สำนักงาน กกต.ระบุ 7 แกนนำ นปช.สามารถลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ หลังพบคุณสมบัติยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ 7 แกนนำ นปช.ประกาศจะลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า จากข้อมูลเบื้องต้นคิดว่า คุณสมบัติของ 7 แกนนำฯ ยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เนื่องจากการถูกควบคุมตัวในเรือนจำที่ผ่านมาในคดีก่อการร้ายนั้น ถือเป็นการควบคุมตัวในระหว่างที่รอการพิจารณา แต่คดียังไม่มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดออกมา ซึ่งหากดูกันในลักษณะนี้ ถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ต้องดูต่อไปด้วยว่า ยังมีคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงด้วยอีกหรือไม่ ส่วนเมื่อหากได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก ก็จะมีผลต่อสถานะการเป็น ส.ส. ซึ่งอาจต้องสิ้นสุดลง
“กรณีนี้จะใกล้เคียงกับรายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีกรณีเรื่องคดีรถดับเพลิง ในสมัยที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ผลของคดียังไม่สิ้นสุด นายอภิรักษ์จึงลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็น ส.ส.กทม. จากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 กทม.ที่ผ่านมา แต่หากต่อไปคดีรถดับเพลิงมีคำพิพากษาว่า นายอภิรักษ์มีความผิดจริง ก็จะส่งผลต่อสถานะทันที” นายประพันธ์ กล่าว.
ที่มา.สำนักข่าวไทย
//////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เบนกาซีร์ กรุงทริโปลีแทบจะเป็นเมืองร้าง คนไม่กล้าเดินถนน
สถานีโทรทัศน์ AP ได้แพร่ภาพที่ระบุว่าบันทึกโดยช่างภาพสมัครเล่น ที่แสดงให้เห็นการปะทะกันอย่างรุนแรง และการประท้วงที่เมืองท่าเบนกาซี ของลิเบีย โดยภาพที่ถูกระบุว่า บันทึกไว้เมื่อวันจันทร์ ได้แสดงให้เห็นประชาชนวิ่งหาที่กำบังบริเวณข้างถนน ท่างกลางเสียงปืนดังสนั่นที่เกิดจากการยิงปะกันอย่างดุเดือด และยังมีระเบิดเพลิงที่ถูกขว้างใส่รถยนต์ที่กำลังวิ่งเข้ามาอีกด้วย ภาพที่ถูกนำเผยแพร่นี้ ยังไม่ได้รับการตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่ถูกระบุว่า ได้รับผ่านทางนายจอร์จ ซูโคเมล ชาวแคนาดาจากคอลลิ่งวู้ด ออนตาริโอ ที่ทำงานอยู่บริษัทก่อสร้างของเยอรมนีชื่อ อาร์คาดิส และเพิ่งจะได้รับการอพยพออกจากลิเบียโดยเรือของตุรกี ซึ่งนายซูโคเมลบอกว่า มีคนให้เขานำวิดีโอชุดนี้ออกนอกลิเบีย ซึ่งคนที่ถ่ายทำวิดีโอชุดนี้ ได้อธิบายเหตุการณ์ปะทะเดือดที่เกิดขึ้นว่า มีหลายศพห้อยจากเสาไฟฟ้า และพวกทหารบ้านก็ขับรถบรรทุกศพไปทั่วเมือง ส่วนบ้านพักและสำนักงานของบริษัทอาคาร์ดิส ในเบนกาซี ได้ถูกบุก ส่วนรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์จำนวนมาก ถูกปล้นไปจนหมด
ด้านคณะแพทย์ของโรงพยาบาลสนามที่จตุรัสมาร์ไทร์ ในเมืองซาวิยา เปิดเผยในวันนี้ว่า มีผู้เสียชีวิต 17 คน และอีก 150 คน ได้รับาดเจ็บ ตอนที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลถล่มเมือง และว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะสูงกว่านี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลที่ถูกจับได้ 6 นาย สารภาพว่า พวกเขาได้รับแจ้งว่า เมืองซาวิยาตกอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธอาหรับ และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปลดปล่อยเมืองนี้พวกทหารยอมรับว่า ได้รับการชี้นำผิด ๆ ทำให้พวกเขาต้องมาต่อสู้กับคนชาติเดียวกันเอง การประท้วงที่ดำเนินมา 10 วัน ได้ส่งผลให้พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ต้องสูญเสียการควบคุมพื้นที่ทางตะวันออก และสมาชิกในรัฐบาลของเขาหลายคน พากันแปรพักตร์ ทั้งยังเผชิญกับกระแสกดดันจากนานาชาติครั้งใหม่ โดยเมื่อวานนี้ สวิตเซอร์แลนด์ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของเขาและคนใกล้ชิดแล้ว
สำนักข่าว CNN ระบุว่า ในขณะที่มีรายงานว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถยึดเมืองเบนกาซีเมืองมิสราตา และอัซ ซินตัน เอาไว้ได้นั้น แต่ในกรุงทริโปลี ที่เมืองหลวง ยังคงมีการยิงใส่ผู้ประท้วงจนแตกกระเจิง เมื่อวันพฤหัสบดี จนกลายเมืองร้าง ประชาชนไม่กล้าออกไปเดินตามถนน ไม่กล้าแม่แต่จะโผล่หน้าต่างออกไปดูเหตุการณ์ และไม่กล้าพูดคุยกับผู้สื่อข่าวมีบางคนบอกว่า พยายามซ่อนตัว หลังมีข่าวการลักพาตัวเกิดขึ้นที่บ้านหลายหลัง
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ด้านคณะแพทย์ของโรงพยาบาลสนามที่จตุรัสมาร์ไทร์ ในเมืองซาวิยา เปิดเผยในวันนี้ว่า มีผู้เสียชีวิต 17 คน และอีก 150 คน ได้รับาดเจ็บ ตอนที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลถล่มเมือง และว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะสูงกว่านี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลที่ถูกจับได้ 6 นาย สารภาพว่า พวกเขาได้รับแจ้งว่า เมืองซาวิยาตกอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธอาหรับ และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปลดปล่อยเมืองนี้พวกทหารยอมรับว่า ได้รับการชี้นำผิด ๆ ทำให้พวกเขาต้องมาต่อสู้กับคนชาติเดียวกันเอง การประท้วงที่ดำเนินมา 10 วัน ได้ส่งผลให้พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ต้องสูญเสียการควบคุมพื้นที่ทางตะวันออก และสมาชิกในรัฐบาลของเขาหลายคน พากันแปรพักตร์ ทั้งยังเผชิญกับกระแสกดดันจากนานาชาติครั้งใหม่ โดยเมื่อวานนี้ สวิตเซอร์แลนด์ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของเขาและคนใกล้ชิดแล้ว
สำนักข่าว CNN ระบุว่า ในขณะที่มีรายงานว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถยึดเมืองเบนกาซีเมืองมิสราตา และอัซ ซินตัน เอาไว้ได้นั้น แต่ในกรุงทริโปลี ที่เมืองหลวง ยังคงมีการยิงใส่ผู้ประท้วงจนแตกกระเจิง เมื่อวันพฤหัสบดี จนกลายเมืองร้าง ประชาชนไม่กล้าออกไปเดินตามถนน ไม่กล้าแม่แต่จะโผล่หน้าต่างออกไปดูเหตุการณ์ และไม่กล้าพูดคุยกับผู้สื่อข่าวมีบางคนบอกว่า พยายามซ่อนตัว หลังมีข่าวการลักพาตัวเกิดขึ้นที่บ้านหลายหลัง
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
กสท.ฟ้องเอาผิดครม."ทักษิณ" แก้สัมปทานทำสูญ4หมื่นล้าน "ทีโอที"เตรียมฟ้องเอไอเอส
บอร์ด กสท มีมติฟ้องศาลปกครองเอาผิด ครม.ชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนหมดอายุความ 26 ก.พ. แก้มติหักส่วนแบ่งรายได้ทำเสียรายได้ 4 หมื่นล้าน ทีโอทีเล็งฟ้องเอไอเอสด้วย ลือทั้งวันบอร์ดทีโอทีลาออกยกชุด
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางเข้าพบนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อรายงานมติการประชุมบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท กล่าวว่า บอร์ดมีมติจะฟ้องร้องเอาผิดคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบว่าด้วยการหักส่วนแบ่งรายได้ 10% เป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้กสท ได้รับความเสียหาย 40,000 ล้านบาท โดยวันที่ 25 กุมภาพันธ์จะไปกระทรวงการคลังเพื่อศึกษาแนวทางการฟ้องร้อง ก่อนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในวันเดียวกัน ก่อนหมดอายุความในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่ง กสท ได้ยื่นฟ้องคู่สัญญาสัมปทาน คือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือ ดีพีซี ไปก่อนหน้าแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอที มีนโยบายจะฟ้องร้องคู่สัญญาบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือเรียกค่าเสียหาย (Notice) ไปแล้ว
นายจุติกล่าวว่า การฟ้องร้องขึ้นอยู่กับ 2 หน่วยงาน และคงต้องรอคำตอบจากภาคเอกชนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ก่อนนำเรื่องเสนอ ครม.ต่อไป หากนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง มีเวลาดำเนินการถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่หากคำตอบภาคเอกชนมีแนวโน้มไปสู่การเจรจาที่ดี ก็สามารถขอ ครม. ขยายเวลาได้ ได้ตำหนินายหรรษา ชีวะพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมาย กสท ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจจะฟ้องตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมานานแล้วเกือบปี นายจุติกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่บอร์ดทีโอที 5 คน ลาออก ได้รับแจ้งว่าเป็นผลจากเอไอเอสได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนถึงกรรมการทีโอทีทุกคนโดยตรงถึงบ้าน ทำให้เกิดความกังวล ก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้กรรมการที่เหลืออยู่ 7 คน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประชุมบอร์ดได้
นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวชี้แจงว่า เพราะที่ทีโอทีไม่มีผู้รับจดหมาย จึงจำเป็นต้องส่งที่บ้านบอร์ดทีโอทีโดยตรงเพื่อให้ถึงมือผู้รับ
ผู้สื่อข่ายรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีกระแสข่าวสะพัดว่าบอร์ดทีโอที เตรียมลาออกเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลให้การประชุมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ต้องยกเลิก รวมถึงอาจส่งผลต่อการอนุมัติโครงการ 3 จี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของทีโอทีด้วย
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางเข้าพบนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อรายงานมติการประชุมบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท กล่าวว่า บอร์ดมีมติจะฟ้องร้องเอาผิดคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบว่าด้วยการหักส่วนแบ่งรายได้ 10% เป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้กสท ได้รับความเสียหาย 40,000 ล้านบาท โดยวันที่ 25 กุมภาพันธ์จะไปกระทรวงการคลังเพื่อศึกษาแนวทางการฟ้องร้อง ก่อนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในวันเดียวกัน ก่อนหมดอายุความในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่ง กสท ได้ยื่นฟ้องคู่สัญญาสัมปทาน คือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือ ดีพีซี ไปก่อนหน้าแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอที มีนโยบายจะฟ้องร้องคู่สัญญาบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือเรียกค่าเสียหาย (Notice) ไปแล้ว
นายจุติกล่าวว่า การฟ้องร้องขึ้นอยู่กับ 2 หน่วยงาน และคงต้องรอคำตอบจากภาคเอกชนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ก่อนนำเรื่องเสนอ ครม.ต่อไป หากนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง มีเวลาดำเนินการถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่หากคำตอบภาคเอกชนมีแนวโน้มไปสู่การเจรจาที่ดี ก็สามารถขอ ครม. ขยายเวลาได้ ได้ตำหนินายหรรษา ชีวะพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมาย กสท ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจจะฟ้องตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมานานแล้วเกือบปี นายจุติกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่บอร์ดทีโอที 5 คน ลาออก ได้รับแจ้งว่าเป็นผลจากเอไอเอสได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนถึงกรรมการทีโอทีทุกคนโดยตรงถึงบ้าน ทำให้เกิดความกังวล ก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้กรรมการที่เหลืออยู่ 7 คน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประชุมบอร์ดได้
นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวชี้แจงว่า เพราะที่ทีโอทีไม่มีผู้รับจดหมาย จึงจำเป็นต้องส่งที่บ้านบอร์ดทีโอทีโดยตรงเพื่อให้ถึงมือผู้รับ
ผู้สื่อข่ายรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีกระแสข่าวสะพัดว่าบอร์ดทีโอที เตรียมลาออกเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลให้การประชุมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ต้องยกเลิก รวมถึงอาจส่งผลต่อการอนุมัติโครงการ 3 จี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของทีโอทีด้วย
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ผู้อพยพจากลิเบียทะลักเข้าตูนิเซีย/ชาวต่างชาติแออัดที่สนามบินทริโปลี
ผู้อพยพหลายร้อยคนจากลิเบีย ได้ข้ามพรมแดนไปยังตุรกี เมื่อวันพุธ ในขณะที่ขอบเขตพื้นที่การควบคุมของพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ทะยอยหลุดมือไปเรื่อย ๆ จากการที่เมืองใหญ่และเล็กหลายเมือง ที่อยู่ใกล้กับกรุงทริโปลี ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่ต่อต้านเขา ท่ามกลางรายงานข่าวที่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังเข้าตอบโต้ของฝ่ายรัฐบาลระหว่าง640 - 1,000 คน โดยเฉพาะที่เมืองมิสราตานั้น ทหารรับจ้างได้ยิงปืนกลและจรวดอาร์พีจีเข้าใส่ผู้ประท้วง และเกรงว่า พวกเขาเตรียมลงมือซ้ำอีก
พวกฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศ ที่ถูกตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิงนั้น ได้ประกาศจะปลดปล่อยกรุงทริโปลี ที่ผู้นำลิเบียยังคงกบดานอยู่กับขุมกำลังที่ออกไปอาละวาดไล่เข่นฆ่าประชาชนตามท้องถนน แต่มีสัญญาณว่า อำนาจของเขาได้ถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ เมื่อนักบินของเครื่องบินรบในสังกัดกองทัพอากาศ 2 นาย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มาจากชนเผ่าเดียวกับพันเอกกัดดาฟี่ ได้ดีดตัวออกจากเครื่องบิน และปล่อยให้เครื่องบินรบทั้งสองลำไปตกในทะเลทรายทางตะวันออก อันเป็นการขัดขืนคำสั่งที่ให้พวกเขาไปถล่มเมืองเบนกาซี
นานาชาติ กำลังหาทางตอบโต้รัฐบาลของพันเอกกัดดาฟี่ ที่ใช้ความรุนแรงกวาดล้างผู้ประท้วงโดยทำเนียบขาว ระบุว่า กำลังตรวจสอบทางเลือกที่จะเล่นงานลิเบียให้ยุติการใช้ความรุนแรงที่รวมทั้งการคว่ำบาตร ส่วนประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โคซี่ ของฝรั่งเศส ยกความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรป หรือ อียู จะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับลิเบีย นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้สหประชาชาติ ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เครื่องบินรบยิงถล่มผู้ประท้วง
มีรายงานว่า พันเอกกัดดาฟี่ กำลังจะสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาคตะวันตกที่อยู่รอบ ๆ กรุงทริโปลี รวมถึงพื้นที่ทะเลทรายทางตอนใต้ และอีกหลายส่วนทางภาคกลาง และเขากำลังต่อสู้เพื่อจะยึดพื้นที่เหล่านี้คืน ในขณะที่ผู้ประท้วงรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นในพื้นที่ทางตะวันออก และชาวต่างชาติยังคงพยายามเดินทางออกจากลิเบีย จนเกิดความโกลาหลที่สนามบินทริโปลี ชาวอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า มีคนอยากจะเดินทางไปที่สนามบิน แต่ยังกลัว เนื่องจากมีทหารเต็มถนนและยังปล้นคนที่ผ่านไป-มาอีกด้วย ส่วนนักบินของสายการบินมอลต้า ระบุว่าเห็นคนต่อสู้กันเพื่อแย่งกันขึ้นเครื่องบิน
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
พวกฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศ ที่ถูกตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิงนั้น ได้ประกาศจะปลดปล่อยกรุงทริโปลี ที่ผู้นำลิเบียยังคงกบดานอยู่กับขุมกำลังที่ออกไปอาละวาดไล่เข่นฆ่าประชาชนตามท้องถนน แต่มีสัญญาณว่า อำนาจของเขาได้ถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ เมื่อนักบินของเครื่องบินรบในสังกัดกองทัพอากาศ 2 นาย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มาจากชนเผ่าเดียวกับพันเอกกัดดาฟี่ ได้ดีดตัวออกจากเครื่องบิน และปล่อยให้เครื่องบินรบทั้งสองลำไปตกในทะเลทรายทางตะวันออก อันเป็นการขัดขืนคำสั่งที่ให้พวกเขาไปถล่มเมืองเบนกาซี
นานาชาติ กำลังหาทางตอบโต้รัฐบาลของพันเอกกัดดาฟี่ ที่ใช้ความรุนแรงกวาดล้างผู้ประท้วงโดยทำเนียบขาว ระบุว่า กำลังตรวจสอบทางเลือกที่จะเล่นงานลิเบียให้ยุติการใช้ความรุนแรงที่รวมทั้งการคว่ำบาตร ส่วนประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โคซี่ ของฝรั่งเศส ยกความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรป หรือ อียู จะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับลิเบีย นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้สหประชาชาติ ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เครื่องบินรบยิงถล่มผู้ประท้วง
มีรายงานว่า พันเอกกัดดาฟี่ กำลังจะสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาคตะวันตกที่อยู่รอบ ๆ กรุงทริโปลี รวมถึงพื้นที่ทะเลทรายทางตอนใต้ และอีกหลายส่วนทางภาคกลาง และเขากำลังต่อสู้เพื่อจะยึดพื้นที่เหล่านี้คืน ในขณะที่ผู้ประท้วงรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นในพื้นที่ทางตะวันออก และชาวต่างชาติยังคงพยายามเดินทางออกจากลิเบีย จนเกิดความโกลาหลที่สนามบินทริโปลี ชาวอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า มีคนอยากจะเดินทางไปที่สนามบิน แต่ยังกลัว เนื่องจากมีทหารเต็มถนนและยังปล้นคนที่ผ่านไป-มาอีกด้วย ส่วนนักบินของสายการบินมอลต้า ระบุว่าเห็นคนต่อสู้กันเพื่อแย่งกันขึ้นเครื่องบิน
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อันเนื่องมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามการค้า
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
หน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของทูตทั่วโลกผู้ไปประจำอยู่ต่างแดนคือ การรายงานและประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ตนเองประจำอยู่กลับไปยังผู้บังคับบัญชาในประเทศของตนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรายงานเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นรายงานลับ โดยที่ผู้ที่ศึกษาแสวงหาความจริงเช่นนักวิชาการทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นรายงานเหล่านี้เลย นอกจากมีปรากฏการณ์วิกิลีกส์ที่มีมือดีเอาออกมาเผยแพร่ให้ฮือฮากันเป็นเรื่องฉาวโฉ่เมื่อเร็วๆ นี้เอง
นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองทั่วโลกในปัจจุบันนี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับขุมทรัพย์ทางวิชาการที่ถูกเปิดออกมาให้นักวิชาการได้ศึกษาตามหอจดหมายเหตุ ของบรรดาอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ที่เอารายงานของทูตคอมมิวนิสต์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรายงานประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ทูตเหล่านั้นประจำอยู่ในช่วงเวลานั้นกลับมายังรัฐบาล
ในจำนวนนี้มีประเทศฮังการีรวมอยู่ด้วย
สาเหตุที่เปิดให้ผู้คนไปศึกษาเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่นั้น ก็เนื่องจากปัจจุบันนี้ประเทศคอมมิวนิสต์หลายประเทศได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยนั่นเอง
ประเทศฮังการีเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งในห้าของประเทศไทย อดีตเคยเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ครั้นสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2534 แล้ว ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (มีสมาชิก 27 ประเทศ) เป็นประเทศในกลุ่ม Schengen states (มีสมาชิก 25 ประเทศ คือ กลุ่มประเทศที่ใช้วีซ่าของประเทศเดียวสามารถเดินทางไปได้ทั่ว) และฮังการีใช้เงินยูโรเป็นเงินตรา (มีสมาชิกที่ใช้เงินยูโรนี้ 17 ประเทศ)
ผู้เขียนได้รับบทความเรื่อง From Battlefield into Marketplace : The End of the Cold War in Indochina, 1985-9 ของนายบาลาซส์ ซาลอนไท (Balazs Szalontai) ที่นำเสนอในงานประชุมนานาชาติ ณ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปลายปีที่แล้ว บทความนี้อยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ในนิตยสาร LSE ของปีนี้ (2554)
นายบาลาซส์ ซาลอนไท เป็นชาวฮังการี อดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมองโกเลีย ณ กรุงอูลานบาตอร์ ปัจจุบันทำ Post graduate อยู่ที่มหาวิทยาลัยอีสต์ ไชน่า นอร์มาล-East China Normal University (ECNU) ผู้สร้างความฮือฮาให้แก่วงวิชาการ เมื่อเขาได้นำเสนอบทความที่อาศัยข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของฮังการี อันเป็นรายงานจากสถานทูตฮังการีที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซียเป็นหลัก ในการเขียนบทความทางวิชาการนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับที่ถูกนำไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งนายบาลาซส์ได้นำมาเขียนเป็นบทความทางวิชาการเป็นภาษาดังกล่าว
บทความนี้เริ่มด้วยการกล่าวถึงบทบาทสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในฐานะของนักธุรกิจได้ดำเนินนโยบายการประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของพระเจ้านโรดมสีหนุขึ้น เพื่อที่จะได้ทำธุรกิจกันเสียที นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
บทความนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในรายละเอียดของการดำเนินนโยบายที่สามารถอธิบายเหตุผลเชื่อมโยงความสำเร็จของนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่เป็นความลับได้อย่างกระจ่างแจ้งของความร่วมมือของทางการฝ่ายไทย ภายใต้การนำของพลเอกชาติชายกับฝ่ายกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง ภายใต้การนำของนายฮุน เซน เมื่อ พ.ศ.2532 ที่ร่วมกันบีบเขมรแดงภายใต้การนำของนายพล พต ให้ยอมเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชา ด้วยการที่รัฐบาลไทยผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายเขมรแดงของพล พต มาตั้งแต่ พ.ศ.2518 เมื่อเวียดนามกรีฑาทัพเข้ามายึดครองกัมพูชา ด้วยการยินยอมให้เขมรแดงอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นฐานเข้ารังควานฝ่ายเวียดนามโดยตลอด และยังช่วยขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับพวกเขมรแดงในช่วง 9 ปีหลังอีกด้วย
ภายหลังที่รัฐบาลชาติชายไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายเขมรแดงเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติกับเขมรฮุน เซน และเขมรเสรีได้ ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน พ.ศ.2532 เมื่อทหารเขมรแดงปฏิบัติการในการรังควานและลอบโจมตีในเขตยึดครองของฝ่ายรัฐบาลพนมเปญของฮุน เซน ก็ประสบกับการตอบโต้จากปืนใหญ่ของฝ่ายเขมรฮุน เซน ที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ถล่มเขตที่มั่นและเส้นทางลำเลียงของเขมรแดงที่เข้ามายึดพื้นที่เอาไว้เหมือนกับผีจับยัด ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะทหารเขมรฮุน เซน ยิงปืนใหญ่เก่งอะไรหรอกครับ หากแต่ฝ่ายไทยได้วิทยุไปบอกพิกัดที่ตั้งของของฝ่ายเขมรแดงให้กับฝ่ายเสนาธิการของทางพนมเปญเท่านั้นเอง
ด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้รัฐบาลชาติชายสามารถบีบเขมรแดงให้ร่วมขบวนการสมานฉันท์ของเขมรได้สำเร็จ
นายบาลาซส์ยังได้ชี้ให้เห็นหลักฐานความขัดแย้งในทางผลประโยชน์ของประเทศระหว่างสหภาพโซเวียตกับเวียดนาม, ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชา, ความขัดแย้งของลาว กัมพูชาและกลุ่มประเทศ The Council for Mutual Economic Assistance (COMECON) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรปตะวันออกล้วนเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต อันมีบัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ แอลเบเนีย เยอรมนีตะวันออก มองโกเลีย และคิวบา ซึ่งเวียดนาม ลาว กัมพูชา (ฮุนเซน), และภายในกัมพูชาที่กรุงพนมเปญก็มีความขัดแย้งกันเองระหว่างนายเพน โสวัน นายเฮง สัมริน และนายฮุน เซน
นอกจากนี้การที่เวียดนาม ลาว และกัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การอาเซียน ก็เนื่องจากไทยกับอินโดนีเซียมีโลกทรรศน์ที่ขัดแย้งกัน เพราะอินโดนีเซียเห็นว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นภัยคุกคามต่ออินโดนีเซียมากกว่าเวียดนาม และเห็นว่าเวียดนามเป็นศัตรูกับจีน และจีนสนับสนุนเขมรแดง ในขณะที่ไทยเห็นว่าเวียดนามเป็นภัยคุกคามต่อไทยมากกว่าจีน
สนุกครับ...บทความของนายบาลาซส์ น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์ไทยอ่านภาษาของประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิมไม่ค่อยออก เพราะเอกสารสมัยสงครามเย็นที่อยู่ในหอจดหมายเหตุของประเทศคอมมิวนิสต์เก่านี้ น่าจะให้ความกระจ่างและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของสงครามเย็นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของทูตทั่วโลกผู้ไปประจำอยู่ต่างแดนคือ การรายงานและประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ตนเองประจำอยู่กลับไปยังผู้บังคับบัญชาในประเทศของตนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรายงานเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นรายงานลับ โดยที่ผู้ที่ศึกษาแสวงหาความจริงเช่นนักวิชาการทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นรายงานเหล่านี้เลย นอกจากมีปรากฏการณ์วิกิลีกส์ที่มีมือดีเอาออกมาเผยแพร่ให้ฮือฮากันเป็นเรื่องฉาวโฉ่เมื่อเร็วๆ นี้เอง
นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองทั่วโลกในปัจจุบันนี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับขุมทรัพย์ทางวิชาการที่ถูกเปิดออกมาให้นักวิชาการได้ศึกษาตามหอจดหมายเหตุ ของบรรดาอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ที่เอารายงานของทูตคอมมิวนิสต์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรายงานประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ทูตเหล่านั้นประจำอยู่ในช่วงเวลานั้นกลับมายังรัฐบาล
ในจำนวนนี้มีประเทศฮังการีรวมอยู่ด้วย
สาเหตุที่เปิดให้ผู้คนไปศึกษาเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่นั้น ก็เนื่องจากปัจจุบันนี้ประเทศคอมมิวนิสต์หลายประเทศได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยนั่นเอง
ประเทศฮังการีเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งในห้าของประเทศไทย อดีตเคยเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ครั้นสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2534 แล้ว ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (มีสมาชิก 27 ประเทศ) เป็นประเทศในกลุ่ม Schengen states (มีสมาชิก 25 ประเทศ คือ กลุ่มประเทศที่ใช้วีซ่าของประเทศเดียวสามารถเดินทางไปได้ทั่ว) และฮังการีใช้เงินยูโรเป็นเงินตรา (มีสมาชิกที่ใช้เงินยูโรนี้ 17 ประเทศ)
ผู้เขียนได้รับบทความเรื่อง From Battlefield into Marketplace : The End of the Cold War in Indochina, 1985-9 ของนายบาลาซส์ ซาลอนไท (Balazs Szalontai) ที่นำเสนอในงานประชุมนานาชาติ ณ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปลายปีที่แล้ว บทความนี้อยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ในนิตยสาร LSE ของปีนี้ (2554)
นายบาลาซส์ ซาลอนไท เป็นชาวฮังการี อดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมองโกเลีย ณ กรุงอูลานบาตอร์ ปัจจุบันทำ Post graduate อยู่ที่มหาวิทยาลัยอีสต์ ไชน่า นอร์มาล-East China Normal University (ECNU) ผู้สร้างความฮือฮาให้แก่วงวิชาการ เมื่อเขาได้นำเสนอบทความที่อาศัยข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของฮังการี อันเป็นรายงานจากสถานทูตฮังการีที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซียเป็นหลัก ในการเขียนบทความทางวิชาการนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับที่ถูกนำไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งนายบาลาซส์ได้นำมาเขียนเป็นบทความทางวิชาการเป็นภาษาดังกล่าว
บทความนี้เริ่มด้วยการกล่าวถึงบทบาทสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในฐานะของนักธุรกิจได้ดำเนินนโยบายการประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของพระเจ้านโรดมสีหนุขึ้น เพื่อที่จะได้ทำธุรกิจกันเสียที นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
บทความนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในรายละเอียดของการดำเนินนโยบายที่สามารถอธิบายเหตุผลเชื่อมโยงความสำเร็จของนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่เป็นความลับได้อย่างกระจ่างแจ้งของความร่วมมือของทางการฝ่ายไทย ภายใต้การนำของพลเอกชาติชายกับฝ่ายกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง ภายใต้การนำของนายฮุน เซน เมื่อ พ.ศ.2532 ที่ร่วมกันบีบเขมรแดงภายใต้การนำของนายพล พต ให้ยอมเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชา ด้วยการที่รัฐบาลไทยผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายเขมรแดงของพล พต มาตั้งแต่ พ.ศ.2518 เมื่อเวียดนามกรีฑาทัพเข้ามายึดครองกัมพูชา ด้วยการยินยอมให้เขมรแดงอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นฐานเข้ารังควานฝ่ายเวียดนามโดยตลอด และยังช่วยขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับพวกเขมรแดงในช่วง 9 ปีหลังอีกด้วย
ภายหลังที่รัฐบาลชาติชายไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายเขมรแดงเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติกับเขมรฮุน เซน และเขมรเสรีได้ ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน พ.ศ.2532 เมื่อทหารเขมรแดงปฏิบัติการในการรังควานและลอบโจมตีในเขตยึดครองของฝ่ายรัฐบาลพนมเปญของฮุน เซน ก็ประสบกับการตอบโต้จากปืนใหญ่ของฝ่ายเขมรฮุน เซน ที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ถล่มเขตที่มั่นและเส้นทางลำเลียงของเขมรแดงที่เข้ามายึดพื้นที่เอาไว้เหมือนกับผีจับยัด ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะทหารเขมรฮุน เซน ยิงปืนใหญ่เก่งอะไรหรอกครับ หากแต่ฝ่ายไทยได้วิทยุไปบอกพิกัดที่ตั้งของของฝ่ายเขมรแดงให้กับฝ่ายเสนาธิการของทางพนมเปญเท่านั้นเอง
ด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้รัฐบาลชาติชายสามารถบีบเขมรแดงให้ร่วมขบวนการสมานฉันท์ของเขมรได้สำเร็จ
