- นปช.เดินหน้าช่วยแกนนำเสื้อแดง ส่งหนังสือศาลอาญาระหว่างประเทศ เข้าสังเกตการณ์คดีในไทย พร้อมเตรียมปรับโครงสร้างใหม่
นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า เมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) ได้ส่งหนังสือถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อขอให้ส่งผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาและไต่สวนคดีของ นปช.ในศาลไทย พร้อมเผยแพร่ความคืบหน้าของคดีให้โลกได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อความยุติธรรมและเที่ยงธรรม เนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และรัฐบาลพยายามตัดสินว่ามีการสร้างเรื่องลึกลับ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีกลุ่มกระตุ้นให้ทหารสังหารประชาชน และยังบิดเบือนประเด็นความสนใจด้วยข้อหาก่อการร้าย
นางธิดา กล่าวว่า แกนนำคนเสื้อแดงและผู้ชุมนุม ยังไม่ได้รับการประกันตัว และถูกปฏิเสธที่จะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ถูกจำกัดการมีส่วนร่วมในการเตรียมความพร้อมที่จะคัดค้านในคดี ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามจัดกลุ่มฝ่ายต่อต้านเป็นอาชญากรและผู้ก่อการร้าย นอกจากนี้ ยังมี 2 มาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมผู้พิพากษามีอคติ หรือไม่ก็หวาดกลัวในการดำเนินคดี ส่วนกรณีที่ศาลยกคำร้องไม่ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 7 คนนั้น ทางกลุ่มจะเดินหน้าหาช่องทางในการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลต่อไป
“ต้องปล่อยตัวแกนนำออกจากคุก ไม่ใช่มาสาละวนเอาคนออกจากคุกเขมร รัฐบาลต้องการเอาคนออกจากคุกเขมร แต่เราต้องการเอาคนออกจากคุกไทย จึงจะมารวมตัวกัน 9 มกราคมนี้ คุณณัฐวุฒิ ฝากมาบอกว่า แกนนำยังมีขวัญและกำลังใจ ส่วน นพ.เหวง บอกว่า ตามมาตรา 39 แล 40 ของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป. วิอาญา ยืนยันจะทวงสิทธิประกันตัวของเรา ซึ่งเป็นการต่อสู้ไม่ใช่การจำนน” นางธิดา กล่าว
นางธิดา ยังได้กล่าวเปิดตัว นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ นายกสมาคมศัลยกรรมหัวใจแห่งประเทศไทย แนวร่วมคนเสื้อแดง และนางอาภรณ์ สารคำ ภรรยานายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดง เป็นกรรมการ นปช. พร้อมเตรียมปรับโครงสร้าง นปช. โดยจะให้เร่งตั้งคณะกรรมการระดับตำบล อำเภอ จังหวัดและภาค รวมถึงกทม.ทุกเขตให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ ก่อนจะเปิดโครงสร้าง นปช.ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์.
ที่มา-สำนักข่าวไทย
วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เจ้าสำนัก "เศรษฐกิจใต้ดิน" "ทักษิณ-อภิสิทธิ์ต่างกันที่เรื่องการพนัน"
แคมเปญหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลเต็มถังเพราะการทำเวิร์กช็อป 5 สัปดาห์ของคณะข้าราชการหัวกะทิของประเทศ 70 คน ทำให้เกิดข้อค้นพบ-ข้อมูล ชุดความคิดที่พัฒนาต่อยอดนโยบายได้อย่างลงตัว โดยไม่ต้องลงแรง
1 ใน 3 หัวขบวน แคมเปญ "ปฏิบัติการเพื่อคนไทย" เป็นเจ้าสำนักวิจัยด้าน "เศรษฐกิจนอกระบบ"
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ผู้คร่ำหวอดกับคนในวงการใต้ดิน-หัวคะแนน-เจ้าพ่อและคนกลางคืน อาสา มานำเสนอ "แรงงานนอกระบบและเศรษฐกิจนอกระบบ"
"กูรู-เศรษฐกิจใต้ดิน" หลังส่งการบ้านให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี
- วัตถุประสงค์จริง ๆ ของรัฐบาลในการทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจนอกระบบคืออะไร ต่างจากทุกครั้งอย่างไร
คือเป็นโจทย์สำหรับคนที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งตามหลักของนัก เศรษฐศาสตร์จะหมายถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีผู้ที่เสียภาษีทางตรง ซึ่งรายได้ของเขาจะไม่รวมอยู่ในบัญชีรายได้ประชาชาติ
ดังนั้นการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ทำได้ลำบากมาก เป้าหมายคราวนี้ส่วนใหญ่ น้ำหนักจะอยู่ที่คนทำงานนอกระบบที่อยู่ในตัวเมืองที่ไม่ใช่เกษตรกร แต่เกษตรกรจะได้ประโยชน์บางอย่างด้วยเช่นกัน
ซึ่งกลุ่มประชาชนก็มี 4 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย แม่ค้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ และคนทำงานกลางคืน เพราะฉะนั้นหลักคิด ถามว่า นโยบายแบบนี้คุณทักษิณ เคยทำไหม คุณทักษิณเคยทำ คุณทักษิณทำมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เราเรียกว่านโยบายประชานิยม
ส่วนเรื่องแท็กซี่ ถามว่า คุณทักษิณเคยทำไหม คุณทักษิณก็เคยทำแท็กซี่เอื้ออาทร แต่ว่าล้มเหลว และในที่สุดเอสเอ็มอีแบงก์ ที่เป็นคนปล่อยสินเชื่อขาดทุนยับเลย สิ่งที่คุณทักษิณได้เริ่มต้นบางอย่างไว้ ที่เรียกว่า นโยบายประชานิยม เป็นเรื่องที่ดี และมีเรื่องที่เป็นจุดอ่อน
แต่เรื่องที่ไม่ดีของคุณทักษิณ เช่น แท็กซี่เอื้ออาทร เอาสินค้าไม่ดีมาให้คนใช้ และกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็เรื่องบ้านเอื้ออาทรนี่ไม่ดี เพราะเป็นการเก็บเงินค่าหัวคิวจากโครงการ และทำให้คุณภาพบ้านเอื้ออาทรไม่ดีพอ คือตัวนโยบายนั้นดี แต่กระบวนการทำงานนั้นมีการทุจริต
ฉะนั้นอีกอันหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของนโยบายประชานิยมคือ ไม่มีกรอบทางกฎหมายรับรอง จึงเป็นเหตุให้นโยบาย ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับตัวคุณทักษิณ คือถ้าคุณทักษิณอยู่ นโยบายอยู่ แต่ถ้าคุณทักษิณ ไม่อยู่ ทุกอย่างก็จะค่อย ๆ แห้งไป
ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปพูดกันถึงนโยบายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ต้องดูว่า สิ่งที่คุณทักษิณริเริ่มไว้มีจุดแข็งอะไร มีจุดอ่อนอะไร ผมคิดว่าการเอานโยบายมาพัฒนาต่อยอด ปิดจุดอ่อนนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่ผลประโยชน์นั้นเป็นของประชาชน
ผมได้ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อนของนโยบายประชานิยมที่คุณทักษิณได้ทำไว้ เมื่อเรามาทำตรงนี้เราก็จะมีความระมัดระวังมากขึ้น และสิ่งที่ผมคิดว่าเราต้องระวังมากที่สุดก็คือ การใช้เงิน
สิ่งที่แตกต่างคือ คุณทักษิณให้ผมทำเรื่องการพนัน แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ให้ผมทำเรื่องการพนัน
- เรื่องเงินประกันสังคมคือ ใช้กลุ่มตัวอย่างจริง ถามจริง มาให้ข้อมูลจริง
เรื่องประกันสังคมก็เหมือนกัน ที่สถาบันการเงินเสนอเข้ามาตอนแรก 280 บาทต่อเดือน แต่พอเรียกแม่ค้าเข้ามาคุย เขาบอกไม่ไหว ส่วนมากก็จะบอก 100-200 บาท นี่เขารับไหว ข้อเสนอคือ รัฐจ่ายให้ส่วนหนึ่ง หรือรัฐตั้งเป็นกองทุนเลย แต่หลักการคือว่า คนมีน้อย รัฐต้องช่วยมาก
- การเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นระบบของคนด้อยโอกาสทำอย่างไร
ให้เขาเข้าไปได้ง่ายที่สุด เขาก็บอกว่า ถ้ารวมเป็นกลุ่มนี่เข้าง่ายที่สุด ที่เขาใช้ว่าเป็นชุมชน เพราะว่ามีตัวประธาน รองประธาน มีเลขาฯ มีความรับผิดชอบชัดเจน เช่น ชุมชนมอเตอร์ไซค์รับจ้างสุขุมวิทซอย 18 นี่ก็จัดว่าเป็นชุมชน แต่กฎหมายเขาไม่ได้ยอมรับ
- ใช้ออมสินเป็นต้นแบบ
ใช่ครับ เพราะธนาคารเอกชนเขาไม่เอา ความเสี่ยงมันสูงไป และทำให้รู้ว่าของที่อื่นก็ทำได้ แล้วการปล่อยกู้ก็ปล่อย เช่น กลุ่มกลุ่มนี้ตั้งกลุ่มออมทรัพย์กัน เก็บเงินได้ 10,000 บาท คุณมีสิทธิกู้ได้ 5 เท่า เวลากำกับ สมมติเขาปล่อยกู้ 6% คุณเอาไปบริหาร 8% อีก 2% เอาไว้เป็น ค่าบริหารจัดการ
- ตัวเลขที่ลงตัวระหว่างฝ่ายแท็กซี่กับธนาคารคือเท่าไหร่
ประมาณ 5% มอเตอร์ไซค์นี่ราคา 70,000 แต่แท็กซี่มัน 700,000 คือดาวน์มอเตอร์ไซค์นี่มันหวานคอแร้งอยู่แล้ว (หัวเราะ) แท็กซี่มันแพงกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ของเขา
- ขาหนึ่งประชาชนได้ประโยชน์ อีกขาหนึ่งคือรัฐบาลได้คะแนน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นอย่างไร
จะดีขึ้น คือข้างล่างมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ถามว่า คนที่มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,000-10,000 บาท จำนวนหลายล้านคน เขาจะบริโภคอะไร เขาจะบริโภคสินค้าจำเป็น กำลังซื้อมันจะเพิ่มขึ้น คนจะกินกันมากขึ้น คนจะไปซ่อมแซมบ้านของตัวเอง ตอนแรกไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเหลือ ก็อยากทำนู่นทำนี่ ชีวิตมันก็ดีขึ้นหน่อยนึง มันไม่ดีที่สุดหรอก แต่มันดีขึ้น
- แคมเปญนี้จะนำไปสู่การหาเสียงครั้งมโหฬารหรือเปล่า
คือผมมองจากคนภายนอกนะ ถามว่า สิ่งที่นักการเมืองต้องการคืออะไร นักการเมืองต้องการความนิยมจากประชาชน ทุกพรรคต้องการเหมือนกันหมด ถ้าเป็นนโยบายที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เรายอมรับได้ไหม อย่างประชานิยมนี่นะครับ ถ้าหากว่าทำให้มีกรอบกฎหมายรับรอง แล้วคุณไม่ทุจริตนะ ผมว่าดี
ผมยินดีเห็นการแข่งขันทางนโยบายที่ให้หลักประกันในสังคม แล้วไม่ไปสร้างภาระทางการเงิน มีคนที่เสียประโยชน์แล้วอยากจะมาตบหน้าผมสักที ผมว่าตำรวจกับ เทศกิจที่อยากตบหน้าผมมาก (หัวเราะ)
- หลีกเลี่ยงการถูกครหาการเป็นเรื่อง หาเสียงเลือกตั้งไม่ได้ใช่ไหม
ไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะช่วงไหนก็โดนด่าอยู่ดี (หัวเราะ) ก็ต้องมีการวิจารณ์ ถ้าเป็นตอนเสื้อแดงมา แล้วมาทำเรื่องนี้ก็โดนหาว่าเอาเศรษฐกิจมาล่อ แต่คุณกรณ์เขาบอกว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมาไม่มีเวลาตั้งหลักเลย เพราะเข้ามาตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ แล้วเขาก็ใช้เวลา 1 ปีทำ ทำเสร็จก็เจอ เสื้อแดงรอบสอง เขาบอกว่า ไม่มีจังหวะให้ทำจริง ๆ
- สิ่งนี้จะเป็นการก้าวข้ามประชานิยมไปสู่รัฐสวัสดิการเลยหรือเปล่า
ผมคิดว่า ก้าวที่หนึ่งคือ การก้าวข้ามประชานิยม ก้าวที่สองคือ ทำให้เป็นสวัสดิการของสังคม แต่ต้องไม่ใช่สวัสดิการที่รัฐแบกทั้งหมด ถ้าให้รัฐแบกทั้งหมดในระยะยาวไม่ไหวหรอก คือคนเดี๋ยวนี้ เขาอยู่ยาวขึ้น อายุยืนขึ้น แต่คนเกิดลดลง ถ้ามีแต่การให้รัฐมาอุดหนุน มันจะล้มในระยะยาว จึงต้องให้ประชาชนร่วมกันรับผิดชอบด้วย
คือสวัสดิการพวกนี้ถามว่า ดีแล้วหรือยัง ผมบอกได้เลยว่า มันเป็นจุดเริ่มต้น อนาคตนี่ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ดีกว่านี้ครับ อย่างรัฐวิสาหกิจนี่ครับ ทุกวันนี้เขาทำเรื่องการรับผิดชอบต่อสังคม ผมยังคิดว่ารัฐบาลควรทำวิสาหกิจเพื่อสังคม คือคุณทำแล้วคุณเลี้ยงตัวเองได้ แล้วกำไรไปทำประโยชน์ให้สังคม มันจะไม่ใช่แค่ ซีเอสอาร์อีกแล้ว คุณแบ่งเงินส่วนหนึ่ง กำไรส่วนหนึ่ง ต้องเอาลงไปเพื่อสังคมเลย ไม่ใช่แค่เข้าไปในคลัง
- ทำเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจนอกระบบมานาน แต่ครั้งนี้จะเห็นผลต่างอย่างไร
ก็ต้องยอมรับว่า คุณทักษิณเขาก็เคยทำ แต่ของเขายังมีจุดอ่อน เราเอามาทำต่อยอด และที่สำคัญคือ ทำให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เจตจำนงที่แน่วแน่ทางการเมือง อย่างคุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์ มีเจตจำนงที่จะทำ แล้วไม่หาผลประโยชน์เข้าตัว ผมเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์กับคุณกรณ์ไม่มีข่าวอื้อฉาว เรื่องนี้ ฉะนั้นผมยินดีทำให้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
1 ใน 3 หัวขบวน แคมเปญ "ปฏิบัติการเพื่อคนไทย" เป็นเจ้าสำนักวิจัยด้าน "เศรษฐกิจนอกระบบ"
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ผู้คร่ำหวอดกับคนในวงการใต้ดิน-หัวคะแนน-เจ้าพ่อและคนกลางคืน อาสา มานำเสนอ "แรงงานนอกระบบและเศรษฐกิจนอกระบบ"
"กูรู-เศรษฐกิจใต้ดิน" หลังส่งการบ้านให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี
- วัตถุประสงค์จริง ๆ ของรัฐบาลในการทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจนอกระบบคืออะไร ต่างจากทุกครั้งอย่างไร
คือเป็นโจทย์สำหรับคนที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งตามหลักของนัก เศรษฐศาสตร์จะหมายถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีผู้ที่เสียภาษีทางตรง ซึ่งรายได้ของเขาจะไม่รวมอยู่ในบัญชีรายได้ประชาชาติ
ดังนั้นการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ทำได้ลำบากมาก เป้าหมายคราวนี้ส่วนใหญ่ น้ำหนักจะอยู่ที่คนทำงานนอกระบบที่อยู่ในตัวเมืองที่ไม่ใช่เกษตรกร แต่เกษตรกรจะได้ประโยชน์บางอย่างด้วยเช่นกัน
ซึ่งกลุ่มประชาชนก็มี 4 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย แม่ค้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ และคนทำงานกลางคืน เพราะฉะนั้นหลักคิด ถามว่า นโยบายแบบนี้คุณทักษิณ เคยทำไหม คุณทักษิณเคยทำ คุณทักษิณทำมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เราเรียกว่านโยบายประชานิยม
ส่วนเรื่องแท็กซี่ ถามว่า คุณทักษิณเคยทำไหม คุณทักษิณก็เคยทำแท็กซี่เอื้ออาทร แต่ว่าล้มเหลว และในที่สุดเอสเอ็มอีแบงก์ ที่เป็นคนปล่อยสินเชื่อขาดทุนยับเลย สิ่งที่คุณทักษิณได้เริ่มต้นบางอย่างไว้ ที่เรียกว่า นโยบายประชานิยม เป็นเรื่องที่ดี และมีเรื่องที่เป็นจุดอ่อน
แต่เรื่องที่ไม่ดีของคุณทักษิณ เช่น แท็กซี่เอื้ออาทร เอาสินค้าไม่ดีมาให้คนใช้ และกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็เรื่องบ้านเอื้ออาทรนี่ไม่ดี เพราะเป็นการเก็บเงินค่าหัวคิวจากโครงการ และทำให้คุณภาพบ้านเอื้ออาทรไม่ดีพอ คือตัวนโยบายนั้นดี แต่กระบวนการทำงานนั้นมีการทุจริต
ฉะนั้นอีกอันหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของนโยบายประชานิยมคือ ไม่มีกรอบทางกฎหมายรับรอง จึงเป็นเหตุให้นโยบาย ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับตัวคุณทักษิณ คือถ้าคุณทักษิณอยู่ นโยบายอยู่ แต่ถ้าคุณทักษิณ ไม่อยู่ ทุกอย่างก็จะค่อย ๆ แห้งไป
ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปพูดกันถึงนโยบายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ต้องดูว่า สิ่งที่คุณทักษิณริเริ่มไว้มีจุดแข็งอะไร มีจุดอ่อนอะไร ผมคิดว่าการเอานโยบายมาพัฒนาต่อยอด ปิดจุดอ่อนนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่ผลประโยชน์นั้นเป็นของประชาชน
ผมได้ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อนของนโยบายประชานิยมที่คุณทักษิณได้ทำไว้ เมื่อเรามาทำตรงนี้เราก็จะมีความระมัดระวังมากขึ้น และสิ่งที่ผมคิดว่าเราต้องระวังมากที่สุดก็คือ การใช้เงิน
สิ่งที่แตกต่างคือ คุณทักษิณให้ผมทำเรื่องการพนัน แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ให้ผมทำเรื่องการพนัน
