เลือกพรรคเพื่อไทย เป็นคนเสื้อแดง คนที่เขาไม่ชอบคนเสื้อแดง เขาก็เล็งว่า ถ้าเผาก็จะได้ไม่มีคนเสื้อแดงอีก”
“มีวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับแกลลอนน้ำมัน จะมาเผาธนาคารกรุงเทพ พวกเราและคนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้น ก็มาช่วยห้าม แต่จับไม่ได้ อยากรู้ว่าใครใช้ให้มาทำอย่างนั้น จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ เพราะเรารักสงบ เราไม่ใช้ความรุนแรง”
จนยุติการชุมนุม ตามแนวถนนพระราม 4 ด้านหน้าชุมชน ไม่มีอาคารใดถูกเผาเหมือนในที่อื่นๆ

ผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้า หลังบังเกอร์ยางรถยนต์ จุดพลุรบกวนทหาร

ผู้ชุมนุมช่วยกันขนยาง ทำบังเกอร์หลบกระสุน
ในฐานะ “คนเสื้อแดง”
พวกเขาร่วมชุมนุมต่อต้านกับพี่น้องเสื้อแดง สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางตามแนวถนนพระราม 4 เพื่อสร้างควันไฟรบกวน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้มีควันจนมากเกินไปเพราะจะกระทบกับคนที่ยังอยู่ในชุมนุม และคอยขอหาน้ำ อาหาร สนับสนุนพี่น้องที่อยู่แถวหน้า

ผู้ชุมนุมขี่รถจักรยานยนต์มาส่งน้ำให้กับเพื่อนที่อยู่แนวหน้า
นายขวัญชัย ภูมิโคกรักษ์ เด็กหนุ่มในชุมชนอธิบายเหตุผลที่ไป “แถวหน้า” ว่า “เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ทำไมคนอื่นมาได้ รักในสิ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราอยู่ตรงนี้จึงออกไปไม่ได้ ไม่ใช่เก่งอยู่แต่ในบ้าน เวลาทำจริงก็ไม่เห็นทำ ไม่ต้องถึงแนวหน้าก็ได้ ส่งข้าวส่งน้ำให้เขาหน่อย บางทีคนเขาก็เหนื่อย เขาอยากสู้ ทำไมเราจะไม่อยากสู้ละ”
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น นายสมพงษ์ บุญธรรม รู้สึกว่า “เสียใจมากที่รัฐบาลเฮงซวยนี้มันทำกับเสื้อแดงเหมือนเป็นผักปลา ไร้ค่า ไม่มีความหมาย เหมือนเสื้อแดงเป็นสัตว์นรกตัวหนึ่งที่มาเกิด ต้องกำจัดให้สิ้นซาก”
“เพราะพวกมันไม่อยากจะให้พวกเราเจริญขึ้นมา ทุกวันนี้ พวกเรามีการศึกษาสูงขึ้นมา ปกครองยาก มันไม่อยากให้เรามีการศึกษาสูง กดหัวเราไว้ ไม่ให้รู้มาก มึงแค่นี้นะ ถ้ารู้มากมึงตาย”
(หมายเหตุ ผู้ทำรายงานต้องขออภัยเจ้าของภาพทุกท่าน สำหรับภาพที่นำมาใช้ประกอบเรื่องราวโดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)
รายงานชั้นนี้เขียนขึ้นมาเพื่อส่วนหนึ่งในการรำลึกเหตุการณ์ในช่วง 14-19 พฤษภาคม 2553 ที่ชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งชาวบ้านในชุมชนจะจัดให้มีกิจกรรมการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตในวันนี้ (6 มี.ค.54)
ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หลังจากรัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่ราชประสงค์ ทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมสถานที่ชุมนุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 จึงเป็นพื้นที่สำคัญของการต่อสู้ เริ่มด้วยในตอนสาย ทหารเข้ายึดพื้นที่แยกวิทยุและบริเวณใกล้เคียง และปิดการจราจร ต่อจากนั้น ราวเที่ยงวัน สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทหารติดอาวุธเข้าผลักดันและปะทะกับผู้ชุมนุม บนถนนพระราม 4 มาทางบ่อนไก่ พร้อมส่งหน่วยสไนเปอร์ไปอยู่ตามอาคารต่างๆ
ทหารเคลื่อนกำลังตามแนวถนนพระราม 4 มุ่งหน้าบ่อนไก่
ทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง ขณะเข้า “กระชับพื้นที่” (Photo by Paula Bronstein/Getty Images)
ประชาชนที่ถูกจับบริเวณสนามมวยลุมพินี (Photo by Athit Perawongmetha/Getty Images)
ประชาชนรวมตัวกันต่อต้านปฏิบัติการของทหาร (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
การต่อสู้กับทหารของประชาชน (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
ขณะที่ทหารได้ตั้งกำลังไว้ตามจุดต่างๆ และสาดกระสุนใส่ประชาชนเป็นระยะ คนเสื้อแดงก็พยายามสร้างเครื่องกีดขวาง เผายาง เพื่อป้องกันตัว และรบกวนปฏิบัติการของทหาร
นับจากเที่ยงวันของวันที่ 14 -19 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 กลายเป็น “ทุ่งสังหาร” คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไป
เรื่องราวของชาวบ่อนไก่
เมื่อราชประสงค์ถูกปิดล้อม ตัดน้ำตัดไฟ “บ่อนไก่” กลายเป็นเส้นทางส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” ทั้งคนเข้า-ออก และอาหาร-น้ำ ไปสนับสนุน จนกระทั่งถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2553
“มีคนไปแจ้ง ศอฉ. ว่าที่นี่เป็นทางผ่าน ทางน้ำเลี้ยง ลำเลียงเสบียงไปราชประสงค์ จากนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้อีก มีทหารเข้ามาปิดซอยร่วมฤดี ใครก็เข้าไม่ได้ เราไม่มีโอกาสที่จะไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์แล้ว บางส่วนก็รู้สึกว่าตายเป็นตาย คิดจะไปฝ่าด่าน” นายวีรชัย ลื่นผกา เล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ในภาวะวิกฤต “เสื้อแดงบ่อนไก่” ต้องทำหน้าที่ใน 2 ฐานะ คือ “คนบ่อนไก่” และ “คนเสื้อแดง”
คนในชุมชนออกมาดูสถานการณ์หน้าถนนพระราม 4
เตรียมท่อน้ำไว้สำหรับดับเพลิงกรณีฉุกเฉิน
ในฐานะ “คนบ่อนไก่”
พวกเขารวมตัวกันจัดเวรยามตลอดถนนภายในชุมชนและหน้าถนนพระราม 4 เพื่อตรวจตราคนเข้า-ออก คอยระวังภัยให้กับคนในชุมชน เนื่องจากมี “กระแส” ว่าจะมีการเผาชุมชนทุกวัน
สิ่งที่กลัวไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เพราะ “ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ส่วนใหญ่ อย่างไรก็เลือกพรรคเพื่อไทย เป็นคนเสื้อแดง คนที่เขาไม่ชอบคนเสื้อแดง เขาก็เล็งว่า ถ้าเผาก็จะได้ไม่มีคนเสื้อแดงอีก”
“มีวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับแกลลอนน้ำมัน จะมาเผาธนาคารกรุงเทพ พวกเราและคนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้น ก็มาช่วยห้าม แต่จับไม่ได้ อยากรู้ว่าใครใช้ให้มาทำอย่างนั้น จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ เพราะเรารักสงบ เราไม่ใช้ความรุนแรง”
จนยุติการชุมนุม ตามแนวถนนพระราม 4 ด้านหน้าชุมชน ไม่มีอาคารใดถูกเผาเหมือนในที่อื่นๆ
ผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้า หลังบังเกอร์ยางรถยนต์ จุดพลุรบกวนทหาร
ผู้ชุมนุมช่วยกันขนยาง ทำบังเกอร์หลบกระสุน
ในฐานะ “คนเสื้อแดง”
พวกเขาร่วมชุมนุมต่อต้านกับพี่น้องเสื้อแดง สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางตามแนวถนนพระราม 4 เพื่อสร้างควันไฟรบกวน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้มีควันจนมากเกินไปเพราะจะกระทบกับคนที่ยังอยู่ในชุมนุม และคอยขอหาน้ำ อาหาร สนับสนุนพี่น้องที่อยู่แถวหน้า
ผู้ชุมนุมขี่รถจักรยานยนต์มาส่งน้ำให้กับเพื่อนที่อยู่แนวหน้า
นายขวัญชัย ภูมิโคกรักษ์ เด็กหนุ่มในชุมชนอธิบายเหตุผลที่ไป “แถวหน้า” ว่า “เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ทำไมคนอื่นมาได้ รักในสิ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราอยู่ตรงนี้จึงออกไปไม่ได้ ไม่ใช่เก่งอยู่แต่ในบ้าน เวลาทำจริงก็ไม่เห็นทำ ไม่ต้องถึงแนวหน้าก็ได้ ส่งข้าวส่งน้ำให้เขาหน่อย บางทีคนเขาก็เหนื่อย เขาอยากสู้ ทำไมเราจะไม่อยากสู้ละ”
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น นายสมพงษ์ บุญธรรม รู้สึกว่า “เสียใจมากที่รัฐบาลเฮงซวยนี้มันทำกับเสื้อแดงเหมือนเป็นผักปลา ไร้ค่า ไม่มีความหมาย เหมือนเสื้อแดงเป็นสัตว์นรกตัวหนึ่งที่มาเกิด ต้องกำจัดให้สิ้นซาก”
“เพราะพวกมันไม่อยากจะให้พวกเราเจริญขึ้นมา ทุกวันนี้ พวกเรามีการศึกษาสูงขึ้นมา ปกครองยาก มันไม่อยากให้เรามีการศึกษาสูง กดหัวเราไว้ ไม่ให้รู้มาก มึงแค่นี้นะ ถ้ารู้มากมึงตาย”
(หมายเหตุ ผู้ทำรายงานต้องขออภัยเจ้าของภาพทุกท่าน สำหรับภาพที่นำมาใช้ประกอบเรื่องราวโดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)
รายงานชั้นนี้เขียนขึ้นมาเพื่อส่วนหนึ่งในการรำลึกเหตุการณ์ในช่วง 14-19 พฤษภาคม 2553 ที่ชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งชาวบ้านในชุมชนจะจัดให้มีกิจกรรมการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตในวันนี้ (6 มี.ค.54)
ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
คาถาเอกลักษณ์ !!??
โดย เกษียร เตชะพีระ
เมื่อนักข่าวถามว่าเกรงม็อบเมืองไทยจะต่อต้านล้มล้างรัฐบาลเลียนแบบม็อบลิเบีย อียิปต์หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตอบว่า: -
"ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่น ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเป็นคนไทย ตนว่าลึกๆ แล้วคนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร ขี้เห็นใจ ใจอ่อน เชื่อคนง่าย ดังนั้น สิ่งที่เราแตกต่างจากต่างชาติคือเรามีความผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของพวกเรา
"ดังนั้น แน่นอนมีคนที่จ้องจะทำลายสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร ถ้า 2 สถาบันนี้คือสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารอ่อนแอเมื่อไหร่ก็ตาม ก็จะถูกแทรกซ้อนโดยง่าย เหมือนกับสมัยก่อนก็เคยมีอยู่ ดังนั้นก็จะต้องไปหากันว่าใครที่ต้องการทำแบบนั้น"
คำตอบของพลเอกประยุทธ์ที่ผมได้ยินครั้งแรกทางทีวีช่อง 5 ข้างต้นสะดุดหูสะดุดใจชอบกล เพราะเผอิญ คล้องจองกับทรรศนะต่อประเด็นคล้ายกันในกรณีลิเบียของ ซาอิฟ อัล-อิสลาม โมอามาร์ อัล-กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้ใหญ่") ลูกชายที่พันเอกโมอามาร์ กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้นำ") ผู้พ่อเตรียมให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน ดังที่ซาอิฟกล่าวย้ำแล้วย้ำอีกในคำปราศรัยสดทางทีวีของรัฐลิเบียเมื่อตีหนึ่งคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ.ศกนี้ว่า:
"ลิเบียไม่ใช่ตูนิเซียหรืออียิปต์ๆๆๆ...
"ลิเบียประกอบไปด้วยชนเผ่า, โคตรตระกูล, และความจงรักภักดี มันจะเกิดสงครามกลางเมือง...
"เราจะสู้จนชายคนสุดท้าย จนหญิงคนสุดท้าย จนกระสุดนัดสุดท้าย"
(NYTimes.com, 20 February 2011)
คำว่า "ไม่เหมือน" และ "ไม่ใช่" ในคำสัมภาษณ์และปราศรัยออกจะวิ่งสวนทางประวัติศาสตร์การลุกฮือของมวลชนในอดีต, เหตุการณ์รอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา, แนวโน้มสถานการณ์, และจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ ขัดแย้งทางการเมืองทั้งในเมืองไทยและลิเบียอย่างผิดสังเกต เป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ย่อมไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็นไปเช่นนั้น แต่โลกที่เป็นจริงก็มีความดื้อดึงของมัน
บางทีวิธีหนึ่งที่จะใช้ทำความเข้าใจคำกล่าวข้างต้นอาจเป็นดังที่ ฮิชัม มาทาร์ นักเขียนนิยายชาวลิเบียในกรุงลอนดอน-ลูกชายแกนนำฝ่ายค้านพลัดถิ่นผู้ถูกกาดาฟีสั่ง "อุ้ม" จากอียิปต์กลับไปคุมขังทรมานในคุกลิเบียจนถึงทุกวันนี้-ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำปราศรัยของพันเอกกาดาฟีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ศกนี้ มีลักษณะแปลกพิกลบางอย่างคล้ายๆ คำปราศรัยครั้งหลังๆ ของประธานาธิบดีเบน อาลี แห่งตูนิเซีย และประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค แห่งอียิปต์ กล่าวคือ
จอมเผด็จการทั้งสามต่างสับสนปนเปประเทศของตนเข้ากับตัวเอง พูดเรื่องประเทศของตนราวกับกำลังพูดเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาต่างเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งในตัวของเขาเอง เป็นเหยื่อของโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเขานึกคิดขึ้นเอง ท่ามกลางพรรคพวกบริวารแวดล้อมที่คอยพร่ำบอกว่าเขาถูกเสมอ
(www.democracynow.org/2011/2/23/were_witnessing_the_violent_lashings_of#)
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้นำไทยที่พยายามใช้คาถาเอกลักษณ์มาเสกขจัดปัดเป่าความขัดแย้งต่อสู้เข่นฆ่า ทารุณอย่างดุเดือดนองเลือดกลางเมืองว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ไทยเอามากๆ และดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่วิสัยคนไทยทำ...
