--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ซื้ออนาคตหรือ!!??


“กำลังจะเดินทางไปสู้ความสิ้นสุด หรือกำลังจะเดินทางไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า” คือรัฐบาลชุดปัจจุบันของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะหนทางที่กำลังเดินวันนี้ยังคาดการอะไรข้างหน้าไม่ได้ทั้งนั้น... มด คันไฟ ให้สังเกตอากัปกิริยาทางการเมือง ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ากำลังก้าวเดินไปสู่จุดหมายอะไร....ที่ยังเดาไม่ได้เวลานี้คือ มือที่มองไม่เห็นจะยังช่วยประคับประคองหรือไล่ส่ง คงจะบอกได้เมื่อวารสุดท้ายมาถึงจริงๆ...0

มด คันไฟ แปลกใจเหมือนที่หลายคนคิดว่า อากัปกิริยาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับคนที่มั่นใจว่าซื้ออนาคตข้างหน้าไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงวันหน้าคงจะไม่มีวันกลับหลังหัน...ทั้งหมดเป็นเรื่องเดาใจ และเดาอนาคตจากคนข้างนอกมองเข้าไปที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ยังไม่มีใครรู้จริงว่า ตัวตนของอภิสิทธิ์ คิดอย่างไร?...0

หลังสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังกล้าออกมาท้าทายมวลชนคนไทยทั้งหลายว่า "ถ้าเห็นว่า สส. ชุดนี้ไม่สมควรได้เงินเดือนใหม่ก็อย่าเลือกเข้ามา เปลี่ยนใหม่หมดทั้งสภาเลย เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะทำได้" ใครบ้างจะรับคำท้า อีกไม่ช้าก็รู้ครับ...เรื่องการขึ้นเงินเดือนที่รัฐบาลเดินหน้าทำไปแล้วนั่น มด คันไฟ ไม่ได้คัดค้าน แต่เสียดายที่ไม่มีวิธีคิด และวิธีทำที่สมบูรณ์กว่านั้น ก็คือ ควรทำให้ครบทั้งระบบ ไม่เฉพราะแต่เงินเดือนข้าราชการ สส. สว. เท่านั้น...0

การคิด และการทำ ให้ครอบคลุมทั้งระบบคือ ต้องพิจารณาทั้งระบบของคนที่จะได้ส่วนใหญ่ของประเทศด้วย เช่น ชาวไร่ชาวนา ค่าประกันราคาข้าว ผู้ใช้แรงงานเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ฯลฯ ถ้าหากให้สภาพัฒน์ฯ ซึ่งรู้แผน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าไปคิดให้ครอบคลุม จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์ทั่วหน้ามากกว่านี้และประชาชนจะสรรเสริญเยินยอกันจนไม่ต้องหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปเลย เพียงแต่พวกท่านไม่ได้คิด และพวกท่านไม่ได้ทำ เท่านั้นแหละ มด คันไฟ พูดเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่จะได้ครอบคลุมมากกว่า และจะเป็นการแก้ปัญหาถาวรอีกด้วยนะครับ...0

เมืองไทยดังทางลบอีกแล้ว เมื่อนิตยสารไทม์สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่แห่งปี 2553 ประเทศไทยได้รับเกียรติอันไม่อยากจะได้คือ ติดอันดับ 10 เรื่องการชุมนุมประท้วงทางการเมืองและสลายม็อบเสื้อแดง...ดังพอๆ กัน แต่ดังในทางดีนะครับ คือ นางอองซานซูจี ที่มีหลายคนยกตัวอย่างให้เป็นนักโทษทางความคิด หรือ PRISONER OF CONSCIENCE วันนี้เธอยังเป็นหนามยอกอกที่เอาออกไม่ได้ของรัฐบาลทหารพม่า...0

อีกเรื่องที่น่าพูดถึงคือ เรื่องจุดเปลี่ยนประชาคมอาเซียน หรือ ASEAN CONNECTIVITY คือแผนแม่บทที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและการเชื่อมโยงในระดับประชาชน...นี่คือ เรื่องที่ยังมีความหวังที่ดีของประเทศไทยในฐานะหนึ่งในสหภาพอาเซียน...0

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************

The Social Network กับความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของสังคม

อนรรฆ พิทักษ์ธานิน
นักวิชาการอิสระ

เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 17 ธันวาคม 2553

เมื่อต้นเดือนธันวาคม มีภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งได้เข้าฉายในบ้านเรา นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” ที่มีเนื้อหาเกือบทั้งหมดอิงอยู่กับเรื่องราว “ชีวิตจริง” ของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง “FACEBOOK”

เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธนะครับว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา facebook เป็นเวบไซด์อันหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงและความสนใจมากที่สุดทั้งในสังคมไทย และอาจรวมถึงสังคมจำนวนมากในโลก โดยประเด็นการพูดถึงเจ้า facebook นี้ดูจะมีตั้งแต่เรื่องส่วนตัวหรือการ “gossip” เนื้อหาสาระที่ปรากฏในหน้าเวบไซด์อันมีลักษณะเป็น “Social Network” จนถึงประเด็นผลกระทบที่ facebook มีแต่สภาพความสัมพันธ์ในสังคม ดังจะเห็นได้จากเมื่อไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ข้อมูลที่ว่า (การใช้) facebook เป็นต้นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่าร้างในสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีรายงานจำนวนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและเวลาการใช้ facebook ของคนชาติต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมของแต่ละชาติ

ในมุมหนึ่งของข้อมูลที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ นั้นจึงดูราวกับว่า facebook เป็นต้นเหตุอันหนึ่งที่อาจทำให้เกิดปัญหาสังคม ครอบครัว รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากการใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ไปกับการเล่น facebook อันไม่เกิดประโยชน์แห่งการผลิตทางเศรษฐกิจ จนทำให้หลายบริษัทมีกฎหรือวางมาตรการห้ามพนักงานเล่น facebook ในเวลาทำงานกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนให้ท่านทั้งหลายหันมามอง facebook ในอีกมุมมองหนึ่ง อันอาจมิใช่การตัดสินว่าดี/ไม่ดี มี/ไม่มีประโยชน์ หรือถูก/ผิด หากแต่เป็นการมองในแง่ของส่วนหนึ่งแห่ง “ยุคสมัย” หรือในฐานะ “เทคโนโลยี” อันหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ในสังคม “จริง” เฉกเช่นเดียวกับ แบบแผนทางเศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถยนต์ ไฟฟ้า นาฬิกา หรือโทรทัศน์ ที่ต่างล้วนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม และประสบกับแรงต้านมากบ้างน้อยบ้างมาแล้วทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมที่สำคัญอันเนื่องมาจากการปรากฏตัวของ facebook หรือเวบไซด์จำพวก Social Network ก็คือการเปิดพื้นที่ทางสังคมแบบใหม่ขึ้น (อย่างที่หลายคนคงทราบกันดี) บนโลกออนไลน์หรือโลกเสมือนจริง โดยการพัฒนาเทคโนโลยีตลอด 10 ปีแห่งยุคอินเตอร์เน็ตดูจะทำให้ facebook สามารถกระทำการไม่แต่เพียงการตอบโต้ระหว่าง “เจ้าของ” กับ “ผู้เยี่ยมชม” เท่านั้น หากแต่ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง application จำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วย อาทิ แบบสอบถาม กลุ่มสังคม หรือการจัดงาน (Event) ต่าง ๆ

