การอนุมัติให้ปรับขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. และข้าราชการฝ่ายการเมืองในอัตรา 14.3-14.7% ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากงบกลางและเป็นภาษีของประชาชนนั้น ยังมีกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส. และ ส.ว. ไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะได้รับค่าตอบแทน
อย่างนางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยให้เห็นผลว่า การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายในปีหน้า และถือว่าเสียวินัยทางการคลัง ซึ่งตนเองจะทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่รับเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้นางสาวรสนายังเห็นว่า การตั้งกรอบงบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ภายหลังนำมาจัดสรรเป็นเงินเดือนให้ ส.ส. และ ส.ว. มีลักษณะเหมือนเซ็นเช็คเปล่าเพื่ออนุญาตให้ใช้เงินล่วงหน้าแล้วกรอกตัวเลขภายหลัง ประชาชนเจ้าของภาษีสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
แม้การออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) จะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่หากไม่ถูกต้องก็สามารถเพิกถอนได้เช่นกัน อย่างที่นางสาวรสนาเคยฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอน พ.ร.ฎ.การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยของรัฐบาลก่อนหน้านี้ และสุดท้ายศาลปกครองก็ให้เพิกถอน
ขณะที่รัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำและเตรียมทุ่มงบประมาณที่อ้างว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนนั้น ก็มีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าที่ผ่านมารัฐบาล ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการโครงการลักษณะประชานิยมหรือกึ่งรัฐสวัสดิการมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นการสร้างงานหรือทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่เป็นลักษณะการให้เปล่าหรือแจกฟรีกว่า 200,000 ล้านบาทแล้ว ไม่ใช่เฉพาะคนรากหญ้าเมืองและชนบท แต่ยังเอาใจทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง เหมือนการหาเสียงล่วงหน้าหรือ “ตกเขียว” ซึ่งอาจกระทบต่อเงินคงคลังและวินัยการคลัง
ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคก็มีการจัดสรรเงินงบประมาณในลักษณะต่างๆลงในพื้นที่ของตน ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากในอดีตที่ฝ่ายการเมืองจะเอาเงินงบประมาณที่เป็นเงินภาษีของประชาชนไปหาเสียง โดยเฉพาะระยะใกล้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระหนี้สินใน 10 ปีข้างหน้าที่จะเพิ่มเป็น 3.3 ล้านล้านบาท ยังไม่เห็นรัฐบาลวางนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเลย นอกจากใช้งบประมาณในลักษณะหาเสียงทางการเมืองล่วงหน้า ทั้งที่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศร่ำรวยที่จะทำนโยบายประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มได้ รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจพื้นฐานให้มั่นคงก่อน อาทิ การศึกษา การรักษาพยาบาล คนชรา และแรงงานนอกระบบ ฯลฯ
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้
สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ
กระแสการขอปรับขึ้นเงินเดือนกำลังเป็นที่นิยม พอหน่วยงานนี้เห็นหน่วยงานนั้นขอได้ก็ขอบ้าง สรุปว่าขอขึ้นกันเกือบทั้งหมด หากจะปรับขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้
ในที่สุดก็ได้เห็นปรากฏการณ์ “ขี้ขอ” เกิดขึ้นตามมามากมายหลังคณะกรรมการค่าจ้างกลางอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว. ก็ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วยเช่นกัน ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชง ครม. ขอให้กับ อบต. ทั่วประเทศ (ยังแป้ก) กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ขอด้วย ส.ก.-ส.ข. กลัวตกขบวนรีบขอ อ้างว่า 17 ปีแล้วไม่ได้ขยับ ส่วนข้าราชการลอยตัวรัฐบาลปรับให้ก่อนแล้ว
มีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ มัวแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเลย” หากทุกฝ่ายขอกันหมดและได้ตามที่ขอผลกระทบก็จะอยู่ที่ชาวบ้าน เพราะแทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าวของก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องประหลาดมากๆ อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายปีแต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คือคำว่าเหมือนกันหมด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการก็ปรับให้เหมือนกันหมด เป็นระนาบเดียวกันหมด ด้วยเหตุผลคำว่า “คนเหมือนกัน”
คำว่าคนเหมือนกันอาตมาขอเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองหนึ่งทรงเสด็จทางชลมารคเพื่อไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในเรือมีมหาดเล็กนั่งเคียงข้างเป็นที่ปรึกษา ฝีพายคนหนึ่งที่มีหน้าที่พายเรืออย่างเดียวก็นึกอิจฉามหาดเล็กที่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมาพายเรือเหมือนตน ซ้ำบางช่วงยังนั่งหลับอีกต่างหาก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีว่า “คนเหมือนกันนี่หว่า” พระราชาได้ยินจึงรู้ว่าฝีพายกำลังอิจฉามหาดเล็ก พอถึงท่าน้ำเสด็จขึ้นฝั่งแล้วก็ไล่ให้มหาดเล็กขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพระราชาได้ยินเสียงลูกหมาร้องจึงเรียกให้ฝีพายขึ้นมาช่วยหาลูกหมา ฝีพายจึงก้มดูใต้แคร่แล้วรีบลุกขึ้นมากราบทูลตอบกลับไปว่า “หมาออกลูกพระเจ้าข้า” พระราชาก็ถามกลับไปอีกว่า “มีกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับ “มี 4 ตัวพระเจ้าข้า” พระราชาถามอีก “แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับอีกและตอบกลับมาว่า “ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว พระเจ้าข้า” เรียกว่าฝีพายต้องก้มอยู่หลายครั้งตามคำสั่งของพระราชา
พระราชาจึงบอกให้ฝีพายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกมหาดเล็กมาหา พร้อมกับบอกให้ก้มไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น สิ้นคำสั่งพระราชามหาดเล็กจึงก้มลงไปสักอึดใจหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาทูลให้ทราบว่า ใต้แคร่นั้นมีลูกหมาที่พึ่งคลอดอยู่ 4 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว มีสีนั้นสีนี้ เรียกว่ารายงานให้พระราชาทรงทราบในรายละเอียดที่เห็นจากการก้มเพียงครั้งเดียว พระราชาจึงพูดขึ้นว่า “คนเหมือนกัน” แล้วมองหน้าถามฝีพายกลับไปว่า “คิดว่าคนเหมือนกันหรือไม่”
นิทานเรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลตอบแทนหรือค่าตอบแทนในการทำงานก็ควรไม่เหมือนกันด้วย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญา ความสามารถมีไม่เท่ากัน หากนายจ้างจะขึ้นเงินเดือนให้ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ดูที่ความขยัน ดูที่ความขี้เกียจของแต่ละคนในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน
เพราะฉะนั้นการขึ้นเงินเดือนไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร อย่างไรก็ไม่สมควรขึ้นให้เท่ากัน คนงานที่วัดสวนแก้วบางคนให้ 50 บาท ยังไม่คุ้มเลย เพราะอู้ก็เก่ง หนีงานก็ที่หนึ่ง แล้วอย่างนี้จะให้เท่ากันได้อย่างไร ส.ส.-ส.ว. ก็ไม่ต่างกัน เวลาประชุมทำงานเพื่อบ้านเมืองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง บางคนไม่เคยมาเลยก็มี แล้วจะให้ขึ้นเท่ากันได้อย่างไร เป็นเรื่องสมควรหรือไม่
ถึงเวลาหรือยังที่การปรับขึ้นเงินเดือนในแต่ละครั้งควรให้โอกาสภาษีของประชาชนบ้าง ถ้าเป็นแรงงานภาคเอกชนก็ควรให้โอกาสเจ้าของกิจการบ้าง อาตมากล่าวอย่างนี้เพียงแค่ต้องการเตือนนายทุนทั้งหลายว่าถ้าแรงงานคนไหนทำงานให้คุณด้วยความทุ่มเท ทำให้บริษัท ห้างร้านของคุณก้าวหน้า ก็ควรให้โอกาสเขาด้วยเช่นกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหนื่อยมาตั้งเยอะแต่ได้แค่นี้
ฉะนั้นแรงงานหรือนักการเมืองควรนำคำว่าดีมาคิดบ้าง เพราะถ้าดีไม่พอก็ไม่อยากจะขึ้นให้ แต่ถ้าดีพอก็ขึ้นให้แน่นอน จึงควรนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณากันบ้าง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือเอกชน ไม่ใช่ใครขอมาก็ให้หมด มันจะพังกันไปทั้งประเทศ อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งใครขออะไรก็ให้
เจริญพร
**********************************************************************
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ
กระแสการขอปรับขึ้นเงินเดือนกำลังเป็นที่นิยม พอหน่วยงานนี้เห็นหน่วยงานนั้นขอได้ก็ขอบ้าง สรุปว่าขอขึ้นกันเกือบทั้งหมด หากจะปรับขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้
ในที่สุดก็ได้เห็นปรากฏการณ์ “ขี้ขอ” เกิดขึ้นตามมามากมายหลังคณะกรรมการค่าจ้างกลางอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว. ก็ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วยเช่นกัน ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชง ครม. ขอให้กับ อบต. ทั่วประเทศ (ยังแป้ก) กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ขอด้วย ส.ก.-ส.ข. กลัวตกขบวนรีบขอ อ้างว่า 17 ปีแล้วไม่ได้ขยับ ส่วนข้าราชการลอยตัวรัฐบาลปรับให้ก่อนแล้ว
มีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ มัวแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเลย” หากทุกฝ่ายขอกันหมดและได้ตามที่ขอผลกระทบก็จะอยู่ที่ชาวบ้าน เพราะแทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าวของก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องประหลาดมากๆ อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายปีแต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คือคำว่าเหมือนกันหมด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการก็ปรับให้เหมือนกันหมด เป็นระนาบเดียวกันหมด ด้วยเหตุผลคำว่า “คนเหมือนกัน”
