‘ผู้นำความคิด’ ยังปรับตัวเทปม้วนเก่าตัวอันตรายถึงเวลา ‘เลิกหลงอำนาจ’
เห็นข่าวทางการพม่าปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ซึ่ง “เธอ” ก็ปรับบทบาทและทีท่าใหม่ว่า พร้อมจะถกตัวต่อตัวกับ “นายพลตัน ฉ่วย” ผู้นำสูงสุดทางทหาร และพร้อมจะให้อภัยกับ “ผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องติดคุก” ก็ทำ ให้หวนนึกถึง “นักโทษทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังแฝงกายในต่างแดน...ว่าพร้อมจะ “ให้อภัย”...ใครหรือไม่???
โดยเฉพาะกับการไปพบปะกับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” รองนายกรัฐมนตรี ที่อาสาเดินสายกับทุก สี-ทุกขั้ว-ทุกฝ่าย...เพื่อทำให้ “แผนปรองดอง” กลายเป็น “ฝันที่เป็นจริง”
แต่ก็รู้สึกรำคาญหู...กับ “พวกรู้ไม่จริง” ที่ออกมาตำหนิว่า ไปเจอตัวนักโทษแล้ว ทำไมไม่จับ...เพราะถ้าคนรู้กฎหมาย ระหว่างประเทศดี...จะทราบว่า “เสธ.หนั่น” ไม่มีอำนาจ...ไม่มีหน้าที่ในการไปไล่ล่าตาม จับตัว และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การแจ้ง “เจ้าหน้าที่รัฐ” ของประเทศนั้นๆ ให้ดำเนินการตามขั้นตอน อีกทั้งยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่า ประเทศนอร์เวย์ที่ “ชาย 2 คน” ไปพบ กันนั้น ทางการไทยมี “หมายจับ” ส่งไปให้ แล้วหรือไม่อย่างไร...ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้าง ตัวเองว่า “เจอแล้ว...จับได้เลย” เหมือนพวกหลงงมงายบางกลุ่มที่กำลังคิดกัน
จะเห็นว่า...ความหวังที่เชื่อกันว่า... แผนปรองดองมีโอกาสที่จะสำเร็จนั้น... สามารถปลุกให้ “บรรดาซากศพ” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวก 111 หรือ 109 ดูมีชีวิต ชีวาขึ้นมาทันที...เพราะ “เขาเธอ” ต่างคาดหวังเช่นเดียวกันว่า จะได้รับผลพวงจากแผนปรองดอง...ให้กลับเข้ามาสู่สนาม การเมืองเร็วขึ้น เป็นเสมือนการ Rewind เทปม้วนเก่า...ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง... โดยเฉพาะกับตัว “นักโทษทักษิณ” ที่หลาย เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุ “กระชับพื้นที่” ก็ถูกมองข้ามก้าวผ่านไปแล้ว...
แต่เอาล่ะ...ในเมื่อ “เขา” คือ “ตัวปัญหาสำคัญของการเมืองไทย” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง “ให้ความสำคัญ” กับ “เขา”...อีกครั้ง... แต่อย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนภาพบางอย่าง ได้ดีว่า...การเมืองไทยเป็นเรื่องของ “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล”...และ “หลายคน” ต้องตกเป็น “เหยื่อการเมือง”...แบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว
ลองคิดดูว่า...ถ้าเมืองไทยมีกระบวนการใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมายและศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่มีข้อยกเว้นใดๆ...ไม่ว่า “ใครหน้าไหน” ก็ตามที...ป่านนี้ “เรา” คงไม่จำเป็นต้องไป Rewind เทปเก่า หรือ หนังม้วนเก่า...ยิ่งมาเห็นแนวคิดของ “ผู้เฒ่าการเมืองบางคน” ที่อ้างข้างๆ คูๆ ในเรื่องไม่ให้ “ลูกสมุนตัวเอง” ต้องลาออก จากเก้าอี้ “เสนาบดี” เพื่อจะไปสู้ศึกเลือกตั้ง ซ่อม...ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า “เทปม้วน เก่าหนังม้วนเก่า” ถือเป็นภัยอันตรายต่อ ความมั่นคงทางการเมือง...จริงๆ
ประเทศไทย “เสียโอกาสเสียเวลา” กับการพัฒนามามากพอแล้ว ถึงเวลาหรือ ยัง...ที่ “ผู้เฒ่าการเมืองทั้งหลาย” จะเลิก หวนคืนสู่สนามการเมือง เพียงเพราะ “หวงแหนอำนาจ” และ “อยากมีอำนาจ ค้ำฟ้า” และควรปล่อยให้ “การเมือง” มันพัฒนาไปตาม “จังหวะเวลา” ด้วยตัวของมันเอง...เลิกเสียทีกับการจุ้นจ้านก้าวก่าย...ไม่เข้าเรื่อง
อย่าลืมว่า...เวียดนามที่เคยล้าหลัง ไทยมานาน เวลานี้มีการพัฒนาประเทศ มาจนเกือบจะคู่คี่สูสี แถมบางอย่างยัง ก้าวกระโดดไกลกว่าไทยเสียอีก โดยเฉพาะเรื่อง 3จี...หากเรายังไม่คิด “ละเลิกหลงงมงาย” ก็ให้ระวังว่า “พม่า” ที่ “ผู้นำทางความคิด” ของเค้า...ยังกล้าปรับมุมมองและเริ่มกระทำจริง...
ดีไม่ดี...อีกไม่กี่ปี...หาก “คนการ เมืองทั้งหลาย” ยังไม่สำนึกและคิดถึง ประเทศชาติอย่างจริงๆ จังๆ...เผลอๆ “พม่า” จะเดินแผนปรองดองเสร็จก่อนไทยเสียอีกก็ได้...ใครจะไปรู้...555
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทิศทางประเทศไทย
ทิศทางของประเทศไทย..จะไปทางไหน..อะไรทำให้ประเทศไทย..กลายเป็นประเทศที่มากมายไปด้วยปัญหา..มีแต่เรื่องราวไม่รู้จบ..มากไปด้วยความตายและคลุ้งควันต้องย้อนกลับไปดู..ประเทศไทยหลังจาก การล่มสลายของรัฐบาล..รสช.ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันอย่างมากมายหลายรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นมาหลายคน..มีการยุบสภา เลือกตั้งกันหลายหน
แต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้อย่างดี..ไม่มี ใครบาดเจ็บล้มตาย..ไม่มีใครใส่เสื้อต้องเลือก สี..ไม่มีเสียงระเบิดและข่าวคราวอวัยวะฉีกขาด..โรงแรมผุดขึ้นมาในทุกแหล่งท่องเที่ยว.. สนามบินดอนเมืองคับแคบแออัดจนไม่สามารถ รองรับการเดินทางไปกลับของนักท่องเที่ยว..
รัฐบาลหนึ่งแพ้เสียงในสภา..รัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมาเรื่องราวในเว็บไซต์ต่างๆ แม้จะเปิดกว้าง ในเนื้อหาแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นไป ของสถาบันชาติ..รัฐบาลไม่ต้องทำหน้าที่ปิดกั้น ปกปิดและเผชิญหน้า
เรา..คนไทยทั้งหลาย..เป็นสุขและสันติ..ทันทีทันใด..ที่มีผู้คบคิดกันกระทำการ ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ.. ประเทศก็เปลี่ยนไป..และเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ..
ถ้าประเทศไทยเป็นบริษัท..มันก็ใหญ่และ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ..จะให้ยามหรือพนักงาน รักษาความปลอดภัยเข้ามาบริหารจัดการ..ถ้าประเทศไทยเป็นกองมรดก..มันก็ใหญ่เกินไป สำหรับการจะให้ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาสืบสานตำแหน่งจนกิจการวิบัติวอดวาย
แต่เพราะความไม่พอเพียง..ของผู้ที่สมควร จะพอเพียง..เพียงเพราะอยากจะมีอำนาจให้ มากกว่าอำนาจที่พึงมี..ประเทศนี้จึงมีแต่กรรม..19 กันยายน 2549 มันไม่ใช่วันที่ เริ่มต้นของความวิบัติวอดวาย..เพราะเริ่มต้น ของความวิบัติวอดวายมันเกิดมาก่อนหน้า.. แต่ 19 กันยายน 2549 คือวันฌาปนกิจ.. ความสุขและสันติของประเทศ ของประชาชนไทย
หลังจากวันนั้น..ประเทศไทยเปลี่ยนไป.. เลวร้ายและเลวลง..คนไทยกับคนไทยต้องฆ่ากัน.. ทหารไทยต้องหยิบปืนมายิงประชาชนของเขาเอง..วันนี้..คิดจะย้อนคืนประเทศ..บนทาง สองแพร่ง..ที่ต้องตัดสินใจ..จะกลับไปเป็น 18 กันยายน 2549 หรือ 20 กันยายน 2549ถ้า 18 กันยาฯ..ก็คืนประเทศกลับมา ให้ประชาชนไปเลือกตั้งถ้า 19 กันยาฯ..ก็จูงมือกันไปพบกับความหายนะ
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************
แต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้อย่างดี..ไม่มี ใครบาดเจ็บล้มตาย..ไม่มีใครใส่เสื้อต้องเลือก สี..ไม่มีเสียงระเบิดและข่าวคราวอวัยวะฉีกขาด..โรงแรมผุดขึ้นมาในทุกแหล่งท่องเที่ยว.. สนามบินดอนเมืองคับแคบแออัดจนไม่สามารถ รองรับการเดินทางไปกลับของนักท่องเที่ยว..
รัฐบาลหนึ่งแพ้เสียงในสภา..รัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมาเรื่องราวในเว็บไซต์ต่างๆ แม้จะเปิดกว้าง ในเนื้อหาแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นไป ของสถาบันชาติ..รัฐบาลไม่ต้องทำหน้าที่ปิดกั้น ปกปิดและเผชิญหน้า
เรา..คนไทยทั้งหลาย..เป็นสุขและสันติ..ทันทีทันใด..ที่มีผู้คบคิดกันกระทำการ ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ.. ประเทศก็เปลี่ยนไป..และเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ..
ถ้าประเทศไทยเป็นบริษัท..มันก็ใหญ่และ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ..จะให้ยามหรือพนักงาน รักษาความปลอดภัยเข้ามาบริหารจัดการ..ถ้าประเทศไทยเป็นกองมรดก..มันก็ใหญ่เกินไป สำหรับการจะให้ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาสืบสานตำแหน่งจนกิจการวิบัติวอดวาย
แต่เพราะความไม่พอเพียง..ของผู้ที่สมควร จะพอเพียง..เพียงเพราะอยากจะมีอำนาจให้ มากกว่าอำนาจที่พึงมี..ประเทศนี้จึงมีแต่กรรม..19 กันยายน 2549 มันไม่ใช่วันที่ เริ่มต้นของความวิบัติวอดวาย..เพราะเริ่มต้น ของความวิบัติวอดวายมันเกิดมาก่อนหน้า.. แต่ 19 กันยายน 2549 คือวันฌาปนกิจ.. ความสุขและสันติของประเทศ ของประชาชนไทย
หลังจากวันนั้น..ประเทศไทยเปลี่ยนไป.. เลวร้ายและเลวลง..คนไทยกับคนไทยต้องฆ่ากัน.. ทหารไทยต้องหยิบปืนมายิงประชาชนของเขาเอง..วันนี้..คิดจะย้อนคืนประเทศ..บนทาง สองแพร่ง..ที่ต้องตัดสินใจ..จะกลับไปเป็น 18 กันยายน 2549 หรือ 20 กันยายน 2549ถ้า 18 กันยาฯ..ก็คืนประเทศกลับมา ให้ประชาชนไปเลือกตั้งถ้า 19 กันยาฯ..ก็จูงมือกันไปพบกับความหายนะ
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************
‘กลฟ้าสนั่นเสียง’
ช่วงนี้ข่าวสารการเมืองมีการแตกฉาน ซ่านเซ็นไปหลายทิศทางหลากประเด็น แต่ ที่ฮอตที่สุดคงไม่พ้นเรื่องยุบสภาฯ
“ไม่มีอะไรกดดันผม การที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะยุบสภาก็ต้องยุบ และการยุบสภาก็ดีกว่าการปฏิวัติ เพราะกลุ่มคน เสื้อเหลืองจะมาชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคมนั้น จะมาชุมนุมกันเพื่ออะไร ตอนนั้นสภา ก็ปิดแล้ว แต่เขาตั้งเป้าจะชุมนุมเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์และ นำไปสู่การรัฐประหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้ทหารมีแนวคิดจะรัฐ ประหาร ดังนั้น ยุบสภาก็ดีกว่า”
เฉพาะข่าวนี้เรื่องเดียวคลายปมการ เมืองไปได้เยอะที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในการแก้รัฐธรรมนูญ รมว. จอมดื้อ ไปยันชายแดนภาคตะวันออก เพราะชั่วโมงนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง นี้ขึ้นแน่ เพราะกำลังจกกันมือเติบ
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้อีฉันอดคิด ถึงเรื่องตำราพิชัยสงครามแบบไทยโบราณ เป็น 21 กลยุทธ์ ที่ถูกผูกขึ้นเป็นร้อยกรอง เสนาะหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความหมายก็ลึกซึ้ง
มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า “กลฟ้าสนั่นเสียง” ...มีเนื้อหาดังนี้
“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง
เรียงพลพยุหกำหนด
กฎประกาศถึงตาย
หมายให้รู้ถ้วนตน
ปรนปันงานณรงค์
ยวดยงกล่าวองอาจ
ผาดกำหนดกฎตรา
ยามล่าอย่าลืมตน
ทำยุบลสีหนารท
ดุจฟ้าฟาดแสงสาย
สำแดงการรุกรัน
ปล้นปลอมเอาชิงช่อง
ลวงเอาบุรีราชเสมา
ตรารางวัลเงินทอง
ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ
ยศอนันต์ผายผูก
ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
การช้างม้าพลหาญ
ใช้ชำนาญการรบ
สบได้แก้จงรอดราษฎร์
ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ
แต่งทหารรั้งรายเรียง
เสียงคะเครงคะคร้าน
ทังพื้นป่าคะครัน
สนั่นฆ้องกลองไชย
สรในสรรพแตรสังข์
กระดึงดังฉานฉ่า
ง่อนงาช้างรายเรียง
เสียงบรรณพาคร้านครั่น
กล่าวกลศึกนั้น
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง”
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง ปกติเป็นการใช้กำลังทางทหารบุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้อง กลอง แตร สร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกร กับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง หากแต่เมื่อนักปกครอง หรือนักการตลาด ใช้ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้นิดหน่อย คือคงแนวคิดไว้ หากแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการ
เรามักจะเคยได้ยินว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่หากจะต่อยอดความคิดอีกสักนิด คือให้เขารู้ในสิ่งที่เราอยากให้รู้นั่นย่อมหมายถึงการคอนโทรลเกมให้เป็นไปตามใจเราจะบังคับทิศทาง และนี่ก็เป็นความช่ำชองที่พรรคแม่ธรณีบีบ มวยผมสั่งสมมากว่า 60 ปี จนสืบทอดมา ถึงทายาทรุ่นปัจจุบันที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรืออย่างน้อยงานนี้ก็ไขก๊อกมหาดไทยได้ไม่ยากเย็น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ไม่มีอะไรกดดันผม การที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะยุบสภาก็ต้องยุบ และการยุบสภาก็ดีกว่าการปฏิวัติ เพราะกลุ่มคน เสื้อเหลืองจะมาชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคมนั้น จะมาชุมนุมกันเพื่ออะไร ตอนนั้นสภา ก็ปิดแล้ว แต่เขาตั้งเป้าจะชุมนุมเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์และ นำไปสู่การรัฐประหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้ทหารมีแนวคิดจะรัฐ ประหาร ดังนั้น ยุบสภาก็ดีกว่า”
เฉพาะข่าวนี้เรื่องเดียวคลายปมการ เมืองไปได้เยอะที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในการแก้รัฐธรรมนูญ รมว. จอมดื้อ ไปยันชายแดนภาคตะวันออก เพราะชั่วโมงนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง นี้ขึ้นแน่ เพราะกำลังจกกันมือเติบ