และเมื่อมีลักษณะเป็นพื้นที่ออนไลน์หรือพื้นที่เสมือนจริง ผู้ใช้งานจึงสามารถ “เข้าถึง” facebook ได้ทุกพื้นที่ (ที่ระบบอินเตอร์เน็ตเข้าถึง) ผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานออนไลน์ ในแง่นี้จึงดูจะทำให้เกิดผลสำคัญประการหนึ่ง คือ การกลับมาพบเจอ (กันอีกครั้ง) ของบรรดา “เพื่อน” หรือ “คนรู้จัก” ในโลกจริง ที่ห่างหายไปนานแสนนาน ซึ่งเราจะไม่พบเหตุการณ์นี้เลยในโลกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่เพื่อนซึ่งมิได้ติดต่อก็จะหายหน้ากันไปเลย ในขณะที่เพื่อนใน facebook แม้จะมิได้ติดต่อแต่อย่างน้อยก็ยังรู้ถึงความเคลื่อนไหวและช่องทางในการติดต่อ

นอกจากการกลับมาพบเจอกับบรรดา “เพื่อนเก่า” แล้ว ในอีกมุมหนึ่ง facebook ดูจะทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือคนรู้จักเป็นไปอย่างแนบแน่นและรวดเร็วขึ้นอีกเช่นกัน การติดต่อพูดคุยผ่านโลกออนไลน์ รวมถึงการติดต่อผ่านโลก “จริง” ที่สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วและวงกว้าง – การนัดสังสรรค์ระหว่างเพื่อนสามารถบอกกล่าวในโลกออนไลน์ได้ในวงกว้างและมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้านี้

ในทางเดียวกัน โลกเสมือนจริงที่ facebook สร้างขึ้น ยังได้นำไปสู่การสร้าง “กลุ่มความสนใจ” จำนวนหนึ่งขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้คลั่งไคล้นักร้อง/ศิลปิน (ที่มีสมาชิกจากหลายมุมของโลก) กลุ่มช่วยเหลือสังคม กลุ่มผู้สนในด้านอาหารและการกิน และกลุ่มผู้สนใจทางด้านหนังสือ เป็นต้น (นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองด้วย หากแต่ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้) โดยกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ดูจะมิได้ดำรงอยู่แต่บนโลกออนไลน์เท่านั้น สมาชิกหรือคนในกลุ่มเหล่านี้ยังได้มาพบปะสังสรรค์กันในโลกจริงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หนุ่มน้อยผู้ศรัทธาในการกินอาหารอร่อยคนหนึ่งได้เป็นตัวตั้งในการสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายผู้รักการกินอาหารอร่อยขึ้นและได้จัด “ทริป” การกินอยู่เนือง ๆ โดยแต่ละทริปก็จะมีผู้ที่เข้าร่วมทั้งโดยรู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อน อันทำให้เกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมบนโลกจริงขึ้นใหม่จากทริปการกินที่มีจุดเริ่มในโลกออนไลน์ หรือในกลุ่มผู้สนใจในการช่วยเหลือสังคมก็ได้มีการนัดแนะกันไปทำงานเพื่อสังคมต่าง ๆ นานากันอยู่เนือง ๆ

ในแง่นี้จึงไม่เป็นการเกินเลยที่จะกล่าวว่า facebook (และอาจรวมถึงเวบไซด์ Social Network อื่นๆ ด้วยนั้น) เป็นเครื่องมือหรือกลไกสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดรูปแบบหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ ๆ บนโลกแห่งความเป็นจริง โลกออนไลน์ที่ดูเหมือนจะทำให้คนเป็นปัจเจกชนเก็บตัวอยู่แต่ในพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งได้สร้างกลุ่ม (ความสนใจ) ทางสังคมอันหลากหลายขึ้นมานับไม่ถ้วน ลักษณะหรือสภาพที่ราวกับเป็นไปด้วยกันมิได้นี้ดูจะตรงกับสิ่งที่นักคิดฝรั่งคนหนึ่งเรียกว่า “Rhizome” อันเป็นสภาวะแห่งโลกสมัยใหม่หรือโลกแห่งยุคเทคโนโลยีที่ผู้คนมีลักษณะคล้าย “จุด” ที่เชื่อมโยงกับ “จุดอื่น ๆ” (สามารถมีได้มากกว่าหนึ่ง) ผ่านความสนใจที่อยู่นอกเหนือขอบเขตทางกายภาพของชุมชนหรือสังคม

นี่คือ ยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เราอาจจะต้องยอมรับและมองในฐานะปรากฏการหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะยินดี ชื่นชอบ หรือไม่ก็ตาม

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หยุดตกเขียว

การอนุมัติให้ปรับขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. และข้าราชการฝ่ายการเมืองในอัตรา 14.3-14.7% ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากงบกลางและเป็นภาษีของประชาชนนั้น ยังมีกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส. และ ส.ว. ไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะได้รับค่าตอบแทน

อย่างนางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยให้เห็นผลว่า การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายในปีหน้า และถือว่าเสียวินัยทางการคลัง ซึ่งตนเองจะทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่รับเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้นางสาวรสนายังเห็นว่า การตั้งกรอบงบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ภายหลังนำมาจัดสรรเป็นเงินเดือนให้ ส.ส. และ ส.ว. มีลักษณะเหมือนเซ็นเช็คเปล่าเพื่ออนุญาตให้ใช้เงินล่วงหน้าแล้วกรอกตัวเลขภายหลัง ประชาชนเจ้าของภาษีสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

แม้การออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) จะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่หากไม่ถูกต้องก็สามารถเพิกถอนได้เช่นกัน อย่างที่นางสาวรสนาเคยฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอน พ.ร.ฎ.การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยของรัฐบาลก่อนหน้านี้ และสุดท้ายศาลปกครองก็ให้เพิกถอน

ขณะที่รัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำและเตรียมทุ่มงบประมาณที่อ้างว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนนั้น ก็มีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าที่ผ่านมารัฐบาล ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการโครงการลักษณะประชานิยมหรือกึ่งรัฐสวัสดิการมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นการสร้างงานหรือทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่เป็นลักษณะการให้เปล่าหรือแจกฟรีกว่า 200,000 ล้านบาทแล้ว ไม่ใช่เฉพาะคนรากหญ้าเมืองและชนบท แต่ยังเอาใจทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง เหมือนการหาเสียงล่วงหน้าหรือ “ตกเขียว” ซึ่งอาจกระทบต่อเงินคงคลังและวินัยการคลัง

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคก็มีการจัดสรรเงินงบประมาณในลักษณะต่างๆลงในพื้นที่ของตน ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากในอดีตที่ฝ่ายการเมืองจะเอาเงินงบประมาณที่เป็นเงินภาษีของประชาชนไปหาเสียง โดยเฉพาะระยะใกล้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระหนี้สินใน 10 ปีข้างหน้าที่จะเพิ่มเป็น 3.3 ล้านล้านบาท ยังไม่เห็นรัฐบาลวางนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเลย นอกจากใช้งบประมาณในลักษณะหาเสียงทางการเมืองล่วงหน้า ทั้งที่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศร่ำรวยที่จะทำนโยบายประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มได้ รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจพื้นฐานให้มั่นคงก่อน อาทิ การศึกษา การรักษาพยาบาล คนชรา และแรงงานนอกระบบ ฯลฯ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

ใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ

กระแสการขอปรับขึ้นเงินเดือนกำลังเป็นที่นิยม พอหน่วยงานนี้เห็นหน่วยงานนั้นขอได้ก็ขอบ้าง สรุปว่าขอขึ้นกันเกือบทั้งหมด หากจะปรับขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

