--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ก่อน 16 ธ.ค.

การเมืองไทยช่วงท้ายปีมีเรื่องให้ลุ้นระทึกเกือบทุกสัปดาห์

พื้นที่ข่าว 2 สัปดาห์ก่อนต่อเนื่องสัปดาห์ที่แล้ว

เป็นเรื่องคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงิน 29 ล้านและ 258 ล้าน

มาถึงสัปดาห์นี้นอกจากผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัด

ใครสอบได้ ใครสอบตก จะเป็นกระจกสะท้อนแนวโน้มเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า

กับอีกเรื่องน่าจับตาไม่แพ้กัน

กรณี'ทักษิณ'ได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี ให้เดินทางเข้าสหรัฐ

เพื่อชี้แจงปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงสลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.

นัดหมายกัน 16 ธ.ค.นี้

ต้องจับตาเพราะรัฐบาลไทยหลายคนเชื่อว่า ทักษิณไม่น่าเข้าสหรัฐได้เนื่องจากมีปัญหายื่นขอวีซ่า

หรือถ้าจับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปได้ก็ยังต้องลุ้นช็อตสองว่า

จะโดนทางการสหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่

ยังไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วสหรัฐคิดทำอย่างไรกับเรื่องนี้

แต่ทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลและเครือข่ายนายใหญ่ ต่างก็ออกมาให้ข่าวเกทับบลัฟแหลก

ฝ่ายรัฐบาลไล่ตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีกษิต จนถึงศอฉ.

มั่นใจว่าสหรัฐคงไม่ยอมเปิดประตูรับทักษิณ เข้าประเทศง่ายๆ แน่

ขณะเดียวกันบรรดาแนวร่วมรัฐบาลพยายามจะเพิ่มน้ำหนัก ด้วยการหยิบยกกรณีรัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว'วิกเตอร์ บูท'ให้สหรัฐแทนที่จะส่งให้รัสเซีย ขึ้นมาพูดถึง

ทำนองว่าเมื่อเป็นเช่นนี้สหรัฐก็ต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยเป็นการตอบแทน

ซึ่งเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง

เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ เพิ่งปฏิเสธไปว่าไม่เคยมีการเจรจาต่อรองใดๆ กับทางการสหรัฐในการแลกตัววิกเตอร์ บูท กับทักษิณ

รวมถึงก่อนหน้านี้นายกฯอภิสิทธิ์ ยังได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าการส่งตัววิกเตอร์ บูท ให้กับสหรัฐนั้น

เป็นการตัดสินของศาลไทย โดยรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปแทรกแซงแม้แต่น้อย

โฆษกศาลเองก็ออกมาแถลงยืนยันเช่นกัน

การอ้างสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นไม่เป็นไรเพราะมีอยู่จริง

แต่การเอาเรื่องวิกเตอร์ บูท มาเป็นข้อต่อรองว่าสหรัฐต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง

เดี๋ยวศาลไทย'งานเข้า'เสียเปล่าๆ

แถมรัสเซียยังจะโกรธเอาอีกด้วย

ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
---------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รอดยุบพรรค ไม่รอดวิกฤต

ไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมาย

กรณีคำตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์

ในข้อหารับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548

ชนะฟาวล์ซ้ำรอยคดี 29 ล้าน

เนื่องจากกระบวนการยื่นคำร้องข้ามขั้นตอน ไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติ

เหตุเพราะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่เคยมีความเห็นในคดี

ความผิดพลาดทางเทคนิคจนทำให้คดี 'ตกม้าตาย' ติดกัน 2 ครั้ง

แน่นอนว่าคนที่ 'งานเข้า' ก็คือนายอภิชาต ที่ต้องรับภาระหนักกว่าใครในการตอบคำถามต่อสังคมว่า ทั้งที่เป็นผู้พิพากษาเก่ารู้กฎหมายอย่างดี

แต่ทำไมถึงปล่อยให้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคซ้ำๆ ซากๆ

คำถามสำคัญคือเป็นความผิดพลาดโดยสุจริต หรือมีเบื้องหลังอื่นแอบแฝง

แล้วก็แน่นอนอีกเช่นกันว่าผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากการที่คดี 29 ล้าน และ 258 ล้านไม่ได้รับการวินิจฉัยให้ถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่

คือนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เชิดหน้าอยู่ในอำนาจต่อไป

ในช่วงเวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าสู่โหมดการ 'ยุบสภา' ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราวต้นปีหน้า

โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีชนวนเหตุอื่นใดทำให้การเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกผันก่อนกำหนด

เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญและกกต. พร้อมใจกันพลีชีพ

อาสาปลดชนวนระเบิดให้จนหมดเกลี้ยง



การรอดสันดอนคดียุบพรรคมาได้ 2 ครั้งติดกัน

เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า 'ของดี' ที่คอยทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์

ช่วยให้หนังเหนียว เป็นอมตะ ฟันแทงไม่เข้ามาตั้งแต่เหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.

จนถึงปัจจุบันยังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่หยุดหย่อน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ชนะฟาวล์คดี 29 ล้านเป็นต้นมา

ดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์จะมีความมั่นใจในการเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป

โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับคำตัดสินคดี

และเมื่อผ่านด่านคดี 258 ล้านมาได้ในจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลกำลังจะบริหารประเทศใกล้ครบ 2 ปีเต็มวันที่ 17 ธ.ค.นี้

ความมั่นใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า

นายกฯ อภิสิทธิ์ ทยอยปล่อยนโยบายประชานิยมออกมาชุดใหญ่

ไม่ว่าการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบครบวงจร แก้หนี้สินครัวเรือน ครู เกษตรกร หนี้สิน กองทุนหมู่บ้าน อันเป็นผลพวงความล้มเหลวของประชานิยมยุค 'ทักษิณ'

สร้างความมั่นคงด้านรายได้และลดภาระค่าครองชีพ ต่อยอดโครงการอุดหนุนด้านสาธารณูปโภค ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ฟรี

แก้ปัญหาราคาเนื้อไก่ เนื้อหมู และไข่อย่างถาวร ลดราคาก๊าซหุงต้มและแผนลดราคาเบนซิน-ดีเซล

ขยายระบบประกันสังคมครอบคลุม 6 กลุ่มอาชีพ ตั้งแต่คนขับสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปจนถึงคนกลางคืน แรงงานก่อสร้าง

บวกกับโครงการประชานิยมที่ทำไปแล้วในรอบ 2 ปี

อาทิ โครงการเรียนฟรี 15 ปี บัตรประชาชนรักษาทุกโรค เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยอาสาสมัครหมู่บ้าน การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เช็คช่วยชาติ 2 พันบาท ประกันราคาพืชผลการเกษตร

ฉายา 'ซานต้ามาร์ค' จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลย

แต่ขณะเดียวกันนิสัย 'เหยียบบ่า' เพื่อนก็ยังเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย

อย่างเรื่องขึ้นเงินเดือน อบต. พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมให้พรรคภูมิใจไทยได้หน้าไปคนเดียว

นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องออกมาติดเบรก พร้อมฉวยโอกาสโหมประโคมการขึ้นเงินเดือนข้าราชการเดือนเม.ย.ปีหน้าที่รัฐบาลอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว

หรืออย่างกรณีการแก้ปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด ที่คู่กรณีคือมหาดไทยกับไอซีที

ถึงกับทำให้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยต้องตัดพ้อดังๆ ผ่านสื่อ

นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา



ผลจากการที่ประชาธิปัตย์เอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ถึงสองครั้งสองครา

ยังถือเป็นสัญญาณเตือนถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ให้รู้กันไว้ก่อนว่า

นาทีนี้พรรคประชาธิปัตย์สามารถคุมเกมอำนาจในประเทศไว้ได้ทั้งหมด

โครงการประชานิยมที่เตรียมปล่อยออกมาล็อตใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงท้วงติงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่มองเป็นเพียงนโยบายฉาบฉวย ทำง่าย ได้เสียงเร็ว

รวมถึงการเตะตัดขาพรรคร่วมด้วยกันเอง มุ่งไปที่พรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือเริ่มโหมกระพือขึ้นมาอีกระลอกว่า

พรรคแกนนำจ้องหาทางดึงกระทรวงมหาดไทยมาดูแลเองก่อนการยุบสภา

เพื่อวางรากฐานปูทางไปสู่ชัย ชนะศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

โดยมีผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัดวันอาทิตย์นี้ เป็นบททดสอบกระแสเบื้องต้นโดยเฉพาะสนามภาคอีสาน

เพื่อนำมาปรับเกมหาจุดแข็ง-จุดอ่อนรอรับศึกใหญ่

รวมไปถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนัดเดินทางเข้าสหรัฐ ตามคำเชิญคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี

เพื่อชี้แจงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงการสลายม็อบเสื้อแเดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา

จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ เก่งแต่ในบ้านจริงหรือไม่

ขณะเดียวกันคดี 91 ศพที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่ยังเคลียร์ไม่ได้

กับสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงนำมาเปิดเผย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ยอมรับว่าเป็นข้อมูลของจริง

เริ่มทำให้เห็นโฉมหน้าลางๆ ของมือสังหารประชาชนตัวจริง

ตรงนี้เองถึงแม้ นายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ จะเอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ พร้อมลุยเปิดเกมประชานิยมฉบับ 'ซานต้ามาร์ค'

เกาะกุมความได้เปรียบทุกด้านเดินหน้าสู่การ ยุบสภา

ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลโดยมีพรรคร่วมรัฐบาลหน้าเดิมๆ เข้าร่วม

แต่ประเทศชาติยังหาทางออกจากวิกฤตขัดแย้งไม่เจออยู่ดี


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*****************************************************

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รายงานเอ็กซ์คลูซีฟจากรอยเตอร์: หลักฐานบ่งชี้ว่าทหารไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในความตายของพลเรือน

ภัควดี ไม่มีนามสกุล แปลจาก Jason Szep and Ambika Ahuja, “Exclusive: Probe reveals Thai troops' role in civilian deaths,” Reuters; http://www.reuters.com/article/idUSTRE6B90OR20101210?pageNumber=1

กรุงเทพฯ (รอยเตอร์) – รอยเตอร์ได้เห็นเอกสารทางการไทยที่รั่วไหลออกมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กองทัพไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารชีวิตพลเรือนระหว่างเกิดความไม่สงบทางการเมืองในกรุงเทพฯ เมื่อกลางปีนี้ ถึงแม้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ยอมรับก็ตาม

การสอบสวนเบื้องต้นของรัฐต่อความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ได้ข้อสรุปว่า กองกำลังพิเศษของไทย ซึ่งวางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ ได้ยิงลงไปในบริเวณวัดที่มีผู้ประท้วงหลายพันคนเข้าไปหลบภัยในวันที่ 19 พฤษภาคม

การสอบสวนนี้พบว่า ประชาชน 3 ใน 6 คนที่ถูกยิงตายในวัดน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนของกองทหาร ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับแถลงการณ์ของกองทัพไทย ซึ่งออกมาปฏิเสธว่าทหารไม่มีส่วนรับผิดชอบในการสังหารที่วัด

รายงานนี้กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะสรุปว่า ใครคือผู้รับผิดชอบต่อความตายของประชาชนอีกสามคนในวัดนั้น แต่รายงานระบุว่า เหยื่อทั้งหกรายถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง

“มีข้อเท็จจริง หลักฐานและปากคำพยานมากเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า การเสียชีวิต (ทั้งสามราย) เป็นผลมาจากปฏิบัติการของกองกำลังด้านความมั่นคงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่” ผู้สอบสวนระบุไว้เช่นนี้ โดยแนะนำให้ตำรวจสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตต่อไป

เมื่อรอยเตอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับเอกสารที่รั่วไหลออกมานี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้ปฏิเสธว่าเอกสารนี้ไม่ใช่เอกสารจริง แต่กล่าวว่า การสอบสวนยังไม่สมบูรณ์และกำลังพยายามเร่งรัดกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น

“ขั้นตอนต่อไปจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางศาล ดังนั้น เราจึงไม่ควรตื่นตูมไปกับข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์” เขากล่าว

ผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษของไทย (ดีเอสไอ) น่าจะยิ่งกระตุ้นขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลของ “คนเสื้อแดง” ที่ท้าทายความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งออกมากล่าวโทษเมื่อเดือนมิถุนายนว่า การเสียชีวิตในวัดเกิดจากกลุ่มคนติดอาวุธในหมู่ผู้ประท้วงด้วยกันเอง

วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดพุทธศาสนา ถูกประกาศให้เป็น “เขตอภัยทาน” สำหรับผู้หญิง เด็ก คนชราและผู้พิการ ประชาชนหลายพันคนหนีเข้าไปหลบในวัดในวันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อกองทัพใช้กำลังเข้าสลายผู้ประท้วงที่ยึดพื้นที่ในย่านการค้าใกล้เคียง

จากการสอบสวนของดีเอสไอ พยานหลายคนรายงานถึงสภาพปั่นป่วนนอกวัด เมื่อเสียงปืนดังรัวขึ้นและพลเรือนพากันหนีออกจากย่านช้อปปิ้ง

พยานคนหนึ่งกล่าวว่า เขาเห็นทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้าด้านบน และยิงลงไปในเต๊นท์พยาบาลภายในบริเวณวัด ซึ่งพยาบาลอาสากำลังดูแลพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บ มีพยาบาลอาสาสองคนเสียชีวิต

มีประชาชนถูกฆ่าตาย 91 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 1,800 ราย ระหว่างเกิดความไม่สงบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม อาคารกว่า 30 แห่งถูกไฟไหม้ นี่เป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่

รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ช่างภาพของรอยเตอร์น่าจะถูกทหารยิงเสียชีวิต

ดีเอสไอกำลังสอบสวนการตายทั้งหมด 89 รายที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยผลการสอบสวนใด ๆ ต่อสาธารณะ แม้จะมีแรงกดดันจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็ตาม

ผลการสอบสวนที่ตกมาถึงรอยเตอร์มีอยู่ในรายงานสองฉบับของดีเอสไอ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการยิงที่วัดและอีกฉบับเกี่ยวกับการตายของช่างภาพรอยเตอร์ นายฮิโระ มุราโมโตะ ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน

มุราโมโตะ ชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในโตเกียว ถูกสังหารด้วยกระสุนความเร็วสูงยิงเข้าที่หน้าอก ขณะกำลังทำข่าวการประท้วงในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ

รายงานอ้างพยานคนหนึ่งซึ่งกล่าวว่า มุราโมโตะล้มลงพร้อมกับกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางของทหาร รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการตายของเขาต่อสาธารณะ ถึงแม้มีแรงกดดันทางการทูตจากญี่ปุ่นอย่างมาก

หัวหน้าบรรณาธิการของรอยเตอร์ นายเดวิด ชเลซิงเงอร์ เรียกร้องให้เผยแพร่รายงานฉบับเต็มต่อสาธารณะทันที

“รัฐบาลไทยยังติดค้างครอบครัวของฮิโระ รัฐบาลไทยต้องเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไรและใครคือผู้รับผิดชอบ” ชเลซิงเงอร์กล่าวในแถลงการณ์

รายละเอียดของเหตุการณ์ที่ทหารยิงใส่พลเรือนอาจกระพือความโกรธแค้นของประชาชน และกระตุ้นกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งถึงสองครั้งและปัจจุบันต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ทักษิณ ชินวัตรเรียกร้องให้นานาชาติเข้าไปสอบสวนความรุนแรงในเดือนเมษายน-พฤษภาคม รวมทั้งความตายอันน่ากังขาในวัดด้วย

พยานคนหนึ่ง ซึ่งซ่อนอยู่ใต้รถยนต์ที่วัด ให้การว่า เขาถูกระดมยิงถึง 4 หรือ 5 ครั้งจากกลุ่มชายในชุดลายพราง ซึ่งยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ

เขาถูกยิงนัดหนึ่งและได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง การชันสูตรพลิกศพพบว่า กระสุนที่พบในศพ 4 รายจาก 6 รายในวัด เป็นลูกกระสุนชนิดเดียวกับที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าให้การว่าใช้เป็นอาวุธ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บที่วัดเป็นจำนวนที่ไม่ทราบแน่นอน

“ความลับของทางการ”

คำให้การของทหารที่อ้างในรายงานของดีเอสไอระบุว่า พวกเขายิงเตือนไปที่วัดและถูกยิงตอบโต้จากกลุ่มชายชุดดำที่อยู่ข้างล่างและจากผู้มีอาวุธปืนอีกคนหนึ่งในวัด ทหารกล่าวว่า พวกเขายิงคุ้มกันให้กองทหารบนพื้นดิน ซึ่งร้องขอกำลังสนับสนุน

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ดีเอสไอได้สรุปผลการสอบสวนเบื้องต้นและส่งต่อผลการสอบสวนนี้ให้กรมตำรวจ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณชน

“รายงานการสอบสวนนี้เป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อการถกเถียงหรือการยืนยันความถูกต้อง” เขากล่าว “มันเป็นความลับของทางการ การยืนยันความถูกต้องของรายงานที่ส่งไปถึงกรมตำรวจอาจมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนที่มีรายชื่ออยู่ในนั้น”

เขาไม่ยืนยันหรือปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารสองฉบับที่ตกมาถึงรอยเตอร์ แต่กล่าวว่า จากนี้ตำรวจจะสอบสวนคดีของประชาชนสามรายที่เชื่อว่าถูกทหารฆ่าตายในวัด รวมทั้งประชาชนคนอื่นอีกสามรายที่มีความเป็นไปได้ว่าถูกทหารยิงเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนายมุราโมโตะด้วย

