บ้านเมืองจะวิกฤติต่อไปอีกยาวนาน แค่ไหนมิอาจทราบได้?!?!แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองยัง ไม่ลงตัว.. ก็มักจะมี “อีแอบ” ออกมาปั่นกระแส “รัฐประหาร” ให้สื่อมวลชนหัวหมุน กันอยู่เป็นประจำ.. นัยว่าพวกที่กุมอำนาจรัฐ อยู่นั้นคงอยากจะวอร์มอัพพวกลูกหาบ.. เพื่อสร้างบรรยากาศให้คลายความหนาวสั่น ลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย..
การออกมาปูดกระแส “การปฏิวัติ” รับลมหนาวในช่วงนี้.. ก็แค่ตีกันพวกตัวป่วนบ้านป่วนเมืองไม่ให้ซ่าส์เกินขีดจำกัด.. เพราะระยะหลังมานี้.. ยิ่งเข้าใกล้เทศกาล “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่”.. ก็มักจะมีพวกป่วนเมืองออกมาวาง “บึ้มผสมโรง” พร้อมกับเสียงพลุเสียงประทัดในช่วงเคาต์ดาวน์กันเกือบจะทุกปี..
แต่หากมองในมุมที่ลึกไปกว่านั้น.. ต้องยอมรับว่าการ “ปูดข่าว” ทหารกำลัง เตรียมการจะ “ยึดอำนาจ” นั้น..เป็นการขู่คำรามที่มาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี.. เพราะหลังจากงบประมาณแผ่นดินปี 54 ผ่านสภาฉลุยไปแล้วนั้น.. การแต่งตั้งโยกย้าย นายทหารระดับสูงก็เป็นไปตามเป้า..โดยเฉพาะ 5 เสือทบ.และแม่ทัพภาค 1-4 ล้วนอยู่ในคอนโทรลทุกคน..
ส่วนการเกลี่ยโผนายตำรวจระดับผู้บัญชาการไปจนถึงรอง ผบ.ตร. ก็ไม่ได้สะดุดอะไรมากมาย.. สื่อมวลชนเองก็พอ จะเห็นเค้าลาง “ผบ.ตร.คนใหม่” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีก ไม่ช้าไม่นานนี้.. เพราะถ้าหาก “ท่านวิเชียร” ใจไม่ถึงและแอบยืนถ่างขาเหมือนอดีต ผบ.ตร.คนก่อน.. ที่ชอบทำตัวเหมือนชื่อเป๊ะเลย!!!
คือเป็นดั่งเทียนที่ค่อยๆ มอดไปเรื่อยๆ จนหมดไส้เทียน..แล้วก็เกษียณไปจนน้องๆ ในกรมยังจำชื่อไม่ได้ว่า ผบ. คนก่อนนั้นชื่ออะไร??? ฟันธงได้เลยว่า “ผบ.ตร.ใบสั่ง” ได้กระโดดขึ้นมาเสียบคุม กรมปทุมวันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน..
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้.. อาจจะต้องเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเกมให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้าง.. ก็อย่างว่า..มีที่ไหนเล่นวางตัววางเกม “สืบทอดอำนาจ” กันซะยาวเหยียดต่อจากนี้ไปอีกตั้ง 5-6 ปี.. ทีแรกก็เข้าตามแผนทุกขั้นทุกตอน.. เพราะอุปสรรค “เสื้อแดง” ซึ่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันนั้นก็แผ่วปลายอย่างที่เห็น.. “ผู้มีอำนาจและกองทัพ” ก็เริ่มจับทางถูกแล้วว่าจะสกัดม็อบจัดตั้งพวกนี้ได้ด้วยวิธีการเช่นใด???
แต่พรรคการเมืองเจ้ากรรมซึ่งเป็นคู่ขากับกองทัพในขณะนี้.. ดันต้องมาเจอะ เจอกับ “มรสุมยุบพรรค” ไม่เกินก่อนสิ้นปี 53 นี้ตามกำหนดการของศาลรัฐธรรมนูญ.. และก็ไม่รู้ว่าหวยจะออกมาเช่นใด..อาจจะ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ก็ได้ทั้งสองกรณี ??? เพราะก่อนหน้านี้ค่าย ปชป.นั้นต่างยืนยิ้มกันเหงือกแห้งแทบจะทุกคน..หากมีสื่อไป ถามเรื่องคดียุบพรรค..
ยิ่งทีมกฎหมายของพรรคนั้นมั่นใจ กันนักกันหนาว่า “ไม่มียุบ” อย่างแน่นอน.. แต่วันนี้ลองเดินปี่เข้าไปถามในคำถามเดิมๆ.. คำตอบที่ได้คือ “ความเงียบ” เพราะหลังจากทุกคนในพรรคต้องเจอกับ “คลิปทอร์นาโด” มาแบบเต็มๆ นับเกือบ 10 ลูก และนี่ยังมีอีกกี่ดอกก็ไม่รู้ที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเก็บไว้เป็น “ทีเด็ด” ก่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ..
และในเมื่อ “กองทัพ” นั้นยืนอย่าง โดดเดี่ยวโดยขาด “ฝ่ายการเมือง” (ก๊วน เดียวกัน)ไม่ได้ฉันใด.. “ประยุทธ์” ก็ขาด “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ด้วยเช่นกัน.. ดังนั้น “น้องมาร์ค” จึงวางเกมเร่งแก้รัฐธรรมนูญใน 2 มาตราอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย.. เพื่อเป็นการ “ปลุกม็อบ” ออกมาขยับแข้งขยับขา..
เผื่อบางทีมันลุกลามบานปลายทั้ง “เหลืองและแดง” มั่วกันไปหมด.. ก็จะได้เข้าทางใครบางคนที่เตรียมการ “เผาจริง” เข้ายึดอำนาจรัฐแบบไร้แนวต้าน.. แต่หาก “เกมแห่งอำนาจ” ยังสามารถควบคุมได้อยู่.. การ “เผาหลอก” ในรูปแบบขู่รายวันว่าจะ “ปฏิวัติ” นั้นก็จะทำเพียงเพื่อเบี่ยงเบนกระแสไปวันๆ..นี่แหละหนา..คือที่มาแห่งกลิ่น “ท็อปบูต” ในสายลมหนาว!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
มีด-อำนาจในมือประชาธิปัตย์ คมเฉือนเกม (ไม่) แก้รัฐธรรมนูญ ลุ้นระทึก-ซื้อเวลา "ยุบสภา"
พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นศูนย์กลาง-ข้อต่อ ทุกเครือข่ายอำนาจ
อย่างน้อยการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปสู่รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายยังต้องลุ้นวาระ "ยุบสภา" จากอำนาจในมือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
อย่างน้อยการออกแบบ "เครื่องมือ" สำหรับการเลือกตั้งด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับทหาร" ก็ต้องอาศัย "มติ" แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นอำนาจนำในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างน้อยการปล่อย-ผ่านอำนาจที่เคยอยู่ในมือ "ประชาธิปัตย์และพวก" ไปสู่ฝ่ายอื่น ก็ต้องมีเครื่องมือ-ฐานอำนาจ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของอำนาจ "ตัวจริง" ก่อนเปลี่ยนผ่าน
มีด-อำนาจเครื่องมือที่อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์จึงมีคมทั้ง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 พรรค
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนที่อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งบรรดากองทัพ-ทหารและเครือข่ายอำนาจที่มองไม่เห็น
ในการฝ่าพายุการแก้รัฐธรรมนูญ และการเตรียมตัวสำหรับการรับมือมรสุมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสามัญทั่วไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงต้องอาศัยมีดที่มีคมทั้ง 2 คม
ดังนั้นทันทีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 23-24 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ชัย ชิดชอบ และผู้นำฝ่ายบริหาร-สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องชีพจรลงเท้า เดินสายล็อบบี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนใน 2 มาตราหลัก
ทั้งมาตรา 93-98 เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง-เขตการเลือกตั้ง และมาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
แม้ว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ จะเสนอแก้ไขทั่วด้านทั้งหมด 6 มาตรา แต่คณะรัฐมนตรีจาก 7 พรรคก็เลือกมีมติเห็นชอบเพียง 2 มาตราที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม 2 มาตราก็ยังเป็นข้อกังขา-คาใจของเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ "สายใต้" ที่ผนึกรวมระหว่างสาย "ชวน หลีกภัย" และสายของ "บัญญัติ บรรทัดฐาน"
ทำให้สุเทพ-ผู้จัดการรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องทำหน้าที่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกับสมาชิกพรรคตัวเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนั้นยังต้องใช้ต้นทุนต่อยอดกำไรให้กับผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรค ชาติไทยพัฒนา และสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีแห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไม่นับรวมวาระพิเศษกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ยังไม่นับรวมบรรดาเสือ-สิงห์-กระทิง-แรดใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ "สุเทพ" ต้องใช้ต้นทุนไปต่อทุน
เกมกึ่งขู่-กึ่งปลอบจึงถูกส่งสัญญาณไปถึงทุกพรรคทั่วทั้งกระดานการเมือง
"อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด จึงต้องพร้อมเลือกตั้ง อายุรัฐบาลอาจจะอยู่สั้นหรือยาวมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรค ปชป. การปลุกกลุ่มเสื้อสีต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจัยเหล่านี้สามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้รุนแรง จนรัฐบาลคุมไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องไม่ประมาท" เสียงสุเทพ-ก้องจากวงสนทนาเจรจาล็อบบี้-โน้มน้าว
เหนือสิ่งอื่นใด "สุเทพ" อ้างอำนาจเหนือ ขอให้ทุกคนก้าวพ้นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสนับสนุนอำนาจ "อภิสิทธิ์"
ทว่าด่าน-กับดักอำนาจที่ขวางทางแก้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่เฉพาะ "สภาล่าง- พรรคร่วม-ฝ่ายค้าน" เท่านั้น หากยังมี เครือข่าย "สภาสูง-วุฒิสมาชิก" ที่เป็น เครือข่ายอำนาจเก่า-ฐานอำนาจพันธมิตร ที่พร้อมจะโหวตสวน "มติ" ของคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 มาตรา
อย่างน้อยสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ครอบครองเสียงสภาล่างไม่น้อยกว่า 183 เสียง รวมกับเสียงของเครือข่ายในสภาสูงอีก ไม่น้อยกว่า 30 เสียง