ในที่สุดก็ได้เห็นปรากฏการณ์ “ขี้ขอ” เกิดขึ้นตามมามากมายหลังคณะกรรมการค่าจ้างกลางอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว. ก็ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วยเช่นกัน ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชง ครม. ขอให้กับ อบต. ทั่วประเทศ (ยังแป้ก) กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ขอด้วย ส.ก.-ส.ข. กลัวตกขบวนรีบขอ อ้างว่า 17 ปีแล้วไม่ได้ขยับ ส่วนข้าราชการลอยตัวรัฐบาลปรับให้ก่อนแล้ว

มีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ มัวแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเลย” หากทุกฝ่ายขอกันหมดและได้ตามที่ขอผลกระทบก็จะอยู่ที่ชาวบ้าน เพราะแทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าวของก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องประหลาดมากๆ อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายปีแต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คือคำว่าเหมือนกันหมด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการก็ปรับให้เหมือนกันหมด เป็นระนาบเดียวกันหมด ด้วยเหตุผลคำว่า “คนเหมือนกัน”

คำว่าคนเหมือนกันอาตมาขอเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองหนึ่งทรงเสด็จทางชลมารคเพื่อไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในเรือมีมหาดเล็กนั่งเคียงข้างเป็นที่ปรึกษา ฝีพายคนหนึ่งที่มีหน้าที่พายเรืออย่างเดียวก็นึกอิจฉามหาดเล็กที่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมาพายเรือเหมือนตน ซ้ำบางช่วงยังนั่งหลับอีกต่างหาก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีว่า “คนเหมือนกันนี่หว่า” พระราชาได้ยินจึงรู้ว่าฝีพายกำลังอิจฉามหาดเล็ก พอถึงท่าน้ำเสด็จขึ้นฝั่งแล้วก็ไล่ให้มหาดเล็กขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพระราชาได้ยินเสียงลูกหมาร้องจึงเรียกให้ฝีพายขึ้นมาช่วยหาลูกหมา ฝีพายจึงก้มดูใต้แคร่แล้วรีบลุกขึ้นมากราบทูลตอบกลับไปว่า “หมาออกลูกพระเจ้าข้า” พระราชาก็ถามกลับไปอีกว่า “มีกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับ “มี 4 ตัวพระเจ้าข้า” พระราชาถามอีก “แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับอีกและตอบกลับมาว่า “ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว พระเจ้าข้า” เรียกว่าฝีพายต้องก้มอยู่หลายครั้งตามคำสั่งของพระราชา

พระราชาจึงบอกให้ฝีพายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกมหาดเล็กมาหา พร้อมกับบอกให้ก้มไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น สิ้นคำสั่งพระราชามหาดเล็กจึงก้มลงไปสักอึดใจหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาทูลให้ทราบว่า ใต้แคร่นั้นมีลูกหมาที่พึ่งคลอดอยู่ 4 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว มีสีนั้นสีนี้ เรียกว่ารายงานให้พระราชาทรงทราบในรายละเอียดที่เห็นจากการก้มเพียงครั้งเดียว พระราชาจึงพูดขึ้นว่า “คนเหมือนกัน” แล้วมองหน้าถามฝีพายกลับไปว่า “คิดว่าคนเหมือนกันหรือไม่”

นิทานเรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลตอบแทนหรือค่าตอบแทนในการทำงานก็ควรไม่เหมือนกันด้วย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญา ความสามารถมีไม่เท่ากัน หากนายจ้างจะขึ้นเงินเดือนให้ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ดูที่ความขยัน ดูที่ความขี้เกียจของแต่ละคนในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน

เพราะฉะนั้นการขึ้นเงินเดือนไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร อย่างไรก็ไม่สมควรขึ้นให้เท่ากัน คนงานที่วัดสวนแก้วบางคนให้ 50 บาท ยังไม่คุ้มเลย เพราะอู้ก็เก่ง หนีงานก็ที่หนึ่ง แล้วอย่างนี้จะให้เท่ากันได้อย่างไร ส.ส.-ส.ว. ก็ไม่ต่างกัน เวลาประชุมทำงานเพื่อบ้านเมืองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง บางคนไม่เคยมาเลยก็มี แล้วจะให้ขึ้นเท่ากันได้อย่างไร เป็นเรื่องสมควรหรือไม่

ถึงเวลาหรือยังที่การปรับขึ้นเงินเดือนในแต่ละครั้งควรให้โอกาสภาษีของประชาชนบ้าง ถ้าเป็นแรงงานภาคเอกชนก็ควรให้โอกาสเจ้าของกิจการบ้าง อาตมากล่าวอย่างนี้เพียงแค่ต้องการเตือนนายทุนทั้งหลายว่าถ้าแรงงานคนไหนทำงานให้คุณด้วยความทุ่มเท ทำให้บริษัท ห้างร้านของคุณก้าวหน้า ก็ควรให้โอกาสเขาด้วยเช่นกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหนื่อยมาตั้งเยอะแต่ได้แค่นี้

ฉะนั้นแรงงานหรือนักการเมืองควรนำคำว่าดีมาคิดบ้าง เพราะถ้าดีไม่พอก็ไม่อยากจะขึ้นให้ แต่ถ้าดีพอก็ขึ้นให้แน่นอน จึงควรนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณากันบ้าง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือเอกชน ไม่ใช่ใครขอมาก็ให้หมด มันจะพังกันไปทั้งประเทศ อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งใครขออะไรก็ให้

เจริญพร

**********************************************************************

"แกนนำแดงในคุก"หวั่นแนวร่วมเข้าใจผิด คิดว่าก้มหัวให้รัฐบาล หลังมีข่าว"ธิดา-มาร์ค"หารือร่วมกัน

หลังการหารือระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. และนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็มีปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาจากคนเสื้อแดงภายในเรือนจำพิเศษ โดยแหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับรู้ข่าวการหารือกันแล้วต่างก็ตกใจ เพราะก่อนหน้านี้แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการยอมเป็นฝ่ายเข้าพบนายอภิสิทธิ์ ก่อนเป็นอันขาด และจะยอมถูกควบคุมตัวจนกว่าจะได้รับการประกันตัวตามกฎหมาย นอกจากนี้ภาพข่าวที่ออกมาถูกสังคมมองว่า นางธิดาเป็นฝ่ายไปขอเจรจากับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งสร้างผลกระทบด้านลบกับคนเสื้อแดงและแกนนำที่ถูกควบคุมตัว ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงถูกมองว่า ถอดใจหลังถูกควบคุมตัวแล้ว

แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า นางธิดายังได้เล่าบรรยากาศในการหารือกับนายอภิสิทธิ์ ให้แกนนำคนเสื้อแดงและภรรยาแกนนำคนเสื้อแดงบางคนฟังว่า นายอภิสิทธิ์รับฟังข้อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความร่วมมือในการขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงเป็นอย่างดี และระหว่างการพูดคุยนายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์สายตรงไปหานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปดำเนินการพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกเรื่องการขอประกันตัว

"นายอภิสิทธิ์ได้กำกับนายพีระพันธุ์ไปว่า ให้กรมคุ้มครองสิทธิฯไปพิจารณาว่าแกนนำคนเสื้อแดงคนไหนมีทีท่าที่จะสามารถพูดคุยเรื่องการปรองดองได้ และไม่มีท่าทีที่จะใช้ความรุนแรงก็ให้ช่วยเหลือเรื่องประกันตัวออกมา" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่พูดคุยกับนางธิดา

ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพวกตนไม่รู้เรื่องและนางธิดายืนยันว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างคำถามให้กับมวลชนคนเสื้อแดง ในหลายพื้นที่เพราะทำให้สังคมมองว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำเป็นฝ่ายยอม จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนของรัฐบาลหรือไม่ แต่ได้ยืนยันไปว่าพวกตนไม่เคยยอมให้กับนายอภิสิทธิ์ และไม่เคยที่จะขอพบนายอภิสิทธิ์แม้แต่ครั้งเดียว หากนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงจะเดินหน้าขับไล่ต่อไป เพราะไม่เคยลืมว่านายอภิสิทธิ์มาจากค่ายทหาร