ผลการสอบสวนของกรมตำรวจจะถูกส่งไปให้ดีเอสไอและสำนักงานอัยการ

ถ้าการสอบสวนพบว่าทหารมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ แต่รัฐบาลก็สามารถอ้างได้ว่า การยิงนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

(รายงานข่าวเพิ่มเติมโดย Andrew Marshall จากสิงคโปร์; บรรณาธิกรณ์โดย Andrew Marshall และ John Chalmers)

หมายเหตุผู้แปล: ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กที่แนะนำข่าวนี้

ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์: จากวิกิลีกส์ ถึงเมืองไทย

นายกานต์ ยืนยง Saim Intelligence Unit (SIU) ร่วมสนทนาในประเด็น “วิกิลีกส์” ในงานสัมมนาของเครือข่ายพลเมืองเน็ต ติดตามรายละเอียดได้จากบทความจากเว็บไซต์มติชน

“วิกีลีกส์” จุดประกาย “อำนาจใหม่” ในมือประชาชนอาวุธต่อสู้กับ “ชนชั้นนำ” ผ่าน “อินเตอร์เน็ต”

มติชนออนไลน์ 9 ธันวาคม 2553

ที่ห้องดวงกมล โรงแรมสยามซิตี้ ถ.ศรีอยุธยา เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีการแถลงข่าวสรุปสถานการณ์เสรีภาพอินเตอร์เน็ตประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2553 และอภิปรายสถานการณ์สากลกรณีวิกิลีกส์ มีการนำเสนอรายงานเสรีภาพอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2553 เรื่อง “ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์ : จากวิกิลีกส์ ถึงเมืองไทย” โดย นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองการเมือง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และนายกานต์ ยืนยง Saim Intelligence Unit (SIU)

นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ตนเป็นพลเมืองหัวโบราณ ประเด็นที่พูดอาจจะไม่ทันสมัย แต่มีสองประเด็นที่มองจาก วิกิลีกส์ คือเรื่อง ความ มั่นคงของรัฐกลายเป็นข้อมูลที่ปล่อยออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นสิ่งหลอกหลวง เพราะแท้จริงข้อมูลดังกล่าวเป็นความมั่นคงของผู้นำ ชนชั้นปกครอง กลุ่มอำนาจผู้มีผลประโยชน์ และ ข้อมูลการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามมากกว่า จากเดิมที่เรามองว่า ความรู้ คือ อำนาจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ “ข้อมูลข่าวสาร” คือ อำนาจในการล้มล้าง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายที่เกิดจากอำนาจนิยมไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ อ้างกฎหมายเพื่อปิดเว็บไซต์ ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นโครงสร้างการต่อสู้ ที่ประชาชนจะใช้ต่อสู้กับชนชั้นนำและชนชั้นปกครอง

“ข้อมูลข่าวสาร คือ อำนาจ คนที่พยายามใช้ความมั่นคงของรัฐเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปปิดกั้นสื่อเหมือนกับ การเข้าไปครอบงำหรือแทรกแซงการเติบโตของพลเมืองหรือเปล่า” นพ.นิรันดร์ตั้งคำถาม

กรรมการสิทธิฯ ยังกล่าวถึง หลักการทำหน้าที่ของสื่อ ว่า สื่อ ต้องมีหน้าที่ในการบอกความจริงให้สังคมรับรู้เพื่อกระตุ้นสิทธิเสรีภาพการ แสดงออกภาคประชาชนให้เกิดการมีส่วนร่วม เพื่อเปิดพื้นที่สาธารณะจนเกิดปรากฏการณ์ที่เข้มข้นทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ แม้แต่รัฐเองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้นแต่ต้องเป็นธรรมและต้องเปิดเผย ส่วนรัฐที่อ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐนั้นโกหกทั้งเพ ถ้าปกปิดสื่อจะมาอ้างความมั่นคงของรัฐไม่ได้ ต้องยอมเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ส่วนการนำเสนอของสื่อต้องเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ไปแบล็คเมล์หรือหาผลประโยชน์เข้าธุรกิจ ถ้าสื่อยึดหลักเรื่องสิทธิและความถูกต้องอันเป็นประโยชน์ต่อส่วน รวมแล้วเท่ากับว่าเป็นการส่งเสริมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากกว่าการทำลาย

“แต่กรณีวิกิลีกส์ไม่ใช่โอกาสแต่เป็นการตอก ย้ำให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสารมีอำนาจในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเพื่อสร้าง พื้นที่สาธารณะอย่างเปิดเผย และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาล หลังจากได้ลงไปดูกรณีการจับกุมผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท พบว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อเพราะรัฐไม่มีอำนาจในการปิดกั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้าไปปิดกั้น ถือเป็นการละเมิดโดยใช้กฎหมายมิชอบ แต่กรรมการสิทธิฯทำได้เพียงแค่ตรวจสอบ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่รัฐว่าจะเชื่อฟังหรือแสดงความรับผิดชอบหรือยอมรับหรือไม่ ที่ผ่านมา 90 % รัฐไม่เคยทำตามที่กรรมการสิทธิฯเสนอเลย ดังนั้นทุกคนต้องมาร่วมตรวจสอบเพราะ ลำพังกรรมการสิทธฯเพียงคนเดียวคงไม่เพียงพอ” นพ.นิรันดร์กล่าวทิ้งท้าย

ทางด้านนายโสรัจจ์ มองสถานการณ์ของเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” โดยให้ความเห็นว่า เกี่ยวกับความมั่นคงแน่นอน แต่จะทำลายความมั่นคงโดยตรงคงไม่ใช่ แต่จะว่าไม่เกี่ยวโดยตรงก็ไม่ใช่อีก แรกๆ วิกิลีกส์ มีคนแค่ไม่กี่คน ผู้ก่อตั้ง คือ นายจูเลียน แอสแซนจ์ นำเว็บไซต์วิกิลีกส์มาใช้แพร่เอกสารลับของสหรัฐฯจนเป็นข่าวใหญ่โต คงมีอุดมการณ์ในใจอยากให้โลกดีขึ้น จึงแฮ็คข้อมูลนำมาเผยแพร่ การตัดสินว่ากระทบความมั่นคงหรือไม่ จึงไม่ได้เกิดทุกกรณีแต่ขึ้นอยู่กับประเภทที่นำมาแฉ

“ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องไม่มีอะไรต้องกลัว หากการกระทำของรัฐบาลโปร่งใส ไม่จำเป็นตัวกลัวเว็บแบบวีกีลีกส์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามปิดกั้นเว็บไซต์ไม่ให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และอยากถามว่า ในกรณีของประเทศไทย หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับเว็บที่ถูกปิดอยู่ในขณะนี้ เพราะความเป็นอิสระของสื่อ ขึ้นอยู่กับประชาชน แม้ว่าสื่อนั้นจะเอนเอียงไปทางพรรคใด การเมืองไหนก็เป็นเสรีภาพในการเข้าไปเกาะเกี่ยวพรรคการเมืองนั้น แต่อย่าไปปิดกั้นกระบอกเสียงพรรคอื่น ปิดกั้นไม่ให้สื่อได้นำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับรู้” นายโสรัจจ์ กล่าว

ทางด้านนายอัศวิน กล่าวว่า เมื่อถึงยุค ข้อมูลข่าวสารสารสนเทศสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นปรากฎการณ์ที่สั่นสะเทือนการรับรู้ของสังคม กรณีวิกิลีกส์เข้ามาอยู่ในโจทย์ขณะนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ หากมองในแง่ประชาชน แน่นอนว่า เป็นโอกาสและพัฒนาการของมนุษยชาติในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีในการออกมา แสดงความคิดความเห็นแล้วเปิดออกไปสู่อินเตอร์เน็ตได้

“ผมเชื่อว่าสังคมจะได้รับประโยชน์จากการเปิดกว้างเสรีภาพ อยู่แล้ว แต่ประเด็นการปกปิด คุ้มกันความเป็นส่วนตัว ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน แต่ประเด็นวิกิลีกส์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวก็มีอยู่บ้าง แต่กรณีที่วิกิลีกส์แฉสหรัฐฯสั่นสะเทือนข้อมูลกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ นั้นเป็นประโยชน์สาธารณะเพราะข้อมูลบางอย่างมันถูกปิดบังและไม่ได้ถูกเปิดเผย ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับมนุษยชนโดยตรง เขาควรมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูลตรงนี้ แต่ถ้าให้เลือกผมคิดว่ามันเป็น “โอกาส” มากกว่าความคุกคาม” นายอัศวิน กล่าว

นายอัศวิน กล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้ไม่มีวิกิลีกส์อันแรกก็ต้องมีอันที่สองอีก หากมีความพยายามที่จะเข้าไปควบคุมข้อมูลข่าวสาร กรณีวิกิลีกส์คล้ายคลึงกับการเกิดทีวีดาวเทียมของ อัลจาซีร่า ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นว่าแต่เดิมมีสื่อเดียวที่ผูกขาดความจริงเผยแพร่ต่อสาธารณะ เมื่อเกิดวิกิลีกส์และอัลจาซีร่า เท่ากับว่าเปิดพื้นที่อื่นๆให้กว้างขึ้น ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องกลับมาเรียนรู้ใหม่ว่าจะจัดการอย่างไรกับชั้นความลับที่มีอยู่ เพราะถ้ายังแก้รูรั่วไม่ได้ก็จะถูกแฉไปทั้งโลก ครั้นจะไปหยุดก็ไม่ได้แล้ว