แม้พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งระบบเขตใหญ่-เขตเล็ก แต่หากต้องเป็นเครื่องมือในการเสวยอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้ประชาธิปัตย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ "ทักษิณและพวก" ไม่ปรารถนา
การประกาศไม่ร่วมเป็นเครื่องมือผ่าตัด-รัฐธรรมนูญ จึงเป็นแนวทางการเมืองของฝ่ายเพื่อไทยและพวก ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้กับศัตรูที่เคยเป็นพันธมิตร
จำนวนมือในสภาผู้แทนราษฎรจึงจำเป็นสำหรับ "ร่าง-รัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ที่ต้องใช้เสียงจำนวน "เกินกึ่งหนึ่ง" ในวาระ 3 หรือปริมาณสุทธิ 310 เสียงขึ้นไป
นับมือของฝ่ายรัฐบาลมีสุทธิ 278 เสียง จาก 7 พรรค
แม้รวมมือของฝ่ายตรงข้ามที่หันมาโหวตล่วงหน้า แปรพักตร์จากฝ่ายค้านไว้อีกจำนวน 7 เสียง
จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-มีเสียงทั้งสิ้น 285 เสียง จึงต้องหวังเสียงจากสมาชิก "สภาสูง" อีกไม่น้อยกว่า 50 เสียง
เงื่อนไขความสำเร็จของการผ่าตัดรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่มีดในมือของ "วุฒิสภา"
หาก "40 ส.ว." ไม่ยอมยกมือรวมกับเครือข่าย "ส.ว.สายทักษิณ" ที่ร่วมหัวกันหดมือ หรืองดออกเสียง ก็ย่อมไม่สามารถผ่าตัดต่อลมหายใจให้รัฐธรรมนูญ 2550 กลายร่างใหม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิก "สภาสูง" เครือข่าย "40 ส.ว." ที่มีแนวโน้ม "คัดค้าน" การแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น ที่เป็นประโยชน์เฉพาะหน้า- เฉพาะนักการเมือง
ประโยชน์ที่พรรคร่วมคาดว่าจะได้รับจากการยกมือ-ออกเสียง ลงแรงในการโหวต 2 มาตรา คือ "ต้นทุน" ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ต่ำลง
หากเลือกตั้งเขตเล็ก หรือแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ย่อมทำให้สามารถคำนวณสูตรต้นทุนต่ำ-กำไรสูงได้ไม่ยาก
ทั้ง 3 พรรคใหญ่ในรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา จึงยกมือเห็นชอบ 2 มาตราตั้งแต่นอกเขตสภาผู้แทนราษฎร
เพราะการอยู่-การไปของนักการเมืองขาใหญ่อย่างบรรหาร ศิลปอาชา และครอบครัว หรือสุวัจน์และลูกน้อง ไม่นับรวมเนวินและเพื่อน ล้วนต้องพึ่งพา เครื่องมือเลือกตั้งแบบ "เขตเล็ก" เท่านั้น
จำนวน ส.ส.ที่จะปรับใหม่ตามแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังเป็น "สภา 500" แต่สัดส่วน-และเขตมีการจัดสรรอำนาจและระบบเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม
อย่างน้อยจำนวน ส.ส.เขตจาก 400 คน ก็จะเหลือเพียง 375 คน และเปลี่ยนระบบเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลับไปใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ประเภทนี้จาก 80 เป็น 125 คน
เขตเลือกตั้ง-ระบบเลือกตั้ง ถามแนวทางของคณะนักกฎหมายอาวุโสที่ ร่วมวงกับ "ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" ให้ความเห็นประกอบไว้ว่า
"จำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.สัดส่วนก็เป็น 375 ลดไป 25 คน"
ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก "หมอผ่าตัด" รอบแรกถกเถียงกันว่า "ส.ส.เขตจะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทนฯต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว"
ในแง่หลักการ-เหตุผล ย่อมฟังขึ้นในธง-ทิศทางที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากวิเคราะห์เรื่องปริมาณ-ตัวเลข-จำนวน และสถิติของ ส.ส.ระหว่างคู่แข่งที่สำคัญระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในนามพลังประชาชนเดิม
แต่หากประชาธิปัตย์พิเคราะห์รวมกันทั้งข้อมูล-สถิติ-กระแสความนิยม-เงื่อนไขทางการเมือง และความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วพบว่าตัวเองอาจเพลี่ยงพล้ำ
มีด-อำนาจที่อยู่ในมือของประชาธิปัตย์อาจไม่ถูกใช้ผ่าตัดรัฐธรรมนูญ แต่อาจนำไปใช้เฉือนคมในเกม "ยุบสภา" แทน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่างน้อยการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปสู่รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายยังต้องลุ้นวาระ "ยุบสภา" จากอำนาจในมือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
อย่างน้อยการออกแบบ "เครื่องมือ" สำหรับการเลือกตั้งด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับทหาร" ก็ต้องอาศัย "มติ" แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นอำนาจนำในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างน้อยการปล่อย-ผ่านอำนาจที่เคยอยู่ในมือ "ประชาธิปัตย์และพวก" ไปสู่ฝ่ายอื่น ก็ต้องมีเครื่องมือ-ฐานอำนาจ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของอำนาจ "ตัวจริง" ก่อนเปลี่ยนผ่าน
มีด-อำนาจเครื่องมือที่อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์จึงมีคมทั้ง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 พรรค
ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนที่อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งบรรดากองทัพ-ทหารและเครือข่ายอำนาจที่มองไม่เห็น
ในการฝ่าพายุการแก้รัฐธรรมนูญ และการเตรียมตัวสำหรับการรับมือมรสุมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสามัญทั่วไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงต้องอาศัยมีดที่มีคมทั้ง 2 คม
ดังนั้นทันทีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 23-24 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ชัย ชิดชอบ และผู้นำฝ่ายบริหาร-สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องชีพจรลงเท้า เดินสายล็อบบี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนใน 2 มาตราหลัก
ทั้งมาตรา 93-98 เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง-เขตการเลือกตั้ง และมาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
แม้ว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ จะเสนอแก้ไขทั่วด้านทั้งหมด 6 มาตรา แต่คณะรัฐมนตรีจาก 7 พรรคก็เลือกมีมติเห็นชอบเพียง 2 มาตราที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม 2 มาตราก็ยังเป็นข้อกังขา-คาใจของเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ "สายใต้" ที่ผนึกรวมระหว่างสาย "ชวน หลีกภัย" และสายของ "บัญญัติ บรรทัดฐาน"
ทำให้สุเทพ-ผู้จัดการรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องทำหน้าที่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกับสมาชิกพรรคตัวเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนั้นยังต้องใช้ต้นทุนต่อยอดกำไรให้กับผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรค ชาติไทยพัฒนา และสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีแห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไม่นับรวมวาระพิเศษกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ยังไม่นับรวมบรรดาเสือ-สิงห์-กระทิง-แรดใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ "สุเทพ" ต้องใช้ต้นทุนไปต่อทุน
เกมกึ่งขู่-กึ่งปลอบจึงถูกส่งสัญญาณไปถึงทุกพรรคทั่วทั้งกระดานการเมือง
"อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด จึงต้องพร้อมเลือกตั้ง อายุรัฐบาลอาจจะอยู่สั้นหรือยาวมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรค ปชป. การปลุกกลุ่มเสื้อสีต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจัยเหล่านี้สามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้รุนแรง จนรัฐบาลคุมไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องไม่ประมาท" เสียงสุเทพ-ก้องจากวงสนทนาเจรจาล็อบบี้-โน้มน้าว
เหนือสิ่งอื่นใด "สุเทพ" อ้างอำนาจเหนือ ขอให้ทุกคนก้าวพ้นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสนับสนุนอำนาจ "อภิสิทธิ์"
ทว่าด่าน-กับดักอำนาจที่ขวางทางแก้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่เฉพาะ "สภาล่าง- พรรคร่วม-ฝ่ายค้าน" เท่านั้น หากยังมี เครือข่าย "สภาสูง-วุฒิสมาชิก" ที่เป็น เครือข่ายอำนาจเก่า-ฐานอำนาจพันธมิตร ที่พร้อมจะโหวตสวน "มติ" ของคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 มาตรา
อย่างน้อยสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ครอบครองเสียงสภาล่างไม่น้อยกว่า 183 เสียง รวมกับเสียงของเครือข่ายในสภาสูงอีก ไม่น้อยกว่า 30 เสียง
แม้พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งระบบเขตใหญ่-เขตเล็ก แต่หากต้องเป็นเครื่องมือในการเสวยอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้ประชาธิปัตย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ "ทักษิณและพวก" ไม่ปรารถนา
การประกาศไม่ร่วมเป็นเครื่องมือผ่าตัด-รัฐธรรมนูญ จึงเป็นแนวทางการเมืองของฝ่ายเพื่อไทยและพวก ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้กับศัตรูที่เคยเป็นพันธมิตร