นายบาลาซส์ยังได้ชี้ให้เห็นหลักฐานความขัดแย้งในทางผลประโยชน์ของประเทศระหว่างสหภาพโซเวียตกับเวียดนาม, ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชา, ความขัดแย้งของลาว กัมพูชาและกลุ่มประเทศ The Council for Mutual Economic Assistance (COMECON) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรปตะวันออกล้วนเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต อันมีบัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ แอลเบเนีย เยอรมนีตะวันออก มองโกเลีย และคิวบา ซึ่งเวียดนาม ลาว กัมพูชา (ฮุนเซน), และภายในกัมพูชาที่กรุงพนมเปญก็มีความขัดแย้งกันเองระหว่างนายเพน โสวัน นายเฮง สัมริน และนายฮุน เซน
นอกจากนี้การที่เวียดนาม ลาว และกัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การอาเซียน ก็เนื่องจากไทยกับอินโดนีเซียมีโลกทรรศน์ที่ขัดแย้งกัน เพราะอินโดนีเซียเห็นว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นภัยคุกคามต่ออินโดนีเซียมากกว่าเวียดนาม และเห็นว่าเวียดนามเป็นศัตรูกับจีน และจีนสนับสนุนเขมรแดง ในขณะที่ไทยเห็นว่าเวียดนามเป็นภัยคุกคามต่อไทยมากกว่าจีน
สนุกครับ...บทความของนายบาลาซส์ น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์ไทยอ่านภาษาของประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิมไม่ค่อยออก เพราะเอกสารสมัยสงครามเย็นที่อยู่ในหอจดหมายเหตุของประเทศคอมมิวนิสต์เก่านี้ น่าจะให้ความกระจ่างและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของสงครามเย็นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"ธิดา"แดง-แรงไม่ตก ทักษิณ-คือผู้ถือหุ้นใหญ่ พันธมิตรฯ-คือผู้วางหมากการเมืองของอำมาตย์
ตัวเลข 3 หมื่นคน คือ จำนวนมวลชนแดงที่หน่วยงานความมั่นคงรายงาน จากวันชุมนุมครั้งล่าสุดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ขณะที่ยอดผู้ชุมนุมอีกสีหนึ่งซึ่งปักหลักข้างทำเนียบรัฐบาลมานานหลายสัปดาห์ มียอดผู้ชุมนุมไม่เกิน 1 พันคน
"ธิดา ถาวรเศรษฐ์ โตจิราการ" วิเคราะห์ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง สะท้อนเสื้อแดง และจัดตำแหน่งทักษิณในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของขบวน
@เป้าหมายในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้คืออะไร
การเคลื่อนไหวขณะนี้ยังอยู่ใน 3 คอนเซ็ปต์ คือ ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านสงคราม ทวงความยุติธรรม ฉะนั้น ด้านหลักของการเคลื่อนไหว เราจึงเน้นปัญหาความยุติธรรม เพราะสถานการณ์รัฐประหารก็ยังดำรงอยู่ และพวกจารีตนิยมก็ยังอยากได้สงคราม เราจึงคัดค้าน นี่คือเจตนารมณ์ของเรา
@หากมีการเลือกตั้งหรือกรณีแกนนำได้รับการประกันตัวแล้ว จะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไม่มีเหตุผลในการชุมนุมหรือไม่
อย่าลืมว่าความยุติธรรมไม่ใช่แค่ เรื่องคนที่ถูกจับกุมคุมขัง แต่เป็นความยุติธรรมที่จะต้องรับผิดชอบคนที่ตายไป รัฐบาลยังไม่หาคนผิดมาลงโทษ ไม่มีทั้งความรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมาย
เพราะฉะนั้นนี่เป็นภาระหน้าที่ของเราซึ่งแน่นอนเราเรียกร้องประชาธิปไตย เราเห็นด้วยที่จะมีการยุบสภา แต่ปัญหาที่คนเสื้อแดงถูกกระทำ ก็เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงต้องต่อสู้ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณปฏิบัติต่อคนไม่เท่าเทียมกัน
@ปรากฏการณ์คนเสื้อแดงที่เพิ่มมากขึ้น อาจารย์คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยหลัก
เรามองในเชิงเปรียบเทียบ สีเสื้อหนึ่งเพิ่มขึ้น ส่วนอีกสีเสื้อหนึ่งลดลง นั่นแปลว่าคนเข้าใจความจริงที่เราบอกมากขึ้น และข้อสำคัญคือเขาเห็นด้วยว่าคนเสื้อแดงถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
ในอดีตเราถูกมองว่าเป็นสมุนของคุณทักษิณ เป็นพวกม็อบรับจ้าง แต่ว่า ความเป็นจริงมันเปิดเผยขึ้นมาเรื่อย ๆ และอาวุธความจริงกับความรู้ที่มากขึ้นที่เราให้กับสังคม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงมากขึ้น
@มองฐานะของคุณทักษิณอยู่ในระดับนำหรือเป็นแนวร่วม
เขาเป็นแนวร่วม อย่าลืมว่าเราเป็นองค์กรแนวร่วม ในนี้มีองค์ประกอบ 60-70% ที่รักคุณทักษิณมาก ส่วนที่เหลือคือเฉย ๆ แต่ไม่ถึงกับเกลียด และอาจจะมีคนที่อยากอยู่ห่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่เราเป็นองค์กรแนวร่วม เราต้องยอม รับความเป็นจริงว่า ความรักคุณทักษิณมันมีเหตุผลของมัน เพราะเขารักตัวเขา รักผลประโยชน์ของเขา เขาหวังว่าคุณทักษิณจะเป็นนายกฯที่ตอบสนองผลประโยชน์ของเขา ฉะนั้น คนเหล่านี้มี loyalty มีความจงรักภักดี แม้ผ่านไปหลายปีแต่เขายังรู้สึกได้ดี เพราะคนไทยเป็นคนซื่อตรง
คนเหล่านี้ยังมีความรักคุณทักษิณ แม้เขารู้ว่าความหวังที่คุณทักษิณจะกลับมามันรางเลือน แต่นี่เป็นนิสัยที่ไม่หักหลังคน ฉะนั้น เมื่อเรามองอย่างนี้ในแนวร่วม เราจึงจำเป็นให้คุณทักษิณอยู่ในฐานะที่มีบทบาทพอสมควร พูดง่าย ๆ คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งในแนวร่วมนี้
@การก้าวข้ามคุณทักษิณหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงต้องเลือก หรือไม่
เราไม่สนใจ เพราะคนเสื้อแดงก็รู้ว่าคุณทักษิณประสบปัญหามากมาย แต่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการระบอบประชาธิปไตย เราไม่ต้องการระบอบอำมาตย์ ถ้าเราต่อสู้แบบนี้ คนเสื้อแดงเชื่อว่าคุณทักษิณก็จะได้รับความเป็นธรรมไปด้วย เป็นผลพลอย ได้เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกระทำ ก็ควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ว่ายกประโยชน์ให้ทั้งหมด
@คุณชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำแนวร่วมฝ่ายเสื้อเหลือง เคยเสนอให้เสื้อแดงมาร่วมกับเสื้อเหลืองเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจารย์มองว่าเป็นไปได้หรือไม่
เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงมีความแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถร่วมกันได้ เขาเป็นพวกจารีตนิยมสนับสนุนระบอบ อำมาตยาธิปไตย เราเป็นพวกเสรีนิยมที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจุดยืนคนละอย่าง
จารีตนิยมเป็นพวกคลั่งชาติ ทำให้เกิดรัฐประหาร ทำให้เกิดสงคราม มันคนละเรื่องกับเราเลย เขาพอใจที่จะทำให้เกิดรัฐประหาร เขาพอใจที่มีองค์กรมาจากการแต่งตั้ง พอใจที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ ฉะนั้น นี่เป็นจุดยืนที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เป็นคนละเรื่องกับการเคลื่อนไหวของเราเลยไปกันไม่ได้
@เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองมีจุดร่วมกันหรือไม่
ต้องแยกประเด็นหลักและประเด็นรอง คุณพูดว่าร่วมกันในแง่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ อันนี้โอเค แต่การที่เราไม่ชอบอภิสิทธิ์ เพราะอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ และไม่รับผิดชอบทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายในขณะที่เกิดปัญหา ฉะนั้น เขาไม่สมควรจะอยู่
ขณะที่พันธมิตรฯเสื้อเหลืองเกลียดอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ แต่เขาเกลียดเพราะคิดว่าไม่ให้ผลประโยชน์ตามที่เขาควรจะได้
ฉะนั้น การเกลียดอภิสิทธิ์ไม่ใช่เหตุผลที่เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงต้องมาจับมือกัน เพราะในที่สุดพวกเขาก็พยายามช่วยเหลือกัน
@พันธมิตรฯยังเป็นม็อบมีเส้นอยู่หรือไม่ มีตัวตนอยู่เพราะอะไร
โอ้..เส้นใหญ่มาก เขาเป็นส่วนสำคัญของระบอบอำมาตย์ เป็นผู้ชี้นำทางการเมือง เป็นผู้บงการทางการเมือง เป็นเสนาธิการของระบอบอำมาตย์ด้วย เขาทำตัวอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นมันจะเกิดสงครามไหมล่ะ
ถามว่าอภิสิทธิ์อยากให้เกิดสงครามไหมล่ะ...แต่ว่าอภิสิทธิ์ก็ต้องทำสงคราม ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม จะอ้างว่าใครยิงมาก่อนก็ตาม แต่สงครามเป็นไปตามที่พันธมิตรฯบอกอยู่แล้ว เขาทำตัวเป็นผู้วางหมากทางการเมืองของอำมาตย์
@ปัจจุบันพันธมิตรฯยังทำหน้าที่นั้นอยู่หรือ
ใช่...แม้พันธมิตรฯมีคนไม่กี่ร้อยคน แต่รัฐบาลก็กลัว อภิสิทธิ์ก็กลัว
@คนเสื้อแดงมาชุมนุมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีผลให้อำมาตย์หรือรัฐบาลกลัวเสื้อแดง
ก็เพราะเขามีปืน มีกองทัพ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่ข้างเขา ถ้าไม่กลัวเราก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังเราจะมาเป็นล้านเลย ไม่กลัวก็ไม่เป็นไรเรารอได้ รอให้คนไทยเข้าใจมากกว่านี้ เราจะอดทนรอ...
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ขณะที่ยอดผู้ชุมนุมอีกสีหนึ่งซึ่งปักหลักข้างทำเนียบรัฐบาลมานานหลายสัปดาห์ มียอดผู้ชุมนุมไม่เกิน 1 พันคน
"ธิดา ถาวรเศรษฐ์ โตจิราการ" วิเคราะห์ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง สะท้อนเสื้อแดง และจัดตำแหน่งทักษิณในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของขบวน
@เป้าหมายในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้คืออะไร
การเคลื่อนไหวขณะนี้ยังอยู่ใน 3 คอนเซ็ปต์ คือ ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านสงคราม ทวงความยุติธรรม ฉะนั้น ด้านหลักของการเคลื่อนไหว เราจึงเน้นปัญหาความยุติธรรม เพราะสถานการณ์รัฐประหารก็ยังดำรงอยู่ และพวกจารีตนิยมก็ยังอยากได้สงคราม เราจึงคัดค้าน นี่คือเจตนารมณ์ของเรา
@หากมีการเลือกตั้งหรือกรณีแกนนำได้รับการประกันตัวแล้ว จะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไม่มีเหตุผลในการชุมนุมหรือไม่
อย่าลืมว่าความยุติธรรมไม่ใช่แค่ เรื่องคนที่ถูกจับกุมคุมขัง แต่เป็นความยุติธรรมที่จะต้องรับผิดชอบคนที่ตายไป รัฐบาลยังไม่หาคนผิดมาลงโทษ ไม่มีทั้งความรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมาย
เพราะฉะนั้นนี่เป็นภาระหน้าที่ของเราซึ่งแน่นอนเราเรียกร้องประชาธิปไตย เราเห็นด้วยที่จะมีการยุบสภา แต่ปัญหาที่คนเสื้อแดงถูกกระทำ ก็เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงต้องต่อสู้ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณปฏิบัติต่อคนไม่เท่าเทียมกัน
@ปรากฏการณ์คนเสื้อแดงที่เพิ่มมากขึ้น อาจารย์คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยหลัก
เรามองในเชิงเปรียบเทียบ สีเสื้อหนึ่งเพิ่มขึ้น ส่วนอีกสีเสื้อหนึ่งลดลง นั่นแปลว่าคนเข้าใจความจริงที่เราบอกมากขึ้น และข้อสำคัญคือเขาเห็นด้วยว่าคนเสื้อแดงถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
ในอดีตเราถูกมองว่าเป็นสมุนของคุณทักษิณ เป็นพวกม็อบรับจ้าง แต่ว่า ความเป็นจริงมันเปิดเผยขึ้นมาเรื่อย ๆ และอาวุธความจริงกับความรู้ที่มากขึ้นที่เราให้กับสังคม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงมากขึ้น
@มองฐานะของคุณทักษิณอยู่ในระดับนำหรือเป็นแนวร่วม
เขาเป็นแนวร่วม อย่าลืมว่าเราเป็นองค์กรแนวร่วม ในนี้มีองค์ประกอบ 60-70% ที่รักคุณทักษิณมาก ส่วนที่เหลือคือเฉย ๆ แต่ไม่ถึงกับเกลียด และอาจจะมีคนที่อยากอยู่ห่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่เราเป็นองค์กรแนวร่วม เราต้องยอม รับความเป็นจริงว่า ความรักคุณทักษิณมันมีเหตุผลของมัน เพราะเขารักตัวเขา รักผลประโยชน์ของเขา เขาหวังว่าคุณทักษิณจะเป็นนายกฯที่ตอบสนองผลประโยชน์ของเขา ฉะนั้น คนเหล่านี้มี loyalty มีความจงรักภักดี แม้ผ่านไปหลายปีแต่เขายังรู้สึกได้ดี เพราะคนไทยเป็นคนซื่อตรง
คนเหล่านี้ยังมีความรักคุณทักษิณ แม้เขารู้ว่าความหวังที่คุณทักษิณจะกลับมามันรางเลือน แต่นี่เป็นนิสัยที่ไม่หักหลังคน ฉะนั้น เมื่อเรามองอย่างนี้ในแนวร่วม เราจึงจำเป็นให้คุณทักษิณอยู่ในฐานะที่มีบทบาทพอสมควร พูดง่าย ๆ คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งในแนวร่วมนี้
@การก้าวข้ามคุณทักษิณหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงต้องเลือก หรือไม่
เราไม่สนใจ เพราะคนเสื้อแดงก็รู้ว่าคุณทักษิณประสบปัญหามากมาย แต่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการระบอบประชาธิปไตย เราไม่ต้องการระบอบอำมาตย์ ถ้าเราต่อสู้แบบนี้ คนเสื้อแดงเชื่อว่าคุณทักษิณก็จะได้รับความเป็นธรรมไปด้วย เป็นผลพลอย ได้เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกระทำ ก็ควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ว่ายกประโยชน์ให้ทั้งหมด
@คุณชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำแนวร่วมฝ่ายเสื้อเหลือง เคยเสนอให้เสื้อแดงมาร่วมกับเสื้อเหลืองเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจารย์มองว่าเป็นไปได้หรือไม่
เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงมีความแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถร่วมกันได้ เขาเป็นพวกจารีตนิยมสนับสนุนระบอบ อำมาตยาธิปไตย เราเป็นพวกเสรีนิยมที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจุดยืนคนละอย่าง
จารีตนิยมเป็นพวกคลั่งชาติ ทำให้เกิดรัฐประหาร ทำให้เกิดสงคราม มันคนละเรื่องกับเราเลย เขาพอใจที่จะทำให้เกิดรัฐประหาร เขาพอใจที่มีองค์กรมาจากการแต่งตั้ง พอใจที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ ฉะนั้น นี่เป็นจุดยืนที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เป็นคนละเรื่องกับการเคลื่อนไหวของเราเลยไปกันไม่ได้
@เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองมีจุดร่วมกันหรือไม่
ต้องแยกประเด็นหลักและประเด็นรอง คุณพูดว่าร่วมกันในแง่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ อันนี้โอเค แต่การที่เราไม่ชอบอภิสิทธิ์ เพราะอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ และไม่รับผิดชอบทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายในขณะที่เกิดปัญหา ฉะนั้น เขาไม่สมควรจะอยู่
ขณะที่พันธมิตรฯเสื้อเหลืองเกลียดอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ แต่เขาเกลียดเพราะคิดว่าไม่ให้ผลประโยชน์ตามที่เขาควรจะได้
ฉะนั้น การเกลียดอภิสิทธิ์ไม่ใช่เหตุผลที่เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงต้องมาจับมือกัน เพราะในที่สุดพวกเขาก็พยายามช่วยเหลือกัน
@พันธมิตรฯยังเป็นม็อบมีเส้นอยู่หรือไม่ มีตัวตนอยู่เพราะอะไร
โอ้..เส้นใหญ่มาก เขาเป็นส่วนสำคัญของระบอบอำมาตย์ เป็นผู้ชี้นำทางการเมือง เป็นผู้บงการทางการเมือง เป็นเสนาธิการของระบอบอำมาตย์ด้วย เขาทำตัวอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นมันจะเกิดสงครามไหมล่ะ
ถามว่าอภิสิทธิ์อยากให้เกิดสงครามไหมล่ะ...แต่ว่าอภิสิทธิ์ก็ต้องทำสงคราม ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม จะอ้างว่าใครยิงมาก่อนก็ตาม แต่สงครามเป็นไปตามที่พันธมิตรฯบอกอยู่แล้ว เขาทำตัวเป็นผู้วางหมากทางการเมืองของอำมาตย์
@ปัจจุบันพันธมิตรฯยังทำหน้าที่นั้นอยู่หรือ
ใช่...แม้พันธมิตรฯมีคนไม่กี่ร้อยคน แต่รัฐบาลก็กลัว อภิสิทธิ์ก็กลัว
@คนเสื้อแดงมาชุมนุมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีผลให้อำมาตย์หรือรัฐบาลกลัวเสื้อแดง
ก็เพราะเขามีปืน มีกองทัพ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่ข้างเขา ถ้าไม่กลัวเราก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังเราจะมาเป็นล้านเลย ไม่กลัวก็ไม่เป็นไรเรารอได้ รอให้คนไทยเข้าใจมากกว่านี้ เราจะอดทนรอ...