- เรื่องเงินประกันสังคมคือ ใช้กลุ่มตัวอย่างจริง ถามจริง มาให้ข้อมูลจริง
เรื่องประกันสังคมก็เหมือนกัน ที่สถาบันการเงินเสนอเข้ามาตอนแรก 280 บาทต่อเดือน แต่พอเรียกแม่ค้าเข้ามาคุย เขาบอกไม่ไหว ส่วนมากก็จะบอก 100-200 บาท นี่เขารับไหว ข้อเสนอคือ รัฐจ่ายให้ส่วนหนึ่ง หรือรัฐตั้งเป็นกองทุนเลย แต่หลักการคือว่า คนมีน้อย รัฐต้องช่วยมาก
- การเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นระบบของคนด้อยโอกาสทำอย่างไร
ให้เขาเข้าไปได้ง่ายที่สุด เขาก็บอกว่า ถ้ารวมเป็นกลุ่มนี่เข้าง่ายที่สุด ที่เขาใช้ว่าเป็นชุมชน เพราะว่ามีตัวประธาน รองประธาน มีเลขาฯ มีความรับผิดชอบชัดเจน เช่น ชุมชนมอเตอร์ไซค์รับจ้างสุขุมวิทซอย 18 นี่ก็จัดว่าเป็นชุมชน แต่กฎหมายเขาไม่ได้ยอมรับ
- ใช้ออมสินเป็นต้นแบบ
ใช่ครับ เพราะธนาคารเอกชนเขาไม่เอา ความเสี่ยงมันสูงไป และทำให้รู้ว่าของที่อื่นก็ทำได้ แล้วการปล่อยกู้ก็ปล่อย เช่น กลุ่มกลุ่มนี้ตั้งกลุ่มออมทรัพย์กัน เก็บเงินได้ 10,000 บาท คุณมีสิทธิกู้ได้ 5 เท่า เวลากำกับ สมมติเขาปล่อยกู้ 6% คุณเอาไปบริหาร 8% อีก 2% เอาไว้เป็น ค่าบริหารจัดการ
- ตัวเลขที่ลงตัวระหว่างฝ่ายแท็กซี่กับธนาคารคือเท่าไหร่
ประมาณ 5% มอเตอร์ไซค์นี่ราคา 70,000 แต่แท็กซี่มัน 700,000 คือดาวน์มอเตอร์ไซค์นี่มันหวานคอแร้งอยู่แล้ว (หัวเราะ) แท็กซี่มันแพงกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ของเขา
- ขาหนึ่งประชาชนได้ประโยชน์ อีกขาหนึ่งคือรัฐบาลได้คะแนน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นอย่างไร
จะดีขึ้น คือข้างล่างมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ถามว่า คนที่มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,000-10,000 บาท จำนวนหลายล้านคน เขาจะบริโภคอะไร เขาจะบริโภคสินค้าจำเป็น กำลังซื้อมันจะเพิ่มขึ้น คนจะกินกันมากขึ้น คนจะไปซ่อมแซมบ้านของตัวเอง ตอนแรกไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเหลือ ก็อยากทำนู่นทำนี่ ชีวิตมันก็ดีขึ้นหน่อยนึง มันไม่ดีที่สุดหรอก แต่มันดีขึ้น
- แคมเปญนี้จะนำไปสู่การหาเสียงครั้งมโหฬารหรือเปล่า
คือผมมองจากคนภายนอกนะ ถามว่า สิ่งที่นักการเมืองต้องการคืออะไร นักการเมืองต้องการความนิยมจากประชาชน ทุกพรรคต้องการเหมือนกันหมด ถ้าเป็นนโยบายที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เรายอมรับได้ไหม อย่างประชานิยมนี่นะครับ ถ้าหากว่าทำให้มีกรอบกฎหมายรับรอง แล้วคุณไม่ทุจริตนะ ผมว่าดี
ผมยินดีเห็นการแข่งขันทางนโยบายที่ให้หลักประกันในสังคม แล้วไม่ไปสร้างภาระทางการเงิน มีคนที่เสียประโยชน์แล้วอยากจะมาตบหน้าผมสักที ผมว่าตำรวจกับ เทศกิจที่อยากตบหน้าผมมาก (หัวเราะ)
- หลีกเลี่ยงการถูกครหาการเป็นเรื่อง หาเสียงเลือกตั้งไม่ได้ใช่ไหม
ไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะช่วงไหนก็โดนด่าอยู่ดี (หัวเราะ) ก็ต้องมีการวิจารณ์ ถ้าเป็นตอนเสื้อแดงมา แล้วมาทำเรื่องนี้ก็โดนหาว่าเอาเศรษฐกิจมาล่อ แต่คุณกรณ์เขาบอกว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมาไม่มีเวลาตั้งหลักเลย เพราะเข้ามาตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ แล้วเขาก็ใช้เวลา 1 ปีทำ ทำเสร็จก็เจอ เสื้อแดงรอบสอง เขาบอกว่า ไม่มีจังหวะให้ทำจริง ๆ
- สิ่งนี้จะเป็นการก้าวข้ามประชานิยมไปสู่รัฐสวัสดิการเลยหรือเปล่า
ผมคิดว่า ก้าวที่หนึ่งคือ การก้าวข้ามประชานิยม ก้าวที่สองคือ ทำให้เป็นสวัสดิการของสังคม แต่ต้องไม่ใช่สวัสดิการที่รัฐแบกทั้งหมด ถ้าให้รัฐแบกทั้งหมดในระยะยาวไม่ไหวหรอก คือคนเดี๋ยวนี้ เขาอยู่ยาวขึ้น อายุยืนขึ้น แต่คนเกิดลดลง ถ้ามีแต่การให้รัฐมาอุดหนุน มันจะล้มในระยะยาว จึงต้องให้ประชาชนร่วมกันรับผิดชอบด้วย
คือสวัสดิการพวกนี้ถามว่า ดีแล้วหรือยัง ผมบอกได้เลยว่า มันเป็นจุดเริ่มต้น อนาคตนี่ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ดีกว่านี้ครับ อย่างรัฐวิสาหกิจนี่ครับ ทุกวันนี้เขาทำเรื่องการรับผิดชอบต่อสังคม ผมยังคิดว่ารัฐบาลควรทำวิสาหกิจเพื่อสังคม คือคุณทำแล้วคุณเลี้ยงตัวเองได้ แล้วกำไรไปทำประโยชน์ให้สังคม มันจะไม่ใช่แค่ ซีเอสอาร์อีกแล้ว คุณแบ่งเงินส่วนหนึ่ง กำไรส่วนหนึ่ง ต้องเอาลงไปเพื่อสังคมเลย ไม่ใช่แค่เข้าไปในคลัง
- ทำเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจนอกระบบมานาน แต่ครั้งนี้จะเห็นผลต่างอย่างไร
ก็ต้องยอมรับว่า คุณทักษิณเขาก็เคยทำ แต่ของเขายังมีจุดอ่อน เราเอามาทำต่อยอด และที่สำคัญคือ ทำให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เจตจำนงที่แน่วแน่ทางการเมือง อย่างคุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์ มีเจตจำนงที่จะทำ แล้วไม่หาผลประโยชน์เข้าตัว ผมเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์กับคุณกรณ์ไม่มีข่าวอื้อฉาว เรื่องนี้ ฉะนั้นผมยินดีทำให้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
บันทึกของวิสา คัญทัพ ฉบับที่ 8: ปีใหม่ 2554 ต่อสู้ด้วยภูมิความรู้และสติปัญญา “ขอเพียงพวกเรา ฉลาด รู้ สู้ให้เป็น”
วิสา คัญทัพ
ปีใหม่ 2554 มีเรื่องที่ต้องพูดคุยเขียนลงบันทึกฉบับที่ 8 อยู่บางข้อบางประเด็น ผมหลบเร้นการไล่ล่าอย่างอยุติธรรมจากรัฐบาลเผด็จการจะครบแปดเดือนในเดือนมกราคม ขณะปัจจุบัน นปช. เปลี่ยนผู้นำจากประธานวีระ มุสิกพงศ์ มาเป็น รักษาการประธาน นปช. ธิดา ถาวรเศรษฐ์
แกนนำ นปช.หลายคนถูกคุมขัง หลายคนถูกข่มขู่คุกคามตามล่า แดงบางขบวนยังคงถกเถียงกันเรื่องแนวทางการต่อสู้ มีข่าวจะให้ประกันตัวแกนนำบางคน แต่ก็เล่นเล่ห์มาตลอด อย่างไรก็ตาม ปีใหม่นี้ ผมมีบทกวีมาฝาก เริ่มต้นที่บทกวีก่อนเลย
ฉลาด รู้ สู้ให้เป็น คือ หากเป้าหมายยุทธศาสตร์เดียวกันต้องหลากหลายวิธีการ อย่าจำกัดและดูถูกดูแคลนยานพาหนะที่จะนำพาไปถึงจุดหมายของกันและกัน ควรสรุปบทเรียนและทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมาอย่างจริงจัง ผิดพลาดต้องยอมรับและปรับปรุงแก้ไข ไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก บางคนว่า “อย่าก้าวช้ากว่ามวลชน” ปัญหาคือ “มวลชนส่วนใหญ่” หรือมวลชนที่ก้าวหน้าจำนวนหนึ่งที่ไปก่อนร้อนวิชา
สภาพความเป็นจริงทางภววิสัยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสถานการณ์ที่พลิกผัน น้ำลดจึงรู้ว่าตรงไหนเป็นดอนเป็นเกาะ ตรงไหนเป็นตอ หลักยึดของคนเสื้อแดงที่ต้องการความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงคือธาตุแท้ที่แข็งแกร่งและแน่วแน่กว่า ซึ่งที่สุดก็จะก้าวข้ามผ่านข้อหาสามานย์อันท้นท่วมด้วยจริตมายาของกลุ่มปฏิกิริยาขุนศึกศักดินาอำมาตย์ ที่ว่า คนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณ มาเป็น คนเสื้อแดงสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม โดยมีทักษิณเป็นคนหนึ่งในแนวร่วม เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตยเช่นกัน ตรงนี้ หากเราทำให้ดีระยะผ่านดังกล่าวก็จะสั้นลง เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่เกินห้าสิบ หรือหกสิบ หรือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศเห็นด้วยและสนับสนุนคนเสื้อแดง
เวลานี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใกล้ปิดม่านการแสดงโดยสมบูรณ์แล้ว ชุมนุมที่ไหนก็ไม่มีคน (เพราะคนมาจากกำลังของพรรคการเมืองที่ชื่อประชาธิปัตย์) ที่ดิ้นที่ดันทุรังกันสุดแรงนี้เป็นเฮือกสุดท้าย หลายคนในพันธมิตรฯ คิดไม่เหมือนกัน ส่วนหนึ่งของพวกเขายอมรับว่า เสื้อแดงไม่ได้รับความเป็นธรรม มีสองมาตรฐานจริง ยอมรับว่ามีส่วนของคนเสื้อแดงที่สู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สันติวิธีจริง ติดใจก็เพียงข้อความรุนแรงที่เขาคิดว่ามีเสื้อแดงบางส่วนกระทำ และเรื่องสู้เพื่อทักษิณเท่านั้น แต่สองข้อหลังไม่ใช่สาระสำคัญเพราะเป็นความเท็จซึ่งท้ายที่สุดแล้วจักพิสูจน์ได้จากสัจจะแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้นไม่ต้องพูดถึง พวกพันธมิตรฯเรียงหน้าออกมาโจมตีประณามหน่วงหนักล้ำหน้ากว่าคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป ที่น่าสังเกตก็คือ น้ำเสียงที่ออกมาดับเครื่องชนหลังจากที่ชื่นชมเชียร์กันมาก่อนมีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ แต่ที่แน่ๆพันธมิตรฯในฐานะมือจุดชนวนป่วนความรุนแรงวันนี้ดูจะด้านและก็เดี้ยงไปเสียแล้ว ล่าสุด พนิช วิกิตเศรษฐ์,วีระ สมความคิด กับพวกรวมเจ็ดคน บุกรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชาเพื่อสร้างสถานการณ์ปลุกความคลั่งชาติก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง กลับต้องนอนคุกเขมรแทน โดยจำนนด้วยคลิปวิดีโอที่เป็นหลักฐานชัดเจนจากคำพูดของพนิชเองว่าตั้งใจบุกล้ำเข้าไปในดินแดนเขา ซึ่งคนสำคัญในรัฐบาลต่างออกปากว่าคงช่วยลำบาก
ปัญหาจึงอยู่ที่ฝ่ายเรา จะเดินต่อไปอย่างไร จะปรับขบวนอย่างไร
องค์กรเสื้อแดงต่างๆอันหลากหลายจะขยายกำลัง ขยายความคิดจิตสำนึก ร่วมไม้ร่วมมือ สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยยึดเอาเป้าหมายยุทธศาสตร์เป็นตัวตั้ง ในส่วนของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เดินหน้าปรับขบวนไปก่อนแล้ว อย่างน้อยๆก็ได้จัดตั้งคณะแกนนำชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่ไม่ให้เกิดสภาพว่างไร้การนำ แม้ในระยะแรกๆจะมี “การป่วน” จากทั้งฝ่ายผู้หวังดีและไม่หวังดีทำให้เสียรูปขบวนไปบ้างก็ไม่มีผลอะไร เพราะ “คนลองของ” บางคนอาจยังไม่รู้จัก “ความแกร่งแข็งกล้า” และความเป็นตัวจริงเสียงจริงของนักสู้อย่างอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ต่อเมื่อได้ถูกสัมภาษณ์และแสดงทัศนะออกทางสื่อ ภาพความสมบูรณ์พร้อมในฐานะการนำก็เปล่งประกายปรากฏทั้งภูมิรู้และประสบการณ์ อันที่จริงเรื่องความสามารถของ อ.ธิดา เป็นที่ทราบกันดีในหมู่แกนนำ นปช. ซึ่งได้ร่วมประชุมกันเป็นประจำต่อเนื่องตลอดมาหลังถูกสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 และรูปคณะกรรมการแกนนำของ นปช. ดังกล่าว แม้จะมิใช่การนำแบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ แต่ก็สามารถลดทอนระบบดำเนินการที่ไม่ใช้เหตุผลลงได้บ้าง เพื่อให้เห็นภาพผู้นำ นปช. คนใหม่แจ่มชัดยิ่งขึ้น เราลองไปฟัง “การป่วน” ด้วยคำถามบางคำถามต่อไปนี้
คุณทักษิณชินวัตรยอมรับที่คุณธิดาขึ้นมาเป็นรักษาการประธานนปช.หรือไม่
มันไม่ใช่ธุระอะไรของคุณทักษิณ อาจารย์แคร์ชาวบ้าน ประชาชนรักอาจารย์หรือเปล่า คุณทักษิณ ไม่เกี่ยว เพราะเชื่อว่าทักษิณ ต้องฉลาดพอว่าบทบาทแกทำอะไรได้แค่ไหน และแกต้องรู้จักคนอย่างอาจารย์ หรือหมอเหวง ว่าเป็นคนแบบไหน ประวัติเป็นแบบไหน อีกด้านหนึ่งอาจารย์เคยเจอคุณทักษิณ เขาเป็นคนชอบพูด แกพูดว่าไงรู้ไหม อาจารย์ถามแกว่ารู้สึกอย่างไร ท้อถอยไหม แกบอกว่า เพราะการต่อสู้ ประชาชนทำให้แกสดชื่นอยู่ตลอดเวลา คือมันตรงข้ามไม่ใช่แกมาช่วย แน่นอนแกอาจจะเชื่อส่วนตัวว่าประชาชนมาสู้เพื่อแก แต่มีส่วนหนึ่งคนที่เขารักแกก็มี แต่การต่อสู้ของประชาชน คือน้ำหล่อเลี้ยงเขาน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจคุณทักษิณ
ภารกิจ 4 ข้อของประธาน นปช.หญิงคนใหม่
เหตุผลการที่มารับหน้าที่รักษาการประธาน นปช. นั้นถือเป็นหน้าที่และความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ ที่ต้องปรับบทบาททางวิชาการมานำมวลชน แล้วก็เป็นการส่งสัญญาณครั้งใหญ่จากแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำว่าหลังจากนี้คนเสื้อแดงจะต่อสู้ด้วยภูมิความรู้และสติปัญญา โดยมีภาระหน้าที่สำคัญคือ
1. การรณรงค์เพื่อให้ปล่อยตัวแกนนำ มวลชนคนเสื้อแดง และผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบให้ได้รับอิสรภาพ การประกันตัวเพื่อดำเนินคดีอย่างมีนิติรัฐ นิติธรรม
2. ช่วยเหลือเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัวตลอดจนการประกันตัวและต่อสู้คดี
3. เรียกร้องความยุติธรรมและการใช้กฎหมาย มาตรฐานเดียวกันและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
4. ยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้
สรุปสุดท้ายในส่วนของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินที่ได้ปรับขบวนรุดหน้าไปแล้ว ด้วยคำพูดของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ดังนี้
"เราจะพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน ถ้าเราพูดอะไรแล้วมันให้โทษกับประชาชน หรือไปเข้าทางคนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางประชาชนจะไม่พูด ไม่ต้องการพูดเพื่อสำแดงโวหารว่า เราเป็นคนเก่งหรือก้าวหน้า คำพูดของเราจึงต้องนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์เท่านั้น"
ด้วยรักสามัคคี ผมขอฝากคำพูดนี้ไปยังคุณสุรชัย แซ่ด่านมิตรที่เคารพด้วย โดยวุฒิภาวะที่ท่านมี หากไตร่ตรองก่อนพูดได้จะดียิ่ง
คราวนี้มาพูดในส่วนของพรรคเพื่อไทยบ้าง มีความพยายามจะปรับโครงสร้างการนำของพรรคอยู่บ้างเช่นกัน แต่ทว่ายังติดขัด เพราะพรรคผูกพันยึดโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร การจะขยับไปทางไหนอย่างไรจึงต้องเป็นไปโดยที่ท่านทักษิณต้องเห็นดีเห็นงามด้วย ดังที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาแสดงทัศนะว่า
การใช้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นเรือนตาย เป็นสิ่งจำเป็น แต่ทว่า ทั้งพรรคและตัว ส.ส. ต้องทำงานเชิงรุกและเชิงลึกต่อประชาชนด้วย จะว่าก้าวข้ามคุณทักษิณ หรือให้ตัดประเด็นเรื่องคุณทักษิณไปเลยก็ไม่เชิง พรรคเพื่อไทยมีความเชื่อมโยงกับคุณทักษิณ ซึ่งเป็นความจริงที่ใครๆ ก็รู้ คุณทักษิณได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองไว้มาก เป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทย ยังเป็นคนที่เคยคิดนโยบายดีๆ ได้มาก คงจะยังสามารถช่วยคิดนโยบายดีๆ ได้ ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ให้ตัดคุณทักษิณออกไป หรือปฏิเสธ แต่ว่าจะวางคุณทักษิณอยู่ตรงไหน จัดความสัมพันธ์อย่างไร จะเสนอเรื่อง จะพูดถึงคุณทักษิณอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยต้องคิด