คำว่าคนเหมือนกันอาตมาขอเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองหนึ่งทรงเสด็จทางชลมารคเพื่อไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในเรือมีมหาดเล็กนั่งเคียงข้างเป็นที่ปรึกษา ฝีพายคนหนึ่งที่มีหน้าที่พายเรืออย่างเดียวก็นึกอิจฉามหาดเล็กที่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมาพายเรือเหมือนตน ซ้ำบางช่วงยังนั่งหลับอีกต่างหาก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีว่า “คนเหมือนกันนี่หว่า” พระราชาได้ยินจึงรู้ว่าฝีพายกำลังอิจฉามหาดเล็ก พอถึงท่าน้ำเสด็จขึ้นฝั่งแล้วก็ไล่ให้มหาดเล็กขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพระราชาได้ยินเสียงลูกหมาร้องจึงเรียกให้ฝีพายขึ้นมาช่วยหาลูกหมา ฝีพายจึงก้มดูใต้แคร่แล้วรีบลุกขึ้นมากราบทูลตอบกลับไปว่า “หมาออกลูกพระเจ้าข้า” พระราชาก็ถามกลับไปอีกว่า “มีกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับ “มี 4 ตัวพระเจ้าข้า” พระราชาถามอีก “แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับอีกและตอบกลับมาว่า “ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว พระเจ้าข้า” เรียกว่าฝีพายต้องก้มอยู่หลายครั้งตามคำสั่งของพระราชา
พระราชาจึงบอกให้ฝีพายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกมหาดเล็กมาหา พร้อมกับบอกให้ก้มไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น สิ้นคำสั่งพระราชามหาดเล็กจึงก้มลงไปสักอึดใจหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาทูลให้ทราบว่า ใต้แคร่นั้นมีลูกหมาที่พึ่งคลอดอยู่ 4 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว มีสีนั้นสีนี้ เรียกว่ารายงานให้พระราชาทรงทราบในรายละเอียดที่เห็นจากการก้มเพียงครั้งเดียว พระราชาจึงพูดขึ้นว่า “คนเหมือนกัน” แล้วมองหน้าถามฝีพายกลับไปว่า “คิดว่าคนเหมือนกันหรือไม่”
นิทานเรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลตอบแทนหรือค่าตอบแทนในการทำงานก็ควรไม่เหมือนกันด้วย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญา ความสามารถมีไม่เท่ากัน หากนายจ้างจะขึ้นเงินเดือนให้ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ดูที่ความขยัน ดูที่ความขี้เกียจของแต่ละคนในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน
เพราะฉะนั้นการขึ้นเงินเดือนไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร อย่างไรก็ไม่สมควรขึ้นให้เท่ากัน คนงานที่วัดสวนแก้วบางคนให้ 50 บาท ยังไม่คุ้มเลย เพราะอู้ก็เก่ง หนีงานก็ที่หนึ่ง แล้วอย่างนี้จะให้เท่ากันได้อย่างไร ส.ส.-ส.ว. ก็ไม่ต่างกัน เวลาประชุมทำงานเพื่อบ้านเมืองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง บางคนไม่เคยมาเลยก็มี แล้วจะให้ขึ้นเท่ากันได้อย่างไร เป็นเรื่องสมควรหรือไม่
ถึงเวลาหรือยังที่การปรับขึ้นเงินเดือนในแต่ละครั้งควรให้โอกาสภาษีของประชาชนบ้าง ถ้าเป็นแรงงานภาคเอกชนก็ควรให้โอกาสเจ้าของกิจการบ้าง อาตมากล่าวอย่างนี้เพียงแค่ต้องการเตือนนายทุนทั้งหลายว่าถ้าแรงงานคนไหนทำงานให้คุณด้วยความทุ่มเท ทำให้บริษัท ห้างร้านของคุณก้าวหน้า ก็ควรให้โอกาสเขาด้วยเช่นกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหนื่อยมาตั้งเยอะแต่ได้แค่นี้
ฉะนั้นแรงงานหรือนักการเมืองควรนำคำว่าดีมาคิดบ้าง เพราะถ้าดีไม่พอก็ไม่อยากจะขึ้นให้ แต่ถ้าดีพอก็ขึ้นให้แน่นอน จึงควรนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณากันบ้าง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือเอกชน ไม่ใช่ใครขอมาก็ให้หมด มันจะพังกันไปทั้งประเทศ อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งใครขออะไรก็ให้
เจริญพร
**********************************************************************
"แกนนำแดงในคุก"หวั่นแนวร่วมเข้าใจผิด คิดว่าก้มหัวให้รัฐบาล หลังมีข่าว"ธิดา-มาร์ค"หารือร่วมกัน
หลังการหารือระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. และนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็มีปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาจากคนเสื้อแดงภายในเรือนจำพิเศษ โดยแหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับรู้ข่าวการหารือกันแล้วต่างก็ตกใจ เพราะก่อนหน้านี้แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการยอมเป็นฝ่ายเข้าพบนายอภิสิทธิ์ ก่อนเป็นอันขาด และจะยอมถูกควบคุมตัวจนกว่าจะได้รับการประกันตัวตามกฎหมาย นอกจากนี้ภาพข่าวที่ออกมาถูกสังคมมองว่า นางธิดาเป็นฝ่ายไปขอเจรจากับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งสร้างผลกระทบด้านลบกับคนเสื้อแดงและแกนนำที่ถูกควบคุมตัว ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงถูกมองว่า ถอดใจหลังถูกควบคุมตัวแล้ว
แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า นางธิดายังได้เล่าบรรยากาศในการหารือกับนายอภิสิทธิ์ ให้แกนนำคนเสื้อแดงและภรรยาแกนนำคนเสื้อแดงบางคนฟังว่า นายอภิสิทธิ์รับฟังข้อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความร่วมมือในการขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงเป็นอย่างดี และระหว่างการพูดคุยนายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์สายตรงไปหานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปดำเนินการพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกเรื่องการขอประกันตัว
"นายอภิสิทธิ์ได้กำกับนายพีระพันธุ์ไปว่า ให้กรมคุ้มครองสิทธิฯไปพิจารณาว่าแกนนำคนเสื้อแดงคนไหนมีทีท่าที่จะสามารถพูดคุยเรื่องการปรองดองได้ และไม่มีท่าทีที่จะใช้ความรุนแรงก็ให้ช่วยเหลือเรื่องประกันตัวออกมา" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่พูดคุยกับนางธิดา
ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพวกตนไม่รู้เรื่องและนางธิดายืนยันว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างคำถามให้กับมวลชนคนเสื้อแดง ในหลายพื้นที่เพราะทำให้สังคมมองว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำเป็นฝ่ายยอม จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนของรัฐบาลหรือไม่ แต่ได้ยืนยันไปว่าพวกตนไม่เคยยอมให้กับนายอภิสิทธิ์ และไม่เคยที่จะขอพบนายอภิสิทธิ์แม้แต่ครั้งเดียว หากนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงจะเดินหน้าขับไล่ต่อไป เพราะไม่เคยลืมว่านายอภิสิทธิ์มาจากค่ายทหาร
ที่มา.มติชน
*******************************************************
แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า นางธิดายังได้เล่าบรรยากาศในการหารือกับนายอภิสิทธิ์ ให้แกนนำคนเสื้อแดงและภรรยาแกนนำคนเสื้อแดงบางคนฟังว่า นายอภิสิทธิ์รับฟังข้อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความร่วมมือในการขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงเป็นอย่างดี และระหว่างการพูดคุยนายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์สายตรงไปหานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปดำเนินการพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกเรื่องการขอประกันตัว
"นายอภิสิทธิ์ได้กำกับนายพีระพันธุ์ไปว่า ให้กรมคุ้มครองสิทธิฯไปพิจารณาว่าแกนนำคนเสื้อแดงคนไหนมีทีท่าที่จะสามารถพูดคุยเรื่องการปรองดองได้ และไม่มีท่าทีที่จะใช้ความรุนแรงก็ให้ช่วยเหลือเรื่องประกันตัวออกมา" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่พูดคุยกับนางธิดา
ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพวกตนไม่รู้เรื่องและนางธิดายืนยันว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างคำถามให้กับมวลชนคนเสื้อแดง ในหลายพื้นที่เพราะทำให้สังคมมองว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำเป็นฝ่ายยอม จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนของรัฐบาลหรือไม่ แต่ได้ยืนยันไปว่าพวกตนไม่เคยยอมให้กับนายอภิสิทธิ์ และไม่เคยที่จะขอพบนายอภิสิทธิ์แม้แต่ครั้งเดียว หากนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงจะเดินหน้าขับไล่ต่อไป เพราะไม่เคยลืมว่านายอภิสิทธิ์มาจากค่ายทหาร
ที่มา.มติชน
*******************************************************
วารสารศาสตร์ข้อมูล: เราควรจะขอบคุณวิกิลีกส์ #wikileaks #opendata
Roy Greenslade (twitter: @GreensladeR) เขียน ; อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล (@bact) แปลและเรียบเรียง
เผยแพร่ครั้งแรกใน http://bact.blogspot.com/2010/12/wikileaks-opendata.html
เผยแพร่ครั้งแรกใน http://bact.blogspot.com/2010/12/wikileaks-opendata.html
แน่นอนว่ามันต้องมีแหล่งข่าวที่เป็นบุคคล ใครสักคนในที่ไหนสักแห่ง ส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ไปยังเว็บไซต์วิกิลีกส์ แต่ไม่ว่าผู้แจ้งความไม่ชอบมาพากลคนนี้จะเป็นใคร มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรกับเรา
ข้อมูลดิบดังกล่าว เป็นขุมทรัพย์ขนาดใหญ่สำหรับนักหนังสือพิมพ์ในสามสำนักข่าว – นิวยอร์กไทมส์ (New York Times สหัรฐอเมริกา), เดอะการ์เดียน (The Guardian สหราชอาณาจักร), และ แดร์ สปีเกล (Der Spiegel เยอรมนี) – ที่จะขุดค้นหาข่าวจากมัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะนักข่าวเหล่านั้นเท่านั้น บันทึกประจำวันจากสงครามอัฟกานิสถานนั้นอยู่บนอินเทอร์เน็ต ที่ใครก็เข้าไปขุดค้นสมบัติหาข้อมูลได้
เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร นักหนังสือพิมพ์ทำเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาอ่านกองเอกสารทีละหน้าทีละหน้า เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ ข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งหรือสองชิ้น ซึ่งจะนำไปสู่สกู๊ปสำคัญ
แต่ก็นั่นล่ะ เราต้องยอมรับว่า นักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานดังที่กล่าวมา แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันทั้งใช้เวลาและแรงงาน แล้วก็ไม่มีสีสันตื่นตาตื่นใจ มันไม่มีสเน่ห์ดึงดูด ด้วยแรงกดดันในองค์กรข่าวสมัยใหม่ ที่จำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพคุ้มราคา มันเป็นเรื่องยากที่บรรณาธิการข่าวจะอนุญาตให้นักข่าวใช้เวลามาก ๆ ไปกับกองเอกสารท่วมหัว
ความสำเร็จของ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” หรือการทำข่าวจากข้อมูลดิบนั้นมักจะถูกลืม ตัวอย่างหนึ่งโดดเด่นก็คือ กรณีข่าวสืบสวนโดยหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ (Sunday Times) ที่ตามติดกรณียาระงับประสาทของบริษัทยาเยอรมันที่ถูกถอนออกจากตลาดในปี 1961 หลังจากพบว่ามีผลกระทบรุนแรงต่อทารก
ระหว่างการสืบสวนดังกล่าว ซันเดย์ไทมส์จ่ายเงินเพื่อซื้อเอกสารภายในจำนวนมากของบริษัทดังกล่าว และต้องแปลมันทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่ง ฟิลลิป ไนท์ลีย์ (Phillip Knightley) หนึ่งในทีมข่าวกล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทำงานอย่างหนัก เพื่อทำความเข้าใจเอกสารเหล่านั้น