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
‘หน่อย’จวก‘มาร์ค’ไร้สามารถจงใจปั่นราคาน้ำมันปาล์ม
“สุดารัตน์” จวก “อภิสิทธิ์” แก้น้ำมันปาล์มผิดพลาดซ้ำซากด้วยไร้ความสามารถ จงใจปั่นราคาปล้นเงินจากคน 60 ล้านคน จับโกหกพื้นที่ปลูกเพิ่มแต่ผลผลิตลด ด้าน “สุเทพ” จ่องดนำเข้า 120,000 ตัน
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มแพงของรัฐบาลว่า จะเห็นว่าการแก้ปัญหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น จนถึงขณะนี้ยังคงแก้ปัญหาผิดพลาดซ้ำซาก แต่จะผิดพลาดด้วยความไร้ความสามารถหรือจงใจทำให้เกิดปัญหาวิกฤตน้ำมันปาล์มเพื่อปั่นราคาก็ยังเป็นคำถามของสังคมอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะทำงานไม่เป็นหรือจงใจปั่นราคาก็เป็นการปล้นเงินในกระเป๋าของประชาชน 60 ล้านคน
กลไกการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันในอดีตมี 2 อย่าง เหมือนวอลุ่มปรับซ้ายขวาให้สมดุล ซึ่งโดยปรกติรัฐบาลจะมีสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่ 200,000 ตัน เป็นตัววัด ถ้าสต็อกลดถึงจุดที่น่ากลัวจะต้องนำเข้าก่อนเป็นช่วงสั้นๆ เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้น้ำมันปาล์มที่ประชาชนบริโภคพุ่งสูง อีกกลไกคือการผลิตไบโอดีเซล เมื่อผลผลิตปาล์มดิบมีมากก็ส่งเข้าผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ผลผลิตปาล์มสดที่เกษตรกรขายราคาตกต่ำจนขาดทุน ในอดีตที่รัฐบาลก่อนทำมาใช้กลไกดังกล่าวทั้งสองขาช่วยได้ทั้งประชาชนและเกษตรกร
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า ขอจับโกหกนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่ท่องคาถาอย่างเดียวว่าผลผลิตปาล์มปีนี้ขาดแคลนเพราะน้ำท่วมผลปาล์มเสียหายนั้นไม่เป็นความจริง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯพบว่าปี 2552 พื้นที่ผลิตปาล์มมี 3.1 ล้านไร่ ผลผลิต 8.1 ล้านตัน ปี 2553 พื้นที่ผลิต 3.5 ล้านไร่ ผลผลิต 8.2 ล้านตัน มากกว่าปี 2552 ด้วยซ้ำเพราะพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น และความจริงตัวเลขสต็อกน้ำมันปาล์มปี 2553 เริ่มมีปัญหาตั้งแต่เดือนกันยายน จาก 200,000 ตัน เหลือ 180,000 ตัน จนมาถึงเดือนตุลาคมหายไปครึ่งหนึ่งเหลือแค่ 130,000 ตัน เดือนพฤศจิกายนเหลือ 90,000 ตัน เดือนธันวาคม 2553 และเดือนมกราคม 2554 ไม่มีเหลือ
รัฐบาลทิ้งเวลาไป 5 เดือนตั้งแต่เห็นสัญญาณในเดือนกันยายน 2553 โดยไม่ทำอะไร เพิ่งมาประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันกลางเดือนมกราคม ซึ่งก็ยังแก้ไขผิดวิธีอีก แบบที่ไม่มีใครเขาทำกัน ราคาสินค้าเมื่อขึ้นไปแล้วจะไม่มีทางลง เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดก่อน แล้วจึงอนุมัติให้นำเข้าในครั้งแรกแค่ 30,000 ตัน ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ตอนหลังกลับมาอนุมัติให้นำเข้า 120,000 ตัน ในช่วงที่เดือนมีนาคมผลปาล์มสดจะออกสู่ตลาดแล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบิดเบือนโครงสร้างราคา ต้นเหตุจาก ครม. อนุมัติให้ขึ้นราคาลิตรละ 9 บาท แล้วไปกำหนดราคาปาล์มสดกิโลกรัมละ 11-15 บาท แต่โรงหีบซื้อจากเกษตรกรแค่กิโลกรัมละ 6 บาท ส่วนต่างอย่างน้อยกิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งต้องใช้ปาล์มสดถึง 7 กิโลกรัม ถึงจะได้น้ำมันปาล์ม 1 กิโลกรัม ดังนั้น คิดเป็นเงิน 35 บาทต่อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 1 ขวดลิตร เป็นต้นทุนที่ถูกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใคร ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่มีคนรวยกันเยอะ เมื่อปลายน้ำเห็นแล้วอยากรวยบ้างก็กักตุน แต่ไม่ร้ายแรงเท่าต้นน้ำ ดีเอสไอถ้าแน่จริงควรไปดูที่ต้นทาง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ส่วนจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของใคร ทำให้เกิดวิกฤตหรือไม่ ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นวิธีการบริหารงานที่ผิดปรกติ เป็นหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว. ที่ต้องเอาคนทุจริตออกมาให้ได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
ด้านนายสุเทพกล่าวถึงการขอนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตันว่า เชื่อว่าจะมีการทบทวนเรื่องการนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตัน เนื่องจากปลายเดือนมีนาคมนี้ผลผลิตปาล์มของไทยจะผลิตออกมาได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในวันที่ 22 ก.พ. เช่นเดียวกับการของบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์ม
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มแพงของรัฐบาลว่า จะเห็นว่าการแก้ปัญหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น จนถึงขณะนี้ยังคงแก้ปัญหาผิดพลาดซ้ำซาก แต่จะผิดพลาดด้วยความไร้ความสามารถหรือจงใจทำให้เกิดปัญหาวิกฤตน้ำมันปาล์มเพื่อปั่นราคาก็ยังเป็นคำถามของสังคมอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะทำงานไม่เป็นหรือจงใจปั่นราคาก็เป็นการปล้นเงินในกระเป๋าของประชาชน 60 ล้านคน
กลไกการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันในอดีตมี 2 อย่าง เหมือนวอลุ่มปรับซ้ายขวาให้สมดุล ซึ่งโดยปรกติรัฐบาลจะมีสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่ 200,000 ตัน เป็นตัววัด ถ้าสต็อกลดถึงจุดที่น่ากลัวจะต้องนำเข้าก่อนเป็นช่วงสั้นๆ เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้น้ำมันปาล์มที่ประชาชนบริโภคพุ่งสูง อีกกลไกคือการผลิตไบโอดีเซล เมื่อผลผลิตปาล์มดิบมีมากก็ส่งเข้าผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ผลผลิตปาล์มสดที่เกษตรกรขายราคาตกต่ำจนขาดทุน ในอดีตที่รัฐบาลก่อนทำมาใช้กลไกดังกล่าวทั้งสองขาช่วยได้ทั้งประชาชนและเกษตรกร
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า ขอจับโกหกนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่ท่องคาถาอย่างเดียวว่าผลผลิตปาล์มปีนี้ขาดแคลนเพราะน้ำท่วมผลปาล์มเสียหายนั้นไม่เป็นความจริง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯพบว่าปี 2552 พื้นที่ผลิตปาล์มมี 3.1 ล้านไร่ ผลผลิต 8.1 ล้านตัน ปี 2553 พื้นที่ผลิต 3.5 ล้านไร่ ผลผลิต 8.2 ล้านตัน มากกว่าปี 2552 ด้วยซ้ำเพราะพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น และความจริงตัวเลขสต็อกน้ำมันปาล์มปี 2553 เริ่มมีปัญหาตั้งแต่เดือนกันยายน จาก 200,000 ตัน เหลือ 180,000 ตัน จนมาถึงเดือนตุลาคมหายไปครึ่งหนึ่งเหลือแค่ 130,000 ตัน เดือนพฤศจิกายนเหลือ 90,000 ตัน เดือนธันวาคม 2553 และเดือนมกราคม 2554 ไม่มีเหลือ
รัฐบาลทิ้งเวลาไป 5 เดือนตั้งแต่เห็นสัญญาณในเดือนกันยายน 2553 โดยไม่ทำอะไร เพิ่งมาประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันกลางเดือนมกราคม ซึ่งก็ยังแก้ไขผิดวิธีอีก แบบที่ไม่มีใครเขาทำกัน ราคาสินค้าเมื่อขึ้นไปแล้วจะไม่มีทางลง เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดก่อน แล้วจึงอนุมัติให้นำเข้าในครั้งแรกแค่ 30,000 ตัน ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ตอนหลังกลับมาอนุมัติให้นำเข้า 120,000 ตัน ในช่วงที่เดือนมีนาคมผลปาล์มสดจะออกสู่ตลาดแล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบิดเบือนโครงสร้างราคา ต้นเหตุจาก ครม. อนุมัติให้ขึ้นราคาลิตรละ 9 บาท แล้วไปกำหนดราคาปาล์มสดกิโลกรัมละ 11-15 บาท แต่โรงหีบซื้อจากเกษตรกรแค่กิโลกรัมละ 6 บาท ส่วนต่างอย่างน้อยกิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งต้องใช้ปาล์มสดถึง 7 กิโลกรัม ถึงจะได้น้ำมันปาล์ม 1 กิโลกรัม ดังนั้น คิดเป็นเงิน 35 บาทต่อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 1 ขวดลิตร เป็นต้นทุนที่ถูกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใคร ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่มีคนรวยกันเยอะ เมื่อปลายน้ำเห็นแล้วอยากรวยบ้างก็กักตุน แต่ไม่ร้ายแรงเท่าต้นน้ำ ดีเอสไอถ้าแน่จริงควรไปดูที่ต้นทาง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ส่วนจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของใคร ทำให้เกิดวิกฤตหรือไม่ ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นวิธีการบริหารงานที่ผิดปรกติ เป็นหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว. ที่ต้องเอาคนทุจริตออกมาให้ได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
ด้านนายสุเทพกล่าวถึงการขอนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตันว่า เชื่อว่าจะมีการทบทวนเรื่องการนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตัน เนื่องจากปลายเดือนมีนาคมนี้ผลผลิตปาล์มของไทยจะผลิตออกมาได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในวันที่ 22 ก.พ. เช่นเดียวกับการของบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์ม
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
พท.เตรียมข้อมูลแฉ"โรงกลั่น"ฟันส่วนต่างน้ำมันปาล์ม 3-5 พันล้าน ในศึกอภิปรายรัฐบาล
แหล่งข่าวระดับสูงจาก พท.แจ้งว่า ทีมเตรียมข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจของ พท.ได้ตรวจพบการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 ที่จงใจปล่อยให้สต๊อคลดต่ำลงจนเหลือ 0 ในเดือนธันวาคม ทั้งที่ปกติควรมีปาล์มสำรองในสต๊อค 200,000 ตัน ทั้งนี้ ในช่วงที่สต๊อคลดลง รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาด้วยการนำเข้าเพื่อไม่ให้มีการฉวยจังหวะขึ้นราคาปาล์มในประเทศ ซึ่งขณะนั้นภาคเอกชนได้เสนอให้นำเข้าปาล์มจำนวน 50,000 ตัน แต่ถูกปฏิเสธ
แหล่งข่าวกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มฯตัดสินใจแก้ปัญหา 2 รูปแบบคือ 1.เพิ่มสัดส่วนการนำปาล์มไปผลิตไบโอดีเซล จาก 380,000 ตัน หรือร้อยละ 29 ในปี 2552 เป็น 415,000 ตัน หรือร้อยละ 32 ในปี 2553 ทำให้เหลือปาล์มเพื่อการบริโภคเพียง 890,000 ตัน หรือร้อยละ 68 และ 2.ประกาศขึ้นราคาจำหน่ายถึง 9 บาท จาก 38 บาท/ลิตร เป็น 47 บาท/ลิตร โดยอ้างว่าผลปาล์มดิบขาดตลาดเนื่องจากปัญหาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าผลิตผลปาล์มสดในปี 2553 มากกว่าปี 2552 ถึง 60,432 ตัน โดยเพิ่มจาก 8,162,703 ตัน เป็น 8,223,135 ตัน
"ความผิดปกติของเรื่องนี้อยู่ที่การกินส่วนต่างของขาใหญ่ในวงการปาล์ม แม้มีการประกาศรับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกรที่หน้าโรงหีบในราคา 11 บาท/กิโลกรัม แต่เอาเข้าจริงเจ้าของโรงหีบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหัวคะแนนของนักการเมือง ได้กดราคาขายเหลือแค่ 6-7 บาท/กิโลกรัม จากนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการหีบน้ำมัน ราคาต้นทุนการผลิตควรอยู่ที่ 37.28-44 บาท แต่พอออกจากโรงหีบไปที่โรงกลั่นน้ำมันพืชกลับมีการบวกส่วนต่างอีก 12.72-24 บาท ทำให้ราคาทุนก่อนกลั่นเป็นน้ำมันพืชอยู่ที่ 50-68 บาท เมื่อบวกค่ากลั่นอีก 15 บาท เป็น 65-83 บาท ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสบริโภคน้ำมันปาล์มในราคา 47 บาทตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศไว้ เนื่องจากมีการกินส่วนต่าง 2 ช่วงคือ จากเกษตรเข้าโรงหีบ และจากโรงหีบออกไปโรงกลั่นน้ำมันพืช" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีโรงกลั่นน้ำมันประมาณ 60 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเจ้าของจริงๆ เพียง 16 เจ้า แต่ถือหุ้นไขว้กันไปมา โดยคาดว่าจะฟันกำไรในช่วง 2 เดือนนี้ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท
ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แหล่งข่าวกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มฯตัดสินใจแก้ปัญหา 2 รูปแบบคือ 1.เพิ่มสัดส่วนการนำปาล์มไปผลิตไบโอดีเซล จาก 380,000 ตัน หรือร้อยละ 29 ในปี 2552 เป็น 415,000 ตัน หรือร้อยละ 32 ในปี 2553 ทำให้เหลือปาล์มเพื่อการบริโภคเพียง 890,000 ตัน หรือร้อยละ 68 และ 2.ประกาศขึ้นราคาจำหน่ายถึง 9 บาท จาก 38 บาท/ลิตร เป็น 47 บาท/ลิตร โดยอ้างว่าผลปาล์มดิบขาดตลาดเนื่องจากปัญหาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าผลิตผลปาล์มสดในปี 2553 มากกว่าปี 2552 ถึง 60,432 ตัน โดยเพิ่มจาก 8,162,703 ตัน เป็น 8,223,135 ตัน