"การเผาคนตายกันกลางถนนนั้น ไม่ใช่ลักษณะของคนไทย
"เหตุที่วิกฤตการณ์เกิดขึ้นแปลกมาก มีการทุบตีคนให้ตายแล้วเอามาแขวนคอ ชักชวนให้เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอาคนที่ถูกแขวนคอจนตายนั้นเอามาวาง มีการเอายางรถยนต์วางแล้วเอาศพวาง แล้วเอายางรถยนต์วางทับ เอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาทั้ง 4 ศพ
"ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นกลางถนน กลางสนามหลวง กลางถนนราชดำเนิน ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ แต่ผลการสอบสวนในภายหลังนั้นก็สามารถจะปะติดปะต่อได้
"การที่มีการเผาคนตายไป 4 คนนั้นเป็นการเผาคนซึ่งต้องการทำลายหลักฐาน ไม่ให้รู้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะเหตุว่าหลักฐานในกองที่ไหม้นั้น มีรูปโฮจิมินห์เล็กๆ ซึ่งเผาไปไม่หมด
"เราสอบไปในภายหลังในธรรมศาสตร์ซึ่งไม่ได้...หนักหนานั้น มีหมาซึ่งถูกฆ่าตายแล้วย่าง หมาตุ๋น หมาสตู เอาอ่างมีตะแกรง หมากรอบทั้งตัวมีมีดเสียบอยู่หลายตัว
"ผมเองซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอยู่ แต่ได้เข้าไปดูเองและไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม
"เราวิเคราะห์ได้ในเวลาต่อมาว่า มีชาติอื่นคือชาติเวียดนามนั้นจำนวนไม่ทราบได้แน่นอนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในกรณีธรรมศาสตร์ แล้วเข้าใจว่าเป็นคนเวียดนามเองที่ถูกฆ่าตาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชันสูตรและกลายเป็นคนชาติอื่น ซึ่งจะกระทบกระเทือนถึงทางนั้น คนที่เกี่ยวข้องได้จัดการเผาคนทั้ง 4 เสีย
"เขาเรียกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่มิใช่วิสัยคนไทย ทำการเผาคนกลางถนนนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนไทย..."
(รัฐมนตรีมหาดไทย สมัคร สุนทรเวช กล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่ฝรั่งเศส, 4 มิ.ย. 2520 อ้างจากวีระ มุสิกพงศ์ และศิระ ตีระพัฒน์, โหงว นั้ง ปัง, สำนักพิมพ์สันติ์วนา, 2521, น.155-56)
สรุปตามตรรกะของคาถาเอกลักษณ์ไทยได้ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ = ญวนฆ่าญวน เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันใด!
ในทำนองเดียวกัน เหตุการณ์มวลชนลุกฮือต่อต้าน/ล้มล้างรัฐบาลอย่าง 14 ตุลาฯ 2516, พฤษภาประชา-ธรรม 2535, 7 ตุลาเลือด 2551, สงกรานต์เลือด 2552, เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553 รวมทั้งการก่อความไม่สงบชายแดนภาคใต้ที่ปะทุรุนแรงขึ้นอีกรอบนับแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ฯลฯ ก็ไม่น่าเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้กลางเมืองไทยแผ่นดินไทย เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันนั้น!
ถ้าข้อสรุปดังกล่าวจะขัดขืนฝืนทวนความเป็นจริงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในเมืองไทย อุดมคติสำคัญกว่าความเป็นจริง และบ้านนี้เมืองนี้ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความในมุมกลับว่าในหมู่คนไทย 60 กว่าล้านคน ล้วนเจียะป้าบ่อสื่อ วันๆ เอาแต่สุมหัวรวมตัวลุกฮือต่อต้านล้มล้างรัฐบาลท่าเดียว เปล่าครับ
เพราะแม้แต่ เบน นักศึกษาปริญญาเอกสาขาดนตรีวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา ผู้มาสำรวจวิจัยการแสดงดนตรี/ร้องเพลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยปัจจุบัน ก็ยังกล่าวทิ้งท้ายกับ นีล เทรวิธิค ผู้สื่อข่าวบีบีซีระหว่างไปร่วมงานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อยุธยาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า : -
ชาวโลกคงประทับตาตรึงใจกับภาพข่าวการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารอย่างดุเดือดรุนแรงเมื่อกลางปีก่อน แต่ถ้าคุณอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ คุณจะเห็นว่าลับตากล้องออกไป ผู้คนแสดงความเมตตาปรานีต่อกันอย่างเหลือเชื่อ มีการช่วยดึงฝ่ายตรงข้ามให้หลบพ้นภยันตราย พาคนไม่เลือกฝ่ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ แจกน้ำแจกท่าให้กันไม่เว้นแม้แต่ทหาร ตำรวจ ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้
(รายการวิทยุ From Our Own Correspondent ของ BBC, 12 ก.พ. 2011
www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00df8cr/From_Our_Own_Correspondent_12_02_2011/)
โดยมิจำต้องวาดภาพให้โรแมนติคเกินจริง ข้อควรคำนึงก็คือสังคมไทยก็คงเป็นเฉกเช่นสังคมอื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งดีงามและเลวร้าย ทั้งสว่างและมืดมิด คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งนักบุญและปีศาจ ผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นและฆาตกรกระหายเลือด
ประเด็นคงไม่ใช่ว่าเอกลักษณ์ไทยคือ อะไรแน่? ด้านใดจริงแท้ ด้านใดเป็นเท็จ?
หากเป็นว่าคนไทยสังคมไทยอาจมีพลวัตโน้มเอียงไปด้านไหนได้บ้างในแต่ละช่วงจังหวะเวลา? ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์อย่างไร? และเราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้คนไทย สังคมไทยมีเสรีภาพที่จะทำดี (moral freedom) แทนที่จะทำร้ายทารุณต่อกัน-ได้ง่ายขึ้นเช่นใด?
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อนักข่าวถามว่าเกรงม็อบเมืองไทยจะต่อต้านล้มล้างรัฐบาลเลียนแบบม็อบลิเบีย อียิปต์หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตอบว่า: -
"ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่น ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเป็นคนไทย ตนว่าลึกๆ แล้วคนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร ขี้เห็นใจ ใจอ่อน เชื่อคนง่าย ดังนั้น สิ่งที่เราแตกต่างจากต่างชาติคือเรามีความผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของพวกเรา
"ดังนั้น แน่นอนมีคนที่จ้องจะทำลายสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร ถ้า 2 สถาบันนี้คือสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารอ่อนแอเมื่อไหร่ก็ตาม ก็จะถูกแทรกซ้อนโดยง่าย เหมือนกับสมัยก่อนก็เคยมีอยู่ ดังนั้นก็จะต้องไปหากันว่าใครที่ต้องการทำแบบนั้น"
คำตอบของพลเอกประยุทธ์ที่ผมได้ยินครั้งแรกทางทีวีช่อง 5 ข้างต้นสะดุดหูสะดุดใจชอบกล เพราะเผอิญ คล้องจองกับทรรศนะต่อประเด็นคล้ายกันในกรณีลิเบียของ ซาอิฟ อัล-อิสลาม โมอามาร์ อัล-กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้ใหญ่") ลูกชายที่พันเอกโมอามาร์ กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้นำ") ผู้พ่อเตรียมให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน ดังที่ซาอิฟกล่าวย้ำแล้วย้ำอีกในคำปราศรัยสดทางทีวีของรัฐลิเบียเมื่อตีหนึ่งคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ.ศกนี้ว่า:
"ลิเบียไม่ใช่ตูนิเซียหรืออียิปต์ๆๆๆ...
"ลิเบียประกอบไปด้วยชนเผ่า, โคตรตระกูล, และความจงรักภักดี มันจะเกิดสงครามกลางเมือง...
"เราจะสู้จนชายคนสุดท้าย จนหญิงคนสุดท้าย จนกระสุดนัดสุดท้าย"
(NYTimes.com, 20 February 2011)
คำว่า "ไม่เหมือน" และ "ไม่ใช่" ในคำสัมภาษณ์และปราศรัยออกจะวิ่งสวนทางประวัติศาสตร์การลุกฮือของมวลชนในอดีต, เหตุการณ์รอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา, แนวโน้มสถานการณ์, และจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ ขัดแย้งทางการเมืองทั้งในเมืองไทยและลิเบียอย่างผิดสังเกต เป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ย่อมไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็นไปเช่นนั้น แต่โลกที่เป็นจริงก็มีความดื้อดึงของมัน
บางทีวิธีหนึ่งที่จะใช้ทำความเข้าใจคำกล่าวข้างต้นอาจเป็นดังที่ ฮิชัม มาทาร์ นักเขียนนิยายชาวลิเบียในกรุงลอนดอน-ลูกชายแกนนำฝ่ายค้านพลัดถิ่นผู้ถูกกาดาฟีสั่ง "อุ้ม" จากอียิปต์กลับไปคุมขังทรมานในคุกลิเบียจนถึงทุกวันนี้-ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำปราศรัยของพันเอกกาดาฟีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ศกนี้ มีลักษณะแปลกพิกลบางอย่างคล้ายๆ คำปราศรัยครั้งหลังๆ ของประธานาธิบดีเบน อาลี แห่งตูนิเซีย และประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค แห่งอียิปต์ กล่าวคือ
จอมเผด็จการทั้งสามต่างสับสนปนเปประเทศของตนเข้ากับตัวเอง พูดเรื่องประเทศของตนราวกับกำลังพูดเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาต่างเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งในตัวของเขาเอง เป็นเหยื่อของโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเขานึกคิดขึ้นเอง ท่ามกลางพรรคพวกบริวารแวดล้อมที่คอยพร่ำบอกว่าเขาถูกเสมอ
(www.democracynow.org/2011/2/23/were_witnessing_the_violent_lashings_of#)
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้นำไทยที่พยายามใช้คาถาเอกลักษณ์มาเสกขจัดปัดเป่าความขัดแย้งต่อสู้เข่นฆ่า ทารุณอย่างดุเดือดนองเลือดกลางเมืองว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ไทยเอามากๆ และดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่วิสัยคนไทยทำ...
"การเผาคนตายกันกลางถนนนั้น ไม่ใช่ลักษณะของคนไทย
"เหตุที่วิกฤตการณ์เกิดขึ้นแปลกมาก มีการทุบตีคนให้ตายแล้วเอามาแขวนคอ ชักชวนให้เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอาคนที่ถูกแขวนคอจนตายนั้นเอามาวาง มีการเอายางรถยนต์วางแล้วเอาศพวาง แล้วเอายางรถยนต์วางทับ เอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาทั้ง 4 ศพ
"ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นกลางถนน กลางสนามหลวง กลางถนนราชดำเนิน ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ แต่ผลการสอบสวนในภายหลังนั้นก็สามารถจะปะติดปะต่อได้
"การที่มีการเผาคนตายไป 4 คนนั้นเป็นการเผาคนซึ่งต้องการทำลายหลักฐาน ไม่ให้รู้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะเหตุว่าหลักฐานในกองที่ไหม้นั้น มีรูปโฮจิมินห์เล็กๆ ซึ่งเผาไปไม่หมด
"เราสอบไปในภายหลังในธรรมศาสตร์ซึ่งไม่ได้...หนักหนานั้น มีหมาซึ่งถูกฆ่าตายแล้วย่าง หมาตุ๋น หมาสตู เอาอ่างมีตะแกรง หมากรอบทั้งตัวมีมีดเสียบอยู่หลายตัว
"ผมเองซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอยู่ แต่ได้เข้าไปดูเองและไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม
"เราวิเคราะห์ได้ในเวลาต่อมาว่า มีชาติอื่นคือชาติเวียดนามนั้นจำนวนไม่ทราบได้แน่นอนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในกรณีธรรมศาสตร์ แล้วเข้าใจว่าเป็นคนเวียดนามเองที่ถูกฆ่าตาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชันสูตรและกลายเป็นคนชาติอื่น ซึ่งจะกระทบกระเทือนถึงทางนั้น คนที่เกี่ยวข้องได้จัดการเผาคนทั้ง 4 เสีย
"เขาเรียกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่มิใช่วิสัยคนไทย ทำการเผาคนกลางถนนนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนไทย..."
(รัฐมนตรีมหาดไทย สมัคร สุนทรเวช กล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่ฝรั่งเศส, 4 มิ.ย. 2520 อ้างจากวีระ มุสิกพงศ์ และศิระ ตีระพัฒน์, โหงว นั้ง ปัง, สำนักพิมพ์สันติ์วนา, 2521, น.155-56)
สรุปตามตรรกะของคาถาเอกลักษณ์ไทยได้ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ = ญวนฆ่าญวน เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันใด!
ในทำนองเดียวกัน เหตุการณ์มวลชนลุกฮือต่อต้าน/ล้มล้างรัฐบาลอย่าง 14 ตุลาฯ 2516, พฤษภาประชา-ธรรม 2535, 7 ตุลาเลือด 2551, สงกรานต์เลือด 2552, เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553 รวมทั้งการก่อความไม่สงบชายแดนภาคใต้ที่ปะทุรุนแรงขึ้นอีกรอบนับแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ฯลฯ ก็ไม่น่าเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้กลางเมืองไทยแผ่นดินไทย เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันนั้น!
ถ้าข้อสรุปดังกล่าวจะขัดขืนฝืนทวนความเป็นจริงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในเมืองไทย อุดมคติสำคัญกว่าความเป็นจริง และบ้านนี้เมืองนี้ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความในมุมกลับว่าในหมู่คนไทย 60 กว่าล้านคน ล้วนเจียะป้าบ่อสื่อ วันๆ เอาแต่สุมหัวรวมตัวลุกฮือต่อต้านล้มล้างรัฐบาลท่าเดียว เปล่าครับ
เพราะแม้แต่ เบน นักศึกษาปริญญาเอกสาขาดนตรีวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา ผู้มาสำรวจวิจัยการแสดงดนตรี/ร้องเพลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยปัจจุบัน ก็ยังกล่าวทิ้งท้ายกับ นีล เทรวิธิค ผู้สื่อข่าวบีบีซีระหว่างไปร่วมงานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อยุธยาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า : -
ชาวโลกคงประทับตาตรึงใจกับภาพข่าวการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารอย่างดุเดือดรุนแรงเมื่อกลางปีก่อน แต่ถ้าคุณอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ คุณจะเห็นว่าลับตากล้องออกไป ผู้คนแสดงความเมตตาปรานีต่อกันอย่างเหลือเชื่อ มีการช่วยดึงฝ่ายตรงข้ามให้หลบพ้นภยันตราย พาคนไม่เลือกฝ่ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ แจกน้ำแจกท่าให้กันไม่เว้นแม้แต่ทหาร ตำรวจ ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้
(รายการวิทยุ From Our Own Correspondent ของ BBC, 12 ก.พ. 2011
www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00df8cr/From_Our_Own_Correspondent_12_02_2011/)
โดยมิจำต้องวาดภาพให้โรแมนติคเกินจริง ข้อควรคำนึงก็คือสังคมไทยก็คงเป็นเฉกเช่นสังคมอื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งดีงามและเลวร้าย ทั้งสว่างและมืดมิด คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งนักบุญและปีศาจ ผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นและฆาตกรกระหายเลือด
ประเด็นคงไม่ใช่ว่าเอกลักษณ์ไทยคือ อะไรแน่? ด้านใดจริงแท้ ด้านใดเป็นเท็จ?
หากเป็นว่าคนไทยสังคมไทยอาจมีพลวัตโน้มเอียงไปด้านไหนได้บ้างในแต่ละช่วงจังหวะเวลา? ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์อย่างไร? และเราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้คนไทย สังคมไทยมีเสรีภาพที่จะทำดี (moral freedom) แทนที่จะทำร้ายทารุณต่อกัน-ได้ง่ายขึ้นเช่นใด?