ที่มา.มติชน
*******************************************************

วารสารศาสตร์ข้อมูล: เราควรจะขอบคุณวิกิลีกส์ #wikileaks #opendata

(CNN) 30 ก.ค. 2553 – การโพสต์เอกสาร 92,000 ฉบับบนวิกิลีกส์ (WikiLeaks) เกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถาน เป็นตัวแทนของการฉลองชัยของสิ่งที่ผมเรียกว่า “วารสารศาสตร์ข้อมูล” (data journalism)

แน่นอนว่ามันต้องมีแหล่งข่าวที่เป็นบุคคล ใครสักคนในที่ไหนสักแห่ง ส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ไปยังเว็บไซต์วิกิลีกส์ แต่ไม่ว่าผู้แจ้งความไม่ชอบมาพากลคนนี้จะเป็นใคร มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรกับเรา

ข้อมูลดิบดังกล่าว เป็นขุมทรัพย์ขนาดใหญ่สำหรับนักหนังสือพิมพ์ในสามสำนักข่าว – นิวยอร์กไทมส์ (New York Times สหัรฐอเมริกา), เดอะการ์เดียน (The Guardian สหราชอาณาจักร), และ แดร์ สปีเกล (Der Spiegel เยอรมนี) – ที่จะขุดค้นหาข่าวจากมัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะนักข่าวเหล่านั้นเท่านั้น บันทึกประจำวันจากสงครามอัฟกานิสถานนั้นอยู่บนอินเทอร์เน็ต ที่ใครก็เข้าไปขุดค้นสมบัติหาข้อมูลได้
เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร นักหนังสือพิมพ์ทำเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาอ่านกองเอกสารทีละหน้าทีละหน้า เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ ข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งหรือสองชิ้น ซึ่งจะนำไปสู่สกู๊ปสำคัญ

แต่ก็นั่นล่ะ เราต้องยอมรับว่า นักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานดังที่กล่าวมา แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันทั้งใช้เวลาและแรงงาน แล้วก็ไม่มีสีสันตื่นตาตื่นใจ มันไม่มีสเน่ห์ดึงดูด ด้วยแรงกดดันในองค์กรข่าวสมัยใหม่ ที่จำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพคุ้มราคา มันเป็นเรื่องยากที่บรรณาธิการข่าวจะอนุญาตให้นักข่าวใช้เวลามาก ๆ ไปกับกองเอกสารท่วมหัว

ความสำเร็จของ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” หรือการทำข่าวจากข้อมูลดิบนั้นมักจะถูกลืม ตัวอย่างหนึ่งโดดเด่นก็คือ กรณีข่าวสืบสวนโดยหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ (Sunday Times) ที่ตามติดกรณียาระงับประสาทของบริษัทยาเยอรมันที่ถูกถอนออกจากตลาดในปี 1961 หลังจากพบว่ามีผลกระทบรุนแรงต่อทารก
ระหว่างการสืบสวนดังกล่าว ซันเดย์ไทมส์จ่ายเงินเพื่อซื้อเอกสารภายในจำนวนมากของบริษัทดังกล่าว และต้องแปลมันทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่ง ฟิลลิป ไนท์ลีย์ (Phillip Knightley) หนึ่งในทีมข่าวกล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทำงานอย่างหนัก เพื่อทำความเข้าใจเอกสารเหล่านั้น

ถึงในปี 1968 จะยังเป็นสมัยที่ซันเดย์ไทมส์มีกำลังคนพร้อมเพรียง และยินดีที่จะจัดสรรทรัพยากรให้กับทีมนักข่าวสืบสวน ไนท์ลีย์ก็ยังบอกกับเราว่า คนก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะคุ้มค่าหรือ ที่จะทำข่าวที่ต้องใช้ทั้งเงินและเวลายาวนานขนาดนี้

แม้ในที่สุดข่าวสืบสวนชิ้นนี้จะประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชยที่ดีขึ้นแก่ผู้เสียหาย แต่ดูเหมือนว่า ความสงสัยต่อความคุ้มค่าในการลงทุนทำ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในองค์กรข่าวส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่กำลังจะตัดงบประมาณของกองบรรณาธิการ
แน่นอนว่า ข่าวสืบสวนคดีวอเตอร์เกต (Watergate) ในต้นทศวรรษ 1970 โดย Bob Woodward และ Carl Bernstein ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสกู๊ปข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล นั้นมีความสำคัญ รายงานชิ้นดังกล่าวอาศัยแหล่งข่าวที่ปิดเป็นความลับ ที่รู้จักกันในชื่อ “Deep Throat” และตั้งแต่นั้นมา นักหนังสือพิมพ์ก็ตกเป็นทาสของแหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้เหล่านี้เสียเอง แต่ข่าวแบบนี้แหละที่มีสเน่ห์ดึงดูด

แหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของวารสารศาสตร์สมัยใหม่ ผมเคยบอกกับนักศึกษาวารสารศาสตร์ของผมอย่างนั้นเสมอ ๆ แต่ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่า ผมให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป จนให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับการค้นหา อ่าน และวิเคราะห์ข้อมูลดิบ
ถ้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นร่างแรกของประวัติศาสตร์ อย่างที่เรานักหนังสือพิมพ์มักอ้างกัน เราก็ควรจะต้องทำงานให้ใกล้เคียงกับนักประวัติศาสตร์เสียหน่อย บรรดานักประวัติศาสตร์พยายามมองหาแหล่งข้อมูล
ชั้นต้น เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นกับเหตุการณ์ในอดีต

สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของข้อมูลต่างๆ ในวิกิลีกส์นั้นคือ มันเป็นข้อมูลที่ทันสมัย มันทำให้นักหนังสือพิมพ์และสาธารณะเข้าใจชัดเจนขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอัฟกานิสถาน ในแง่นี้ ข้อมูลเหล่านี้ที่ทุกคนเข้าไปอ่านได้ ช่วยมอบความเข้าใจที่มีค่ามหาศาลให้กับเรา

อย่างไรก็ตาม การโพสต์เอกสารขึ้นอินเทอร์เน็ตโดยตัวมันเองไม่ใช่การทำข่าว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการข่าว มันยังต้องการการวิเคราะห์ วางบริบท และในบางกรณี การเซ็นเซอร์ที่จำเป็นเพื่อที่จะปกป้องปัจเจกบุคคลที่ถูกระบุในเอกสารดัง กล่าว

ผมทราบว่า นักข่าวอาชีพไม่ได้เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถทำงานนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ มีทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ ดังกล่าว และมีความรู้ที่จะทำให้พวกเขาทำงานดังกล่าวได้ดี การรายงานโดย เดอะการ์เดียน และ นิวยอร์กไทมส์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน

มันอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรโดยทันที ไม่มีประธานาธิบดีต้องออกจากตำแหน่ง เหมือนกรณีวอเตอร์เกต แต่สิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏจากเอกสาร คือการยืนยันสิ่งที่สื่อในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสงสัยมาโดยตลอด เกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ว่ามันเลวร้ายและมีแต่จะแย่ลง ๆ นับตั้งแต่ปี 2004 มันตบหน้ารายงานประเมินอย่างเป็นทางการที่แสนสวยงาม