ถึงในปี 1968 จะยังเป็นสมัยที่ซันเดย์ไทมส์มีกำลังคนพร้อมเพรียง และยินดีที่จะจัดสรรทรัพยากรให้กับทีมนักข่าวสืบสวน ไนท์ลีย์ก็ยังบอกกับเราว่า คนก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะคุ้มค่าหรือ ที่จะทำข่าวที่ต้องใช้ทั้งเงินและเวลายาวนานขนาดนี้
แม้ในที่สุดข่าวสืบสวนชิ้นนี้จะประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชยที่ดีขึ้นแก่ผู้เสียหาย แต่ดูเหมือนว่า ความสงสัยต่อความคุ้มค่าในการลงทุนทำ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในองค์กรข่าวส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่กำลังจะตัดงบประมาณของกองบรรณาธิการ
แน่นอนว่า ข่าวสืบสวนคดีวอเตอร์เกต (Watergate) ในต้นทศวรรษ 1970 โดย Bob Woodward และ Carl Bernstein ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสกู๊ปข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล นั้นมีความสำคัญ รายงานชิ้นดังกล่าวอาศัยแหล่งข่าวที่ปิดเป็นความลับ ที่รู้จักกันในชื่อ “Deep Throat” และตั้งแต่นั้นมา นักหนังสือพิมพ์ก็ตกเป็นทาสของแหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้เหล่านี้เสียเอง แต่ข่าวแบบนี้แหละที่มีสเน่ห์ดึงดูด
แหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของวารสารศาสตร์สมัยใหม่ ผมเคยบอกกับนักศึกษาวารสารศาสตร์ของผมอย่างนั้นเสมอ ๆ แต่ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่า ผมให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป จนให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับการค้นหา อ่าน และวิเคราะห์ข้อมูลดิบ
ถ้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นร่างแรกของประวัติศาสตร์ อย่างที่เรานักหนังสือพิมพ์มักอ้างกัน เราก็ควรจะต้องทำงานให้ใกล้เคียงกับนักประวัติศาสตร์เสียหน่อย บรรดานักประวัติศาสตร์พยายามมองหาแหล่งข้อมูล
ชั้นต้น เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นกับเหตุการณ์ในอดีต
สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของข้อมูลต่างๆ ในวิกิลีกส์นั้นคือ มันเป็นข้อมูลที่ทันสมัย มันทำให้นักหนังสือพิมพ์และสาธารณะเข้าใจชัดเจนขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอัฟกานิสถาน ในแง่นี้ ข้อมูลเหล่านี้ที่ทุกคนเข้าไปอ่านได้ ช่วยมอบความเข้าใจที่มีค่ามหาศาลให้กับเรา
อย่างไรก็ตาม การโพสต์เอกสารขึ้นอินเทอร์เน็ตโดยตัวมันเองไม่ใช่การทำข่าว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการข่าว มันยังต้องการการวิเคราะห์ วางบริบท และในบางกรณี การเซ็นเซอร์ที่จำเป็นเพื่อที่จะปกป้องปัจเจกบุคคลที่ถูกระบุในเอกสารดัง กล่าว
ผมทราบว่า นักข่าวอาชีพไม่ได้เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถทำงานนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ มีทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ ดังกล่าว และมีความรู้ที่จะทำให้พวกเขาทำงานดังกล่าวได้ดี การรายงานโดย เดอะการ์เดียน และ นิวยอร์กไทมส์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
มันอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรโดยทันที ไม่มีประธานาธิบดีต้องออกจากตำแหน่ง เหมือนกรณีวอเตอร์เกต แต่สิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏจากเอกสาร คือการยืนยันสิ่งที่สื่อในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสงสัยมาโดยตลอด เกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ว่ามันเลวร้ายและมีแต่จะแย่ลง ๆ นับตั้งแต่ปี 2004 มันตบหน้ารายงานประเมินอย่างเป็นทางการที่แสนสวยงาม
ข้อมูลดิบทั้งหมดดังกล่าวมานั้น เชื่อถือได้มากกว่า เพราะมันเป็นรายงานโดยทหารในสนามรบจริง ๆ ว่าพวกเขาพบเห็นและประสบอะไรบ้าง มันไม่มีการปั่นข่าว ตัวรายงานนั้นอาจไม่ได้เป็นวัตถุวิสัย – ซึ่งก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นเช่นนั้น – แต่รายงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทาง การเมือง
ใช่ เราอาจพูดได้ว่า การที่วิกิลีกส์โพสต์ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวในพื้นที่สาธารณะ ในตัวมันเองนั้นก็ไม่ได้เป็นวัตถุวิสัยอยู่แล้ว แต่ผมขอสนับสนุนสิ่งที่ จูเลียน อัสซานจ์ (Julian Assange) หัวหน้าบรรณาธิการของวิกิลีกส์ เรียกร้องต่อองค์กรข่าวต่าง ๆ ให้เปิดเผยข้อมูลดิบออกสู่สาธารณะให้มากขึ้น
เขาเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว จะทำให้กิจกรรมของงานข่าวโปร่งใสมากขึ้น ในการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ เขายืนกรานว่า “วารสารศาสตร์ควรจะเป็นเหมือนวิทยาศาสตร์มากขึ้น” และเสริมว่า: “มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จะต้องถูกตรวจสอบยืนยันได้ ถ้านักหนังสือพิมพ์ต้องการที่จะให้อาชีพของพวกเขามีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ได้มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินไปในทิศทางนั้น เคารพคนอ่านให้มากขึ้น”
โดยธรรมชาติของตัวมันเอง การทำข่าวจากแหล่งข่าวบุคคล (source journalism) ย่อมถูกปิดบังไม่ให้สาธารณะได้เห็น การทำข่าวจากข้อมูลดิบ (data journalism) นั้นเปิดเผยมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลดิบนั้นถูกโพสต์ขึ้นอินเทอร์เน็ต เพราะในกรณีที่มีการวิเคราห์ข้อมูลชุดเดียวกันในแนวทางที่ต่างกัน ข้อมูลดิบเหล่านั้นมันอนุญาตให้สาธารณะตัดสินได้ว่าการวิเคราะห์อันไหนที่ น่าเชื่อถือกว่า
เรานักหนังสือพิมพ์ ควรจะต้องดีใจที่มีเว็บไซต์อย่างวิกิลีกส์อยู่ นั่นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ สาธารณะ ที่คนที่มีความเชื่อเป็นอย่างอื่นต้องการจะเก็บมันเป็นความลับ
เว็บไซต์ดังกล่าวสมควรจะได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากพวกเรา และมันจำเป็นจะต้องได้รับการปกป้องจากพลังฝ่ายขวา ที่หาทางจะหลีกเลี่ยงจากการถูกเปิดโปง
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จงใจรั่ว?
เป็นผลสะเทือนของข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น
ที่รั่วไหลไปถึงมือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และสำนักข่าวรอยเตอร์
นายจตุพรอ้างว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจแตงโมที่รับมาจากดีเอสไออีกทอด ขณะที่รอยเตอร์ระบุได้ข้อมูลมาจากฝ่ายรัฐบาล
เป็นข้อมูลตรงกันว่าการตายของประชาชน 6 ศพ และนายมูราโมโตะ
อาจเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ
ภายหลังการเปิดโปงข้อมูลดังกล่าวถูกจับแยกออกเป็น 2 ส่วน
คือส่วน 'ที่มา' และ 'เนื้อหา'
คล้ายๆ กรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามการที่นายจตุพร และรอยเตอร์
นำเนื้อหาข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และคดีนายมูราโมโตะ ของดีเอสไอที่ได้รับออกมาเปิดโปง
เป้าหมายใหญ่ไม่ได้อยู่ตรงเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติหรือแม้แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป
แต่น่าจะอยู่ที่ตัวผู้นำการเมืองสูงสุดขณะนั้นมากกว่า
ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนไหวทวงถามหาความรับผิดชอบต่อความตาย 91 ศพ ที่พุ่งตรงเข้าใส่นายกฯ อภิสิทธิ์ คนเดียวเต็มๆ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับข่าวที่เริ่มกระฉอกออกมา
กองทัพหวาดระแวงกำลังถูกบางคนในรัฐบาลเล่นเกมตลบหลัง
ตรงนี้เองคือต้นตอคำถามถึง 'ที่มา' ของข้อมูลในสำนวนสอบสวนของดีเอสไอ
เป็นการ 'จงใจ' ปล่อยให้รั่วไปถึงมือฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
อันเป็นจุดที่พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลต่อ
มีบิ๊กทหารบางคนไม่พอใจผลสอบสวนของ ดีเอสไอ ที่ระบุถึงคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะอาจเกิดจากการกระ ทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
และต้องการกดดันให้รัฐบาลปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พ้นจากเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ
ซึ่งไม่น่าจะสำเร็จ เพราะรัฐบาลย่อมตระหนักดีว่านายธาริตคือคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. และเป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนคดี 91 ศพ
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ยังนำมาใช้กับนายธาริตไม่ได้ในตอนนี้
ในตอนที่ศึกเสื้อแดงยังไม่สะเด็ดน้ำ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่รั่วไหลไปถึงมือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และสำนักข่าวรอยเตอร์
นายจตุพรอ้างว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจแตงโมที่รับมาจากดีเอสไออีกทอด ขณะที่รอยเตอร์ระบุได้ข้อมูลมาจากฝ่ายรัฐบาล
เป็นข้อมูลตรงกันว่าการตายของประชาชน 6 ศพ และนายมูราโมโตะ
อาจเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ
ภายหลังการเปิดโปงข้อมูลดังกล่าวถูกจับแยกออกเป็น 2 ส่วน
คือส่วน 'ที่มา' และ 'เนื้อหา'
คล้ายๆ กรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามการที่นายจตุพร และรอยเตอร์
นำเนื้อหาข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และคดีนายมูราโมโตะ ของดีเอสไอที่ได้รับออกมาเปิดโปง
เป้าหมายใหญ่ไม่ได้อยู่ตรงเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติหรือแม้แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป
แต่น่าจะอยู่ที่ตัวผู้นำการเมืองสูงสุดขณะนั้นมากกว่า
ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนไหวทวงถามหาความรับผิดชอบต่อความตาย 91 ศพ ที่พุ่งตรงเข้าใส่นายกฯ อภิสิทธิ์ คนเดียวเต็มๆ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับข่าวที่เริ่มกระฉอกออกมา
กองทัพหวาดระแวงกำลังถูกบางคนในรัฐบาลเล่นเกมตลบหลัง
ตรงนี้เองคือต้นตอคำถามถึง 'ที่มา' ของข้อมูลในสำนวนสอบสวนของดีเอสไอ
เป็นการ 'จงใจ' ปล่อยให้รั่วไปถึงมือฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
อันเป็นจุดที่พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลต่อ
มีบิ๊กทหารบางคนไม่พอใจผลสอบสวนของ ดีเอสไอ ที่ระบุถึงคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะอาจเกิดจากการกระ ทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
และต้องการกดดันให้รัฐบาลปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พ้นจากเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ
ซึ่งไม่น่าจะสำเร็จ เพราะรัฐบาลย่อมตระหนักดีว่านายธาริตคือคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. และเป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนคดี 91 ศพ
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ยังนำมาใช้กับนายธาริตไม่ได้ในตอนนี้