ถ้า ชูนโยบายเอาคุณทักษิณกลับบ้านแบบดิบๆ (หยุดคิด) โดยไม่บอกว่าเอากลับมาวิธีไหน กลับมาเพื่อทำอะไร (นิ่งคิด) มันก็ไม่โดนใจคนมากนัก การที่คุณทักษิณจะกลับเมืองไทยได้หรือได้รับความยุติธรรม ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน แล้วคุณทักษิณคงได้ความเป็นธรรมมากกว่าปัจจุบัน การนำเสนอในลักษณะนี้ผมคิดว่าคนทั่วไปจะรับได้มากกว่า แต่ถ้าชูเป็นประเด็นแคบๆ และไม่มีรายละเอียด ไม่รู้วิธีการ ไม่ว่าจะเกิดผลอะไรอย่างไร คนที่เป็นพวกเดียวกันแท้ๆ ก็รับได้ ก็ชอบใจ แต่คนที่ห่างออกไป คนที่เขาไม่สนใจประเด็นนี้ เขาอาจจะไม่รับ"ในยุทธศาสตร์ที่จะสามัคคีกับกลุ่มต่างๆ ถ้าไปเน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากไป เช่น เน้นเสื้อแดงมากเกินไป เน้นเอาคุณทักษิณกลับเมืองไทยมากเกินไป มันก็จะแคบ เสื้อแดงน่าจะมีคนเป็นล้าน เรื่องที่ต้องทำให้เสื้อแดงสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ต้องทำแน่นอน แต่ต้องไม่ให้คนรู้สึกว่าเอาแต่เสื้อแดง หรือเสื้อแดงเป็นผู้กำหนดพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนส่วนที่เหลือซึ่งมันมากกว่า เวลาเราเลือกตั้งเราต้องพูดถึงคน 19 ล้าน ทำให้อย่างไรให้คน19 ล้านมาเลือก ซึ่งคน 19 ล้าน มันเยอะกว่าเสื้อแดงมาก
คงต้องบอกว่า นี้เป็นข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ และเป็นข้อเสนอของมิตรต่อมิตร ที่มากด้วยความระมัดระวังคำพูดคำจา เป็นความเห็นที่น่ารับฟัง น่าคิดต่อ เพราะอย่างไรเสียในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ควรต้องรีบปรับขบวน ปรับได้เร็วเท่าไรก็จะเป็นฝ่ายรุกในการกระทำทางการเมืองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังเพื่อรองรับ “กรณีสถานการณ์เปลี่ยน” ไว้ล่วงหน้า ซึ่งหมายถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย อันที่จริง เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันด้วย “เสียงดัง” เช่นนี้ ข้อเสนอต่างๆควรพูดคุยกันภายในได้ด้วย “เสียงเงียบ” โดยคัดกรองเอาคนที่มีความคิดความอ่านในแบบคนที่ “คิดเป็นวิเคราะห์เป็น” มาปรึกษาหารือกัน
เมื่อการเลือกหัวหน้าพรรค หรือผู้นำพรรคยังไม่พร้อมก็ควรจัดตั้งคณะบุคคลที่ “คิดเป็นวิเคราะห์เป็นทำงานเป็น” ขึ้นมาสักชุดหนึ่ง เป็นกรมการเมืองระดับบน ถกเถียงค้นคว้าหาข้อสรุปเพื่อกำหนดเป็นแนวทางและเข็มมุ่ง ตลอดจนนโยบายของพรรคที่ชัดเจน ให้รู้กันภายในว่าจะเดินไปอย่างไร หรือจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากวันนี้พรรคเพื่อไทยยังเคว้งคว้างปราศจากการนำที่แน่นอน ปล่อยสภาพเป็นปัจเจกบุคคลที่ถนนทุกสายมุ่งตรงสู่ ท.ทักษิณอดทน เราก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งชะตากรรม เป็นการต่อสู้ตามเวรกรรม พึ่งพาไสยาศาสตร์ เสียโอกาสที่จะเป็นฝ่ายกระทำเพื่อฉวยคว้าเอาชัยชนะมาตามลำดับขั้นอย่างที่ควรเป็น
วงดนตรีวงหนึ่ง เมื่อบรรเลงบทเพลงเพลงหนึ่ง นอกเหนือจากบรรเลงเพลงด้วยความรัก ด้วยอารมณ์ความรู้สึก ปีติสุขแล้ว ทั้งวงยังต้องสามัคคีกันบรรเลงอย่างมีระบบ และเป็นระเบียบด้วย ต้องกลมกลืนผสมผสาน รับส่งกันอย่างมีจังหวะจะโคน สอดคล้องต้องกันในท่วงทำนอง ดำเนินพลิ้วไหวเท่าทันกันไปในเร็วหรือช้า ทุกเครื่องดนตรีมีความสำคัญ ไม่เกี่ยวว่าจะเล่นน้อยเล่นมาก แต่เกี่ยวกับเล่นได้ถูกต้อง ก็จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับบทเพลงทั้งหมดในทันที เป็นเช่นนั้นไปจนจบเพลงจนได้รับเสียงปรบมืออันกึกก้องจากผู้ฟัง ขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนไทยในวันนี้ก็ต้องการขบวนทัพที่บรรเลงบทเพลงได้ประดุจวงดนตรีวงหนึ่ง บรรเลงด้วยความรัก ภูมิความรู้ และสติปัญญา
หวังว่า ปี 2554 จะเป็นปีที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการปรับขบวนได้ในไตรมาสแรก
ที่มา.ประชาไท
ปีใหม่ 2554 มีเรื่องที่ต้องพูดคุยเขียนลงบันทึกฉบับที่ 8 อยู่บางข้อบางประเด็น ผมหลบเร้นการไล่ล่าอย่างอยุติธรรมจากรัฐบาลเผด็จการจะครบแปดเดือนในเดือนมกราคม ขณะปัจจุบัน นปช. เปลี่ยนผู้นำจากประธานวีระ มุสิกพงศ์ มาเป็น รักษาการประธาน นปช. ธิดา ถาวรเศรษฐ์
แกนนำ นปช.หลายคนถูกคุมขัง หลายคนถูกข่มขู่คุกคามตามล่า แดงบางขบวนยังคงถกเถียงกันเรื่องแนวทางการต่อสู้ มีข่าวจะให้ประกันตัวแกนนำบางคน แต่ก็เล่นเล่ห์มาตลอด อย่างไรก็ตาม ปีใหม่นี้ ผมมีบทกวีมาฝาก เริ่มต้นที่บทกวีก่อนเลย
ปีเก่า.. เศร้าที่สุดในโลก โศกสลด ปีเก่า.. รันทด อนาถา
ปีเก่า.. เลือดนองท่วมน้ำตา ปีเก่า.. ทหารฆ่าประชาชน
ปีใหม่.. ไม่เลิก การไล่ล่า ปีใหม่.. การฆ่า ยังเข้มข้น
ปีใหม่.. ยังได้เห็น เกมเล่นกล ปีใหม่.. มืดมนอนธกาล
ปีใหม่.. ไทยนี้ ไม่รักสงบ ปีใหม่.. ไทยรบกันร้าวฉาน
ปีใหม่.. วิกฤติ ยังพิสดาร ปีใหม่.. อีกนาน ยังทระนง
ปีใหม่.. ให้รักสามัคคี ปีใหม่.. เดินให้ดี อย่าพลัดหลง
ปีใหม่.. บากบั่น มั่นคง ปีใหม่.. ชูธง สู้ต่อไป
ปีใหม่.. จิตใจ ไม่เปลี่ยน ปีเก่า.. บทเรียน ยิ่งใหญ่
ปีเก่า.. ฝังแค้น แน่นใน ปีใหม่.. ฉลาด รู้ สู้ให้เป็น.
ฉลาด รู้ สู้ให้เป็น คือ หากเป้าหมายยุทธศาสตร์เดียวกันต้องหลากหลายวิธีการ อย่าจำกัดและดูถูกดูแคลนยานพาหนะที่จะนำพาไปถึงจุดหมายของกันและกัน ควรสรุปบทเรียนและทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมาอย่างจริงจัง ผิดพลาดต้องยอมรับและปรับปรุงแก้ไข ไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก บางคนว่า “อย่าก้าวช้ากว่ามวลชน” ปัญหาคือ “มวลชนส่วนใหญ่” หรือมวลชนที่ก้าวหน้าจำนวนหนึ่งที่ไปก่อนร้อนวิชา
สภาพความเป็นจริงทางภววิสัยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสถานการณ์ที่พลิกผัน น้ำลดจึงรู้ว่าตรงไหนเป็นดอนเป็นเกาะ ตรงไหนเป็นตอ หลักยึดของคนเสื้อแดงที่ต้องการความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงคือธาตุแท้ที่แข็งแกร่งและแน่วแน่กว่า ซึ่งที่สุดก็จะก้าวข้ามผ่านข้อหาสามานย์อันท้นท่วมด้วยจริตมายาของกลุ่มปฏิกิริยาขุนศึกศักดินาอำมาตย์ ที่ว่า คนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณ มาเป็น คนเสื้อแดงสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม โดยมีทักษิณเป็นคนหนึ่งในแนวร่วม เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตยเช่นกัน ตรงนี้ หากเราทำให้ดีระยะผ่านดังกล่าวก็จะสั้นลง เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่เกินห้าสิบ หรือหกสิบ หรือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศเห็นด้วยและสนับสนุนคนเสื้อแดง
เวลานี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใกล้ปิดม่านการแสดงโดยสมบูรณ์แล้ว ชุมนุมที่ไหนก็ไม่มีคน (เพราะคนมาจากกำลังของพรรคการเมืองที่ชื่อประชาธิปัตย์) ที่ดิ้นที่ดันทุรังกันสุดแรงนี้เป็นเฮือกสุดท้าย หลายคนในพันธมิตรฯ คิดไม่เหมือนกัน ส่วนหนึ่งของพวกเขายอมรับว่า เสื้อแดงไม่ได้รับความเป็นธรรม มีสองมาตรฐานจริง ยอมรับว่ามีส่วนของคนเสื้อแดงที่สู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สันติวิธีจริง ติดใจก็เพียงข้อความรุนแรงที่เขาคิดว่ามีเสื้อแดงบางส่วนกระทำ และเรื่องสู้เพื่อทักษิณเท่านั้น แต่สองข้อหลังไม่ใช่สาระสำคัญเพราะเป็นความเท็จซึ่งท้ายที่สุดแล้วจักพิสูจน์ได้จากสัจจะแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้นไม่ต้องพูดถึง พวกพันธมิตรฯเรียงหน้าออกมาโจมตีประณามหน่วงหนักล้ำหน้ากว่าคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป ที่น่าสังเกตก็คือ น้ำเสียงที่ออกมาดับเครื่องชนหลังจากที่ชื่นชมเชียร์กันมาก่อนมีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ แต่ที่แน่ๆพันธมิตรฯในฐานะมือจุดชนวนป่วนความรุนแรงวันนี้ดูจะด้านและก็เดี้ยงไปเสียแล้ว ล่าสุด พนิช วิกิตเศรษฐ์,วีระ สมความคิด กับพวกรวมเจ็ดคน บุกรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชาเพื่อสร้างสถานการณ์ปลุกความคลั่งชาติก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง กลับต้องนอนคุกเขมรแทน โดยจำนนด้วยคลิปวิดีโอที่เป็นหลักฐานชัดเจนจากคำพูดของพนิชเองว่าตั้งใจบุกล้ำเข้าไปในดินแดนเขา ซึ่งคนสำคัญในรัฐบาลต่างออกปากว่าคงช่วยลำบาก
ปัญหาจึงอยู่ที่ฝ่ายเรา จะเดินต่อไปอย่างไร จะปรับขบวนอย่างไร
องค์กรเสื้อแดงต่างๆอันหลากหลายจะขยายกำลัง ขยายความคิดจิตสำนึก ร่วมไม้ร่วมมือ สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยยึดเอาเป้าหมายยุทธศาสตร์เป็นตัวตั้ง ในส่วนของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เดินหน้าปรับขบวนไปก่อนแล้ว อย่างน้อยๆก็ได้จัดตั้งคณะแกนนำชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่ไม่ให้เกิดสภาพว่างไร้การนำ แม้ในระยะแรกๆจะมี “การป่วน” จากทั้งฝ่ายผู้หวังดีและไม่หวังดีทำให้เสียรูปขบวนไปบ้างก็ไม่มีผลอะไร เพราะ “คนลองของ” บางคนอาจยังไม่รู้จัก “ความแกร่งแข็งกล้า” และความเป็นตัวจริงเสียงจริงของนักสู้อย่างอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ต่อเมื่อได้ถูกสัมภาษณ์และแสดงทัศนะออกทางสื่อ ภาพความสมบูรณ์พร้อมในฐานะการนำก็เปล่งประกายปรากฏทั้งภูมิรู้และประสบการณ์ อันที่จริงเรื่องความสามารถของ อ.ธิดา เป็นที่ทราบกันดีในหมู่แกนนำ นปช. ซึ่งได้ร่วมประชุมกันเป็นประจำต่อเนื่องตลอดมาหลังถูกสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 และรูปคณะกรรมการแกนนำของ นปช. ดังกล่าว แม้จะมิใช่การนำแบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ แต่ก็สามารถลดทอนระบบดำเนินการที่ไม่ใช้เหตุผลลงได้บ้าง เพื่อให้เห็นภาพผู้นำ นปช. คนใหม่แจ่มชัดยิ่งขึ้น เราลองไปฟัง “การป่วน” ด้วยคำถามบางคำถามต่อไปนี้
คุณทักษิณชินวัตรยอมรับที่คุณธิดาขึ้นมาเป็นรักษาการประธานนปช.หรือไม่
มันไม่ใช่ธุระอะไรของคุณทักษิณ อาจารย์แคร์ชาวบ้าน ประชาชนรักอาจารย์หรือเปล่า คุณทักษิณ ไม่เกี่ยว เพราะเชื่อว่าทักษิณ ต้องฉลาดพอว่าบทบาทแกทำอะไรได้แค่ไหน และแกต้องรู้จักคนอย่างอาจารย์ หรือหมอเหวง ว่าเป็นคนแบบไหน ประวัติเป็นแบบไหน อีกด้านหนึ่งอาจารย์เคยเจอคุณทักษิณ เขาเป็นคนชอบพูด แกพูดว่าไงรู้ไหม อาจารย์ถามแกว่ารู้สึกอย่างไร ท้อถอยไหม แกบอกว่า เพราะการต่อสู้ ประชาชนทำให้แกสดชื่นอยู่ตลอดเวลา คือมันตรงข้ามไม่ใช่แกมาช่วย แน่นอนแกอาจจะเชื่อส่วนตัวว่าประชาชนมาสู้เพื่อแก แต่มีส่วนหนึ่งคนที่เขารักแกก็มี แต่การต่อสู้ของประชาชน คือน้ำหล่อเลี้ยงเขาน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจคุณทักษิณ
ภารกิจ 4 ข้อของประธาน นปช.หญิงคนใหม่
เหตุผลการที่มารับหน้าที่รักษาการประธาน นปช. นั้นถือเป็นหน้าที่และความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ ที่ต้องปรับบทบาททางวิชาการมานำมวลชน แล้วก็เป็นการส่งสัญญาณครั้งใหญ่จากแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำว่าหลังจากนี้คนเสื้อแดงจะต่อสู้ด้วยภูมิความรู้และสติปัญญา โดยมีภาระหน้าที่สำคัญคือ
1. การรณรงค์เพื่อให้ปล่อยตัวแกนนำ มวลชนคนเสื้อแดง และผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบให้ได้รับอิสรภาพ การประกันตัวเพื่อดำเนินคดีอย่างมีนิติรัฐ นิติธรรม
2. ช่วยเหลือเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัวตลอดจนการประกันตัวและต่อสู้คดี
3. เรียกร้องความยุติธรรมและการใช้กฎหมาย มาตรฐานเดียวกันและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
4. ยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้
สรุปสุดท้ายในส่วนของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินที่ได้ปรับขบวนรุดหน้าไปแล้ว ด้วยคำพูดของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ดังนี้
"เราจะพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน ถ้าเราพูดอะไรแล้วมันให้โทษกับประชาชน หรือไปเข้าทางคนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางประชาชนจะไม่พูด ไม่ต้องการพูดเพื่อสำแดงโวหารว่า เราเป็นคนเก่งหรือก้าวหน้า คำพูดของเราจึงต้องนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์เท่านั้น"
ด้วยรักสามัคคี ผมขอฝากคำพูดนี้ไปยังคุณสุรชัย แซ่ด่านมิตรที่เคารพด้วย โดยวุฒิภาวะที่ท่านมี หากไตร่ตรองก่อนพูดได้จะดียิ่ง
คราวนี้มาพูดในส่วนของพรรคเพื่อไทยบ้าง มีความพยายามจะปรับโครงสร้างการนำของพรรคอยู่บ้างเช่นกัน แต่ทว่ายังติดขัด เพราะพรรคผูกพันยึดโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร การจะขยับไปทางไหนอย่างไรจึงต้องเป็นไปโดยที่ท่านทักษิณต้องเห็นดีเห็นงามด้วย ดังที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาแสดงทัศนะว่า
การใช้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นเรือนตาย เป็นสิ่งจำเป็น แต่ทว่า ทั้งพรรคและตัว ส.ส. ต้องทำงานเชิงรุกและเชิงลึกต่อประชาชนด้วย จะว่าก้าวข้ามคุณทักษิณ หรือให้ตัดประเด็นเรื่องคุณทักษิณไปเลยก็ไม่เชิง พรรคเพื่อไทยมีความเชื่อมโยงกับคุณทักษิณ ซึ่งเป็นความจริงที่ใครๆ ก็รู้ คุณทักษิณได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองไว้มาก เป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทย ยังเป็นคนที่เคยคิดนโยบายดีๆ ได้มาก คงจะยังสามารถช่วยคิดนโยบายดีๆ ได้ ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ให้ตัดคุณทักษิณออกไป หรือปฏิเสธ แต่ว่าจะวางคุณทักษิณอยู่ตรงไหน จัดความสัมพันธ์อย่างไร จะเสนอเรื่อง จะพูดถึงคุณทักษิณอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยต้องคิด
ถ้า ชูนโยบายเอาคุณทักษิณกลับบ้านแบบดิบๆ (หยุดคิด) โดยไม่บอกว่าเอากลับมาวิธีไหน กลับมาเพื่อทำอะไร (นิ่งคิด) มันก็ไม่โดนใจคนมากนัก การที่คุณทักษิณจะกลับเมืองไทยได้หรือได้รับความยุติธรรม ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน แล้วคุณทักษิณคงได้ความเป็นธรรมมากกว่าปัจจุบัน การนำเสนอในลักษณะนี้ผมคิดว่าคนทั่วไปจะรับได้มากกว่า แต่ถ้าชูเป็นประเด็นแคบๆ และไม่มีรายละเอียด ไม่รู้วิธีการ ไม่ว่าจะเกิดผลอะไรอย่างไร คนที่เป็นพวกเดียวกันแท้ๆ ก็รับได้ ก็ชอบใจ แต่คนที่ห่างออกไป คนที่เขาไม่สนใจประเด็นนี้ เขาอาจจะไม่รับ"ในยุทธศาสตร์ที่จะสามัคคีกับกลุ่มต่างๆ ถ้าไปเน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากไป เช่น เน้นเสื้อแดงมากเกินไป เน้นเอาคุณทักษิณกลับเมืองไทยมากเกินไป มันก็จะแคบ เสื้อแดงน่าจะมีคนเป็นล้าน เรื่องที่ต้องทำให้เสื้อแดงสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ต้องทำแน่นอน แต่ต้องไม่ให้คนรู้สึกว่าเอาแต่เสื้อแดง หรือเสื้อแดงเป็นผู้กำหนดพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนส่วนที่เหลือซึ่งมันมากกว่า เวลาเราเลือกตั้งเราต้องพูดถึงคน 19 ล้าน ทำให้อย่างไรให้คน19 ล้านมาเลือก ซึ่งคน 19 ล้าน มันเยอะกว่าเสื้อแดงมาก