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ปธ.ศาลปกครองสูงสุด ต้องทำให้คนอื่นเชื่อมั่นว่าเราเป็นกลาง
โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี : สัมภาษณ์
นายหัสวฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด แจกแจงบทบาทของศาลปกครองสูงสุด บนสถานการณ์ความแตกแยกของสังคม จนศาลโดนโจมตีว่าไม่เป็นกลาง
เรื่องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังตรวจสอบเรื่องร้องเรียนอดีตประธานศาลปกครองสูงสุดล้วงลูกสั่งคดีที่เกี่ยวกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ศาลปกครองสูงสุดกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ถือเป็นการก้าวก่ายหน้าที่หรือว่าเป็นการแทรกแซงศาลได้หรือไม่
ไม่ ทุกฝ่ายก็ดำเนินการไปตามหน้าที่ของตนเอง สำหรับศาลปกครองนั้น เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) เราจะประชุมเรื่องนี้กันในวันที่ 16 มีนาคมนี้
O ตามหลักกฎหมายศาลปกครอง องค์คณะตุลาการสามารถสละคดีได้หรือไม่ เพื่อให้องค์คณะชุดใหญ่พิจารณา
ก็เป็นไปตามกฎหมาย เพราะศาลปกครองมีกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีปกครองอยู่แล้วว่าทำอะไรได้ไม่ได้ นอกจากนั้น ตุลาการศาลปกครองท่านต้องรู้ ท่านไม่ทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่ ส่วนในเรื่องจะจ่ายสำนวนให้ใครก็เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ว่าชุดใหญ่หรือชุดเล็กในฐานะประธานศาลสูงสุด ท่านต้องดูความสำคัญของเรื่อง และถือเป็นเรื่องธรรมดาในศาลไหนๆ เรื่องสำคัญควรพิจารณาด้วยองค์คณะที่มากกว่าปกติ เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาไม่มีใครทำนอกเหนือกฎหมายที่ให้อำนาจ
O มีสื่อมวลชนบางฉบับนำเสนอข่าวว่า ศาลปกครองไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.
เป็นการรายงานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ผมขอถามสื่อมวลชนว่ามีตรงไหนที่เป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กร มีที่ไหน เพราะวันนี้ (3 มี.ค.) สำนักงานศาลปกครองสูงสุด ได้ทำหนังสือตอบข้อหารือของ ป.ป.ช.กรณีที่ องค์คณะตุลาการ ชุดที่ 2 สละคดี เพราะคณะของท่านมีคดีอยู่จำนวนมาก ทำให้ประธานศาลปกครองสูงท่านก่อน ลงมาชี้ขาด และเมื่อประธานศาลปกครองสูงสุด เห็นความสำคัญของคดี ที่ฟ้องร้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีความสำคัญ ประธานศาลปกครองสูงสุดท่านก่อน ท่านเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่จึงให้องค์คณะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธานศาลปกครองสูงสุด และหัวหน้าองค์คณะตุลาการทุกคณะ เป็นผู้พิจารณา นั้น เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีปกครอง ไม่ใช่การล้วงลูก
และอีกประเด็นที่ ป.ป.ช. หารือมาก็คือกรณีที่ตุลาการ ร้องขอให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล ซึ่งกรณีนี้ศาลปกครองสูงสุด ก็ได้ชี้แจงไปที่ ป.ป.ช.ว่า เป็นเรื่องที่ตุลาการศาลสามารถทำได้
O กรณีพื้นที่พิพาทไทย กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง
กรณีดังกล่าวมีตุลาการท่านอื่นท่านมองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนโยบาย แต่สำหรับผมมองว่า รัฐบาลเป็นผู้ดูแลเรื่องดินแดน และความมั่นคงของชาติ หากรัฐบาลทำประเทศเสียดินแดน ก็เสมือนผู้ปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ปล่อยให้มีผู้บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น ในเรื่องนี้ต้องเป็นอำนาจของศาลปกครอง แต่ทั้งนี้ก็มีตุลาการบางส่วนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงเรื่องนโยบายของรัฐ
O สถานการณ์ความแตกแยกของสังคม เกิดกระแสตุลาการภิวัฒน์ ไม่ว่าศาลใดก็ถูกนินทาว่าร้าย หากมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง จนศาลถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง ศาลปกครองเตรียมรับมือเรื่องนี้อย่างไร
ผมคิดว่าการเป็นตุลาการต้องมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ 1.ต้องมีความรู้ความสามารถ 2.ต้องเป็นคนที่ความ ซื่อสัตย์ สุจริต 3.ต้องมีจุดยืนที่ถูกต้อง และ 4.ต้องมีความกล้าหาญ หากมีหลักทั้ง 4 ประการแล้ว คำตัดสินของเราจะไม่เบี่ยงเบนและไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่มีหลัก ทั้ง 4 ประการก็เป็นสิ่งที่ยาก และเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้อื่นเขาไม่เชื่อมั่นว่าเราเป็นกลางและอำนวยความยุติธรรม ได้จริง
O พอใจการอำนวยการยุติธรรมของศาลเพียงใด
พอใจที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น แสดงว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนและตรวจสอบอำนาจรัฐ เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งการตัดสินของศาลปกครองที่ผ่านมาได้รับการยอมรับ และปฏิบัติตามคำสั่ง โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ
O ลำบากใจกับการตัดสินคดีมาบตาพุดหรือไม่
ไม่ลำบากใจ แต่เห็นว่าปัญหาที่เกิดจากการออกกฎหมายต่างๆ ของภาครัฐ จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัย ยอมรับว่าการที่ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็มีผู้มาต่อว่า ผมจึงได้บอกให้ลองพาครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่มาบตาพุด เพราะที่ผ่านมาเคยไปตรวจเยี่ยมศาลปกครองระยอง เมื่อฝนตก ทุกคนจะวิ่งหลบฝน เนื่องจากฝนที่ตกลงมามีสารปนเปื้อน ไม่มีใครอยากย้ายไปอยู่ศาลที่จังหวัดระยอง แม้ว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ผมจึงคิดว่าถ้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดนปล่อยปละละเลย และสร้างมลพิษ คนในอนาคตควรได้รับการคุ้มครอง
O สถิติคดีตอนนี้เป็นอย่างไรนับตั้งแต่เปิดศาลมาและจะครบรอบ 10 ปีในวันที่ 9 มีนาคม นี้
จนถึงปัจจุบัน (31 ม.ค.2554) มีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองจำนวนทั้งสิ้น 63,148 คดี โดยคดีที่รับเข้าในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2549-2553) มีปริมาณคดีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคดีในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรกของการเปิดทำการศาลปกครอง (2544-2548) โดยมีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาสูงถึง 6,200-7,200 คดีต่อปี หรือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6,878 คดีต่อปี
มีคดีปกครองที่พิจารณาพิพากษาแล้วเสร็จทั้งสิ้น 48,696 คดี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา 14,098 คดี ศาลปกครองสูงสุดมีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 16,333 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 10,670 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 5,576 คดี ศาลปกครองชั้นต้นมีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 46,815 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 38,219 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 8,522 คดี ประเภทของเรื่องที่มีการฟ้องมากที่สุดของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด คือ เกี่ยวกับการบริหารบุคคลและวินัย 16,054 คดี คดีเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ละเมิด และความรับผิดชอบอื่น 12,012 คดี คดีเกี่ยวกับพัสดุและสัญญาทางปกครอง 9,111 คดี คดีเกี่ยวกับการควบคุมอาคาร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8,899 คดี ทั้งนี้จะพยายามเร่งรัดการพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายหัสวฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด แจกแจงบทบาทของศาลปกครองสูงสุด บนสถานการณ์ความแตกแยกของสังคม จนศาลโดนโจมตีว่าไม่เป็นกลาง
เรื่องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังตรวจสอบเรื่องร้องเรียนอดีตประธานศาลปกครองสูงสุดล้วงลูกสั่งคดีที่เกี่ยวกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ศาลปกครองสูงสุดกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ถือเป็นการก้าวก่ายหน้าที่หรือว่าเป็นการแทรกแซงศาลได้หรือไม่
ไม่ ทุกฝ่ายก็ดำเนินการไปตามหน้าที่ของตนเอง สำหรับศาลปกครองนั้น เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) เราจะประชุมเรื่องนี้กันในวันที่ 16 มีนาคมนี้
O ตามหลักกฎหมายศาลปกครอง องค์คณะตุลาการสามารถสละคดีได้หรือไม่ เพื่อให้องค์คณะชุดใหญ่พิจารณา
ก็เป็นไปตามกฎหมาย เพราะศาลปกครองมีกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีปกครองอยู่แล้วว่าทำอะไรได้ไม่ได้ นอกจากนั้น ตุลาการศาลปกครองท่านต้องรู้ ท่านไม่ทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่ ส่วนในเรื่องจะจ่ายสำนวนให้ใครก็เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ว่าชุดใหญ่หรือชุดเล็กในฐานะประธานศาลสูงสุด ท่านต้องดูความสำคัญของเรื่อง และถือเป็นเรื่องธรรมดาในศาลไหนๆ เรื่องสำคัญควรพิจารณาด้วยองค์คณะที่มากกว่าปกติ เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาไม่มีใครทำนอกเหนือกฎหมายที่ให้อำนาจ
O มีสื่อมวลชนบางฉบับนำเสนอข่าวว่า ศาลปกครองไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.
เป็นการรายงานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ผมขอถามสื่อมวลชนว่ามีตรงไหนที่เป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กร มีที่ไหน เพราะวันนี้ (3 มี.ค.) สำนักงานศาลปกครองสูงสุด ได้ทำหนังสือตอบข้อหารือของ ป.ป.ช.กรณีที่ องค์คณะตุลาการ ชุดที่ 2 สละคดี เพราะคณะของท่านมีคดีอยู่จำนวนมาก ทำให้ประธานศาลปกครองสูงท่านก่อน ลงมาชี้ขาด และเมื่อประธานศาลปกครองสูงสุด เห็นความสำคัญของคดี ที่ฟ้องร้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีความสำคัญ ประธานศาลปกครองสูงสุดท่านก่อน ท่านเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่จึงให้องค์คณะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธานศาลปกครองสูงสุด และหัวหน้าองค์คณะตุลาการทุกคณะ เป็นผู้พิจารณา นั้น เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีปกครอง ไม่ใช่การล้วงลูก
และอีกประเด็นที่ ป.ป.ช. หารือมาก็คือกรณีที่ตุลาการ ร้องขอให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล ซึ่งกรณีนี้ศาลปกครองสูงสุด ก็ได้ชี้แจงไปที่ ป.ป.ช.ว่า เป็นเรื่องที่ตุลาการศาลสามารถทำได้
O กรณีพื้นที่พิพาทไทย กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง
กรณีดังกล่าวมีตุลาการท่านอื่นท่านมองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนโยบาย แต่สำหรับผมมองว่า รัฐบาลเป็นผู้ดูแลเรื่องดินแดน และความมั่นคงของชาติ หากรัฐบาลทำประเทศเสียดินแดน ก็เสมือนผู้ปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ปล่อยให้มีผู้บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น ในเรื่องนี้ต้องเป็นอำนาจของศาลปกครอง แต่ทั้งนี้ก็มีตุลาการบางส่วนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงเรื่องนโยบายของรัฐ
O สถานการณ์ความแตกแยกของสังคม เกิดกระแสตุลาการภิวัฒน์ ไม่ว่าศาลใดก็ถูกนินทาว่าร้าย หากมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง จนศาลถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง ศาลปกครองเตรียมรับมือเรื่องนี้อย่างไร
ผมคิดว่าการเป็นตุลาการต้องมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ 1.ต้องมีความรู้ความสามารถ 2.ต้องเป็นคนที่ความ ซื่อสัตย์ สุจริต 3.ต้องมีจุดยืนที่ถูกต้อง และ 4.ต้องมีความกล้าหาญ หากมีหลักทั้ง 4 ประการแล้ว คำตัดสินของเราจะไม่เบี่ยงเบนและไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่มีหลัก ทั้ง 4 ประการก็เป็นสิ่งที่ยาก และเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้อื่นเขาไม่เชื่อมั่นว่าเราเป็นกลางและอำนวยความยุติธรรม ได้จริง
O พอใจการอำนวยการยุติธรรมของศาลเพียงใด
พอใจที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น แสดงว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนและตรวจสอบอำนาจรัฐ เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งการตัดสินของศาลปกครองที่ผ่านมาได้รับการยอมรับ และปฏิบัติตามคำสั่ง โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ
O ลำบากใจกับการตัดสินคดีมาบตาพุดหรือไม่
ไม่ลำบากใจ แต่เห็นว่าปัญหาที่เกิดจากการออกกฎหมายต่างๆ ของภาครัฐ จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัย ยอมรับว่าการที่ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็มีผู้มาต่อว่า ผมจึงได้บอกให้ลองพาครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่มาบตาพุด เพราะที่ผ่านมาเคยไปตรวจเยี่ยมศาลปกครองระยอง เมื่อฝนตก ทุกคนจะวิ่งหลบฝน เนื่องจากฝนที่ตกลงมามีสารปนเปื้อน ไม่มีใครอยากย้ายไปอยู่ศาลที่จังหวัดระยอง แม้ว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ผมจึงคิดว่าถ้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดนปล่อยปละละเลย และสร้างมลพิษ คนในอนาคตควรได้รับการคุ้มครอง
O สถิติคดีตอนนี้เป็นอย่างไรนับตั้งแต่เปิดศาลมาและจะครบรอบ 10 ปีในวันที่ 9 มีนาคม นี้
จนถึงปัจจุบัน (31 ม.ค.2554) มีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองจำนวนทั้งสิ้น 63,148 คดี โดยคดีที่รับเข้าในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2549-2553) มีปริมาณคดีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคดีในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรกของการเปิดทำการศาลปกครอง (2544-2548) โดยมีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาสูงถึง 6,200-7,200 คดีต่อปี หรือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6,878 คดีต่อปี
มีคดีปกครองที่พิจารณาพิพากษาแล้วเสร็จทั้งสิ้น 48,696 คดี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา 14,098 คดี ศาลปกครองสูงสุดมีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 16,333 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 10,670 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 5,576 คดี ศาลปกครองชั้นต้นมีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 46,815 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 38,219 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 8,522 คดี ประเภทของเรื่องที่มีการฟ้องมากที่สุดของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด คือ เกี่ยวกับการบริหารบุคคลและวินัย 16,054 คดี คดีเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ละเมิด และความรับผิดชอบอื่น 12,012 คดี คดีเกี่ยวกับพัสดุและสัญญาทางปกครอง 9,111 คดี คดีเกี่ยวกับการควบคุมอาคาร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8,899 คดี ทั้งนี้จะพยายามเร่งรัดการพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
สุนทรพจน์
“ฮอสนี มูบารัค” ประธานาธิบดีแห่งอิยิปต์...ซึ่งวันนี้กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างใหญ่หลวง...เพราะการถูกประชาชนผลักไสไล่ส่งให้ลงจากอำนาจ
ในวันที่ประชาชนกำลังเดือดดาล...และในวันที่เขายังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิดีในฐานะผู้นำประเทศ สิ่งที่จะปลอบประโลมความบ้าคลั่ง...นั่นคือ การเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
มูบารัค ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ โดยกล่าว “สุนทรพจน์” ต่อหน้าประชาชนของเขา...เปรียบเสมือนการกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย...และต้องการพูดอะไรบางสิ่ง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด
แต่ใครบ้างจะเชื่อว่า...สุนทรพจน์ที่ “มูบารัค” พูดถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์ในวันนั้น...ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของประชาชนชาวอิยิปต์ไปอย่างสิ้นเชิง
จากเดิมที่คนอิยิปต์รักชาติ (มาก)...มาวันนี้พวกเขาเกิดความรักชาติ (มากที่สุด)
ประโยคนี้ประโยคเดียวที่ปลุก “จิตสำนึกรักชาติ” ของคนอิยิปต์
“ชาติจะยังคงดำรงอยู่ ผู้มาเยือนทั้งหลายจะมาและจากไป แต่อิยิปต์จะยังคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ธงของอิยิปต์จะยังคงปลิวไสว และดำรงอยู่อย่างปลอดภัย อิยิปต์จะก้าวข้ามผ่านจากยุคสู่ยุคอย่างมีเกียรติและสง่าสงาม”
มูบารัค ก้มหน้ายอมจำนน และรับผลการกระทำ เพราะวันนี้เขาเรียนรู้ว่า...ไม่มีผู้นำใดในโลกที่จะมีพลังยิ่งใหญ่ไปกว่า “ประชาชน” และไม่ว่าการกล่าวสุนทรพจน์ไพเราะบทนั้นจะออกมาจากใจ หรือจำเป็นต้องอ่านเพราะมีคนเขียนบทให้
สิ่งที่ทำให้คนอิยิปต์ลดความเดือดดาลลงมานั่นคือ การเห็น “มูบารัค” จากคนตัวโตๆ กลายมาเป็นคนตัวเล็กๆ...ซึ่งนับถือความอยู่รอดของ “ประเทศชาติ” เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่ว่าตัวเองจะชั่วจะเลวอย่างไร...แต่สุดท้ายประเทศชาติต้องดำรงอยู่ได้
เราโชคดีที่มีอุทาหรณ์และตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในโลก...แต่น่าเสียดายทำไม “ผู้มีอำนาจ” ในประเทศจึงไม่รู้จักเรียนรู้ และนำมาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้
คิดถึงประเทศของเรา...ประเทศไทย...ที่วันนี้กลุ่มคนจำนวนน้อยยังไม่รู้ ชะตากรรมว่า...จุดจบของผู้ปกครองที่ไม่ได้ใจประชาชนจะเป็นอย่างไร
กลุ่มคนเหล่านั้นยังภาคภูมิใจที่ได้เป็น เบอร์หนึ่ง...เบอร์สอง...เบอร์สาม ของประเทศไทย...แต่กลับไม่เคยหันไปมองโลกภายนอกว่า...มีผู้ยิ่งใหญ่กี่คนแล้วที่ต้องถูกประชาชน “ทรมาน” และ “สาบแช่ง”
เท่าที่เห็น...มีจำนวนนับหมื่นถ้วน...แต่เราจะเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่...โอกาสน่าจะเป็นมีสูง!