จำนวนมือในสภาผู้แทนราษฎรจึงจำเป็นสำหรับ "ร่าง-รัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ที่ต้องใช้เสียงจำนวน "เกินกึ่งหนึ่ง" ในวาระ 3 หรือปริมาณสุทธิ 310 เสียงขึ้นไป
นับมือของฝ่ายรัฐบาลมีสุทธิ 278 เสียง จาก 7 พรรค
แม้รวมมือของฝ่ายตรงข้ามที่หันมาโหวตล่วงหน้า แปรพักตร์จากฝ่ายค้านไว้อีกจำนวน 7 เสียง
จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-มีเสียงทั้งสิ้น 285 เสียง จึงต้องหวังเสียงจากสมาชิก "สภาสูง" อีกไม่น้อยกว่า 50 เสียง
เงื่อนไขความสำเร็จของการผ่าตัดรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่มีดในมือของ "วุฒิสภา"
หาก "40 ส.ว." ไม่ยอมยกมือรวมกับเครือข่าย "ส.ว.สายทักษิณ" ที่ร่วมหัวกันหดมือ หรืองดออกเสียง ก็ย่อมไม่สามารถผ่าตัดต่อลมหายใจให้รัฐธรรมนูญ 2550 กลายร่างใหม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิก "สภาสูง" เครือข่าย "40 ส.ว." ที่มีแนวโน้ม "คัดค้าน" การแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น ที่เป็นประโยชน์เฉพาะหน้า- เฉพาะนักการเมือง
ประโยชน์ที่พรรคร่วมคาดว่าจะได้รับจากการยกมือ-ออกเสียง ลงแรงในการโหวต 2 มาตรา คือ "ต้นทุน" ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ต่ำลง
หากเลือกตั้งเขตเล็ก หรือแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ย่อมทำให้สามารถคำนวณสูตรต้นทุนต่ำ-กำไรสูงได้ไม่ยาก
ทั้ง 3 พรรคใหญ่ในรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา จึงยกมือเห็นชอบ 2 มาตราตั้งแต่นอกเขตสภาผู้แทนราษฎร
เพราะการอยู่-การไปของนักการเมืองขาใหญ่อย่างบรรหาร ศิลปอาชา และครอบครัว หรือสุวัจน์และลูกน้อง ไม่นับรวมเนวินและเพื่อน ล้วนต้องพึ่งพา เครื่องมือเลือกตั้งแบบ "เขตเล็ก" เท่านั้น
จำนวน ส.ส.ที่จะปรับใหม่ตามแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังเป็น "สภา 500" แต่สัดส่วน-และเขตมีการจัดสรรอำนาจและระบบเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม
อย่างน้อยจำนวน ส.ส.เขตจาก 400 คน ก็จะเหลือเพียง 375 คน และเปลี่ยนระบบเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลับไปใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ประเภทนี้จาก 80 เป็น 125 คน
เขตเลือกตั้ง-ระบบเลือกตั้ง ถามแนวทางของคณะนักกฎหมายอาวุโสที่ ร่วมวงกับ "ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" ให้ความเห็นประกอบไว้ว่า
"จำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.สัดส่วนก็เป็น 375 ลดไป 25 คน"
ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก "หมอผ่าตัด" รอบแรกถกเถียงกันว่า "ส.ส.เขตจะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทนฯต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว"
ในแง่หลักการ-เหตุผล ย่อมฟังขึ้นในธง-ทิศทางที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากวิเคราะห์เรื่องปริมาณ-ตัวเลข-จำนวน และสถิติของ ส.ส.ระหว่างคู่แข่งที่สำคัญระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในนามพลังประชาชนเดิม
แต่หากประชาธิปัตย์พิเคราะห์รวมกันทั้งข้อมูล-สถิติ-กระแสความนิยม-เงื่อนไขทางการเมือง และความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วพบว่าตัวเองอาจเพลี่ยงพล้ำ
มีด-อำนาจที่อยู่ในมือของประชาธิปัตย์อาจไม่ถูกใช้ผ่าตัดรัฐธรรมนูญ แต่อาจนำไปใช้เฉือนคมในเกม "ยุบสภา" แทน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติทุกท่าน
เรียน เพื่อนนปช.ที่เคารพรักทุกท่าน
บางท่านอาจจะสงสัยว่าเหตุใด ในสัปดาห์นี้ สมาชิกประชาธิปัตย์ถึงได้ออกมาโจมตีข้อความในสมุดปกขาว สี่เดือนหลังจากที่สมุกปกขาวกว่า 50,000 สำเนาถูกเผยแพร่ ดูราวกับว่า ดร.บุรณัชย์ สมุทรักษ์และสมาชิกพรรคคนอื่นออกมากล่าวหาว่าสมุดปกขาวมีข้อความที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทุกวัน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลและจนตรอก
เหตุใดพรรคประชาธิปัตย์ถึงเลือกที่จะโมโหโทโสกับข้อความในสมุดปกขาวที่ถูกเผยแพร่เมื่อสี่เดือนในเวลานี้? สัปดาห์ที่แล้ว สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งในการประชุมดังกล่าว มีการพิจารณาถึงเรื่องการระงับสมาชิกภาพชั่วคราวหรือขับไล่พรรคประชาธิปัตย์ออกจากสหพันธรัฐ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เดินทางไปยังแอฟริกาใต้พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยคำอธิบายที่ซ้ำซาก เข้าข้างตนเอง และไม่มีมูลความจริง ซึ่งเป็นข้อมูลเดียวที่พรรคใช้อธิบายให้คนในประเทศไทยฟังเมื่อ 6เดือนที่ผ่านมา โดยปกติแล้ว มาตรฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนของสมาชิกสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมนั้นไม่ใช่มาตรฐานสิทธิมนุษยชน “แบบไทยๆ” ดังนั้นจึงมีความเป็นได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจจะไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างที่ได้คาดหวังเอาไว้ในแอฟริกาใต้ และการตอบโต้เรื่องสมุดปกขาวหลังจากเลยมาสี่เดือนแล้ว อาจเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ถูกสมาชิกสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยมประณามเรื่องการทำลายระบอบประชาธิปัตย์ในประเทศไทยลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี
นอกจากจะโมโหเพราะพรรคถูกทำให้อับอายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือ การที่พรรคประชาธิปัตย์เสียหน้าในเวทีโลกเป็นภัยอย่างยิ่งต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่เรารู้ดีว่า สาเหตุที่อภิสิทธิ์ถูกกลุ่มอำมาตย์เลือกให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เพราะว่าอภิสิทธิ์ดูสุขุมนุ่มนวล ทันสมัย และเป็นผู้ดี ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวเป็นเกราะกำบังภัยกลุ่มอำมาตย์ได้เป็นอย่างดี และในเวลานี้ มีสัญญาณจากประชาคมโลกที่ชัดเจนว่า ความมีประสิทธิภาพในการใช้นายอภิสิทธิ์บังหน้านั้นกำลังเสื่อมลง โดยในวันนี้ มีรายงานข่าวว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายเดวิด คาเมรอน ยกเลิกแผนการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงวันหยุดคริสต์มาส โดยส่วนหนึ่งเพราะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลของนายคาเมรอนนั้นเป็นรัฐบาลผสม โดยมีพรรคเสรีประชาธิปไตยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นสมาชิกของสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม
นายอภิสิทธิ์รู้ดีว่าเมื่อใดที่เปลือกของเขาถูกเปิดเผย ชะตากรรมของเขาจะไม่ต่างจากผู้นำคนก่อน กลุ่มอำมาตย์จะกำจัดนายอภิสิทธิ์อย่างไม่เป็นไปตามระบบเหมือนอย่างที่ทำกับผู้นำคนก่อนหน้าเขา ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิธียุบพรรค ยุบสภา ใช้บริการกลุ่มพันธมิตร ทำรัฐประหาร และการโยนนายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับกลุ่มอำมาตย์
ยิ่งประชาคมโลกรับรู้ถึงพฤติกรรมอันน่าตกใจของพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นเท่าไร พรรคประชาธิปัตย์ก็จะใช้ชาติ วัฒนธรรม และสถาบันมาเป็นข้ออ้าง ข้อกล่าวหาที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้โจมตีเรา เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการปกป้องระบอบกษัตริย์ เพราะบทความหรือเอกสารของเราไม่มีข้อความที่วิจารณ์หรือทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป้าหมายที่แท้จริงของพรรคเป็นไปเพื่อจะปิดปากประชาชนไม่ให้วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ด้วยความชอบธรรม ในกรณีเรื่องการดำเนินนโยบายและการกระทำที่ผิดกฎหมายของพรรค ในอดีต ผู้คนมักจะกินยาอายุวัฒนะเพื่อความเป็นอมตะ แต่ปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแทนยาอายุวัฒนะ เพื่อหวังจะใช้เป็นเกราะป้องกันตนเองจากสิ่งต่างๆที่พรรคคิดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางอำนาจของตนเอง
ความรู้สึกที่ประชาชนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ การที่พรรคต้องการรักษาอำนาจตนเองในรัฐบาล โดยพยายามอ้างถึงการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการบิดเบือนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มีมูล และยุทธศาสตร์ที่เลวร้ายนี้แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์และพวกพ้องสามารถสละได้ทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาอำนาจ การยอมสละความจริง ระบอบประชาธิปไตย และชีวิตของประชาชนกว่า 80คน เพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเอง เราคงจะอดสงสัยไม่ได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทำอะไรต่อไป
ด้วยความนับถือ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เปิดจะๆ เงินสินบนรางวัลนำจับกรมศุลฯ10ปีทะลักหมื่นล้าน จนท.รวยอื้อซ่า!