คงต้องบอกว่า นี้เป็นข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ และเป็นข้อเสนอของมิตรต่อมิตร ที่มากด้วยความระมัดระวังคำพูดคำจา เป็นความเห็นที่น่ารับฟัง น่าคิดต่อ เพราะอย่างไรเสียในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ควรต้องรีบปรับขบวน ปรับได้เร็วเท่าไรก็จะเป็นฝ่ายรุกในการกระทำทางการเมืองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังเพื่อรองรับ “กรณีสถานการณ์เปลี่ยน” ไว้ล่วงหน้า ซึ่งหมายถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย อันที่จริง เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันด้วย “เสียงดัง” เช่นนี้ ข้อเสนอต่างๆควรพูดคุยกันภายในได้ด้วย “เสียงเงียบ” โดยคัดกรองเอาคนที่มีความคิดความอ่านในแบบคนที่ “คิดเป็นวิเคราะห์เป็น” มาปรึกษาหารือกัน
เมื่อการเลือกหัวหน้าพรรค หรือผู้นำพรรคยังไม่พร้อมก็ควรจัดตั้งคณะบุคคลที่ “คิดเป็นวิเคราะห์เป็นทำงานเป็น” ขึ้นมาสักชุดหนึ่ง เป็นกรมการเมืองระดับบน ถกเถียงค้นคว้าหาข้อสรุปเพื่อกำหนดเป็นแนวทางและเข็มมุ่ง ตลอดจนนโยบายของพรรคที่ชัดเจน ให้รู้กันภายในว่าจะเดินไปอย่างไร หรือจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากวันนี้พรรคเพื่อไทยยังเคว้งคว้างปราศจากการนำที่แน่นอน ปล่อยสภาพเป็นปัจเจกบุคคลที่ถนนทุกสายมุ่งตรงสู่ ท.ทักษิณอดทน เราก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งชะตากรรม เป็นการต่อสู้ตามเวรกรรม พึ่งพาไสยาศาสตร์ เสียโอกาสที่จะเป็นฝ่ายกระทำเพื่อฉวยคว้าเอาชัยชนะมาตามลำดับขั้นอย่างที่ควรเป็น
วงดนตรีวงหนึ่ง เมื่อบรรเลงบทเพลงเพลงหนึ่ง นอกเหนือจากบรรเลงเพลงด้วยความรัก ด้วยอารมณ์ความรู้สึก ปีติสุขแล้ว ทั้งวงยังต้องสามัคคีกันบรรเลงอย่างมีระบบ และเป็นระเบียบด้วย ต้องกลมกลืนผสมผสาน รับส่งกันอย่างมีจังหวะจะโคน สอดคล้องต้องกันในท่วงทำนอง ดำเนินพลิ้วไหวเท่าทันกันไปในเร็วหรือช้า ทุกเครื่องดนตรีมีความสำคัญ ไม่เกี่ยวว่าจะเล่นน้อยเล่นมาก แต่เกี่ยวกับเล่นได้ถูกต้อง ก็จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับบทเพลงทั้งหมดในทันที เป็นเช่นนั้นไปจนจบเพลงจนได้รับเสียงปรบมืออันกึกก้องจากผู้ฟัง ขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนไทยในวันนี้ก็ต้องการขบวนทัพที่บรรเลงบทเพลงได้ประดุจวงดนตรีวงหนึ่ง บรรเลงด้วยความรัก ภูมิความรู้ และสติปัญญา
หวังว่า ปี 2554 จะเป็นปีที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการปรับขบวนได้ในไตรมาสแรก
ที่มา.ประชาไท
ปัญหาประชาธิปไตยและการกระทำอันโง่เขลาของคนกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ไม่กี่อาทิตย์หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย และมีนายอภิสิทธิ์คนสั่งการได้คุยโวถึง “แผนปรองดอง” ของเขา
เวลาผ่านมากว่า 6 เดือน จนมาถึงต้นปี 2554 นับตั้งแต่ “แผนการ” ดังกล่าวถูกร่างขึ้น อาจจะเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะตัดสินว่าแผนการ “ปรองดอง” ของนายอภิสิทธิ์นั้นประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
คำตอบสั้นๆและชัดเจนคือ “ไม่ประสบความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง”
ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่รัฐไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำของตน โดยหากพิจารณาจากคำพูดล่าสุดของรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ จะพบว่าเขากลัวทั้งการเลือกตั้งและการชุมนุมอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดง และแทนที่จะพยายามสร้างความปรองดอง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์กับพรรคพวกในดีเอสไอกลับหมกมุ่นอยู่การแผนการอันเลวร้ายพยายามปกปิดข้อเท็จเรื่องการสังหารประชาชน ในขณะเดียวกันยังคงคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อย และเวปไชต์อีกหลายแสนเวปไซต์ยังคงถูกเซ็นเซอร์
แต่ในปีใหม่นี้ ประเทศไทยจะถูกนำพาไปในทิศทางใด? แน่นอนว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถนำพา “ความปรองดอง” ที่แท้จริงมาสู่ประเทศได้
ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปี 2554 ประเทศไทยให้ความสนใจกับการกระทำของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เพื่อนร่วมงานของนายอภิสิทธิ์ และสมาชิกกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเพียงไม่กี่คน (กลุ่มพันธมิตรหัวรุนแรง) คนเหล่านี้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่กัมพูชา เพราะบุกรุกเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย
การกระทำดังกล่าวนอกจากจะทำให้เกิดเรื่องระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศไทยไปเป็นเรื่องความโง่เขลาของกลุ่มคนหัวรุนแรงเพียงไม่กี่คน คำถามคือ ประชาชนคนไทยควรจะถูกกลุ่มคนส่วนน้อยที่ไม่มีสมองและชอบก่อปัญหาเหล่านี้เบี่ยงเบนความสนใจไปอีกนานเท่าไร?
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
คำตอบสั้นๆและชัดเจนคือ “ไม่ประสบความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง”
ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่รัฐไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำของตน โดยหากพิจารณาจากคำพูดล่าสุดของรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ จะพบว่าเขากลัวทั้งการเลือกตั้งและการชุมนุมอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดง และแทนที่จะพยายามสร้างความปรองดอง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์กับพรรคพวกในดีเอสไอกลับหมกมุ่นอยู่การแผนการอันเลวร้ายพยายามปกปิดข้อเท็จเรื่องการสังหารประชาชน ในขณะเดียวกันยังคงคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อย และเวปไชต์อีกหลายแสนเวปไซต์ยังคงถูกเซ็นเซอร์
แต่ในปีใหม่นี้ ประเทศไทยจะถูกนำพาไปในทิศทางใด? แน่นอนว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถนำพา “ความปรองดอง” ที่แท้จริงมาสู่ประเทศได้
ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปี 2554 ประเทศไทยให้ความสนใจกับการกระทำของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เพื่อนร่วมงานของนายอภิสิทธิ์ และสมาชิกกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเพียงไม่กี่คน (กลุ่มพันธมิตรหัวรุนแรง) คนเหล่านี้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่กัมพูชา เพราะบุกรุกเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย
การกระทำดังกล่าวนอกจากจะทำให้เกิดเรื่องระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศไทยไปเป็นเรื่องความโง่เขลาของกลุ่มคนหัวรุนแรงเพียงไม่กี่คน คำถามคือ ประชาชนคนไทยควรจะถูกกลุ่มคนส่วนน้อยที่ไม่มีสมองและชอบก่อปัญหาเหล่านี้เบี่ยงเบนความสนใจไปอีกนานเท่าไร?
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554
สมาคมท่องเที่ยวฯเชียงใหม่ลั่นปี'54สดใสคาดรายได้ทะลุ4หมื่นล.
นายสราวุฒิ แซ่เตี๋ยว นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในปี 2554 คาดว่าจะมีแนวโน้มดีกว่าปี 2553 นอกจากกิจกรรมและงานเทศกาลสำคัญในห้วงเวลาต่างๆตั้งแต่ต้นปี เช่นงานแสดงและประกวดพลุนานาชาติ งานไม้ดอกไม้ประดับในเดือนกุมภาพันธ์ ประเพณีสงกรานต์ ในเดือนเมษายน งานเทศกาลอาหารนานาชาติ หรือ อินเตอร์เนชั่นแนลฟู้ด เฟสติวัล ในเดือนกรากฎาคม ส่วนช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน จะมีการจัดกิจกรรมเชียงใหม่ แกรนด์เซล และงานประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทงเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน ฯลฯ ช่วยเสริมให้บรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคัก
สมาคมฯคาดหวังว่าในปี 2554 จ.เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากฐานรายได้ในปี 2553 ที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเคยสร้างรายได้เข้าสู่จ.เชียงใหม่ถึง 4 หมื่นล้านบาทมาแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมารายได้ปรับตัวลดลงเพราะผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่เกิดขึ้น แต่สมาคมฯมั่นใจว่าในอนาคตจ.เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากในปี 2554 สมาคมฯจะเน้นทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเปลี่ยนฤดูโลว์ซีซั่น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ให้เป็นกรีนซีซั่น กิจกรรมหลักที่สมาคมฯเตรียมผลักดัน คือ งานเชียงใหม่ แกรนด์เซล ที่เป็นไฮไลท์สำคัญ นอกจากร่วมกับผู้ประกอบการสนามกอล์ฟ โรงแรม สปา รถเช่า ฯลฯ จัดโปรโมชั่นลดราคา พุ่งเป้าไปที่ตลาดตะวันออกกลาง ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งตลาดคนไทยตามนโยบายไทยเที่ยวไทย ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อดึงตลาดคนไทยชดเชยตลาดต่างชาติในช่วงที่เกิดวิกฤติหรือปัญหา เพราะในปี 2554 ประเมินว่าเศรษฐกิจของยุโรป และอเมริกา ยังมีปัญหาอาจทำให้นักท่องเที่ยว 2 กลุ่มนี้มีจำนวนลดลง แต่สมาคมฯยังไม่ทิ้งตลาดยุโรปและอเมริกาที่เป็นตลาดสำคัญเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและมีการใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวชาติอื่น
ส่วนในเดือนกรกฎาคม สมาคมฯเตรียมจัดงานเชียงใหม่ทัวร์ริซึ่ม ฟอรั่ม เชิญบายเออร์จากทั่วโลกมาร่วมงานเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจ.เชียงใหม่และ 8 จังหวัดภาคเหนือให้เป็นที่รู้จัก และ ซึ่งสมาคมฯมีแผนรวมเป็นกลุ่มจังหวัดเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวรวมกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และการผจญภัย ที่เป็นตลาดสำคัญอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการท่องเที่ยวเชิงประเพณี -วัฒนธรรม
" ปี 2554 ยังถือเป็นปีสำคัญในการเตรียมตัวสำหรับปี 2555 ซึ่งโครงการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจะแล้วเสร็จ เป็นปีที่ต้องเตรียมวางแผนทำตลาดล่วงหน้า รับการประชุมสัมมนา หรือ ตลาดไมซ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะนี้ผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลายรายเริ่มปรับตัวกันแล้ว มีการลงทุนสร้างหรือขยายห้องประชุมสัมมนาที่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ไม่ต่ำกว่า 500 - 1,000 คน"นายสราวุฒิกล่าว
นายสราวุฒิ กล่าวอีกว่า สมาคมฯยังมีแผนดึงสายการบินทั้งในและต่างประเทศเปิดไฟล์บินตรงมายังจ.เชียงใหม่ รวมทั้งการดึงเที่ยวบินเช่าเมหาลำ หรือชาเตอร์ไฟล์ เข้ามา เพราะเมื่อเปรียบเทียบจ.เชียงใหม่กับจ.ภูเก็ต ยังเสียเปรียบมากเพาะจำนวนเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้าสู่จ.เชียงใหม่มีน้อยกว่า ขณะที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีการพัฒนาและปรับปรุงให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่จากต่างประเทศได้แล้ว โดยสมาคมฯจะเดินสายหารือกับสายการบินต่างๆ ทั้งจีน อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ ให้ขยายเส้นทางบินมายังจ.เชียงใหม่
ที่มา.เนชั่น
----------------------------------------------------
สมาคมฯคาดหวังว่าในปี 2554 จ.เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากฐานรายได้ในปี 2553 ที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเคยสร้างรายได้เข้าสู่จ.เชียงใหม่ถึง 4 หมื่นล้านบาทมาแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมารายได้ปรับตัวลดลงเพราะผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่เกิดขึ้น แต่สมาคมฯมั่นใจว่าในอนาคตจ.เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากในปี 2554 สมาคมฯจะเน้นทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเปลี่ยนฤดูโลว์ซีซั่น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ให้เป็นกรีนซีซั่น กิจกรรมหลักที่สมาคมฯเตรียมผลักดัน คือ งานเชียงใหม่ แกรนด์เซล ที่เป็นไฮไลท์สำคัญ นอกจากร่วมกับผู้ประกอบการสนามกอล์ฟ โรงแรม สปา รถเช่า ฯลฯ จัดโปรโมชั่นลดราคา พุ่งเป้าไปที่ตลาดตะวันออกกลาง ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งตลาดคนไทยตามนโยบายไทยเที่ยวไทย ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อดึงตลาดคนไทยชดเชยตลาดต่างชาติในช่วงที่เกิดวิกฤติหรือปัญหา เพราะในปี 2554 ประเมินว่าเศรษฐกิจของยุโรป และอเมริกา ยังมีปัญหาอาจทำให้นักท่องเที่ยว 2 กลุ่มนี้มีจำนวนลดลง แต่สมาคมฯยังไม่ทิ้งตลาดยุโรปและอเมริกาที่เป็นตลาดสำคัญเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและมีการใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวชาติอื่น
ส่วนในเดือนกรกฎาคม สมาคมฯเตรียมจัดงานเชียงใหม่ทัวร์ริซึ่ม ฟอรั่ม เชิญบายเออร์จากทั่วโลกมาร่วมงานเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจ.เชียงใหม่และ 8 จังหวัดภาคเหนือให้เป็นที่รู้จัก และ ซึ่งสมาคมฯมีแผนรวมเป็นกลุ่มจังหวัดเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวรวมกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และการผจญภัย ที่เป็นตลาดสำคัญอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการท่องเที่ยวเชิงประเพณี -วัฒนธรรม
" ปี 2554 ยังถือเป็นปีสำคัญในการเตรียมตัวสำหรับปี 2555 ซึ่งโครงการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจะแล้วเสร็จ เป็นปีที่ต้องเตรียมวางแผนทำตลาดล่วงหน้า รับการประชุมสัมมนา หรือ ตลาดไมซ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะนี้ผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลายรายเริ่มปรับตัวกันแล้ว มีการลงทุนสร้างหรือขยายห้องประชุมสัมมนาที่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ไม่ต่ำกว่า 500 - 1,000 คน"นายสราวุฒิกล่าว
นายสราวุฒิ กล่าวอีกว่า สมาคมฯยังมีแผนดึงสายการบินทั้งในและต่างประเทศเปิดไฟล์บินตรงมายังจ.เชียงใหม่ รวมทั้งการดึงเที่ยวบินเช่าเมหาลำ หรือชาเตอร์ไฟล์ เข้ามา เพราะเมื่อเปรียบเทียบจ.เชียงใหม่กับจ.ภูเก็ต ยังเสียเปรียบมากเพาะจำนวนเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้าสู่จ.เชียงใหม่มีน้อยกว่า ขณะที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีการพัฒนาและปรับปรุงให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่จากต่างประเทศได้แล้ว โดยสมาคมฯจะเดินสายหารือกับสายการบินต่างๆ ทั้งจีน อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ ให้ขยายเส้นทางบินมายังจ.เชียงใหม่
ที่มา.เนชั่น
----------------------------------------------------
กู้ระเบิดภาคใต้พลีชีพคา "บอมบ์สูท" ตัวละ 2 ล้านแต่ "หมดอายุ" ชีวิตทหารหาญจะฝากไว้กับอะไร?