"ความผิดปกติของเรื่องนี้อยู่ที่การกินส่วนต่างของขาใหญ่ในวงการปาล์ม แม้มีการประกาศรับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกรที่หน้าโรงหีบในราคา 11 บาท/กิโลกรัม แต่เอาเข้าจริงเจ้าของโรงหีบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหัวคะแนนของนักการเมือง ได้กดราคาขายเหลือแค่ 6-7 บาท/กิโลกรัม จากนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการหีบน้ำมัน ราคาต้นทุนการผลิตควรอยู่ที่ 37.28-44 บาท แต่พอออกจากโรงหีบไปที่โรงกลั่นน้ำมันพืชกลับมีการบวกส่วนต่างอีก 12.72-24 บาท ทำให้ราคาทุนก่อนกลั่นเป็นน้ำมันพืชอยู่ที่ 50-68 บาท เมื่อบวกค่ากลั่นอีก 15 บาท เป็น 65-83 บาท ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสบริโภคน้ำมันปาล์มในราคา 47 บาทตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศไว้ เนื่องจากมีการกินส่วนต่าง 2 ช่วงคือ จากเกษตรเข้าโรงหีบ และจากโรงหีบออกไปโรงกลั่นน้ำมันพืช" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีโรงกลั่นน้ำมันประมาณ 60 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเจ้าของจริงๆ เพียง 16 เจ้า แต่ถือหุ้นไขว้กันไปมา โดยคาดว่าจะฟันกำไรในช่วง 2 เดือนนี้ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท
ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
'ภูมะเขือ'เสียงปืนรบจะดังอีก-'ฮุน มาเนต'ตัวการ
ทำไมทหารไทยทิ้งฐานภูมะเขือ ปล่อยเขมรยึดไปทั้งๆที่ต้องสร้างกระเช้าส่งทหารมายึด และถ้าถนนจากโกมุยถึงปราสาทเสร็จ ตอนนั้นไทยจะเสียเปรียบยิ่งนัก
ถึงช่วงหน้าแล้งของทุกปี ภูเขาลูกเล็กๆ แห่งนี้จะถูกไฟไหม้เกือบหมด พอเข้าหน้าฝน ดินที่แห้งแล้งได้ความชื้นจากน้ำฝน พืชพรรณต่างๆ ก็โผล่ขึ้นจากพื้นดิน และในจำนวนนี้จะมีต้นมะเขือพันธุ์หนึ่งเกิดขึ้นกระจายเต็มทั้งภูเขามีลักษณะลูกเล็ก ๆ ใหญ่เต็มที่แค่นิ้วหัวแม่มือ บางคนเรียก "มะเขือลาย" ซึ่งเป็นที่มาแห่งชื่อ "ภูมะเขือ"
ในทางยุทธศาสตร์ “เขาพระวิหาร” ชัยภูมิของ"ภูมะเขือ" ทำให้กำลังฝ่ายเขมรได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับทหารไทย เนื่องจากเป็นภูสูง เมื่อยึดเป็นที่ตั้งฐานปืนใหญ่ได้ก็รบกับไทยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่ที่ผ่านมา กว่าที่กัมพูชาจะขึ้นมาบนภูมะเขือได้ จะต้องขึ้นบันไดสูงชันกว่า 936 ขั้น ต่อมา กัมพูชาได้สร้างกระเช้าขึ้น 2 ขนาด ขนาดเล็กบรรทุกได้เที่ยวละ 5 - 10 คน กระเช้าใหญ่บรรทุกได้เที่ยวละ 15 - 20 คน นอกจากนี้ก็บรรทุกลำเลียงเสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาด้วย
จุดที่ตั้งของกระเช้า ทหารไทยเรียกว่า “หัวโด่” ส่วนชาวบ้านจะเรียกพลาญหินตรงนั้นว่า “พะลานถ้ำพระ” ซึ่งเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่พอสมควร เมื่อก่อนทหารพรานของไทยเคยตั้งฐานปฏิบัติการ แต่กลับถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น อย่างไม่มีเหตุผล
ปัจจุบันทหารช่างกัมพูชากำลังระเบิดหน้าผาเพื่อปรับพื้นที่ตัดถนนจากหมู่บ้านโกมุย ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ขึ้นมาที่ภูมะเขือ ถนนเส้นนี้จะตัดผ่านวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ มุ่งหน้าไปหาปราสาทพระวิหาร ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อถนนเสร็จแล้ว จะเป็นทั้งถนนเส้นทางเศรษฐกิจที่จะรองรับแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่กำลังจะได้รับพิจารณาเป็นมรดกโลกในเร็ว ๆนี้ด้วย
ที่สำคัญจะเป็นถนนเส้นยุทธศาสตร์การทหาร ใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จากฐานปฏิบัติการที่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย กองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 พลโทซะรัย ดึ๊ก เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ที่บ้านเปี๊ยะสะแบก ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย
ถัดไปเป็นกองพลสนับสนุนที่ 7 มีพลตรี วา เซือน เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านกะดล ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน มีกำลังพล 900 นาย และกองพลสนับสนุนที่ 8 มีพลตรี ยึม ปึน เป็นผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านจารี ต.กันต๊วด มีกำลังพล 1,500 นาย ถัดออกไปอีกจะมี กองพลสนับสนุนที่ 9 มี พล.ต.กล ไว เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ ต.ตึ๊กกรอโฮม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 1,000 นาย
"ภูมะเขือ"นอกจากฝ่ายกัมพูชาจะวางกำลังทหารหน่วยหลักประชิดชายแดนไว้แล้ว ยังมีการเสริมกำลังทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม "รพศ.911" สวมหมวกเบเรต์ สีเขียว พลโท จ๊าบ เพียะกะเด็ย เป็น ผบ.พัน กำลังพลประมาณ 1,600 นาย ก็ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจชายแดนเขาพระวิหารด้วยเช่นกัน
ที่น่าจับตาต้องเป็น กองพลน้อยรักษาความปลอดภัย 70 (รปภ.70) เดิมมี พลเอกเฮิง บุญเฮง ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน เป็น ผบ.พล ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย พลโทฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน อายุเพียง 33 ปีขึ้นมากุมกำลัง รปภ.70 ที่มีอยู่กำลังพลประมาณา 6,000 นาย เรียกว่าเป็นฐานกำลังองครักษ์ที่เข้มแข็งมาก
ข่าววงในกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นี่เป็นชนวนให้นายทหารรุ่นเก่าแก่ ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจ พลโทฮุน มาเนต อย่างมากที่ถูกข้ามหัว ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้กองทัพกัมพูชาระส่ำระสายพอสมควร
นักรบสังกัด รปภ.70 ได้รับฉายา “นักรบกำเปรี๊ยะ” ขึ้นตรงกับสมเด็จฮุน เซน เกือบทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายจากภัยสงคราม สมเด็จฮุน เซน ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง ส่งเสียให้เรียนวิชาทหารและการรบทุกรูปแบบเพื่อทำหน้าที่อารักขาสมเด็จฮุน เซนกับครอบครัวโดยเฉพาะ ดังนั้น ทหารพวกนี้จึงพร้อมจะถวายชีวิตทุกเมื่อ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุด้วยว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างพลโทธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พลเอกเจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 พลโทซะรัย ดึ๋ก ผบ.พล.สสน.ที่ 3 ของกัมพูชา ที่ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คล้อยหลังการเจรจาหยุดยิงไม่กี่ชั่วโมง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกที่บริเวณภูมะเขือ จากนั้นก็เปิดฉากปะทะด้วยปืนใหญ่อย่างหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์
คำถาม ทำไมกัมพูชาถึงล้มโต๊ะเจรจา? สรุปก็คือเป็นฝีมือของ “นักรบกำเปรี๊ยะ” บัญชาการโดยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาททางทหารและทางการเมือง นี่เอง แต่สำหรับนายทหารรุ่นเก่าแก่ รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรบกับทหารไทย เพราะมีแต่จะสูญเสีย
แต่ พลโทฮุน มาเนต ไม่คิดอย่างนั้น เขากลับเติมเชื้อไปสงครามด้วยการสั่ง“นักรบกำเปรี๊ยะ” ยิงยั่วยุฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้ไทยเปิดฉากยิงโต้ตอบกลับไปให้เกิด “สงครามเต็มรูปแบบ” เหตุผลส่วนตัวคือต้องการโชว์พาว ศักยภาพของตัวเองให้สมเด็จบิดาเชื่อมั่นความสามารถว่า จะควบคุมกองทัพสืบทอดอำนาจจากเขาได้ เหตุผลรองมาคือเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศพี่ใหญ่ ว่าถูกไทยรังแก และเข้ามาสนับสนุนการสู้รบ
ขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ก็จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้าที่ใกล้จะถึงอย่างท่วมท้น ในฐานะทำสงครามปกป้องการรุกรานจากประเทศไทยที่ใหญ่กว่า
วันนี้ ข้อพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องทวิภาคีแล้ว ได้ขยับไปถึงเวทีโลกแล้ว ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหประชาชาติให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง แล้วหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธี แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่บรรลุจุดประสงค์ จึงคงยั่วยุไม่หยุด จากนี้ต้องขึ้นกับฝ่ายไทยว่า จะใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไปได้นานสักแค่ไหน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถึงช่วงหน้าแล้งของทุกปี ภูเขาลูกเล็กๆ แห่งนี้จะถูกไฟไหม้เกือบหมด พอเข้าหน้าฝน ดินที่แห้งแล้งได้ความชื้นจากน้ำฝน พืชพรรณต่างๆ ก็โผล่ขึ้นจากพื้นดิน และในจำนวนนี้จะมีต้นมะเขือพันธุ์หนึ่งเกิดขึ้นกระจายเต็มทั้งภูเขามีลักษณะลูกเล็ก ๆ ใหญ่เต็มที่แค่นิ้วหัวแม่มือ บางคนเรียก "มะเขือลาย" ซึ่งเป็นที่มาแห่งชื่อ "ภูมะเขือ"
ในทางยุทธศาสตร์ “เขาพระวิหาร” ชัยภูมิของ"ภูมะเขือ" ทำให้กำลังฝ่ายเขมรได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับทหารไทย เนื่องจากเป็นภูสูง เมื่อยึดเป็นที่ตั้งฐานปืนใหญ่ได้ก็รบกับไทยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่ที่ผ่านมา กว่าที่กัมพูชาจะขึ้นมาบนภูมะเขือได้ จะต้องขึ้นบันไดสูงชันกว่า 936 ขั้น ต่อมา กัมพูชาได้สร้างกระเช้าขึ้น 2 ขนาด ขนาดเล็กบรรทุกได้เที่ยวละ 5 - 10 คน กระเช้าใหญ่บรรทุกได้เที่ยวละ 15 - 20 คน นอกจากนี้ก็บรรทุกลำเลียงเสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาด้วย
จุดที่ตั้งของกระเช้า ทหารไทยเรียกว่า “หัวโด่” ส่วนชาวบ้านจะเรียกพลาญหินตรงนั้นว่า “พะลานถ้ำพระ” ซึ่งเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่พอสมควร เมื่อก่อนทหารพรานของไทยเคยตั้งฐานปฏิบัติการ แต่กลับถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น อย่างไม่มีเหตุผล
ปัจจุบันทหารช่างกัมพูชากำลังระเบิดหน้าผาเพื่อปรับพื้นที่ตัดถนนจากหมู่บ้านโกมุย ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ขึ้นมาที่ภูมะเขือ ถนนเส้นนี้จะตัดผ่านวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ มุ่งหน้าไปหาปราสาทพระวิหาร ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อถนนเสร็จแล้ว จะเป็นทั้งถนนเส้นทางเศรษฐกิจที่จะรองรับแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่กำลังจะได้รับพิจารณาเป็นมรดกโลกในเร็ว ๆนี้ด้วย
ที่สำคัญจะเป็นถนนเส้นยุทธศาสตร์การทหาร ใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จากฐานปฏิบัติการที่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย กองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 พลโทซะรัย ดึ๊ก เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ที่บ้านเปี๊ยะสะแบก ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย
ถัดไปเป็นกองพลสนับสนุนที่ 7 มีพลตรี วา เซือน เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านกะดล ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน มีกำลังพล 900 นาย และกองพลสนับสนุนที่ 8 มีพลตรี ยึม ปึน เป็นผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านจารี ต.กันต๊วด มีกำลังพล 1,500 นาย ถัดออกไปอีกจะมี กองพลสนับสนุนที่ 9 มี พล.ต.กล ไว เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ ต.ตึ๊กกรอโฮม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 1,000 นาย
"ภูมะเขือ"นอกจากฝ่ายกัมพูชาจะวางกำลังทหารหน่วยหลักประชิดชายแดนไว้แล้ว ยังมีการเสริมกำลังทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม "รพศ.911" สวมหมวกเบเรต์ สีเขียว พลโท จ๊าบ เพียะกะเด็ย เป็น ผบ.พัน กำลังพลประมาณ 1,600 นาย ก็ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจชายแดนเขาพระวิหารด้วยเช่นกัน
ที่น่าจับตาต้องเป็น กองพลน้อยรักษาความปลอดภัย 70 (รปภ.70) เดิมมี พลเอกเฮิง บุญเฮง ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน เป็น ผบ.พล ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย พลโทฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน อายุเพียง 33 ปีขึ้นมากุมกำลัง รปภ.70 ที่มีอยู่กำลังพลประมาณา 6,000 นาย เรียกว่าเป็นฐานกำลังองครักษ์ที่เข้มแข็งมาก