ในตอนที่ศึกเสื้อแดงยังไม่สะเด็ดน้ำ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้ก่อตั้งวิกิลี้คส์ย้ำกลัวถูกส่งตัวไปให้สหรัฐดำเนินคดี
นายจูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซท์ วิกิลี้คส์ เปิดเผยที่ด้านนอกสถานีตำรวจเบ็คเซิลส์ ในมณฑลซัฟฟอล์ค ของอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ว่า เขากลัวว่า สหรัฐกำลังเตรียมพร้อมที่จะตั้งข้อหาเขา และเขาวิตกอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากของตัวเอง
นายอัสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ซึ่งออกจากเรือนจำในกรุงลอนดอน หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่หลวงของเขาในเวลานี้ คือ กำลังมีการตั้งข้อหาเขาและเป็นไปได้ว่า อาจรวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เป็นทีมงานของเขาในสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์ สกายนิวส์ว่า เขาได้ยินข่าวลือว่า เขาได้ถูกตั้งข้อหา " จารกรรม " ในสหรัฐ และมียังมีความพยายามที่จะส่งตัวเขาไปดำเนินคดีที่ไหนสักแห่งที่อาจทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังสหรัฐได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ มาร์ค สตีเฟ่นส์ หนึ่งในทนายความชาวสหรัฐของเขา ได้บอกข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีการคณะลูกขุนชุดใหญ่ขึ้นอย่างลับ ๆ ที่รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหา " จารกรรม " ที่อาจใช้เล่นงานเขา
สวีเดน ต้องการตัวนายอัสซานจ์ ไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาข่มขืนผู้หญิงสองคน ในระหว่างที่เขาไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ปัจจุบัน เขาถูกจำกัดบริเวณอยูแต่ภายในอาณาบริเวณของที่พักอาศัย และต้องสวมอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เพื่อตรวจหาพิกัดของตัวเขา และยังต้องรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันด้วย
นายอัสซานจ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำความผิด แต่เขาวิตกว่า ถ้าเขาถูกส่งตัวไปสวีเดน อาจถูกส่งตัวต่อไปยังสหรัฐ และเผชิญข้อกล่าวหาในกรณีที่วิกิลี้คส์ เอาความลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนข้อกล่าวหาด้านอาชญากรรมทางเพศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่ทางการสวีเดน ยืนยันว่า ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้หญิงสองคนที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของนายอัสซานจ์จริง
ที่มา.เนชั่น
-----------------------------------------------
นายอัสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ซึ่งออกจากเรือนจำในกรุงลอนดอน หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่หลวงของเขาในเวลานี้ คือ กำลังมีการตั้งข้อหาเขาและเป็นไปได้ว่า อาจรวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เป็นทีมงานของเขาในสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์ สกายนิวส์ว่า เขาได้ยินข่าวลือว่า เขาได้ถูกตั้งข้อหา " จารกรรม " ในสหรัฐ และมียังมีความพยายามที่จะส่งตัวเขาไปดำเนินคดีที่ไหนสักแห่งที่อาจทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังสหรัฐได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ มาร์ค สตีเฟ่นส์ หนึ่งในทนายความชาวสหรัฐของเขา ได้บอกข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีการคณะลูกขุนชุดใหญ่ขึ้นอย่างลับ ๆ ที่รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหา " จารกรรม " ที่อาจใช้เล่นงานเขา
สวีเดน ต้องการตัวนายอัสซานจ์ ไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาข่มขืนผู้หญิงสองคน ในระหว่างที่เขาไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ปัจจุบัน เขาถูกจำกัดบริเวณอยูแต่ภายในอาณาบริเวณของที่พักอาศัย และต้องสวมอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เพื่อตรวจหาพิกัดของตัวเขา และยังต้องรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันด้วย
นายอัสซานจ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำความผิด แต่เขาวิตกว่า ถ้าเขาถูกส่งตัวไปสวีเดน อาจถูกส่งตัวต่อไปยังสหรัฐ และเผชิญข้อกล่าวหาในกรณีที่วิกิลี้คส์ เอาความลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนข้อกล่าวหาด้านอาชญากรรมทางเพศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่ทางการสวีเดน ยืนยันว่า ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้หญิงสองคนที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของนายอัสซานจ์จริง
ที่มา.เนชั่น
-----------------------------------------------
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ลึกแต่ไม่ลับ บิ๊กจิ๋วและพวก สนทนากับ"เจียง เจ๋อหมิน" 1ชั่วโมงครึ่ง ได้เคล็ดลับ2 เรื่องใหญ่!!!
เมื่อไม่นานมานี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน
ไฮไลท์ของ ทริปนี้คือการได้พบปะสนทนากับ อดีตประธานาธิบดี "เจียง เจ๋อหมิน "
และที่สำคัญได้สนทนากันยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครทราบว่า หัวข้อสนทนา ในวันนั้น คือเรื่องอะไร ? แต่
วันนี้ มีคำเฉลย !!!
ปกติแล้ว เจียง เจ๋อหมิน ไม่ค่อยออกพบปะกับผู้ใดบ่อยครั้งนัก หลังจากส่งมอบอำนาจ แต่การพบกับคณะของ"บิ๊กจิ๋ว" ย่อมมีทีเด็ด อย่างแน่นอน
คณะของพลเอกชวลิตที่พบผู้นำรุ่น 3 ของจีนประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นายสุชน ชาลีเครือ นายทหารติดตามพลเอกชวลิต และล่ามอีก 1 คน
ปัจจุบัน ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปี เป็นบุคคลหลักของ "ผู้นำรุ่นที่สาม" ของประเทศจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง พ.ศ. 2532 -2545 และประธานาธิบดี ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2546
เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้คิดทฤษฎีสามตัวแทนซึ่งนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ และของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
พื้นฐานการศึกษา ของผู้นำจีน ผู้นี้ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยเจียวตง เคยฝึกงานในโรงงานสร้างรถยนต์สลาตินที่มอสโกทำให้พูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว และยังมีชำนาญหลายภาษาไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โรมาเนีย และ ญี่ปุ่น
นายภูมิธรรม เวชยชัย หนึ่งในผู้ร่วมคณะ เล่าว่า " ปกติ พลเอกชวลิตก็ไปจีนเป็นประจำทุกปี เพราะท่านเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางทหาร ทุกครั้งที่ไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ครั้งนี้ พลเอกชวลิตไปในฐานะพลเรือน และแขกของทางการ "
"ปกติท่านเจียง เจ๋อหมิน หลังจากมอบภารกิจ ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกงาน แต่ก็ยังพักอยู่ที่จงหนานไห่ ซึ่งเป็นทำเนียบผู้นำ การไปพบท่านเจียง เจ๋อหมินในอายุวัย 84 ปี ถือว่าผิดคาด เพราะคิดว่า จะเจอผู้นำสูงวัย แต่เห็นท่าทางเดินของท่านสง่า แข็งแรงมาก กำหนดการเดิมพบได้ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อคุยจริงๆ ด้วยความที่คุยกันถูกคอก็ใช้เวลาไป ชั่วโมงครึ่ง คุยไม่เลิก "
" แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองในประเทศไทย เพราะท่านเป็นผู้มีมารยาททางการเมือง " อดีตรมช.กระทรวงคมนาคม ยืนยัน
ทว่า ในช่วงแนะนำตัว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แนะนำตัว"อ๋อย"จาตุรนต์ ฉายแสง ต่อท่านเจียง เจ๋อหมิน ว่า เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และน่าจับตาว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในอนาคต
สำหรับประเด็นสำคัญ ที่คณะจากไทย ได้เรียนรู้จากท่านเจียง เจ๋อหมิน 2 เรื่องใหญ่
เรื่องแรก สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านก็เล่าฟังว่าที่แข็งแรงอยู่เพราะออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำวันละ 1 ชั่วโมง จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
" คนเราจะมีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องไปซื้อขาย ทำเองได้ ท่านเอง เคยอยู่ในขบวนของเหมา เจ๋อตุง ตอนปฏิวัติด้วย ไปเจอตัวจริงจะทึ่งมาก ตัวท่านใหญ่ สูงมาก ผมถ่ายรูปจับมือท่าน ท่านตัวใหญ่กว่าผมอีก คนก็ยังมานึกว่าจะเจอผู้สูงอายุ แต่กลับพบอดีตผู้นำที่ผึ่งผายมาก " ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าว
เรื่องที่สอง เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าให้คณะจากประเทศไทย ฟังว่า เพิ่งอ่านหนังสือ สตาร์บัคส์ หนา 500 กว่าหน้า เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ 3-4 วันจบเล่ม
" สิ่งนี้ สะท้อนว่า ท่านสนใจ ใฝ่รู้ตลอดเวลา ท่านเล่าต่อมาถึงว่าท่านมีความสนใจความรู้ทางด้านภาษามาก ทำให้เราตกใจ ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปีแล้ว ยังอ่านสตาร์บัคส์ ท่านบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 9 ขวบ แล้วยังรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยชอบภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยอยากพูดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร แต่สุดท้าย ท่านบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะ ความจริงภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เพื่อให้มนุษย์สื่อสารต่อกันเท่านั้น ภาษาไม่ใช่กำแพง กีดกันมนุษย์ชาติ "
ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าว่า " เคยเรียนภาษาโรมาเนีย มีความสามารถถึงขั้นเคยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาโรมาเนียมาแล้ว และที่สำคัญตอนอายุประมาณ 76 ปี เรียนภาษาสเปนสองปี สามารถพูดสเปนในที่ประชุมสหประชาชาติได้ และก็ยังเรียนรู้อีกหลายภาษา เป็นคนที่เรียนรู้ และสนใจภาษา เพราะท่านเชื่อว่า เพราะภาษาเครื่องมือทางวัฒนธรรม ภาษาสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และเป็นสื่อประสาความสัมพันธ์กับผู้คน "
ก่อนอำลาอดีตประธานาธิบดีจีน ได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนก็คือ "จาตุรนต์ ฉายแสง"
เพราะได้สนทนากับท่านเจียง เจ๋อหมินเป็นภาษาจีน เรียกว่า ไม่เสียแรงที่ได้เรียนภาษาจีนมาหลายปี .
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------
ไฮไลท์ของ ทริปนี้คือการได้พบปะสนทนากับ อดีตประธานาธิบดี "เจียง เจ๋อหมิน "
และที่สำคัญได้สนทนากันยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครทราบว่า หัวข้อสนทนา ในวันนั้น คือเรื่องอะไร ? แต่
วันนี้ มีคำเฉลย !!!