จากกรณี การพลีชีพคาชุดบอมบ์สูทของด.ต.กิตติ มิ่งสุข อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้ สังกัด ตชด.447 ที่เข้าไปเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยหลังหุ่นยนต์เก็บกู้ระเบิดเกิดขัดข้อง ซึ่งด.ต.ผู้กล้าใส่ชุดบอมบ์สูทเต็มสูบ แต่เมื่อคนร้ายโทรศัพท์จุดชนวนกลับทำให้ด.ต.กิตติเสียชีวิตทันทีทั้งที่ยังสวมชุดป้องกัน จึงเกิดประเด็นข้อกังขากับยุทโธปกรณ์ของทหารไทยอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้อกังขาและวิพากษ์ วิจารณ์ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ป้องกันระเบิด อย่างเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ซึ่งเจ้าหน้าที่นำไปใช้งานแล้วเกิดความผิดพลาด ตรวจหาวัตถุระเบิดไม่พบ จนเกิด "คาร์บอมบ์" ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จนรัฐบาลได้สั่งยกเลิกการใช้งานไปในที่สุด มาในครั้งนี้ ก็ยังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เสียชีวิตคาปราการด่านสุดท้ายของชีวิตที่เรียกว่า "ชุดบอมสูท" แล้วชุดที่ว่านี้ปกป้องผู้สวมใส่ได้แค่ไหน
จากข้อมูลพบว่า "บอมบ์สูท" หรือ Blast (ชุดป้องกันอันตรายจากแรงระเบิด) เป็นชุดของเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นำมาใช้ทุกครั้งที่มีการแจ้งเหตุคนร้ายลอบวางวัตถุต้องสงสัย ราคาประมาณชุดละ 2 ล้านบาท ทางรัฐบาลสั่งซื้อจากประเทศแคนาดาเป็นชุดเกราะหนักสำหรับผู้เก็บกู้ระเบิด ออกแบบมาเพื่อทนต่อแรงระเบิดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และสวมใส่เพื่อป้องกันแรงอัดและสะเก็ดระเบิดแบบป้องกันทั้งตัว สามารถป้องกันแรงอัดระเบิดและสะเก็ดระเบิดทั้งแบบธรรมดา สารเคมี หรือสารชีวภาพ
ด้าน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) ตอบข้อถามของผู้สื่อข่าวกรณีเจ้าหน้าที่สวมชุดป้องกันระเบิด (บอมบ์สูท) แล้ว แต่ยังไม่สามารถป้องกันได้ ว่า ในเบื้องต้นยังไม่สามารถตอบได้ ต้องรอการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญก่อนว่าเป็นเพราะเหตุใด
จากรายงานของศูนย์ข่าวอิศราได้เผยคำกล่าวของนายตำรวจประจำหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาหลายปี โดยนายตำรวจเล่าให้ฟังว่า เหตุระเบิดดังกล่าวข้างต้นนั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนการเก็บกู้ทุกประการ ไม่ได้ประมาท แต่ที่เกิดความผิดพลาดเพราะ คนร้ายมีเป้าหมายสังหารชุดอีโอดี

สำหรับคำถามเรื่อง "บอม์สูท" แล้ว นายตำรวจนักกู้ระเบิด กล่าวว่า ชุด "บอมบ์สูท" ชุดนี้ผลิตเมื่อปี ค.ศ.2004 ตามหลักแล้วอายุการใช้งานที่มีประสิทธิภาพจะอยู่ที่ 5 ปี ถ้าพูดตรงๆ คือ ชุดนี้หมดอายุแล้ว
"ที่ตัวบอมบ์สูทจะมีรหัสเขียนเอาไว้ ตัวนี้เป็นอีโอดี 8 แต่เพื่อนๆ บางหน่วยได้อีโอดี 9 กันแล้ว เมื่อชุดบอมบ์สูทใช้งานนานเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันต่ำลง อย่างไรก็ตาม ชุดบอมบ์สูทจะสามารถป้องกันระเบิดได้ที่น้ำหนัก 1.5 ปอนด์ แต่ระเบิดที่คนร้ายใช้ครั้งนี้หนักเกือบ 3 ปอนด์ (5 กิโลกรัม) และยังเป็นดินระเบิดแรงสูง ประกอบกับหุ่นยนต์เก็บกู้ที่ใช้ทำงานก็ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะผลิตจากสถาบันการศึกษาภายในประเทศ ต่างจากหุ่นที่ผลิตจากอเมริกาที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุม ทั้งหมดจึงกลายเป็นช่องว่างทำให้เกิดความสูญเสียอยางมหันต์" นายตำรวจนักกู้ระเบิดกล่าว
แล้ว "ใคร" หรือ "อะไร" จะปกป้องชีวิตหน่วยอีโอดีของประเทศไทยระหว่างการกอบกู้ระเบิด ?
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้อกังขาและวิพากษ์ วิจารณ์ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ป้องกันระเบิด อย่างเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ซึ่งเจ้าหน้าที่นำไปใช้งานแล้วเกิดความผิดพลาด ตรวจหาวัตถุระเบิดไม่พบ จนเกิด "คาร์บอมบ์" ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จนรัฐบาลได้สั่งยกเลิกการใช้งานไปในที่สุด มาในครั้งนี้ ก็ยังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เสียชีวิตคาปราการด่านสุดท้ายของชีวิตที่เรียกว่า "ชุดบอมสูท" แล้วชุดที่ว่านี้ปกป้องผู้สวมใส่ได้แค่ไหน
จากข้อมูลพบว่า "บอมบ์สูท" หรือ Blast (ชุดป้องกันอันตรายจากแรงระเบิด) เป็นชุดของเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นำมาใช้ทุกครั้งที่มีการแจ้งเหตุคนร้ายลอบวางวัตถุต้องสงสัย ราคาประมาณชุดละ 2 ล้านบาท ทางรัฐบาลสั่งซื้อจากประเทศแคนาดาเป็นชุดเกราะหนักสำหรับผู้เก็บกู้ระเบิด ออกแบบมาเพื่อทนต่อแรงระเบิดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และสวมใส่เพื่อป้องกันแรงอัดและสะเก็ดระเบิดแบบป้องกันทั้งตัว สามารถป้องกันแรงอัดระเบิดและสะเก็ดระเบิดทั้งแบบธรรมดา สารเคมี หรือสารชีวภาพ
ปัจจุบันชุดดังกล่าวได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพการป้องกันสูงสุด มีน้ำหนักที่เหมาะสม มีความยืดหยุ่น ป้องกันภัยคุกคามระเบิด แรงดันเกิน คลื่นช็อค ความร้อน ดับเพลิง น้ำหนักระหว่าง 15-30 กิโลกรัม บอมบ์สูทโดยทั่วไปประกอบด้วย 1.กางเกงด้วยที่สามารถปรับระดับความยาวและความกว้าง 2.แจ๊คเก็ต (Smock) ที่มีคอและขาหนีบที่แนบมาห่อหุ้ม 3.แขน 4.รองเท้าบู๊ต 5.ถุงป้องกันมือ 6.แผ่นห่อหุ้มทรวงอกและขาหนีบ 7.หมวกนิรภัย 8.หมวกกันน็อค 10.กระเป๋าพกพา หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด หรือ EOD (Explosive Ordnance Disposal) จะสวมชุดป้องกันอันตรายจากแรงระเบิดในระหว่างการลาดตระเวนเก็บกู้ระเบิด เพื่อความปลอดภัยและป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่จากเหตุการณ์การสูญเสียครั้งนี้เห็นได้ว่าชุดป้องกันที่หน่วยกู้ระเบิดไทยบางหน่วยใช้อยู่นั้นไม่ช่วยปกป้องชีวิตทหารหาญที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปกู้ระเบิด |
ด้าน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) ตอบข้อถามของผู้สื่อข่าวกรณีเจ้าหน้าที่สวมชุดป้องกันระเบิด (บอมบ์สูท) แล้ว แต่ยังไม่สามารถป้องกันได้ ว่า ในเบื้องต้นยังไม่สามารถตอบได้ ต้องรอการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญก่อนว่าเป็นเพราะเหตุใด
จากรายงานของศูนย์ข่าวอิศราได้เผยคำกล่าวของนายตำรวจประจำหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาหลายปี โดยนายตำรวจเล่าให้ฟังว่า เหตุระเบิดดังกล่าวข้างต้นนั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนการเก็บกู้ทุกประการ ไม่ได้ประมาท แต่ที่เกิดความผิดพลาดเพราะ คนร้ายมีเป้าหมายสังหารชุดอีโอดี
"ก่อนจะเกิดระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจกับทหารเข้าไปสังเกตการณ์ก่อนแล้ว 2 ครั้ง แต่คนร้ายไม่กดจุดชนวน กระทั่งชุดอีโอดีเข้าไปจึงกดระเบิด ฉะนั้นคนร้ายจึงมีเป้าที่ชุดอีโอดี และระเบิดที่คนร้ายใช้ก็มีน้ำหนักถึง 5 กิโลกรัม และยังเป็นระเบิดแรงสูงที่หมายเอาชีวิตด้วย"
สำหรับคำถามเรื่อง "บอม์สูท" แล้ว นายตำรวจนักกู้ระเบิด กล่าวว่า ชุด "บอมบ์สูท" ชุดนี้ผลิตเมื่อปี ค.ศ.2004 ตามหลักแล้วอายุการใช้งานที่มีประสิทธิภาพจะอยู่ที่ 5 ปี ถ้าพูดตรงๆ คือ ชุดนี้หมดอายุแล้ว
"ที่ตัวบอมบ์สูทจะมีรหัสเขียนเอาไว้ ตัวนี้เป็นอีโอดี 8 แต่เพื่อนๆ บางหน่วยได้อีโอดี 9 กันแล้ว เมื่อชุดบอมบ์สูทใช้งานนานเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันต่ำลง อย่างไรก็ตาม ชุดบอมบ์สูทจะสามารถป้องกันระเบิดได้ที่น้ำหนัก 1.5 ปอนด์ แต่ระเบิดที่คนร้ายใช้ครั้งนี้หนักเกือบ 3 ปอนด์ (5 กิโลกรัม) และยังเป็นดินระเบิดแรงสูง ประกอบกับหุ่นยนต์เก็บกู้ที่ใช้ทำงานก็ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะผลิตจากสถาบันการศึกษาภายในประเทศ ต่างจากหุ่นที่ผลิตจากอเมริกาที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุม ทั้งหมดจึงกลายเป็นช่องว่างทำให้เกิดความสูญเสียอยางมหันต์" นายตำรวจนักกู้ระเบิดกล่าว
แล้ว "ใคร" หรือ "อะไร" จะปกป้องชีวิตหน่วยอีโอดีของประเทศไทยระหว่างการกอบกู้ระเบิด ?
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
การแก้แค้น และการชดใช้ !!!
Schopenhauer
ในอดีตการแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง จนเมื่ออำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ แล้วที่รัฐเป็นผู้ลงมือซะเอง หากประชาชนคิดจะแก้แค้น ควรแก้แค้นใครดี?
“การแก้แค้น” เป็นก้าวแรกของหลักแห่งความยุติธรรม
ตั้งแต่โบราณกาลเมื่อมีการก่ออาชญากรรมขึ้น – ผู้เสียหาย หรือครอบครัว ย่อมมีสิทธิที่จะแก้แค้น
แม้การแก้แค้นจะต้อง “ฆ่า” ให้ตายไปตามกัน ให้สาสมกัน ก็ยังกระทำกันได้ (ในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นผู้ก่อฆาตกรรม)
ทั้งไม่มีการแบ่งแยกว่า “อะไรเป็นความผิดที่ตั้งใจ” และ “อะไรเป็นความผิดที่ไม่ตั้งใจ” เพราะถือคติว่า “เมื่อมีการฆ่าคนตาย ต้องมีการแก้แค้น อย่างเดียว” และเรื่องจะยุติแค่นั้น จะไม่มีการกระทำการแก้แค้นตอบโต้กันอีก - - การแก้แค้นจึงเป็นความยุติธรรม และความถูกต้อง!!!
ยิ่งเป็นอาชญากรรมระหว่างกลุ่มชน ยิ่งต้องมีการแก้แค้นกัน มันเป็นการแสดงพลังของหมู่คณะ ทำให้ศัตรูขยาดกลัว เพราะถ้ายอมให้อีกกลุ่ม กระทำกับคนในกลุ่มตนได้ ก็อาจจะถูกข่มเหง-รังแก ไม่มีวันที่สิ้นสุด
เมื่อมีคนในกลุ่มหนึ่ง ไปฆ่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง – สมาชิกในกลุ่มคนที่ถูกฆ่า จะต้องหาทางเอาตัวฆาตกรคนนั้น มาลงโทษให้ได้ แล้วคนในกลุ่มที่มีสมาชิกเป็นฆาตกร จะรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไร?
แต่ขณะเดียวกัน สำหรับคนบางกลุ่ม “อาชญากรรมของพวกพ้อง” อาจไม่ถือว่าเป็นความผิด หรือกลับเห็นว่าเป็นความดีด้วยซ้ำไป!!!
สัญชาตญาณในการคุ้มครองภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง หรือภัยของหมู่คณะเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทำให้ต้องคิดหาทางแก้แค้นให้จงได้ เพราะความรักในหมู่คณะ, เพราะการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม, ก็คือการปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขานั่นเอง (ยิ่งมีความเชื่ออื่นๆ มาประกอบ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกร่วมรุนแรงมากยิ่งขึ้น - เช่น มีเหตุทำให้ “คนที่เขารัก” ต้องระหกระเหิน ต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากหมู่คณะ – การแก้แค้น เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่เขารัก ยิ่งมิอาจหลีกเลี่ยง!!!)
การแก้แค้น-ล้างแค้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งที่มนุษย์เรียกว่ากฎหมาย – เป็นกฎที่ยิ่งใหญ่กว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎศีลธรรม
การแก้แค้นนอกจากเป็นไปเพื่อการลงโทษแล้ว ยังเป็นการขู่ให้คนเกรงกลัว และป้องกันไม่ให้มีการทำร้ายกันอีก
ข้อเท็จจริงก็คือ “การแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง”
ในยุคสมัยต่อๆ มา “ผู้เสียหาย” มีทางเลือกมากขึ้น, การแก้แค้นแบบ “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” แบบดั้งเดิม เริ่มลดความสำคัญลง มีการชดใช้สิ่งของที่คนชอบ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย สิ่งของมีค่า-เงินทอง เพื่อชดใช้มูลค่าความเสียหาย ทดแทนการแก้แค้น
แต่วิธีการชดใช้นี้ เป็นการลงโทษจริงหรือ – หรือเป็นอุบายลดความโกรธแค้น – หรือเป็นการพยายามทำให้ผู้เสียหายเกิดความโลภ หรือเป็นเพียงวิธีปกป้องผู้กระทำความผิด ให้รอด (ชีวิต) จากการถูกแก้แค้น? - หรือเพื่อมิให้มีการแก้แค้น (จองเวร) กันต่อไป???
กระทั่งกำเนิด “รัฐ” – รัฐที่เป็นผู้สั่ง-เป็นผู้บังคับ-เป็นผู้ลงโทษ, ให้ผู้ที่กระทำความผิด ต้องชดใช้ความเสียหาย ตามกฎหมายที่รัฐเป็นผู้กำหนดไว้ – จากอำนาจการแก้แค้นที่เคยเป็นของบุคคล – และถัดมาเป็นของหัวหน้าเผ่า
บัดนี้ อำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ - รัฐจึงเป็นผู้ควบคุม มิให้ประชาชนทำการแก้แค้นต่อกัน เพราะการแก้แค้นต่อกันระหว่างประชาชน จะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และความไม่มั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง???
และแล้ววันเวลา ก็เดินมาถึงยุคสมัย ที่ “รัฐเป็นผู้ลงมือแก้แค้นซะเอง!!!”
...
ถ้าจะมีคำถามสักคำถาม - คำถามนั้นคือ “ถ้าประชาชน คิดจะแก้แค้น – จะแก้แค้นใครดี !!!” (ต้องสรุปให้ได้ก่อนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด - เกิดจากข้อพิพาทของประชาชนต่อประชาชน หรือเกิดจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง กับรัฐ-รัฐหนึ่ง !!!)
ที่มา.ประชาไท
********************************************
ในอดีตการแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง จนเมื่ออำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ แล้วที่รัฐเป็นผู้ลงมือซะเอง หากประชาชนคิดจะแก้แค้น ควรแก้แค้นใครดี?
“การแก้แค้น” เป็นก้าวแรกของหลักแห่งความยุติธรรม
ตั้งแต่โบราณกาลเมื่อมีการก่ออาชญากรรมขึ้น – ผู้เสียหาย หรือครอบครัว ย่อมมีสิทธิที่จะแก้แค้น
แม้การแก้แค้นจะต้อง “ฆ่า” ให้ตายไปตามกัน ให้สาสมกัน ก็ยังกระทำกันได้ (ในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นผู้ก่อฆาตกรรม)
ทั้งไม่มีการแบ่งแยกว่า “อะไรเป็นความผิดที่ตั้งใจ” และ “อะไรเป็นความผิดที่ไม่ตั้งใจ” เพราะถือคติว่า “เมื่อมีการฆ่าคนตาย ต้องมีการแก้แค้น อย่างเดียว” และเรื่องจะยุติแค่นั้น จะไม่มีการกระทำการแก้แค้นตอบโต้กันอีก - - การแก้แค้นจึงเป็นความยุติธรรม และความถูกต้อง!!!
ยิ่งเป็นอาชญากรรมระหว่างกลุ่มชน ยิ่งต้องมีการแก้แค้นกัน มันเป็นการแสดงพลังของหมู่คณะ ทำให้ศัตรูขยาดกลัว เพราะถ้ายอมให้อีกกลุ่ม กระทำกับคนในกลุ่มตนได้ ก็อาจจะถูกข่มเหง-รังแก ไม่มีวันที่สิ้นสุด
เมื่อมีคนในกลุ่มหนึ่ง ไปฆ่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง – สมาชิกในกลุ่มคนที่ถูกฆ่า จะต้องหาทางเอาตัวฆาตกรคนนั้น มาลงโทษให้ได้ แล้วคนในกลุ่มที่มีสมาชิกเป็นฆาตกร จะรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไร?
แต่ขณะเดียวกัน สำหรับคนบางกลุ่ม “อาชญากรรมของพวกพ้อง” อาจไม่ถือว่าเป็นความผิด หรือกลับเห็นว่าเป็นความดีด้วยซ้ำไป!!!
สัญชาตญาณในการคุ้มครองภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง หรือภัยของหมู่คณะเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทำให้ต้องคิดหาทางแก้แค้นให้จงได้ เพราะความรักในหมู่คณะ, เพราะการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม, ก็คือการปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขานั่นเอง (ยิ่งมีความเชื่ออื่นๆ มาประกอบ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกร่วมรุนแรงมากยิ่งขึ้น - เช่น มีเหตุทำให้ “คนที่เขารัก” ต้องระหกระเหิน ต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากหมู่คณะ – การแก้แค้น เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่เขารัก ยิ่งมิอาจหลีกเลี่ยง!!!)
การแก้แค้น-ล้างแค้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งที่มนุษย์เรียกว่ากฎหมาย – เป็นกฎที่ยิ่งใหญ่กว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎศีลธรรม
การแก้แค้นนอกจากเป็นไปเพื่อการลงโทษแล้ว ยังเป็นการขู่ให้คนเกรงกลัว และป้องกันไม่ให้มีการทำร้ายกันอีก
ข้อเท็จจริงก็คือ “การแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง”
ในยุคสมัยต่อๆ มา “ผู้เสียหาย” มีทางเลือกมากขึ้น, การแก้แค้นแบบ “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” แบบดั้งเดิม เริ่มลดความสำคัญลง มีการชดใช้สิ่งของที่คนชอบ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย สิ่งของมีค่า-เงินทอง เพื่อชดใช้มูลค่าความเสียหาย ทดแทนการแก้แค้น
แต่วิธีการชดใช้นี้ เป็นการลงโทษจริงหรือ – หรือเป็นอุบายลดความโกรธแค้น – หรือเป็นการพยายามทำให้ผู้เสียหายเกิดความโลภ หรือเป็นเพียงวิธีปกป้องผู้กระทำความผิด ให้รอด (ชีวิต) จากการถูกแก้แค้น? - หรือเพื่อมิให้มีการแก้แค้น (จองเวร) กันต่อไป???
กระทั่งกำเนิด “รัฐ” – รัฐที่เป็นผู้สั่ง-เป็นผู้บังคับ-เป็นผู้ลงโทษ, ให้ผู้ที่กระทำความผิด ต้องชดใช้ความเสียหาย ตามกฎหมายที่รัฐเป็นผู้กำหนดไว้ – จากอำนาจการแก้แค้นที่เคยเป็นของบุคคล – และถัดมาเป็นของหัวหน้าเผ่า
บัดนี้ อำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ - รัฐจึงเป็นผู้ควบคุม มิให้ประชาชนทำการแก้แค้นต่อกัน เพราะการแก้แค้นต่อกันระหว่างประชาชน จะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และความไม่มั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง???