คนกรมศุลฯ-สายสืบรวยอื้อ เปิดตัวเลขสินบนและรางวัลนำจับ 10 ปี ศุลกากรจ่ายให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่กว่า 10,000 ล้านบาท แต่เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท เผยเฉพาะคดีเหล็กฉาบสารซิลิคอนถูกปรับ 3,000 ล้านบาท สายสืบเจ้าหน้าที่ฟันไป 1,650 ล้านบาท
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมศุลกากรถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหน่วยงานที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ในขณะที่บทบาทและภารกิจใหม่ของกรมศุลกากรตามนโยบายของรัฐบาลจะเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย จึงต้องปฏิรูปงานภายในกรมศุลกากรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายกรมศุลกากร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกรมศุลกากร กำหนดโทษปรับหลายอัตรา ตั้งแต่ 0.5-4 เท่าของมูลค่าสินค้าและอากรส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ โดยให้ศาลภาษีอากรเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่จะต้องถูกปรับ 4 เท่าสถานเดียว และล่าสุดกรมศุลกากรได้ผลักดันร่างกฎหมายเฟสแรกเข้าสู่ที่ประชุมสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 จะเน้นเรื่องการปรับลดเงินสินบน และรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่และสายสืบ ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ที่เน้นเรื่องการอำนวยความสะดวก ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้นำร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 ส่งให้กระทรวงการคลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป โดยจะมีการกำหนดเพดานในการจ่ายเงินสินบนนำจับให้กับสายสืบสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกรณี ส่วนรางวัลนำจับที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี ทั้งนี้เพื่อลดแรงจูงใจเจ้าหน้าที่
สำหรับสายสืบที่แจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมและดำเนินคดีจนเป็นที่สิ้นสุดจะได้รับเงินสินบน 30% ของค่าปรับไม่เกิน 4 เท่า ส่วนเงินรางวัลจะเป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าทำการจับกุมจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งอีก 25% ของค่าปรับเช่นกัน บางกรณีอาจจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่สูงถึง 100-1,000 ล้านบาทต่อราย
"ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการกำหนดเพดานสูงสุดในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ แต่ถ้าร่างแก้ไขกฎหมายเฟสที่ 2 ออกจากที่ประชุมสภาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะถูกปรับเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ก็จะจ่ายเงินสินบนให้กับสายสืบได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท มีสายสืบเป็นสิบ ๆ คน ก็ไปแบ่งกันเอง ส่วนเงินค่าปรับที่กรมศุลกากรได้รับจากผู้ประกอบการส่วนที่เหลือต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด เงินรางวัลที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 5 ล้านบาท เงินค่าปรับส่วนที่เหลือส่งเข้าหลวงทั้งหมด" นายประสงค์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการแก้ไขเพดานจ่ายเงินสินบนไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อกรณี และการจ่ายเงินรางวัลไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี มีที่มาอย่างไร และเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะต่อต้านหรือไม่ นายประสงค์กล่าวว่า นโยบายกรมศุลกากรที่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่คือขณะนี้ภาพลักษณ์กรมศุลกากรติดลบ ต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ใหม่ให้กลับคืนมาได้อย่างไร ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงเสนอให้กำหนดเพดานการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับไว้ที่ 5-10 ล้านบาทต่อกรณีด้วย ไม่ใช่ต่อราย และเงินที่เหลือต้องส่งเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ต้องขอแบ่งมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อสวัสดิการข้าราชการกรมศุลกากร
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวต่อไปอีกว่า การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับยังมีความจำเป็นอยู่ หลักการของระบบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับคือ จูงใจให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามเงินภาษีอากรของรัฐที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา บางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องลงทุนจ้างสายสืบ มีต้นทุน เมื่อจับได้แล้วก็ได้รับส่วนแบ่งเป็นรางวัล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จับกุมแล้วจะได้รับเงินสินบนหรือรางวัลนำจับกันทุกคดี อย่างเช่น ผู้นำเข้าสำแดงว่านำเข้าสินค้ามา 5 ชิ้น พอเจ้าหน้าที่เปิดตู้ตรวจพบว่ามี 10 ชิ้น กรณีนี้จะต้องถูกปรับแล้วเอาเงินเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ได้รับสินบน ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งจะตรวจหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่ได้ ต้องสุ่มตรวจ 3% เพราะฉะนั้นรายที่หลุดรอดออกไปได้ แล้วเจ้าหน้าที่ไปติดตามเอาเงินภาษีกลับคืนมา กรณีนี้ถึงจะได้รับเงินสินบนรางวัล อย่างกรณีจับยาเสพติด, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์, ไม้พะยูง กรณีอย่างนี้จับแล้วไม่ได้รับเงินสินบน แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ในแต่ละปีมีคดีที่กรมศุลกากรจับแล้วไม่ได้เงินสินบนรางวัลปีละกว่า 1,000 คดี
ผู้สื่อข่าวใช้ พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของข้าราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อขอข้อมูลสถิติการจ่ายเงินสินบนนำจับย้อนหลัง 10 ปี และการจ่ายสินบนรางวัลให้อธิบดีกรมศุลกากรแต่ละคน/ปีเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารฯในกรมศุลกากร เปิดเผยข้อมูลเฉพาะการจ่ายเงินสินบนและรางวัลรวมของแต่ละปีเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ใดเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ทางกรมศุลกากรระบุว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ โดย 10 ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจ่ายเงินสินบนรางวัลไปกว่า 10,000 ล้านบาท จริง ๆ เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางสภาอุตฯได้มีการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อลดแรงจูงใจของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปไล่ตรวจจับเพื่อหวังได้รับเงินสินบนรางวัล และเห็นด้วยว่ากรมศุลกากรยังจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินสินบนรางวัลนำจับอยู่ แต่ไม่ควรจะได้รับกันเป็นจำนวนมากเหมือนในอดีต ยกตัวอย่าง คดีเหล็กฉาบสารซิลิคอน 7 ราย ยอมจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 3,000 ล้านบาท สายสืบและเจ้าหน้าที่ได้รับเงินสินบน 30% และรางวัลนำจับอีก 25% รวมแล้ว 1,650 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่ถูกปรับทั้ง 7 บริษัท นำค่าปรับไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย 3,000 ล้านบาท สามารถลดหย่อนหรือประหยัดค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรได้อีก 900 ล้านบาท เมื่อนำเงินที่ต้องจ่ายค่าสินบนรางวัลไปรวมกับเงินบริษัทที่ถูกปรับไปหักเป็นค่าใช้จ่าย จริง ๆ แล้วรัฐได้เงินแค่ 450 ล้านบาท หรือ 15% เท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่และสายสืบได้เงินไป 1,650 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะได้รับการยกเว้น ส่วนสายสืบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร มีแต่ลายนิ้วมือเท่านั้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมศุลกากรถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหน่วยงานที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ในขณะที่บทบาทและภารกิจใหม่ของกรมศุลกากรตามนโยบายของรัฐบาลจะเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย จึงต้องปฏิรูปงานภายในกรมศุลกากรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายกรมศุลกากร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกรมศุลกากร กำหนดโทษปรับหลายอัตรา ตั้งแต่ 0.5-4 เท่าของมูลค่าสินค้าและอากรส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ โดยให้ศาลภาษีอากรเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่จะต้องถูกปรับ 4 เท่าสถานเดียว และล่าสุดกรมศุลกากรได้ผลักดันร่างกฎหมายเฟสแรกเข้าสู่ที่ประชุมสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 จะเน้นเรื่องการปรับลดเงินสินบน และรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่และสายสืบ ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ที่เน้นเรื่องการอำนวยความสะดวก ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้นำร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากร เฟสที่ 2 ส่งให้กระทรวงการคลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป โดยจะมีการกำหนดเพดานในการจ่ายเงินสินบนนำจับให้กับสายสืบสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกรณี ส่วนรางวัลนำจับที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี ทั้งนี้เพื่อลดแรงจูงใจเจ้าหน้าที่
สำหรับสายสืบที่แจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมและดำเนินคดีจนเป็นที่สิ้นสุดจะได้รับเงินสินบน 30% ของค่าปรับไม่เกิน 4 เท่า ส่วนเงินรางวัลจะเป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าทำการจับกุมจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งอีก 25% ของค่าปรับเช่นกัน บางกรณีอาจจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับสายสืบและเจ้าหน้าที่สูงถึง 100-1,000 ล้านบาทต่อราย
"ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการกำหนดเพดานสูงสุดในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ แต่ถ้าร่างแก้ไขกฎหมายเฟสที่ 2 ออกจากที่ประชุมสภาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะถูกปรับเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ก็จะจ่ายเงินสินบนให้กับสายสืบได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท มีสายสืบเป็นสิบ ๆ คน ก็ไปแบ่งกันเอง ส่วนเงินค่าปรับที่กรมศุลกากรได้รับจากผู้ประกอบการส่วนที่เหลือต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด เงินรางวัลที่จะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 5 ล้านบาท เงินค่าปรับส่วนที่เหลือส่งเข้าหลวงทั้งหมด" นายประสงค์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการแก้ไขเพดานจ่ายเงินสินบนไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อกรณี และการจ่ายเงินรางวัลไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อกรณี มีที่มาอย่างไร และเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะต่อต้านหรือไม่ นายประสงค์กล่าวว่า นโยบายกรมศุลกากรที่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่คือขณะนี้ภาพลักษณ์กรมศุลกากรติดลบ ต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ใหม่ให้กลับคืนมาได้อย่างไร ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงเสนอให้กำหนดเพดานการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับไว้ที่ 5-10 ล้านบาทต่อกรณีด้วย ไม่ใช่ต่อราย และเงินที่เหลือต้องส่งเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ต้องขอแบ่งมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อสวัสดิการข้าราชการกรมศุลกากร