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้อีฉันอดคิด ถึงเรื่องตำราพิชัยสงครามแบบไทยโบราณ เป็น 21 กลยุทธ์ ที่ถูกผูกขึ้นเป็นร้อยกรอง เสนาะหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความหมายก็ลึกซึ้ง
มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า “กลฟ้าสนั่นเสียง” ...มีเนื้อหาดังนี้
“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง
เรียงพลพยุหกำหนด
กฎประกาศถึงตาย
หมายให้รู้ถ้วนตน
ปรนปันงานณรงค์
ยวดยงกล่าวองอาจ
ผาดกำหนดกฎตรา
ยามล่าอย่าลืมตน
ทำยุบลสีหนารท
ดุจฟ้าฟาดแสงสาย
สำแดงการรุกรัน
ปล้นปลอมเอาชิงช่อง
ลวงเอาบุรีราชเสมา
ตรารางวัลเงินทอง
ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ
ยศอนันต์ผายผูก
ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
การช้างม้าพลหาญ
ใช้ชำนาญการรบ
สบได้แก้จงรอดราษฎร์
ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ
แต่งทหารรั้งรายเรียง
เสียงคะเครงคะคร้าน
ทังพื้นป่าคะครัน
สนั่นฆ้องกลองไชย
สรในสรรพแตรสังข์
กระดึงดังฉานฉ่า
ง่อนงาช้างรายเรียง
เสียงบรรณพาคร้านครั่น
กล่าวกลศึกนั้น
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง”
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง ปกติเป็นการใช้กำลังทางทหารบุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้อง กลอง แตร สร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกร กับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง หากแต่เมื่อนักปกครอง หรือนักการตลาด ใช้ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้นิดหน่อย คือคงแนวคิดไว้ หากแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการ
เรามักจะเคยได้ยินว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่หากจะต่อยอดความคิดอีกสักนิด คือให้เขารู้ในสิ่งที่เราอยากให้รู้นั่นย่อมหมายถึงการคอนโทรลเกมให้เป็นไปตามใจเราจะบังคับทิศทาง และนี่ก็เป็นความช่ำชองที่พรรคแม่ธรณีบีบ มวยผมสั่งสมมากว่า 60 ปี จนสืบทอดมา ถึงทายาทรุ่นปัจจุบันที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรืออย่างน้อยงานนี้ก็ไขก๊อกมหาดไทยได้ไม่ยากเย็น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดเงินบริจาคงวดล่าสุด"บิ๊กบ้านปู"ทุนใหญ่เพื่อไทย-เสี่ยหมื่นล้านทุ่มจ่าย2พรรค-ภท.โลด18ล้าน
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนตุลาคม 2553 มีพรรคการเมืองแจ้งว่าได้รับเงินบริจาค จำนวน 13 พรรค ได้แก่
พรรคประชาธิปัตย์ ,การเมืองใหม่ , เพื่อแผ่นดิน ,กิจสังคม, ภูมิใจไทย ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) ,มาตุภูมิ ,อาสามาตุภูมิ ,เพื่อฟ้าดิน, เพื่อไทย ,ชาติไทยพัฒนา ,ประชาธรรม และ ประชาราช
พรรคที่ได้รับเงินบริจาคมากสุด คือ เพื่อไทย 3,065,763 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 1,514,140 บาท
การเมืองใหม่ 619,160 บาท
มาตุภูมิ 560,000 บาท
เพื่อแผ่นดิน 265,000 บาท
ภูมิใจไทย 240,000 บาท
รวมชาติพัฒนา 200,000 บาท (นายเทพประสิทฐิ์ ประวาหะนาวิน)
ประชาธรรม 130,000 บาท (นายโภมาต เจริญภูวดล)
ประชาราช 61,000 บาท
ชาติไทยพัฒนา 50,000 บาท (บริษัทสยาม ซิมโพเซียม จำกัด-นายธรรมสาร ทิพรังศรี เจ้าของ)
อาสามาตุภูมิ 30,000 บาท (นายพงศ์กิติ รอดงามพงศ์)
เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท
กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
ประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่ มากสุด นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล 51,140 บาท
การเมืองใหม่มีผู้บริจาครวม 10 ราย ในจำนวนนี้มาสุดคนละ 100,000บาท จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ นายสมชาย มีเหม็ง นางวิภาดาว กัปปิยบุตร นางนิรมล ลิมป์กิจเจริญ นางเพลินตา พัฒนสุวรรณ
เพื่อแผ่นดิน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด 190,000 บาท และนางปราณี เหนี่ยงแจ่ม 75,000 บาท
มาตุภูมิ 4 ราย ได้แก่ นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช 160,000 บาท นายกมลศักดิ์ สีวาเมาะ 100,000 บาท และ นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกิยา 20,000 บาท
พรรคเพื่อไทย จำนวน 5 ราย มากสุด นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เจ้าของกลุ่มบ้านปู (น้องชายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่) จำนวน 3,000,000 บาท
หากรวมตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 พรรคที่แจ้งว่าได้รับเงินบริจาคมากสุด 5 อันดับแรก
ภูมิใจไทย 18,720,000 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 17,564,951 บาท
เพื่อไทย 11,846,840 บาท
เพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท
การเมืองใหม่ 6,658,362 บาท
ทั้งนี้ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด ประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีนายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล นายณรงค์ ปิยะสมบัติกุล นายปิยะ ปิยะสมบัติกุล และ นายองอาจ ปิยะสมบัติกุล ถือหุ้นคนละ 21%
น่าสังเกตว่า นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยนายฉัตรชัยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจไม้วีเนียร์มูลค่านับหมื่นล้านบาท
ส่วนนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เคยบริจาคให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พรรคประชาธิปัตย์ ,การเมืองใหม่ , เพื่อแผ่นดิน ,กิจสังคม, ภูมิใจไทย ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) ,มาตุภูมิ ,อาสามาตุภูมิ ,เพื่อฟ้าดิน, เพื่อไทย ,ชาติไทยพัฒนา ,ประชาธรรม และ ประชาราช
พรรคที่ได้รับเงินบริจาคมากสุด คือ เพื่อไทย 3,065,763 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 1,514,140 บาท
การเมืองใหม่ 619,160 บาท
มาตุภูมิ 560,000 บาท
เพื่อแผ่นดิน 265,000 บาท
ภูมิใจไทย 240,000 บาท
รวมชาติพัฒนา 200,000 บาท (นายเทพประสิทฐิ์ ประวาหะนาวิน)
ประชาธรรม 130,000 บาท (นายโภมาต เจริญภูวดล)
ประชาราช 61,000 บาท
ชาติไทยพัฒนา 50,000 บาท (บริษัทสยาม ซิมโพเซียม จำกัด-นายธรรมสาร ทิพรังศรี เจ้าของ)
อาสามาตุภูมิ 30,000 บาท (นายพงศ์กิติ รอดงามพงศ์)
เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท
กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
ประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่ มากสุด นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล 51,140 บาท
การเมืองใหม่มีผู้บริจาครวม 10 ราย ในจำนวนนี้มาสุดคนละ 100,000บาท จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ นายสมชาย มีเหม็ง นางวิภาดาว กัปปิยบุตร นางนิรมล ลิมป์กิจเจริญ นางเพลินตา พัฒนสุวรรณ
เพื่อแผ่นดิน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด 190,000 บาท และนางปราณี เหนี่ยงแจ่ม 75,000 บาท
มาตุภูมิ 4 ราย ได้แก่ นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช 160,000 บาท นายกมลศักดิ์ สีวาเมาะ 100,000 บาท และ นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกิยา 20,000 บาท
พรรคเพื่อไทย จำนวน 5 ราย มากสุด นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เจ้าของกลุ่มบ้านปู (น้องชายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่) จำนวน 3,000,000 บาท
หากรวมตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 พรรคที่แจ้งว่าได้รับเงินบริจาคมากสุด 5 อันดับแรก
ภูมิใจไทย 18,720,000 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 17,564,951 บาท
เพื่อไทย 11,846,840 บาท
เพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท
การเมืองใหม่ 6,658,362 บาท
ทั้งนี้ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด ประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีนายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล นายณรงค์ ปิยะสมบัติกุล นายปิยะ ปิยะสมบัติกุล และ นายองอาจ ปิยะสมบัติกุล ถือหุ้นคนละ 21%
น่าสังเกตว่า นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยนายฉัตรชัยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจไม้วีเนียร์มูลค่านับหมื่นล้านบาท
ส่วนนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เคยบริจาคให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต้นปี54รู้ใครถูก-ผิดองค์กรต่างชาติเตรียมเปิดผลสอบสลายแดง
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในไทยฉบับเต็มที่มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า ระบุจะทำให้รู้การพัฒนาของสถานการณ์แต่ละช่วง และจะบอกชัดเจนว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละเหตุการณ์ เผยการหาข้อมูลทำได้ยากเพราะ ศอฉ. สั่งเด็ดขาดห้ามให้ก่อนได้รับอนุญาต ทำให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นๆไม่สามารถเข้ามาสอบหาข้อเท็จจริงได้ ด้านผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมฯเฉ่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและนักสิทธิมนุษยชนในไทยมีอคติกับคนเสื้อแดงจนไม่ทำงานของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ญาติผู้เสียชีวิตหวังคนระดับสูงที่จะรับรางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่นประจำปีนี้แสดงบทบาทให้สมกับเป็นผู้ได้รับรางวัล
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
จ็อบปกขาวของ "วัชระ เพชรทอง" แฉเรื่องฉาวและความลับของ "จตุพร"
พรรคอนุรักษนิยม-ฝ่ายขวา แบ่งงานกันทำทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร
งานมวลชนใต้ดิน-บนดิน อยู่ในหน้าที่- จ็อบพิเศษของ ส.ส.ที่มีประวัติเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน
วัชระ เพชรทอง อดีตนักกิจกรรม-การเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่แปลงร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงปรากฏชื่อ-เสียงในวาระแห่งการ "แฉ-ฉาว" และเรื่องราว "ลับ ๆ"
ล่าสุดเขาเปิดโปงหนังสือ "ปกขาว" ที่ไม่ปรากฏผู้เรียบเรียง แต่เป็นเสียงจากฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" ในนามผู้จัดทำที่ชื่อสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-กระบวนการยุติธรรมของไทย-เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 และเรื่องที่ว่าด้วยหนทางสู่การรัฐประหาร 2549 การฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย
พร้อมด้วยบทสรุปร้อน ๆ เรื่องฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร
ภายหลังการเปิดแถลงข่าวของ "วัชระ" ไม่ถึงชั่วโมง หนังสือชื่อ "ร้อน" ถูกปลดออกจากแผง
- สาเหตุที่หยิบยกเรื่อง "สมุดปกขาว" มาเป็นประเด็น มีการหวังผลยังไงบ้าง
ทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการร้องเรียนว่า สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หมิ่นทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นว่าเจตนาผู้เขียนกำลังละเมิดสิทธิประชาชนชาวไทย เป็นการใช้สิทธิสภาพนอก อาณาเขตจากนักกฎหมายต่างชาติ ซึ่งใช้นามว่าสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
- ลำพังการอภิปรายในสภาอย่างเดียวจะมีค่าบังคับตามกฎหมายอย่างไร
ผมได้อภิปรายต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันศักดิ์สิทธิ์ และได้กระจายเสียงไปทั่วประเทศ ได้ส่งหนังสือฉบับนี้ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเฉียบขาด
- หวังผลจริงจังในเรื่องการดำเนินคดี ไม่ใช่แค่พูดในสภาใช่หรือไม่
ใช่ครับ ผมในฐานะ ส.ส.ทำหน้าที่ในการอภิปรายเป็นช่องทางในการที่จะดำเนินการสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ เพราะถ้าผมไม่อภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานชัยในฐานะประมุขนิติบัญญัติก็จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
- จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีในความผิดกฎหมายอะไร มาตราใดบ้าง
ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และในความผิดฐานหมิ่นศาลก็มีมาตรา 198
- ข้อความใดที่เห็นว่าผิดกฎหมาย
ข้อความที่ผมคิดว่าดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจนก็คือ ในหน้า 76 ที่บอกว่า... คำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับ...แสดงว่าเราไม่ใช่นิติรัฐ ไม่มีหลักนิติธรรม หรือการกล่าวในหน้า 134 ว่า...ครอบงำศาลยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร...ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการหมิ่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนข้อความที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่ 20 และข้อความที่หมิ่นเหม่อยู่ในหน้าที่ 77 และข้อความที่หมิ่นชัดเจนอยู่ในหน้า 123
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยผู้รับผิดชอบหนังสือนี้แต่อย่างใด แต่กลับมีคำนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ยอมใส่ยศพระราชทาน (พ.ต.ท.) ในหน้าคำนำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดเป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องกฎหมาย