และแล้ววันเวลา ก็เดินมาถึงยุคสมัย ที่ “รัฐเป็นผู้ลงมือแก้แค้นซะเอง!!!”
...
ถ้าจะมีคำถามสักคำถาม - คำถามนั้นคือ “ถ้าประชาชน คิดจะแก้แค้น – จะแก้แค้นใครดี !!!” (ต้องสรุปให้ได้ก่อนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด - เกิดจากข้อพิพาทของประชาชนต่อประชาชน หรือเกิดจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง กับรัฐ-รัฐหนึ่ง !!!)
ที่มา.ประชาไท
********************************************
กต.เผยผลสอบ 7 คนไทยล้ำเเดนกัมพูชาจริง
กต.เผยผลสอบ 7 คนไทยล้ำเเดนกัมพูชาจริง ระบุมี 2 แนวทางช่วย ไชยวัฒน์ระบุชุมนุม 4 ม.ค. ที่ จ.สระแก้ว ร้องปล่อย 7 คนไทย
- เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กรรมการเครือข่ายฯ ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ กรรมการเครือข่ายฯ นายการุณ ใสงาม ที่ปรึกษาเครือข่ายฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีคนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมาว่า เป็นการนำเสนอพยานบุคคลและเอกสารการครอบครองที่ดินของคนไทยเป็นเอกสาร หนังสือรับรองสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ( นส. 3 ก.) โดยยืนยันว่า คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในพื้นที่เขตแดนไทยในการลงพื้นที่สำรวจตามคำ ร้องเรียนของประชาชนว่า ถูกบุกรุกพื้นที่เขตแดนไทยจากทหารกัมพูชา รมถึงการเดินทางไปยื่นหนังสือกับทางกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประสานการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเครือข่ายได้ชุมนุมเรียกร้องด้วย
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การที่สมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาระบุว่า คนไทย 7 คน หนึ่งในนั้นมีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนรัฐสภา ซึ่งเป็น 1 ใน 30 คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี 3 ฉบับ และ 6 ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป เนื่องจากมีการรุกล้ำดินแดนไม่เป็นความจริง วันนี้เราเจอพยานบุคคล ที่มีเอกสารยืนยันว่า ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาคุมตัวไป เป็นพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย เอกสารที่ประชาชนได้มาก็มีตั้งแต่ยุคนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเสียภาษีให้กับท้องที่ตลอดมา เเละกลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติจะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวให้แกนนำ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติทุกภาค ระดมประชาชนแล้วให้ทุกคนมุ่งไปถนนศรีเพ็ญจ.สระแก้ว และเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 4 ม.ค. 2554 โดยจะมีการรวมตัวเคลื่อนไหวจากบริเวณประตู 4 ข้างทำเนียบ รัฐบาล ในวันที่ 3 ม.ค. 2554 เวลา 12.00 น. แล้วร่วมกันเดินทางไปชุมนุมที่ถนนศรีเพ็ญ จ.สระแก้ว เพื่อร่วมชุมนุมด้วยกันเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 7 คนไทย นอกจากนี้เรายังได้รับรายงานมาแล้วว่า จะมีประชาชนเดินทางไปรอร่วมชุมนุมในพื้นที่แล้วประมาณ 5 พันคน
ด้าน นายการุณ กล่าวว่า เหตุที่คนไทยถูกกุมตัว เพราะมีประชาชนร้องมายังกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และนายกรัฐมนตรีว่า ประชาชนไม่สามารถไปออกโฉนด เอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินทำกิน ทั้งที่เขามีการถือหนังสือรับรองเป็นนส.3ก.หรือประชาชนที่ได้เสียภาษีใน ที่ดินทำกินให้กับรัฐ (ภทบ. 5 ) เป็นเอกสารตั้งแต่ปี 2484 เเละปี 2490 โดยเจ้าหน้าที่รางวัดบอกกับประชาชนว่า ทหารกัมพูชายึดครองพื้นที่ไม่สามารถไปทำการรางวัดออกโฉนดได้ หรือแม้แต่ครั้งที่กัมพูชามีสงคราม 3 ฝ่าย ทางองค์การสหประชาชาติก็เคยได้รับรองหมู่บ้านอพยพชาวเขมรให้กับทางรัฐบาลไทย ดังนั้นเอกสารที่มีอยู่ได้รับการรับรองย่อมเป็นดินแดนของคนไทย
กต.เผย2แนวทางช่วย 7 คนไทยเขมรจับ
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และพวกรวม 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทยโดยเร็ว
นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตได้เตรียมให้ความสะดวกแก่ภรรยาของนายพนิช ที่จะเข้าเยี่ยมนายพนิช ที่เรือนจำไปรซอร์ในวันพรุ่งนี้ ในส่วนการสู้คดีขึ้นอยู่กับทนายความจะปรึกษาหารือกับนายพนิชว่าจะดำเนินการ ต่อไป โดยต้องรอศาลนัดไตร่สวนคดีในวันที่ 4 ม.ค.54 อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการกฎหมายของกัมพูชา
นายธานี กล่าวด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่า เส้นทางที่คณะนายพนิชใช้ได้รุกล้ำในเขตพื้นที่กัมพูชาจริง แต่ไม่ได้เจตนา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทราบต่อไป
มีรายงานว่า แนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมไว้ให้การช่วยเหลือ คือ การเจรจาระดับสูงกับทางการกัมพูชา ควบคุมไปกับการเข้าสู่กับกระบวนการของศาลกัมพูชา ซึ่งสามารถเป็นไปได้ 2 ทาง คือ การยื่นขอประกันตัว หรือการเร่งรัดให้ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด เพื่อขอลดหย่อนผ่อนโทษ โดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นสำคัญ
ฟันธง"พนิช"โดนจำคุกศาลรธน.วินิจฉัยได้
นายคมสัน โพธิคง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีที่หากนายพนิชถูกศาลกัมพูชาพิพากษา ว่า มีความผิดและไม่ได้รับการประกันตัวจะทำให้หมดสมาชิกภาพการเป็นส.ส. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สามารถที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเพิกถอนสมาชิกภาพได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ 106
ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่ารัฐธรรมนูญจำกัดเฉพาะศาลในประเทศไทยนั้น แม้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่เจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้มุ่งไปที่ การป้องกันไม่ให้คนที่มีมลทินมาทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน โดยไม่จำกัดว่าจะเกิดที่ใด เช่น หากส.ส.ไปขโมยของในสหรัฐ แล้วถูกพิพากษาจำคุก หรือเข้าประเทศญี่ปุ่นผิดกฎหมาย ถูกตัดสินจำคุกที่ญีปุ่น ก็ถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายพนิช อาจยกประเด็นการจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นต่อสู้ได้ เพราะจากที่ตรวจสอบนายพนิช ถูกจับในดินแดนของไทย
องอาจยัน 7 คนไทยไม่มีเจตนารุกเขมร
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเร่งช่วยเหลือกลุ่มคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ว่า รัฐบาลพยายามใช้หลายช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา ขณะที่ยืนยันว่า ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาขณะนี้ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งใดที่เป็นปัญหาจะทำความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงเรื่องข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานคณะกรรมการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ตั้งขอสังเกตถึงเจตนาการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว ของกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ที่ขาดการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จนทำให้มีปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ และถูกควบคุมตัวในที่สุด ซึ่งมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากขึ้น แล้ว ยังอาจส่งผลในทางการเมือง โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะ มีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนถึงการปักปันเขตแดนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความล่าช้า ทั้งที่ จ.สระแก้ว หรือพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและในอ่าวไทย
ร้อยละ 89 เชื่อเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ภรรยาของนายพนิช ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อเยี่ยมสามี คาดว่าจะเข้าพบได้วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ให้ช่วยโดยเร็ว
ด้านสวนดุสิตโพล ระบุว่า ร้อยละ 89 เชื่อว่า การจับกุมคนไทยทั้ง 7 คน เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังกังวลว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรจะเร่งเจรจาให้มีการปล่อยตัว และหาข้อยุติในการแบ่งเส้นแดนไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน
พท.ชี้คำพูดรัฐบาลอาจเป็นพยานมัดตัว"พนิช"ติดคุกเขมร
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ถูกกัมพูชาจับกุม ว่า ตนไม่คิดว่าส.ส. ที่เป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเสียทางมวยจนถูกจับ กุม ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้เตือนแล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะเดินทางรุกล้ำเข้าไป ในเขตกัมพูชา เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ยังมีปัญหาคาใจคนในรัฐบาลกัมพูชาอยู่ แต่สถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเพราะนายกษิตยอมรับว่าบุคคลทั้ง 7 ลุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาจริง และยังยอมรับว่ามีคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยทั้งๆ ที่ในทางการทูตหากเจรจาไม่สำเร็จควรจะระบุว่าอยู่ในขั้นตอนการเจรจาจะได้ไม่ เป็นพยานหลักฐานไปเพิ่มน้ำหนักให้ศาลลงโทษได้เต็มที่ ซึ่งคณะกรรมการติดตามการทำงานรัฐบาล (คตร.) ของพรรคเพื่อไทยบางคนยังตกใจที่รัฐมนตรีปากไว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นดินเนื้อเดียวกัน เพราะขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามจะสานสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่ทางหนึ่งกลับสั่งการให้ส.ส.ของพรรคไปดำเนินการบางอย่างร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะทำงานติดตามกรณีความขัดแย้งและความคืบหน้าในการแก้ ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนและเขาพระวิหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยว่า ได้ดำเนินการตามที่เคยโจมตีพรรคเพื่อไทยในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน หรือไม่ ส่วนกรณีการให้ความช่วยเหลือในคดีนี้นั้น พรรคเพื่อไทยแม้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา แต่โดยมารยาทต้องปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือก่อน แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอให้รัฐบาลร้องขอมา พรรคยินดีจะจัดให้ เพื่อให้คนไทยทุกคนโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การกระทำของนายพนิชอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและสุ่มเสี่ยงต่อสมาชิกภาพส.ส.นั้น นายจิรยุกล่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกันและเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.เขต 6 ได้เลย ทั้งนี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทยสัปดาห์นี้พรรคจะหารือถึงกลยุทธ์ การหาเสียง และตัวผู้สมัครด้วยหากกกต.ระบุว่าต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น
ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก
-------------------------------------------------------
- เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กรรมการเครือข่ายฯ ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ กรรมการเครือข่ายฯ นายการุณ ใสงาม ที่ปรึกษาเครือข่ายฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีคนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมาว่า เป็นการนำเสนอพยานบุคคลและเอกสารการครอบครองที่ดินของคนไทยเป็นเอกสาร หนังสือรับรองสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ( นส. 3 ก.) โดยยืนยันว่า คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในพื้นที่เขตแดนไทยในการลงพื้นที่สำรวจตามคำ ร้องเรียนของประชาชนว่า ถูกบุกรุกพื้นที่เขตแดนไทยจากทหารกัมพูชา รมถึงการเดินทางไปยื่นหนังสือกับทางกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประสานการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเครือข่ายได้ชุมนุมเรียกร้องด้วย
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การที่สมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาระบุว่า คนไทย 7 คน หนึ่งในนั้นมีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนรัฐสภา ซึ่งเป็น 1 ใน 30 คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี 3 ฉบับ และ 6 ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป เนื่องจากมีการรุกล้ำดินแดนไม่เป็นความจริง วันนี้เราเจอพยานบุคคล ที่มีเอกสารยืนยันว่า ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาคุมตัวไป เป็นพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย เอกสารที่ประชาชนได้มาก็มีตั้งแต่ยุคนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเสียภาษีให้กับท้องที่ตลอดมา เเละกลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติจะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวให้แกนนำ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติทุกภาค ระดมประชาชนแล้วให้ทุกคนมุ่งไปถนนศรีเพ็ญจ.สระแก้ว และเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 4 ม.ค. 2554 โดยจะมีการรวมตัวเคลื่อนไหวจากบริเวณประตู 4 ข้างทำเนียบ รัฐบาล ในวันที่ 3 ม.ค. 2554 เวลา 12.00 น. แล้วร่วมกันเดินทางไปชุมนุมที่ถนนศรีเพ็ญ จ.สระแก้ว เพื่อร่วมชุมนุมด้วยกันเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 7 คนไทย นอกจากนี้เรายังได้รับรายงานมาแล้วว่า จะมีประชาชนเดินทางไปรอร่วมชุมนุมในพื้นที่แล้วประมาณ 5 พันคน
ด้าน นายการุณ กล่าวว่า เหตุที่คนไทยถูกกุมตัว เพราะมีประชาชนร้องมายังกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และนายกรัฐมนตรีว่า ประชาชนไม่สามารถไปออกโฉนด เอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินทำกิน ทั้งที่เขามีการถือหนังสือรับรองเป็นนส.3ก.หรือประชาชนที่ได้เสียภาษีใน ที่ดินทำกินให้กับรัฐ (ภทบ. 5 ) เป็นเอกสารตั้งแต่ปี 2484 เเละปี 2490 โดยเจ้าหน้าที่รางวัดบอกกับประชาชนว่า ทหารกัมพูชายึดครองพื้นที่ไม่สามารถไปทำการรางวัดออกโฉนดได้ หรือแม้แต่ครั้งที่กัมพูชามีสงคราม 3 ฝ่าย ทางองค์การสหประชาชาติก็เคยได้รับรองหมู่บ้านอพยพชาวเขมรให้กับทางรัฐบาลไทย ดังนั้นเอกสารที่มีอยู่ได้รับการรับรองย่อมเป็นดินแดนของคนไทย
กต.เผย2แนวทางช่วย 7 คนไทยเขมรจับ
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และพวกรวม 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทยโดยเร็ว
นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตได้เตรียมให้ความสะดวกแก่ภรรยาของนายพนิช ที่จะเข้าเยี่ยมนายพนิช ที่เรือนจำไปรซอร์ในวันพรุ่งนี้ ในส่วนการสู้คดีขึ้นอยู่กับทนายความจะปรึกษาหารือกับนายพนิชว่าจะดำเนินการ ต่อไป โดยต้องรอศาลนัดไตร่สวนคดีในวันที่ 4 ม.ค.54 อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการกฎหมายของกัมพูชา
นายธานี กล่าวด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่า เส้นทางที่คณะนายพนิชใช้ได้รุกล้ำในเขตพื้นที่กัมพูชาจริง แต่ไม่ได้เจตนา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทราบต่อไป
มีรายงานว่า แนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมไว้ให้การช่วยเหลือ คือ การเจรจาระดับสูงกับทางการกัมพูชา ควบคุมไปกับการเข้าสู่กับกระบวนการของศาลกัมพูชา ซึ่งสามารถเป็นไปได้ 2 ทาง คือ การยื่นขอประกันตัว หรือการเร่งรัดให้ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด เพื่อขอลดหย่อนผ่อนโทษ โดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นสำคัญ
ฟันธง"พนิช"โดนจำคุกศาลรธน.วินิจฉัยได้
นายคมสัน โพธิคง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีที่หากนายพนิชถูกศาลกัมพูชาพิพากษา ว่า มีความผิดและไม่ได้รับการประกันตัวจะทำให้หมดสมาชิกภาพการเป็นส.ส. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สามารถที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเพิกถอนสมาชิกภาพได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ 106
ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่ารัฐธรรมนูญจำกัดเฉพาะศาลในประเทศไทยนั้น แม้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่เจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้มุ่งไปที่ การป้องกันไม่ให้คนที่มีมลทินมาทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน โดยไม่จำกัดว่าจะเกิดที่ใด เช่น หากส.ส.ไปขโมยของในสหรัฐ แล้วถูกพิพากษาจำคุก หรือเข้าประเทศญี่ปุ่นผิดกฎหมาย ถูกตัดสินจำคุกที่ญีปุ่น ก็ถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายพนิช อาจยกประเด็นการจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นต่อสู้ได้ เพราะจากที่ตรวจสอบนายพนิช ถูกจับในดินแดนของไทย
องอาจยัน 7 คนไทยไม่มีเจตนารุกเขมร
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเร่งช่วยเหลือกลุ่มคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ว่า รัฐบาลพยายามใช้หลายช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา ขณะที่ยืนยันว่า ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาขณะนี้ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งใดที่เป็นปัญหาจะทำความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงเรื่องข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานคณะกรรมการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ตั้งขอสังเกตถึงเจตนาการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว ของกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ที่ขาดการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จนทำให้มีปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ และถูกควบคุมตัวในที่สุด ซึ่งมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากขึ้น แล้ว ยังอาจส่งผลในทางการเมือง โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะ มีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนถึงการปักปันเขตแดนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความล่าช้า ทั้งที่ จ.สระแก้ว หรือพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและในอ่าวไทย
ร้อยละ 89 เชื่อเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ภรรยาของนายพนิช ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อเยี่ยมสามี คาดว่าจะเข้าพบได้วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ให้ช่วยโดยเร็ว
ด้านสวนดุสิตโพล ระบุว่า ร้อยละ 89 เชื่อว่า การจับกุมคนไทยทั้ง 7 คน เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังกังวลว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรจะเร่งเจรจาให้มีการปล่อยตัว และหาข้อยุติในการแบ่งเส้นแดนไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน
พท.ชี้คำพูดรัฐบาลอาจเป็นพยานมัดตัว"พนิช"ติดคุกเขมร
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ถูกกัมพูชาจับกุม ว่า ตนไม่คิดว่าส.ส. ที่เป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเสียทางมวยจนถูกจับ กุม ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้เตือนแล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะเดินทางรุกล้ำเข้าไป ในเขตกัมพูชา เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ยังมีปัญหาคาใจคนในรัฐบาลกัมพูชาอยู่ แต่สถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเพราะนายกษิตยอมรับว่าบุคคลทั้ง 7 ลุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาจริง และยังยอมรับว่ามีคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยทั้งๆ ที่ในทางการทูตหากเจรจาไม่สำเร็จควรจะระบุว่าอยู่ในขั้นตอนการเจรจาจะได้ไม่ เป็นพยานหลักฐานไปเพิ่มน้ำหนักให้ศาลลงโทษได้เต็มที่ ซึ่งคณะกรรมการติดตามการทำงานรัฐบาล (คตร.) ของพรรคเพื่อไทยบางคนยังตกใจที่รัฐมนตรีปากไว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นดินเนื้อเดียวกัน เพราะขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามจะสานสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่ทางหนึ่งกลับสั่งการให้ส.ส.ของพรรคไปดำเนินการบางอย่างร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะทำงานติดตามกรณีความขัดแย้งและความคืบหน้าในการแก้ ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนและเขาพระวิหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยว่า ได้ดำเนินการตามที่เคยโจมตีพรรคเพื่อไทยในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน หรือไม่ ส่วนกรณีการให้ความช่วยเหลือในคดีนี้นั้น พรรคเพื่อไทยแม้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา แต่โดยมารยาทต้องปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือก่อน แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอให้รัฐบาลร้องขอมา พรรคยินดีจะจัดให้ เพื่อให้คนไทยทุกคนโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การกระทำของนายพนิชอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและสุ่มเสี่ยงต่อสมาชิกภาพส.ส.นั้น นายจิรยุกล่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกันและเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.เขต 6 ได้เลย ทั้งนี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทยสัปดาห์นี้พรรคจะหารือถึงกลยุทธ์ การหาเสียง และตัวผู้สมัครด้วยหากกกต.ระบุว่าต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น
ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก
-------------------------------------------------------
ปี 54 รอดยาก
ผ่านพ้นปี 2553 เข้าสู่ปี 2554 เรียบร้อยแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถอนหาย ใจเฮือกใหญ่
คงรู้สึกโล่งอกโล่งใจ เพราะยื้อ "ความรับผิดชอบ" ไปได้ 7-8 เดือน หลังเหตุการณ์สลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน
ทั้งยื้อทั้งซื้อเวลาจนผ่านพ้นปี 2553 ไปจนได้
และอาจมองแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปอีกว่าหากรักษาฟอร์มเดิมแบบนี้ไว้ต่อไปได้
คงจะปัดความรับผิดชอบไปได้อีกหลายเดือน!