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวต่อไปอีกว่า การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับยังมีความจำเป็นอยู่ หลักการของระบบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับคือ จูงใจให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามเงินภาษีอากรของรัฐที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา บางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องลงทุนจ้างสายสืบ มีต้นทุน เมื่อจับได้แล้วก็ได้รับส่วนแบ่งเป็นรางวัล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จับกุมแล้วจะได้รับเงินสินบนหรือรางวัลนำจับกันทุกคดี อย่างเช่น ผู้นำเข้าสำแดงว่านำเข้าสินค้ามา 5 ชิ้น พอเจ้าหน้าที่เปิดตู้ตรวจพบว่ามี 10 ชิ้น กรณีนี้จะต้องถูกปรับแล้วเอาเงินเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ได้รับสินบน ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งจะตรวจหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่ได้ ต้องสุ่มตรวจ 3% เพราะฉะนั้นรายที่หลุดรอดออกไปได้ แล้วเจ้าหน้าที่ไปติดตามเอาเงินภาษีกลับคืนมา กรณีนี้ถึงจะได้รับเงินสินบนรางวัล อย่างกรณีจับยาเสพติด, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์, ไม้พะยูง กรณีอย่างนี้จับแล้วไม่ได้รับเงินสินบน แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ในแต่ละปีมีคดีที่กรมศุลกากรจับแล้วไม่ได้เงินสินบนรางวัลปีละกว่า 1,000 คดี
ผู้สื่อข่าวใช้ พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของข้าราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อขอข้อมูลสถิติการจ่ายเงินสินบนนำจับย้อนหลัง 10 ปี และการจ่ายสินบนรางวัลให้อธิบดีกรมศุลกากรแต่ละคน/ปีเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารฯในกรมศุลกากร เปิดเผยข้อมูลเฉพาะการจ่ายเงินสินบนและรางวัลรวมของแต่ละปีเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ใดเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ทางกรมศุลกากรระบุว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ โดย 10 ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจ่ายเงินสินบนรางวัลไปกว่า 10,000 ล้านบาท จริง ๆ เงินเข้ารัฐแค่ 1,500 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางสภาอุตฯได้มีการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อลดแรงจูงใจของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปไล่ตรวจจับเพื่อหวังได้รับเงินสินบนรางวัล และเห็นด้วยว่ากรมศุลกากรยังจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินสินบนรางวัลนำจับอยู่ แต่ไม่ควรจะได้รับกันเป็นจำนวนมากเหมือนในอดีต ยกตัวอย่าง คดีเหล็กฉาบสารซิลิคอน 7 ราย ยอมจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 3,000 ล้านบาท สายสืบและเจ้าหน้าที่ได้รับเงินสินบน 30% และรางวัลนำจับอีก 25% รวมแล้ว 1,650 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่ถูกปรับทั้ง 7 บริษัท นำค่าปรับไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย 3,000 ล้านบาท สามารถลดหย่อนหรือประหยัดค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรได้อีก 900 ล้านบาท เมื่อนำเงินที่ต้องจ่ายค่าสินบนรางวัลไปรวมกับเงินบริษัทที่ถูกปรับไปหักเป็นค่าใช้จ่าย จริง ๆ แล้วรัฐได้เงินแค่ 450 ล้านบาท หรือ 15% เท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่และสายสืบได้เงินไป 1,650 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะได้รับการยกเว้น ส่วนสายสืบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร มีแต่ลายนิ้วมือเท่านั้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ลดกระหน่ำตายฟรี เจ็บฟรี ขังฟรี! อภินันทนาการจาก ศอฉ. ดีเอสไอ และรัฐบาลเทพประทาน
“ในกรณีที่ตำรวจทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว และมีกรณีใดต้องนำไปสู่การไต่สวนโดยศาล หากได้ข้อยุติว่าการเสียชีวิตรายใดเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่แล้ว คดีจะถูกส่งกลับมาที่ดีเอสไอตามกฎหมาย และหากพบว่าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ป้องกันโดยสมควรแก่เหตุ หรือเหตุอื่นใดที่อ้างได้ตามกฎหมาย จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด แต่ไม่ตัดสิทธิตามกฎหมายที่ทายาทของผู้ตายจะเรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีที่เหลือทั้งหมดดีเอสไอจะเร่งสรุปและแถลงให้ทราบเป็นรายสัปดาห์จนกว่าจะครบ 89 ศพ ให้หมดภายในเดือนนี้”
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสืบสวนคดีผู้เสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชนจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับ พ.ต.อ.
ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 89 ศพ เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับไว้ 254 คดี และฟ้องศาลไปแล้ว 54 คดี แยกเป็น 4 ฐานความผิดคือ ก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการกระทำต่ออาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการและวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกล่าวหาคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่าคดีคนร้ายยิงอาวุธเอ็ม 79 และคดีดักซุ่มยิงตามสถานที่ต่างๆที่มีผู้เสียชีวิต 12 รายนั้นเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
“เสื้อแดง” ฆ่า “ร่มเกล้า”
เช่นดียวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า
ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ พลทหารสิงหา อ่อนทรง และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. และกลุ่มเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันให้การสนับสนุน คือนักรบดำ
ส่วนการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯที่มีทั้งพยานบุคคลและภาพปรากฏชัดเจนนั้น ดีเอสไอยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง แต่ยังแทงกั๊กว่าการเสียชีวิตมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับทหาร จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องนำคดีกลับมาที่ดีเอสไออีกครั้ง หากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดูว่าปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพอที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าไม่ว่าผลจะสรุปออกมาอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐก็แทบไม่มีโอกาสผิด เพราะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด
มือถือสาก ปากถือศีล
การแถลงของดีเอสไอจึงสอดคล้องกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า “เสื้อแดงฆ่ากันเอง” เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันเสียงแข็งเหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและประธานศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังโยนความผิดให้ “กลุ่มโรนิน” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริงและมีหลักฐานมายืนยัน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอแถลงผลการสอบสวนส่วนหนึ่งแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ พล.อ.อนุพงษ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร หรือจะเลี่ยงบาลีว่าเป็นการปฏิบัติโดยชอบตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่นายอภิสิทธิ์สั่ง
“จตุพร” แฉทหารยิง “ร่มเกล้า”
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้แถลงโต้ผลสอบสวนของดีเอสไอที่แยกการเสียชีวิต 89 ศพเป็น 3 กลุ่ม แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้าที่ระบุว่าอาจเกิดจากกลุ่มโรนินหรือนักรบดำนั้น นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานบุคคลเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบอกว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงจากแถว 3 ของกลุ่มทหาร เป็นการยิงแนวราบ ซึ่งเป็นจังหวะที่ พ.อ.ร่มเกล้าลุกขึ้นยืนพอดี ไม่ได้ยิงจากมุมสูงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งคนเสื้อแดงคนนี้เข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงจนเป็นอัมพฤกษ์ และยังเห็นทหารจากแถว 3 เข้ามายิง พ.อ.ร่มเกล้าซ้ำอีก อยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้ดีเอสไอได้สอบสวนหรือไม่ และยังทราบเบื้องหลังว่าก่อนที่ดีเอสไอจะออกมาแถลงมีหลายคนไปล็อบบี้แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัด เวลานี้หลายคนในรัฐบาลและกองทัพก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข
นายจตุพรยังกล่าวถึงการสรุปสำนวนว่าการเสีย ชีวิตของประชาชนและสื่อต่างประเทศอาจเกิดจากการกระชับพื้นที่ของทหาร ถือเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติการของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนหรือยุติการสอบสวนได้ ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าการขอเวลาสอบสวนสาเหตุผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 45 วันของนายธาริตนั้นเป็นเพียงการต้มคนไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในเมื่อดีเอสไอยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพได้ เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ตั้งแต่ดีเอสไอส่งฟ้องไปเป็นการฟ้องเท็จ อัยการสูงสุดที่ยื่นฟ้องต่อศาลก็เท่ากับว่าเอาสำนวนเท็จไปฟ้องเท็จต่อศาล จึงถือว่าทั้ง 2 หน่วยงานมีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา
“ผมจะรอให้ดีเอสไอแถลง หากแถลงตามสำนวนที่ได้ตามข่าวมาเมื่อไรจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตและอัยการสูงสุด ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะได้รู้กันว่าดีเอสไอกับอัยการสูงสุดจะติดคุกได้หรือไม่ หากนายธาริตจะแถลงขอให้แถลงด้วยว่าทั้งนายธาริตและ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายการทำคดีคนเสื้อแดงไปกี่ ร้อยล้าน แล้วตัวนายธาริตเบิกกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง พวกผมรู้หมด ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกในดีเอสไอ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากบอก จะรอให้นายธาริตสารภาพเอง เหมือนตอนเรื่องหมอนวดหมายเลข 161”
นปช. ฟ้อง “อภิสิทธิ์-ศอฉ.”