ข้อมูลดิบทั้งหมดดังกล่าวมานั้น เชื่อถือได้มากกว่า เพราะมันเป็นรายงานโดยทหารในสนามรบจริง ๆ ว่าพวกเขาพบเห็นและประสบอะไรบ้าง มันไม่มีการปั่นข่าว ตัวรายงานนั้นอาจไม่ได้เป็นวัตถุวิสัย – ซึ่งก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นเช่นนั้น – แต่รายงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทาง การเมือง

ใช่ เราอาจพูดได้ว่า การที่วิกิลีกส์โพสต์ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวในพื้นที่สาธารณะ ในตัวมันเองนั้นก็ไม่ได้เป็นวัตถุวิสัยอยู่แล้ว แต่ผมขอสนับสนุนสิ่งที่ จูเลียน อัสซานจ์ (Julian Assange) หัวหน้าบรรณาธิการของวิกิลีกส์ เรียกร้องต่อองค์กรข่าวต่าง ๆ ให้เปิดเผยข้อมูลดิบออกสู่สาธารณะให้มากขึ้น

เขาเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว จะทำให้กิจกรรมของงานข่าวโปร่งใสมากขึ้น ในการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ เขายืนกรานว่า “วารสารศาสตร์ควรจะเป็นเหมือนวิทยาศาสตร์มากขึ้น” และเสริมว่า: “มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จะต้องถูกตรวจสอบยืนยันได้ ถ้านักหนังสือพิมพ์ต้องการที่จะให้อาชีพของพวกเขามีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ได้มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินไปในทิศทางนั้น เคารพคนอ่านให้มากขึ้น”

โดยธรรมชาติของตัวมันเอง การทำข่าวจากแหล่งข่าวบุคคล (source journalism) ย่อมถูกปิดบังไม่ให้สาธารณะได้เห็น การทำข่าวจากข้อมูลดิบ (data journalism) นั้นเปิดเผยมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลดิบนั้นถูกโพสต์ขึ้นอินเทอร์เน็ต เพราะในกรณีที่มีการวิเคราห์ข้อมูลชุดเดียวกันในแนวทางที่ต่างกัน ข้อมูลดิบเหล่านั้นมันอนุญาตให้สาธารณะตัดสินได้ว่าการวิเคราะห์อันไหนที่ น่าเชื่อถือกว่า

เรานักหนังสือพิมพ์ ควรจะต้องดีใจที่มีเว็บไซต์อย่างวิกิลีกส์อยู่ นั่นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ สาธารณะ ที่คนที่มีความเชื่อเป็นอย่างอื่นต้องการจะเก็บมันเป็นความลับ

เว็บไซต์ดังกล่าวสมควรจะได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากพวกเรา และมันจำเป็นจะต้องได้รับการปกป้องจากพลังฝ่ายขวา ที่หาทางจะหลีกเลี่ยงจากการถูกเปิดโปง

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จงใจรั่ว?

เป็นผลสะเทือนของข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น

ที่รั่วไหลไปถึงมือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และสำนักข่าวรอยเตอร์

นายจตุพรอ้างว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจแตงโมที่รับมาจากดีเอสไออีกทอด ขณะที่รอยเตอร์ระบุได้ข้อมูลมาจากฝ่ายรัฐบาล

เป็นข้อมูลตรงกันว่าการตายของประชาชน 6 ศพ และนายมูราโมโตะ

อาจเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

ภายหลังการเปิดโปงข้อมูลดังกล่าวถูกจับแยกออกเป็น 2 ส่วน

คือส่วน 'ที่มา' และ 'เนื้อหา'

คล้ายๆ กรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามการที่นายจตุพร และรอยเตอร์

นำเนื้อหาข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และคดีนายมูราโมโตะ ของดีเอสไอที่ได้รับออกมาเปิดโปง

เป้าหมายใหญ่ไม่ได้อยู่ตรงเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติหรือแม้แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป

แต่น่าจะอยู่ที่ตัวผู้นำการเมืองสูงสุดขณะนั้นมากกว่า

ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนไหวทวงถามหาความรับผิดชอบต่อความตาย 91 ศพ ที่พุ่งตรงเข้าใส่นายกฯ อภิสิทธิ์ คนเดียวเต็มๆ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับข่าวที่เริ่มกระฉอกออกมา

กองทัพหวาดระแวงกำลังถูกบางคนในรัฐบาลเล่นเกมตลบหลัง

ตรงนี้เองคือต้นตอคำถามถึง 'ที่มา' ของข้อมูลในสำนวนสอบสวนของดีเอสไอ

เป็นการ 'จงใจ' ปล่อยให้รั่วไปถึงมือฝ่ายตรงข้ามหรือไม่

อันเป็นจุดที่พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลต่อ

มีบิ๊กทหารบางคนไม่พอใจผลสอบสวนของ ดีเอสไอ ที่ระบุถึงคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะอาจเกิดจากการกระ ทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

และต้องการกดดันให้รัฐบาลปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พ้นจากเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ

ซึ่งไม่น่าจะสำเร็จ เพราะรัฐบาลย่อมตระหนักดีว่านายธาริตคือคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. และเป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนคดี 91 ศพ

เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

ยังนำมาใช้กับนายธาริตไม่ได้ในตอนนี้

ในตอนที่ศึกเสื้อแดงยังไม่สะเด็ดน้ำ

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผู้ก่อตั้งวิกิลี้คส์ย้ำกลัวถูกส่งตัวไปให้สหรัฐดำเนินคดี

นายจูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซท์ วิกิลี้คส์ เปิดเผยที่ด้านนอกสถานีตำรวจเบ็คเซิลส์ ในมณฑลซัฟฟอล์ค ของอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ว่า เขากลัวว่า สหรัฐกำลังเตรียมพร้อมที่จะตั้งข้อหาเขา และเขาวิตกอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากของตัวเอง

นายอัสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ซึ่งออกจากเรือนจำในกรุงลอนดอน หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่หลวงของเขาในเวลานี้ คือ กำลังมีการตั้งข้อหาเขาและเป็นไปได้ว่า อาจรวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เป็นทีมงานของเขาในสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์ สกายนิวส์ว่า เขาได้ยินข่าวลือว่า เขาได้ถูกตั้งข้อหา " จารกรรม " ในสหรัฐ และมียังมีความพยายามที่จะส่งตัวเขาไปดำเนินคดีที่ไหนสักแห่งที่อาจทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังสหรัฐได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ มาร์ค สตีเฟ่นส์ หนึ่งในทนายความชาวสหรัฐของเขา ได้บอกข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีการคณะลูกขุนชุดใหญ่ขึ้นอย่างลับ ๆ ที่รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหา " จารกรรม " ที่อาจใช้เล่นงานเขา

สวีเดน ต้องการตัวนายอัสซานจ์ ไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาข่มขืนผู้หญิงสองคน ในระหว่างที่เขาไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ปัจจุบัน เขาถูกจำกัดบริเวณอยูแต่ภายในอาณาบริเวณของที่พักอาศัย และต้องสวมอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เพื่อตรวจหาพิกัดของตัวเขา และยังต้องรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันด้วย

นายอัสซานจ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำความผิด แต่เขาวิตกว่า ถ้าเขาถูกส่งตัวไปสวีเดน อาจถูกส่งตัวต่อไปยังสหรัฐ และเผชิญข้อกล่าวหาในกรณีที่วิกิลี้คส์ เอาความลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนข้อกล่าวหาด้านอาชญากรรมทางเพศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่ทางการสวีเดน ยืนยันว่า ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้หญิงสองคนที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของนายอัสซานจ์จริง

ที่มา.เนชั่น
-----------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ลึกแต่ไม่ลับ บิ๊กจิ๋วและพวก สนทนากับ"เจียง เจ๋อหมิน" 1ชั่วโมงครึ่ง ได้เคล็ดลับ2 เรื่องใหญ่!!!