“สื่อใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดนักข่าวพลเมือง รับและส่งข้อมูลข่าวสารแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้นประโยชน์สาธารณะจึงเกิดจากตรงนี้ เมื่อมีสื่อสาธารณะนำไปเผยแพร่ต่อ ยกตัวอย่าง “ไทม์ แมกาซีน” นำข่าววิกิลิกส์มาขึ้นปก เพราะถ้ามุมมองของรัฐบาลเห็นว่าควรปกปิดข้อมูลให้เป็นความลับต่อไป แต่ในโลกนี้มีผู้มีขีดความสามารถเข้าถึงสื่อใหม่อยู่ทั่วโลก หากนโยบายเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นมันกระทบกับพวกเขา คนเหล่านั้นก็ย่อมมีสิทธิในฐานะพลเมืองเข้าไปมีเอี่ยวด้วย เพราะมันคือ ประเด็นส่วนรวม ดังนั้นจึงอยากให้มาดูในเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ กันดีกว่า เนื่องจาก “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ไม่ว่าจะลับรั่วชั่วแฉ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”

พ.อ.ดร. ธีรนันท์ ในฐานะหน่วยงานความมั่นคง ใช้ชีวิตในอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ยุคแรกของในเว็บพันทิป จากนั้นมีการพัฒนาเว็บไซต์ส่วนตัว มองว่า วิกิลีกส์เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องความมั่นคงมาสู่ความมั่นคงของมนุษย์ นับตั้งแต่วันนี้ไปจะเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างความ มั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของรัฐ จะต้องมีการถกเถียงกันต่อไปอีกในอนาคต

“สังคมไทยในยุคเปลี่ยนผ่านก็ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อน ซึ่งวิกิลีกส์อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฉายให้เห็นภาพใต้น้ำได้ ซึ่งทุกคนต้องหันไปมอง” นายทหารผู้นี้กล่าว

นายกานต์ กล่าวว่า ในการบริหารงานของประเทศนั้น ภาครัฐจะเป็นคนกำหนดวาระนโยบายเป็นส่วนใหญ่ แต่ระยะหลังความเห็นภาคประชาชนจะมีเพิ่มมากขึ้น ภาครัฐจึงต้องปกปิดความลับ ปกป้องตนเอง หรืออาจจะเรียกว่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองก็ได้ ส่งผลให้ภาครัฐมีความแข็งตัวสูง ตอบสนองต่อประชาชนได้ยาก

“สำหรับคนไทยเมื่อเกิดปัญหาการเมือง รัฐไทยไม่อนุญาตให้ประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน มันเป็นปมปัญหาของแต่ละประเทศที่จะแก้กันไป ดังนั้นสื่ออินเตอร์เน็ตอาจจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ในการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง” นายกานต์ กล่าว

สุดท้าย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ดำเนินการอภิปราย กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ตาม กรณีวิกิลีกศ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีการห้ามเพียงแค่เรื่องการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ในส่วนของประเทศไทย เรายังก้าวข้ามการปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็นไม่ได้เลย ดังนั้น จึงควรช่วยกันทำให้ผู้คนมีพื้นที่ในการต่อสู้อย่างเปิดเผยมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดงไม่ต้านศาลรธน.ระบุทำกันจนชินชามุ่งรื้อยุติธรรมทั้งระบบ

รักษาการประธาน นปช. ระบุจะไม่เคลื่อนไหวคัดค้านคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติ 4 ต่อ 3 เสียง ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีรับเงินบริจาค 258 ล้านบาทผิดกฎหมาย เผยคนเสื้อแดงเริ่มตายด้านกับเรื่องเหล่านี้เพราะทำกันจนชิน ประกาศเป้าหมายมุ่งรื้อกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งระบบ ชี้ประเทศไทยมีทางเลือกแค่ 2 ทางคือ ฆ่ากันให้ตายไปข้าง กับทบทวนบทเรียนหาทางออกร่วมกัน ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะเลือกทางไหน โฆษกอัยการโยนประธาน กกต. ยึกยักไม่ยืนยันความเห็นยุบประชาธิปัตย์จนเป็นเหตุให้ศาลยกคำร้อง โฆษกเพื่อไทยเหน็บพรรคเทวดาทำอะไรก็ไม่ผิด

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่อัยการยื่นฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากบริษัทบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อใช้ในการเลือกตั้งในปี 2548

ศาล รธน. มีมติ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบ ปชป.

ทั้งนี้ ในวันที่ 9 ธ.ค. เป็นการนัดพร้อมคู่ความในคดีครั้งแรก แต่ตุลาการศาลรัฐธรรนูญได้พิพากษาคดีทันที โดยมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการผิดขั้นตอนที่ไม่ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นยุบพรรคก่อน (รายรายละเอียดคำวินิจฉัยได้ที่หน้า 05 A)

“จรัญ” นำทีมเป็นเสียงข้างมาก

สำหรับคดีนี้มีตุลาการเป็นองค์คณะพิจารณาคดี 7 คน เสียงข้างมาก 4 เสียงที่ให้ยกคำร้องประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายนุรักษ์ มาประณีต และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ เสียงข้างน้อย 3 เสียง ประกอบด้วย นายชัช ชลวร, นายบุญส่ง กุลบุปผา และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ซึ่งนายอนุศักดิ์เคยเป็นเสียงข้างมากในคดียุบพรรค 29 ล้านบาท มาก่อน

อัยการแจงไม่มีโอกาสคัดค้าน

นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ยืนยันว่า อัยการทำงานเต็มที่แล้ว เมื่อศาลยกคำร้องก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ตาม การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน ในส่วนนี้อัยการไม่มีโอกาสได้คัดค้านเพราะไม่สามารถยื่นเรื่องประกบได้ ทั้งนี้ ศาลมีสิทธิที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร

โยนประธาน กกต. ต้นเหตุยกคำร้อง

“หากจำกันได้คดีนี้ตอนแรกอัยการมีความเห็นไม่ส่งฟ้องเพราะไม่แน่ใจว่านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนที่จะส่งเรื่องถึงอัยการหรือไม่ ต่อมานายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ซึ่งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำเรื่องมาถึงอัยการให้ส่งฟ้องศาล จึงถือว่าหนังสือดังกล่าวเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง กกต. และอัยการก็มีการถกกันเรื่องนี้อีก โดยถามว่านายอภิชาตมีความเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายอภิชาตไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ อัยการจึงถือว่าหนังสือที่นายอภิชาตส่งมาให้ก่อนหน้านี้เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล” นายธนพิชญ์กล่าว

ยื่นฟ้องใหม่ไม่ได้แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถกลับไปทำความเห็นเพื่อยื่นฟ้องคดีใหม่ได้หรือไม่ โฆษก อสส. กล่าวว่า คงไม่ได้เพราะถือว่าขั้นตอนสิ้นสุดแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับคำตัดสินของศาล

นายณรงค์เดช สุระโฆษิต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากดูจากคดี 29 ล้านบาทที่ศาลยกคำร้อง คดี 258 ล้านบาทที่ยกคำร้องก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย

นักวิชาการชี้น่าจะยื่นฟ้องใหม่ได้

“เมื่อศาลบอกว่าการดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ดังนั้น การกลับไปทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนแล้วยื่นฟ้องใหม่น่าจะทำได้ เพราะศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล แต่สำหรับคดี 29 ล้านบาท ฟ้องซ้ำไม่ได้เพราะคำวินิจฉัยข้อที่ 2 ได้ปิดช่องไปแล้ว” นายณรงค์เดชกล่าว

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่าผลการตัดสินที่ออกมาจะไม่ทำให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวจนเกิดความรุนแรง เป้าหมายของคนเสื้อแดงตอนนี้คือการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยใช้คำวินิจฉัยของศาลไปแจ้งกับประชาชนเพื่อให้มีความรู้สึกว่ามี 2 มาตรฐานเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม การจุดประเด็นเรื่อง 2 มาตรฐานคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองมาก อย่างมากแค่ลดความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์ลงได้บ้างเท่านั้น

“มาร์ค” ให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ตุลาการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตัวในคดี 29 ล้านบาท เพราะจะทำให้ประชาชนที่สนใจมีความเข้าใจมากขึ้นว่าศาลได้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อนตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

ส่วนกรณีที่จะมีการนำคำวินิจฉัยของตุลาการเสียงข้างน้อยที่ให้ยุบพรรคไปขยายผลทางการเมืองหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องมีอยู่แล้ว เมื่อเสียงไม่เอกฉันท์ก็ต้องเป็นแบบนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตามกติกาเรายึดตามเสียงข้างมาก