เช่นเดียวกับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. รวม 14 คนในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ นปช. ได้ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ มีรายละเอียดเหตุการณ์และหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคำให้การของพยานบุคคลจำนวนมาก โดยระบุว่ามีการใช้กำลังทหาร อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีคำให้การของพยานหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เช่น พยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
พยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่า โดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุยขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
พยานปากที่ 19 ระบุว่า โดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด
พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่า เห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์
ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริเวณสวนลุมพินี
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมทั้งภาพถ่ายศพ “น้องเกด-กมนเกด อัคฮาด” อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯพร้อมคนอื่นๆ 6 ศพ ที่มีภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนารามฯ
ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอแล้วหลบหนีไป
เอกสารของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ
“หุ่นน้องเกด” ตั้งวัดปทุมฯ
โดยเฉพาะการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ ได้ทำบุญและจัดกิจกรรมรำลึกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวคนฆ่าและคนสั่งการ นอกจากนี้ครอบครัวยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดสูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิต
ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายน้องเกด จะเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด และแกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ร่วมจูง “แพะ” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนด้วย
คอป. จี้ปล่อยคนเสื้อแดง
ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้ตัดสินใจปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง แต่นายอภิสิทธิ์กลับโยนอำนาจการตัดสินใจนี้ไปให้กระทรวงยุติธรรมและเป็นอำนาจของศาล ทั้งอ้างว่าเมื่อตัดสินใจอย่างไรต้องมีคำตอบให้กับสังคม เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนมากและต้องใช้เวลาพอสมควร
“นายคณิตระบุตั้งแต่ต้นว่าหลายเรื่องไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่เป็นเหมือนกระแสหรือความรู้สึก ถ้าเราเพิกเฉยทั้งหมดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องรับฟังตรงนี้แล้วมาดู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อเท็จจริง จึงต้องตรวจสอบว่าคนที่ถูกคุมขังมีเจตนาอย่างไร และเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมามีกรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวออกมาก็ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย สมมุติว่าศาลให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ชั่วคราวก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แต่รัฐจะดูว่าควรเริ่มช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังที่มีความผิดเล็กน้อย และมองแล้วว่าเขาไม่น่าจะเป็นปัญหาหลังจากออกมา แต่ถ้าใครที่ออกมาแล้วจะเป็นปัญหา ศาลไม่น่าจะปล่อยตัวอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่เป็นแกนนำและมีความผิดสูงคงจะยิ่งยาก”
ทวงบุญคุณแทนขอโทษ
คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองเลย แต่ใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพตลอดเวลาว่าเป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างกรณีรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ชื่นชมรัฐบาลทหารพม่าว่าเป็นเรื่องที่ดีและนำไปสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ และเป็นก้าวสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่กลับไม่ละอายตัวเองที่ถูกประณามจากประชาคมโลกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังคุมขังคนเสื้อแดงหลายร้อยคนโดยไม่มีความผิด จนประเทศไทยถูกจัดอันดับใกล้เคียงกับประเทศพม่าไปแล้วอีกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ได้หาทางช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 180 คน และสามารถประกันได้เพียง 3 คนนั้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้เอามาโฆษณาชวนเชื่อทันทีว่าเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีความพยายามสร้างความปรองดอง
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจัดฉากสร้างภาพด้วยการนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัว 2 รายมาที่ทำเนียบรัฐบาลคือ นายสมหมาย อินทนาคา อายุ 32 ปี และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ อายุ 24 ปี โดยอ้างว่าเพื่อต้องการขอความร่วมมือ เมื่อได้รับการประกันตัวจากกองทุนของรัฐแล้วขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกคุมขังอีก และศาลมีแนวโน้มจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวรายอื่นๆ ทั้งที่คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังฟรีถึง 6 เดือนล้วนเป็นเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย โดยนายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ช่วงเดินทางกลับผ่านสวนลุม ไนท์บาซาร์ เจอด่านทหารและถูกจับกุมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ซึ่งนายสมหมายพยายามขอประกันตัวด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ หลังจากศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง ไม่ได้เกี่ยวกับ “บุญคุณ” หรือความช่วยเหลือของนายอภิสิทธิ์เลย
นอกจากนี้นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของรัฐบาลว่า เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมากลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมนตรีอีก
เหยื่อ 2 รายจึงเหมือนตกนรกซ้ำซาก เพราะไม่เพียงถูกขังคุกฟรีแล้ว ยังถูกทวงบุญคุณและต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงอีกนับร้อยคนที่ตกเป็นผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่น่าเศร้าใจคือ ในจำนวนนั้นมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม ซึ่งนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ได้ไปพูดคุยถึงในคุก ซึ่งนักศึกษาทั้ง 3 คนยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง และไม่ได้ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่กลับโดนจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด
ตายฟรี-ขังฟรี-เจ็บฟรี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของ คอป. แต่พยายามอ้างเรื่องนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งที่ใช้ พร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการที่ใช้ข่มขู่และไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้ อย่างที่ ศอฉ. ประกาศห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แต่กลับเพิกเฉยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายคณิตได้แนะนำการเริ่มต้นง่ายๆว่า หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จะต้องกล่าวคำ “ขอโทษ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดและดำเนินการเอง แต่จนวันนี้คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยออกจากปากนายอภิสิทธิ์หรือผู้นำกองทัพเลย ตรงข้ามกลับพยายามสร้างความชอบธรรมและบิดเบือนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า
ผลสรุปของดีเอสไอจึงสรุปว่า “ไม่สรุป” เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นๆคือการพยายาม “ซื้อเวลา” เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้นานที่สุด และให้ประชาชนลืมเลือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ โดย “คนเสื้อแดง” คือ “คนพิเศษ” ที่ได้รับอภินันทนาการจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งกว่า “ลด แลก แจก แถม” ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ... “ตายฟรี ขังฟรี และเจ็บฟรี”
สังคมไทยวันนี้ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่แสงไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน
ตราบใดที่ “คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล” อย่าหวังว่าจะได้เห็นความสงบสุข สามัคคีปรองดองในชาตินี้!
โชคดีที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯตั้งแต่อายุ 46 ปี
เวรกรรมจริงๆ ประเทศไทย!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสืบสวนคดีผู้เสียชีวิตของทหาร ตำรวจ และประชาชนจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับ พ.ต.อ.
ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 89 ศพ เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับไว้ 254 คดี และฟ้องศาลไปแล้ว 54 คดี แยกเป็น 4 ฐานความผิดคือ ก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการกระทำต่ออาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการและวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกล่าวหาคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่าคดีคนร้ายยิงอาวุธเอ็ม 79 และคดีดักซุ่มยิงตามสถานที่ต่างๆที่มีผู้เสียชีวิต 12 รายนั้นเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
“เสื้อแดง” ฆ่า “ร่มเกล้า”
เช่นดียวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า
ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ พลทหารสิงหา อ่อนทรง และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. และกลุ่มเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันให้การสนับสนุน คือนักรบดำ
ส่วนการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯที่มีทั้งพยานบุคคลและภาพปรากฏชัดเจนนั้น ดีเอสไอยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง แต่ยังแทงกั๊กว่าการเสียชีวิตมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับทหาร จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องนำคดีกลับมาที่ดีเอสไออีกครั้ง หากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดูว่าปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพอที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าไม่ว่าผลจะสรุปออกมาอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐก็แทบไม่มีโอกาสผิด เพราะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด
มือถือสาก ปากถือศีล
การแถลงของดีเอสไอจึงสอดคล้องกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า “เสื้อแดงฆ่ากันเอง” เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันเสียงแข็งเหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและประธานศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังโยนความผิดให้ “กลุ่มโรนิน” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริงและมีหลักฐานมายืนยัน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอแถลงผลการสอบสวนส่วนหนึ่งแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ พล.อ.อนุพงษ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร หรือจะเลี่ยงบาลีว่าเป็นการปฏิบัติโดยชอบตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่นายอภิสิทธิ์สั่ง
“จตุพร” แฉทหารยิง “ร่มเกล้า”
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้แถลงโต้ผลสอบสวนของดีเอสไอที่แยกการเสียชีวิต 89 ศพเป็น 3 กลุ่ม แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้าที่ระบุว่าอาจเกิดจากกลุ่มโรนินหรือนักรบดำนั้น นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานบุคคลเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบอกว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงจากแถว 3 ของกลุ่มทหาร เป็นการยิงแนวราบ ซึ่งเป็นจังหวะที่ พ.อ.ร่มเกล้าลุกขึ้นยืนพอดี ไม่ได้ยิงจากมุมสูงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งคนเสื้อแดงคนนี้เข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงจนเป็นอัมพฤกษ์ และยังเห็นทหารจากแถว 3 เข้ามายิง พ.อ.ร่มเกล้าซ้ำอีก อยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้ดีเอสไอได้สอบสวนหรือไม่ และยังทราบเบื้องหลังว่าก่อนที่ดีเอสไอจะออกมาแถลงมีหลายคนไปล็อบบี้แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัด เวลานี้หลายคนในรัฐบาลและกองทัพก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข
นายจตุพรยังกล่าวถึงการสรุปสำนวนว่าการเสีย ชีวิตของประชาชนและสื่อต่างประเทศอาจเกิดจากการกระชับพื้นที่ของทหาร ถือเป็นการยอมรับว่าการปฏิบัติการของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนหรือยุติการสอบสวนได้ ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าการขอเวลาสอบสวนสาเหตุผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 45 วันของนายธาริตนั้นเป็นเพียงการต้มคนไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในเมื่อดีเอสไอยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพได้ เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ตั้งแต่ดีเอสไอส่งฟ้องไปเป็นการฟ้องเท็จ อัยการสูงสุดที่ยื่นฟ้องต่อศาลก็เท่ากับว่าเอาสำนวนเท็จไปฟ้องเท็จต่อศาล จึงถือว่าทั้ง 2 หน่วยงานมีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา
“ผมจะรอให้ดีเอสไอแถลง หากแถลงตามสำนวนที่ได้ตามข่าวมาเมื่อไรจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตและอัยการสูงสุด ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะได้รู้กันว่าดีเอสไอกับอัยการสูงสุดจะติดคุกได้หรือไม่ หากนายธาริตจะแถลงขอให้แถลงด้วยว่าทั้งนายธาริตและ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายการทำคดีคนเสื้อแดงไปกี่ ร้อยล้าน แล้วตัวนายธาริตเบิกกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง พวกผมรู้หมด ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกในดีเอสไอ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากบอก จะรอให้นายธาริตสารภาพเอง เหมือนตอนเรื่องหมอนวดหมายเลข 161”
นปช. ฟ้อง “อภิสิทธิ์-ศอฉ.”