ข่าววงในกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นี่เป็นชนวนให้นายทหารรุ่นเก่าแก่ ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจ พลโทฮุน มาเนต อย่างมากที่ถูกข้ามหัว ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้กองทัพกัมพูชาระส่ำระสายพอสมควร
นักรบสังกัด รปภ.70 ได้รับฉายา “นักรบกำเปรี๊ยะ” ขึ้นตรงกับสมเด็จฮุน เซน เกือบทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายจากภัยสงคราม สมเด็จฮุน เซน ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง ส่งเสียให้เรียนวิชาทหารและการรบทุกรูปแบบเพื่อทำหน้าที่อารักขาสมเด็จฮุน เซนกับครอบครัวโดยเฉพาะ ดังนั้น ทหารพวกนี้จึงพร้อมจะถวายชีวิตทุกเมื่อ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุด้วยว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างพลโทธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พลเอกเจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 พลโทซะรัย ดึ๋ก ผบ.พล.สสน.ที่ 3 ของกัมพูชา ที่ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คล้อยหลังการเจรจาหยุดยิงไม่กี่ชั่วโมง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกที่บริเวณภูมะเขือ จากนั้นก็เปิดฉากปะทะด้วยปืนใหญ่อย่างหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์
คำถาม ทำไมกัมพูชาถึงล้มโต๊ะเจรจา? สรุปก็คือเป็นฝีมือของ “นักรบกำเปรี๊ยะ” บัญชาการโดยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาททางทหารและทางการเมือง นี่เอง แต่สำหรับนายทหารรุ่นเก่าแก่ รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรบกับทหารไทย เพราะมีแต่จะสูญเสีย
แต่ พลโทฮุน มาเนต ไม่คิดอย่างนั้น เขากลับเติมเชื้อไปสงครามด้วยการสั่ง“นักรบกำเปรี๊ยะ” ยิงยั่วยุฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้ไทยเปิดฉากยิงโต้ตอบกลับไปให้เกิด “สงครามเต็มรูปแบบ” เหตุผลส่วนตัวคือต้องการโชว์พาว ศักยภาพของตัวเองให้สมเด็จบิดาเชื่อมั่นความสามารถว่า จะควบคุมกองทัพสืบทอดอำนาจจากเขาได้ เหตุผลรองมาคือเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศพี่ใหญ่ ว่าถูกไทยรังแก และเข้ามาสนับสนุนการสู้รบ
ขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ก็จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้าที่ใกล้จะถึงอย่างท่วมท้น ในฐานะทำสงครามปกป้องการรุกรานจากประเทศไทยที่ใหญ่กว่า
วันนี้ ข้อพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องทวิภาคีแล้ว ได้ขยับไปถึงเวทีโลกแล้ว ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหประชาชาติให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง แล้วหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธี แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่บรรลุจุดประสงค์ จึงคงยั่วยุไม่หยุด จากนี้ต้องขึ้นกับฝ่ายไทยว่า จะใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไปได้นานสักแค่ไหน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ลิเบียกวาดล้างผู้ประท้วงยังหนักหน่วง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานการณ์ภายในลิเบียนั้น มีแต่รายงานการกวาดล้างผู้ประท้วงอย่างหนักหน่วง ในกรุงทริโปลี ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งในและต่างประเทศ พากันลาออก และมีรายงานนักบินของกองทัพอากาศแปรพักตร์ด้วย พวกทหารรับจ้างได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน ส่วนกองกำลังรักษาความมั่นคงได้พยายามระงับเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ลุกลามไปยังพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ทางตะวันออกของประเทศ ส่วนเมืองเบนกาซีที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ ตกอยู่ในความครอบครองของผู้ประท้วง แยกจากเมืองหลวงที่มีประชากร 2 ล้านคน และกำลังปั่นป่วนอย่างหนัก
สถานีโทรทัศน์ของรัฐ รายงานว่า ทหารได้บุกเข้าไปยังที่ซ่อนตัวของพวกบ่อนทำลาย และเรียกร้องให้สาธารณชนสนับสนุนกองกำลังรักษาความมั่นคง ส่วนสถานภาพของพันเอกกัดดาฟี่ล่าสุดนั้น พบว่า เขาสูญเสียการสนับสนุนจากชนเผ่าสำคัญอย่างน้อยหนึ่งเผ่า ,หน่วยทหารหลายหน่วย และนักการทูตของเขาเอง รวมทั้งพวกที่ประจำอยู่ที่สหประชาชาติด้วย สภาพภายในกรุงทริโปลี เหมือนถูกปิดตายมาตั้งแต่วันจันทร์ โรงเรียน สถานที่ราชการและร้านค้าส่วนใหญ่พากันปิด ยกเว้น ร้านขนมปังบางแห่ง
ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า " คณะกรรมการปฏิวัติ " ซึ่งมีอาวุธ ได้ออกไล่ล่าผู้ประท้วงในกรุงทริโปลี มหาศาลาประชาชนที่เป็นอาคารหลักที่ใช้ในการประชุมสำคัญของรัฐบาล ถูกจุดไฟเผา ต่างจากเมืองเบนกาซี ที่ผู้ประท้วงพากันโบกธงของราชวงศ์ ที่ถูกพันเอกกัดดาฟี่ โค่นอำนาจ เฉลิมฉลองชัยชนะ
ขณะที่ผู้ประท้วงจะเรียกร้องให้ไปชุมนุมกันที่จตุรัสกรีน และด้านนอกที่พำนักของพันเอกกัดดาฟี่ แต่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า มีเฮลิคอปเตอร์หลายลำ บินอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่กลุ่มมือปืนที่อยู่ในรถยนต์ ได้เปิดฉากสาดกระสุน ไม่เว้นแม้แต่อาคารบ้านเรือน เพื่อนข่มขวัญประชาชน พวกวัยรุ่นที่พยายามไปรวมตัวกันตามท้องถนน ต้องแตกกระจายหนีกระสุนปืนมีคนจำนวนหนึ่ง ร้องไห้อยู่กับศพเหยื่อกระสุนบนถนน การสื่อสารในกรุงทริโปลี ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ประชาชนไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกทางโทรศัพท์ได้อีกต่อไป
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สถานีโทรทัศน์ของรัฐ รายงานว่า ทหารได้บุกเข้าไปยังที่ซ่อนตัวของพวกบ่อนทำลาย และเรียกร้องให้สาธารณชนสนับสนุนกองกำลังรักษาความมั่นคง ส่วนสถานภาพของพันเอกกัดดาฟี่ล่าสุดนั้น พบว่า เขาสูญเสียการสนับสนุนจากชนเผ่าสำคัญอย่างน้อยหนึ่งเผ่า ,หน่วยทหารหลายหน่วย และนักการทูตของเขาเอง รวมทั้งพวกที่ประจำอยู่ที่สหประชาชาติด้วย สภาพภายในกรุงทริโปลี เหมือนถูกปิดตายมาตั้งแต่วันจันทร์ โรงเรียน สถานที่ราชการและร้านค้าส่วนใหญ่พากันปิด ยกเว้น ร้านขนมปังบางแห่ง
ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า " คณะกรรมการปฏิวัติ " ซึ่งมีอาวุธ ได้ออกไล่ล่าผู้ประท้วงในกรุงทริโปลี มหาศาลาประชาชนที่เป็นอาคารหลักที่ใช้ในการประชุมสำคัญของรัฐบาล ถูกจุดไฟเผา ต่างจากเมืองเบนกาซี ที่ผู้ประท้วงพากันโบกธงของราชวงศ์ ที่ถูกพันเอกกัดดาฟี่ โค่นอำนาจ เฉลิมฉลองชัยชนะ
ขณะที่ผู้ประท้วงจะเรียกร้องให้ไปชุมนุมกันที่จตุรัสกรีน และด้านนอกที่พำนักของพันเอกกัดดาฟี่ แต่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า มีเฮลิคอปเตอร์หลายลำ บินอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่กลุ่มมือปืนที่อยู่ในรถยนต์ ได้เปิดฉากสาดกระสุน ไม่เว้นแม้แต่อาคารบ้านเรือน เพื่อนข่มขวัญประชาชน พวกวัยรุ่นที่พยายามไปรวมตัวกันตามท้องถนน ต้องแตกกระจายหนีกระสุนปืนมีคนจำนวนหนึ่ง ร้องไห้อยู่กับศพเหยื่อกระสุนบนถนน การสื่อสารในกรุงทริโปลี ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ประชาชนไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกทางโทรศัพท์ได้อีกต่อไป
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
รัฐสภาอังกฤษจ่อสอบสลายคนเสื้อแดงกดดันหาตัวคนผิด
ส.ส.อังกฤษส่งสัญญาณผลักดันให้รัฐสภาสอบเรื่องการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในประเทศไทย ระบุจะช่วยกดดันให้นำตัวผู้ทำความผิดมารับโทษหลังรู้ข้อมูลแล้วรับไม่ได้กับการทำให้ประชาชนบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก ด้านตัวแทนสื่อ ตัวแทนองค์กรต่างประเทศ เห็นตรงกันปัญหาของไทยเกิดจากโครงสร้างและสถาบันต่างๆ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา หมดความอดทนหลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันปกปิดตัวเลขค่าใช้จ่ายของ ศอฉ. มีมติทำเรื่องให้สำนักงบประมาณชี้แจงโดยตรง โฆษกเพื่อไทยปูดบิ๊กในรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงสุมหัวโรงแรมย่านถนนวิภาวดี ให้จับตาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯอาจมีสถานการณ์ให้ขยายไปใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) กล่าวถึงผลสรุปการเดินทางไปร่วมสัมมนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองในไทยต่อหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนสากล ตามคำเชิญของรัฐสภาอังกฤษ ที่ประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆนี้ว่า ได้รายงานเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยเฉพาะกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. ปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า ศปช. ไม่ใช่ผู้กุมความจริงทั้งหมด และตระหนักในข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลหรือทหารได้
ศปช. หวังข้อมูลที่ให้เป็นประโยชน์
“สิ่งที่นำเสนอของ ศปช. เป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วน และหวังว่าจะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์หวังให้สังคมช่วยกันปะติดปะต่อ ดิฉันยังพูดถึงการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การปิดสื่อ การใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายชุมนุม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมกรณีจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมและควบคุมตัว การสูญหายของผู้ชุมนุม แม้ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีผู้ชุมนุมหายจริงหรือไม่ และด้วยสาเหตุจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ตลอดจนการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ”
เห็นตรงกันไทยมีปัญหาโครงสร้าง
น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า ในเวทีสัมมนาได้ให้เวลาผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยพรรคการเมืองต่างๆของอังกฤษ เช่น Conservative นักข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์, Guadian, Sunday times องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ เช่น Big Brother Watch, Human Rights Watch ตัวแทนสถานทูตสหรัฐ ตัวแทนจากสถานทูตไทย นายเชิดเกียรติ อัตถากร ตลอดจนนักศึกษาไทยและต่างชาติในอังกฤษ รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างและสถาบันต่างๆ
แฉตัวแทนฝั่งสหรัฐตามอุ้มรัฐบาล
“ที่เป็นประเด็นมากที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นของ มร.แบรด อดัมส์ (Mr.Brad Adams) ผู้อำนวยการแผนกเอเชียจากองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Watch) ของสหรัฐ ซึ่งเปิดประเด็นโดยบอกในลักษณะที่ว่า การละเมิดสิทธิและการลอยนวลมีเรื่องการเมืองและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาที่เกิดขึ้นของสังคมไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน นอกจากนั้นกรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงมีแผนเผาบ้านเผาเมืองจริง”
น้องช่างภาพอิตาลีโวยคดีไม่คืบหน้า
น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า สำหรับน้องสาวนายฟาบิโอ โนเลนกี้ ช่างภาพชาวอิตาลี ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ได้รับเชิญให้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ได้พูดถึงการเสียชีวิตของพี่ชายว่า จากการตรวจสอบคดีความต่างๆล่าสุดพบว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเฉพาะไม่ทราบเกี่ยวกับรายงานใดๆของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และยืนยันนายฟาบิโอไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใด และไม่คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว เพราะลำพังแค่การเมืองของอิตาลีเขาก็ยังไม่เข้าใจ
ส.ส.อังกฤษดันสภาสอบสลายเสื้อแดง
“เท่าที่ได้ฟังเสียงปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายพบว่าการสัมมนาครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับดีมาก โดยมี ส.ส. ของอังกฤษคนหนึ่งส่งจดหมายมาว่า รู้สึกเห็นใจและจะช่วยผลักดันเรื่องเข้าสู่รัฐสภาอังกฤษ เพื่อกดดันให้นำตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากมารับผิดชอบให้ได้” น.ส.ขวัญระวีกล่าว
ส.ว. ไล่บี้เปิดเผยค่าใช้จ่าย ศอฉ.
นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา เปิดเผยว่า หลังพยายามเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หลายครั้ง แต่คนที่มาชี้แจงส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ที่คณะกรรมการเชิญไปจึงไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้ ดังนั้น คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำหนังสือสอบถามเรื่องนี้โดยตรงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับทราบตัวเลขการเบิกจ่าย
ทำเรื่องถามสำนักงบประมาณ
“คนที่มาชี้แจงส่วนมากเป็นแค่ตัวแทน มาแล้วก็ให้รายละเอียดอะไรไม่ได้ อ้างว่าไม่รู้บ้าง ไม่มีอำนาจบ้าง การทำงานที่ผ่านมาคณะกรรมการรู้แค่มีการจัดงบแยกเป็น 3 ส่วนคือ งบลับ งบปรกติที่ประทับตราลับ และงบเยียวยา รายละเอียดว่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร คนที่มาชี้แจงให้ข้อมูลไม่ได้เลย คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำเรื่องสอบถามไปที่สำนักงบประมาณ” นายจิตติพจน์กล่าว
ชี้พยายามอย่างไรก็ปิดไม่อยู่
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ศอฉ. ใช้จ่ายงบประมาณไปหลายหมื่นล้านบาทนั้น นายจิตติพจน์กล่าวว่า ยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่เท่าที่ทราบอย่างไม่เป็นทางการก็มากพอสมควร แต่สุดท้ายเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยออกไป คงไม่สามารถปิดบังได้ เพราะรัฐบาลต้องรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่ายนิติบัญยัติ แต่ไม่รู้ว่าจะรายงานได้เมื่อไรทั้งที่ ศอฉ. ถูกยุบไปนานแล้ว
ปูดมีบิ๊กสุมหัวหารือที่โรงแรม
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้จนตรอกและใกล้ถึงทางตันแล้ว ล่าสุดมีคนในรัฐบาลไปหารือในโรงแรมหนึ่งหนึ่งย่านถนนวิภาวดีกับบิ๊กความมั่นคง บอกว่าหากมีม็อบอย่างนี้ ยืดเยื้ออย่างนี้ เลือกตั้งครั้งหน้ารัฐบาลจะลำบาก จึงห่วงว่ารัฐบาลนี้จะดำเนินการแบบสติแตก อยากเตือนรัฐบาลว่าควรตั้งสติในการแก้ปัญหา และควรนำคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่เก่งๆหลายคนมาใช้งาน หยุดการกินมูมมามเพื่อกอบโกย ถอนทุน หรือสะสมทุนเอาไว้เลือกตั้ง
ให้จับตาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
“การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 ก.พ. นี้จะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรออกไปอีกแน่นอน หลังของเดิมครบกำหนดในวันที่ 23 ก.พ. และมีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าต่อไปอาจนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้อีกครั้ง เพราะการคุยกันของตัวแทนรัฐบาลและบิ๊กจากฝ่ายความมั่นคงที่โรงแรมย่านถนนวิภาวดีทราบว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ยั่วยุขึ้นมาเพื่อยกระดับจาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯไปเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
เสื้อเหลืองติงแดงกดดันศาลไม่เหมาะ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ แถลงว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกำลังมุ่งเป้าไปที่อำนาจตุลาการ และกระบวนการยุติธรรมเพื่อบีบศาลให้ประกันตัวแกนนำที่ยังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดี ต่อไปใครไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรม คำตัดสินของศาลก็ก่อม็อบขึ้นมากดดัน
อ้างเคาะประตูให้มีปฏิวัติรัฐประหาร
“วิธีการเคลื่อนไหวของ นปช. สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความไร้ระเบียบในบ้านเมือง และอาจนำไปสู่การทำปฏิวัติรัฐประหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแปลกใจที่คนเสื้อแดงประกาศว่าไม่เอาปฏิวัติรัฐประหาร แต่ทำไมจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง” นายสุริยะใสกล่าว
ผอ.ศอ.รส. ยันจำเป็นต่ออายุกฎหมาย
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบภายใน (ผอ.ศอ.รส.) กล่าวภายหลังการเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้รัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯว่า ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีรับทราบเป็นการเบื้องต้นถึงความจำเป็น และในวันที่ 21 ก.พ. นี้จะชี้แจงเหตุผลต่อไป
“ได้ขอขยายการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯออกไปอีก 15 วัน แต่จะลดพื้นที่การบังคับใช้ลง การใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯยังมีความจำเป็น เพราะเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ควบคุมสถานการณ์ได้” ผบ.ตร. กล่าว
อ้างเพราะกฎหมายพิเศษจึงไม่วุ่นวาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประกาศใช้มากฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง การต่ออายุจะมีประโยชน์อะไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า การบังคับใช้ช่วงที่ผ่านมาได้ผลในระดับหนึ่ง เช่น การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา เดิมทีผู้ชุมนุมจะเคลื่อนการชุมนุมไปปิดล้อมรัฐสภา แต่เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นฯคงทำให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการทำงาน ประกอบกับความพร้อมในการจัดวางกำลัง ความวุ่นวายในบ้านเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจึงยังมีความจำเป็น
ไม่กระทบสิทธิประชาชนทั่วไป
เมื่อถูกถามต่อว่า จะเจรจากับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เปิดพื้นที่การจราจรได้เมื่อไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า จะพยายามขอพื้นที่การจราจรคืนจากผู้ชุมนุมให้ได้ ส่วนที่มีหลายประเทศออกประกาศเตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางมากรุงเทพฯ เพราะรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทำให้ไม่มั่นใจในสถานการณ์นั้น ยืนยันว่าการประกาศใช้กฎหมายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน กฎหมายไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพ เพราะเป้าหมายของการประกาศใช้กฎหมายคือการควบคุมผู้ชุมนุม และขอคืนพื้นที่จราจรบางส่วนเท่านั้น
ที่มา. จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) กล่าวถึงผลสรุปการเดินทางไปร่วมสัมมนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองในไทยต่อหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนสากล ตามคำเชิญของรัฐสภาอังกฤษ ที่ประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆนี้ว่า ได้รายงานเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยเฉพาะกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. ปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า ศปช. ไม่ใช่ผู้กุมความจริงทั้งหมด และตระหนักในข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลหรือทหารได้
ศปช. หวังข้อมูลที่ให้เป็นประโยชน์
“สิ่งที่นำเสนอของ ศปช. เป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วน และหวังว่าจะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์หวังให้สังคมช่วยกันปะติดปะต่อ ดิฉันยังพูดถึงการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การปิดสื่อ การใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายชุมนุม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมกรณีจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมและควบคุมตัว การสูญหายของผู้ชุมนุม แม้ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีผู้ชุมนุมหายจริงหรือไม่ และด้วยสาเหตุจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ตลอดจนการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ”
เห็นตรงกันไทยมีปัญหาโครงสร้าง
น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า ในเวทีสัมมนาได้ให้เวลาผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยพรรคการเมืองต่างๆของอังกฤษ เช่น Conservative นักข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์, Guadian, Sunday times องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ เช่น Big Brother Watch, Human Rights Watch ตัวแทนสถานทูตสหรัฐ ตัวแทนจากสถานทูตไทย นายเชิดเกียรติ อัตถากร ตลอดจนนักศึกษาไทยและต่างชาติในอังกฤษ รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างและสถาบันต่างๆ
แฉตัวแทนฝั่งสหรัฐตามอุ้มรัฐบาล
“ที่เป็นประเด็นมากที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นของ มร.แบรด อดัมส์ (Mr.Brad Adams) ผู้อำนวยการแผนกเอเชียจากองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Watch) ของสหรัฐ ซึ่งเปิดประเด็นโดยบอกในลักษณะที่ว่า การละเมิดสิทธิและการลอยนวลมีเรื่องการเมืองและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาที่เกิดขึ้นของสังคมไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน นอกจากนั้นกรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงมีแผนเผาบ้านเผาเมืองจริง”
น้องช่างภาพอิตาลีโวยคดีไม่คืบหน้า
น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า สำหรับน้องสาวนายฟาบิโอ โนเลนกี้ ช่างภาพชาวอิตาลี ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ได้รับเชิญให้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ได้พูดถึงการเสียชีวิตของพี่ชายว่า จากการตรวจสอบคดีความต่างๆล่าสุดพบว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเฉพาะไม่ทราบเกี่ยวกับรายงานใดๆของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และยืนยันนายฟาบิโอไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใด และไม่คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว เพราะลำพังแค่การเมืองของอิตาลีเขาก็ยังไม่เข้าใจ
ส.ส.อังกฤษดันสภาสอบสลายเสื้อแดง
“เท่าที่ได้ฟังเสียงปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายพบว่าการสัมมนาครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับดีมาก โดยมี ส.ส. ของอังกฤษคนหนึ่งส่งจดหมายมาว่า รู้สึกเห็นใจและจะช่วยผลักดันเรื่องเข้าสู่รัฐสภาอังกฤษ เพื่อกดดันให้นำตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากมารับผิดชอบให้ได้” น.ส.ขวัญระวีกล่าว
ส.ว. ไล่บี้เปิดเผยค่าใช้จ่าย ศอฉ.
นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา เปิดเผยว่า หลังพยายามเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หลายครั้ง แต่คนที่มาชี้แจงส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ที่คณะกรรมการเชิญไปจึงไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้ ดังนั้น คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำหนังสือสอบถามเรื่องนี้โดยตรงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับทราบตัวเลขการเบิกจ่าย
ทำเรื่องถามสำนักงบประมาณ
“คนที่มาชี้แจงส่วนมากเป็นแค่ตัวแทน มาแล้วก็ให้รายละเอียดอะไรไม่ได้ อ้างว่าไม่รู้บ้าง ไม่มีอำนาจบ้าง การทำงานที่ผ่านมาคณะกรรมการรู้แค่มีการจัดงบแยกเป็น 3 ส่วนคือ งบลับ งบปรกติที่ประทับตราลับ และงบเยียวยา รายละเอียดว่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร คนที่มาชี้แจงให้ข้อมูลไม่ได้เลย คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำเรื่องสอบถามไปที่สำนักงบประมาณ” นายจิตติพจน์กล่าว
ชี้พยายามอย่างไรก็ปิดไม่อยู่
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ศอฉ. ใช้จ่ายงบประมาณไปหลายหมื่นล้านบาทนั้น นายจิตติพจน์กล่าวว่า ยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่เท่าที่ทราบอย่างไม่เป็นทางการก็มากพอสมควร แต่สุดท้ายเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยออกไป คงไม่สามารถปิดบังได้ เพราะรัฐบาลต้องรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่ายนิติบัญยัติ แต่ไม่รู้ว่าจะรายงานได้เมื่อไรทั้งที่ ศอฉ. ถูกยุบไปนานแล้ว
ปูดมีบิ๊กสุมหัวหารือที่โรงแรม
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้จนตรอกและใกล้ถึงทางตันแล้ว ล่าสุดมีคนในรัฐบาลไปหารือในโรงแรมหนึ่งหนึ่งย่านถนนวิภาวดีกับบิ๊กความมั่นคง บอกว่าหากมีม็อบอย่างนี้ ยืดเยื้ออย่างนี้ เลือกตั้งครั้งหน้ารัฐบาลจะลำบาก จึงห่วงว่ารัฐบาลนี้จะดำเนินการแบบสติแตก อยากเตือนรัฐบาลว่าควรตั้งสติในการแก้ปัญหา และควรนำคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่เก่งๆหลายคนมาใช้งาน หยุดการกินมูมมามเพื่อกอบโกย ถอนทุน หรือสะสมทุนเอาไว้เลือกตั้ง
ให้จับตาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
“การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 ก.พ. นี้จะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรออกไปอีกแน่นอน หลังของเดิมครบกำหนดในวันที่ 23 ก.พ. และมีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าต่อไปอาจนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้อีกครั้ง เพราะการคุยกันของตัวแทนรัฐบาลและบิ๊กจากฝ่ายความมั่นคงที่โรงแรมย่านถนนวิภาวดีทราบว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ยั่วยุขึ้นมาเพื่อยกระดับจาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯไปเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
เสื้อเหลืองติงแดงกดดันศาลไม่เหมาะ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ แถลงว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกำลังมุ่งเป้าไปที่อำนาจตุลาการ และกระบวนการยุติธรรมเพื่อบีบศาลให้ประกันตัวแกนนำที่ยังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดี ต่อไปใครไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรม คำตัดสินของศาลก็ก่อม็อบขึ้นมากดดัน
อ้างเคาะประตูให้มีปฏิวัติรัฐประหาร
“วิธีการเคลื่อนไหวของ นปช. สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความไร้ระเบียบในบ้านเมือง และอาจนำไปสู่การทำปฏิวัติรัฐประหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแปลกใจที่คนเสื้อแดงประกาศว่าไม่เอาปฏิวัติรัฐประหาร แต่ทำไมจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง” นายสุริยะใสกล่าว
ผอ.ศอ.รส. ยันจำเป็นต่ออายุกฎหมาย
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบภายใน (ผอ.ศอ.รส.) กล่าวภายหลังการเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้รัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯว่า ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีรับทราบเป็นการเบื้องต้นถึงความจำเป็น และในวันที่ 21 ก.พ. นี้จะชี้แจงเหตุผลต่อไป
“ได้ขอขยายการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯออกไปอีก 15 วัน แต่จะลดพื้นที่การบังคับใช้ลง การใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯยังมีความจำเป็น เพราะเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ควบคุมสถานการณ์ได้” ผบ.ตร. กล่าว
อ้างเพราะกฎหมายพิเศษจึงไม่วุ่นวาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประกาศใช้มากฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง การต่ออายุจะมีประโยชน์อะไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า การบังคับใช้ช่วงที่ผ่านมาได้ผลในระดับหนึ่ง เช่น การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา เดิมทีผู้ชุมนุมจะเคลื่อนการชุมนุมไปปิดล้อมรัฐสภา แต่เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นฯคงทำให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการทำงาน ประกอบกับความพร้อมในการจัดวางกำลัง ความวุ่นวายในบ้านเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจึงยังมีความจำเป็น
ไม่กระทบสิทธิประชาชนทั่วไป
เมื่อถูกถามต่อว่า จะเจรจากับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เปิดพื้นที่การจราจรได้เมื่อไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า จะพยายามขอพื้นที่การจราจรคืนจากผู้ชุมนุมให้ได้ ส่วนที่มีหลายประเทศออกประกาศเตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางมากรุงเทพฯ เพราะรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทำให้ไม่มั่นใจในสถานการณ์นั้น ยืนยันว่าการประกาศใช้กฎหมายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน กฎหมายไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพ เพราะเป้าหมายของการประกาศใช้กฎหมายคือการควบคุมผู้ชุมนุม และขอคืนพื้นที่จราจรบางส่วนเท่านั้น
ที่มา. จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถ้าไม่อยากโดนปฏิวัติ..โปรดฟัง อีกครั้ง!
ร่อนลงกลางวงนักข่าว ลุยดงปากเหยี่ยวปากกานักข่าว กลางวงเสวนา “ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย” คุยแบบเป็นกันเองตามสไตล์ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในท่ามกลางสารพัดข่าวลือข่าว ปล่อยเกี่ยวกับสถานการณ์ปฏิวัติที่โชยกลิ่นคละคลุ้ง ในปริมณฑลการเมืองไทย
คำถามอันดับแรกๆ ยิงตรงเป้าถามใจรุ่นพี่วัดใจน้องเลิฟอย่าง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ด้วยสารพัน ปัญหาอันทอดยอดไปถึงเหตุบ้านการเมืองที่วุ่นวายในท้ายที่สุด “บิ๊กตู่” จะเลือกเดินตามรอย “บิ๊กบัง” กระทำการปฏิวัติรัฐประหารเฉกเช่นคืนวันเก่าๆ ครั้ง 19 กันยายน 2549 หรือไม่???