ที่มา.โลกมันเบี้ยวภูผาหิน,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ในวันที่ประชาชนกำลังเดือดดาล...และในวันที่เขายังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิดีในฐานะผู้นำประเทศ สิ่งที่จะปลอบประโลมความบ้าคลั่ง...นั่นคือ การเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
มูบารัค ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ โดยกล่าว “สุนทรพจน์” ต่อหน้าประชาชนของเขา...เปรียบเสมือนการกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย...และต้องการพูดอะไรบางสิ่ง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด
แต่ใครบ้างจะเชื่อว่า...สุนทรพจน์ที่ “มูบารัค” พูดถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์ในวันนั้น...ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของประชาชนชาวอิยิปต์ไปอย่างสิ้นเชิง
จากเดิมที่คนอิยิปต์รักชาติ (มาก)...มาวันนี้พวกเขาเกิดความรักชาติ (มากที่สุด)
ประโยคนี้ประโยคเดียวที่ปลุก “จิตสำนึกรักชาติ” ของคนอิยิปต์
“ชาติจะยังคงดำรงอยู่ ผู้มาเยือนทั้งหลายจะมาและจากไป แต่อิยิปต์จะยังคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ธงของอิยิปต์จะยังคงปลิวไสว และดำรงอยู่อย่างปลอดภัย อิยิปต์จะก้าวข้ามผ่านจากยุคสู่ยุคอย่างมีเกียรติและสง่าสงาม”
มูบารัค ก้มหน้ายอมจำนน และรับผลการกระทำ เพราะวันนี้เขาเรียนรู้ว่า...ไม่มีผู้นำใดในโลกที่จะมีพลังยิ่งใหญ่ไปกว่า “ประชาชน” และไม่ว่าการกล่าวสุนทรพจน์ไพเราะบทนั้นจะออกมาจากใจ หรือจำเป็นต้องอ่านเพราะมีคนเขียนบทให้
สิ่งที่ทำให้คนอิยิปต์ลดความเดือดดาลลงมานั่นคือ การเห็น “มูบารัค” จากคนตัวโตๆ กลายมาเป็นคนตัวเล็กๆ...ซึ่งนับถือความอยู่รอดของ “ประเทศชาติ” เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่ว่าตัวเองจะชั่วจะเลวอย่างไร...แต่สุดท้ายประเทศชาติต้องดำรงอยู่ได้
เราโชคดีที่มีอุทาหรณ์และตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในโลก...แต่น่าเสียดายทำไม “ผู้มีอำนาจ” ในประเทศจึงไม่รู้จักเรียนรู้ และนำมาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้
คิดถึงประเทศของเรา...ประเทศไทย...ที่วันนี้กลุ่มคนจำนวนน้อยยังไม่รู้ ชะตากรรมว่า...จุดจบของผู้ปกครองที่ไม่ได้ใจประชาชนจะเป็นอย่างไร
กลุ่มคนเหล่านั้นยังภาคภูมิใจที่ได้เป็น เบอร์หนึ่ง...เบอร์สอง...เบอร์สาม ของประเทศไทย...แต่กลับไม่เคยหันไปมองโลกภายนอกว่า...มีผู้ยิ่งใหญ่กี่คนแล้วที่ต้องถูกประชาชน “ทรมาน” และ “สาบแช่ง”
เท่าที่เห็น...มีจำนวนนับหมื่นถ้วน...แต่เราจะเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่...โอกาสน่าจะเป็นมีสูง!
ที่มา.โลกมันเบี้ยวภูผาหิน,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
บ้าน-วัด-โรงเรียนควรจะสัมพันธ์กัน
โดย พระพยอม กัลยาโณ
การที่ทางมหาเถระสมาคม (มส.) มีมติคัดค้านการถอดคำว่า “วัด” ออกจากคำนำหน้าโรงเรียนที่ใช้ชื่อวัดนั้น ประเด็นนี้มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลากหลาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคนบอกว่าที่หลายโรงเรียนขอตัดคำว่าวัดออกเพราะรู้สึกกันไปเองว่าถ้ามีวัดนำหน้าแล้วภาพของโรงเรียนจะดูด้อยกว่าโรงเรียนอื่น
จริงๆแล้วโรงเรียนคริสต์ โรงเรียนอิสลามจะเรียกว่าเป็นโรงเรียนวัดก็คงไม่ผิด แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าเขาด้อยตรงไหน กลับยิ่งพยายามชูว่าเป็นโรงเรียนในศาสนาของเขา แล้วทำไมโรงเรียนวัดในพุทธศาสนาจึงกลัวตกต่ำเพราะมีคำว่าวัดนำหน้า
อีกกระแสหนึ่งได้ยินแล้วน่าเป็นห่วง คือเรื่องผลประโยชน์ของโรงเรียน กระแสบอกว่าหากโรงเรียนใดถอดคำว่าวัดออกแล้วจะสามารถปล่อยเช่าสถานที่ส่วนของโรงเรียนในเชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องนำเงินเข้าวัด สามารถนำเงินเข้าโรงเรียนได้โดยตรง ไม่ต้องแบ่งให้วัดเพราะไม่ได้เป็นที่ธรณีสงฆ์
อีกประเด็นบอกว่าที่อยากตัดคำว่าวัดออกเพราะรังเกียจวัด ประเด็นนี้อยากให้ทุกคนลองนึกถึงโรงเรียนอิสลาม โรงเรียนคริสต์ เขายังไม่คิดทำเช่นนั้น เขาพยายามสนับสนุนและส่งเสริมให้คนทั่วไปรู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ โรงเรียนนี้เป็นอิสลาม
เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนไม่เห็นมีใครตะขิดตะขวงใจว่าโรงเรียนวัดไม่ดีหรือเรียนที่วัดไม่ได้ เพราะเรียนโรงเรียนวัดก็ไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าใคร และคนที่เคยเรียนโรงเรียนวัดหลายคนได้รับการยกย่อง มีหน้ามีตาในสังคม
อาตมาก็เรียนโรงเรียนวัด ได้รับความรู้มาเยอะแยะมากมาย ไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่เรียนโรงเรียนวัด ขณะที่โรงเรียนมีชื่อเสียงที่ไม่มีคำว่าวัดนำหน้าก็มีเด็กเกเรอยู่ในนั้นถมเถไป เด็กบางคนเผาโรงเรียนอย่างนี้ ไล่ตีไล่ฆ่ากันอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากไปว่า ผู้ที่เป็นนักบริหารต้องทำให้บ้าน วัด โรงเรียน เกิดการสอดประสานกัน ให้เดินทางไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่จำเป็นต้องตัดคำว่าวัดออก ถ้าคิดอยากให้คำว่าบ้าน วัด โรงเรียน มีช่องว่างห่างกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายยาเสพติดก็อาจจะเข้ามาแทรกแซง ภัยร้ายอย่างอื่นก็เข้ามาเพราะมันจ้องจะหาจังหวะเข้าไปอยู่แล้ว หรือเรากำลังรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยอะไรกับการมีคำว่าวัดนำหน้า เพราะคำว่าวัดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ในอดีตวัดก็คือสถานที่ที่ให้ความรู้ ให้สติปัญญา มีสถานภาพทางด้านการให้สติปัญญาอยู่แล้ว สมัยที่ไม่มีโรงเรียน ไม่มีมหาวิทยาลัยก็เป็นที่ให้การศึกษา และสังคมก็ไม่ได้วุ่นวายขนาดนี้
ขณะที่โรงเรียนบางแห่งไม่สามารถทำให้คนฉลาดขึ้น แถมยังเป็นแหล่งทำให้เกิดปมปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องตีรันฟันแทงกันระหว่างโรงเรียน เรื่องท้องในระหว่างเรียน ยังมีปัญหายาเสพติด ปัญหานิยมเหล้าปั่นหน้าโรงเรียน
เรื่องนี้หากการศึกษาเป็นอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสว่า การศึกษาวันนี้เหมือนกับเจดีย์ยอดด้วน คือยิ่งเรียนสูงกลับยิ่งเพิ่มปัญหา ยกตัวอย่างตอนเรียนอนุบาล ปัญหายาเสพติด ปัญหายกพวกตีกัน ปัญหาชู้สาว ไม่มีให้เห็นแน่ แต่พอๆเรียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ชั้นประถมศึกษาอาจมีนิดๆ พอมัธยมฯต้นเริ่มกินเหล้า มัธยมฯปลายถึงมหาวิทยาลัยปัญหาทุกอย่างเข้ามาได้หมด
แต่ต้องยอมรับว่าสมัยนี้วัดกับโรงเรียนแม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันบางทีก็ไม่ค่อยจะเอื้ออาทรกัน บางวัดอาจใจแคบไม่เคยช่วยเหลือเอื้ออาทรเรื่องการศึกษา ไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็ตั้งข้อรังเกลียดวัดอยู่ในใจ เราจึงต้องทำให้ทั้ง 2 หน่วยงานเดินทางร่วมกัน ประคับประคองกันไปให้ได้ หากต้องแยกกันไปจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
สมมุติว่า มส. ไม่ได้มีมติเรื่องข้อห้ามนี้ออกมา เชื่อว่าโรงเรียนที่มีชื่อวัดนำหน้าอีกหน่อยอาจจะไม่มีเหลือแล้วเพราะเปลี่ยนกันไปหมด อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยน แปลงไปสู่ความเจริญ เป็นวิวัฒนาการที่นำไปสู่ความวินาศนาการ หรือวิวัฒนาการที่นำไปสู่ความก้าวหน้าแล้วทำให้อยู่เย็นเป็นสุขกันต่อไป ขอให้ทุกฝ่ายใคร่ครวญกันให้ดี อย่าได้ผลีผลาม อย่าได้ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ หรืออย่าได้กระทบกระทั่งเกลียดชังกันไปจนไม่อาจจะมองหน้ากันระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับเจ้าอาวาส
ฉะนั้นอยากให้ช่วยกันรักษาคำว่าบ้าน วัด โรงเรียน ให้สอดคล้องกันไว้ให้เป็นปึกแผ่นที่เหนียวแน่น จะได้เป็นหลักคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้มีศีลธรรม ทำให้เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า
เจริญพร
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
การที่ทางมหาเถระสมาคม (มส.) มีมติคัดค้านการถอดคำว่า “วัด” ออกจากคำนำหน้าโรงเรียนที่ใช้ชื่อวัดนั้น ประเด็นนี้มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลากหลาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคนบอกว่าที่หลายโรงเรียนขอตัดคำว่าวัดออกเพราะรู้สึกกันไปเองว่าถ้ามีวัดนำหน้าแล้วภาพของโรงเรียนจะดูด้อยกว่าโรงเรียนอื่น
จริงๆแล้วโรงเรียนคริสต์ โรงเรียนอิสลามจะเรียกว่าเป็นโรงเรียนวัดก็คงไม่ผิด แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าเขาด้อยตรงไหน กลับยิ่งพยายามชูว่าเป็นโรงเรียนในศาสนาของเขา แล้วทำไมโรงเรียนวัดในพุทธศาสนาจึงกลัวตกต่ำเพราะมีคำว่าวัดนำหน้า
อีกกระแสหนึ่งได้ยินแล้วน่าเป็นห่วง คือเรื่องผลประโยชน์ของโรงเรียน กระแสบอกว่าหากโรงเรียนใดถอดคำว่าวัดออกแล้วจะสามารถปล่อยเช่าสถานที่ส่วนของโรงเรียนในเชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องนำเงินเข้าวัด สามารถนำเงินเข้าโรงเรียนได้โดยตรง ไม่ต้องแบ่งให้วัดเพราะไม่ได้เป็นที่ธรณีสงฆ์
อีกประเด็นบอกว่าที่อยากตัดคำว่าวัดออกเพราะรังเกียจวัด ประเด็นนี้อยากให้ทุกคนลองนึกถึงโรงเรียนอิสลาม โรงเรียนคริสต์ เขายังไม่คิดทำเช่นนั้น เขาพยายามสนับสนุนและส่งเสริมให้คนทั่วไปรู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ โรงเรียนนี้เป็นอิสลาม
เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนไม่เห็นมีใครตะขิดตะขวงใจว่าโรงเรียนวัดไม่ดีหรือเรียนที่วัดไม่ได้ เพราะเรียนโรงเรียนวัดก็ไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าใคร และคนที่เคยเรียนโรงเรียนวัดหลายคนได้รับการยกย่อง มีหน้ามีตาในสังคม
อาตมาก็เรียนโรงเรียนวัด ได้รับความรู้มาเยอะแยะมากมาย ไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่เรียนโรงเรียนวัด ขณะที่โรงเรียนมีชื่อเสียงที่ไม่มีคำว่าวัดนำหน้าก็มีเด็กเกเรอยู่ในนั้นถมเถไป เด็กบางคนเผาโรงเรียนอย่างนี้ ไล่ตีไล่ฆ่ากันอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากไปว่า ผู้ที่เป็นนักบริหารต้องทำให้บ้าน วัด โรงเรียน เกิดการสอดประสานกัน ให้เดินทางไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่จำเป็นต้องตัดคำว่าวัดออก ถ้าคิดอยากให้คำว่าบ้าน วัด โรงเรียน มีช่องว่างห่างกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายยาเสพติดก็อาจจะเข้ามาแทรกแซง ภัยร้ายอย่างอื่นก็เข้ามาเพราะมันจ้องจะหาจังหวะเข้าไปอยู่แล้ว หรือเรากำลังรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยอะไรกับการมีคำว่าวัดนำหน้า เพราะคำว่าวัดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ในอดีตวัดก็คือสถานที่ที่ให้ความรู้ ให้สติปัญญา มีสถานภาพทางด้านการให้สติปัญญาอยู่แล้ว สมัยที่ไม่มีโรงเรียน ไม่มีมหาวิทยาลัยก็เป็นที่ให้การศึกษา และสังคมก็ไม่ได้วุ่นวายขนาดนี้
ขณะที่โรงเรียนบางแห่งไม่สามารถทำให้คนฉลาดขึ้น แถมยังเป็นแหล่งทำให้เกิดปมปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องตีรันฟันแทงกันระหว่างโรงเรียน เรื่องท้องในระหว่างเรียน ยังมีปัญหายาเสพติด ปัญหานิยมเหล้าปั่นหน้าโรงเรียน
เรื่องนี้หากการศึกษาเป็นอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสว่า การศึกษาวันนี้เหมือนกับเจดีย์ยอดด้วน คือยิ่งเรียนสูงกลับยิ่งเพิ่มปัญหา ยกตัวอย่างตอนเรียนอนุบาล ปัญหายาเสพติด ปัญหายกพวกตีกัน ปัญหาชู้สาว ไม่มีให้เห็นแน่ แต่พอๆเรียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ชั้นประถมศึกษาอาจมีนิดๆ พอมัธยมฯต้นเริ่มกินเหล้า มัธยมฯปลายถึงมหาวิทยาลัยปัญหาทุกอย่างเข้ามาได้หมด