เช่นเดียวกับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. รวม 14 คนในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ นปช. ได้ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ มีรายละเอียดเหตุการณ์และหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคำให้การของพยานบุคคลจำนวนมาก โดยระบุว่ามีการใช้กำลังทหาร อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีคำให้การของพยานหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เช่น พยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
พยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่า โดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุยขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
พยานปากที่ 19 ระบุว่า โดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด
พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่า เห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์
ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริเวณสวนลุมพินี
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมทั้งภาพถ่ายศพ “น้องเกด-กมนเกด อัคฮาด” อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯพร้อมคนอื่นๆ 6 ศพ ที่มีภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนารามฯ
ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอแล้วหลบหนีไป
เอกสารของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ
“หุ่นน้องเกด” ตั้งวัดปทุมฯ
โดยเฉพาะการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ ได้ทำบุญและจัดกิจกรรมรำลึกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวคนฆ่าและคนสั่งการ นอกจากนี้ครอบครัวยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดสูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิต
ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายน้องเกด จะเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด และแกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ร่วมจูง “แพะ” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนด้วย
คอป. จี้ปล่อยคนเสื้อแดง
ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน สรุปข้อเสนอแนะ 5 ข้อเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้ตัดสินใจปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง แต่นายอภิสิทธิ์กลับโยนอำนาจการตัดสินใจนี้ไปให้กระทรวงยุติธรรมและเป็นอำนาจของศาล ทั้งอ้างว่าเมื่อตัดสินใจอย่างไรต้องมีคำตอบให้กับสังคม เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนมากและต้องใช้เวลาพอสมควร
“นายคณิตระบุตั้งแต่ต้นว่าหลายเรื่องไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่เป็นเหมือนกระแสหรือความรู้สึก ถ้าเราเพิกเฉยทั้งหมดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องรับฟังตรงนี้แล้วมาดู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อเท็จจริง จึงต้องตรวจสอบว่าคนที่ถูกคุมขังมีเจตนาอย่างไร และเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมามีกรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวออกมาก็ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย สมมุติว่าศาลให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ชั่วคราวก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แต่รัฐจะดูว่าควรเริ่มช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังที่มีความผิดเล็กน้อย และมองแล้วว่าเขาไม่น่าจะเป็นปัญหาหลังจากออกมา แต่ถ้าใครที่ออกมาแล้วจะเป็นปัญหา ศาลไม่น่าจะปล่อยตัวอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่เป็นแกนนำและมีความผิดสูงคงจะยิ่งยาก”
ทวงบุญคุณแทนขอโทษ
คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองเลย แต่ใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพตลอดเวลาว่าเป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างกรณีรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ชื่นชมรัฐบาลทหารพม่าว่าเป็นเรื่องที่ดีและนำไปสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ และเป็นก้าวสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่กลับไม่ละอายตัวเองที่ถูกประณามจากประชาคมโลกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังคุมขังคนเสื้อแดงหลายร้อยคนโดยไม่มีความผิด จนประเทศไทยถูกจัดอันดับใกล้เคียงกับประเทศพม่าไปแล้วอีกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ได้หาทางช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 180 คน และสามารถประกันได้เพียง 3 คนนั้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้เอามาโฆษณาชวนเชื่อทันทีว่าเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีความพยายามสร้างความปรองดอง
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจัดฉากสร้างภาพด้วยการนำคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัว 2 รายมาที่ทำเนียบรัฐบาลคือ นายสมหมาย อินทนาคา อายุ 32 ปี และนายบุญยฤทธิ์ โสดาคำ อายุ 24 ปี โดยอ้างว่าเพื่อต้องการขอความร่วมมือ เมื่อได้รับการประกันตัวจากกองทุนของรัฐแล้วขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัวอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกคุมขังอีก และศาลมีแนวโน้มจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวรายอื่นๆ ทั้งที่คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังฟรีถึง 6 เดือนล้วนเป็นเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย โดยนายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ช่วงเดินทางกลับผ่านสวนลุม ไนท์บาซาร์ เจอด่านทหารและถูกจับกุมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ซึ่งนายสมหมายพยายามขอประกันตัวด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ หลังจากศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง ไม่ได้เกี่ยวกับ “บุญคุณ” หรือความช่วยเหลือของนายอภิสิทธิ์เลย
นอกจากนี้นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของรัฐบาลว่า เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมากลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมนตรีอีก
เหยื่อ 2 รายจึงเหมือนตกนรกซ้ำซาก เพราะไม่เพียงถูกขังคุกฟรีแล้ว ยังถูกทวงบุญคุณและต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงอีกนับร้อยคนที่ตกเป็นผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่น่าเศร้าใจคือ ในจำนวนนั้นมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม ซึ่งนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ได้ไปพูดคุยถึงในคุก ซึ่งนักศึกษาทั้ง 3 คนยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง และไม่ได้ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่กลับโดนจับเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด
ตายฟรี-ขังฟรี-เจ็บฟรี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของ คอป. แต่พยายามอ้างเรื่องนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งที่ใช้ พร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการที่ใช้ข่มขู่และไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้ อย่างที่ ศอฉ. ประกาศห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แต่กลับเพิกเฉยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายคณิตได้แนะนำการเริ่มต้นง่ายๆว่า หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จะต้องกล่าวคำ “ขอโทษ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดและดำเนินการเอง แต่จนวันนี้คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยออกจากปากนายอภิสิทธิ์หรือผู้นำกองทัพเลย ตรงข้ามกลับพยายามสร้างความชอบธรรมและบิดเบือนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า
ผลสรุปของดีเอสไอจึงสรุปว่า “ไม่สรุป” เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นๆคือการพยายาม “ซื้อเวลา” เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้นานที่สุด และให้ประชาชนลืมเลือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ โดย “คนเสื้อแดง” คือ “คนพิเศษ” ที่ได้รับอภินันทนาการจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งกว่า “ลด แลก แจก แถม” ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ... “ตายฟรี ขังฟรี และเจ็บฟรี”
สังคมไทยวันนี้ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่แสงไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน
ตราบใดที่ “คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล” อย่าหวังว่าจะได้เห็นความสงบสุข สามัคคีปรองดองในชาตินี้!
โชคดีที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯตั้งแต่อายุ 46 ปี
เวรกรรมจริงๆ ประเทศไทย!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสนาบดีโลกไม่ลืม?
“เด็กดื้อ” ได้แค่เล่นบทเฮี้ยว..งอแงขอขนมกินเสริมหล่อไปวันๆ แต่ท้ายที่สุด ถูกขู่ลงไม้เรียว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็เงียบเสียงด้วยการส่งเสลี่ยงไปแบกคอน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กลับคืนสู่เก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดยไม่แตะต้องโควตาของพรรคร่วมแม้แต่เก้าอี้เดียว
ทิ้งไพ่อ่านไต๋ง่ายๆ ได้แค่ หาก 2 เสนาบดีพรรคร่วมรัฐบาลจะลงเลือกตั้งซ่อมต้องคายโควตาคืนมา พร้อมกับนั่งนิ่งๆ รอวัดใจเพื่อนว่าจะอินังขังขอบกับมาตรฐาน “เทพ ประทาน” ของ “เทพเทือก” หรือไม่อย่างไร??