- ถ้าประธานสภาชัย ชิดชอบ ไม่ดำเนินเรื่องถึง ผบ.ตร. แล้วคุณวัชระจะทำอย่างไรต่อไป
ประธานชัยก็ต้องถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าไม่มีความจงรักภักดี ผมมีหลักฐานคือหนังสือเล่มนี้ และขีดไฮไลต์ข้อความไว้แล้ว
- เป็นเพื่อนกับจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เขาก็มีสิทธิเลือกเดินตามหลังคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณสามารถที่จะเลี้ยงคนด้วยเงินไม่จำกัด และมีเงินมากมายมหาศาลที่สามารถจ้างใครก็ได้ เราไม่อาจร่วมทางกันได้ ตั้งแต่เขาได้ไปเอาเงินทักษิณ ชินวัตร ไปใช้ในการเลือกตั้งที่รามคำแหงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขารับใช้ทักษิณตั้งแต่นำพลังนักศึกษารามคำแหงไปเป็นเครื่องมือให้แก่ระบบทักษิณ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ เอาไปเป็นเครื่องมือ เอาไปเป็นกองกำลัง ซึ่ง ไม่แท้จริง แต่เอาไปสร้างภาพ ก่อม็อบ
- เป็นการโหนกระแสในช่วงที่มีข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากหรือไม่
จริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เพราะในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรก็พูดชัดว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในกรณีนี้เมื่อนักกฎหมายตาน้ำข้าวมาตบหน้าประชาชน ชาวไทยทั้งประเทศ และตบหน้า นักกฎหมายไทย ผมก็ยอมไม่ได้จริง ๆ
แม้กระทั่งบอกว่า...มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ไม่รู้ถึงร้อยคนหรือเปล่า ฉะนั้นเขาได้เขียนความเท็จต่อประชาคมโลก และผมเชื่อว่าต้องมีฉบับภาษาอังกฤษที่เขาใส่ลงในเว็บไซต์เผยแพร่ไปทั่วโลก
- มีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายที่ว่า กฎหมายหมิ่นเป็นดาบสองคมเอามากลั่นแกล้งกันก็ได้
ปัจจุบันเราต้องยอมรับสภาพปัญหา ก่อนว่า มีขบวนการที่จะล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์อยู่จริง และคนเหล่านี้ก็ทำลายล้างสถาบันเพื่อจะสถาปนาอีกระบบขึ้นมา ผมเป็น ส.ส.ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทางกับกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************************
งานมวลชนใต้ดิน-บนดิน อยู่ในหน้าที่- จ็อบพิเศษของ ส.ส.ที่มีประวัติเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน
วัชระ เพชรทอง อดีตนักกิจกรรม-การเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่แปลงร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงปรากฏชื่อ-เสียงในวาระแห่งการ "แฉ-ฉาว" และเรื่องราว "ลับ ๆ"
ล่าสุดเขาเปิดโปงหนังสือ "ปกขาว" ที่ไม่ปรากฏผู้เรียบเรียง แต่เป็นเสียงจากฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" ในนามผู้จัดทำที่ชื่อสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-กระบวนการยุติธรรมของไทย-เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 และเรื่องที่ว่าด้วยหนทางสู่การรัฐประหาร 2549 การฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย
พร้อมด้วยบทสรุปร้อน ๆ เรื่องฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร
ภายหลังการเปิดแถลงข่าวของ "วัชระ" ไม่ถึงชั่วโมง หนังสือชื่อ "ร้อน" ถูกปลดออกจากแผง
- สาเหตุที่หยิบยกเรื่อง "สมุดปกขาว" มาเป็นประเด็น มีการหวังผลยังไงบ้าง
ทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการร้องเรียนว่า สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หมิ่นทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นว่าเจตนาผู้เขียนกำลังละเมิดสิทธิประชาชนชาวไทย เป็นการใช้สิทธิสภาพนอก อาณาเขตจากนักกฎหมายต่างชาติ ซึ่งใช้นามว่าสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
- ลำพังการอภิปรายในสภาอย่างเดียวจะมีค่าบังคับตามกฎหมายอย่างไร
ผมได้อภิปรายต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันศักดิ์สิทธิ์ และได้กระจายเสียงไปทั่วประเทศ ได้ส่งหนังสือฉบับนี้ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเฉียบขาด
- หวังผลจริงจังในเรื่องการดำเนินคดี ไม่ใช่แค่พูดในสภาใช่หรือไม่
ใช่ครับ ผมในฐานะ ส.ส.ทำหน้าที่ในการอภิปรายเป็นช่องทางในการที่จะดำเนินการสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ เพราะถ้าผมไม่อภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานชัยในฐานะประมุขนิติบัญญัติก็จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
- จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีในความผิดกฎหมายอะไร มาตราใดบ้าง
ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และในความผิดฐานหมิ่นศาลก็มีมาตรา 198
- ข้อความใดที่เห็นว่าผิดกฎหมาย
ข้อความที่ผมคิดว่าดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจนก็คือ ในหน้า 76 ที่บอกว่า... คำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับ...แสดงว่าเราไม่ใช่นิติรัฐ ไม่มีหลักนิติธรรม หรือการกล่าวในหน้า 134 ว่า...ครอบงำศาลยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร...ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการหมิ่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนข้อความที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่ 20 และข้อความที่หมิ่นเหม่อยู่ในหน้าที่ 77 และข้อความที่หมิ่นชัดเจนอยู่ในหน้า 123
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยผู้รับผิดชอบหนังสือนี้แต่อย่างใด แต่กลับมีคำนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ยอมใส่ยศพระราชทาน (พ.ต.ท.) ในหน้าคำนำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดเป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องกฎหมาย
- ถ้าประธานสภาชัย ชิดชอบ ไม่ดำเนินเรื่องถึง ผบ.ตร. แล้วคุณวัชระจะทำอย่างไรต่อไป
ประธานชัยก็ต้องถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าไม่มีความจงรักภักดี ผมมีหลักฐานคือหนังสือเล่มนี้ และขีดไฮไลต์ข้อความไว้แล้ว
- เป็นเพื่อนกับจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เขาก็มีสิทธิเลือกเดินตามหลังคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณสามารถที่จะเลี้ยงคนด้วยเงินไม่จำกัด และมีเงินมากมายมหาศาลที่สามารถจ้างใครก็ได้ เราไม่อาจร่วมทางกันได้ ตั้งแต่เขาได้ไปเอาเงินทักษิณ ชินวัตร ไปใช้ในการเลือกตั้งที่รามคำแหงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขารับใช้ทักษิณตั้งแต่นำพลังนักศึกษารามคำแหงไปเป็นเครื่องมือให้แก่ระบบทักษิณ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ เอาไปเป็นเครื่องมือ เอาไปเป็นกองกำลัง ซึ่ง ไม่แท้จริง แต่เอาไปสร้างภาพ ก่อม็อบ
- เป็นการโหนกระแสในช่วงที่มีข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากหรือไม่
จริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เพราะในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรก็พูดชัดว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในกรณีนี้เมื่อนักกฎหมายตาน้ำข้าวมาตบหน้าประชาชน ชาวไทยทั้งประเทศ และตบหน้า นักกฎหมายไทย ผมก็ยอมไม่ได้จริง ๆ
แม้กระทั่งบอกว่า...มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ไม่รู้ถึงร้อยคนหรือเปล่า ฉะนั้นเขาได้เขียนความเท็จต่อประชาคมโลก และผมเชื่อว่าต้องมีฉบับภาษาอังกฤษที่เขาใส่ลงในเว็บไซต์เผยแพร่ไปทั่วโลก
- มีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายที่ว่า กฎหมายหมิ่นเป็นดาบสองคมเอามากลั่นแกล้งกันก็ได้
ปัจจุบันเราต้องยอมรับสภาพปัญหา ก่อนว่า มีขบวนการที่จะล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์อยู่จริง และคนเหล่านี้ก็ทำลายล้างสถาบันเพื่อจะสถาปนาอีกระบบขึ้นมา ผมเป็น ส.ส.ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทางกับกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************************
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
กลิ่น ‘ท็อปบูต’ ในสายลมหนาว!
บ้านเมืองจะวิกฤติต่อไปอีกยาวนาน แค่ไหนมิอาจทราบได้?!?!แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองยัง ไม่ลงตัว.. ก็มักจะมี “อีแอบ” ออกมาปั่นกระแส “รัฐประหาร” ให้สื่อมวลชนหัวหมุน กันอยู่เป็นประจำ.. นัยว่าพวกที่กุมอำนาจรัฐ อยู่นั้นคงอยากจะวอร์มอัพพวกลูกหาบ.. เพื่อสร้างบรรยากาศให้คลายความหนาวสั่น ลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย..
การออกมาปูดกระแส “การปฏิวัติ” รับลมหนาวในช่วงนี้.. ก็แค่ตีกันพวกตัวป่วนบ้านป่วนเมืองไม่ให้ซ่าส์เกินขีดจำกัด.. เพราะระยะหลังมานี้.. ยิ่งเข้าใกล้เทศกาล “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่”.. ก็มักจะมีพวกป่วนเมืองออกมาวาง “บึ้มผสมโรง” พร้อมกับเสียงพลุเสียงประทัดในช่วงเคาต์ดาวน์กันเกือบจะทุกปี..
แต่หากมองในมุมที่ลึกไปกว่านั้น.. ต้องยอมรับว่าการ “ปูดข่าว” ทหารกำลัง เตรียมการจะ “ยึดอำนาจ” นั้น..เป็นการขู่คำรามที่มาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี.. เพราะหลังจากงบประมาณแผ่นดินปี 54 ผ่านสภาฉลุยไปแล้วนั้น.. การแต่งตั้งโยกย้าย นายทหารระดับสูงก็เป็นไปตามเป้า..โดยเฉพาะ 5 เสือทบ.และแม่ทัพภาค 1-4 ล้วนอยู่ในคอนโทรลทุกคน..
ส่วนการเกลี่ยโผนายตำรวจระดับผู้บัญชาการไปจนถึงรอง ผบ.ตร. ก็ไม่ได้สะดุดอะไรมากมาย.. สื่อมวลชนเองก็พอ จะเห็นเค้าลาง “ผบ.ตร.คนใหม่” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีก ไม่ช้าไม่นานนี้.. เพราะถ้าหาก “ท่านวิเชียร” ใจไม่ถึงและแอบยืนถ่างขาเหมือนอดีต ผบ.ตร.คนก่อน.. ที่ชอบทำตัวเหมือนชื่อเป๊ะเลย!!!
คือเป็นดั่งเทียนที่ค่อยๆ มอดไปเรื่อยๆ จนหมดไส้เทียน..แล้วก็เกษียณไปจนน้องๆ ในกรมยังจำชื่อไม่ได้ว่า ผบ. คนก่อนนั้นชื่ออะไร??? ฟันธงได้เลยว่า “ผบ.ตร.ใบสั่ง” ได้กระโดดขึ้นมาเสียบคุม กรมปทุมวันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน..
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้.. อาจจะต้องเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเกมให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้าง.. ก็อย่างว่า..มีที่ไหนเล่นวางตัววางเกม “สืบทอดอำนาจ” กันซะยาวเหยียดต่อจากนี้ไปอีกตั้ง 5-6 ปี.. ทีแรกก็เข้าตามแผนทุกขั้นทุกตอน.. เพราะอุปสรรค “เสื้อแดง” ซึ่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันนั้นก็แผ่วปลายอย่างที่เห็น.. “ผู้มีอำนาจและกองทัพ” ก็เริ่มจับทางถูกแล้วว่าจะสกัดม็อบจัดตั้งพวกนี้ได้ด้วยวิธีการเช่นใด???
แต่พรรคการเมืองเจ้ากรรมซึ่งเป็นคู่ขากับกองทัพในขณะนี้.. ดันต้องมาเจอะ เจอกับ “มรสุมยุบพรรค” ไม่เกินก่อนสิ้นปี 53 นี้ตามกำหนดการของศาลรัฐธรรมนูญ.. และก็ไม่รู้ว่าหวยจะออกมาเช่นใด..อาจจะ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ก็ได้ทั้งสองกรณี ??? เพราะก่อนหน้านี้ค่าย ปชป.นั้นต่างยืนยิ้มกันเหงือกแห้งแทบจะทุกคน..หากมีสื่อไป ถามเรื่องคดียุบพรรค..
ยิ่งทีมกฎหมายของพรรคนั้นมั่นใจ กันนักกันหนาว่า “ไม่มียุบ” อย่างแน่นอน.. แต่วันนี้ลองเดินปี่เข้าไปถามในคำถามเดิมๆ.. คำตอบที่ได้คือ “ความเงียบ” เพราะหลังจากทุกคนในพรรคต้องเจอกับ “คลิปทอร์นาโด” มาแบบเต็มๆ นับเกือบ 10 ลูก และนี่ยังมีอีกกี่ดอกก็ไม่รู้ที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเก็บไว้เป็น “ทีเด็ด” ก่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ..
และในเมื่อ “กองทัพ” นั้นยืนอย่าง โดดเดี่ยวโดยขาด “ฝ่ายการเมือง” (ก๊วน เดียวกัน)ไม่ได้ฉันใด.. “ประยุทธ์” ก็ขาด “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ด้วยเช่นกัน.. ดังนั้น “น้องมาร์ค” จึงวางเกมเร่งแก้รัฐธรรมนูญใน 2 มาตราอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย.. เพื่อเป็นการ “ปลุกม็อบ” ออกมาขยับแข้งขยับขา..
เผื่อบางทีมันลุกลามบานปลายทั้ง “เหลืองและแดง” มั่วกันไปหมด.. ก็จะได้เข้าทางใครบางคนที่เตรียมการ “เผาจริง” เข้ายึดอำนาจรัฐแบบไร้แนวต้าน.. แต่หาก “เกมแห่งอำนาจ” ยังสามารถควบคุมได้อยู่.. การ “เผาหลอก” ในรูปแบบขู่รายวันว่าจะ “ปฏิวัติ” นั้นก็จะทำเพียงเพื่อเบี่ยงเบนกระแสไปวันๆ..นี่แหละหนา..คือที่มาแห่งกลิ่น “ท็อปบูต” ในสายลมหนาว!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************
การออกมาปูดกระแส “การปฏิวัติ” รับลมหนาวในช่วงนี้.. ก็แค่ตีกันพวกตัวป่วนบ้านป่วนเมืองไม่ให้ซ่าส์เกินขีดจำกัด.. เพราะระยะหลังมานี้.. ยิ่งเข้าใกล้เทศกาล “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่”.. ก็มักจะมีพวกป่วนเมืองออกมาวาง “บึ้มผสมโรง” พร้อมกับเสียงพลุเสียงประทัดในช่วงเคาต์ดาวน์กันเกือบจะทุกปี..
แต่หากมองในมุมที่ลึกไปกว่านั้น.. ต้องยอมรับว่าการ “ปูดข่าว” ทหารกำลัง เตรียมการจะ “ยึดอำนาจ” นั้น..เป็นการขู่คำรามที่มาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี.. เพราะหลังจากงบประมาณแผ่นดินปี 54 ผ่านสภาฉลุยไปแล้วนั้น.. การแต่งตั้งโยกย้าย นายทหารระดับสูงก็เป็นไปตามเป้า..โดยเฉพาะ 5 เสือทบ.และแม่ทัพภาค 1-4 ล้วนอยู่ในคอนโทรลทุกคน..