เมื่อไม่นานมานี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน  
ไฮไลท์ของ ทริปนี้คือการได้พบปะสนทนากับ อดีตประธานาธิบดี "เจียง เจ๋อหมิน "     
และที่สำคัญได้สนทนากันยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง   ไม่มีใครทราบว่า  หัวข้อสนทนา ในวันนั้น คือเรื่องอะไร ?  แต่
วันนี้ มีคำเฉลย !!!
    
 ปกติแล้ว   เจียง เจ๋อหมิน   ไม่ค่อยออกพบปะกับผู้ใดบ่อยครั้งนัก  หลังจากส่งมอบอำนาจ  แต่การพบกับคณะของ"บิ๊กจิ๋ว" ย่อมมีทีเด็ด อย่างแน่นอน
    
คณะของพลเอกชวลิตที่พบผู้นำรุ่น 3 ของจีนประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย  นายสุชน ชาลีเครือ  นายทหารติดตามพลเอกชวลิต และล่ามอีก 1 คน
     
ปัจจุบัน ท่าน เจียง เจ๋อหมิน  อายุ 84 ปี เป็นบุคคลหลักของ "ผู้นำรุ่นที่สาม" ของประเทศจีน    ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง พ.ศ. 2532 -2545  และประธานาธิบดี  ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2546
      
 เจียง เจ๋อหมิน  เป็นผู้คิดทฤษฎีสามตัวแทนซึ่งนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ และของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
      
 พื้นฐานการศึกษา ของผู้นำจีน ผู้นี้  จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยเจียวตง เคยฝึกงานในโรงงานสร้างรถยนต์สลาตินที่มอสโกทำให้พูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว    และยังมีชำนาญหลายภาษาไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โรมาเนีย  และ ญี่ปุ่น
     
 นายภูมิธรรม เวชยชัย  หนึ่งในผู้ร่วมคณะ เล่าว่า    " ปกติ พลเอกชวลิตก็ไปจีนเป็นประจำทุกปี เพราะท่านเป็นคนมีเพื่อนเยอะ   ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางทหาร ทุกครั้งที่ไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี  แต่ครั้งนี้ พลเอกชวลิตไปในฐานะพลเรือน  และแขกของทางการ "


"ปกติท่านเจียง เจ๋อหมิน หลังจากมอบภารกิจ  ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกงาน แต่ก็ยังพักอยู่ที่จงหนานไห่ ซึ่งเป็นทำเนียบผู้นำ   การไปพบท่านเจียง เจ๋อหมินในอายุวัย 84 ปี  ถือว่าผิดคาด เพราะคิดว่า จะเจอผู้นำสูงวัย   แต่เห็นท่าทางเดินของท่านสง่า    แข็งแรงมาก  กำหนดการเดิมพบได้ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อคุยจริงๆ ด้วยความที่คุยกันถูกคอก็ใช้เวลาไป ชั่วโมงครึ่ง คุยไม่เลิก " 
   
 " แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองในประเทศไทย เพราะท่านเป็นผู้มีมารยาททางการเมือง " อดีตรมช.กระทรวงคมนาคม ยืนยัน
   
 ทว่า ในช่วงแนะนำตัว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แนะนำตัว"อ๋อย"จาตุรนต์ ฉายแสง ต่อท่านเจียง เจ๋อหมิน ว่า  เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่  และน่าจับตาว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในอนาคต 
  สำหรับประเด็นสำคัญ ที่คณะจากไทย ได้เรียนรู้จากท่านเจียง เจ๋อหมิน 2 เรื่องใหญ่
 
เรื่องแรก สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญมาก    ท่านก็เล่าฟังว่าที่แข็งแรงอยู่เพราะออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำวันละ 1 ชั่วโมง จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน  
 " คนเราจะมีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องไปซื้อขาย ทำเองได้ ท่านเอง เคยอยู่ในขบวนของเหมา เจ๋อตุง ตอนปฏิวัติด้วย   ไปเจอตัวจริงจะทึ่งมาก ตัวท่านใหญ่ สูงมาก ผมถ่ายรูปจับมือท่าน ท่านตัวใหญ่กว่าผมอีก คนก็ยังมานึกว่าจะเจอผู้สูงอายุ  แต่กลับพบอดีตผู้นำที่ผึ่งผายมาก "   ภูมิธรรม เวชยชัย  กล่าว

   เรื่องที่สอง เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต     ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าให้คณะจากประเทศไทย ฟังว่า  เพิ่งอ่านหนังสือ  สตาร์บัคส์   หนา 500 กว่าหน้า เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ 3-4 วันจบเล่ม
 
 " สิ่งนี้  สะท้อนว่า ท่านสนใจ ใฝ่รู้ตลอดเวลา     ท่านเล่าต่อมาถึงว่าท่านมีความสนใจความรู้ทางด้านภาษามาก ทำให้เราตกใจ ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84  ปีแล้ว  ยังอ่านสตาร์บัคส์  ท่านบอกว่า  เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 9 ขวบ แล้วยังรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยชอบภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยอยากพูดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร   แต่สุดท้าย ท่านบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะ ความจริงภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เพื่อให้มนุษย์สื่อสารต่อกันเท่านั้น    ภาษาไม่ใช่กำแพง กีดกันมนุษย์ชาติ "
 
  ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าว่า   " เคยเรียนภาษาโรมาเนีย มีความสามารถถึงขั้นเคยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาโรมาเนียมาแล้ว   และที่สำคัญตอนอายุประมาณ  76 ปี   เรียนภาษาสเปนสองปี  สามารถพูดสเปนในที่ประชุมสหประชาชาติได้ และก็ยังเรียนรู้อีกหลายภาษา เป็นคนที่เรียนรู้  และสนใจภาษา   เพราะท่านเชื่อว่า  เพราะภาษาเครื่องมือทางวัฒนธรรม ภาษาสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และเป็นสื่อประสาความสัมพันธ์กับผู้คน "
  
 ก่อนอำลาอดีตประธานาธิบดีจีน ได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนก็คือ "จาตุรนต์ ฉายแสง"
  
 เพราะได้สนทนากับท่านเจียง เจ๋อหมินเป็นภาษาจีน  เรียกว่า ไม่เสียแรงที่ได้เรียนภาษาจีนมาหลายปี  .


ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------

เหนือกฎหมาย

ใต้กาลเวลา

ไม่มีใครรู้ตอนจบสำหรับการเมืองไทยวันนี้ ตราบเท่า ที่ยังไม่มีใครพูดถึงกติกาของการอยู่ร่วมกันเพราะถึงเราจะมีรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ฉีกก็เปลี่ยนมันทุก ครั้ง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พวกที่ไม่สนใจในกติกา

บางครั้งผู้มาจากการเลือกตั้งก็เปลี่ยนมันเอง บางครั้งโดยผู้ถืออาวุธ ที่จะเขียนกติกาเพื่อสืบต่ออำนาจเเห่งเขา เเล้วเรียก มันว่ารัฐธรรมนูญเราคนไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญสักฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน

คนอังกฤษที่ก้าวขึ้นฝั่งเเผ่นดินอเมริกา ต้องจับอาวุธขึ้น มาเผชิญหน้าเเละรบราฆ่าฟันกับคนชาติเชื้อเดียวกันที่เเต่งเครื่องเเบบอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะเเละสร้างประเทศของเขาขึ้นมาได้

เขาเกลียดประเทศที่เขาจากมา ประเทศเก่าของเขา ขนาดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นของเเผ่นดินเก่า เขาขับรถทางซ้าย ใช้มาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่สร้างขึ้นมาใหม่..สร้างไมล์เเทนกิโลเมตร