แม้จะไม่ยอมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ในทุกวลีที่เจรจา ล้วนสะท้อนนัยแห่ง ลับ ลวง พราง ตามแบบต้นตำรับอย่าง “บิ๊กบัง”
“ทำปฏิวัตินั้นทำไม่ยาก แต่ถ้าทำไปแล้วสิ่งแวดล้อม รอบข้างทั้งภายในและภายนอกประเทศเขาจะยอมรับ หรือไม่”
“ส่วนตัวผมถ้าได้อ่านหนังสือปรัชญาการเมือง 10 ข้อของ นิโคโล มาเคลเวลลี่ ก่อนผมคงไม่ตัดสินใจ ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน”
ขยายความถอดรหัสจากปรัชญาของ “มาเคลเวลลี่” ที่เขียนไว้ในหนังสือ “THE PRINCE” อันมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องถึงเกมการชิงอำนาจ เสนอแนวคิดทางการเมืองแบบ ใหม่ ที่สนับสนุนการใช้อำนาจและความรุนแรง ซึ่งแยกย่อย ออกเป็น 10 ข้อดังนี้
1.แยกการเมืองออกจากศาสนา (secularization) สำหรับแมคเคียเวลลี การเมืองและศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน การเล่นการเมืองไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงศีลธรรมจรรยา ซึ่งไม่เคยมีใคร เสนอแนวคิดแบบนี้มาก่อน ในขณะที่เพลโตที่บอกว่าผู้ปกครองควรมีคุณธรรม ออกัสติน บอกว่าต้องเชื่อฟังพระเจ้า แต่แมคเคียเวลลีเป็นคนแรกที่บอกว่า การเมืองต้องแยกจากศาสนา ศีลธรรม จรรยา และพระเจ้า
2.รัฐเป็นสิ่งสูงสุด ความต้องการของแต่ละคนที่เข้ามารวมตัวเป็นรัฐคือผลประโยชน์ รัฐจึงเป็นตัวแทนของบุคคลในการหาและรักษาผลประโยชน์ ดังนั้น การคงอยู่ของรัฐและเจตจำนงของรัฐจะต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งปัจเจกบุคคล
3.ต้องแยกรัฐออกจากศีลธรรมจรรยา ดังนั้น จึงไม่อาจพูดได้ว่ารัฐทำผิดหรือถูก เช่นเดียวกับบุคคลที่เป็นตัวแทนของรัฐ (รัฐบาล กษัตริย์ ผู้ครองนคร) จะไปวินิจฉัยว่าเขาทำผิดหรือถูกไม่ได้เช่นกัน เพราะผลประโยชน์ของรัฐย่อมเหนือความถูกผิดทั้งปวง
4.ผู้ครองนครหรือนักการเมืองเป็นนักฉวยโอกาส (opportunists) ทุกคน แรงจูงใจที่ทำ ให้เกิดการเมือง คือผลประโยชน์ ดังนั้น นักการเมืองหรือผู้ครองนครต้องกระทำการทุกอย่างเมื่อมีโอกาส เพื่อผลประโยชน์รัฐ
5.อย่ากลัวถ้าจะต้องทำผิดบ้าง ผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จต้องทำผิดบ้าง และควรใช้ ประโยชน์จากการทำผิดนั้นด้วย เพราะบางสิ่งบางอย่างที่คนภายนอกมองเห็นว่าดี แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่ได้ผลดีตามที่เห็น ในขณะที่ของที่ดูไม่ดีก็อาจจะใช้การได้ ดังนั้น ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเลือก แต่สิ่งที่ดีๆ แต่ควรดูว่าสิ่งๆ นั้นเมื่อนำไปปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะเมื่อจุดหมายหรือผล ที่ได้มันได้ประโยชน์ จะถือว่าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี
6.ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี แต่ควรแสร้งแสดง ให้คนอื่นคิดว่าเป็นคนดี ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นคนดีเสียเองซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร
7.ผู้ปกครองควรให้คนกลัวมากกว่าคนรัก เพราะความรักอาจกลายเป็นความเกลียดได้ แต่ความกลัวนั้น จะไม่รักและไม่เกลียด ผู้ปกครองจึงควรใช้อำนาจ (power) และความรุนแรง (violence) เพื่อให้ผู้อื่นกลัว
8.หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ เพราะการประจบ สอพลอ คือความอ่อนแอ และทำให้ลุ่มหลง ไม่อาจมอง เห็นความจริงได้ ผู้ปกครองจึงควรสนับสนุนการพูดความ จริงและตั้งคนฉลาดเป็นที่ปรึกษา และรับประกันเสรีภาพ ของที่ปรึกษาที่จะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา
9.ผู้มีอำนาจย่อมเป็นผู้ถูกเสมอ เพราะคนมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครกล้าว่าว่าผิด จุดมุ่งหมาย ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุจุดหมาย
และ 10.ผู้มีอำนาจไม่ควรอยู่ที่ทางสายกลาง เมื่อจะทำอะไรให้เต็มที่และเปิดเผย แมคเคียเวลลี กล่าวว่า เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและซีซาร์ได้ในขณะเดียวกัน หรือเราไม่สามารถถือดาบกับไบเบิลได้พร้อมๆกัน
หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในหนังสือ “THE PRINCE” บทที่ 8 ที่ระบุว่า “ในการเข้าครองรัฐหนึ่งๆ ผู้ชนะพึงต้อง จัดการกระทำทารุณกรรมทั้งหมดเสียในทันทีทันใด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกระทำซ้ำอีกทุกเมื่อเชื่อวัน”
คัดเฉพาะเนื้อๆ เน้นๆ จากหนังสือของปราชญ์ชาวอิตาลี จับกับ “อารมณ์” ของ “บิ๊กบัง” หลังวันก่อการที่ถูกบริภาษว่า “ไม่สะเด็ดน้ำ” น่าจะเข้าใจอารมณ์กันได้ว่า ด้วยโครงสร้างอันสลับซับซ้อนของการเมืองไทย การจะปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มันมีต้นทุนที่สูงส่งและเป็นเดิมพันที่สุ่มเสี่ยง..
ถึงบรรทัดนี้ แม้ “บิ๊กบัง” จะพูดไม่ชัดว่า “บิ๊กตู่” จะปฏิวัติ หรือไม่??? แต่นัยแห่งคำตอบอันกำกวม ก็น่าจะตอบโจทย์คำถามแห่งการตบเท้าที่โชยกลิ่นมาแล้วจะมีวิธีใดในการป้องปรามการปฏิวัติรัฐประหาร???“บิ๊กบัง” ตอบง่ายๆ สั้นๆ “รัฐบาลต้องบริหารงบประมาณ อย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพขยับเข้ามาใกล้ศูนย์อำนาจ ทางการเมือง”
ชัดถ้อยชัดคำและกระจ่างแจ้ง หากจับจากงบประมาณกองทัพไทยที่มีเพียง 0.9 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งมีจำนวนห่างไกลกันเหลือเกินกับงบกองทัพของนานาอารยประเทศ ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ของจีดีพี
แม้เงื่อนไขดังกล่าว จะขัดกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ต้องย้อนกลับไปถามว่า ตั้งแต่ครั้งอภิวัฒน์ประเทศ ปี 2475 บ้านเมืองนี้ถูกทหารปฏิวัติรัฐประหารมากี่รอบแล้ว..เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนปฏิวัติ...โปรดฟังอีกครั้ง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////
คำถามอันดับแรกๆ ยิงตรงเป้าถามใจรุ่นพี่วัดใจน้องเลิฟอย่าง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ด้วยสารพัน ปัญหาอันทอดยอดไปถึงเหตุบ้านการเมืองที่วุ่นวายในท้ายที่สุด “บิ๊กตู่” จะเลือกเดินตามรอย “บิ๊กบัง” กระทำการปฏิวัติรัฐประหารเฉกเช่นคืนวันเก่าๆ ครั้ง 19 กันยายน 2549 หรือไม่???
แม้จะไม่ยอมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ในทุกวลีที่เจรจา ล้วนสะท้อนนัยแห่ง ลับ ลวง พราง ตามแบบต้นตำรับอย่าง “บิ๊กบัง”
“ทำปฏิวัตินั้นทำไม่ยาก แต่ถ้าทำไปแล้วสิ่งแวดล้อม รอบข้างทั้งภายในและภายนอกประเทศเขาจะยอมรับ หรือไม่”
“ส่วนตัวผมถ้าได้อ่านหนังสือปรัชญาการเมือง 10 ข้อของ นิโคโล มาเคลเวลลี่ ก่อนผมคงไม่ตัดสินใจ ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน”
ขยายความถอดรหัสจากปรัชญาของ “มาเคลเวลลี่” ที่เขียนไว้ในหนังสือ “THE PRINCE” อันมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องถึงเกมการชิงอำนาจ เสนอแนวคิดทางการเมืองแบบ ใหม่ ที่สนับสนุนการใช้อำนาจและความรุนแรง ซึ่งแยกย่อย ออกเป็น 10 ข้อดังนี้
1.แยกการเมืองออกจากศาสนา (secularization) สำหรับแมคเคียเวลลี การเมืองและศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน การเล่นการเมืองไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงศีลธรรมจรรยา ซึ่งไม่เคยมีใคร เสนอแนวคิดแบบนี้มาก่อน ในขณะที่เพลโตที่บอกว่าผู้ปกครองควรมีคุณธรรม ออกัสติน บอกว่าต้องเชื่อฟังพระเจ้า แต่แมคเคียเวลลีเป็นคนแรกที่บอกว่า การเมืองต้องแยกจากศาสนา ศีลธรรม จรรยา และพระเจ้า
2.รัฐเป็นสิ่งสูงสุด ความต้องการของแต่ละคนที่เข้ามารวมตัวเป็นรัฐคือผลประโยชน์ รัฐจึงเป็นตัวแทนของบุคคลในการหาและรักษาผลประโยชน์ ดังนั้น การคงอยู่ของรัฐและเจตจำนงของรัฐจะต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งปัจเจกบุคคล
3.ต้องแยกรัฐออกจากศีลธรรมจรรยา ดังนั้น จึงไม่อาจพูดได้ว่ารัฐทำผิดหรือถูก เช่นเดียวกับบุคคลที่เป็นตัวแทนของรัฐ (รัฐบาล กษัตริย์ ผู้ครองนคร) จะไปวินิจฉัยว่าเขาทำผิดหรือถูกไม่ได้เช่นกัน เพราะผลประโยชน์ของรัฐย่อมเหนือความถูกผิดทั้งปวง
4.ผู้ครองนครหรือนักการเมืองเป็นนักฉวยโอกาส (opportunists) ทุกคน แรงจูงใจที่ทำ ให้เกิดการเมือง คือผลประโยชน์ ดังนั้น นักการเมืองหรือผู้ครองนครต้องกระทำการทุกอย่างเมื่อมีโอกาส เพื่อผลประโยชน์รัฐ
5.อย่ากลัวถ้าจะต้องทำผิดบ้าง ผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จต้องทำผิดบ้าง และควรใช้ ประโยชน์จากการทำผิดนั้นด้วย เพราะบางสิ่งบางอย่างที่คนภายนอกมองเห็นว่าดี แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่ได้ผลดีตามที่เห็น ในขณะที่ของที่ดูไม่ดีก็อาจจะใช้การได้ ดังนั้น ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเลือก แต่สิ่งที่ดีๆ แต่ควรดูว่าสิ่งๆ นั้นเมื่อนำไปปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะเมื่อจุดหมายหรือผล ที่ได้มันได้ประโยชน์ จะถือว่าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี
6.ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี แต่ควรแสร้งแสดง ให้คนอื่นคิดว่าเป็นคนดี ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นคนดีเสียเองซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร
7.ผู้ปกครองควรให้คนกลัวมากกว่าคนรัก เพราะความรักอาจกลายเป็นความเกลียดได้ แต่ความกลัวนั้น จะไม่รักและไม่เกลียด ผู้ปกครองจึงควรใช้อำนาจ (power) และความรุนแรง (violence) เพื่อให้ผู้อื่นกลัว
8.หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ เพราะการประจบ สอพลอ คือความอ่อนแอ และทำให้ลุ่มหลง ไม่อาจมอง เห็นความจริงได้ ผู้ปกครองจึงควรสนับสนุนการพูดความ จริงและตั้งคนฉลาดเป็นที่ปรึกษา และรับประกันเสรีภาพ ของที่ปรึกษาที่จะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา
9.ผู้มีอำนาจย่อมเป็นผู้ถูกเสมอ เพราะคนมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครกล้าว่าว่าผิด จุดมุ่งหมาย ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุจุดหมาย
และ 10.ผู้มีอำนาจไม่ควรอยู่ที่ทางสายกลาง เมื่อจะทำอะไรให้เต็มที่และเปิดเผย แมคเคียเวลลี กล่าวว่า เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและซีซาร์ได้ในขณะเดียวกัน หรือเราไม่สามารถถือดาบกับไบเบิลได้พร้อมๆกัน
หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในหนังสือ “THE PRINCE” บทที่ 8 ที่ระบุว่า “ในการเข้าครองรัฐหนึ่งๆ ผู้ชนะพึงต้อง จัดการกระทำทารุณกรรมทั้งหมดเสียในทันทีทันใด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกระทำซ้ำอีกทุกเมื่อเชื่อวัน”
คัดเฉพาะเนื้อๆ เน้นๆ จากหนังสือของปราชญ์ชาวอิตาลี จับกับ “อารมณ์” ของ “บิ๊กบัง” หลังวันก่อการที่ถูกบริภาษว่า “ไม่สะเด็ดน้ำ” น่าจะเข้าใจอารมณ์กันได้ว่า ด้วยโครงสร้างอันสลับซับซ้อนของการเมืองไทย การจะปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มันมีต้นทุนที่สูงส่งและเป็นเดิมพันที่สุ่มเสี่ยง..
ถึงบรรทัดนี้ แม้ “บิ๊กบัง” จะพูดไม่ชัดว่า “บิ๊กตู่” จะปฏิวัติ หรือไม่??? แต่นัยแห่งคำตอบอันกำกวม ก็น่าจะตอบโจทย์คำถามแห่งการตบเท้าที่โชยกลิ่นมาแล้วจะมีวิธีใดในการป้องปรามการปฏิวัติรัฐประหาร???“บิ๊กบัง” ตอบง่ายๆ สั้นๆ “รัฐบาลต้องบริหารงบประมาณ อย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพขยับเข้ามาใกล้ศูนย์อำนาจ ทางการเมือง”
ชัดถ้อยชัดคำและกระจ่างแจ้ง หากจับจากงบประมาณกองทัพไทยที่มีเพียง 0.9 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งมีจำนวนห่างไกลกันเหลือเกินกับงบกองทัพของนานาอารยประเทศ ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ของจีดีพี
แม้เงื่อนไขดังกล่าว จะขัดกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ต้องย้อนกลับไปถามว่า ตั้งแต่ครั้งอภิวัฒน์ประเทศ ปี 2475 บ้านเมืองนี้ถูกทหารปฏิวัติรัฐประหารมากี่รอบแล้ว..เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนปฏิวัติ...โปรดฟังอีกครั้ง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)