โทร.ยินดี “ชวน” ทำงานสำเร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังรับทราบผลคดี 258 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำร้อง นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค

ด้านนายชวนกล่าวว่า ถือว่าหมดภารกิจของทีมกฎหมายแล้ว ส่วนจะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยที่ฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของพรรคจะพิจารณา แต่ในทีมกฎหมายไม่ได้คุยกันเรื่องนี้

ความเห็นนายทะเบียนเป็นสาระสำคัญ

นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวว่า การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นให้ยุบพรรคก่อส่งอัยการฟ้องศาลถือเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเปิดการไต่สวนเพราะดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน

“กฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 94-95 เขียนชัดอยู่แล้วว่าทนายทะเบียนต้องทำความเห็นก่อนเสนออัยการยื่นฟ้องศาล เมื่อขั้นตอนไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น”

นปช. เสียดายไม่ตัดสินข้อเท็จจริง

นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า คำตัดสินของศาลเป็นไปตามความคาดหมายว่าจะเหมือนกับคดี 29 ล้านบาท แต่ถ้าตนเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะดีใจมากกว่าหากศาลตัดสินตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่เทคนิคกฎหมาย เพราะหากมุ่งเรื่องข้อกฎหมายโดยละเลยข้อเท็จจริงทำให้เกิดข้อครหาเรื่อง 2 มาตรฐาน

ไม่เคลื่อนไหวต้านเพราะเริ่มชินชา

“คนเสื้อแดงกำลังตายด้านกับเรื่องเหล่านี้เพราะเกิดบ่อยจนชิน หลายคนอาจคิดว่าคนเสื้อแดงต้องโกรธ ต้องออกมาต่อต้าน เราไม่รู้จะทำทำไมเพราะที่ผ่านมาโดนกระทำมามากกว่านี้อีก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงกับคนเสื้อแดง คนที่เคยเจ็บกับเรื่องหนักพอมาเจอเรื่องเบาๆก็ไม่รู้สึกอะไร” นางธิดากล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ออกไปเคลื่อนไหวต่อต้านคำตัดสินของศาล แต่จะเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมทั้งระบบ และอยากฝากเตือนไปยังคนที่มองว่าเสื้อแดงเป็นศัตรูด้วยว่าอย่าทำอะไรให้พวกเราสะสมความโกรธแค้นให้มากนัก เพราะแค่นี้บ้านเมืองก็มีปัญหามากอยู่แล้ว

ชี้บ้านเมืองมีทางเลือกแค่ 2 ทาง

นางธิดากล่าวอีกว่า บ้านเมืองหลังจากนี้มีทางเลือกแค่ 2 ทางคือ 1.แต่ละฝ่ายนำบทเรียนในอดีตมาพิจารณาแล้วร่วมกันมองไปข้างหน้าว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร หรือ 2.ต้องฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง หากยังตายไม่หมดก็ฆ่ากันต่อไป บ้านเมืองจะไปทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะเลือก

“ถ้าเขายอมรับความเป็นจริงและคิดว่าจะเดินหน้าไปอย่างไรก็ถือว่าดี แต่หากคิดว่าต้องฆ่าให้หมด ต้องขังให้หมด รับรองได้ปัญหานี้ไม่มีวันจบสิ้น” รักษาการประธาน นปช. กล่าว

เพื่อไทยขอศึกษาคำวินิจฉัยก่อน

นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน และคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น วุฒิสภาและภาคประชาชนจะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะดูข้อกฎหมายว่าสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า น่าเสียดายที่ศาลเลือกยกคำร้อง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาที่เป็นข้อเท็จจริงของคดี

แขวะพรรคเทวดาทำอะไรไม่ผิด

“พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคการเมืองที่โชคดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะรอดพ้นจากการยุบพรรคมาทุกครั้ง จึงขอตั้งฉายาให้เป็นพรรคเทวดา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า หลัง จากที่ศาลมีคำวินิจฉัยโดยละเอียดออกมาแล้ว ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะนำมาศึกษาเพื่อทำสมุดปกขาวให้ประชาชนได้อ่านข้อเท็จจริง

โฆษกพรรคเพื่อไทยยังแนะนำให้นายอภิชาต ในฐานะที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาชี้แจงเรื่องการทำความเห็นยุบพรรค เพราะตามข้อกฎหมายไม่ได้ระบุชัดเจนว่านายทะเบียนจะ ต้องทำความเห็นด้วยวิธีใด เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นแพะ ส่วนอัยการก็ต้องชี้แจงข้อกฎหมายที่เห็นต่างจากศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง

ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

‘แม้ว’มีเอกสิทธิ์บินชี้แจงสหรัฐไม่ถูกจับส่งไทย

นักวิชาการชี้ซีเอสซีอีสามารถให้เอกสิทธิ์คุ้มครอง “ทักษิณ” เดินทางเข้าสหรัฐโดยไม่ถูกจับกุมส่งกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ เตือนกระทรวงการต่างประเทศระวังหน้าแหก เชื่ออดีตนายกฯบินไปแน่เพราะเป็นโอกาสทองที่จะโน้มน้าวให้เห็นว่าคดีความต่างๆเป็นเรื่องการเมือง “นพดล” ยันเตรียมข้อมูลแล้วรอแค่วีซ่า ระบุนักการเมือง นักกฎหมายในสหรัฐระอารัฐบาลไทยที่ออกอาการตื่นตูมเกินเหตุ

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ประเมินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนรตรี น่าจะเดินทางเข้าสหรัฐเพื่อชี้แจงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยนชนในไทยตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปหรือซีเอสซีอี ในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ เพราะซีเอสซีอีมีเอกสิทธิ์ที่จะให้ความคุ้มครองอดีตนายกฯได้

“ซีเอสซีอีขึ้นตรงกับรัฐสภา ไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาลสหรัฐ เมื่อขึ้นอยู่กับรัฐสภาก็สามารถที่จะให้เอกสิทธิ์คุ้มครองคนที่เชิญมาให้ปากคำ จะจับกุมคุมขังไม่ได้ หากดูตามแนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วเชื่อว่าท่านไปแน่ เพราะต้องไปชี้แจงเพื่อตอกย้ำเรื่องที่ถูกรังแก และพยายามชี้ให้เห็นว่าคดีของเขาเป็นคดีการเมืองไม่ใช่คดีธรรมดา แม้ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลปรกติ แต่การดำเนินคดีมาตามช่องทางของขบวนการพิเศษทั้งสิ้น จึงไม่มีเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะปฏิเสธโอกาสทองครั้งนี้” รศ.สุขุมกล่าวและว่า เรื่องซีซ่าเข้าสหรัฐคงไม่มีปัญหา หาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไปจะเสียความน่าเชื่อถือเพราะรับปากแล้ว หากอดีตนายกฯไม่ไปก็มีเหตุผลเดียวคือกลัวถูกจับแลกตัวกับนายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธสงคราม ที่ไทยส่งตัวให้สหรัฐ

รศ.สุขุมยังกล่าวเตือนบางคนที่กระเหี้ยนกระหือรือต้องการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศโดยประสานขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนว่าระวังจะหน้าแหก แต่เชื่อว่าจริงๆแล้วคนในกระทรวงการต่างประเทศเข้าใจเรื่องนี้ดี

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าอดีตนายกฯยังไม่เลิกล้มแผนเดินทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอวีซ่า ซึ่งนักการเมืองและนักกฎหมายในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างมากว่าทำตัวโอเวอร์รีแอ็ค

“ที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแสดงความมั่นใจว่าอดีตนายกฯจะไม่ได้วีซ่าเข้าสหรัฐ ผมต้องถามว่าที่มั่นใจเพราะไปดำเนินการอะไรไว้หรือไม่ ความจริงรัฐบาลควรสนับสนุนการออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะจะได้เอาความจริงมาพูดกัน ปัญหาบ้านเมืองจะได้คลี่คลาย”

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เย้ยหยันว่าเป็นแค่การชิงพื้นที่ข่าวเรียกร้องความสนใจนั้น นายนพดลกล่าวว่า ไม่ได้สร้างข่าวแต่ได้รับคำเชิญจริงๆ และได้เตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงเอาไว้แล้ว พร้อมจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐไม่อนุมัติวีซ่าก็จะเลือกระหว่างส่งคนไปชี้แจงแทน ส่งเอกสารชี้แจงหรือใช้วิดีโอลิ้งค์

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่า ทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบว่าควรเดินทางไปสหรัฐหรือไม่ หรือว่าจะใช้วิธีการอื่นในการให้ข้อมูล

“ถ้าเป็นผมผมไม่ไปเพราะเสี่ยงเกินไป ไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน” พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าว

นางนิดาวรรณ เพราะสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สิ่งที่น่า สนใจคือสหรัฐจะให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ หากเข้าไปแล้วจะจับตัวส่งให้ไทยหรือไม่ หากไม่ทำก็ถือว่าละเมิดสนธิสัญญาที่มีต่อกัน ที่สำคัญคือการจะไปชี้แจงครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไปในฐานะอะไร

“ซีเอสซีอีก็แปลก เพราะภารกิจหลักคือการตรวจสอบในภาคพื้นยุโรป แต่ครั้งนี้กลับมาสนใจประเทศไทยที่อยู่ในเอเชีย ทำให้สงสัยได้ว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบพบว่า นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความและล็อบบี้ยิสต์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนติดต่อกับซีเอสซีอีเอง เรื่องนี้น่าจะเป็นแค่การสร้างข่าวเพื่อให้นานาชาติกลับมาให้ความสนใจในตัว พ.ต.ท.ทักษิณอีกครั้งเท่านั้น” นางนิดาวรรณ

ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

‘ธาริต’อ้างไม่เคยยืนยันสำนวนทหารยิงเสื้อแดง

“ธาริต” ร่วมประชุม ศอฉ. ยืนยันไม่เคยไปพูดที่ไหนว่าทหารเกี่ยวข้องกับการทำร้ายคนเสื้อแดง อ้างสำนวนที่ “จตุพร” นำมาเปิดเผยยังไม่สมบูรณ์จึงต้องส่งให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพเพิ่ม “สรรเสริญ” เผย ศอฉ. มีมติเสนอคณะรัฐมนตรียกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งัดหมวด 1 พ.ร.บ.ความมั่นคงฯขึ้นมาดูแลสถานการณ์แทน รัฐมนตรียุติธรรมแจงตรวจ 2 ล้านชื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ “ทักษิณ” เสร็จแล้ว รอเรียกคนนามสกุล “ชินวัตร” 5-6 คน ยืนยันความสัมพันธ์เพื่อดูว่าเข้าเกณฑ์ยื่นฎีกาได้หรือไม่

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าเอกสารที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นำมาเปิดเผยอ้างว่าเป็นสำนวนสอบสวนของดีเอสไอระบุทหารยิงประชาชนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองนั้น จากการตรวจสอบพบว่าสิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

“การที่ดีเอสไอส่งสำนวนบางส่วนกลับไปให้ตำรวจเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อสำนวนไม่สมบูรณ์ก็ต้องส่งให้ตำรวจท้องที่ทำเรื่องการชันสูตรพลิกศพใหม่ เมื่อทำสำนวนใหม่เสร็จต้องส่งกลับมาที่ดีเอสไอ ผมไม่เคยพูดว่าทหารเกี่ยวข้องกับการทำร้ายประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาต้องเห็นใจผู้ปฏิบัติงานที่ต้องนำบ้านเมืองกลับคืนสู่ความปรกติสุข”

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ที่ประชุมประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าดีขึ้นตามลำดับ จึงมีมติให้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าว่าสมควรยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี

“การยกเลิกเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ประชาชนเบาใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ศอฉ. ก็ต้องปิดตัวลง โดยนำแผนรักษาความสงบเรียบร้อยของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มารองรับแทน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรหมวดที่ 1 ทหารจะทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน หากสถานการณ์พัฒนาสู่ความรุนแรงก็ขยับไปใช้หมวดที่ 2 ประกาศพื้นที่รักษาความมั่นคงแล้วตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ขึ้นมาดูแล” โฆษก ศอฉ. กล่าวพร้อมย้ำว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 10 ธ.ค. นี้ต้องปฏิบัติตามกติกาเดิมคือ ต้องไม่กีดขวางการจราจร ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง และห้ามค้างคืน

ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มแนวร่วมพลเมืองไท ซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มเสื้อแดงกว่า 50 คน เดินทางไปเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกำหนดวันยุบสภาที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประกันตัวผู้ต้องหาที่เป็นคนเสื้อแดงเพราะเห็นว่าถูกขังฟรีในช่วงรอการพิจารณาคดีมานานแล้ว

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ากรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดที่มีเกือบ 2 ล้านรายชื่อเสร็จแล้ว แต่ยังติดปัญหาว่าผู้ที่ยื่นขอนั้นแม้จะมีนามสกุลชินวัตรแต่ไม่ได้รับคำยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร

“มี 5-6 คนที่นามสกุลชินวัตร มีความชัดเจนเพียงคนเดียวคือนายพายัพ ชินวัตร แต่ก็มีปัญหาที่ไม่ได้ลงรายมือชื่อแนบท้ายมา จึงต้องรอให้ทั้งหมดมายืนยันอีกครั้งว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร เพราะหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ยื่นต้องเป็นสามี ภรรยา บิดา มารดา หรือผู้ที่เป็นพี่น้อยสายตรงเท่านั้น” นายพีระพันธุ์กล่าวและว่า เมื่อกรมราชทัณฑ์ดำเนินการเสร็จจะส่งเรื่องมาที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

โลกประณาม

คดีสลายม็อบแดง 91 ศพคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วที่จะนำขึ้นสู่เวทีโลก

ล่าสุดคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชั้นนำของสหรัฐ ได้เชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปพูดถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย

โดยเฉพาะการสลายม็อบแดงในเดือนเม.ย.และพ.ค.

ก่อนหน้านี้ก็มีการเคลื่อนไหวจากองค์กรนานาชาติหลายแห่ง

องค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดเผยผลการสอบสวนให้โปร่งใส

ยูเอ็นก็พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมตรวจสอบ

ยังมี นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความดัง ทำราย งานเสนอศาลอาญาโลกให้สอบสวนเอาผิดนายอภิสิทธิ์ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ฉะนั้นการเข้าไปให้ข้อมูลต่อซีเอสซีอีของพ.ต.ท.ทักษิณจึงเป็นการตอกย้ำการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย

จึงเป็นธรรมดาที่รัฐบาลต้องต่อต้าน ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณไปปรากฏตัวที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 16 ธ.ค.

งัดออกมาหมดสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ข้อตกลงการเจรจาลับ

หวังให้สหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทย รับโทษคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ

แต่ยิ่งนายอภิสิทธิ์กระเสือกกระสนต่อต้านเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกชาวโลกจับจ้องมากขึ้น

การที่พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีทุจริตจากเมืองไทยก็เป็นเรื่องหนึ่ง

การไปเปิดเผยข้อมูลการปราบประชาชนมีคนล้มตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จะเอามารวมกันไม่ได้

นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้กระบวนการสอบสวนคดี 91 ศพของไทยไร้หวังแล้ว

ล่วงเลยมา 7 เดือน 91 ศพก็ยังตายฟรี

มีผู้บริสุทธิ์ยังถูกขังฟรีอีกนับร้อย

อย่าว่าแต่คนไทยเลย นักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต รัฐบาลก็ยังตอบญาติพี่น้องคนเหล่านั้นไม่ได้

พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงตาย แถลงตบหน้ารัฐบาลไทยฉาดใหญ่

ระบุว่ายัดเยียดเงินหวังปิดปาก ไม่เคยตระหนักถึงความร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ

เช่นเดียวกับคดีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ ที่ถูกฆ่า

รัฐบาลญี่ปุ่นจี้คดีหลายหน แต่ทางการไทยก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไร

นายอภิสิทธิ์อาจเอาตัวรอดไปวันๆได้ในเมืองไทย

โยนคดีกันไปมา เยื้อเวลา รักษาอำนาจ

แต่เมื่อไหร่ที่คดี 91 ศพขึ้นสู่เวทีโลก มันคนละเรื่อง กันแน่

นานาชาติให้ความสำคัญต่อการละเมิดสิทธิ์

พอถึงวันนั้น มันอาจสายเกินไปแล้วสำหรับนายอภิสิทธิ์

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นาธานทำเนียบ ยังปากแข็ง!

'นาธาน โอมาน'รับ-กุเรื่องทั้งเพ
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ

จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว

เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง

สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน

และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด

แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง

แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา

แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น

ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา

แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง

ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น

ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้

ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้

หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย

ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน

ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย

ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว

ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???

เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด

ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน

โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ

ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร

ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์

แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!

เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย

งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???

หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น

ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง

เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???

มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่

หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร

ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???

แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง

ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้

'นาธาน โอมาน'รับ-กุเรื่องทั้งเพ
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ

จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว

เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง

สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน

และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด

แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง

แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา

แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น

ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา

แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง

ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น

ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้

ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้

หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย

ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน

ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย

ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว

ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???

เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด

ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน

โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ

ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร

ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์

แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!

เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย

งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???

หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น

ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง

เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???

มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่

หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร

ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???

แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง

ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************

พระราชทานเครื่องราชฯ ๕๓ พธม.ได้ด้วย

 

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553 จำนวน 11, 114 ราย

ประกาศระบุว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2553 รวมทั้งสิ้น 11, 114 ราย ประกาศ ณ วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
รายนาม ครบถ้วน ตรวจสอบได้ที่www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2553/B/014/1.PDF
ทว่ารายชื่อ บุคคลชั้นนำ ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ที่น่าสนใจ บางส่วนมีดังนี้
รายนามผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553

มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก 431 คน รายที่ 431 ได้แก่ นางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ( ภริยาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) นางกุลยา เผ่าจินดา ( ภริยาของพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นางนราพร จันทร์โอชา ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม นางคมคาย พลบุตร นางสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ นางธารทิพย์ จงจักรพันธ์ นางสาวศิริพรรณ กัลยาณรุจ นางสาวศิริเพ็ญ กัลยาณรุจ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา นายอนุชา นาคาศัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายโสภณ สุภาพงษ์ นายธวัชชัย ยงกิตติกุล นายนคร ณ ลำปาง นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายกำจัด พ่วงสวัสดิ์ นายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นายมั่น พัธโนทัย นายวีระชัย วีระเมธีกุล นายปราโมช รัฐวินิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ พลเอก นินนาท เบี้ยวไข่มุข พลเอก หม่อมหลวงประสบชัย เกษมสันต์ นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นายจุมพต สายสุนทร นายไผทชิต เอกจริยกร นายไพโรจน์ กัมพูสิริ นายสมบูรณ์ เทียนทอง นายแสวง บุญเฉลิมวิภาส นายแท้จริง ศิริพานิช นายรัฐกรณ์ นิ่มวัฒนา นายวีระชัย โควสุวรรณ นายไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล นายกิตติ วะสีนนท์ นายสมชาย เสียงหลาย นายนัทธี จิตสว่าง เป็นต้น

มหาวชิรมงกุฎ จำนวน 1,453 คน เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช นายปณิธาน วัฒนายากร นายสมชาย แสวงการ นายเกียรติ สิทธีอมร นายสรวงศ์ เทียนทอง พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พลเอก คณิต สาพิทักษ์ พลเอก กลชัย พรรณเชษฐ์ พลเอก เผด็จการ จันทร์เสวก นายวิทวัส ศรีวิหค นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา นายเรืองเดช มหาศรานนท์ นายจรัญ โฆษณานันท์ นายฉลอง สุนทราวาณิชย์ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ นายสมภาร พรมทา นายวิรัตน์ กัลยาศิริ นายวุฒิสาร ตันไชย นายสุทธิพล ทวีชัยการ นางพรทิวา นาคาศัย ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นางวัชรี วิมุกตายน นางบุษบา กรัยวิเชียร นางสุมาลี ลิมปโอวาท นางจรีรัตน์ ตันติเวชกุล นางสาวจริยา ปาละวงศ์ นางสาวสุนทรียา เหมือนพะวงศ์ นางสาวพรทิพย์ ถนอมรอด นางสุจิตรา เหลืองอมรเลิศ นางเต็มศิริ ชาญนุกูล นางทัศนีย์ ชาญวีรกูล นางธัญญวดี บุญเดช นางละออง ชิดชอบ นางวราภรณ์ ชื่นชมพูนุท นางอารีญาภรณ์ ซารัมย์ นางกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี นางดวงพร พุ่มหิรัญ นางนภาพร ศุภวงศ์ นางพรทิพย์ เพ็ญกิตติ นางภรณี จักกาบาตร์ เป็นต้น

ประถมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 1,967 ราย เช่น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายเทพไท เสนพงศ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน หม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นายสามารถ มะลูลีม นายสุชาติ ลายน้ำเงิน นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ นายวัชระ พรรณเชษฐ์ ร้อยโท ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล นายถาวร ลีนุตพงษ์ นายประสิทธิ์ โพธสุธน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายสวัสดิ์ ถนัดค้า นายปรีชา เถาทอง นายมนัส ตันตรานนท์ นายทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ นายประสงค์ วินัยแพทย์ นายขุนพล พรหมแพทย์ นายภราดร ปริศนานันทกุล พันตำรวจเอก เทวานุวัฒน์ อนิรุทธเทวา นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ นายมานิต นพอมรบดี นายศุภชัย ใจสมุทร หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต นายสกลธี ภัททิยกุล นางสาวรสนา โตสิตระกูล นายอนุชา บูรพชัยศรี นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ นางฐิติมา ฉายแสง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี นางสาวอาระยา นันทโพธิเดช นางปัทมาวดี ซูซูกิ นางสมวงษ์ แปลงประสพโชค นางสุชาดา อุชชิน นางสาวประพีร์ อังกินันทน์ หม่อมราชวงศ์เปรมศิริ เกษมสันต์ นางสาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค นางวรกร จาติกวณิช นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ นางอาภามาศ ภัทรประสิทธิ์ นางอารมณ์ กล้าณรงค์ราญ นางสุพร วงศ์หนองเตย นางพัฒนา สังขทรัพย์ เป็นต้น

ประถมาภรณ์มงกุฎไทย จำนวน 5,539 ราย เช่น พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา นายวัชระ เพชรทอง นายวีระ อุไรรัตน์ หม่อมราชวงศ์อดิศรเดช สุขสวัสดิ์ นายชาญวิทย์ ผลชีวิน นายจิรชัย สุทัศนะจินดา นายรังสรรค์ ปิ่นทอง นายศุภชัย เจียรวนนท์ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ นางสาวกัญญรัตน์ กรัยวิเชียร นางอัญชนา ณ ระนอง นางอัสนี ณ ระนอง นางจิระพันธ์ เอกอุรุ นางสาวทัศนีย์ พืชมงคล นางนงนุช เศรษฐบุตร นางพีระพรรณ บูรณสมภพ นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ นางจิรารัตน์ บุณยเกียรติ นางพันทิพา จันทิก นางภัทราวดี จิรเมธากร นางลักษมี อินทรสมบัติ นางสมานจิตต์ ไกรฤกษ์ นางอโณทัย คล้ามไพบูลย์ นางอุษา รุจิประภา เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีรายนามผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553 ประกอบด้วย ข้าราชการการเมือง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองวุฒิสภา ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการ และเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ฯลฯ รวมถึง กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ได้แก่ พันเอก นที ศุกลรัตน์

ที่มา.เวบ Go6
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สกัดจุดตาย

งัดทุกกระบวนท่า!

ดำดินมาแบบเนิบๆ แม้แต่ขอมผู้เป็นต้นฉบับมหาเวทย์ “ดำดิน” ยังไม่สะกิดใจและสะดุดตา!คอการเมืองกว่าจะถึง “บางอ้อ” ก็มีการหมกเม็ด ยัดไส้เข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแบบเงียบๆแต่ทำกันเป็นทีม หลักแหลมชาญฉลาดเนียนไร้ที่ติ อาศัยช่วงชุลมุนทางการเมือง ชิงความได้เปรียบบนสนามเลือกตั้งในอนาคตข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง

เรื่องของเรื่อง เผอิญเกิดขึ้นในช่วงการเมืองร้อน ถูกจุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป สภาผู้ทรงเกียรติ สเปก ท่าน ส.ส.ฝักถั่ว สมัครสมานให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ในวาระแรกโดยมีสาระสำคัญยกเลิกการนับคะแนนแบบเก่า ที่นำมารวมนับที่เขต มาเป็นให้นับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง แล้วส่งผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่ เขตเลือกตั้ง

“รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดมีเจตนารมณ์กำหนดเกี่ยวกับการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง และส่งผลการนับคะแนนเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม ดังนั้น ในการนับคะแนน การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ควรกำหนดให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแล้วส่งผล การนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม เพื่อความรวดเร็วในการนับคะแนน และเป็นการอำนวยความสะดวกในการนับคะแนนการลงเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความถูกต้อง ของการนับคะแนนอันเป็นผลให้การเลือกตั้งเป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม”

นั่นเป็นเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ....

“ถวิล ไพรสณฑ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง

“ภราดร ปริศนานันทกุล” จากพรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะส.ส.จำนวนหนึ่ง

“พัฒนา สังขทรัพย์” จากพรรคภูมิใจไทย กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง

นี่คือทีมงานต้นทางในการชงร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่แยกกันส่งเป็น 3 ร่างเข้าสู่การพิจารณาในสภา ผู้แทนราษฎร ก่อนที่ฝักถั่วจะรับหลักการในวาระแรก และรวบรัดตัดตอนมาพิจารณารวมในร่างของ “ถวิล ไพรสณฑ์” นักปกครองมืออันดับต้นๆ ของเมืองไทยจากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ.... อันประกอบด้วยผู้ทรงเกียรติในสภาล่างจำนวน 36 ท่าน ปะปนกันไประหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน แต่เนื่องด้วยการชงในรอบนี้ เป็นความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา

มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองที่การ กลั่นกรองหรือการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ หรือแม้ กระทั่งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เสียงของ ส.ส.ในซีก รัฐบาลย่อมแรงชัดถ้วนทั่วปริมณฑลการเมืองเฉกเช่นใน อดีตที่ผ่านมา งานนี้หากไม่ผิดคิว เปิดสภาสมัยหน้า เลือกตั้ง สนามเล็กคงไม่แคล้วต้องนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งถามว่าดีหรือไม่??? คงเข้าใจได้ว่า..เป็นการตัดตอน กลโกงระหว่างทางในการขนถ่ายหีบบัตรไปสู่จุดนับคะแนนรวม นั่นรวมไปถึงเงื่อนไขในการลดขั้นตอนเพื่อ ประหยัดเวลาสำหรับคอการเมืองที่ใจเร็วอย่างทราบผลแต่จะสะอาดหมดจด โปร่งใสตรวจสอบได้ ดังที่ระบุไว้ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญประกอบร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวหรือไม่ ยังต้องใส่ไว้ในวงเล็บตอนท้ายด้วย “เควสชั่นมาร์ค”

เนื่องด้วยยังมีคำถามว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องยึดโยงจับหลักเดียวกันกับกติกาสนามใหญ่ที่ข้อร้องเรียนโกงเลือกตั้ง ยังประเดประดังท่วมหัว กกต.ทุกครั้ง ในคือวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น ลั่นทุ่ง อรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างคือ ไม่ว่าจะนับที่หน่วยหรือนับรวมที่เขตใหญ่ มันก็ไม่สามารถตอบโจทย์ที่ใช้เป็นข้ออ้างเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องในการเลือกตั้งที่ระบุไว้ในเจตนารมณ์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกระนั้นก็ตาม หากมองในแง่ความได้เปรียบทาง การเมือง ยึดโยงกับการถูลู่ถูกังแก้รัฐธรรมนูญของทีมงานพรรคร่วมรัฐบาลในรอบที่ผ่านมา ก็จะพบว่า มันล้วน มีคุณูปการในการเจาะฐานคะแนนเสียงสีแดงจากกระเป๋าใบเขื่องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย

หากการเมืองสนามเล็กนั่นคือฐานสำคัญในวันข้างหน้าของการเมืองสนามใหญ่ การกลับไปนับคะแนน ที่หน่วยเลือกตั้งในสนามเล็ก มันก็ไม่ต่างจากการเดินย้อนรอยไปสู่กติกาเดิมๆ ในการเลือกตั้งแบบเก่าๆ ที่เอื้อ ให้กับผู้มีอิทธิพลและพลังเงินในพื้นที่ได้มีโอกาสกลับมา เกิดใหม่ เพราะหากเปลี่ยนกติกา เหล่ามาเฟียในคราบผู้สมัคร ส.ส. ย่อมสามารถเช็กคะแนนหน้าหน่วยได้อย่าง ไม่มีปัญหา

นั่นย่อมจะกินรวมไปถึงกลโกงในอดีตที่หวนคืนกลับมา อาทิ การซื้อเสียงหน้าหน่วย หรือแม้กระทั่งซื้อ แบบยกหน่วย รวมไปถึงวิถีโจรในรูปแบบอื่น มันก็จะย้อนยุคสีเทาในวันเก่าๆ ตามมาด้วยสำคัญที่สุดแห่งสาระสำคัญในกติกาที่กำลังจะบังเกิด มันเผอิญมีวาระใกล้เคียงและละม้ายคล้ายคลึงกับโรด แมปการล้มทฤษฎี “ทักษิณฟีเวอร์”..หากสภาไฟเขียว วาระ “เสาไฟฟ้าแดง” ของพรรคแดงย่อมสุ่มเสี่ยงเอวังปมซ่อนเร้นที่บังเกิด ย่อมพิสูจน์ได้ว่า..การเดินย้อนรอยทางกฎหมายรอบนี้ มันเป็นผลประโยชน์ทาง การเมืองล้วนๆ โดยไม่มีนัยยะใดๆ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งประชาชนแม้แต่น้อย

แต่ที่กระทบประชาชนแน่ๆ และแน่นอนถึงขั้นนอนนิ่งแน่ๆ นั่นคือสถิติอาชญากรรมหลังวันเลือกตั้งที่ ตั้งเค้าจะคืนกลับ หากร่างกฎหมายนี้ไปโลดแล่นฉิวผ่าน ฝักถั่วในสภา เพราะหากนับคะแนนกันที่หน่วยคะแนนแต่ละหน่วยย่อมปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์เป็นพยาน หลักฐาน และบังเอิญหัวคะแนนผู้เป็นประชาชนตาดำๆ ที่มากด้วยความโลภ ทำแต้มจากวาระกระสุนดินดำไม่ได้ ตามเป้าวาระกระสุนตะกั่ว ภายใต้บรรยากาศรังสีอำมหิต แห่งการเมืองไกลปืนเที่ยง มันย่อมสุ่มเสี่ยง และเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเกิดฆาตกรรมอันต่อเนื่องติดจรวดตาม มา และแค่นี้ก็น่าจะยืนยันได้ว่า..

หากกฎหมายผ่าน ระหว่างประชาชนและนักการ เมืองใครมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่ากัน??? แต่ในเมื่อเป็นวาระสกัดจุดตายฝ่ายกุมอำนาจประเทศในสนามเล็ก นักเลือกตั้งงัดทุกกระบวนท่าเพื่อ กระชับอำนาจระดับท้องถิ่นไว้ในมือมันคงเป็นหน้าที่ประชาชนแล้วแหละ ที่จะต้อง จดพฤติกรรมเหล่านี้ลงแบล็กลิสต์ แล้วค่อยคิดบัญชีชำระแค้นเหล่านักเลือกตั้งชั่วให้สูญพันธุ์..คาคูหา เลือกตั้ง!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

3 นายกรัฐมนตรี

คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..อยู่ดีๆ ไม่มีปี่ มีขลุ่ย..เว็บไซต์ดังของโลก..wikileaks จะหันคลื่นเข้าหาประเทศไทย..และเปิดโปง..แบบตีขลุมว่า..การที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..ส่งคนรัสเซียไปให้สหรัฐอเมริกา..ทั้งๆ ที่ทางรัสเซียทักท้วงไว้แล้วนั้น...เพราะฮัลโหลจากประธานาธิบดีโอบามา..

แถมยังอ้างอิงเอกสารยืนยัน..ถึงการ แทรกแซงของอเมริกาต่อรัฐบาลไทย..ซึ่งแน่ใจ ได้ว่า..นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปประเทศไทยอยู่ ในเป้าทำลายของ..หมีขาว หมีใหญ่..ฝรั่งอายุ 39 ตัวคนเดียว..จะมีพลานุภาพ ในการหาข่าวลับระดับปกปิดมาใส่เว็บไซต์ได้ เช่นไร..อธิบายได้ว่า..เว็บไซต์นี้น่าจะเป็นอาวุธ ชิ้นหนึ่งในสงครามเย็นระหว่างอินทรีกับหมีขาว

แล้วกระต่ายน้อยอย่างประเทศไทย.. จะรับไหวหรือกับกรงเล็บหมี โดยเฉพาะหมีที่ยิ่งใหญ่อยู่ในอินโดจีน และมีพันธมิตรอยู่รอบประเทศไทย..ไม่ว่า ลาว-เขมร-ญวน หรือแม้กระทั่งพม่า..จะเป็น อย่างไรหากอาวุธสงครามในคลังแสงของประเทศเหล่านั้น..หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย.. ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ด้วยเปลวไฟแห่งความขัดแย้ง แบ่งแยก

เรา..ใช้เวลากันนานเท่าไหร่..กว่าพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ..กับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์..จะหยิบปืนกระบอกสุดท้ายจากมือประชาชนและเปลี่ยนพวกเขาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ความไร้เดียงสา ของท่าน..กำลังนำประเทศไทยกลับไปสู่.. วันเสียงปืนแตก..อีสานที่ท่านเหยียบย่างเข้า ไปไม่ได้ในวันนี้..จะเป็นอันตรายยิ่งกว่าถ้า.. อภิมหาอำนาจรัสเซีย..ประสงค์ร้าย

เว็บไซต์ของเขา..ที่หันเป้าเข้าหาประเทศไทย..ไม่ใช่การเตือน..แต่เป็นสัญญาณของสงครามที่กำลังจะเริ่มต้น..

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..รู้หรือไม่..นายกรัฐมนตรี 2 ท่านก่อนหน้า.. สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์.. ต่างได้รับโทรศัพท์และการพบโดยตรงจาก.. จอร์จ บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในเรื่องขอตัว..วิคเตอร์ บูท..แต่..นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน..ต่างใช้ลีลาเพื่อไม่ทำให้ประเทศไทยต้องไปอยู่..ในสงครามเย็นของ 2 ยักษ์

เดช บุนนาค..อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ..เล่าในหนังสืองานศพ..นายกฯ สมัคร ยืนยันในเรื่องนี้..

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปฏิเสธอย่างสุภาพ กับประธานาธิบดีบุช ว่า..ฝ่ายบริหารก้าวล่วงฝ่ายตุลาการไม่ได้..อาวุโสกับปัญญา..พาประเทศไทยพ้นจาก.. ปากหมี กรงเล็บอินทรี...แต่ผู้เยาว์ในวันนี้.. ผลักประเทศเข้าสู่วิกฤติแห่งสงคราม..

ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************