แต่ต้องยอมรับว่าสมัยนี้วัดกับโรงเรียนแม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันบางทีก็ไม่ค่อยจะเอื้ออาทรกัน บางวัดอาจใจแคบไม่เคยช่วยเหลือเอื้ออาทรเรื่องการศึกษา ไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็ตั้งข้อรังเกลียดวัดอยู่ในใจ เราจึงต้องทำให้ทั้ง 2 หน่วยงานเดินทางร่วมกัน ประคับประคองกันไปให้ได้ หากต้องแยกกันไปจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
สมมุติว่า มส. ไม่ได้มีมติเรื่องข้อห้ามนี้ออกมา เชื่อว่าโรงเรียนที่มีชื่อวัดนำหน้าอีกหน่อยอาจจะไม่มีเหลือแล้วเพราะเปลี่ยนกันไปหมด อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยน แปลงไปสู่ความเจริญ เป็นวิวัฒนาการที่นำไปสู่ความวินาศนาการ หรือวิวัฒนาการที่นำไปสู่ความก้าวหน้าแล้วทำให้อยู่เย็นเป็นสุขกันต่อไป ขอให้ทุกฝ่ายใคร่ครวญกันให้ดี อย่าได้ผลีผลาม อย่าได้ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ หรืออย่าได้กระทบกระทั่งเกลียดชังกันไปจนไม่อาจจะมองหน้ากันระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับเจ้าอาวาส
ฉะนั้นอยากให้ช่วยกันรักษาคำว่าบ้าน วัด โรงเรียน ให้สอดคล้องกันไว้ให้เป็นปึกแผ่นที่เหนียวแน่น จะได้เป็นหลักคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้มีศีลธรรม ทำให้เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า
เจริญพร
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ
กระแสประชาธิปไตยภายใต้กลไกทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง กระหึ่มดังประสาน เสียงคลอเคล้าไปในทำนองเดียวกัน อานิสงส์ผลบุญหนุนส่งกลบเสียงเงียบบนรังสีอำมหิต จนแทบไม่เหลือสะเก็ดเดซิเบลแห่งไฟฟอนปฏิวัติรัฐประหาร
เซียนเขี้ยวประชาธิปัตย์ เป่านกหวีด “คิกออฟ แคมเปญเลือกตั้ง” จัดหนักหาเสียงอย่างเป็นทางการผ่านป้ายคัตเอาต์และโฆษณาผ่านสื่อแบบปูพรมเช้า เที่ยง เย็น รวมไปถึงมื้อค่ำก่อนนอน หลังรับประทานอาหาร
กดปุ่มปล่อยคาราวานนโยบายเพื่อประชาชนชุดแรกท่ามกลางความอลหม่าน เล็กๆ ที่สวนจตุจักร ชิงธงการนำปรับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบไม่รอเพื่อนตามประสา เซียนเขี้ยวการเมืองมากพรรษาบารมี
“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” กระบี่มือหนึ่ง ด้านยุทธศาสตร์พรรค ปล่อยออเดิร์ฟ ประเดิม 4 นโยบายเพื่อประชาชน เพิ่มค่า แรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี เพิ่มกองกำลัง พิเศษปราบยาเสพติด 2,500 นาย เพิ่มทุน กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษา ในระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คนต่อปี และเพิ่ม โฉนดชุมชนให้เกษตรกร 250,000 คน เป็น การเรียกน้ำย่อย
พร้อมทั้งเล่นบทถนัดปั้นเด็ก เปิดตัว โครงการ “คนรุ่นใหม่ อนาคตไทย” ที่เฟ้น เอาเจเนอเรชั่นใหม่ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 225 คน ร่วมซึมซับบรรยากาศ การเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ประหนึ่ง บ่มเพาะประสบการณ์เพื่อเป็นกำลังสำคัญ ในอนาคตข้างหน้า
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น “กอร์ปศักดิ์” ยืนยันเองว่า การร่ายเวทย์ “เมตตามหา ประชานิยม” จะทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า ในพลันที่นกหวีดยุบสภากรีดร้อง
นั่นจะเท่ากับว่า จากเดิมที่ประชาชนจะพบปะหน้า “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” บนจอทีวีแบบถี่ยิบอยู่แล้วมันจะยิ่งมีโอกาสได้ชื่นชมความหล่อของท่านได้มากยิ่งขึ้นในวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังเซ็งแซ่อย่างเป็นทางการ วาระเกมชิงอำนาจบนหน้าฉากประชาธิปไตย เริ่มเอ็กเซอร์ไซซ์สกัดเกมชิงอำนาจอันสืบเนื่องมาจากวิธีพิเศษในทุกรูปแบบทุกกรณี
“ทีมงานแดงแห่งพรรคเพื่อไทย” ก็ไวทายาดไม่แพ้เซียนเขี้ยว 7 แกนแดงที่ เพิ่งได้รับอิสรภาพ ส่งสัญญาณผ่านไฟเขียว แห่งรีโมตคอนโทรล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แสดงเจตจำนงชัดเจน ต้องการมีพื้นที่ยืนในฐานะผู้ทรงเกียรติแห่งสภา หินอ่อนประเทศไทย
ด้วยมวลชนที่แวดล้อม ประสาแฟน คลับรักและคิดถึงอย่างแรง มันล้วนเป็นกุศล ผลบุญหนุนส่ง ที่ “นายใหญ่” ไม่ต้องตัดสินใจอะไรมากมายในการปูนบำเหน็จรางวัล เพื่อสร้างเอกสิทธิ์คุ้มครองให้กับ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และชาวคณะแดงทั้งแผ่นดิน ได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่การเมืองภาครัฐสภาอย่างเต็มตัว
ใครสอบตกใครสอบติด เป็นคิวที่ต้องว่ากันในเรื่องอนาคต แต่ด้วยอาการเลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง แกนแดงเหล่า นี้สามารถปะผุในพื้นที่ฟันหลอได้ไม่เป็นสองรองจากเบอร์เดิมๆ ที่ถูกดูดไปแม้แต่น้อย ยิ่งกระชับรูปแบบกลับมาเป็นแบบ เขตเดียว เบอร์เดียว ที่เกิดขึ้นบนบรรยากาศ “ทักษิณสู้”
กระสุนดินดำยิงสนั่นทั่วพื้นที่ ผู้สมัคร ที่มีกระแสและมากด้วยกระสุน มันย่อมมีสง่า ราศีมากกว่า เบอร์สำรองซึ่งเคยเรียกใช้ที่ประคบประหงมอย่างไรก็ยากที่จะเข้าวิน
ยิ่งวิเคราะห์กันในทางคู่ขนาน หากแกนแดงเหล่านี้สามารถเดินลุยไฟฝ่าดงบาทาจนมีเอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นของตัวเอง ได้จริง จะเท่ากับว่า ในอนาคตข้างหน้า พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นหมากชั้นดีในการต่อสู้ระยะยาว บนเงื่อนไขในสนามซึ่งเป็นรองหลายขุมที่กำลังจะบังเกิดในระยะสั้น
เสียงตอบรับเป็นอย่างดี จากทีมงาน แดงภาครัฐสภา จึงเป็นการการันตีพื้นที่ผ่านการกลั่นกรองของผู้บัญชาการใหญ่อย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มาแล้วทั้ง หมดทั้งสิ้น
ปิดกล่องทางยุทธวิธี โอละพ่อ “ประชาธิปัตย์” ถือธงประชานิยมนำ “เพื่อไทย” เอาหลังพิงกำแพงหลักการประชาธิปไตยแบบแดง สองพรรคสลับดอกกันทางยุทธวิธีเลือกตั้งกันอย่างมีนัย สุดท้ายใครแพ้ใครชนะ คงไม่แคล้วต้องเล่นเอาล่อเอาเถิดกันต่อไป
นั่นมันก็สอดรับกับผลสำรวจความเห็นประชาชนของเอแบคโพลล์ ที่ส่วนใหญ่ ระบุว่า..
ร้อยละ 63.9 เชื่อว่า การเลือกตั้ง ครั้งต่อไป จะมีความดุเดือด รุนแรง
ร้อยละ 61.8 เชื่อว่า จะมีการถอนทุนคืน เพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ร้อยละ 75.3 เชื่อว่า ทุกพรรค การเมืองจะมีการซื้อเสียง ในการเลือกตั้ง และประชาชนร้อยละ 76.1 แสดงความเชื่อมั่นว่า ประชาธิปไตยจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ
เหลียวหลังดูพฤติกรรมในอดีต แลหน้าผ่านผลโพลที่บรรยายเหตุการณ์ในอนาคต ฟันธงแบบกำปั้นทุบดิน..นับห้วงเวลาจากช่วงชุลมุนในการเลือกตั้งที่ทอดยาวไปสู่วันที่สถานการณ์สะเด็ดน้ำ และกิน ยาวไปสู่คืนวันที่มีรัฐบาลใหม่..
บ้านนี้เมืองนี้ และประเทศนี้ ก็จะยัง พร้อมสรรพด้วยสารพันปัญหาในแบบเดิมๆ ทั้งปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ที่ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่เขาเหล่านั้นยังปักใจเชื่ออย่างมั่นคงว่าในท้าย ที่สุดแล้ว เงื่อนประชาธิปไตยจะเป็นทาง ออกในทุกปัญหา..นี่แหละประชาธิปไตยแบบไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกำลังรอวันโตไปตาม ธรรมชาติ ที่มันควรจะเป็น!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เซียนเขี้ยวประชาธิปัตย์ เป่านกหวีด “คิกออฟ แคมเปญเลือกตั้ง” จัดหนักหาเสียงอย่างเป็นทางการผ่านป้ายคัตเอาต์และโฆษณาผ่านสื่อแบบปูพรมเช้า เที่ยง เย็น รวมไปถึงมื้อค่ำก่อนนอน หลังรับประทานอาหาร
กดปุ่มปล่อยคาราวานนโยบายเพื่อประชาชนชุดแรกท่ามกลางความอลหม่าน เล็กๆ ที่สวนจตุจักร ชิงธงการนำปรับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบไม่รอเพื่อนตามประสา เซียนเขี้ยวการเมืองมากพรรษาบารมี
“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” กระบี่มือหนึ่ง ด้านยุทธศาสตร์พรรค ปล่อยออเดิร์ฟ ประเดิม 4 นโยบายเพื่อประชาชน เพิ่มค่า แรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี เพิ่มกองกำลัง พิเศษปราบยาเสพติด 2,500 นาย เพิ่มทุน กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษา ในระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คนต่อปี และเพิ่ม โฉนดชุมชนให้เกษตรกร 250,000 คน เป็น การเรียกน้ำย่อย
พร้อมทั้งเล่นบทถนัดปั้นเด็ก เปิดตัว โครงการ “คนรุ่นใหม่ อนาคตไทย” ที่เฟ้น เอาเจเนอเรชั่นใหม่ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 225 คน ร่วมซึมซับบรรยากาศ การเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ประหนึ่ง บ่มเพาะประสบการณ์เพื่อเป็นกำลังสำคัญ ในอนาคตข้างหน้า
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น “กอร์ปศักดิ์” ยืนยันเองว่า การร่ายเวทย์ “เมตตามหา ประชานิยม” จะทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า ในพลันที่นกหวีดยุบสภากรีดร้อง
นั่นจะเท่ากับว่า จากเดิมที่ประชาชนจะพบปะหน้า “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” บนจอทีวีแบบถี่ยิบอยู่แล้วมันจะยิ่งมีโอกาสได้ชื่นชมความหล่อของท่านได้มากยิ่งขึ้นในวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังเซ็งแซ่อย่างเป็นทางการ วาระเกมชิงอำนาจบนหน้าฉากประชาธิปไตย เริ่มเอ็กเซอร์ไซซ์สกัดเกมชิงอำนาจอันสืบเนื่องมาจากวิธีพิเศษในทุกรูปแบบทุกกรณี
“ทีมงานแดงแห่งพรรคเพื่อไทย” ก็ไวทายาดไม่แพ้เซียนเขี้ยว 7 แกนแดงที่ เพิ่งได้รับอิสรภาพ ส่งสัญญาณผ่านไฟเขียว แห่งรีโมตคอนโทรล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แสดงเจตจำนงชัดเจน ต้องการมีพื้นที่ยืนในฐานะผู้ทรงเกียรติแห่งสภา หินอ่อนประเทศไทย
ด้วยมวลชนที่แวดล้อม ประสาแฟน คลับรักและคิดถึงอย่างแรง มันล้วนเป็นกุศล ผลบุญหนุนส่ง ที่ “นายใหญ่” ไม่ต้องตัดสินใจอะไรมากมายในการปูนบำเหน็จรางวัล เพื่อสร้างเอกสิทธิ์คุ้มครองให้กับ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และชาวคณะแดงทั้งแผ่นดิน ได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่การเมืองภาครัฐสภาอย่างเต็มตัว
ใครสอบตกใครสอบติด เป็นคิวที่ต้องว่ากันในเรื่องอนาคต แต่ด้วยอาการเลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง แกนแดงเหล่า นี้สามารถปะผุในพื้นที่ฟันหลอได้ไม่เป็นสองรองจากเบอร์เดิมๆ ที่ถูกดูดไปแม้แต่น้อย ยิ่งกระชับรูปแบบกลับมาเป็นแบบ เขตเดียว เบอร์เดียว ที่เกิดขึ้นบนบรรยากาศ “ทักษิณสู้”
กระสุนดินดำยิงสนั่นทั่วพื้นที่ ผู้สมัคร ที่มีกระแสและมากด้วยกระสุน มันย่อมมีสง่า ราศีมากกว่า เบอร์สำรองซึ่งเคยเรียกใช้ที่ประคบประหงมอย่างไรก็ยากที่จะเข้าวิน
ยิ่งวิเคราะห์กันในทางคู่ขนาน หากแกนแดงเหล่านี้สามารถเดินลุยไฟฝ่าดงบาทาจนมีเอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นของตัวเอง ได้จริง จะเท่ากับว่า ในอนาคตข้างหน้า พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นหมากชั้นดีในการต่อสู้ระยะยาว บนเงื่อนไขในสนามซึ่งเป็นรองหลายขุมที่กำลังจะบังเกิดในระยะสั้น
เสียงตอบรับเป็นอย่างดี จากทีมงาน แดงภาครัฐสภา จึงเป็นการการันตีพื้นที่ผ่านการกลั่นกรองของผู้บัญชาการใหญ่อย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มาแล้วทั้ง หมดทั้งสิ้น
ปิดกล่องทางยุทธวิธี โอละพ่อ “ประชาธิปัตย์” ถือธงประชานิยมนำ “เพื่อไทย” เอาหลังพิงกำแพงหลักการประชาธิปไตยแบบแดง สองพรรคสลับดอกกันทางยุทธวิธีเลือกตั้งกันอย่างมีนัย สุดท้ายใครแพ้ใครชนะ คงไม่แคล้วต้องเล่นเอาล่อเอาเถิดกันต่อไป
นั่นมันก็สอดรับกับผลสำรวจความเห็นประชาชนของเอแบคโพลล์ ที่ส่วนใหญ่ ระบุว่า..