อาจยืดเวลายุบสภาและเลือกตั้งออกไปได้อีกหลายเดือนเช่นกัน
แต่นายอภิสิทธิ์อาจคิดผิด
ช่วงเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตเสื้อแดงมาได้แบบฉิวเฉียด
ไม่ใช่เพราะความถูกต้อง แต่เพราะมี "ตัวช่วย"
อาทิ กฎหมายพิเศษเช่นพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นโล่คุ้มกันตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลเป็นอย่างดี
การโยนความผิดให้ "คนชุดดำ" ก็เป็นข้ออ้างที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
เช่นเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตคดียุบพรรคถึง 2 ครั้งติดๆ กัน
ท่ามกลางเสียงนินทา "มือที่มองไม่เห็น" ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่ในปี 2554 นี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
การปัดความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์จะไม่ง่ายดาย
การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ที่รัฐบาลใช้ยืดเยื้อมานาน 8 เดือน) จะเป็นตัวแปรสำคัญ
จับตาวันที่ 9 ม.ค.นี้ให้ดี เพราะเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ความอัดอั้นตันใจในความ 2 มาตรฐานของรัฐบาล
ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่โดนกดขี่ข่มเหงมานาน
ความอยุติธรรมที่คนเสื้อแดงหลายร้อยคนถูกจองจำ ในคุก
ความรู้สึกถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการปรองดอง
คงได้ระบายด้วยการแสดงพลังครั้งใหญ่ ซึ่งคาดกันว่าคนเสื้อแดงคงมากันเยอะมาก
ส่วนเรื่องความรุนแรงคงไม่ต้องเป็นห่วง
ยี่ห้อ 'ธิดา โตจิราการ' รับประกันได้
เพราะเป็นแกนนำที่ยึดแนวพิราบ ไม่ใช่แนวเหยี่ยว
แค่มากันพรึบเต็มราชประสงค์ ก็ทำให้เก้าอี้นายอภิสิทธิ์สั่นคลอนแล้ว
นี่จะเป็นมาตรการกดดันยกแรกของปี 54 ของคนเสื้อแดง
จากนั้นยังมีมาตรการที่ 2 ขย่มรัฐบาลต่อทันที
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศเตรียมเปิดศึกซักฟอกกลางสภาในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้
เอกสารลับคดีเสื้อแดงต่างๆ ที่นายจตุพรเตรียมเปิดโปง
จะเป็นอาวุธสำคัญเล่นงานนายอภิสิทธิ์
ใครกันแน่ฆ่า 6 ศพวัดปทุมฯ ใครกันแน่ฆ่านักข่าวญี่ปุ่น ใครกันแน่ที่เป็นชายชุดดำ
ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์ไม่รับผิดชอบก็คงไม่ได้แล้ว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
**************************************************
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถอนหาย ใจเฮือกใหญ่
คงรู้สึกโล่งอกโล่งใจ เพราะยื้อ "ความรับผิดชอบ" ไปได้ 7-8 เดือน หลังเหตุการณ์สลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน
ทั้งยื้อทั้งซื้อเวลาจนผ่านพ้นปี 2553 ไปจนได้
และอาจมองแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปอีกว่าหากรักษาฟอร์มเดิมแบบนี้ไว้ต่อไปได้
คงจะปัดความรับผิดชอบไปได้อีกหลายเดือน!
อาจยืดเวลายุบสภาและเลือกตั้งออกไปได้อีกหลายเดือนเช่นกัน
แต่นายอภิสิทธิ์อาจคิดผิด
ช่วงเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตเสื้อแดงมาได้แบบฉิวเฉียด
ไม่ใช่เพราะความถูกต้อง แต่เพราะมี "ตัวช่วย"
อาทิ กฎหมายพิเศษเช่นพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นโล่คุ้มกันตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลเป็นอย่างดี
การโยนความผิดให้ "คนชุดดำ" ก็เป็นข้ออ้างที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
เช่นเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตคดียุบพรรคถึง 2 ครั้งติดๆ กัน
ท่ามกลางเสียงนินทา "มือที่มองไม่เห็น" ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่ในปี 2554 นี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
การปัดความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์จะไม่ง่ายดาย
การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ที่รัฐบาลใช้ยืดเยื้อมานาน 8 เดือน) จะเป็นตัวแปรสำคัญ
จับตาวันที่ 9 ม.ค.นี้ให้ดี เพราะเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ความอัดอั้นตันใจในความ 2 มาตรฐานของรัฐบาล
ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่โดนกดขี่ข่มเหงมานาน
ความอยุติธรรมที่คนเสื้อแดงหลายร้อยคนถูกจองจำ ในคุก
ความรู้สึกถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการปรองดอง
คงได้ระบายด้วยการแสดงพลังครั้งใหญ่ ซึ่งคาดกันว่าคนเสื้อแดงคงมากันเยอะมาก
ส่วนเรื่องความรุนแรงคงไม่ต้องเป็นห่วง
ยี่ห้อ 'ธิดา โตจิราการ' รับประกันได้
เพราะเป็นแกนนำที่ยึดแนวพิราบ ไม่ใช่แนวเหยี่ยว
แค่มากันพรึบเต็มราชประสงค์ ก็ทำให้เก้าอี้นายอภิสิทธิ์สั่นคลอนแล้ว
นี่จะเป็นมาตรการกดดันยกแรกของปี 54 ของคนเสื้อแดง
จากนั้นยังมีมาตรการที่ 2 ขย่มรัฐบาลต่อทันที
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศเตรียมเปิดศึกซักฟอกกลางสภาในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้
เอกสารลับคดีเสื้อแดงต่างๆ ที่นายจตุพรเตรียมเปิดโปง
จะเป็นอาวุธสำคัญเล่นงานนายอภิสิทธิ์
ใครกันแน่ฆ่า 6 ศพวัดปทุมฯ ใครกันแน่ฆ่านักข่าวญี่ปุ่น ใครกันแน่ที่เป็นชายชุดดำ
ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์ไม่รับผิดชอบก็คงไม่ได้แล้ว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
**************************************************
วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554
“สุเทพ” ขู่จะคัดค้านยุบสภาหากเสื้อแดงยังเคลื่อนไหวรุนแรง
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มั่นใจปี 2554 กลุ่มเสื้อแดงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว เชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ยังมีอิทธิพลสูงต่อคนเสื้อแดง เตรียมหารือฝ่ายความมั่นคงหาทางรับมือ เตือนอดีตนายกฯ หากยังเคลื่อนไหวรุนแรงจะเสียมวลชน ย้ำหากเคลื่อนไหวจนบ้านเมืองไม่สงบ จะคัดค้านการยุบสภา
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2554 ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อได้พูดคุยกัน รัฐบาลพยายามหยิบยื่นไมตรีให้ และปฏิบัติในแนวทางที่ทำให้คนเสื้อแดงผ่อนคลายลงได้ เช่น กำหนดวันเวลาที่จะเลือกตั้งใหม่ชัดเจนมากขึ้น ในเมื่อคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลก็ได้กำหนดวันเวลาในการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจะไปดิ้นรนเคลื่อนไหวให้วุ่นวายเพื่ออะไร กลุ่มคนเสื้อแดงควรเตรียมตัวใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่อสู้ในสนามเลือกตั้งจะดีกว่า ถ้าเคลื่อนไหวมาก ๆ ตัวเองก็จะเสียคะแนน และทำให้พรรคเพื่อไทยคะแนนตกไปด้วย จึงคิดว่าควรจะเพลา ๆ การเคลื่อนไหวลงบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการฝากเตือนไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เตรียมจะเคลื่อนไหวในวันที่ 25 ม.ค. 2554 นี้ด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าเตือนใคร แต่หากใครจะเคลื่อนไหวขอให้คิดถึงประเทศชาติ ส่วนรวมและประชาชนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่า ประชาชนคงระอาและไม่ต้องการเห็น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเคลื่อนไหวก็ตาม
“ผมคิดว่า คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังมีอิทธิพลที่จะสั่งการให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความสำคัญอยู่มาก เรียกได้ว่า เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดเลย ก็ว่าได้ ผมจะปรึกษาหารือกันในฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลจะเตรียมรับมืออย่างไร หน้าที่ของเรา คือ ดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนจะดำเนินมาตรการอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และจะกราบเรียนประชาชนให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สื่อมวลชนก็จะได้เห็นอย่างใกล้ชิดทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมาแล้ว” นายสุเทพ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ติดต่อหรือไปเจรจาด้วย เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับบรรดาบริวารจะต้องพูดคุยกันเอง ซึ่งน่าจะตระหนักได้ว่า หากมีอะไรที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเสียหาย จะเป็นผลลบต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตนเองมากขึ้น ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งอย่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
“ถ้ายังมีความเคลื่อนไหวรุนแรง และเกิดความวุ่นวาย นายกรัฐมนตรีไปที่ไหนยังมีตีนตบไล่อยู่ตลอดเวลา และมีการขว้างข้าวของต่าง ๆ ผมก็จะคัดค้านไม่ให้ยุบสภา” นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจะเคลื่อนขบวนไปตามที่ต่างๆ กังวลจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่คิดอะไรในทางร้าย หากคนเสื้อแดงเคลื่อนไหว แกนนำก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2554 ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อได้พูดคุยกัน รัฐบาลพยายามหยิบยื่นไมตรีให้ และปฏิบัติในแนวทางที่ทำให้คนเสื้อแดงผ่อนคลายลงได้ เช่น กำหนดวันเวลาที่จะเลือกตั้งใหม่ชัดเจนมากขึ้น ในเมื่อคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลก็ได้กำหนดวันเวลาในการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจะไปดิ้นรนเคลื่อนไหวให้วุ่นวายเพื่ออะไร กลุ่มคนเสื้อแดงควรเตรียมตัวใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่อสู้ในสนามเลือกตั้งจะดีกว่า ถ้าเคลื่อนไหวมาก ๆ ตัวเองก็จะเสียคะแนน และทำให้พรรคเพื่อไทยคะแนนตกไปด้วย จึงคิดว่าควรจะเพลา ๆ การเคลื่อนไหวลงบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการฝากเตือนไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เตรียมจะเคลื่อนไหวในวันที่ 25 ม.ค. 2554 นี้ด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าเตือนใคร แต่หากใครจะเคลื่อนไหวขอให้คิดถึงประเทศชาติ ส่วนรวมและประชาชนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่า ประชาชนคงระอาและไม่ต้องการเห็น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเคลื่อนไหวก็ตาม
“ผมคิดว่า คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังมีอิทธิพลที่จะสั่งการให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความสำคัญอยู่มาก เรียกได้ว่า เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดเลย ก็ว่าได้ ผมจะปรึกษาหารือกันในฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลจะเตรียมรับมืออย่างไร หน้าที่ของเรา คือ ดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนจะดำเนินมาตรการอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และจะกราบเรียนประชาชนให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สื่อมวลชนก็จะได้เห็นอย่างใกล้ชิดทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมาแล้ว” นายสุเทพ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ติดต่อหรือไปเจรจาด้วย เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับบรรดาบริวารจะต้องพูดคุยกันเอง ซึ่งน่าจะตระหนักได้ว่า หากมีอะไรที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเสียหาย จะเป็นผลลบต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตนเองมากขึ้น ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งอย่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
“ถ้ายังมีความเคลื่อนไหวรุนแรง และเกิดความวุ่นวาย นายกรัฐมนตรีไปที่ไหนยังมีตีนตบไล่อยู่ตลอดเวลา และมีการขว้างข้าวของต่าง ๆ ผมก็จะคัดค้านไม่ให้ยุบสภา” นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจะเคลื่อนขบวนไปตามที่ต่างๆ กังวลจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่คิดอะไรในทางร้าย หากคนเสื้อแดงเคลื่อนไหว แกนนำก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เผย'แพรวา'รับทราบข้อหา5ม.ค.ส่งสถานพินิจฯ
รองบก.จร.ทางด่วน เผยถ้าโจ๋สาวซิ่ง9ศพเข้าพบตามหมายเรียก จะส่งกักตัวสถานพินิจฯ มีสิทธิยื่นประกันตัว รอสอบพ่อแม่มีความผิดหรือไม่
พ.ต.ท.พิทักษ์ นิยมพฤกษ์ รอง ผกก. งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นางสาวอายุ 17 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค ชนกับรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ มีผู้เสียชีวิต 9 คน และผู้บาดเจ็บอีก 7 คน เมื่อกลางดึกวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกให้ น.ส.แพรวา มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 5 ม.ค.
ทั้งนี้ ตามขั้นตอน วันที่ 5 ที่จะถึง หากน.ส.แพรวา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังอายุไปถึง 18 ปี จึงไม่มีการคุมขัง หลังจากนั้นก็จะนำตัว น.ส.แพรวา ส่งไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนญาติจะประกันตัวจะต้องประสานติดต่อไปยังสถานพินิจฯ ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.แพรวา จะถูกแจ้งข้อหาด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้บาดเจ็บที่ร.พ.วิภาวดี อาการเริ่มดีขึ้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมโจมตี น.ส.แพรวาทางสังคมไซเบอร์อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งเมื่อวานนี้(31 ธ.ค.) ทางน.ส.แพรวาพร้อมครอบครัวได้เดินทางมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ซึ่งทั้งหมดพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.วิภาวดี 5 คน
โดยช่วงเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ม.ค. นายวิศรุท พลสิทธิ์ ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลช่วงบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยนายสุนทร ปิดตาทานัง อายุ 40 ปี บาดแผลเริ่มตกสะเก็ด แผลผ่าตัดที่ไหล่ซ้ายดีขึ้น แพทย์ยังให้พักรักษาตัวเนื่องจากยังต้องรอดูแผลจากรอยเย็บที่ศีรษะ
น.ส.กัญจณ์นภัส ปัญญาประเสริฐ อายุ 23 ปี แพทย์ให้พักรักษาตัวอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มให้ทำกายภาพบำบัดและหัดเดิน ขณะนี้ยังต้องเข้าเฝือกที่ขาข้างขวา ส่วนบาดแผลอื่น ๆ ตามร่างเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
ขณะที่นายวรัญญู เกตุชู อายุ 20 ปี เบื้องต้นประมาณ 2-3 วัน แพทย์จะลองให้หัดเดินและเปลี่ยนเฝือกที่เข่าข้างซ้าย ขณะที่ไหปลาร้ายข้างซ้ายที่หักยังต้องให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิดยังไม่มีกำหนดออก
ด้านนายโมฮัมเหม็ด ซาคีป อายุ31 ปี ชาวมัลดีฟส์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว เบื้องต้นแพทย์ได้ดึงกระดูกที่ขาขวาซึ่งซ้อนทับกันให้กลับมาปกติแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้ปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บที่ขาและหัวเข่าข้างซ้ายต้องใช้ไม้ค้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 25 วันถึงจะสามารถกลับมาเดินเป็นปกติได้
นายโมฮัมเหม็ด กล่าวว่า เป็นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ชั้นปีที่สอง ซึ่งเป็นปีสุดท้ายและกำลังจะจบการศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วันเกิดเหตุขึ้นรถตู้ที่ ม.ธรรมศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้กัน เพื่อจะไปลงที่หมอชิตและนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่เทเวศฺร์ แต่เกิดอุบัติเหตุก่อน เมื่อพี่ชายทราบข่าวก็เดินทางมาจากประเทศมัลดีฟส์ทันที
นายโมฮัมเหม็ดกล่าวต่ออีกว่า เมื่อวานนี้ น.ส.แพรวา มาเยี่ยมและกล่าวขอโทษ ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงคนไทยว่า ทุกครั้งที่มีเทศกาลมักจะเกิดอุบัติเหตุตลอด เพราะว่าคนไทยชอบดื่มสุราและขับรถ ไม่อยากให้ทำ ทั้งนี้เวลาขับรถบนท้องถนนควรจะมีสมาธิ จะได้ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------------------
พ.ต.ท.พิทักษ์ นิยมพฤกษ์ รอง ผกก. งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นางสาวอายุ 17 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค ชนกับรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ มีผู้เสียชีวิต 9 คน และผู้บาดเจ็บอีก 7 คน เมื่อกลางดึกวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกให้ น.ส.แพรวา มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 5 ม.ค.