เเล้วเขาก็สร้างรัฐธรรมนูญของพวกเขาขึ้นมาตั้งเเต่บัดนั้นจนบัดนี้..เขาก็ยังมีธรรมนูญฉบับเดียว เเต่กระนั้นเขาก็ยังต้องฆ่ากันอีกครั้ง เขาต้องตายกันเป็นล้าน เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเเละความเป็นประเทศของพวกเขา

กว่าจะมาถึงวันนี้ ญวนกับญวนก็ต้องทำสงครามรวมชาติ สงครามกับมหาอำนาจผู้รุกราน..ไม่ว่าจีน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา วันนี้ชาวญวนยืนอยู่เเถวหน้าสุดของชาตินักรบเรียบเรียงกันขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ ที่คงทนต่อการถูกฉีกถูกทำลาย มันจะต้องถูกเขียน ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตเเละความตายโยงใย กันขึ้นมาด้วยความพลัดพรากของหลายหมื่นหลายพันครอบครัว เเต่มันจะโบกสะบัดสะพัดใบอยู่ได้ อย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน เพราะพัดโบกด้วยลมหายใจ ที่ขาดหายไปของผู้คนที่จารึกตนอยู่บนอนุสาวรีย์

ลมหายใจของผีถ้าประชาชนคนไทย จะได้รัฐธรรมนูญของเขาขึ้นมาสักฉบับ เราจะต้องตายกันอีกกี่ครั้ง เขาจะต้องถูก สังหารกันอีกกี่หนจะต้องโค่นทรราชกันอีกกี่ทีรัฐบาลดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากกลไกสังหารของผู้ถืออาวุธ หรือจากการปลิ้นปล้อนสับปลับของคนสวมสูทใน คราบเงาของครูบา และชาวสภา

รัฐธรรมนูญดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหรือ...แบบว่าคนไทยกับคนไทยไม่ต้องฆ่ากันคนไทยกับประเทศไทยจะต้องทนกันไปอีกนานแค่ไหน กว่ารากษสการเมืองทุกเผ่าพันธุ์จะล้างผลาญกันจนสิ้นสกุลหรือคนไทยทั้งหลาย ต้องเร่งรับจัดให้ ฌาปนกิจเหล่า มันทั้งหลาย สร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ มายอมพร้อมตายกันสักครั้ง สร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันถูกฉีกขึ้นมา

ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************************

‘ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ’

ว่ากันว่า “หากไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ย่อมไม่อาจรู้จักกับคำว่าชนะที่แท้จริง” เรื่องนี้เห็นจะไม่เกินจริง เพราะต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตจริงของ ส.ส.หน้าใหม่ หนุ่มไฟแรงวัยเพียง 30 กว่าๆ ที่ผ่านเรื่องราวการเมืองมาอย่างโชกโชน เคยล้มแล้วก็ลุก จนในที่สุดก็ได้มายืนแถวหน้าของ จ.ขอนแก่น กลายเป็นขวัญใจชาวบ้าน ได้ในที่สุด นั่นก็คือ “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย

>> เริ่มสนใจในการเมือง

“เริ่มจากการเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน โดยเป็น ส.จ.จากนั้นเป็นรองนายก อบจ.รวมแล้ว ประมาณ 2 สมัย จากนั้นราวปี 40 ก็เริ่มลงการเมือง สนามใหญ่ในนามพรรคราษฎร แต่สอบตก และเมื่อ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในราวปี 44 ก็ลงอีกครั้งในนาม พรรคมหาชน แต่ก็สอบตกอีกครั้ง จากนั้นก็เว้นวรรคไปจนกระทั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 50 จึงได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ ในสีเสื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นอกจากผลงาน ที่ทำไว้กับการเมืองท้องถิ่นแล้ว กระแสความนิยม ของพรรคก็มีส่วนสำคัญให้ได้รับเลือกเข้ามา”

>> ผลงานที่ผ่านมา

“เริ่มตั้งแต่การเป็น ส.จ.ก็ทำกิจกรรมกับ ชาวบ้านมาตลอด ทั้งเรื่องการประสานงาน ถนนหนทาง ซึ่งผมจะเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมกับ ชาวบ้านตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็น ส.จ.จนมาถึงตอนนี้”

>> จุดเด่นของตัวเอง

“ผมว่าคงเป็นจุดที่ผมทำงานจริงจัง ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ จงรักภักดีกับพรรค ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนที่ทำให้ไม่อยาก ไปที่อื่น”

>> ความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“เป็นนักการเมืองยังไงก็ต้องพร้อม ถึงจะเลือกวันนี้พรุ่งนี้ก็พร้อมตลอด เพราะเราอาสาเข้ามาแล้ว ที่สำคัญเรามั่นใจ เพราะมีการลงพื้นที่ตลอด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมมั่นใจในกระแส

ของพรรคเพื่อไทย ศรัทธาของคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงยึดมั่นอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) จนชาวบ้านบอกว่า ต่อให้ ส.ส.ทำดียังไง รักยังไง แต่อยู่พรรคอื่นก็จะไม่เลือก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป ตัวบุคคลเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับเลือกตั้ง หรือไม่แล้ว”

“ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผ่านมาผมลงพรรค ราษฎร มหาชน ซึ่งทำโพลออกมานำมาตลอด แต่พอเลือกตั้งจริง ผมสอบตกทั้งสองครั้ง แม้กระแสชาวบ้านจะออกมาว่ารักอดีต ส.จ.อย่างผม เพราะทำผลงานไว้มาก แต่เขาก็บอกว่า เขารักทักษิณมากกว่า เพราะมีผลงานช่วยเหลือพวกเขาเป็นรูปธรรมที่สุดกว่ารัฐบาลไหนๆ ผมจึงขอบอก เลยว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่พรรคนี้ ผมคงไม่ได้เป็น ส.ส.และผมก็ไม่ย้ายพรรคอย่าง ส.ส.คนอื่นที่เห็นในสภา เพราะคนที่ย้ายไปแล้ว หลายคนกลับพื้นที่เข้าบ้านไม่ได้ หรือไม่สนิทใจ เพราะไม่โดนโห่ไล่ก็ถูกสาปแช่งจากคนในพื้นที่”

“เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการโกง เปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ หรืออะไรก็ตาม ภาคอีสานและเหนือจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย เกือบหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่การปราศรัยเท่านั้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”

>> เรื่องนี้เลยทำให้ที่ผ่านมา

ชาวอีสานมาชุมนุมจำนวนมาก

“ผมไม่เคยเห็นครั้งไหนๆ ชาวบ้านขายข้าวขายของขายผลผลิต แล้วเอาเงิน มาสนับสนุนการชุมนุม หากใครมีเวลาก็ไป ที่สำคัญเขาไม่ง้อ ส.ส.ด้วยว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย เขาช่วยกันบริจาคเงิน ช่วยแรง บ้างก็ช่วยเป็นผลผลิตในไร่นามาช่วยในการชุมนุม เขาประชุมบริหารจัดการกันเองหมดโดยที่ ส.ส.ไม่ได้เข้าไปเป็นแกนนำเลย มีบางคนโจมตีว่าคนมาชุมนุมได้เงิน แต่ที่ขอนแก่นตรงกันข้าม คนที่มาชุมนุมนอก จากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินบริจาคอีก บางครั้งมีการทำบัตรขายล่วงหน้าสำหรับ คนที่จะมาชุมนุมในจังหวัด ก็ได้เงินมาหลาย แสนมาเป็นกองกลาง ซึ่งถ้าเป็นอดีตถ้าจะ ให้คนมารวมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องมีค่ารถ หรือค่าหัว แต่ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นประชาชนเป็นคนลงทุน”

>> เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพอะไร

“มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มเห็น เริ่มรู้ เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธา โดยเฉพาะการ ศรัทธาในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเขาเห็น ผลงานจริงที่เป็นรูปธรรม”

>> เปรียบเทียบเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง

“เท่าที่สัมผัสมา ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเสื้อแดง เพราะเขาบอกเหตุผลว่า ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้บ้านเมือง ที่สำคัญคนที่เคยเห็นต่างส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นเสื้อแดงเกือบหมดแล้ว เพราะเขาเห็น ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผลดีอะไรอย่างเป็น รูปธรรมเลยจากอีกฝ่าย”

>> การเข้าประเทศของอดีตนายกฯ

หากกลับมาเป็นรัฐบาล

“หากกลับมาเป็นรัฐบาล เรื่องนี้ต้อง ดูความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะทำผิด ไม่ว่าเป็นอดีตนายกฯ หรือผู้ที่ถูกกักขังในข้อหาก่อการร้ายหรือคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม กฎหมาย ในขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก”

>> การถูกกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า

“สถาบันพระมหากษัตริย์นับเป็นสถาบัน ที่สูงสุดของคนไทย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน รักและเทิดทูนพระองค์ท่าน การถูกกล่าวหา เราจึงยอมรับไม่ได้ เป็นการกล่าวหาข้างเดียว เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็ก เด็กทุกคนต้องร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะฉะนั้น คน ในผืนแผ่นดินไทยทุกคน ย่อมต้องรักและเทิดทูนสถาบันทั้งสิ้น ซึ่งการถูกกล่าวหาเช่นนี้ รวมถึงกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นการ กล่าวหาที่จ้องทำลายล้างทางการเมือง”

“ที่ผ่านมาพรรคก็ได้ชี้แจงให้สังคม รับทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราคงไปห้ามคนที่ใส่ร้ายทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคน จงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีรัฐบาลไม่ควรนำเรื่องสถาบัน เบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้ หากต้องการความสมานฉันท์ที่แท้จริง รัฐบาลต้องมีความจริงใจ ไม่ทำเพียงเพื่อโค่นล้มอำนาจฝ่ายตรงข้าม”

>> มองรัฐบาลชุดนี้

“จริงๆ คำว่าประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้น ความต้องการ ใดๆ ของประชาชนควรเป็นที่ตั้ง ผมว่าผู้บริหารที่อยู่แต่ข้างบน ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อย่างทุกวันนี้พื้นที่ น้ำท่วมในขอนแก่นบางที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือค่าทดแทนอะไรเลย เขาก็โทร.มาถาม ส.ส.ในพื้นที่อย่างผมว่าตกลง รัฐบาลจะช่วยเหลือรายละเท่าไร ช่วยยังไง บางทีน้ำไม่ได้ท่วมบ้านเขา แต่ท่วมในพื้นที่ การเกษตร แล้วเขาจะเอาอะไรกิน หนี้สิน เขาจะทำยังไง ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ สุดท้าย ณ ขณะนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่ภาคใต้ซึ่งถูกน้ำท่วมทีหลังกลับได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนอีสานรวมถึงคนส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศชาติ มี ปัญหามากมายถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ ยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ”

>> เหตุการณ์รุนแรง

ทางการเมืองที่ผ่านมา

“รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบโดยเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หาข้อเท็จจริงแล้วเอาคนสั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควร เกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยในสมัยนี้แล้ว เรื่องต่างๆ มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรฐานไปแล้ว ตอนนี้พี่น้องประชาชนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร ผมจึงบอกประชาชนว่า วันนี้ประชาชนต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เป็นที่พึ่งของตัวเองนี้ จะมี ส.ส.เพื่อไทยยืนอยู่เคียงข้างตลอด”

>> จุดสิ้นสุดความขัดแย้ง

“ความขัดแย้งจะจบลงได้ เมื่อมีการ เลือกตั้งใหม่ แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าสีเสื้อใดต้อง ยอมรับในกติกา แต่การเลือกตั้งต้องเป็นไป อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าพรรคใดได้เสียง ข้างมาก อีกฝ่ายก็ต้องยอม”

>> กรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ยุบพรรคเพื่อไทย

“ผมเรียนว่า ในขณะที่พรรคการ เมืองบางพรรคเสนอยังไงก็ไม่ถูกยุบ ซึ่งอาจมีของขลังอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเสนอให้ยุบพรรควันไหน ผมฟันธงได้เลยว่าถูกยุบแน่นอน แล้วจะถูกยุบอย่างรวดเร็วด้วย ไม่มีข้ามเดือนข้ามปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานเริ่มเสื่อมไปมาก อย่าง ไรก็ตาม แม้ไม่มีพรรคเพื่อไทย วันหนึ่งก็ต้องมีพรรคอื่นที่เข้ามาสานต่อ เพราะศรัทธาของคนอีสานก็ยังมีจุดยืนเดิม”ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมุมมองอันแหลมคมของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงอย่าง “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย


ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คู่บารมี'มาร์ค'

ไม่แปลกใจเลยกับวิธีคิดของคนประชาธิปัตย์

พูดกันมานานแล้วกับแบบฉบับ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น"

ล่าสุดก็มีการตอกย้ำเข้าไปอีก

เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวนายกรัฐมนตรี

แสดงความเห็นกรณี นิตยสารไทม์ แม็กกาซีน สื่อยักษ์ทรงอิทธิพลของสหรัฐ

จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ระดับโลกแห่งปี 2553 ที่มีข่าวม็อบเสื้อแดงของไทยรวมอยู่ด้วย

นายเทพไทบอกว่า คนไทยไม่ควรภาคภูมิใจกับข่าวนี้ ดังนั้น ขอให้แกนนำนปช.ทบทวนการเคลื่อนไหวไม่ให้ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาอีก

นายเทพไทคงไม่ได้อ่านเหตุผลที่ไทม์ยกข่าวนี้เป็นข่าวแห่งปี

เพราะไทม์ระบุว่ารัฐบาลไทยใช้มาตรการกระชับพื้นที่ม็อบแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 1,800 คน

เหตุการณ์นี้มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากหลายประเทศบันทึกไว้ได้และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง

ฉะนั้น การที่ไทม์จัดให้ข่าวเสื้อแดงติดอันดับข่าวใหญ่ของโลก เพราะเห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

ไม่ใช่เพราะประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล

แบบที่นายเทพไทเอาดีใส่ตัว โยนบาปให้คนเสื้อแดง!!

อีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยเช่นกัน

กรณีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาปกป้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

หลังพรรคเพื่อไทยปูดข่าวว่ามีบิ๊กสีขี้ม้ากดดันให้ปลดนายธาริต

ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ประสานเสียงยืนยัน

นายธาริตเป็นคนดี ทำงานมีประสิทธิภาพ

ไม่มีปลด ไม่มีเด้ง

แน่นอนอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางที่จะปลดนายธาริต

เพราะทั้งทำงานเข้าตา ทั้งรู้ใจรัฐบาลเป็นที่สุด

คดี 91 ศพก็อืดอาดได้ใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง

ล่วงเลยมาเกือบ 8 เดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน!?

คดีความที่แกนนำนปช.เป็นผู้ต้องหาก็จับยัดคุกฉับไว สมกับที่รัฐบาลไว้วางใจ

การตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ตรงตามนโยบายเป๊ะ!

มีหรือที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะปลดคนแบบนี้

รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 7-8 เดือนหลังเหตุการณ์สลายม็อบแดง

ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของนายธาริตนี่แหละ!

ฝีมืออธิบดีคู่บารมีนายกฯ อภิสิทธิ์

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------------