ปกติแล้ว เจียง เจ๋อหมิน ไม่ค่อยออกพบปะกับผู้ใดบ่อยครั้งนัก หลังจากส่งมอบอำนาจ แต่การพบกับคณะของ"บิ๊กจิ๋ว" ย่อมมีทีเด็ด อย่างแน่นอน
คณะของพลเอกชวลิตที่พบผู้นำรุ่น 3 ของจีนประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นายสุชน ชาลีเครือ นายทหารติดตามพลเอกชวลิต และล่ามอีก 1 คน
ปัจจุบัน ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปี เป็นบุคคลหลักของ "ผู้นำรุ่นที่สาม" ของประเทศจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง พ.ศ. 2532 -2545 และประธานาธิบดี ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2546
เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้คิดทฤษฎีสามตัวแทนซึ่งนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ และของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
พื้นฐานการศึกษา ของผู้นำจีน ผู้นี้ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยเจียวตง เคยฝึกงานในโรงงานสร้างรถยนต์สลาตินที่มอสโกทำให้พูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว และยังมีชำนาญหลายภาษาไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โรมาเนีย และ ญี่ปุ่น
นายภูมิธรรม เวชยชัย หนึ่งในผู้ร่วมคณะ เล่าว่า " ปกติ พลเอกชวลิตก็ไปจีนเป็นประจำทุกปี เพราะท่านเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางทหาร ทุกครั้งที่ไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ครั้งนี้ พลเอกชวลิตไปในฐานะพลเรือน และแขกของทางการ "
"ปกติท่านเจียง เจ๋อหมิน หลังจากมอบภารกิจ ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกงาน แต่ก็ยังพักอยู่ที่จงหนานไห่ ซึ่งเป็นทำเนียบผู้นำ การไปพบท่านเจียง เจ๋อหมินในอายุวัย 84 ปี ถือว่าผิดคาด เพราะคิดว่า จะเจอผู้นำสูงวัย แต่เห็นท่าทางเดินของท่านสง่า แข็งแรงมาก กำหนดการเดิมพบได้ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อคุยจริงๆ ด้วยความที่คุยกันถูกคอก็ใช้เวลาไป ชั่วโมงครึ่ง คุยไม่เลิก "
" แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองในประเทศไทย เพราะท่านเป็นผู้มีมารยาททางการเมือง " อดีตรมช.กระทรวงคมนาคม ยืนยัน
ทว่า ในช่วงแนะนำตัว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แนะนำตัว"อ๋อย"จาตุรนต์ ฉายแสง ต่อท่านเจียง เจ๋อหมิน ว่า เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และน่าจับตาว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในอนาคต
สำหรับประเด็นสำคัญ ที่คณะจากไทย ได้เรียนรู้จากท่านเจียง เจ๋อหมิน 2 เรื่องใหญ่
เรื่องแรก สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านก็เล่าฟังว่าที่แข็งแรงอยู่เพราะออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำวันละ 1 ชั่วโมง จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
" คนเราจะมีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องไปซื้อขาย ทำเองได้ ท่านเอง เคยอยู่ในขบวนของเหมา เจ๋อตุง ตอนปฏิวัติด้วย ไปเจอตัวจริงจะทึ่งมาก ตัวท่านใหญ่ สูงมาก ผมถ่ายรูปจับมือท่าน ท่านตัวใหญ่กว่าผมอีก คนก็ยังมานึกว่าจะเจอผู้สูงอายุ แต่กลับพบอดีตผู้นำที่ผึ่งผายมาก " ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าว
เรื่องที่สอง เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าให้คณะจากประเทศไทย ฟังว่า เพิ่งอ่านหนังสือ สตาร์บัคส์ หนา 500 กว่าหน้า เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ 3-4 วันจบเล่ม
" สิ่งนี้ สะท้อนว่า ท่านสนใจ ใฝ่รู้ตลอดเวลา ท่านเล่าต่อมาถึงว่าท่านมีความสนใจความรู้ทางด้านภาษามาก ทำให้เราตกใจ ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปีแล้ว ยังอ่านสตาร์บัคส์ ท่านบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 9 ขวบ แล้วยังรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยชอบภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยอยากพูดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร แต่สุดท้าย ท่านบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะ ความจริงภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เพื่อให้มนุษย์สื่อสารต่อกันเท่านั้น ภาษาไม่ใช่กำแพง กีดกันมนุษย์ชาติ "
ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าว่า " เคยเรียนภาษาโรมาเนีย มีความสามารถถึงขั้นเคยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาโรมาเนียมาแล้ว และที่สำคัญตอนอายุประมาณ 76 ปี เรียนภาษาสเปนสองปี สามารถพูดสเปนในที่ประชุมสหประชาชาติได้ และก็ยังเรียนรู้อีกหลายภาษา เป็นคนที่เรียนรู้ และสนใจภาษา เพราะท่านเชื่อว่า เพราะภาษาเครื่องมือทางวัฒนธรรม ภาษาสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และเป็นสื่อประสาความสัมพันธ์กับผู้คน "
ก่อนอำลาอดีตประธานาธิบดีจีน ได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนก็คือ "จาตุรนต์ ฉายแสง"
เพราะได้สนทนากับท่านเจียง เจ๋อหมินเป็นภาษาจีน เรียกว่า ไม่เสียแรงที่ได้เรียนภาษาจีนมาหลายปี .
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------
เหนือกฎหมาย
ใต้กาลเวลา
ไม่มีใครรู้ตอนจบสำหรับการเมืองไทยวันนี้ ตราบเท่า ที่ยังไม่มีใครพูดถึงกติกาของการอยู่ร่วมกันเพราะถึงเราจะมีรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ฉีกก็เปลี่ยนมันทุก ครั้ง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พวกที่ไม่สนใจในกติกา
บางครั้งผู้มาจากการเลือกตั้งก็เปลี่ยนมันเอง บางครั้งโดยผู้ถืออาวุธ ที่จะเขียนกติกาเพื่อสืบต่ออำนาจเเห่งเขา เเล้วเรียก มันว่ารัฐธรรมนูญเราคนไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญสักฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน
คนอังกฤษที่ก้าวขึ้นฝั่งเเผ่นดินอเมริกา ต้องจับอาวุธขึ้น มาเผชิญหน้าเเละรบราฆ่าฟันกับคนชาติเชื้อเดียวกันที่เเต่งเครื่องเเบบอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะเเละสร้างประเทศของเขาขึ้นมาได้
เขาเกลียดประเทศที่เขาจากมา ประเทศเก่าของเขา ขนาดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นของเเผ่นดินเก่า เขาขับรถทางซ้าย ใช้มาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่สร้างขึ้นมาใหม่..สร้างไมล์เเทนกิโลเมตร
เเล้วเขาก็สร้างรัฐธรรมนูญของพวกเขาขึ้นมาตั้งเเต่บัดนั้นจนบัดนี้..เขาก็ยังมีธรรมนูญฉบับเดียว เเต่กระนั้นเขาก็ยังต้องฆ่ากันอีกครั้ง เขาต้องตายกันเป็นล้าน เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเเละความเป็นประเทศของพวกเขา
กว่าจะมาถึงวันนี้ ญวนกับญวนก็ต้องทำสงครามรวมชาติ สงครามกับมหาอำนาจผู้รุกราน..ไม่ว่าจีน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา วันนี้ชาวญวนยืนอยู่เเถวหน้าสุดของชาตินักรบเรียบเรียงกันขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ ที่คงทนต่อการถูกฉีกถูกทำลาย มันจะต้องถูกเขียน ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตเเละความตายโยงใย กันขึ้นมาด้วยความพลัดพรากของหลายหมื่นหลายพันครอบครัว เเต่มันจะโบกสะบัดสะพัดใบอยู่ได้ อย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน เพราะพัดโบกด้วยลมหายใจ ที่ขาดหายไปของผู้คนที่จารึกตนอยู่บนอนุสาวรีย์
ลมหายใจของผีถ้าประชาชนคนไทย จะได้รัฐธรรมนูญของเขาขึ้นมาสักฉบับ เราจะต้องตายกันอีกกี่ครั้ง เขาจะต้องถูก สังหารกันอีกกี่หนจะต้องโค่นทรราชกันอีกกี่ทีรัฐบาลดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากกลไกสังหารของผู้ถืออาวุธ หรือจากการปลิ้นปล้อนสับปลับของคนสวมสูทใน คราบเงาของครูบา และชาวสภา
รัฐธรรมนูญดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหรือ...แบบว่าคนไทยกับคนไทยไม่ต้องฆ่ากันคนไทยกับประเทศไทยจะต้องทนกันไปอีกนานแค่ไหน กว่ารากษสการเมืองทุกเผ่าพันธุ์จะล้างผลาญกันจนสิ้นสกุลหรือคนไทยทั้งหลาย ต้องเร่งรับจัดให้ ฌาปนกิจเหล่า มันทั้งหลาย สร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ มายอมพร้อมตายกันสักครั้ง สร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันถูกฉีกขึ้นมา
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************************
ไม่มีใครรู้ตอนจบสำหรับการเมืองไทยวันนี้ ตราบเท่า ที่ยังไม่มีใครพูดถึงกติกาของการอยู่ร่วมกันเพราะถึงเราจะมีรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ฉีกก็เปลี่ยนมันทุก ครั้ง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พวกที่ไม่สนใจในกติกา
บางครั้งผู้มาจากการเลือกตั้งก็เปลี่ยนมันเอง บางครั้งโดยผู้ถืออาวุธ ที่จะเขียนกติกาเพื่อสืบต่ออำนาจเเห่งเขา เเล้วเรียก มันว่ารัฐธรรมนูญเราคนไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญสักฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน
คนอังกฤษที่ก้าวขึ้นฝั่งเเผ่นดินอเมริกา ต้องจับอาวุธขึ้น มาเผชิญหน้าเเละรบราฆ่าฟันกับคนชาติเชื้อเดียวกันที่เเต่งเครื่องเเบบอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะเเละสร้างประเทศของเขาขึ้นมาได้
เขาเกลียดประเทศที่เขาจากมา ประเทศเก่าของเขา ขนาดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นของเเผ่นดินเก่า เขาขับรถทางซ้าย ใช้มาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่สร้างขึ้นมาใหม่..สร้างไมล์เเทนกิโลเมตร
เเล้วเขาก็สร้างรัฐธรรมนูญของพวกเขาขึ้นมาตั้งเเต่บัดนั้นจนบัดนี้..เขาก็ยังมีธรรมนูญฉบับเดียว เเต่กระนั้นเขาก็ยังต้องฆ่ากันอีกครั้ง เขาต้องตายกันเป็นล้าน เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเเละความเป็นประเทศของพวกเขา
กว่าจะมาถึงวันนี้ ญวนกับญวนก็ต้องทำสงครามรวมชาติ สงครามกับมหาอำนาจผู้รุกราน..ไม่ว่าจีน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา วันนี้ชาวญวนยืนอยู่เเถวหน้าสุดของชาตินักรบเรียบเรียงกันขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ ที่คงทนต่อการถูกฉีกถูกทำลาย มันจะต้องถูกเขียน ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตเเละความตายโยงใย กันขึ้นมาด้วยความพลัดพรากของหลายหมื่นหลายพันครอบครัว เเต่มันจะโบกสะบัดสะพัดใบอยู่ได้ อย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน เพราะพัดโบกด้วยลมหายใจ ที่ขาดหายไปของผู้คนที่จารึกตนอยู่บนอนุสาวรีย์
ลมหายใจของผีถ้าประชาชนคนไทย จะได้รัฐธรรมนูญของเขาขึ้นมาสักฉบับ เราจะต้องตายกันอีกกี่ครั้ง เขาจะต้องถูก สังหารกันอีกกี่หนจะต้องโค่นทรราชกันอีกกี่ทีรัฐบาลดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากกลไกสังหารของผู้ถืออาวุธ หรือจากการปลิ้นปล้อนสับปลับของคนสวมสูทใน คราบเงาของครูบา และชาวสภา
รัฐธรรมนูญดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหรือ...แบบว่าคนไทยกับคนไทยไม่ต้องฆ่ากันคนไทยกับประเทศไทยจะต้องทนกันไปอีกนานแค่ไหน กว่ารากษสการเมืองทุกเผ่าพันธุ์จะล้างผลาญกันจนสิ้นสกุลหรือคนไทยทั้งหลาย ต้องเร่งรับจัดให้ ฌาปนกิจเหล่า มันทั้งหลาย สร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ มายอมพร้อมตายกันสักครั้ง สร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันถูกฉีกขึ้นมา
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************************
‘ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ’
ว่ากันว่า “หากไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ย่อมไม่อาจรู้จักกับคำว่าชนะที่แท้จริง” เรื่องนี้เห็นจะไม่เกินจริง เพราะต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตจริงของ ส.ส.หน้าใหม่ หนุ่มไฟแรงวัยเพียง 30 กว่าๆ ที่ผ่านเรื่องราวการเมืองมาอย่างโชกโชน เคยล้มแล้วก็ลุก จนในที่สุดก็ได้มายืนแถวหน้าของ จ.ขอนแก่น กลายเป็นขวัญใจชาวบ้าน ได้ในที่สุด นั่นก็คือ “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
>> เริ่มสนใจในการเมือง
“เริ่มจากการเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน โดยเป็น ส.จ.จากนั้นเป็นรองนายก อบจ.รวมแล้ว ประมาณ 2 สมัย จากนั้นราวปี 40 ก็เริ่มลงการเมือง สนามใหญ่ในนามพรรคราษฎร แต่สอบตก และเมื่อ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในราวปี 44 ก็ลงอีกครั้งในนาม พรรคมหาชน แต่ก็สอบตกอีกครั้ง จากนั้นก็เว้นวรรคไปจนกระทั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 50 จึงได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ ในสีเสื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นอกจากผลงาน ที่ทำไว้กับการเมืองท้องถิ่นแล้ว กระแสความนิยม ของพรรคก็มีส่วนสำคัญให้ได้รับเลือกเข้ามา”
>> ผลงานที่ผ่านมา
“เริ่มตั้งแต่การเป็น ส.จ.ก็ทำกิจกรรมกับ ชาวบ้านมาตลอด ทั้งเรื่องการประสานงาน ถนนหนทาง ซึ่งผมจะเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมกับ ชาวบ้านตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็น ส.จ.จนมาถึงตอนนี้”
>> จุดเด่นของตัวเอง
“ผมว่าคงเป็นจุดที่ผมทำงานจริงจัง ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ จงรักภักดีกับพรรค ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนที่ทำให้ไม่อยาก ไปที่อื่น”
>> ความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นนักการเมืองยังไงก็ต้องพร้อม ถึงจะเลือกวันนี้พรุ่งนี้ก็พร้อมตลอด เพราะเราอาสาเข้ามาแล้ว ที่สำคัญเรามั่นใจ เพราะมีการลงพื้นที่ตลอด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมมั่นใจในกระแส
ของพรรคเพื่อไทย ศรัทธาของคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงยึดมั่นอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) จนชาวบ้านบอกว่า ต่อให้ ส.ส.ทำดียังไง รักยังไง แต่อยู่พรรคอื่นก็จะไม่เลือก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป ตัวบุคคลเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับเลือกตั้ง หรือไม่แล้ว”
“ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผ่านมาผมลงพรรค ราษฎร มหาชน ซึ่งทำโพลออกมานำมาตลอด แต่พอเลือกตั้งจริง ผมสอบตกทั้งสองครั้ง แม้กระแสชาวบ้านจะออกมาว่ารักอดีต ส.จ.อย่างผม เพราะทำผลงานไว้มาก แต่เขาก็บอกว่า เขารักทักษิณมากกว่า เพราะมีผลงานช่วยเหลือพวกเขาเป็นรูปธรรมที่สุดกว่ารัฐบาลไหนๆ ผมจึงขอบอก เลยว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่พรรคนี้ ผมคงไม่ได้เป็น ส.ส.และผมก็ไม่ย้ายพรรคอย่าง ส.ส.คนอื่นที่เห็นในสภา เพราะคนที่ย้ายไปแล้ว หลายคนกลับพื้นที่เข้าบ้านไม่ได้ หรือไม่สนิทใจ เพราะไม่โดนโห่ไล่ก็ถูกสาปแช่งจากคนในพื้นที่”
“เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการโกง เปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ หรืออะไรก็ตาม ภาคอีสานและเหนือจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย เกือบหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่การปราศรัยเท่านั้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”
>> เรื่องนี้เลยทำให้ที่ผ่านมา
ชาวอีสานมาชุมนุมจำนวนมาก
“ผมไม่เคยเห็นครั้งไหนๆ ชาวบ้านขายข้าวขายของขายผลผลิต แล้วเอาเงิน มาสนับสนุนการชุมนุม หากใครมีเวลาก็ไป ที่สำคัญเขาไม่ง้อ ส.ส.ด้วยว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย เขาช่วยกันบริจาคเงิน ช่วยแรง บ้างก็ช่วยเป็นผลผลิตในไร่นามาช่วยในการชุมนุม เขาประชุมบริหารจัดการกันเองหมดโดยที่ ส.ส.ไม่ได้เข้าไปเป็นแกนนำเลย มีบางคนโจมตีว่าคนมาชุมนุมได้เงิน แต่ที่ขอนแก่นตรงกันข้าม คนที่มาชุมนุมนอก จากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินบริจาคอีก บางครั้งมีการทำบัตรขายล่วงหน้าสำหรับ คนที่จะมาชุมนุมในจังหวัด ก็ได้เงินมาหลาย แสนมาเป็นกองกลาง ซึ่งถ้าเป็นอดีตถ้าจะ ให้คนมารวมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องมีค่ารถ หรือค่าหัว แต่ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นประชาชนเป็นคนลงทุน”
>> เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพอะไร
“มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มเห็น เริ่มรู้ เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธา โดยเฉพาะการ ศรัทธาในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเขาเห็น ผลงานจริงที่เป็นรูปธรรม”
>> เปรียบเทียบเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
“เท่าที่สัมผัสมา ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเสื้อแดง เพราะเขาบอกเหตุผลว่า ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้บ้านเมือง ที่สำคัญคนที่เคยเห็นต่างส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นเสื้อแดงเกือบหมดแล้ว เพราะเขาเห็น ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผลดีอะไรอย่างเป็น รูปธรรมเลยจากอีกฝ่าย”
>> การเข้าประเทศของอดีตนายกฯ
หากกลับมาเป็นรัฐบาล
“หากกลับมาเป็นรัฐบาล เรื่องนี้ต้อง ดูความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะทำผิด ไม่ว่าเป็นอดีตนายกฯ หรือผู้ที่ถูกกักขังในข้อหาก่อการร้ายหรือคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม กฎหมาย ในขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก”
>> การถูกกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า
“สถาบันพระมหากษัตริย์นับเป็นสถาบัน ที่สูงสุดของคนไทย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน รักและเทิดทูนพระองค์ท่าน การถูกกล่าวหา เราจึงยอมรับไม่ได้ เป็นการกล่าวหาข้างเดียว เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็ก เด็กทุกคนต้องร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะฉะนั้น คน ในผืนแผ่นดินไทยทุกคน ย่อมต้องรักและเทิดทูนสถาบันทั้งสิ้น ซึ่งการถูกกล่าวหาเช่นนี้ รวมถึงกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นการ กล่าวหาที่จ้องทำลายล้างทางการเมือง”
“ที่ผ่านมาพรรคก็ได้ชี้แจงให้สังคม รับทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราคงไปห้ามคนที่ใส่ร้ายทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคน จงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีรัฐบาลไม่ควรนำเรื่องสถาบัน เบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้ หากต้องการความสมานฉันท์ที่แท้จริง รัฐบาลต้องมีความจริงใจ ไม่ทำเพียงเพื่อโค่นล้มอำนาจฝ่ายตรงข้าม”
>> มองรัฐบาลชุดนี้
“จริงๆ คำว่าประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้น ความต้องการ ใดๆ ของประชาชนควรเป็นที่ตั้ง ผมว่าผู้บริหารที่อยู่แต่ข้างบน ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อย่างทุกวันนี้พื้นที่ น้ำท่วมในขอนแก่นบางที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือค่าทดแทนอะไรเลย เขาก็โทร.มาถาม ส.ส.ในพื้นที่อย่างผมว่าตกลง รัฐบาลจะช่วยเหลือรายละเท่าไร ช่วยยังไง บางทีน้ำไม่ได้ท่วมบ้านเขา แต่ท่วมในพื้นที่ การเกษตร แล้วเขาจะเอาอะไรกิน หนี้สิน เขาจะทำยังไง ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ สุดท้าย ณ ขณะนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่ภาคใต้ซึ่งถูกน้ำท่วมทีหลังกลับได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนอีสานรวมถึงคนส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศชาติ มี ปัญหามากมายถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ ยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ”
>> เหตุการณ์รุนแรง
ทางการเมืองที่ผ่านมา
“รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบโดยเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หาข้อเท็จจริงแล้วเอาคนสั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควร เกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยในสมัยนี้แล้ว เรื่องต่างๆ มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรฐานไปแล้ว ตอนนี้พี่น้องประชาชนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร ผมจึงบอกประชาชนว่า วันนี้ประชาชนต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เป็นที่พึ่งของตัวเองนี้ จะมี ส.ส.เพื่อไทยยืนอยู่เคียงข้างตลอด”
>> จุดสิ้นสุดความขัดแย้ง
“ความขัดแย้งจะจบลงได้ เมื่อมีการ เลือกตั้งใหม่ แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าสีเสื้อใดต้อง ยอมรับในกติกา แต่การเลือกตั้งต้องเป็นไป อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าพรรคใดได้เสียง ข้างมาก อีกฝ่ายก็ต้องยอม”
>> กรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ยุบพรรคเพื่อไทย
“ผมเรียนว่า ในขณะที่พรรคการ เมืองบางพรรคเสนอยังไงก็ไม่ถูกยุบ ซึ่งอาจมีของขลังอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเสนอให้ยุบพรรควันไหน ผมฟันธงได้เลยว่าถูกยุบแน่นอน แล้วจะถูกยุบอย่างรวดเร็วด้วย ไม่มีข้ามเดือนข้ามปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานเริ่มเสื่อมไปมาก อย่าง ไรก็ตาม แม้ไม่มีพรรคเพื่อไทย วันหนึ่งก็ต้องมีพรรคอื่นที่เข้ามาสานต่อ เพราะศรัทธาของคนอีสานก็ยังมีจุดยืนเดิม”ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมุมมองอันแหลมคมของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงอย่าง “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>> เริ่มสนใจในการเมือง