ทั้งนี้ ตามขั้นตอน วันที่ 5 ที่จะถึง หากน.ส.แพรวา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังอายุไปถึง 18 ปี จึงไม่มีการคุมขัง หลังจากนั้นก็จะนำตัว น.ส.แพรวา ส่งไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนญาติจะประกันตัวจะต้องประสานติดต่อไปยังสถานพินิจฯ ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.แพรวา จะถูกแจ้งข้อหาด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้บาดเจ็บที่ร.พ.วิภาวดี อาการเริ่มดีขึ้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมโจมตี น.ส.แพรวาทางสังคมไซเบอร์อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งเมื่อวานนี้(31 ธ.ค.) ทางน.ส.แพรวาพร้อมครอบครัวได้เดินทางมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ซึ่งทั้งหมดพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.วิภาวดี 5 คน
โดยช่วงเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ม.ค. นายวิศรุท พลสิทธิ์ ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลช่วงบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยนายสุนทร ปิดตาทานัง อายุ 40 ปี บาดแผลเริ่มตกสะเก็ด แผลผ่าตัดที่ไหล่ซ้ายดีขึ้น แพทย์ยังให้พักรักษาตัวเนื่องจากยังต้องรอดูแผลจากรอยเย็บที่ศีรษะ
น.ส.กัญจณ์นภัส ปัญญาประเสริฐ อายุ 23 ปี แพทย์ให้พักรักษาตัวอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มให้ทำกายภาพบำบัดและหัดเดิน ขณะนี้ยังต้องเข้าเฝือกที่ขาข้างขวา ส่วนบาดแผลอื่น ๆ ตามร่างเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
ขณะที่นายวรัญญู เกตุชู อายุ 20 ปี เบื้องต้นประมาณ 2-3 วัน แพทย์จะลองให้หัดเดินและเปลี่ยนเฝือกที่เข่าข้างซ้าย ขณะที่ไหปลาร้ายข้างซ้ายที่หักยังต้องให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิดยังไม่มีกำหนดออก
ด้านนายโมฮัมเหม็ด ซาคีป อายุ31 ปี ชาวมัลดีฟส์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว เบื้องต้นแพทย์ได้ดึงกระดูกที่ขาขวาซึ่งซ้อนทับกันให้กลับมาปกติแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้ปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บที่ขาและหัวเข่าข้างซ้ายต้องใช้ไม้ค้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 25 วันถึงจะสามารถกลับมาเดินเป็นปกติได้
นายโมฮัมเหม็ด กล่าวว่า เป็นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ชั้นปีที่สอง ซึ่งเป็นปีสุดท้ายและกำลังจะจบการศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วันเกิดเหตุขึ้นรถตู้ที่ ม.ธรรมศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้กัน เพื่อจะไปลงที่หมอชิตและนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่เทเวศฺร์ แต่เกิดอุบัติเหตุก่อน เมื่อพี่ชายทราบข่าวก็เดินทางมาจากประเทศมัลดีฟส์ทันที
นายโมฮัมเหม็ดกล่าวต่ออีกว่า เมื่อวานนี้ น.ส.แพรวา มาเยี่ยมและกล่าวขอโทษ ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงคนไทยว่า ทุกครั้งที่มีเทศกาลมักจะเกิดอุบัติเหตุตลอด เพราะว่าคนไทยชอบดื่มสุราและขับรถ ไม่อยากให้ทำ ทั้งนี้เวลาขับรถบนท้องถนนควรจะมีสมาธิ จะได้ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------------------
(ดับ)ฝัน'มิ่งขวัญ'ผู้นำเพื่อไทย แค่'เกมลวง-เป้าล่อ'
โดย : นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์
"มิ่งขวัญ"ถูกชูขึ้นเป็นแคนดิเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังส.ส.กลุ่มหนึ่งเดินทางไปพบ"ทักษิณ"ที่ดูไบ แต่เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯไม่ง่ายอย่างที่คิด
ตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นจุดอ่อนสำหรับ "พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" มาโดยตลอด นับจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบและพ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เพราะไม่ว่าจะมีการตั้งพรรคใหม่มาแทน ทั้ง"พลังประชาชน" ที่ถูกยุบซ้ำ กระทั่งตั้ง"เพื่อไทย"เป็นพรรคล่าสุด ใครที่ถูกดันขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ก็ไม่พ้นถูกยัดข้อหาว่าเป็น "นอมินีทักษิณ"
สภาพที่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนนอก "ดี เด่น ดัง" ที่เคยถูกทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นระยะ ไม่กล้าเสี่ยง ที่สำคัญ "เงา"และบารมี "ทักษิณ" ที่ยังคงอยู่ ก็เหมือนเป็นหัวหน้าพรรคและเจ้าของพรรคตัวจริง
ล่าสุด "ทักษิณ" ได้กำหนดสเปกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกผ่านคณะ ส.ส.ที่บินไปดูไบ เพื่อให้เป็นแนวทางในการสรรหาคือ 1. ภาพลักษณ์ดี มุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ ต้องเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ สามารถออกนโยบายที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ 2. ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.และประชาชน 3. หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ สเปกผู้นำ ที่ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการ สะท้อนผ่านคำอธิบายของ "สุพล ฟองงาม" เลขาธิการพรรค กลับไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของทักษิณ เพราะพวกเขาต้องการ "ผู้นำพรรคที่ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในการหาเสียง"
ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรค ที่ส.ส.อยากเห็น คือ "ก้าวข้ามทักษิณ" เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืน อย่างที่"สุพล" อธิบายถึงทิศทางพรรค 3 ประเด็นที่ต้องชัดเจนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ "ผู้นำ-ทุน-นโยบาย" คือ ผู้นำ-ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกฯ ในการหาเสียง ทุน-ต้องหลายเถ้าแก่ เพื่อขยายฐาน และนโยบายต้องไม่เน้นขายฝันหาเสียงมากเกินไป
ที่ผ่านมาแกนนำและ ส.ส.เพื่อไทย จำนวนไม่น้อยในเพื่อไทย พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ให้เดินหน้าไปได้ด้วยการขายนโยบาย ไม่ใช่ขาย"ทักษิณ"ตลอดไป เพราะนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูก ตามล้าง ตามเช็ด อำนาจทักษิณ พวกเขาจึงใช้วิธีแก้ทาง เพื่อหนีภัย"ยุบพรรค" ด้วยการลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลง และนำคนนอกเข้ามาเป็นนอมินีแทน ส.ส.เพื่อเพลย์เซฟ รวมทั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่หาคนมา "ขัดตาทัพ" ซึ่งทั้ง สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคปัจจุบัน ก็มีที่มาจากเหตุที่ว่านี้
มาถึงวันนี้ การเมืองกำลังตั้งกระดานใหม่ เข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่ นักเลือกตั้ง จึงต้องหาจุดขาย ทั้งนโยบาย ทั้งผู้นำ ที่จะเสนอชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่ เห็นชัดแล้วว่า การชูประเด็น "เอาทักษิณกลับมา" อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรค ใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ส.ส.กลุ่มที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลง จึงรวมตัวและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อเลือกผู้นำพรรค ที่จะชูเป็นว่าที่นายกฯ เพื่อเป็นจุดขายในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างจริงจัง "สุพล" จึงได้ก้าวออกมานำหน้า ส.ส.อีสาน เพื่อสนับสนุน "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" อดีตรองหัวหน้าพรรค และทีมเศรษฐกิจของพรรค ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการดูแล ส.ส.ของมิ่งขวัญ เป็นรายเดือน ตกเดือนละ 18 ล้านบาท
เวลานี้ ชื่อ "มิ่งขวัญ" จึงถูกชูขึ้นมาโดดเด่นกว่าแคนดิเดทรายอื่น และดูมี "มูลค่า" ขึ้น เมื่อ ส.ส.หลายกลุ่ม เดินทางไปขออนุญาตจากทักษิณ ถึงดูไบ และทักษิณ ก็เล่น "ตามน้ำ" เพียงแต่มีเงื่อนไข (บีบ)ให้ มิ่งขวัญทำงานเพื่อพรรค ไม่ใช่ลอยตัวอย่างที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นที่มาที่ทักษิณให้มิ่งขวัญ พิสูจน์ฝีมือและการนำ ในเวทีซักฟอกรัฐบาลในครั้งหน้า ก่อนจะพิจารณาคุณสมบัติ
ทว่า เส้นทางสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี ของมิ่งขวัญ ที่เคยบอกใครต่อใครหลายวงการถึงโอกาสดีของเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ประกาศเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้คู่แข่งสกัดทันที มีการปล่อยชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นมาหวังดับกระแส หรือแม้แต่ ปล่อยชื่อ คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นมาสัมทับอีกชั้น เพื่อสร้างกระแสให้สับสน
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรคของส.ส.ที่ไม่ต้องการวิ่งชนกำแพงอย่างที่ทักษิณทำมา แต่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการผู้นำตัวจริง ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ควรจะเป็น และพวกเขาก็ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังแล้ว เพียงแต่จะต้องฝ่ากระแสต้าน และทนแรงเสียดทานไปให้ได้ โดยเฉพาะ "เกมบนดิน-ใต้ดิน" ของ "ขาใหญ่"ในพรรค ที่กำลังแกะรอยเส้นทางเงิน ที่มิ่งขวัญนำมาสนับสนุนส.ส. โดยตั้งข้อสงสัยไปใหญ่โตถึงขนาดว่า มิ่งขวัญถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยรับเงินพรรคการเมืองอื่น มาทำลายพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ขณะที่อีกสมมติฐาน ในหมู่ส.ส.เพื่อไทย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดันมิ่งขวัญ อาจจะเป็น "แผนซ้อนแผน" ของ"นายใหญ่และนายหญิง" ที่ใช้มิ่งขวัญเดินเกมบางอย่างหรือไม่ เพราะวงในเพื่อไทยบางส่วน คาดว่า "ทุน" ที่มิ่งขวัญจัดให้ส.ส.รายเดือน อาจมาจาก"นายหญิง" หรือ "เครือญาติชินวัตร"(ที่เงียบผิดปกติ) นี่เอง ...และยิ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติเหตุการณ์ เมื่อค่ำวันที่ 28 ธ.ค.ระหว่างงานเลี้ยงสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่จู่ๆ "คุณหญิงพจมาน" ก็มาร่วมงานและเชิญมิ่งขวัญเข้าพบ
จะว่าไปแล้ว ความจริงอีกด้าน ที่ระดับคีย์แมนพรรค ใกล้ชิดทักษิณ รู้ดีว่า ทักษิณไม่ได้ให้ราคามิ่งขวัญ ขนาดนั้น เนื่องจากที่ผ่านมา มิ่งขวัญแทบไม่เคย "สู้เพื่อพรรค" นอกจากร้องขอ ซึ่งดูจากโจทย์ที่ทักษิณ กำหนดให้มิ่งขวัญ ทำงานใหญ่ นำตรวจสอบรัฐบาล ก็ยิ่งชัดเจน เพราะงานนี้ มิ่งขวัญ จะต้องโชว์เดี่ยว(และอาจตายเดี่ยว) ด้านเศรษฐกิจอย่างที่เจ้าตัวเคยโฆษณาสรรพคุณ
ฉะนั้น ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือว่าที่นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ ชื่อชั้น ฝีมือระดับมิ่งขวัญ ยังยากที่จะนำส.ส.เพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญทิศทางเพื่อไทยวันนี้ ก็ยังมุ่งขายความสำเร็จที่ทักษิณได้ทำมา และรอนโยบายที่ทักษิณจะส่งมา"ต่อยอด" ... แค่นี้ ก็น่าจะชัดแล้ว ส.ส.เพื่อไทย คงบีบทักษิณไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อยังต้องพึ่งพิงทักษิณแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น สัญญาณไฟเขียวให้มิ่งขวัญพิสูจน์ตัวเองในการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี คงเป็นเพียง "เกมลวง-เป้าล่อ"! กว่าจะถึงเวลาที่ทักษิณเปิด "ตัวจริง" มิ่งขวัญ ก็คงถูกรุมยำจนเละ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"มิ่งขวัญ"ถูกชูขึ้นเป็นแคนดิเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังส.ส.กลุ่มหนึ่งเดินทางไปพบ"ทักษิณ"ที่ดูไบ แต่เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯไม่ง่ายอย่างที่คิด
ตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นจุดอ่อนสำหรับ "พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" มาโดยตลอด นับจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบและพ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เพราะไม่ว่าจะมีการตั้งพรรคใหม่มาแทน ทั้ง"พลังประชาชน" ที่ถูกยุบซ้ำ กระทั่งตั้ง"เพื่อไทย"เป็นพรรคล่าสุด ใครที่ถูกดันขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ก็ไม่พ้นถูกยัดข้อหาว่าเป็น "นอมินีทักษิณ"
สภาพที่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนนอก "ดี เด่น ดัง" ที่เคยถูกทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นระยะ ไม่กล้าเสี่ยง ที่สำคัญ "เงา"และบารมี "ทักษิณ" ที่ยังคงอยู่ ก็เหมือนเป็นหัวหน้าพรรคและเจ้าของพรรคตัวจริง
ล่าสุด "ทักษิณ" ได้กำหนดสเปกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกผ่านคณะ ส.ส.ที่บินไปดูไบ เพื่อให้เป็นแนวทางในการสรรหาคือ 1. ภาพลักษณ์ดี มุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ ต้องเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ สามารถออกนโยบายที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ 2. ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.และประชาชน 3. หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ สเปกผู้นำ ที่ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการ สะท้อนผ่านคำอธิบายของ "สุพล ฟองงาม" เลขาธิการพรรค กลับไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของทักษิณ เพราะพวกเขาต้องการ "ผู้นำพรรคที่ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในการหาเสียง"
ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรค ที่ส.ส.อยากเห็น คือ "ก้าวข้ามทักษิณ" เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืน อย่างที่"สุพล" อธิบายถึงทิศทางพรรค 3 ประเด็นที่ต้องชัดเจนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ "ผู้นำ-ทุน-นโยบาย" คือ ผู้นำ-ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกฯ ในการหาเสียง ทุน-ต้องหลายเถ้าแก่ เพื่อขยายฐาน และนโยบายต้องไม่เน้นขายฝันหาเสียงมากเกินไป
ที่ผ่านมาแกนนำและ ส.ส.เพื่อไทย จำนวนไม่น้อยในเพื่อไทย พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ให้เดินหน้าไปได้ด้วยการขายนโยบาย ไม่ใช่ขาย"ทักษิณ"ตลอดไป เพราะนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูก ตามล้าง ตามเช็ด อำนาจทักษิณ พวกเขาจึงใช้วิธีแก้ทาง เพื่อหนีภัย"ยุบพรรค" ด้วยการลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลง และนำคนนอกเข้ามาเป็นนอมินีแทน ส.ส.เพื่อเพลย์เซฟ รวมทั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่หาคนมา "ขัดตาทัพ" ซึ่งทั้ง สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคปัจจุบัน ก็มีที่มาจากเหตุที่ว่านี้
มาถึงวันนี้ การเมืองกำลังตั้งกระดานใหม่ เข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่ นักเลือกตั้ง จึงต้องหาจุดขาย ทั้งนโยบาย ทั้งผู้นำ ที่จะเสนอชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่ เห็นชัดแล้วว่า การชูประเด็น "เอาทักษิณกลับมา" อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรค ใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ส.ส.กลุ่มที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลง จึงรวมตัวและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อเลือกผู้นำพรรค ที่จะชูเป็นว่าที่นายกฯ เพื่อเป็นจุดขายในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างจริงจัง "สุพล" จึงได้ก้าวออกมานำหน้า ส.ส.อีสาน เพื่อสนับสนุน "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" อดีตรองหัวหน้าพรรค และทีมเศรษฐกิจของพรรค ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการดูแล ส.ส.ของมิ่งขวัญ เป็นรายเดือน ตกเดือนละ 18 ล้านบาท
เวลานี้ ชื่อ "มิ่งขวัญ" จึงถูกชูขึ้นมาโดดเด่นกว่าแคนดิเดทรายอื่น และดูมี "มูลค่า" ขึ้น เมื่อ ส.ส.หลายกลุ่ม เดินทางไปขออนุญาตจากทักษิณ ถึงดูไบ และทักษิณ ก็เล่น "ตามน้ำ" เพียงแต่มีเงื่อนไข (บีบ)ให้ มิ่งขวัญทำงานเพื่อพรรค ไม่ใช่ลอยตัวอย่างที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นที่มาที่ทักษิณให้มิ่งขวัญ พิสูจน์ฝีมือและการนำ ในเวทีซักฟอกรัฐบาลในครั้งหน้า ก่อนจะพิจารณาคุณสมบัติ
ทว่า เส้นทางสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี ของมิ่งขวัญ ที่เคยบอกใครต่อใครหลายวงการถึงโอกาสดีของเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ประกาศเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้คู่แข่งสกัดทันที มีการปล่อยชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นมาหวังดับกระแส หรือแม้แต่ ปล่อยชื่อ คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นมาสัมทับอีกชั้น เพื่อสร้างกระแสให้สับสน
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรคของส.ส.ที่ไม่ต้องการวิ่งชนกำแพงอย่างที่ทักษิณทำมา แต่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการผู้นำตัวจริง ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ควรจะเป็น และพวกเขาก็ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังแล้ว เพียงแต่จะต้องฝ่ากระแสต้าน และทนแรงเสียดทานไปให้ได้ โดยเฉพาะ "เกมบนดิน-ใต้ดิน" ของ "ขาใหญ่"ในพรรค ที่กำลังแกะรอยเส้นทางเงิน ที่มิ่งขวัญนำมาสนับสนุนส.ส. โดยตั้งข้อสงสัยไปใหญ่โตถึงขนาดว่า มิ่งขวัญถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยรับเงินพรรคการเมืองอื่น มาทำลายพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ขณะที่อีกสมมติฐาน ในหมู่ส.ส.เพื่อไทย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดันมิ่งขวัญ อาจจะเป็น "แผนซ้อนแผน" ของ"นายใหญ่และนายหญิง" ที่ใช้มิ่งขวัญเดินเกมบางอย่างหรือไม่ เพราะวงในเพื่อไทยบางส่วน คาดว่า "ทุน" ที่มิ่งขวัญจัดให้ส.ส.รายเดือน อาจมาจาก"นายหญิง" หรือ "เครือญาติชินวัตร"(ที่เงียบผิดปกติ) นี่เอง ...และยิ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติเหตุการณ์ เมื่อค่ำวันที่ 28 ธ.ค.ระหว่างงานเลี้ยงสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่จู่ๆ "คุณหญิงพจมาน" ก็มาร่วมงานและเชิญมิ่งขวัญเข้าพบ
จะว่าไปแล้ว ความจริงอีกด้าน ที่ระดับคีย์แมนพรรค ใกล้ชิดทักษิณ รู้ดีว่า ทักษิณไม่ได้ให้ราคามิ่งขวัญ ขนาดนั้น เนื่องจากที่ผ่านมา มิ่งขวัญแทบไม่เคย "สู้เพื่อพรรค" นอกจากร้องขอ ซึ่งดูจากโจทย์ที่ทักษิณ กำหนดให้มิ่งขวัญ ทำงานใหญ่ นำตรวจสอบรัฐบาล ก็ยิ่งชัดเจน เพราะงานนี้ มิ่งขวัญ จะต้องโชว์เดี่ยว(และอาจตายเดี่ยว) ด้านเศรษฐกิจอย่างที่เจ้าตัวเคยโฆษณาสรรพคุณ
ฉะนั้น ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือว่าที่นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ ชื่อชั้น ฝีมือระดับมิ่งขวัญ ยังยากที่จะนำส.ส.เพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญทิศทางเพื่อไทยวันนี้ ก็ยังมุ่งขายความสำเร็จที่ทักษิณได้ทำมา และรอนโยบายที่ทักษิณจะส่งมา"ต่อยอด" ... แค่นี้ ก็น่าจะชัดแล้ว ส.ส.เพื่อไทย คงบีบทักษิณไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อยังต้องพึ่งพิงทักษิณแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น สัญญาณไฟเขียวให้มิ่งขวัญพิสูจน์ตัวเองในการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี คงเป็นเพียง "เกมลวง-เป้าล่อ"! กว่าจะถึงเวลาที่ทักษิณเปิด "ตัวจริง" มิ่งขวัญ ก็คงถูกรุมยำจนเละ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)