ร้อยละ 63.9 เชื่อว่า การเลือกตั้ง ครั้งต่อไป จะมีความดุเดือด รุนแรง
ร้อยละ 61.8 เชื่อว่า จะมีการถอนทุนคืน เพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ร้อยละ 75.3 เชื่อว่า ทุกพรรค การเมืองจะมีการซื้อเสียง ในการเลือกตั้ง และประชาชนร้อยละ 76.1 แสดงความเชื่อมั่นว่า ประชาธิปไตยจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ
เหลียวหลังดูพฤติกรรมในอดีต แลหน้าผ่านผลโพลที่บรรยายเหตุการณ์ในอนาคต ฟันธงแบบกำปั้นทุบดิน..นับห้วงเวลาจากช่วงชุลมุนในการเลือกตั้งที่ทอดยาวไปสู่วันที่สถานการณ์สะเด็ดน้ำ และกิน ยาวไปสู่คืนวันที่มีรัฐบาลใหม่..
บ้านนี้เมืองนี้ และประเทศนี้ ก็จะยัง พร้อมสรรพด้วยสารพันปัญหาในแบบเดิมๆ ทั้งปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ที่ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่เขาเหล่านั้นยังปักใจเชื่ออย่างมั่นคงว่าในท้าย ที่สุดแล้ว เงื่อนประชาธิปไตยจะเป็นทาง ออกในทุกปัญหา..นี่แหละประชาธิปไตยแบบไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกำลังรอวันโตไปตาม ธรรมชาติ ที่มันควรจะเป็น!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อะไร อะไร ก็การเมือง
สงสารแผ่นดิน
“ผมเกิดที่อังกฤษถือสัญชาติ ไทยตั้งใจทำงานเพื่อประเทศไทย ไม่คิดถือสัญชาติอื่นแล้วไปหาประโยชน์ในประเทศอื่น ไม่คิดขอลี้ภัย แล้วไปขอสัญชาติประเทศเขา เพื่อไปหาผลประโยชน์จากประเทศอื่น จะแลกกันไหมถ้าไม่มีผลประโยชน์ ใดๆ ผมไม่มีปัญหาอยู่ในใจ อยู่ในหัว ในตัว ผมสละได้และไปถามนักวิชาการและกกต. เขาบอกว่าไม่มีปัญหา ถ้าจะไล่ให้ถือสัญชาติเดียวก็ยินดี ถ้าจะให้ผมสละอังกฤษ ผมก็สละได้ แต่คนของท่านที่ถือพาสปอร์ตหลายประเทศก็ต้องสละ ด้วยจะยอมหรือไม่”
ทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น..เป็นประโยค จากปากของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ที่ตอบโต้ในสภาผู้แทน.. เนื่องมาจากการอภิปรายถึงสัญชาติอังกฤษ หลังจากบ่ายเบี่ยง ไปไหนมาสามวาสองศอก..มานาน...อภิสิทธิ์ ก็ ยอมรับกลางสภา ด้วยวาจาดังกล่าว..
แต่ละประโยคที่พรั่งพรูออกมานั้น..ตีความได้ว่าคนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..แขวะไปถึงนั้น..คือ ทักษิณ ชินวัตร..อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูก.. มือที่มองไม่เห็นปฏิวัติไปเมื่อ 19 กันยายน 2549..และนายกรัฐมนตรีของเขาอีก 2 ท่านก็ไม่สามารถ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะ ต้องคำพิพากษา
ว่ากันไปแล้ว..หากว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..จะตอบอย่างฉะฉานมาตั้งแต่ต้น..ยอมรับมาแต่แรกแล้วแจกแจงให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ผิดกฎหมาย..ส่วนจะเป็นเหตุให้นำตัวท่านไปสู่คดีฆ่า 91 ศพในศาลอาญาโลกหรือไม่นั้น..เป็นกระบวนการต่อสู้ทาง กฎหมายที่จะต้องว่ากันอีกยาวนานในอนาคต ก็เป็นเรื่องสง่างามเป็นสิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำ
แต่...การส่อเสียดไปถึงคนที่ ไม่ได้เกี่ยวข้อง..ตัดสาระสำคัญ แห่งเรื่องราวและแต่งเติมป้ายสี.. นั้น..มันไม่ได้ทำลายทักษิณ ชินวัตร..แต่มันย้อนกลับมาทำลายตัว ท่านเอง..และสำคัญที่สุด..มันทำลายคนทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่ยกย่องท่านมาเป็นหัวหน้าและทำลายคนไทยในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของพวกเขา ไม่น่าเชื่อว่า..บัณฑิตเกียรตินิยม..จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของ โลก..จะแยกแยะไม่ได้..ว่าถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมานั้น..มันทำร้ายทำลาย ตัวเองยอมแพ้เถิดครับท่าน สงสาร แผ่นดินไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“ผมเกิดที่อังกฤษถือสัญชาติ ไทยตั้งใจทำงานเพื่อประเทศไทย ไม่คิดถือสัญชาติอื่นแล้วไปหาประโยชน์ในประเทศอื่น ไม่คิดขอลี้ภัย แล้วไปขอสัญชาติประเทศเขา เพื่อไปหาผลประโยชน์จากประเทศอื่น จะแลกกันไหมถ้าไม่มีผลประโยชน์ ใดๆ ผมไม่มีปัญหาอยู่ในใจ อยู่ในหัว ในตัว ผมสละได้และไปถามนักวิชาการและกกต. เขาบอกว่าไม่มีปัญหา ถ้าจะไล่ให้ถือสัญชาติเดียวก็ยินดี ถ้าจะให้ผมสละอังกฤษ ผมก็สละได้ แต่คนของท่านที่ถือพาสปอร์ตหลายประเทศก็ต้องสละ ด้วยจะยอมหรือไม่”
ทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น..เป็นประโยค จากปากของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ที่ตอบโต้ในสภาผู้แทน.. เนื่องมาจากการอภิปรายถึงสัญชาติอังกฤษ หลังจากบ่ายเบี่ยง ไปไหนมาสามวาสองศอก..มานาน...อภิสิทธิ์ ก็ ยอมรับกลางสภา ด้วยวาจาดังกล่าว..
แต่ละประโยคที่พรั่งพรูออกมานั้น..ตีความได้ว่าคนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..แขวะไปถึงนั้น..คือ ทักษิณ ชินวัตร..อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูก.. มือที่มองไม่เห็นปฏิวัติไปเมื่อ 19 กันยายน 2549..และนายกรัฐมนตรีของเขาอีก 2 ท่านก็ไม่สามารถ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะ ต้องคำพิพากษา
ว่ากันไปแล้ว..หากว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..จะตอบอย่างฉะฉานมาตั้งแต่ต้น..ยอมรับมาแต่แรกแล้วแจกแจงให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ผิดกฎหมาย..ส่วนจะเป็นเหตุให้นำตัวท่านไปสู่คดีฆ่า 91 ศพในศาลอาญาโลกหรือไม่นั้น..เป็นกระบวนการต่อสู้ทาง กฎหมายที่จะต้องว่ากันอีกยาวนานในอนาคต ก็เป็นเรื่องสง่างามเป็นสิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำ
แต่...การส่อเสียดไปถึงคนที่ ไม่ได้เกี่ยวข้อง..ตัดสาระสำคัญ แห่งเรื่องราวและแต่งเติมป้ายสี.. นั้น..มันไม่ได้ทำลายทักษิณ ชินวัตร..แต่มันย้อนกลับมาทำลายตัว ท่านเอง..และสำคัญที่สุด..มันทำลายคนทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่ยกย่องท่านมาเป็นหัวหน้าและทำลายคนไทยในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของพวกเขา ไม่น่าเชื่อว่า..บัณฑิตเกียรตินิยม..จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของ โลก..จะแยกแยะไม่ได้..ว่าถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมานั้น..มันทำร้ายทำลาย ตัวเองยอมแพ้เถิดครับท่าน สงสาร แผ่นดินไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
สหรัฐส่งเรือรบใกล้ลิเบีย
ตริโปลี : สหรัฐถกพันธมิตรนาโต้เรื่องการใช้มาตรการทางทหารต่อลิเบีย สั่งเรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเตรียมพร้อม นักวิเคราะห์ชี้ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น กองกำลังรัฐบาลลิเบียใน 3 เมืองเตรียมพร้อมโจมตีฝ่ายต่อต้าน เลขาฯยูเอ็นระบุ “กัดดาฟี” หมดความชอบธรรมแล้ว “ชาเวซ” งดร่วมประณามผู้นำลิเบียพร้อมเสนอตั้งคณะไกล่เกลี่ยนานาชาติเพื่อหาทางออกอย่างสันติ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำกล่าวของนางซูซาน ไรซ์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ไม่ยอมรับความจริงและสังหารประชาชนของเขาเองจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำต่อไป และว่าสหรัฐกำลังหารือกับชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) เกี่ยวกับการใช้มาตรการทางทหารต่อลิเบีย นอกจากนี้สหรัฐได้อายัดทรัพย์สินของ พ.อ.กัดดาฟีและครอบครัวมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
พ.อ.เดวิด ลาแพน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า กองทัพสหรัฐได้สั่งให้เรือรบแล่นเข้าไปยังน่านน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนใกล้กับลิเบียเพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุจำเป็น ซึ่งอาจใช้สำหรับปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมและช่วยเหลือ ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวหลังการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศชาติพันธมิตรว่า กองทัพสหรัฐยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการใช้กำลังทหาร ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่าการใช้กำลังทหารยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
สหรัฐมีกองเรือที่ 6 ประจำการอยู่ที่นอกชายฝั่งอิตาลี ซึ่งจนถึงวันจันทร์มีเรือรบอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก 8 ลำ ประกอบด้วยเรือฟรีเกตและเรือพิฆาต และยังมีเรือบรรทุกเครื่องบินในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีก 2 ลำ
นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษเตรียมพร้อมให้ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อปกป้องประชาชนในลิเบียจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังของ พ.อ.กัดดาฟี
ในขณะที่การประท้วงต่อต้านผู้นำลิเบียย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นเรื่องยากที่จะแสวงหาข่าวเนื่องจากการเดินทางไปยังที่ต่างๆไม่สะดวก ขณะที่การติดต่อสื่อสารก็ประสบปัญหามาก
มีรายงานว่า กองกำลังที่จงรักภักดีต่อ พ.อ.กัดดาฟีชุมนุมกันที่เมืองนาลุต ทางภาคตะวันตกของประเทศ ห่างจากพรมแดนตูนิเซียราว 60 กิโลเมตร เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเตรียมโจมตีผู้ชุมนุมต่อต้านการปกครองของผู้นำลิเบีย
ชาวเมืองนาลุตผู้หนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า กองกำลังของ พ.อ.กัดดาฟีได้เคลื่อนเข้าสู้เมืองโดยมีรถยนต์ทหาร 4 ล้อติดปืนกลอัตโนมัติ รวมทั้งทหารหลายสิบคนพร้อมอาวุธประจำกาย ทำให้ชาวเมืองทุกคนต้องเตรียมพร้อม ส่วนชาวมืองอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ได้ยินเสียงทหารลิเบียเคลื่อนกำลังเข้าไปที่เมืองวาซินใกล้พรมแดนตูนิเซีย แต่ไม่มีการสู้รบในเมืองนาลุต
ส่วนชาวเมืองมิสราตาที่อยู่ห่างจากกรุงตริโปลีไปทางตะวันออกราว 200 กิโลเมตร และชาวเมืองซาวิยาห์กล่าวว่า ทหารฝ่ายรัฐบาลเตรียมพร้อมโจมตีฝ่ายต่อต้าน และมีการสู้รบที่ฐานทัพอากาศในเมืองนี้เมื่อบ่ายวันจันทร์ แต่กองทัพปฏิเสธข่าวนี้
นายฟิลิป โครวลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลลิเบียกำลังรบกวนสัญญาณเครือข่ายข่าวอัล-จาซีราและอัล-ฮูรา ซึ่งเสนอข่าวสารตรงข้ามกับที่ พ.อ.กัดดาฟีอ้างว่าลิเบียกลับสู่ความสงบและพื้นที่ที่ถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยึดครองกำลังถูกปิดล้อม
นายบัน คี-มูน เลขาธิการยูเอ็น กล่าวว่า พ.อ.กัดดาฟีหมดความชอบธรรมตั้งแต่ประกาศทำสงครามกับประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมโลกสกัดกั้นไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหมือนกับที่นาซีสังหารชาวยิว 6 ล้านคน ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลา กล่าวว่า จะยังไม่ร่วมกระแสนานาชาติประณาม พ.อ.กัดดาฟีที่เป็นเพื่อนกันมานาน โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมทั้งเสนอให้ตั้งคณะไกล่เกลี่ยนานาชาติเพื่อหาทางออกอย่างสันติต่อเหตุลุกฮือต่อต้านผู้นำลิเบียที่เป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรทางการเมืองของเขา โดยได้หารือเรื่องนี้กับบางประเทศในกลุ่มโบลิวาเรียน (เอแอลบีเอ) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกาที่มีแนวคิดฝ่ายซ้าย และบางประเทศในยุโรปและอเมริกาใต้ โดยหวังว่าจะสามารถตั้งคณะทำงานที่เจรจาได้ทั้งกับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในลิเบีย
ด้านสมัชชาใหญ่แห่งยูเอ็นจัดประชุมเมื่อวันอังคารเพื่อหารือเรื่องข้อเรียกร้องของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นที่ลงมติเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเรียกร้องให้ระงับสมาชิกภาพของลิเบียในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อตอบโต้ที่ทางการลิเบียใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรงจนทำให้คาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำกล่าวของนางซูซาน ไรซ์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ไม่ยอมรับความจริงและสังหารประชาชนของเขาเองจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำต่อไป และว่าสหรัฐกำลังหารือกับชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) เกี่ยวกับการใช้มาตรการทางทหารต่อลิเบีย นอกจากนี้สหรัฐได้อายัดทรัพย์สินของ พ.อ.กัดดาฟีและครอบครัวมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
พ.อ.เดวิด ลาแพน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า กองทัพสหรัฐได้สั่งให้เรือรบแล่นเข้าไปยังน่านน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนใกล้กับลิเบียเพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุจำเป็น ซึ่งอาจใช้สำหรับปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมและช่วยเหลือ ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวหลังการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศชาติพันธมิตรว่า กองทัพสหรัฐยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการใช้กำลังทหาร ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่าการใช้กำลังทหารยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