“เริ่มจากการเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน โดยเป็น ส.จ.จากนั้นเป็นรองนายก อบจ.รวมแล้ว ประมาณ 2 สมัย จากนั้นราวปี 40 ก็เริ่มลงการเมือง สนามใหญ่ในนามพรรคราษฎร แต่สอบตก และเมื่อ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในราวปี 44 ก็ลงอีกครั้งในนาม พรรคมหาชน แต่ก็สอบตกอีกครั้ง จากนั้นก็เว้นวรรคไปจนกระทั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 50 จึงได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ ในสีเสื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นอกจากผลงาน ที่ทำไว้กับการเมืองท้องถิ่นแล้ว กระแสความนิยม ของพรรคก็มีส่วนสำคัญให้ได้รับเลือกเข้ามา”
>> ผลงานที่ผ่านมา
“เริ่มตั้งแต่การเป็น ส.จ.ก็ทำกิจกรรมกับ ชาวบ้านมาตลอด ทั้งเรื่องการประสานงาน ถนนหนทาง ซึ่งผมจะเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมกับ ชาวบ้านตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็น ส.จ.จนมาถึงตอนนี้”
>> จุดเด่นของตัวเอง
“ผมว่าคงเป็นจุดที่ผมทำงานจริงจัง ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ จงรักภักดีกับพรรค ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนที่ทำให้ไม่อยาก ไปที่อื่น”
>> ความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นนักการเมืองยังไงก็ต้องพร้อม ถึงจะเลือกวันนี้พรุ่งนี้ก็พร้อมตลอด เพราะเราอาสาเข้ามาแล้ว ที่สำคัญเรามั่นใจ เพราะมีการลงพื้นที่ตลอด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมมั่นใจในกระแส
ของพรรคเพื่อไทย ศรัทธาของคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงยึดมั่นอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) จนชาวบ้านบอกว่า ต่อให้ ส.ส.ทำดียังไง รักยังไง แต่อยู่พรรคอื่นก็จะไม่เลือก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป ตัวบุคคลเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับเลือกตั้ง หรือไม่แล้ว”
“ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผ่านมาผมลงพรรค ราษฎร มหาชน ซึ่งทำโพลออกมานำมาตลอด แต่พอเลือกตั้งจริง ผมสอบตกทั้งสองครั้ง แม้กระแสชาวบ้านจะออกมาว่ารักอดีต ส.จ.อย่างผม เพราะทำผลงานไว้มาก แต่เขาก็บอกว่า เขารักทักษิณมากกว่า เพราะมีผลงานช่วยเหลือพวกเขาเป็นรูปธรรมที่สุดกว่ารัฐบาลไหนๆ ผมจึงขอบอก เลยว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่พรรคนี้ ผมคงไม่ได้เป็น ส.ส.และผมก็ไม่ย้ายพรรคอย่าง ส.ส.คนอื่นที่เห็นในสภา เพราะคนที่ย้ายไปแล้ว หลายคนกลับพื้นที่เข้าบ้านไม่ได้ หรือไม่สนิทใจ เพราะไม่โดนโห่ไล่ก็ถูกสาปแช่งจากคนในพื้นที่”
“เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการโกง เปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ หรืออะไรก็ตาม ภาคอีสานและเหนือจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย เกือบหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่การปราศรัยเท่านั้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”
>> เรื่องนี้เลยทำให้ที่ผ่านมา
ชาวอีสานมาชุมนุมจำนวนมาก
“ผมไม่เคยเห็นครั้งไหนๆ ชาวบ้านขายข้าวขายของขายผลผลิต แล้วเอาเงิน มาสนับสนุนการชุมนุม หากใครมีเวลาก็ไป ที่สำคัญเขาไม่ง้อ ส.ส.ด้วยว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย เขาช่วยกันบริจาคเงิน ช่วยแรง บ้างก็ช่วยเป็นผลผลิตในไร่นามาช่วยในการชุมนุม เขาประชุมบริหารจัดการกันเองหมดโดยที่ ส.ส.ไม่ได้เข้าไปเป็นแกนนำเลย มีบางคนโจมตีว่าคนมาชุมนุมได้เงิน แต่ที่ขอนแก่นตรงกันข้าม คนที่มาชุมนุมนอก จากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินบริจาคอีก บางครั้งมีการทำบัตรขายล่วงหน้าสำหรับ คนที่จะมาชุมนุมในจังหวัด ก็ได้เงินมาหลาย แสนมาเป็นกองกลาง ซึ่งถ้าเป็นอดีตถ้าจะ ให้คนมารวมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องมีค่ารถ หรือค่าหัว แต่ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นประชาชนเป็นคนลงทุน”
>> เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพอะไร
“มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มเห็น เริ่มรู้ เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธา โดยเฉพาะการ ศรัทธาในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเขาเห็น ผลงานจริงที่เป็นรูปธรรม”
>> เปรียบเทียบเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
“เท่าที่สัมผัสมา ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเสื้อแดง เพราะเขาบอกเหตุผลว่า ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้บ้านเมือง ที่สำคัญคนที่เคยเห็นต่างส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นเสื้อแดงเกือบหมดแล้ว เพราะเขาเห็น ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผลดีอะไรอย่างเป็น รูปธรรมเลยจากอีกฝ่าย”
>> การเข้าประเทศของอดีตนายกฯ
หากกลับมาเป็นรัฐบาล
“หากกลับมาเป็นรัฐบาล เรื่องนี้ต้อง ดูความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะทำผิด ไม่ว่าเป็นอดีตนายกฯ หรือผู้ที่ถูกกักขังในข้อหาก่อการร้ายหรือคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม กฎหมาย ในขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก”
>> การถูกกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า
“สถาบันพระมหากษัตริย์นับเป็นสถาบัน ที่สูงสุดของคนไทย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน รักและเทิดทูนพระองค์ท่าน การถูกกล่าวหา เราจึงยอมรับไม่ได้ เป็นการกล่าวหาข้างเดียว เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็ก เด็กทุกคนต้องร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะฉะนั้น คน ในผืนแผ่นดินไทยทุกคน ย่อมต้องรักและเทิดทูนสถาบันทั้งสิ้น ซึ่งการถูกกล่าวหาเช่นนี้ รวมถึงกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นการ กล่าวหาที่จ้องทำลายล้างทางการเมือง”
“ที่ผ่านมาพรรคก็ได้ชี้แจงให้สังคม รับทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราคงไปห้ามคนที่ใส่ร้ายทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคน จงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีรัฐบาลไม่ควรนำเรื่องสถาบัน เบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้ หากต้องการความสมานฉันท์ที่แท้จริง รัฐบาลต้องมีความจริงใจ ไม่ทำเพียงเพื่อโค่นล้มอำนาจฝ่ายตรงข้าม”
>> มองรัฐบาลชุดนี้
“จริงๆ คำว่าประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้น ความต้องการ ใดๆ ของประชาชนควรเป็นที่ตั้ง ผมว่าผู้บริหารที่อยู่แต่ข้างบน ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อย่างทุกวันนี้พื้นที่ น้ำท่วมในขอนแก่นบางที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือค่าทดแทนอะไรเลย เขาก็โทร.มาถาม ส.ส.ในพื้นที่อย่างผมว่าตกลง รัฐบาลจะช่วยเหลือรายละเท่าไร ช่วยยังไง บางทีน้ำไม่ได้ท่วมบ้านเขา แต่ท่วมในพื้นที่ การเกษตร แล้วเขาจะเอาอะไรกิน หนี้สิน เขาจะทำยังไง ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ สุดท้าย ณ ขณะนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่ภาคใต้ซึ่งถูกน้ำท่วมทีหลังกลับได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนอีสานรวมถึงคนส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศชาติ มี ปัญหามากมายถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ ยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ”
>> เหตุการณ์รุนแรง
ทางการเมืองที่ผ่านมา
“รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบโดยเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หาข้อเท็จจริงแล้วเอาคนสั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควร เกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยในสมัยนี้แล้ว เรื่องต่างๆ มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรฐานไปแล้ว ตอนนี้พี่น้องประชาชนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร ผมจึงบอกประชาชนว่า วันนี้ประชาชนต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เป็นที่พึ่งของตัวเองนี้ จะมี ส.ส.เพื่อไทยยืนอยู่เคียงข้างตลอด”
>> จุดสิ้นสุดความขัดแย้ง
“ความขัดแย้งจะจบลงได้ เมื่อมีการ เลือกตั้งใหม่ แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าสีเสื้อใดต้อง ยอมรับในกติกา แต่การเลือกตั้งต้องเป็นไป อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าพรรคใดได้เสียง ข้างมาก อีกฝ่ายก็ต้องยอม”
>> กรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ยุบพรรคเพื่อไทย
“ผมเรียนว่า ในขณะที่พรรคการ เมืองบางพรรคเสนอยังไงก็ไม่ถูกยุบ ซึ่งอาจมีของขลังอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเสนอให้ยุบพรรควันไหน ผมฟันธงได้เลยว่าถูกยุบแน่นอน แล้วจะถูกยุบอย่างรวดเร็วด้วย ไม่มีข้ามเดือนข้ามปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานเริ่มเสื่อมไปมาก อย่าง ไรก็ตาม แม้ไม่มีพรรคเพื่อไทย วันหนึ่งก็ต้องมีพรรคอื่นที่เข้ามาสานต่อ เพราะศรัทธาของคนอีสานก็ยังมีจุดยืนเดิม”ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมุมมองอันแหลมคมของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงอย่าง “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คู่บารมี'มาร์ค'
ไม่แปลกใจเลยกับวิธีคิดของคนประชาธิปัตย์
พูดกันมานานแล้วกับแบบฉบับ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น"
ล่าสุดก็มีการตอกย้ำเข้าไปอีก
เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวนายกรัฐมนตรี
แสดงความเห็นกรณี นิตยสารไทม์ แม็กกาซีน สื่อยักษ์ทรงอิทธิพลของสหรัฐ
จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ระดับโลกแห่งปี 2553 ที่มีข่าวม็อบเสื้อแดงของไทยรวมอยู่ด้วย
นายเทพไทบอกว่า คนไทยไม่ควรภาคภูมิใจกับข่าวนี้ ดังนั้น ขอให้แกนนำนปช.ทบทวนการเคลื่อนไหวไม่ให้ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาอีก
นายเทพไทคงไม่ได้อ่านเหตุผลที่ไทม์ยกข่าวนี้เป็นข่าวแห่งปี
เพราะไทม์ระบุว่ารัฐบาลไทยใช้มาตรการกระชับพื้นที่ม็อบแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 1,800 คน
เหตุการณ์นี้มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากหลายประเทศบันทึกไว้ได้และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น การที่ไทม์จัดให้ข่าวเสื้อแดงติดอันดับข่าวใหญ่ของโลก เพราะเห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ไม่ใช่เพราะประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล
แบบที่นายเทพไทเอาดีใส่ตัว โยนบาปให้คนเสื้อแดง!!
อีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยเช่นกัน
กรณีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาปกป้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
หลังพรรคเพื่อไทยปูดข่าวว่ามีบิ๊กสีขี้ม้ากดดันให้ปลดนายธาริต
ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ประสานเสียงยืนยัน
นายธาริตเป็นคนดี ทำงานมีประสิทธิภาพ
ไม่มีปลด ไม่มีเด้ง
แน่นอนอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางที่จะปลดนายธาริต
เพราะทั้งทำงานเข้าตา ทั้งรู้ใจรัฐบาลเป็นที่สุด
คดี 91 ศพก็อืดอาดได้ใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ล่วงเลยมาเกือบ 8 เดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน!?
คดีความที่แกนนำนปช.เป็นผู้ต้องหาก็จับยัดคุกฉับไว สมกับที่รัฐบาลไว้วางใจ
การตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตรงตามนโยบายเป๊ะ!
มีหรือที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะปลดคนแบบนี้
รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 7-8 เดือนหลังเหตุการณ์สลายม็อบแดง
ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของนายธาริตนี่แหละ!
ฝีมืออธิบดีคู่บารมีนายกฯ อภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------------
พูดกันมานานแล้วกับแบบฉบับ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น"
ล่าสุดก็มีการตอกย้ำเข้าไปอีก
เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวนายกรัฐมนตรี
แสดงความเห็นกรณี นิตยสารไทม์ แม็กกาซีน สื่อยักษ์ทรงอิทธิพลของสหรัฐ
จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ระดับโลกแห่งปี 2553 ที่มีข่าวม็อบเสื้อแดงของไทยรวมอยู่ด้วย
นายเทพไทบอกว่า คนไทยไม่ควรภาคภูมิใจกับข่าวนี้ ดังนั้น ขอให้แกนนำนปช.ทบทวนการเคลื่อนไหวไม่ให้ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาอีก
นายเทพไทคงไม่ได้อ่านเหตุผลที่ไทม์ยกข่าวนี้เป็นข่าวแห่งปี
เพราะไทม์ระบุว่ารัฐบาลไทยใช้มาตรการกระชับพื้นที่ม็อบแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 1,800 คน
เหตุการณ์นี้มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากหลายประเทศบันทึกไว้ได้และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น การที่ไทม์จัดให้ข่าวเสื้อแดงติดอันดับข่าวใหญ่ของโลก เพราะเห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ไม่ใช่เพราะประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล
แบบที่นายเทพไทเอาดีใส่ตัว โยนบาปให้คนเสื้อแดง!!
อีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยเช่นกัน
กรณีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาปกป้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
หลังพรรคเพื่อไทยปูดข่าวว่ามีบิ๊กสีขี้ม้ากดดันให้ปลดนายธาริต
ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ประสานเสียงยืนยัน
นายธาริตเป็นคนดี ทำงานมีประสิทธิภาพ
ไม่มีปลด ไม่มีเด้ง
แน่นอนอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางที่จะปลดนายธาริต
เพราะทั้งทำงานเข้าตา ทั้งรู้ใจรัฐบาลเป็นที่สุด
คดี 91 ศพก็อืดอาดได้ใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ล่วงเลยมาเกือบ 8 เดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน!?
คดีความที่แกนนำนปช.เป็นผู้ต้องหาก็จับยัดคุกฉับไว สมกับที่รัฐบาลไว้วางใจ
การตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตรงตามนโยบายเป๊ะ!
มีหรือที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะปลดคนแบบนี้
รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 7-8 เดือนหลังเหตุการณ์สลายม็อบแดง
ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของนายธาริตนี่แหละ!
ฝีมืออธิบดีคู่บารมีนายกฯ อภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เพื่อไทยเชื่อ'อภิสิทธิ์'ไม่มีอำนาจยุบสภาจริง
"สุทิน"ระบุ"อภิสิทธิ์"ไม่มีอำนาจยุบสภาจริง เพราะมีคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคอยบงการอยู่เบื้องหลัง คาดยุบสภาต.ค.54 ใช้งบก่อน และแต่งตั้งย้ายขรก.
นายสุทิน คลังแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2554 ว่า ไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาในเดือนมี.ค.-เม.ย. 25 54 แต่น่าจะยุบสภาในช่วงเดือนต.ค.2554 หลังจากใช้งบประมาณปี 2554 หมดแล้ว และเตรียมจัดงบประมาณในปี 2555 ไว้ก่อนมากกว่า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเสียก่อนในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณถึง 2 ปีคือปี 2554 และปี 2555
เพราะคนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้เด็ดขาด เขาต้องการจะได้ทุนก่อนเลือกตั้ง และได้ข้าราชการเป็นพวก ปล่อยนโยบายประชานิยมของเขาเสร็จจากนั้นก็จะออกไปหมด
" เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะยุบสภาจริง เพราะอาจจะมีคนที่มีอำนาจที่เหนือกว่าคอยบงการอยู่ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์มีอำนาจจริงเชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมองอนาคตทางการเมืองข้ามช็อตไปถึงการจะกลับมาอีกครั้ง โดยจะฟังความเห็นเรื่องการยุบสภาจากพรรคร่วมรัฐบาลก่อน "
นายสุทิน กล่าวว่า วิธีการสร้างความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เพื่อลากยาวนั้นง่ายมาก โดยจะบอกว่ายังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ รวมทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว.นั้น ก็จะให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แปรญัตติแก้ไขมาก ๆ เมื่อแก้ไขไม่เสร็จนายอภิสิทธิ์ก็จะโยนความผิดให้สภาว่าสภาช้า ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ที่นายอภิสิทธิ์อาจจะใช้อ้างก็คือ บ้านเมืองต้องสงบ ทั้งๆ ที่ความจริงวันนี้บ้านเมืองสงบแล้ว เพราะการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ทั้ง 5 เขตนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เงื่อนไขนี้เขาสามารถสร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นได้โดยผ่านการสร้างสถานการณ์ ยั่วให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------------------
นายสุทิน คลังแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2554 ว่า ไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาในเดือนมี.ค.-เม.ย. 25 54 แต่น่าจะยุบสภาในช่วงเดือนต.ค.2554 หลังจากใช้งบประมาณปี 2554 หมดแล้ว และเตรียมจัดงบประมาณในปี 2555 ไว้ก่อนมากกว่า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเสียก่อนในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณถึง 2 ปีคือปี 2554 และปี 2555
เพราะคนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้เด็ดขาด เขาต้องการจะได้ทุนก่อนเลือกตั้ง และได้ข้าราชการเป็นพวก ปล่อยนโยบายประชานิยมของเขาเสร็จจากนั้นก็จะออกไปหมด
" เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะยุบสภาจริง เพราะอาจจะมีคนที่มีอำนาจที่เหนือกว่าคอยบงการอยู่ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์มีอำนาจจริงเชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมองอนาคตทางการเมืองข้ามช็อตไปถึงการจะกลับมาอีกครั้ง โดยจะฟังความเห็นเรื่องการยุบสภาจากพรรคร่วมรัฐบาลก่อน "
นายสุทิน กล่าวว่า วิธีการสร้างความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เพื่อลากยาวนั้นง่ายมาก โดยจะบอกว่ายังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ รวมทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว.นั้น ก็จะให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แปรญัตติแก้ไขมาก ๆ เมื่อแก้ไขไม่เสร็จนายอภิสิทธิ์ก็จะโยนความผิดให้สภาว่าสภาช้า ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ที่นายอภิสิทธิ์อาจจะใช้อ้างก็คือ บ้านเมืองต้องสงบ ทั้งๆ ที่ความจริงวันนี้บ้านเมืองสงบแล้ว เพราะการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ทั้ง 5 เขตนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เงื่อนไขนี้เขาสามารถสร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นได้โดยผ่านการสร้างสถานการณ์ ยั่วให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------------------
รัฐทหาร
รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ประจำปี 2553 ในภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นการตอกย้ำสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่ายังมืดมนและน่าวิตกอย่างมากกับการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
AHRC ระบุว่า ศอฉ. ใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของรัฐทหาร เพราะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลเข้าไปสอบสวนได้ตามต้องการ ผู้ที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวในค่ายทหาร และถูกแยกสอบปากคำนานถึง 6 ชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงการแจ้งข้อหากับประชาชนโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนบางคนต้องรับโทษคุมขังจนถึงขณะนี้
AHRC ยังระบุถึงแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ. นำมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับและห้ามบุคคลที่ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลก็ถูกจับกุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
AHRC จึงเห็นว่าอำนาจของ ศอฉ. ไม่ต่างกับการใช้อำนาจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิจะโต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งขัดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AHRC ยังระบุว่าเคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยคณะกรรมการมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชนจากคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดไม่เคยมีประวัติอันเป็นสาธารณประโยชน์ทางด้านสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
รายงานที่เผยแพร่ไปทั่วโลกยังถากถางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่าไม่น่าแปลกใจที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ผ่านมา
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
AHRC ระบุว่า ศอฉ. ใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของรัฐทหาร เพราะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลเข้าไปสอบสวนได้ตามต้องการ ผู้ที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวในค่ายทหาร และถูกแยกสอบปากคำนานถึง 6 ชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงการแจ้งข้อหากับประชาชนโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนบางคนต้องรับโทษคุมขังจนถึงขณะนี้
AHRC ยังระบุถึงแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ. นำมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับและห้ามบุคคลที่ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลก็ถูกจับกุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
AHRC จึงเห็นว่าอำนาจของ ศอฉ. ไม่ต่างกับการใช้อำนาจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิจะโต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งขัดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AHRC ยังระบุว่าเคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยคณะกรรมการมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชนจากคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดไม่เคยมีประวัติอันเป็นสาธารณประโยชน์ทางด้านสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
รายงานที่เผยแพร่ไปทั่วโลกยังถากถางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่าไม่น่าแปลกใจที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ผ่านมา
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)