ส่วนการเกลี่ยโผนายตำรวจระดับผู้บัญชาการไปจนถึงรอง ผบ.ตร. ก็ไม่ได้สะดุดอะไรมากมาย.. สื่อมวลชนเองก็พอ จะเห็นเค้าลาง “ผบ.ตร.คนใหม่” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีก ไม่ช้าไม่นานนี้.. เพราะถ้าหาก “ท่านวิเชียร” ใจไม่ถึงและแอบยืนถ่างขาเหมือนอดีต ผบ.ตร.คนก่อน.. ที่ชอบทำตัวเหมือนชื่อเป๊ะเลย!!!
คือเป็นดั่งเทียนที่ค่อยๆ มอดไปเรื่อยๆ จนหมดไส้เทียน..แล้วก็เกษียณไปจนน้องๆ ในกรมยังจำชื่อไม่ได้ว่า ผบ. คนก่อนนั้นชื่ออะไร??? ฟันธงได้เลยว่า “ผบ.ตร.ใบสั่ง” ได้กระโดดขึ้นมาเสียบคุม กรมปทุมวันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน..
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้.. อาจจะต้องเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเกมให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้าง.. ก็อย่างว่า..มีที่ไหนเล่นวางตัววางเกม “สืบทอดอำนาจ” กันซะยาวเหยียดต่อจากนี้ไปอีกตั้ง 5-6 ปี.. ทีแรกก็เข้าตามแผนทุกขั้นทุกตอน.. เพราะอุปสรรค “เสื้อแดง” ซึ่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันนั้นก็แผ่วปลายอย่างที่เห็น.. “ผู้มีอำนาจและกองทัพ” ก็เริ่มจับทางถูกแล้วว่าจะสกัดม็อบจัดตั้งพวกนี้ได้ด้วยวิธีการเช่นใด???
แต่พรรคการเมืองเจ้ากรรมซึ่งเป็นคู่ขากับกองทัพในขณะนี้.. ดันต้องมาเจอะ เจอกับ “มรสุมยุบพรรค” ไม่เกินก่อนสิ้นปี 53 นี้ตามกำหนดการของศาลรัฐธรรมนูญ.. และก็ไม่รู้ว่าหวยจะออกมาเช่นใด..อาจจะ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ก็ได้ทั้งสองกรณี ??? เพราะก่อนหน้านี้ค่าย ปชป.นั้นต่างยืนยิ้มกันเหงือกแห้งแทบจะทุกคน..หากมีสื่อไป ถามเรื่องคดียุบพรรค..
ยิ่งทีมกฎหมายของพรรคนั้นมั่นใจ กันนักกันหนาว่า “ไม่มียุบ” อย่างแน่นอน.. แต่วันนี้ลองเดินปี่เข้าไปถามในคำถามเดิมๆ.. คำตอบที่ได้คือ “ความเงียบ” เพราะหลังจากทุกคนในพรรคต้องเจอกับ “คลิปทอร์นาโด” มาแบบเต็มๆ นับเกือบ 10 ลูก และนี่ยังมีอีกกี่ดอกก็ไม่รู้ที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเก็บไว้เป็น “ทีเด็ด” ก่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ..
และในเมื่อ “กองทัพ” นั้นยืนอย่าง โดดเดี่ยวโดยขาด “ฝ่ายการเมือง” (ก๊วน เดียวกัน)ไม่ได้ฉันใด.. “ประยุทธ์” ก็ขาด “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ด้วยเช่นกัน.. ดังนั้น “น้องมาร์ค” จึงวางเกมเร่งแก้รัฐธรรมนูญใน 2 มาตราอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย.. เพื่อเป็นการ “ปลุกม็อบ” ออกมาขยับแข้งขยับขา..
เผื่อบางทีมันลุกลามบานปลายทั้ง “เหลืองและแดง” มั่วกันไปหมด.. ก็จะได้เข้าทางใครบางคนที่เตรียมการ “เผาจริง” เข้ายึดอำนาจรัฐแบบไร้แนวต้าน.. แต่หาก “เกมแห่งอำนาจ” ยังสามารถควบคุมได้อยู่.. การ “เผาหลอก” ในรูปแบบขู่รายวันว่าจะ “ปฏิวัติ” นั้นก็จะทำเพียงเพื่อเบี่ยงเบนกระแสไปวันๆ..นี่แหละหนา..คือที่มาแห่งกลิ่น “ท็อปบูต” ในสายลมหนาว!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************
มีด-อำนาจในมือประชาธิปัตย์ คมเฉือนเกม (ไม่) แก้รัฐธรรมนูญ ลุ้นระทึก-ซื้อเวลา "ยุบสภา"
พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นศูนย์กลาง-ข้อต่อ ทุกเครือข่ายอำนาจ
อย่างน้อยการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปสู่รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายยังต้องลุ้นวาระ "ยุบสภา" จากอำนาจในมือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
อย่างน้อยการออกแบบ "เครื่องมือ" สำหรับการเลือกตั้งด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับทหาร" ก็ต้องอาศัย "มติ" แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นอำนาจนำในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างน้อยการปล่อย-ผ่านอำนาจที่เคยอยู่ในมือ "ประชาธิปัตย์และพวก" ไปสู่ฝ่ายอื่น ก็ต้องมีเครื่องมือ-ฐานอำนาจ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของอำนาจ "ตัวจริง" ก่อนเปลี่ยนผ่าน
มีด-อำนาจเครื่องมือที่อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์จึงมีคมทั้ง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 พรรค
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนที่อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งบรรดากองทัพ-ทหารและเครือข่ายอำนาจที่มองไม่เห็น
ในการฝ่าพายุการแก้รัฐธรรมนูญ และการเตรียมตัวสำหรับการรับมือมรสุมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสามัญทั่วไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงต้องอาศัยมีดที่มีคมทั้ง 2 คม
ดังนั้นทันทีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 23-24 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ชัย ชิดชอบ และผู้นำฝ่ายบริหาร-สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องชีพจรลงเท้า เดินสายล็อบบี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนใน 2 มาตราหลัก
ทั้งมาตรา 93-98 เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง-เขตการเลือกตั้ง และมาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
แม้ว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ จะเสนอแก้ไขทั่วด้านทั้งหมด 6 มาตรา แต่คณะรัฐมนตรีจาก 7 พรรคก็เลือกมีมติเห็นชอบเพียง 2 มาตราที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม 2 มาตราก็ยังเป็นข้อกังขา-คาใจของเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ "สายใต้" ที่ผนึกรวมระหว่างสาย "ชวน หลีกภัย" และสายของ "บัญญัติ บรรทัดฐาน"
ทำให้สุเทพ-ผู้จัดการรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องทำหน้าที่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกับสมาชิกพรรคตัวเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนั้นยังต้องใช้ต้นทุนต่อยอดกำไรให้กับผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรค ชาติไทยพัฒนา และสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีแห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไม่นับรวมวาระพิเศษกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ยังไม่นับรวมบรรดาเสือ-สิงห์-กระทิง-แรดใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ "สุเทพ" ต้องใช้ต้นทุนไปต่อทุน
เกมกึ่งขู่-กึ่งปลอบจึงถูกส่งสัญญาณไปถึงทุกพรรคทั่วทั้งกระดานการเมือง
"อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด จึงต้องพร้อมเลือกตั้ง อายุรัฐบาลอาจจะอยู่สั้นหรือยาวมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรค ปชป. การปลุกกลุ่มเสื้อสีต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจัยเหล่านี้สามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้รุนแรง จนรัฐบาลคุมไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องไม่ประมาท" เสียงสุเทพ-ก้องจากวงสนทนาเจรจาล็อบบี้-โน้มน้าว
เหนือสิ่งอื่นใด "สุเทพ" อ้างอำนาจเหนือ ขอให้ทุกคนก้าวพ้นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสนับสนุนอำนาจ "อภิสิทธิ์"
ทว่าด่าน-กับดักอำนาจที่ขวางทางแก้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่เฉพาะ "สภาล่าง- พรรคร่วม-ฝ่ายค้าน" เท่านั้น หากยังมี เครือข่าย "สภาสูง-วุฒิสมาชิก" ที่เป็น เครือข่ายอำนาจเก่า-ฐานอำนาจพันธมิตร ที่พร้อมจะโหวตสวน "มติ" ของคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 มาตรา
อย่างน้อยสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ครอบครองเสียงสภาล่างไม่น้อยกว่า 183 เสียง รวมกับเสียงของเครือข่ายในสภาสูงอีก ไม่น้อยกว่า 30 เสียง
แม้พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งระบบเขตใหญ่-เขตเล็ก แต่หากต้องเป็นเครื่องมือในการเสวยอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้ประชาธิปัตย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ "ทักษิณและพวก" ไม่ปรารถนา
การประกาศไม่ร่วมเป็นเครื่องมือผ่าตัด-รัฐธรรมนูญ จึงเป็นแนวทางการเมืองของฝ่ายเพื่อไทยและพวก ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้กับศัตรูที่เคยเป็นพันธมิตร
จำนวนมือในสภาผู้แทนราษฎรจึงจำเป็นสำหรับ "ร่าง-รัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ที่ต้องใช้เสียงจำนวน "เกินกึ่งหนึ่ง" ในวาระ 3 หรือปริมาณสุทธิ 310 เสียงขึ้นไป
นับมือของฝ่ายรัฐบาลมีสุทธิ 278 เสียง จาก 7 พรรค
แม้รวมมือของฝ่ายตรงข้ามที่หันมาโหวตล่วงหน้า แปรพักตร์จากฝ่ายค้านไว้อีกจำนวน 7 เสียง
จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-มีเสียงทั้งสิ้น 285 เสียง จึงต้องหวังเสียงจากสมาชิก "สภาสูง" อีกไม่น้อยกว่า 50 เสียง
เงื่อนไขความสำเร็จของการผ่าตัดรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่มีดในมือของ "วุฒิสภา"
หาก "40 ส.ว." ไม่ยอมยกมือรวมกับเครือข่าย "ส.ว.สายทักษิณ" ที่ร่วมหัวกันหดมือ หรืองดออกเสียง ก็ย่อมไม่สามารถผ่าตัดต่อลมหายใจให้รัฐธรรมนูญ 2550 กลายร่างใหม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิก "สภาสูง" เครือข่าย "40 ส.ว." ที่มีแนวโน้ม "คัดค้าน" การแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น ที่เป็นประโยชน์เฉพาะหน้า- เฉพาะนักการเมือง
ประโยชน์ที่พรรคร่วมคาดว่าจะได้รับจากการยกมือ-ออกเสียง ลงแรงในการโหวต 2 มาตรา คือ "ต้นทุน" ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ต่ำลง
หากเลือกตั้งเขตเล็ก หรือแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ย่อมทำให้สามารถคำนวณสูตรต้นทุนต่ำ-กำไรสูงได้ไม่ยาก
ทั้ง 3 พรรคใหญ่ในรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา จึงยกมือเห็นชอบ 2 มาตราตั้งแต่นอกเขตสภาผู้แทนราษฎร
เพราะการอยู่-การไปของนักการเมืองขาใหญ่อย่างบรรหาร ศิลปอาชา และครอบครัว หรือสุวัจน์และลูกน้อง ไม่นับรวมเนวินและเพื่อน ล้วนต้องพึ่งพา เครื่องมือเลือกตั้งแบบ "เขตเล็ก" เท่านั้น
จำนวน ส.ส.ที่จะปรับใหม่ตามแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังเป็น "สภา 500" แต่สัดส่วน-และเขตมีการจัดสรรอำนาจและระบบเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม
อย่างน้อยจำนวน ส.ส.เขตจาก 400 คน ก็จะเหลือเพียง 375 คน และเปลี่ยนระบบเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลับไปใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ประเภทนี้จาก 80 เป็น 125 คน
เขตเลือกตั้ง-ระบบเลือกตั้ง ถามแนวทางของคณะนักกฎหมายอาวุโสที่ ร่วมวงกับ "ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" ให้ความเห็นประกอบไว้ว่า
"จำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.สัดส่วนก็เป็น 375 ลดไป 25 คน"
ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก "หมอผ่าตัด" รอบแรกถกเถียงกันว่า "ส.ส.เขตจะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทนฯต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว"
ในแง่หลักการ-เหตุผล ย่อมฟังขึ้นในธง-ทิศทางที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากวิเคราะห์เรื่องปริมาณ-ตัวเลข-จำนวน และสถิติของ ส.ส.ระหว่างคู่แข่งที่สำคัญระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในนามพลังประชาชนเดิม
แต่หากประชาธิปัตย์พิเคราะห์รวมกันทั้งข้อมูล-สถิติ-กระแสความนิยม-เงื่อนไขทางการเมือง และความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วพบว่าตัวเองอาจเพลี่ยงพล้ำ
มีด-อำนาจที่อยู่ในมือของประชาธิปัตย์อาจไม่ถูกใช้ผ่าตัดรัฐธรรมนูญ แต่อาจนำไปใช้เฉือนคมในเกม "ยุบสภา" แทน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่างน้อยการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปสู่รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายยังต้องลุ้นวาระ "ยุบสภา" จากอำนาจในมือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
อย่างน้อยการออกแบบ "เครื่องมือ" สำหรับการเลือกตั้งด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับทหาร" ก็ต้องอาศัย "มติ" แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นอำนาจนำในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างน้อยการปล่อย-ผ่านอำนาจที่เคยอยู่ในมือ "ประชาธิปัตย์และพวก" ไปสู่ฝ่ายอื่น ก็ต้องมีเครื่องมือ-ฐานอำนาจ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของอำนาจ "ตัวจริง" ก่อนเปลี่ยนผ่าน
มีด-อำนาจเครื่องมือที่อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์จึงมีคมทั้ง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 พรรค
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนที่อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งบรรดากองทัพ-ทหารและเครือข่ายอำนาจที่มองไม่เห็น