สหรัฐมีกองเรือที่ 6 ประจำการอยู่ที่นอกชายฝั่งอิตาลี ซึ่งจนถึงวันจันทร์มีเรือรบอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก 8 ลำ ประกอบด้วยเรือฟรีเกตและเรือพิฆาต และยังมีเรือบรรทุกเครื่องบินในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีก 2 ลำ
นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษเตรียมพร้อมให้ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อปกป้องประชาชนในลิเบียจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังของ พ.อ.กัดดาฟี
ในขณะที่การประท้วงต่อต้านผู้นำลิเบียย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นเรื่องยากที่จะแสวงหาข่าวเนื่องจากการเดินทางไปยังที่ต่างๆไม่สะดวก ขณะที่การติดต่อสื่อสารก็ประสบปัญหามาก
มีรายงานว่า กองกำลังที่จงรักภักดีต่อ พ.อ.กัดดาฟีชุมนุมกันที่เมืองนาลุต ทางภาคตะวันตกของประเทศ ห่างจากพรมแดนตูนิเซียราว 60 กิโลเมตร เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเตรียมโจมตีผู้ชุมนุมต่อต้านการปกครองของผู้นำลิเบีย
ชาวเมืองนาลุตผู้หนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า กองกำลังของ พ.อ.กัดดาฟีได้เคลื่อนเข้าสู้เมืองโดยมีรถยนต์ทหาร 4 ล้อติดปืนกลอัตโนมัติ รวมทั้งทหารหลายสิบคนพร้อมอาวุธประจำกาย ทำให้ชาวเมืองทุกคนต้องเตรียมพร้อม ส่วนชาวมืองอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ได้ยินเสียงทหารลิเบียเคลื่อนกำลังเข้าไปที่เมืองวาซินใกล้พรมแดนตูนิเซีย แต่ไม่มีการสู้รบในเมืองนาลุต
ส่วนชาวเมืองมิสราตาที่อยู่ห่างจากกรุงตริโปลีไปทางตะวันออกราว 200 กิโลเมตร และชาวเมืองซาวิยาห์กล่าวว่า ทหารฝ่ายรัฐบาลเตรียมพร้อมโจมตีฝ่ายต่อต้าน และมีการสู้รบที่ฐานทัพอากาศในเมืองนี้เมื่อบ่ายวันจันทร์ แต่กองทัพปฏิเสธข่าวนี้
นายฟิลิป โครวลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลลิเบียกำลังรบกวนสัญญาณเครือข่ายข่าวอัล-จาซีราและอัล-ฮูรา ซึ่งเสนอข่าวสารตรงข้ามกับที่ พ.อ.กัดดาฟีอ้างว่าลิเบียกลับสู่ความสงบและพื้นที่ที่ถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยึดครองกำลังถูกปิดล้อม
นายบัน คี-มูน เลขาธิการยูเอ็น กล่าวว่า พ.อ.กัดดาฟีหมดความชอบธรรมตั้งแต่ประกาศทำสงครามกับประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมโลกสกัดกั้นไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหมือนกับที่นาซีสังหารชาวยิว 6 ล้านคน ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลา กล่าวว่า จะยังไม่ร่วมกระแสนานาชาติประณาม พ.อ.กัดดาฟีที่เป็นเพื่อนกันมานาน โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมทั้งเสนอให้ตั้งคณะไกล่เกลี่ยนานาชาติเพื่อหาทางออกอย่างสันติต่อเหตุลุกฮือต่อต้านผู้นำลิเบียที่เป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรทางการเมืองของเขา โดยได้หารือเรื่องนี้กับบางประเทศในกลุ่มโบลิวาเรียน (เอแอลบีเอ) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกาที่มีแนวคิดฝ่ายซ้าย และบางประเทศในยุโรปและอเมริกาใต้ โดยหวังว่าจะสามารถตั้งคณะทำงานที่เจรจาได้ทั้งกับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในลิเบีย
ด้านสมัชชาใหญ่แห่งยูเอ็นจัดประชุมเมื่อวันอังคารเพื่อหารือเรื่องข้อเรียกร้องของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นที่ลงมติเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเรียกร้องให้ระงับสมาชิกภาพของลิเบียในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อตอบโต้ที่ทางการลิเบียใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรงจนทำให้คาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ซักฟอกรัฐบาล
พรรคเพื่อไทยได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 9 รัฐมนตรีคือ 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายกรณ์ จาติกวณิช 3.นายจุติ ไกรฤกษ์ 4.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ 5.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล 6.นายโสภณ ซารัมย์ 7.นางพรทิวา นาคาศัย 8.นายศุภชัย โพธิ์สุ และ 9.นายกษิต ภิรมย์ เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลบริหารแผ่นดินล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีในรัฐบาลและบุคคลแวดล้อมกระทำการทุจริตคอร์รัปชัน แสวงหาประโยชน์อย่างกว้างขวาง การบริหารไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ขาดหลักธรรมาภิบาล ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจล้มเหลว และขาดวินัยการเงินการคลัง
ขณะเดียวกันยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ไร้วุฒิภาวะการเป็นผู้นำ พูดจาไม่มีสัจจะ และยังถือ 2 สัญชาติ อีกทั้งละเว้นและปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ในทางตรงกันข้ามกลับบังคับใช้กฎหมายโดยขาดความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ทำลายระบบราชการ ขยายความขัดแย้งแตกแยกในสังคม ล้มเหลวในการแก้ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งวิปรัฐบาลกำหนดการอภิปรายไว้ 2 วันคือ วันที่ 8-9 มีนาคมนี้
การอภิปรายยังรวมไปถึงการยื่นถอดถอนนายอภิสิทธิ์ออกจากนายกรัฐมนตรี 7 ประเด็น ซึ่งระบุว่า ไม่ปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน การตรากฎหมายและนโยบายตามที่แถลงไว้ในรัฐสภา มีเจตนาฉ้อฉล เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการต่างๆอย่างกว้างขวางมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมอีกด้วย
การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยพุ่งเป้าไปที่ 2 พรรคเท่านั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นคู่แข่งสำคัญทางการเมือง การอภิปรายจึงต้องทำให้ประชาชนเห็นถึงความบกพร่องและไร้ประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด แม้ในทางปฏิบัติแล้วพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถชนะคะแนนโหวตเลยก็ตาม ไม่ว่าการอภิปรายจะมีเนื้อหาและหลักฐานแน่นหนาแค่ไหน
ที่สำคัญการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะยุบสภา ปฏิวัติรัฐประหาร หรือเกิดสุญญากาศทางการเมืองจนต้องมีการใช้อำนาจพิเศษเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมืองก็ตาม ซึ่งผู้มีอำนาจและฝ่ายการเมืองต้องตอบคำถามตัวเองว่า จะร่วมกันช่วยกอบกู้บ้านเมืองหรือให้ประชาชนออกมากอบกู้ประเทศชาติเหมือนประเทศในกลุ่มอาหรับและแอฟริกาเหนือขณะนี้
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
ขณะเดียวกันยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ไร้วุฒิภาวะการเป็นผู้นำ พูดจาไม่มีสัจจะ และยังถือ 2 สัญชาติ อีกทั้งละเว้นและปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ในทางตรงกันข้ามกลับบังคับใช้กฎหมายโดยขาดความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ทำลายระบบราชการ ขยายความขัดแย้งแตกแยกในสังคม ล้มเหลวในการแก้ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งวิปรัฐบาลกำหนดการอภิปรายไว้ 2 วันคือ วันที่ 8-9 มีนาคมนี้
การอภิปรายยังรวมไปถึงการยื่นถอดถอนนายอภิสิทธิ์ออกจากนายกรัฐมนตรี 7 ประเด็น ซึ่งระบุว่า ไม่ปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน การตรากฎหมายและนโยบายตามที่แถลงไว้ในรัฐสภา มีเจตนาฉ้อฉล เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการต่างๆอย่างกว้างขวางมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมอีกด้วย
การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยพุ่งเป้าไปที่ 2 พรรคเท่านั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นคู่แข่งสำคัญทางการเมือง การอภิปรายจึงต้องทำให้ประชาชนเห็นถึงความบกพร่องและไร้ประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด แม้ในทางปฏิบัติแล้วพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถชนะคะแนนโหวตเลยก็ตาม ไม่ว่าการอภิปรายจะมีเนื้อหาและหลักฐานแน่นหนาแค่ไหน
ที่สำคัญการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะยุบสภา ปฏิวัติรัฐประหาร หรือเกิดสุญญากาศทางการเมืองจนต้องมีการใช้อำนาจพิเศษเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมืองก็ตาม ซึ่งผู้มีอำนาจและฝ่ายการเมืองต้องตอบคำถามตัวเองว่า จะร่วมกันช่วยกอบกู้บ้านเมืองหรือให้ประชาชนออกมากอบกู้ประเทศชาติเหมือนประเทศในกลุ่มอาหรับและแอฟริกาเหนือขณะนี้
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
คอป.กางบัญชี "91 ศพ" เจ็บนี้...ต้องชำระ..!!?
สัมภาษณ์พิเศษ โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์
"ผมเชื่อว่าที่สุดก็อาจต้องให้อภัยกัน แต่ทุกฝ่ายต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ความขัดแย้งไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ แต่จากนี้ไปความรุนแรงเหล่านี้จะเริ่มน้อยลง เพราะทุกฝ่ายรู้แล้วว่าความรุนแรงเป็นต้นเหตุความเจ็บปวด"
เมื่อแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 7 คน ถูกปล่อย หลายคนคิดว่า "ฝันร้าย" จากเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด
และแม้บทบาทของ "คณิต ณ นคร" ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความสมานฉันท์ (คอป.) ทั้งบนดิน-ใต้ดิน จะมีส่วนสำคัญ ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว
ทว่าภารกิจของ คอป. เหมือนเพิ่งเริ่มต้น..
"สมชาย หอมลออ" กรรมการและเลขานุการ คอป. อธิบายวิธีชำระความคับแค้น-คลุ้มคลั่ง-และคดีฆาตกรรม ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผู้เสียชีวิต 91 ศพ และบาดเจ็บอีกราว 2 พันคน ว่าจะต้องใช้ "ความจริง" เยียวยาผู้เสียหาย พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไม่มีละเว้น
เขาเริ่มกล่าวว่า ขณะนี้สังคมเริ่มไขว้เขว เพราะผู้นำบางคนชักจูงให้ทุกฝ่ายลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แลกกับความสมานฉันท์ในบ้านเมือง แต่ขอยืนยันว่าทำแบบนั้นไม่ได้!
"เชื่อหรือไม่ว่าในเหตุจลาจลปี 2553 แม้แต่ผู้ที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บางคน ก็ยังมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างความขัดแย้งครั้งนี้ เพราะบาดแผลที่เขาได้รับ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เขาเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเหตุการณ์ ดังนั้น การให้อภัย โดยบอกว่าลืมกันเสียเถิด มันเป็นไปไม่ได้"
เพราะ 35 ปีผ่านไป เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่ได้รับการ "ชำระ" ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และใครควรรับผิดชอบ
วาทกรรม "ให้ลืมๆ กันไป" จึงไม่ใช่แค่การ "ซุกขยะไว้ใต้พรม" แต่เหมือนกับ "กอดระเบิดเวลาไว้กับตัว"
ในมุมมองของ "สมชาย" ยารักษาแผลใจที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของทุกฝ่าย จึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่า "ความจริง"
อนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงที่เขาเป็นประธาน จึงกำหนดวันรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง (Hearing) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-19 เมษายน 2554 เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าฝ่ายทหาร ผู้ชุมนุม และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ มานั่ง "เปิดใจ" พูดถึงสิ่งที่ได้เห็น-ได้ทำ-ได้คิด ระหว่างเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้น
การเปิดเวทีรับฟังข้อมูลที่ผ่านมา ไม่เพียงพบสิ่งที่น่าสนใจ เช่น นายทหารยศ "พันเอก" ผู้คุมกำลังในเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 กล่าว "ขอโทษ" ผู้ชุมนุม ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสูญเสีย ยังทำให้ "คู่ขัดแย้ง" ได้มาร่วมโต๊ะเจรจา-ปรับทุกข์
ภาพความเอื้ออาทรระหว่างคนเสื้อเขียว-เสื้อแดง จึงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนเวทีแห่งนี้
"สมชาย" มองว่าสิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการค้นหาความจริง คือการเยียวยาผู้สูญเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เพียงการให้เงินชดเชยเท่านั้น
"การเยียวยาที่ผู้เสียหายได้รับปัจจุบัน เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายปกติเท่านั้น ทั้งที่ความสูญเสียดังกล่าว เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไม่ปกติ ทำให้คน 500-600 คน ถูกกีดกันไม่ได้รับเงินชดเชย ดังนั้น คอป.จะทำเรื่องให้รัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหานี้"
เขาพบว่า 1 ในวิธีเยียวยาที่สุดคือ "ท่าที" ของอีกฝ่าย ทั้งการแสดงความเสียใจ หรือการเอ่ยคำขอโทษ ซึ่งถึงวันนี้ยังไม่เคยได้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวทั้งจากแกนนำผู้ชุมนุม หรือคนในรัฐบาล!
ซึ่งอาจเป็นเพราะคนที่จะกล่าวคำขอโทษได้ต้องรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกผิดก่อน?
"เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความถูกหรือผิด ขาวหรือดำเท่านั้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทุกคนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย ความรู้สึกร่วมต้องมี ความเสียใจต้องมี แต่นักการเมืองจะต่างจากชาวบ้าน ที่จะทำอะไรมักคิดถึงผลทางการเมืองก่อน เชื่อไหมว่าถ้าปิดห้อง คนพวกนี้จะคุยกันอีกแบบ คุยกันเหมือนเพื่อน เพราะเขารู้จักกันหมด แต่พอไมค์จ่อปากจะพูด เพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นคะแนนเสียงได้"
แน่นอนว่าภารกิจสำคัญที่สุดของ คอป.ยังได้แก่การหาคำตอบ-คลายปริศนา "91 ศพ" เกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้ด้านหนึ่ง คอป.จะดูเหมือนทำงานคู่ขนานไปกับการสืบสวนสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษของ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)"
แต่อีกด้าน คอป.จะลงลึกกว่าดีเอสไอ เพราะดูไปถึง "มูลเหตุจูงใจ" ว่าการ "เหนี่ยวไก" เป็นเพราะอะไร คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู? สถานการณ์บีบคั้น? ลั่นกระสุนเพื่อป้องกันตัว?
แม้ระบบกฎหมายของไทยดีพอสมควร แต่การนำไปใช้ยังเป็นปัญหา เป็นเหตุให้หลายๆ คดี "คนผิด ลอยนวล"
"ปัญหาส่วนใหญ่คือกฎหมายของเราถูกบิดเบือน ผมทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมา พบปัญหาการบังคับใช้กฎหมายบ้านเราคือ แนวคิดที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เราก็จะตรวจสอบด้วย เหมือนกรณีที่ดีเอสไอส่งสำนวนให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพ 13 ศพ แต่ไม่มีความคืบหน้า คอป.ก็จะเข้าไปตรวจสอบ"
ส่วนถ้า "ชุดความจริง" ของ คอป.ออกมาไม่ตรงกับดีเอสไอ สังคมจะเชื่อข้อมูลฝ่ายใด เป็นเรื่องที่เขาตอบแทนไม่ได้
ส่วนท่าที คอป.ที่ดูเหมือน "แอบแดง" เข้าข้างผู้ชุมนุม ทำให้หน่วยงานรัฐบางหน่วยยึกยักในการให้ข้อมูล เขาเผยว่าที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากดีเอสไอในระดับ "ดี" จากทหาร "พอสมควร" แต่ "ไม่ได้รับ" จากตำรวจเลย
เป็นเหตุให้ คอป.ต้องฟ้องรัฐบาลให้ "กระตุ้น" ผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่น่าแปลกคือผู้ชุมนุมบางส่วนก็ไม่ให้ความร่วมมือ เพราะถูก "กีดกัน" จากผู้มีอิทธิพล-นักการเมืองบางคน?
เมื่อถามว่าถึงนาทีนี้ คอป.สรุปได้หรือยังว่าความรุนแรงเกิดจากอะไร?
"บางคนเชื่อว่ามีการวางแผน แต่หลายคนเชื่อว่าเป็นปฏิกิริยาปิงปอง แต่ผมคิดว่าอาจเป็นได้ทั้งปฏิกิริยาปิงปอง และมีความตั้งใจผสมอยู่ด้วย" เขาตอบ
เขายกว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความคับแค้นอยู่ในใจ ฝ่ายเสื้อแดงเคยถูกปราบช่วงสงกรานต์เลือดเมื่อปี 2552 จึงมาแก้แค้น ฝ่ายทหารก็เจ็บใจที่ถูกหยามศักดิ์ศรี ถูกบังคับให้กราบในเหตุการณ์ที่สถานีดาวเทียมไทยคม เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่-กระชับวงล้อม มีคนเจ็บตายจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากภารกิจ "บนดิน" คอป.ยังมีภารกิจ "ใต้ดิน" ซึ่งน้อยคนจะรู้ โดยอาศัย "คอนเน็คชั่นพิเศษ" ของกรรมการบางคน เดินสายเจรจาให้ทุกฝ่ายเดินเข้าสู่การเลือกตั้ง
แม้ "สมชาย" จะปฏิเสธให้รายละเอียด "คณะทำงานลับ" โดยบอกเพียงว่า "วงเจรจามีหลายวง" แต่ก็ฉายให้เห็นว่าการทำงานของ คอป.นั้น "ไม่ธรรมดา"
ทว่า ด้วยอำนาจที่มีเพียง "ค้นหาความจริง" ตามเป้าหมาย "เพื่อความสมานฉันท์" หลายฝ่ายจึงปรามาสว่า คอป. เป็นเพียงองค์กรปาหี่-ที่ตั้งมาเพื่อฟอกความผิดให้รัฐบาล?
เขาชี้แจง "ข้อครหาฉกรรจ์" ว่าแม้ คอป.จะไม่มีอำนาจสั่งลงโทษใคร แต่กระบวนการค้นหาความจริงที่ทำอย่างเปิดเผย จะทำให้สังคมไทยเกิดการเรียนรู้
"ผมเชื่อว่าที่สุดก็อาจต้องให้อภัยกัน แต่ทุกฝ่ายต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ และยอมรับความจริงก่อน ความขัดแย้งในเมืองไทยเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี แต่จากนี้ไปความรุนแรงเหล่านี้จะเริ่มน้อยลง เพราะทุกฝ่ายรู้แล้วว่าความรุนแรงเป็นต้นเหตุความเจ็บปวดของทุกฝ่าย"
ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของ "9 อรหันต์ คอป." ที่จะไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก!!!
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"ผมเชื่อว่าที่สุดก็อาจต้องให้อภัยกัน แต่ทุกฝ่ายต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ความขัดแย้งไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ แต่จากนี้ไปความรุนแรงเหล่านี้จะเริ่มน้อยลง เพราะทุกฝ่ายรู้แล้วว่าความรุนแรงเป็นต้นเหตุความเจ็บปวด"
เมื่อแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 7 คน ถูกปล่อย หลายคนคิดว่า "ฝันร้าย" จากเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด
และแม้บทบาทของ "คณิต ณ นคร" ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความสมานฉันท์ (คอป.) ทั้งบนดิน-ใต้ดิน จะมีส่วนสำคัญ ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว
ทว่าภารกิจของ คอป. เหมือนเพิ่งเริ่มต้น..
"สมชาย หอมลออ" กรรมการและเลขานุการ คอป. อธิบายวิธีชำระความคับแค้น-คลุ้มคลั่ง-และคดีฆาตกรรม ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผู้เสียชีวิต 91 ศพ และบาดเจ็บอีกราว 2 พันคน ว่าจะต้องใช้ "ความจริง" เยียวยาผู้เสียหาย พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไม่มีละเว้น
เขาเริ่มกล่าวว่า ขณะนี้สังคมเริ่มไขว้เขว เพราะผู้นำบางคนชักจูงให้ทุกฝ่ายลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แลกกับความสมานฉันท์ในบ้านเมือง แต่ขอยืนยันว่าทำแบบนั้นไม่ได้!
"เชื่อหรือไม่ว่าในเหตุจลาจลปี 2553 แม้แต่ผู้ที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บางคน ก็ยังมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างความขัดแย้งครั้งนี้ เพราะบาดแผลที่เขาได้รับ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เขาเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเหตุการณ์ ดังนั้น การให้อภัย โดยบอกว่าลืมกันเสียเถิด มันเป็นไปไม่ได้"
เพราะ 35 ปีผ่านไป เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่ได้รับการ "ชำระ" ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และใครควรรับผิดชอบ
วาทกรรม "ให้ลืมๆ กันไป" จึงไม่ใช่แค่การ "ซุกขยะไว้ใต้พรม" แต่เหมือนกับ "กอดระเบิดเวลาไว้กับตัว"
ในมุมมองของ "สมชาย" ยารักษาแผลใจที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของทุกฝ่าย จึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่า "ความจริง"
อนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงที่เขาเป็นประธาน จึงกำหนดวันรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง (Hearing) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-19 เมษายน 2554 เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าฝ่ายทหาร ผู้ชุมนุม และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ มานั่ง "เปิดใจ" พูดถึงสิ่งที่ได้เห็น-ได้ทำ-ได้คิด ระหว่างเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้น
การเปิดเวทีรับฟังข้อมูลที่ผ่านมา ไม่เพียงพบสิ่งที่น่าสนใจ เช่น นายทหารยศ "พันเอก" ผู้คุมกำลังในเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 กล่าว "ขอโทษ" ผู้ชุมนุม ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสูญเสีย ยังทำให้ "คู่ขัดแย้ง" ได้มาร่วมโต๊ะเจรจา-ปรับทุกข์
ภาพความเอื้ออาทรระหว่างคนเสื้อเขียว-เสื้อแดง จึงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนเวทีแห่งนี้
"สมชาย" มองว่าสิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการค้นหาความจริง คือการเยียวยาผู้สูญเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เพียงการให้เงินชดเชยเท่านั้น
"การเยียวยาที่ผู้เสียหายได้รับปัจจุบัน เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายปกติเท่านั้น ทั้งที่ความสูญเสียดังกล่าว เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไม่ปกติ ทำให้คน 500-600 คน ถูกกีดกันไม่ได้รับเงินชดเชย ดังนั้น คอป.จะทำเรื่องให้รัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหานี้"
เขาพบว่า 1 ในวิธีเยียวยาที่สุดคือ "ท่าที" ของอีกฝ่าย ทั้งการแสดงความเสียใจ หรือการเอ่ยคำขอโทษ ซึ่งถึงวันนี้ยังไม่เคยได้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวทั้งจากแกนนำผู้ชุมนุม หรือคนในรัฐบาล!
ซึ่งอาจเป็นเพราะคนที่จะกล่าวคำขอโทษได้ต้องรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกผิดก่อน?
"เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความถูกหรือผิด ขาวหรือดำเท่านั้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทุกคนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย ความรู้สึกร่วมต้องมี ความเสียใจต้องมี แต่นักการเมืองจะต่างจากชาวบ้าน ที่จะทำอะไรมักคิดถึงผลทางการเมืองก่อน เชื่อไหมว่าถ้าปิดห้อง คนพวกนี้จะคุยกันอีกแบบ คุยกันเหมือนเพื่อน เพราะเขารู้จักกันหมด แต่พอไมค์จ่อปากจะพูด เพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นคะแนนเสียงได้"
แน่นอนว่าภารกิจสำคัญที่สุดของ คอป.ยังได้แก่การหาคำตอบ-คลายปริศนา "91 ศพ" เกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้ด้านหนึ่ง คอป.จะดูเหมือนทำงานคู่ขนานไปกับการสืบสวนสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษของ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)"
แต่อีกด้าน คอป.จะลงลึกกว่าดีเอสไอ เพราะดูไปถึง "มูลเหตุจูงใจ" ว่าการ "เหนี่ยวไก" เป็นเพราะอะไร คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู? สถานการณ์บีบคั้น? ลั่นกระสุนเพื่อป้องกันตัว?
แม้ระบบกฎหมายของไทยดีพอสมควร แต่การนำไปใช้ยังเป็นปัญหา เป็นเหตุให้หลายๆ คดี "คนผิด ลอยนวล"
"ปัญหาส่วนใหญ่คือกฎหมายของเราถูกบิดเบือน ผมทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมา พบปัญหาการบังคับใช้กฎหมายบ้านเราคือ แนวคิดที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เราก็จะตรวจสอบด้วย เหมือนกรณีที่ดีเอสไอส่งสำนวนให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพ 13 ศพ แต่ไม่มีความคืบหน้า คอป.ก็จะเข้าไปตรวจสอบ"
ส่วนถ้า "ชุดความจริง" ของ คอป.ออกมาไม่ตรงกับดีเอสไอ สังคมจะเชื่อข้อมูลฝ่ายใด เป็นเรื่องที่เขาตอบแทนไม่ได้
ส่วนท่าที คอป.ที่ดูเหมือน "แอบแดง" เข้าข้างผู้ชุมนุม ทำให้หน่วยงานรัฐบางหน่วยยึกยักในการให้ข้อมูล เขาเผยว่าที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากดีเอสไอในระดับ "ดี" จากทหาร "พอสมควร" แต่ "ไม่ได้รับ" จากตำรวจเลย
เป็นเหตุให้ คอป.ต้องฟ้องรัฐบาลให้ "กระตุ้น" ผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่น่าแปลกคือผู้ชุมนุมบางส่วนก็ไม่ให้ความร่วมมือ เพราะถูก "กีดกัน" จากผู้มีอิทธิพล-นักการเมืองบางคน?
เมื่อถามว่าถึงนาทีนี้ คอป.สรุปได้หรือยังว่าความรุนแรงเกิดจากอะไร?
"บางคนเชื่อว่ามีการวางแผน แต่หลายคนเชื่อว่าเป็นปฏิกิริยาปิงปอง แต่ผมคิดว่าอาจเป็นได้ทั้งปฏิกิริยาปิงปอง และมีความตั้งใจผสมอยู่ด้วย" เขาตอบ
เขายกว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความคับแค้นอยู่ในใจ ฝ่ายเสื้อแดงเคยถูกปราบช่วงสงกรานต์เลือดเมื่อปี 2552 จึงมาแก้แค้น ฝ่ายทหารก็เจ็บใจที่ถูกหยามศักดิ์ศรี ถูกบังคับให้กราบในเหตุการณ์ที่สถานีดาวเทียมไทยคม เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่-กระชับวงล้อม มีคนเจ็บตายจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากภารกิจ "บนดิน" คอป.ยังมีภารกิจ "ใต้ดิน" ซึ่งน้อยคนจะรู้ โดยอาศัย "คอนเน็คชั่นพิเศษ" ของกรรมการบางคน เดินสายเจรจาให้ทุกฝ่ายเดินเข้าสู่การเลือกตั้ง
แม้ "สมชาย" จะปฏิเสธให้รายละเอียด "คณะทำงานลับ" โดยบอกเพียงว่า "วงเจรจามีหลายวง" แต่ก็ฉายให้เห็นว่าการทำงานของ คอป.นั้น "ไม่ธรรมดา"
ทว่า ด้วยอำนาจที่มีเพียง "ค้นหาความจริง" ตามเป้าหมาย "เพื่อความสมานฉันท์" หลายฝ่ายจึงปรามาสว่า คอป. เป็นเพียงองค์กรปาหี่-ที่ตั้งมาเพื่อฟอกความผิดให้รัฐบาล?
เขาชี้แจง "ข้อครหาฉกรรจ์" ว่าแม้ คอป.จะไม่มีอำนาจสั่งลงโทษใคร แต่กระบวนการค้นหาความจริงที่ทำอย่างเปิดเผย จะทำให้สังคมไทยเกิดการเรียนรู้
"ผมเชื่อว่าที่สุดก็อาจต้องให้อภัยกัน แต่ทุกฝ่ายต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ และยอมรับความจริงก่อน ความขัดแย้งในเมืองไทยเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี แต่จากนี้ไปความรุนแรงเหล่านี้จะเริ่มน้อยลง เพราะทุกฝ่ายรู้แล้วว่าความรุนแรงเป็นต้นเหตุความเจ็บปวดของทุกฝ่าย"
ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของ "9 อรหันต์ คอป." ที่จะไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก!!!
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)