ในการฝ่าพายุการแก้รัฐธรรมนูญ และการเตรียมตัวสำหรับการรับมือมรสุมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสามัญทั่วไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงต้องอาศัยมีดที่มีคมทั้ง 2 คม
ดังนั้นทันทีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 23-24 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ชัย ชิดชอบ และผู้นำฝ่ายบริหาร-สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องชีพจรลงเท้า เดินสายล็อบบี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนใน 2 มาตราหลัก
ทั้งมาตรา 93-98 เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง-เขตการเลือกตั้ง และมาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
แม้ว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ จะเสนอแก้ไขทั่วด้านทั้งหมด 6 มาตรา แต่คณะรัฐมนตรีจาก 7 พรรคก็เลือกมีมติเห็นชอบเพียง 2 มาตราที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม 2 มาตราก็ยังเป็นข้อกังขา-คาใจของเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ "สายใต้" ที่ผนึกรวมระหว่างสาย "ชวน หลีกภัย" และสายของ "บัญญัติ บรรทัดฐาน"
ทำให้สุเทพ-ผู้จัดการรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องทำหน้าที่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกับสมาชิกพรรคตัวเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนั้นยังต้องใช้ต้นทุนต่อยอดกำไรให้กับผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรค ชาติไทยพัฒนา และสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีแห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไม่นับรวมวาระพิเศษกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ยังไม่นับรวมบรรดาเสือ-สิงห์-กระทิง-แรดใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ "สุเทพ" ต้องใช้ต้นทุนไปต่อทุน
เกมกึ่งขู่-กึ่งปลอบจึงถูกส่งสัญญาณไปถึงทุกพรรคทั่วทั้งกระดานการเมือง
"อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด จึงต้องพร้อมเลือกตั้ง อายุรัฐบาลอาจจะอยู่สั้นหรือยาวมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรค ปชป. การปลุกกลุ่มเสื้อสีต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจัยเหล่านี้สามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้รุนแรง จนรัฐบาลคุมไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องไม่ประมาท" เสียงสุเทพ-ก้องจากวงสนทนาเจรจาล็อบบี้-โน้มน้าว
เหนือสิ่งอื่นใด "สุเทพ" อ้างอำนาจเหนือ ขอให้ทุกคนก้าวพ้นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสนับสนุนอำนาจ "อภิสิทธิ์"
ทว่าด่าน-กับดักอำนาจที่ขวางทางแก้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่เฉพาะ "สภาล่าง- พรรคร่วม-ฝ่ายค้าน" เท่านั้น หากยังมี เครือข่าย "สภาสูง-วุฒิสมาชิก" ที่เป็น เครือข่ายอำนาจเก่า-ฐานอำนาจพันธมิตร ที่พร้อมจะโหวตสวน "มติ" ของคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 มาตรา
อย่างน้อยสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ครอบครองเสียงสภาล่างไม่น้อยกว่า 183 เสียง รวมกับเสียงของเครือข่ายในสภาสูงอีก ไม่น้อยกว่า 30 เสียง
แม้พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งระบบเขตใหญ่-เขตเล็ก แต่หากต้องเป็นเครื่องมือในการเสวยอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้ประชาธิปัตย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ "ทักษิณและพวก" ไม่ปรารถนา
การประกาศไม่ร่วมเป็นเครื่องมือผ่าตัด-รัฐธรรมนูญ จึงเป็นแนวทางการเมืองของฝ่ายเพื่อไทยและพวก ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้กับศัตรูที่เคยเป็นพันธมิตร
จำนวนมือในสภาผู้แทนราษฎรจึงจำเป็นสำหรับ "ร่าง-รัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ที่ต้องใช้เสียงจำนวน "เกินกึ่งหนึ่ง" ในวาระ 3 หรือปริมาณสุทธิ 310 เสียงขึ้นไป
นับมือของฝ่ายรัฐบาลมีสุทธิ 278 เสียง จาก 7 พรรค
แม้รวมมือของฝ่ายตรงข้ามที่หันมาโหวตล่วงหน้า แปรพักตร์จากฝ่ายค้านไว้อีกจำนวน 7 เสียง
จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-มีเสียงทั้งสิ้น 285 เสียง จึงต้องหวังเสียงจากสมาชิก "สภาสูง" อีกไม่น้อยกว่า 50 เสียง
เงื่อนไขความสำเร็จของการผ่าตัดรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่มีดในมือของ "วุฒิสภา"
หาก "40 ส.ว." ไม่ยอมยกมือรวมกับเครือข่าย "ส.ว.สายทักษิณ" ที่ร่วมหัวกันหดมือ หรืองดออกเสียง ก็ย่อมไม่สามารถผ่าตัดต่อลมหายใจให้รัฐธรรมนูญ 2550 กลายร่างใหม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิก "สภาสูง" เครือข่าย "40 ส.ว." ที่มีแนวโน้ม "คัดค้าน" การแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น ที่เป็นประโยชน์เฉพาะหน้า- เฉพาะนักการเมือง
ประโยชน์ที่พรรคร่วมคาดว่าจะได้รับจากการยกมือ-ออกเสียง ลงแรงในการโหวต 2 มาตรา คือ "ต้นทุน" ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ต่ำลง
หากเลือกตั้งเขตเล็ก หรือแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ย่อมทำให้สามารถคำนวณสูตรต้นทุนต่ำ-กำไรสูงได้ไม่ยาก
ทั้ง 3 พรรคใหญ่ในรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา จึงยกมือเห็นชอบ 2 มาตราตั้งแต่นอกเขตสภาผู้แทนราษฎร
เพราะการอยู่-การไปของนักการเมืองขาใหญ่อย่างบรรหาร ศิลปอาชา และครอบครัว หรือสุวัจน์และลูกน้อง ไม่นับรวมเนวินและเพื่อน ล้วนต้องพึ่งพา เครื่องมือเลือกตั้งแบบ "เขตเล็ก" เท่านั้น
จำนวน ส.ส.ที่จะปรับใหม่ตามแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังเป็น "สภา 500" แต่สัดส่วน-และเขตมีการจัดสรรอำนาจและระบบเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม
อย่างน้อยจำนวน ส.ส.เขตจาก 400 คน ก็จะเหลือเพียง 375 คน และเปลี่ยนระบบเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลับไปใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ประเภทนี้จาก 80 เป็น 125 คน
เขตเลือกตั้ง-ระบบเลือกตั้ง ถามแนวทางของคณะนักกฎหมายอาวุโสที่ ร่วมวงกับ "ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" ให้ความเห็นประกอบไว้ว่า
"จำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.สัดส่วนก็เป็น 375 ลดไป 25 คน"
ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก "หมอผ่าตัด" รอบแรกถกเถียงกันว่า "ส.ส.เขตจะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทนฯต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว"
ในแง่หลักการ-เหตุผล ย่อมฟังขึ้นในธง-ทิศทางที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากวิเคราะห์เรื่องปริมาณ-ตัวเลข-จำนวน และสถิติของ ส.ส.ระหว่างคู่แข่งที่สำคัญระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในนามพลังประชาชนเดิม
แต่หากประชาธิปัตย์พิเคราะห์รวมกันทั้งข้อมูล-สถิติ-กระแสความนิยม-เงื่อนไขทางการเมือง และความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วพบว่าตัวเองอาจเพลี่ยงพล้ำ
มีด-อำนาจที่อยู่ในมือของประชาธิปัตย์อาจไม่ถูกใช้ผ่าตัดรัฐธรรมนูญ แต่อาจนำไปใช้เฉือนคมในเกม "ยุบสภา" แทน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติทุกท่าน
เรียน เพื่อนนปช.ที่เคารพรักทุกท่าน
บางท่านอาจจะสงสัยว่าเหตุใด ในสัปดาห์นี้ สมาชิกประชาธิปัตย์ถึงได้ออกมาโจมตีข้อความในสมุดปกขาว สี่เดือนหลังจากที่สมุกปกขาวกว่า 50,000 สำเนาถูกเผยแพร่ ดูราวกับว่า ดร.บุรณัชย์ สมุทรักษ์และสมาชิกพรรคคนอื่นออกมากล่าวหาว่าสมุดปกขาวมีข้อความที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทุกวัน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลและจนตรอก
เหตุใดพรรคประชาธิปัตย์ถึงเลือกที่จะโมโหโทโสกับข้อความในสมุดปกขาวที่ถูกเผยแพร่เมื่อสี่เดือนในเวลานี้? สัปดาห์ที่แล้ว สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งในการประชุมดังกล่าว มีการพิจารณาถึงเรื่องการระงับสมาชิกภาพชั่วคราวหรือขับไล่พรรคประชาธิปัตย์ออกจากสหพันธรัฐ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เดินทางไปยังแอฟริกาใต้พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยคำอธิบายที่ซ้ำซาก เข้าข้างตนเอง และไม่มีมูลความจริง ซึ่งเป็นข้อมูลเดียวที่พรรคใช้อธิบายให้คนในประเทศไทยฟังเมื่อ 6เดือนที่ผ่านมา โดยปกติแล้ว มาตรฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนของสมาชิกสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมนั้นไม่ใช่มาตรฐานสิทธิมนุษยชน “แบบไทยๆ” ดังนั้นจึงมีความเป็นได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจจะไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างที่ได้คาดหวังเอาไว้ในแอฟริกาใต้ และการตอบโต้เรื่องสมุดปกขาวหลังจากเลยมาสี่เดือนแล้ว อาจเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ถูกสมาชิกสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมประณามเรื่องการทำลายระบอบประชาธิปัตย์ในประเทศไทยลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี
นอกจากจะโมโหเพราะพรรคถูกทำให้อับอายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือ การที่พรรคประชาธิปัตย์เสียหน้าในเวทีโลกเป็นภัยอย่างยิ่งต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่เรารู้ดีว่า สาเหตุที่อภิสิทธิ์ถูกกลุ่มอำมาตย์เลือกให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เพราะว่าอภิสิทธิ์ดูสุขุมนุ่มนวล ทันสมัย และเป็นผู้ดี ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวเป็นเกราะกำบังภัยกลุ่มอำมาตย์ได้เป็นอย่างดี และในเวลานี้ มีสัญญาณจากประชาคมโลกที่ชัดเจนว่า ความมีประสิทธิภาพในการใช้นายอภิสิทธิ์บังหน้านั้นกำลังเสื่อมลง โดยในวันนี้ มีรายงานข่าวว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายเดวิด คาเมรอน ยกเลิกแผนการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงวันหยุดคริสต์มาส โดยส่วนหนึ่งเพราะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลของนายคาเมรอนนั้นเป็นรัฐบาลผสม โดยมีพรรคเสรีประชาธิปไตยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นสมาชิกของสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม
นายอภิสิทธิ์รู้ดีว่าเมื่อใดที่เปลือกของเขาถูกเปิดเผย ชะตากรรมของเขาจะไม่ต่างจากผู้นำคนก่อน กลุ่มอำมาตย์จะกำจัดนายอภิสิทธิ์อย่างไม่เป็นไปตามระบบเหมือนอย่างที่ทำกับผู้นำคนก่อนหน้าเขา ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิธียุบพรรค ยุบสภา ใช้บริการกลุ่มพันธมิตร ทำรัฐประหาร และการโยนนายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับกลุ่มอำมาตย์
ยิ่งประชาคมโลกรับรู้ถึงพฤติกรรมอันน่าตกใจของพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นเท่าไร พรรคประชาธิปัตย์ก็จะใช้ชาติ วัฒนธรรม และสถาบันมาเป็นข้ออ้าง ข้อกล่าวหาที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้โจมตีเรา เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการปกป้องระบอบกษัตริย์ เพราะบทความหรือเอกสารของเราไม่มีข้อความที่วิจารณ์หรือทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป้าหมายที่แท้จริงของพรรคเป็นไปเพื่อจะปิดปากประชาชนไม่ให้วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ด้วยความชอบธรรม ในกรณีเรื่องการดำเนินนโยบายและการกระทำที่ผิดกฎหมายของพรรค ในอดีต ผู้คนมักจะกินยาอายุวัฒนะเพื่อความเป็นอมตะ แต่ปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแทนยาอายุวัฒนะ เพื่อหวังจะใช้เป็นเกราะป้องกันตนเองจากสิ่งต่างๆที่พรรคคิดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางอำนาจของตนเอง
ความรู้สึกที่ประชาชนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ การที่พรรคต้องการรักษาอำนาจตนเองในรัฐบาล โดยพยายามอ้างถึงการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการบิดเบือนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มีมูล และยุทธศาสตร์ที่เลวร้ายนี้แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์และพวกพ้องสามารถสละได้ทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาอำนาจ การยอมสละความจริง ระบอบประชาธิปไตย และชีวิตของประชาชนกว่า 80คน เพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเอง เราคงจะอดสงสัยไม่ได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทำอะไรต่อไป
ด้วยความนับถือ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เปิดจะๆ เงินสินบนรางวัลนำจับกรมศุลฯ10ปีทะลักหมื่นล้าน จนท.รวยอื้อซ่า!
คนกรมศุลฯ-สายสืบรวยอื้อ เปิดตัวเลขสินบนและรางวัลนำจับ 10 ปี ศุลกากรจ่ายให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่กว่า 10,000 ล้านบาท แต่เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท เผยเฉพาะคดีเหล็กฉาบสารซิลิคอนถูกปรับ 3,000 ล้านบาท สายสืบเจ้าหน้าที่ฟันไป 1,650 ล้านบาท
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมศุลกากรถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหน่วยงานที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ในขณะที่บทบาทและภารกิจใหม่ของกรมศุลกากรตามนโยบายของรัฐบาลจะเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย จึงต้องปฏิรูปงานภายในกรมศุลกากรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายกรมศุลกากร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกรมศุลกากร กำหนดโทษปรับหลายอัตรา ตั้งแต่ 0.5-4 เท่าของมูลค่าสินค้าและอากรส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ โดยให้ศาลภาษีอากรเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่จะต้องถูกปรับ 4 เท่าสถานเดียว และล่าสุดกรมศุลกากรได้ผลักดันร่างกฎหมายเฟสแรกเข้าสู่ที่ประชุมสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 จะเน้นเรื่องการปรับลดเงินสินบน และรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่และสายสืบ ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ที่เน้นเรื่องการอำนวยความสะดวก ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้นำร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 ส่งให้กระทรวงการคลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป โดยจะมีการกำหนดเพดานในการจ่ายเงินสินบนนำจับให้กับสายสืบสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกรณี ส่วนรางวัลนำจับที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี ทั้งนี้เพื่อลดแรงจูงใจเจ้าหน้าที่
สำหรับสายสืบที่แจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมและดำเนินคดีจนเป็นที่สิ้นสุดจะได้รับเงินสินบน 30% ของค่าปรับไม่เกิน 4 เท่า ส่วนเงินรางวัลจะเป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าทำการจับกุมจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งอีก 25% ของค่าปรับเช่นกัน บางกรณีอาจจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่สูงถึง 100-1,000 ล้านบาทต่อราย
"ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการกำหนดเพดานสูงสุดในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ แต่ถ้าร่างแก้ไขกฎหมายเฟสที่ 2 ออกจากที่ประชุมสภาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะถูกปรับเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ก็จะจ่ายเงินสินบนให้กับสายสืบได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท มีสายสืบเป็นสิบ ๆ คน ก็ไปแบ่งกันเอง ส่วนเงินค่าปรับที่กรมศุลกากรได้รับจากผู้ประกอบการส่วนที่เหลือต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด เงินรางวัลที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 5 ล้านบาท เงินค่าปรับส่วนที่เหลือส่งเข้าหลวงทั้งหมด" นายประสงค์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการแก้ไขเพดานจ่ายเงินสินบนไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อกรณี และการจ่ายเงินรางวัลไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี มีที่มาอย่างไร และเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะต่อต้านหรือไม่ นายประสงค์กล่าวว่า นโยบายกรมศุลกากรที่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่คือขณะนี้ภาพลักษณ์กรมศุลกากรติดลบ ต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ใหม่ให้กลับคืนมาได้อย่างไร ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงเสนอให้กำหนดเพดานการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับไว้ที่ 5-10 ล้านบาทต่อกรณีด้วย ไม่ใช่ต่อราย และเงินที่เหลือต้องส่งเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ต้องขอแบ่งมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อสวัสดิการข้าราชการกรมศุลกากร
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวต่อไปอีกว่า การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับยังมีความจำเป็นอยู่ หลักการของระบบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับคือ จูงใจให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามเงินภาษีอากรของรัฐที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา บางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องลงทุนจ้างสายสืบ มีต้นทุน เมื่อจับได้แล้วก็ได้รับส่วนแบ่งเป็นรางวัล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จับกุมแล้วจะได้รับเงินสินบนหรือรางวัลนำจับกันทุกคดี อย่างเช่น ผู้นำเข้าสำแดงว่านำเข้าสินค้ามา 5 ชิ้น พอเจ้าหน้าที่เปิดตู้ตรวจพบว่ามี 10 ชิ้น กรณีนี้จะต้องถูกปรับแล้วเอาเงินเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ได้รับสินบน ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งจะตรวจหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่ได้ ต้องสุ่มตรวจ 3% เพราะฉะนั้นรายที่หลุดรอดออกไปได้ แล้วเจ้าหน้าที่ไปติดตามเอาเงินภาษีกลับคืนมา กรณีนี้ถึงจะได้รับเงินสินบนรางวัล อย่างกรณีจับยาเสพติด, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์, ไม้พะยูง กรณีอย่างนี้จับแล้วไม่ได้รับเงินสินบน แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ในแต่ละปีมีคดีที่กรมศุลกากรจับแล้วไม่ได้เงินสินบนรางวัลปีละกว่า 1,000 คดี
ผู้สื่อข่าวใช้ พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของข้าราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อขอข้อมูลสถิติการจ่ายเงินสินบนนำจับย้อนหลัง 10 ปี และการจ่ายสินบนรางวัลให้อธิบดีกรมศุลกากรแต่ละคน/ปีเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารฯในกรมศุลกากร เปิดเผยข้อมูลเฉพาะการจ่ายเงินสินบนและรางวัลรวมของแต่ละปีเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ใดเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ทางกรมศุลกากรระบุว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ โดย 10 ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจ่ายเงินสินบนรางวัลไปกว่า 10,000 ล้านบาท จริง ๆ เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางสภาอุตฯได้มีการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อลดแรงจูงใจของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปไล่ตรวจจับเพื่อหวังได้รับเงินสินบนรางวัล และเห็นด้วยว่ากรมศุลกากรยังจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินสินบนรางวัลนำจับอยู่ แต่ไม่ควรจะได้รับกันเป็นจำนวนมากเหมือนในอดีต ยกตัวอย่าง คดีเหล็กฉาบสารซิลิคอน 7 ราย ยอมจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 3,000 ล้านบาท สายสืบและเจ้าหน้าที่ได้รับเงินสินบน 30% และรางวัลนำจับอีก 25% รวมแล้ว 1,650 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่ถูกปรับทั้ง 7 บริษัท นำค่าปรับไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย 3,000 ล้านบาท สามารถลดหย่อนหรือประหยัดค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรได้อีก 900 ล้านบาท เมื่อนำเงินที่ต้องจ่ายค่าสินบนรางวัลไปรวมกับเงินบริษัทที่ถูกปรับไปหักเป็นค่าใช้จ่าย จริง ๆ แล้วรัฐได้เงินแค่ 450 ล้านบาท หรือ 15% เท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่และสายสืบได้เงินไป 1,650 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะได้รับการยกเว้น ส่วนสายสืบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร มีแต่ลายนิ้วมือเท่านั้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมศุลกากรถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหน่วยงานที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ในขณะที่บทบาทและภารกิจใหม่ของกรมศุลกากรตามนโยบายของรัฐบาลจะเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย จึงต้องปฏิรูปงานภายในกรมศุลกากรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายกรมศุลกากร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกรมศุลกากร กำหนดโทษปรับหลายอัตรา ตั้งแต่ 0.5-4 เท่าของมูลค่าสินค้าและอากรส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ โดยให้ศาลภาษีอากรเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่จะต้องถูกปรับ 4 เท่าสถานเดียว และล่าสุดกรมศุลกากรได้ผลักดันร่างกฎหมายเฟสแรกเข้าสู่ที่ประชุมสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 จะเน้นเรื่องการปรับลดเงินสินบน และรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่และสายสืบ ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ที่เน้นเรื่องการอำนวยความสะดวก ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้นำร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 ส่งให้กระทรวงการคลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป โดยจะมีการกำหนดเพดานในการจ่ายเงินสินบนนำจับให้กับสายสืบสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกรณี ส่วนรางวัลนำจับที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี ทั้งนี้เพื่อลดแรงจูงใจเจ้าหน้าที่
สำหรับสายสืบที่แจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมและดำเนินคดีจนเป็นที่สิ้นสุดจะได้รับเงินสินบน 30% ของค่าปรับไม่เกิน 4 เท่า ส่วนเงินรางวัลจะเป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าทำการจับกุมจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งอีก 25% ของค่าปรับเช่นกัน บางกรณีอาจจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่สูงถึง 100-1,000 ล้านบาทต่อราย
"ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการกำหนดเพดานสูงสุดในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ แต่ถ้าร่างแก้ไขกฎหมายเฟสที่ 2 ออกจากที่ประชุมสภาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะถูกปรับเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ก็จะจ่ายเงินสินบนให้กับสายสืบได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท มีสายสืบเป็นสิบ ๆ คน ก็ไปแบ่งกันเอง ส่วนเงินค่าปรับที่กรมศุลกากรได้รับจากผู้ประกอบการส่วนที่เหลือต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด เงินรางวัลที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 5 ล้านบาท เงินค่าปรับส่วนที่เหลือส่งเข้าหลวงทั้งหมด" นายประสงค์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการแก้ไขเพดานจ่ายเงินสินบนไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อกรณี และการจ่ายเงินรางวัลไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี มีที่มาอย่างไร และเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะต่อต้านหรือไม่ นายประสงค์กล่าวว่า นโยบายกรมศุลกากรที่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่คือขณะนี้ภาพลักษณ์กรมศุลกากรติดลบ ต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ใหม่ให้กลับคืนมาได้อย่างไร ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงเสนอให้กำหนดเพดานการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับไว้ที่ 5-10 ล้านบาทต่อกรณีด้วย ไม่ใช่ต่อราย และเงินที่เหลือต้องส่งเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ต้องขอแบ่งมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อสวัสดิการข้าราชการกรมศุลกากร
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวต่อไปอีกว่า การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับยังมีความจำเป็นอยู่ หลักการของระบบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับคือ จูงใจให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามเงินภาษีอากรของรัฐที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา บางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องลงทุนจ้างสายสืบ มีต้นทุน เมื่อจับได้แล้วก็ได้รับส่วนแบ่งเป็นรางวัล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จับกุมแล้วจะได้รับเงินสินบนหรือรางวัลนำจับกันทุกคดี อย่างเช่น ผู้นำเข้าสำแดงว่านำเข้าสินค้ามา 5 ชิ้น พอเจ้าหน้าที่เปิดตู้ตรวจพบว่ามี 10 ชิ้น กรณีนี้จะต้องถูกปรับแล้วเอาเงินเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ได้รับสินบน ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งจะตรวจหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่ได้ ต้องสุ่มตรวจ 3% เพราะฉะนั้นรายที่หลุดรอดออกไปได้ แล้วเจ้าหน้าที่ไปติดตามเอาเงินภาษีกลับคืนมา กรณีนี้ถึงจะได้รับเงินสินบนรางวัล อย่างกรณีจับยาเสพติด, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์, ไม้พะยูง กรณีอย่างนี้จับแล้วไม่ได้รับเงินสินบน แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ในแต่ละปีมีคดีที่กรมศุลกากรจับแล้วไม่ได้เงินสินบนรางวัลปีละกว่า 1,000 คดี
ผู้สื่อข่าวใช้ พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของข้าราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อขอข้อมูลสถิติการจ่ายเงินสินบนนำจับย้อนหลัง 10 ปี และการจ่ายสินบนรางวัลให้อธิบดีกรมศุลกากรแต่ละคน/ปีเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารฯในกรมศุลกากร เปิดเผยข้อมูลเฉพาะการจ่ายเงินสินบนและรางวัลรวมของแต่ละปีเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ใดเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ทางกรมศุลกากรระบุว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ โดย 10 ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจ่ายเงินสินบนรางวัลไปกว่า 10,000 ล้านบาท จริง ๆ เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางสภาอุตฯได้มีการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อลดแรงจูงใจของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปไล่ตรวจจับเพื่อหวังได้รับเงินสินบนรางวัล และเห็นด้วยว่ากรมศุลกากรยังจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินสินบนรางวัลนำจับอยู่ แต่ไม่ควรจะได้รับกันเป็นจำนวนมากเหมือนในอดีต ยกตัวอย่าง คดีเหล็กฉาบสารซิลิคอน 7 ราย ยอมจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 3,000 ล้านบาท สายสืบและเจ้าหน้าที่ได้รับเงินสินบน 30% และรางวัลนำจับอีก 25% รวมแล้ว 1,650 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่ถูกปรับทั้ง 7 บริษัท นำค่าปรับไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย 3,000 ล้านบาท สามารถลดหย่อนหรือประหยัดค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรได้อีก 900 ล้านบาท เมื่อนำเงินที่ต้องจ่ายค่าสินบนรางวัลไปรวมกับเงินบริษัทที่ถูกปรับไปหักเป็นค่าใช้จ่าย จริง ๆ แล้วรัฐได้เงินแค่ 450 ล้านบาท หรือ 15% เท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่และสายสืบได้เงินไป 1,650 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะได้รับการยกเว้น ส่วนสายสืบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร มีแต่ลายนิ้วมือเท่านั้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ลดกระหน่ำตายฟรี เจ็บฟรี ขังฟรี! อภินันทนาการจาก ศอฉ. ดีเอสไอ และรัฐบาลเทพประทาน
“ในกรณีที่ตำรวจทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว และมีกรณีใดต้องนำไปสู่การไต่สวนโดยศาล หากได้ข้อยุติว่าการเสียชีวิตรายใดเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่แล้ว คดีจะถูกส่งกลับมาที่ดีเอสไอตามกฎหมาย และหากพบว่าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ป้องกันโดยสมควรแก่เหตุ หรือเหตุอื่นใดที่อ้างได้ตามกฎหมาย จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด แต่ไม่ตัดสิทธิตามกฎหมายที่ทายาทของผู้ตายจะเรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีที่เหลือทั้งหมดดีเอสไอจะเร่งสรุปและแถลงให้ทราบเป็นรายสัปดาห์จนกว่าจะครบ 89 ศพ ให้หมดภายในเดือนนี้”
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสืบสวนคดีผู้เสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชนจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับ พ.ต.อ.
ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 89 ศพ เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับไว้ 254 คดี และฟ้องศาลไปแล้ว 54 คดี แยกเป็น 4 ฐานความผิดคือ ก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการกระทำต่ออาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการและวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกล่าวหาคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่าคดีคนร้ายยิงอาวุธเอ็ม 79 และคดีดักซุ่มยิงตามสถานที่ต่างๆที่มีผู้เสียชีวิต 12 รายนั้นเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
“เสื้อแดง” ฆ่า “ร่มเกล้า”
เช่นดียวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า
ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ พลทหารสิงหา อ่อนทรง และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. และกลุ่มเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันให้การสนับสนุน คือนักรบดำ
ส่วนการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯที่มีทั้งพยานบุคคลและภาพปรากฏชัดเจนนั้น ดีเอสไอยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง แต่ยังแทงกั๊กว่าการเสียชีวิตมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับทหาร จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องนำคดีกลับมาที่ดีเอสไออีกครั้ง หากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดูว่าปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพอที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าไม่ว่าผลจะสรุปออกมาอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐก็แทบไม่มีโอกาสผิด เพราะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด
มือถือสาก ปากถือศีล
การแถลงของดีเอสไอจึงสอดคล้องกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า “เสื้อแดงฆ่ากันเอง” เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันเสียงแข็งเหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและประธานศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังโยนความผิดให้ “กลุ่มโรนิน” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริงและมีหลักฐานมายืนยัน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอแถลงผลการสอบสวนส่วนหนึ่งแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ พล.อ.อนุพงษ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร หรือจะเลี่ยงบาลีว่าเป็นการปฏิบัติโดยชอบตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่นายอภิสิทธิ์สั่ง
“จตุพร” แฉทหารยิง “ร่มเกล้า”
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้แถลงโต้ผลสอบสวนของดีเอสไอที่แยกการเสียชีวิต 89 ศพเป็น 3 กลุ่ม แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้าที่ระบุว่าอาจเกิดจากกลุ่มโรนินหรือนักรบดำนั้น นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานบุคคลเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบอกว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงจากแถว 3 ของกลุ่มทหาร เป็นการยิงแนวราบ ซึ่งเป็นจังหวะที่ พ.อ.ร่มเกล้าลุกขึ้นยืนพอดี ไม่ได้ยิงจากมุมสูงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งคนเสื้อแดงคนนี้เข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงจนเป็นอัมพฤกษ์ และยังเห็นทหารจากแถว 3 เข้ามายิง พ.อ.ร่มเกล้าซ้ำอีก อยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้ดีเอสไอได้สอบสวนหรือไม่ และยังทราบเบื้องหลังว่าก่อนที่ดีเอสไอจะออกมาแถลงมีหลายคนไปล็อบบี้แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัด เวลานี้หลายคนในรัฐบาลและกองทัพก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข
นายจตุพรยังกล่าวถึงการสรุปสำนวนว่าการเสีย ชีวิตของประชาชนและสื่อต่างประเทศอาจเกิดจากการกระชับพื้นที่ของทหาร ถือเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติการของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนหรือยุติการสอบสวนได้ ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าการขอเวลาสอบสวนสาเหตุผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 45 วันของนายธาริตนั้นเป็นเพียงการต้มคนไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในเมื่อดีเอสไอยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพได้ เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ตั้งแต่ดีเอสไอส่งฟ้องไปเป็นการฟ้องเท็จ อัยการสูงสุดที่ยื่นฟ้องต่อศาลก็เท่ากับว่าเอาสำนวนเท็จไปฟ้องเท็จต่อศาล จึงถือว่าทั้ง 2 หน่วยงานมีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา
“ผมจะรอให้ดีเอสไอแถลง หากแถลงตามสำนวนที่ได้ตามข่าวมาเมื่อไรจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตและอัยการสูงสุด ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะได้รู้กันว่าดีเอสไอกับอัยการสูงสุดจะติดคุกได้หรือไม่ หากนายธาริตจะแถลงขอให้แถลงด้วยว่าทั้งนายธาริตและ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายการทำคดีคนเสื้อแดงไปกี่ ร้อยล้าน แล้วตัวนายธาริตเบิกกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง พวกผมรู้หมด ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกในดีเอสไอ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากบอก จะรอให้นายธาริตสารภาพเอง เหมือนตอนเรื่องหมอนวดหมายเลข 161”
นปช. ฟ้อง “อภิสิทธิ์-ศอฉ.”
เช่นเดียวกับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. รวม 14 คนในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ นปช. ได้ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ มีรายละเอียดเหตุการณ์และหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคำให้การของพยานบุคคลจำนวนมาก โดยระบุว่ามีการใช้กำลังทหาร อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีคำให้การของพยานหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เช่น พยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
พยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่า โดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุยขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
พยานปากที่ 19 ระบุว่า โดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด
พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่า เห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์
ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริเวณสวนลุมพินี
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมทั้งภาพถ่ายศพ “น้องเกด-กมนเกด อัคฮาด” อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯพร้อมคนอื่นๆ 6 ศพ ที่มีภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนารามฯ
ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอแล้วหลบหนีไป
เอกสารของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ
“หุ่นน้องเกด” ตั้งวัดปทุมฯ
โดยเฉพาะการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ ได้ทำบุญและจัดกิจกรรมรำลึกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวคนฆ่าและคนสั่งการ นอกจากนี้ครอบครัวยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดสูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิต
ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายน้องเกด จะเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด และแกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ร่วมจูง “แพะ” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนด้วย
คอป. จี้ปล่อยคนเสื้อแดง
ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้ตัดสินใจปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง แต่นายอภิสิทธิ์กลับโยนอำนาจการตัดสินใจนี้ไปให้กระทรวงยุติธรรมและเป็นอำนาจของศาล ทั้งอ้างว่าเมื่อตัดสินใจอย่างไรต้องมีคำตอบให้กับสังคม เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนมากและต้องใช้เวลาพอสมควร
“นายคณิตระบุตั้งแต่ต้นว่าหลายเรื่องไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่เป็นเหมือนกระแสหรือความรู้สึก ถ้าเราเพิกเฉยทั้งหมดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องรับฟังตรงนี้แล้วมาดู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อเท็จจริง จึงต้องตรวจสอบว่าคนที่ถูกคุมขังมีเจตนาอย่างไร และเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมามีกรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวออกมาก็ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย สมมุติว่าศาลให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ชั่วคราวก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แต่รัฐจะดูว่าควรเริ่มช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังที่มีความผิดเล็กน้อย และมองแล้วว่าเขาไม่น่าจะเป็นปัญหาหลังจากออกมา แต่ถ้าใครที่ออกมาแล้วจะเป็นปัญหา ศาลไม่น่าจะปล่อยตัวอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่เป็นแกนนำและมีความผิดสูงคงจะยิ่งยาก”
ทวงบุญคุณแทนขอโทษ
คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองเลย แต่ใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพตลอดเวลาว่าเป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างกรณีรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ชื่นชมรัฐบาลทหารพม่าว่าเป็นเรื่องที่ดีและนำไปสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ และเป็นก้าวสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่กลับไม่ละอายตัวเองที่ถูกประณามจากประชาคมโลกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังคุมขังคนเสื้อแดงหลายร้อยคนโดยไม่มีความผิด จนประเทศไทยถูกจัดอันดับใกล้เคียงกับประเทศพม่าไปแล้วอีกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ได้หาทางช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 180 คน และสามารถประกันได้เพียง 3 คนนั้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้เอามาโฆษณาชวนเชื่อทันทีว่าเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีความพยายามสร้างความปรองดอง
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจัดฉากสร้างภาพด้วยการนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัว 2 รายมาที่ทำเนียบรัฐบาลคือ นายสมหมาย อินทนาคา อายุ 32 ปี และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ อายุ 24 ปี โดยอ้างว่าเพื่อต้องการขอความร่วมมือ เมื่อได้รับการประกันตัวจากกองทุนของรัฐแล้วขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกคุมขังอีก และศาลมีแนวโน้มจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวรายอื่นๆ ทั้งที่คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังฟรีถึง 6 เดือนล้วนเป็นเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย โดยนายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ช่วงเดินทางกลับผ่านสวนลุม ไนท์บาซาร์ เจอด่านทหารและถูกจับกุมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ซึ่งนายสมหมายพยายามขอประกันตัวด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ หลังจากศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง ไม่ได้เกี่ยวกับ “บุญคุณ” หรือความช่วยเหลือของนายอภิสิทธิ์เลย
นอกจากนี้นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของรัฐบาลว่า เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมากลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมนตรีอีก
เหยื่อ 2 รายจึงเหมือนตกนรกซ้ำซาก เพราะไม่เพียงถูกขังคุกฟรีแล้ว ยังถูกทวงบุญคุณและต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงอีกนับร้อยคนที่ตกเป็นผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่น่าเศร้าใจคือ ในจำนวนนั้นมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม ซึ่งนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ได้ไปพูดคุยถึงในคุก ซึ่งนักศึกษาทั้ง 3 คนยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง และไม่ได้ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่กลับโดนจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด
ตายฟรี-ขังฟรี-เจ็บฟรี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของ คอป. แต่พยายามอ้างเรื่องนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งที่ใช้ พร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการที่ใช้ข่มขู่และไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้ อย่างที่ ศอฉ. ประกาศห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แต่กลับเพิกเฉยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายคณิตได้แนะนำการเริ่มต้นง่ายๆว่า หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จะต้องกล่าวคำ “ขอโทษ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดและดำเนินการเอง แต่จนวันนี้คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยออกจากปากนายอภิสิทธิ์หรือผู้นำกองทัพเลย ตรงข้ามกลับพยายามสร้างความชอบธรรมและบิดเบือนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า
ผลสรุปของดีเอสไอจึงสรุปว่า “ไม่สรุป” เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นๆคือการพยายาม “ซื้อเวลา” เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้นานที่สุด และให้ประชาชนลืมเลือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ โดย “คนเสื้อแดง” คือ “คนพิเศษ” ที่ได้รับอภินันทนาการจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งกว่า “ลด แลก แจก แถม” ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ... “ตายฟรี ขังฟรี และเจ็บฟรี”
สังคมไทยวันนี้ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่แสงไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน
ตราบใดที่ “คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล” อย่าหวังว่าจะได้เห็นความสงบสุข สามัคคีปรองดองในชาตินี้!
โชคดีที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯตั้งแต่อายุ 46 ปี
เวรกรรมจริงๆ ประเทศไทย!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสืบสวนคดีผู้เสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชนจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับ พ.ต.อ.
ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 89 ศพ เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับไว้ 254 คดี และฟ้องศาลไปแล้ว 54 คดี แยกเป็น 4 ฐานความผิดคือ ก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการกระทำต่ออาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการและวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกล่าวหาคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่าคดีคนร้ายยิงอาวุธเอ็ม 79 และคดีดักซุ่มยิงตามสถานที่ต่างๆที่มีผู้เสียชีวิต 12 รายนั้นเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
“เสื้อแดง” ฆ่า “ร่มเกล้า”
เช่นดียวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า
ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ พลทหารสิงหา อ่อนทรง และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. และกลุ่มเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันให้การสนับสนุน คือนักรบดำ
ส่วนการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯที่มีทั้งพยานบุคคลและภาพปรากฏชัดเจนนั้น ดีเอสไอยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง แต่ยังแทงกั๊กว่าการเสียชีวิตมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับทหาร จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องนำคดีกลับมาที่ดีเอสไออีกครั้ง หากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดูว่าปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพอที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าไม่ว่าผลจะสรุปออกมาอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐก็แทบไม่มีโอกาสผิด เพราะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด
มือถือสาก ปากถือศีล
การแถลงของดีเอสไอจึงสอดคล้องกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า “เสื้อแดงฆ่ากันเอง” เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันเสียงแข็งเหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและประธานศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังโยนความผิดให้ “กลุ่มโรนิน” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริงและมีหลักฐานมายืนยัน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอแถลงผลการสอบสวนส่วนหนึ่งแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ พล.อ.อนุพงษ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร หรือจะเลี่ยงบาลีว่าเป็นการปฏิบัติโดยชอบตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่นายอภิสิทธิ์สั่ง
“จตุพร” แฉทหารยิง “ร่มเกล้า”
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้แถลงโต้ผลสอบสวนของดีเอสไอที่แยกการเสียชีวิต 89 ศพเป็น 3 กลุ่ม แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้าที่ระบุว่าอาจเกิดจากกลุ่มโรนินหรือนักรบดำนั้น นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานบุคคลเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบอกว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงจากแถว 3 ของกลุ่มทหาร เป็นการยิงแนวราบ ซึ่งเป็นจังหวะที่ พ.อ.ร่มเกล้าลุกขึ้นยืนพอดี ไม่ได้ยิงจากมุมสูงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งคนเสื้อแดงคนนี้เข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงจนเป็นอัมพฤกษ์ และยังเห็นทหารจากแถว 3 เข้ามายิง พ.อ.ร่มเกล้าซ้ำอีก อยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้ดีเอสไอได้สอบสวนหรือไม่ และยังทราบเบื้องหลังว่าก่อนที่ดีเอสไอจะออกมาแถลงมีหลายคนไปล็อบบี้แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัด เวลานี้หลายคนในรัฐบาลและกองทัพก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข
นายจตุพรยังกล่าวถึงการสรุปสำนวนว่าการเสีย ชีวิตของประชาชนและสื่อต่างประเทศอาจเกิดจากการกระชับพื้นที่ของทหาร ถือเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติการของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนหรือยุติการสอบสวนได้ ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าการขอเวลาสอบสวนสาเหตุผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 45 วันของนายธาริตนั้นเป็นเพียงการต้มคนไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในเมื่อดีเอสไอยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพได้ เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ตั้งแต่ดีเอสไอส่งฟ้องไปเป็นการฟ้องเท็จ อัยการสูงสุดที่ยื่นฟ้องต่อศาลก็เท่ากับว่าเอาสำนวนเท็จไปฟ้องเท็จต่อศาล จึงถือว่าทั้ง 2 หน่วยงานมีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา
“ผมจะรอให้ดีเอสไอแถลง หากแถลงตามสำนวนที่ได้ตามข่าวมาเมื่อไรจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตและอัยการสูงสุด ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะได้รู้กันว่าดีเอสไอกับอัยการสูงสุดจะติดคุกได้หรือไม่ หากนายธาริตจะแถลงขอให้แถลงด้วยว่าทั้งนายธาริตและ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายการทำคดีคนเสื้อแดงไปกี่ ร้อยล้าน แล้วตัวนายธาริตเบิกกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง พวกผมรู้หมด ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกในดีเอสไอ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากบอก จะรอให้นายธาริตสารภาพเอง เหมือนตอนเรื่องหมอนวดหมายเลข 161”
นปช. ฟ้อง “อภิสิทธิ์-ศอฉ.”
เช่นเดียวกับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. รวม 14 คนในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ นปช. ได้ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ มีรายละเอียดเหตุการณ์และหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคำให้การของพยานบุคคลจำนวนมาก โดยระบุว่ามีการใช้กำลังทหาร อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีคำให้การของพยานหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เช่น พยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
พยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่า โดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุยขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
พยานปากที่ 19 ระบุว่า โดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด
พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่า เห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์
ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริเวณสวนลุมพินี
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมทั้งภาพถ่ายศพ “น้องเกด-กมนเกด อัคฮาด” อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯพร้อมคนอื่นๆ 6 ศพ ที่มีภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนารามฯ
ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอแล้วหลบหนีไป
เอกสารของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ
“หุ่นน้องเกด” ตั้งวัดปทุมฯ
โดยเฉพาะการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ ได้ทำบุญและจัดกิจกรรมรำลึกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวคนฆ่าและคนสั่งการ นอกจากนี้ครอบครัวยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดสูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิต
ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายน้องเกด จะเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด และแกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ร่วมจูง “แพะ” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนด้วย
คอป. จี้ปล่อยคนเสื้อแดง
ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้ตัดสินใจปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง แต่นายอภิสิทธิ์กลับโยนอำนาจการตัดสินใจนี้ไปให้กระทรวงยุติธรรมและเป็นอำนาจของศาล ทั้งอ้างว่าเมื่อตัดสินใจอย่างไรต้องมีคำตอบให้กับสังคม เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนมากและต้องใช้เวลาพอสมควร
“นายคณิตระบุตั้งแต่ต้นว่าหลายเรื่องไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่เป็นเหมือนกระแสหรือความรู้สึก ถ้าเราเพิกเฉยทั้งหมดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องรับฟังตรงนี้แล้วมาดู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อเท็จจริง จึงต้องตรวจสอบว่าคนที่ถูกคุมขังมีเจตนาอย่างไร และเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมามีกรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวออกมาก็ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย สมมุติว่าศาลให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ชั่วคราวก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แต่รัฐจะดูว่าควรเริ่มช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังที่มีความผิดเล็กน้อย และมองแล้วว่าเขาไม่น่าจะเป็นปัญหาหลังจากออกมา แต่ถ้าใครที่ออกมาแล้วจะเป็นปัญหา ศาลไม่น่าจะปล่อยตัวอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่เป็นแกนนำและมีความผิดสูงคงจะยิ่งยาก”
ทวงบุญคุณแทนขอโทษ
คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองเลย แต่ใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพตลอดเวลาว่าเป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างกรณีรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ชื่นชมรัฐบาลทหารพม่าว่าเป็นเรื่องที่ดีและนำไปสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ และเป็นก้าวสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่กลับไม่ละอายตัวเองที่ถูกประณามจากประชาคมโลกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังคุมขังคนเสื้อแดงหลายร้อยคนโดยไม่มีความผิด จนประเทศไทยถูกจัดอันดับใกล้เคียงกับประเทศพม่าไปแล้วอีกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ได้หาทางช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 180 คน และสามารถประกันได้เพียง 3 คนนั้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้เอามาโฆษณาชวนเชื่อทันทีว่าเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีความพยายามสร้างความปรองดอง
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจัดฉากสร้างภาพด้วยการนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัว 2 รายมาที่ทำเนียบรัฐบาลคือ นายสมหมาย อินทนาคา อายุ 32 ปี และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ อายุ 24 ปี โดยอ้างว่าเพื่อต้องการขอความร่วมมือ เมื่อได้รับการประกันตัวจากกองทุนของรัฐแล้วขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกคุมขังอีก และศาลมีแนวโน้มจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวรายอื่นๆ ทั้งที่คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังฟรีถึง 6 เดือนล้วนเป็นเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย โดยนายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ช่วงเดินทางกลับผ่านสวนลุม ไนท์บาซาร์ เจอด่านทหารและถูกจับกุมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ซึ่งนายสมหมายพยายามขอประกันตัวด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ หลังจากศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง ไม่ได้เกี่ยวกับ “บุญคุณ” หรือความช่วยเหลือของนายอภิสิทธิ์เลย
นอกจากนี้นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของรัฐบาลว่า เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมากลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมนตรีอีก
เหยื่อ 2 รายจึงเหมือนตกนรกซ้ำซาก เพราะไม่เพียงถูกขังคุกฟรีแล้ว ยังถูกทวงบุญคุณและต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงอีกนับร้อยคนที่ตกเป็นผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่น่าเศร้าใจคือ ในจำนวนนั้นมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม ซึ่งนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ได้ไปพูดคุยถึงในคุก ซึ่งนักศึกษาทั้ง 3 คนยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง และไม่ได้ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่กลับโดนจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด
ตายฟรี-ขังฟรี-เจ็บฟรี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของ คอป. แต่พยายามอ้างเรื่องนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งที่ใช้ พร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการที่ใช้ข่มขู่และไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้ อย่างที่ ศอฉ. ประกาศห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แต่กลับเพิกเฉยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายคณิตได้แนะนำการเริ่มต้นง่ายๆว่า หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จะต้องกล่าวคำ “ขอโทษ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดและดำเนินการเอง แต่จนวันนี้คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยออกจากปากนายอภิสิทธิ์หรือผู้นำกองทัพเลย ตรงข้ามกลับพยายามสร้างความชอบธรรมและบิดเบือนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า
ผลสรุปของดีเอสไอจึงสรุปว่า “ไม่สรุป” เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นๆคือการพยายาม “ซื้อเวลา” เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้นานที่สุด และให้ประชาชนลืมเลือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ โดย “คนเสื้อแดง” คือ “คนพิเศษ” ที่ได้รับอภินันทนาการจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งกว่า “ลด แลก แจก แถม” ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ... “ตายฟรี ขังฟรี และเจ็บฟรี”
สังคมไทยวันนี้ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่แสงไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน
ตราบใดที่ “คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล” อย่าหวังว่าจะได้เห็นความสงบสุข สามัคคีปรองดองในชาตินี้!
โชคดีที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯตั้งแต่อายุ 46 ปี
เวรกรรมจริงๆ ประเทศไทย!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสนาบดีโลกไม่ลืม?
“เด็กดื้อ” ได้แค่เล่นบทเฮี้ยว..งอแงขอขนมกินเสริมหล่อไปวันๆ แต่ท้ายที่สุด ถูกขู่ลงไม้เรียว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็เงียบเสียงด้วยการส่งเสลี่ยงไปแบกคอน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กลับคืนสู่เก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดยไม่แตะต้องโควตาของพรรคร่วมแม้แต่เก้าอี้เดียว
ทิ้งไพ่อ่านไต๋ง่ายๆ ได้แค่ หาก 2 เสนาบดีพรรคร่วมรัฐบาลจะลงเลือกตั้งซ่อมต้องคายโควตาคืนมา พร้อมกับนั่งนิ่งๆ รอวัดใจเพื่อนว่าจะอินังขังขอบกับมาตรฐาน “เทพ ประทาน” ของ “เทพเทือก” หรือไม่อย่างไร??
แห้วลูกใหญ่ตกลงกลางกบาล “ทีมงาน 3 พี” ที่เคยถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมรัฐบาลโดย “กรณ์ จาติกวณิช” ในฐานผู้จัดการรัฐบาลขัดตาทัพ แต่พอตัวจริง รีเทิร์น คอนเน็กทุกสายต้องเป็นอันเกมโอเวอร์
“พล.อ.ประชา พรหมนอกชาญชัย ชัยรุ่งเรืองสิทธิชัย โควสุรัตน์” ว่าที่รัฐมนตรี โควตาเพื่อแผ่นดิน ถูกแขวนขึ้นทำเนียบ “เสนาบดีโลกลืม” แพ็กกันแน่น “เทพเทือก” ประสานมือ “เนวิน ชิดชอบ” เตะตัดขาทุกวิถีทาง
มายาการเมืองเชื่อไม่ได้ในเทศกาลยี่เป็ง ปล่อยของปล่อยข่าวโคมลอย แต่ที่เชื่อได้แน่ๆ คือ อาญาสิทธิ์แห่งตุลาการภิวัตน์ ที่ฟันฉับเตะ 6 ผู้ทรงเกียรติตกเก้าอี้แบบไม่มีข้อแก้ตัว
และที่จริงแท้แน่นอนยิ่งกว่า คือ การที่เสียงเงียบได้กลายเป็นข่าวขึ้นมาอย่างครึกโครม เพราะหากไม่ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม จากโควตาพรรคชาติไทยพัฒนา
อัพเดตข้อมูลส่วนตัวคร่าวๆ...“เกื้อกูล” ผันตัวจากนักธุรกิจเจ้าของกิจการโรงแรม ชื่อดังกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นนักการเมือง เมื่อโดดลงสมัคร ส.ส. พระนครศรีอยุธยา ในนามพรรคไทยรักไทย ปี 2544 และ 2548 และได้เป็น ส.ส.กรุงเก่าอีกสมัย ในปี 2550 แม้จะเปลี่ยนมาสังกัดพรรคชาติไทย
และด้วยอานิสงส์ที่รอดพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการ เมืองครั้งพรรคชาติไทยโดนยุบ เนื่องจากไม่ได้เป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย อีกทั้ง ยังใจแข็งทนแรงดูดจากตัวเลขเจ็ดหลักของพรรค การเมืองกระเป๋าหนักได้อย่างเกินคาด ว่ากันว่า การใจแข็งครั้งนั้น ถึงกับเข้าตา “มังกรเติ้งบรรหาร ศิลปอาชา” กุศลผลบุญหนุนส่งให้ได้รับความไว้วางใจจาก “หลงจู๊” ด้วยการประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ที่เพิ่ง เป็นได้แค่ 3 สมัย
เงียบๆ ชิลล์ ชิลล์ คือสไตล์การทำงาน ของรัฐมนตรีท่านนี้ กระนั้นภายใต้เสียงเงียบ แห่งการทำงานในกระทรวงหูกวาง ต้องยอมรับ ว่า จังหวะจะโคนการก้าวย่างนั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก
ยิ่งในพลันที่ต้องอาญาสิทธิ์จากการถือ ครองหุ้นต้องห้าม มีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงที่ “เกื้อกูล” ดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม ซึ่งดูแล กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้ดำเนินโครงการจ้างรับเหมาตัวเลขกลมๆ กว่า 200 โครงการ เคาะรวมเป็นมูลค่าไม่มากไม่มาย แค่เพียง 8,800 ล้านบาท
เอ็ฟเฟกต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณูปการของ “เกื้อกูล” ที่ชำเลืองดูง่ายๆ ..แค่เพียง “นายกฯ อภิสิทธิ์” งัดมาตรฐาน “เทพเทือก” ออกมาเหยียบบ่าพรรคร่วม “เสี่ยตือสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ถึงกับควันออกหู พร้อม ทั้งออกมาสวนหมัดทันควัน “อย่าเอามาตรฐาน ประชาธิปัตย์มาใช้กับพรรคร่วมรัฐบาล”
มวยรุ่นใหญ่ นานๆ ออกหมัดที แถมหมัดตรงดอกนี้ เป็นหมัดที่สวิงออกไปเพื่อปกป้องเสนาบดีผู้ผ่านการเป็น ส.ส.มาแค่ 3 สมัย..เงาะป่าถอดรูปออกเป็นทอง กล่องดวงใจ “มังกรเติ้ง” ตัวจริง
ด้วยเกราะทองที่ป้องตัว คงไม่ต้องบอก ว่า “ท่านรัฐมนตรีอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” เป็นเสียงเงียบที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังความ ยิ่งใหญ่ของสุพรรณบุรีคอนเน็กสุดท้าย ต่อให้ใครไม่รู้จักมักคุ้นชื่อ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” แต่สำหรับ “ป๋าเติ้ง” แล้ว เขานี่แหละเสนาบดีโลกไม่ลืมตัวจริง.. เด็กข้าใครอย่าแตะ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*********************************************
ทิ้งไพ่อ่านไต๋ง่ายๆ ได้แค่ หาก 2 เสนาบดีพรรคร่วมรัฐบาลจะลงเลือกตั้งซ่อมต้องคายโควตาคืนมา พร้อมกับนั่งนิ่งๆ รอวัดใจเพื่อนว่าจะอินังขังขอบกับมาตรฐาน “เทพ ประทาน” ของ “เทพเทือก” หรือไม่อย่างไร??
แห้วลูกใหญ่ตกลงกลางกบาล “ทีมงาน 3 พี” ที่เคยถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมรัฐบาลโดย “กรณ์ จาติกวณิช” ในฐานผู้จัดการรัฐบาลขัดตาทัพ แต่พอตัวจริง รีเทิร์น คอนเน็กทุกสายต้องเป็นอันเกมโอเวอร์
“พล.อ.ประชา พรหมนอกชาญชัย ชัยรุ่งเรืองสิทธิชัย โควสุรัตน์” ว่าที่รัฐมนตรี โควตาเพื่อแผ่นดิน ถูกแขวนขึ้นทำเนียบ “เสนาบดีโลกลืม” แพ็กกันแน่น “เทพเทือก” ประสานมือ “เนวิน ชิดชอบ” เตะตัดขาทุกวิถีทาง
มายาการเมืองเชื่อไม่ได้ในเทศกาลยี่เป็ง ปล่อยของปล่อยข่าวโคมลอย แต่ที่เชื่อได้แน่ๆ คือ อาญาสิทธิ์แห่งตุลาการภิวัตน์ ที่ฟันฉับเตะ 6 ผู้ทรงเกียรติตกเก้าอี้แบบไม่มีข้อแก้ตัว
และที่จริงแท้แน่นอนยิ่งกว่า คือ การที่เสียงเงียบได้กลายเป็นข่าวขึ้นมาอย่างครึกโครม เพราะหากไม่ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม จากโควตาพรรคชาติไทยพัฒนา
อัพเดตข้อมูลส่วนตัวคร่าวๆ...“เกื้อกูล” ผันตัวจากนักธุรกิจเจ้าของกิจการโรงแรม ชื่อดังกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นนักการเมือง เมื่อโดดลงสมัคร ส.ส. พระนครศรีอยุธยา ในนามพรรคไทยรักไทย ปี 2544 และ 2548 และได้เป็น ส.ส.กรุงเก่าอีกสมัย ในปี 2550 แม้จะเปลี่ยนมาสังกัดพรรคชาติไทย
และด้วยอานิสงส์ที่รอดพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการ เมืองครั้งพรรคชาติไทยโดนยุบ เนื่องจากไม่ได้เป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย อีกทั้ง ยังใจแข็งทนแรงดูดจากตัวเลขเจ็ดหลักของพรรค การเมืองกระเป๋าหนักได้อย่างเกินคาด ว่ากันว่า การใจแข็งครั้งนั้น ถึงกับเข้าตา “มังกรเติ้งบรรหาร ศิลปอาชา” กุศลผลบุญหนุนส่งให้ได้รับความไว้วางใจจาก “หลงจู๊” ด้วยการประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ที่เพิ่ง เป็นได้แค่ 3 สมัย
เงียบๆ ชิลล์ ชิลล์ คือสไตล์การทำงาน ของรัฐมนตรีท่านนี้ กระนั้นภายใต้เสียงเงียบ แห่งการทำงานในกระทรวงหูกวาง ต้องยอมรับ ว่า จังหวะจะโคนการก้าวย่างนั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก
ยิ่งในพลันที่ต้องอาญาสิทธิ์จากการถือ ครองหุ้นต้องห้าม มีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงที่ “เกื้อกูล” ดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม ซึ่งดูแล กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้ดำเนินโครงการจ้างรับเหมาตัวเลขกลมๆ กว่า 200 โครงการ เคาะรวมเป็นมูลค่าไม่มากไม่มาย แค่เพียง 8,800 ล้านบาท
เอ็ฟเฟกต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณูปการของ “เกื้อกูล” ที่ชำเลืองดูง่ายๆ ..แค่เพียง “นายกฯ อภิสิทธิ์” งัดมาตรฐาน “เทพเทือก” ออกมาเหยียบบ่าพรรคร่วม “เสี่ยตือสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ถึงกับควันออกหู พร้อม ทั้งออกมาสวนหมัดทันควัน “อย่าเอามาตรฐาน ประชาธิปัตย์มาใช้กับพรรคร่วมรัฐบาล”
มวยรุ่นใหญ่ นานๆ ออกหมัดที แถมหมัดตรงดอกนี้ เป็นหมัดที่สวิงออกไปเพื่อปกป้องเสนาบดีผู้ผ่านการเป็น ส.ส.มาแค่ 3 สมัย..เงาะป่าถอดรูปออกเป็นทอง กล่องดวงใจ “มังกรเติ้ง” ตัวจริง
ด้วยเกราะทองที่ป้องตัว คงไม่ต้องบอก ว่า “ท่านรัฐมนตรีอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” เป็นเสียงเงียบที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังความ ยิ่งใหญ่ของสุพรรณบุรีคอนเน็กสุดท้าย ต่อให้ใครไม่รู้จักมักคุ้นชื่อ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” แต่สำหรับ “ป๋าเติ้ง” แล้ว เขานี่แหละเสนาบดีโลกไม่ลืมตัวจริง.. เด็กข้าใครอย่าแตะ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*********************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)