แห้วลูกใหญ่ตกลงกลางกบาล “ทีมงาน 3 พี” ที่เคยถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมรัฐบาลโดย “กรณ์ จาติกวณิช” ในฐานผู้จัดการรัฐบาลขัดตาทัพ แต่พอตัวจริง รีเทิร์น คอนเน็กทุกสายต้องเป็นอันเกมโอเวอร์
“พล.อ.ประชา พรหมนอกชาญชัย ชัยรุ่งเรืองสิทธิชัย โควสุรัตน์” ว่าที่รัฐมนตรี โควตาเพื่อแผ่นดิน ถูกแขวนขึ้นทำเนียบ “เสนาบดีโลกลืม” แพ็กกันแน่น “เทพเทือก” ประสานมือ “เนวิน ชิดชอบ” เตะตัดขาทุกวิถีทาง
มายาการเมืองเชื่อไม่ได้ในเทศกาลยี่เป็ง ปล่อยของปล่อยข่าวโคมลอย แต่ที่เชื่อได้แน่ๆ คือ อาญาสิทธิ์แห่งตุลาการภิวัตน์ ที่ฟันฉับเตะ 6 ผู้ทรงเกียรติตกเก้าอี้แบบไม่มีข้อแก้ตัว
และที่จริงแท้แน่นอนยิ่งกว่า คือ การที่เสียงเงียบได้กลายเป็นข่าวขึ้นมาอย่างครึกโครม เพราะหากไม่ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม จากโควตาพรรคชาติไทยพัฒนา
อัพเดตข้อมูลส่วนตัวคร่าวๆ...“เกื้อกูล” ผันตัวจากนักธุรกิจเจ้าของกิจการโรงแรม ชื่อดังกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นนักการเมือง เมื่อโดดลงสมัคร ส.ส. พระนครศรีอยุธยา ในนามพรรคไทยรักไทย ปี 2544 และ 2548 และได้เป็น ส.ส.กรุงเก่าอีกสมัย ในปี 2550 แม้จะเปลี่ยนมาสังกัดพรรคชาติไทย
และด้วยอานิสงส์ที่รอดพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการ เมืองครั้งพรรคชาติไทยโดนยุบ เนื่องจากไม่ได้เป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย อีกทั้ง ยังใจแข็งทนแรงดูดจากตัวเลขเจ็ดหลักของพรรค การเมืองกระเป๋าหนักได้อย่างเกินคาด ว่ากันว่า การใจแข็งครั้งนั้น ถึงกับเข้าตา “มังกรเติ้งบรรหาร ศิลปอาชา” กุศลผลบุญหนุนส่งให้ได้รับความไว้วางใจจาก “หลงจู๊” ด้วยการประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ที่เพิ่ง เป็นได้แค่ 3 สมัย
เงียบๆ ชิลล์ ชิลล์ คือสไตล์การทำงาน ของรัฐมนตรีท่านนี้ กระนั้นภายใต้เสียงเงียบ แห่งการทำงานในกระทรวงหูกวาง ต้องยอมรับ ว่า จังหวะจะโคนการก้าวย่างนั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก
ยิ่งในพลันที่ต้องอาญาสิทธิ์จากการถือ ครองหุ้นต้องห้าม มีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงที่ “เกื้อกูล” ดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม ซึ่งดูแล กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้ดำเนินโครงการจ้างรับเหมาตัวเลขกลมๆ กว่า 200 โครงการ เคาะรวมเป็นมูลค่าไม่มากไม่มาย แค่เพียง 8,800 ล้านบาท
เอ็ฟเฟกต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณูปการของ “เกื้อกูล” ที่ชำเลืองดูง่ายๆ ..แค่เพียง “นายกฯ อภิสิทธิ์” งัดมาตรฐาน “เทพเทือก” ออกมาเหยียบบ่าพรรคร่วม “เสี่ยตือสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ถึงกับควันออกหู พร้อม ทั้งออกมาสวนหมัดทันควัน “อย่าเอามาตรฐาน ประชาธิปัตย์มาใช้กับพรรคร่วมรัฐบาล”
มวยรุ่นใหญ่ นานๆ ออกหมัดที แถมหมัดตรงดอกนี้ เป็นหมัดที่สวิงออกไปเพื่อปกป้องเสนาบดีผู้ผ่านการเป็น ส.ส.มาแค่ 3 สมัย..เงาะป่าถอดรูปออกเป็นทอง กล่องดวงใจ “มังกรเติ้ง” ตัวจริง
ด้วยเกราะทองที่ป้องตัว คงไม่ต้องบอก ว่า “ท่านรัฐมนตรีอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” เป็นเสียงเงียบที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังความ ยิ่งใหญ่ของสุพรรณบุรีคอนเน็กสุดท้าย ต่อให้ใครไม่รู้จักมักคุ้นชื่อ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” แต่สำหรับ “ป๋าเติ้ง” แล้ว เขานี่แหละเสนาบดีโลกไม่ลืมตัวจริง.. เด็กข้าใครอย่าแตะ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*********************************************
ทิ้งไพ่อ่านไต๋ง่ายๆ ได้แค่ หาก 2 เสนาบดีพรรคร่วมรัฐบาลจะลงเลือกตั้งซ่อมต้องคายโควตาคืนมา พร้อมกับนั่งนิ่งๆ รอวัดใจเพื่อนว่าจะอินังขังขอบกับมาตรฐาน “เทพ ประทาน” ของ “เทพเทือก” หรือไม่อย่างไร??
แห้วลูกใหญ่ตกลงกลางกบาล “ทีมงาน 3 พี” ที่เคยถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมรัฐบาลโดย “กรณ์ จาติกวณิช” ในฐานผู้จัดการรัฐบาลขัดตาทัพ แต่พอตัวจริง รีเทิร์น คอนเน็กทุกสายต้องเป็นอันเกมโอเวอร์
“พล.อ.ประชา พรหมนอกชาญชัย ชัยรุ่งเรืองสิทธิชัย โควสุรัตน์” ว่าที่รัฐมนตรี โควตาเพื่อแผ่นดิน ถูกแขวนขึ้นทำเนียบ “เสนาบดีโลกลืม” แพ็กกันแน่น “เทพเทือก” ประสานมือ “เนวิน ชิดชอบ” เตะตัดขาทุกวิถีทาง
มายาการเมืองเชื่อไม่ได้ในเทศกาลยี่เป็ง ปล่อยของปล่อยข่าวโคมลอย แต่ที่เชื่อได้แน่ๆ คือ อาญาสิทธิ์แห่งตุลาการภิวัตน์ ที่ฟันฉับเตะ 6 ผู้ทรงเกียรติตกเก้าอี้แบบไม่มีข้อแก้ตัว
และที่จริงแท้แน่นอนยิ่งกว่า คือ การที่เสียงเงียบได้กลายเป็นข่าวขึ้นมาอย่างครึกโครม เพราะหากไม่ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม จากโควตาพรรคชาติไทยพัฒนา
อัพเดตข้อมูลส่วนตัวคร่าวๆ...“เกื้อกูล” ผันตัวจากนักธุรกิจเจ้าของกิจการโรงแรม ชื่อดังกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นนักการเมือง เมื่อโดดลงสมัคร ส.ส. พระนครศรีอยุธยา ในนามพรรคไทยรักไทย ปี 2544 และ 2548 และได้เป็น ส.ส.กรุงเก่าอีกสมัย ในปี 2550 แม้จะเปลี่ยนมาสังกัดพรรคชาติไทย
และด้วยอานิสงส์ที่รอดพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการ เมืองครั้งพรรคชาติไทยโดนยุบ เนื่องจากไม่ได้เป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย อีกทั้ง ยังใจแข็งทนแรงดูดจากตัวเลขเจ็ดหลักของพรรค การเมืองกระเป๋าหนักได้อย่างเกินคาด ว่ากันว่า การใจแข็งครั้งนั้น ถึงกับเข้าตา “มังกรเติ้งบรรหาร ศิลปอาชา” กุศลผลบุญหนุนส่งให้ได้รับความไว้วางใจจาก “หลงจู๊” ด้วยการประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ที่เพิ่ง เป็นได้แค่ 3 สมัย
เงียบๆ ชิลล์ ชิลล์ คือสไตล์การทำงาน ของรัฐมนตรีท่านนี้ กระนั้นภายใต้เสียงเงียบ แห่งการทำงานในกระทรวงหูกวาง ต้องยอมรับ ว่า จังหวะจะโคนการก้าวย่างนั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก
ยิ่งในพลันที่ต้องอาญาสิทธิ์จากการถือ ครองหุ้นต้องห้าม มีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงที่ “เกื้อกูล” ดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม ซึ่งดูแล กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้ดำเนินโครงการจ้างรับเหมาตัวเลขกลมๆ กว่า 200 โครงการ เคาะรวมเป็นมูลค่าไม่มากไม่มาย แค่เพียง 8,800 ล้านบาท
เอ็ฟเฟกต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณูปการของ “เกื้อกูล” ที่ชำเลืองดูง่ายๆ ..แค่เพียง “นายกฯ อภิสิทธิ์” งัดมาตรฐาน “เทพเทือก” ออกมาเหยียบบ่าพรรคร่วม “เสี่ยตือสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ถึงกับควันออกหู พร้อม ทั้งออกมาสวนหมัดทันควัน “อย่าเอามาตรฐาน ประชาธิปัตย์มาใช้กับพรรคร่วมรัฐบาล”
มวยรุ่นใหญ่ นานๆ ออกหมัดที แถมหมัดตรงดอกนี้ เป็นหมัดที่สวิงออกไปเพื่อปกป้องเสนาบดีผู้ผ่านการเป็น ส.ส.มาแค่ 3 สมัย..เงาะป่าถอดรูปออกเป็นทอง กล่องดวงใจ “มังกรเติ้ง” ตัวจริง
ด้วยเกราะทองที่ป้องตัว คงไม่ต้องบอก ว่า “ท่านรัฐมนตรีอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” เป็นเสียงเงียบที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังความ ยิ่งใหญ่ของสุพรรณบุรีคอนเน็กสุดท้าย ต่อให้ใครไม่รู้จักมักคุ้นชื่อ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” แต่สำหรับ “ป๋าเติ้ง” แล้ว เขานี่แหละเสนาบดีโลกไม่ลืมตัวจริง.. เด็กข้าใครอย่าแตะ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*********************************************
เสียงจาก "ทักษิณ" ถึง "เสธ.หนั่น" สัญญาณจาก "บิ๊กจิ๋ว" ถึง "ม.จ.จุลเจิม" บริวารเพื่อไทยในพงศาวดารกระซิบ
ทั้งองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" ยังพยายามดิ้นรนให้ พ้นข้อครหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยการแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ก็เพื่อตอบโจทย์-แก้ข้อหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยความพยายามในการแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ก็เพื่อเชื่อม-ต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่ใกล้ชิดราชสำนัก
ทั้งความพยายามในการถวายฎีกา ความตั้งใจในการขอเข้าเฝ้าฯของ "บิ๊กจิ๋ว" ล้วนเป็นไปเพื่อแก้ข้อเคลือบแคลง-สงสัย ในข้อหา "จาบจ้วง"
นักการเมืองทุกคนที่อยู่ในสังกัดโครงสร้างอำนาจของฝ่ายพรรคเพื่อไทย จึงต้องหาคอนเน็กชั่น "พิเศษ" เพื่อปฏิบัติบูชาให้ "ทักษิณ" พ้นจากพันธนาการหัวขบวนไม่จงรักภักดี
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เคยอธิบายความพยายามในการเชื่อมต่อกับบุคคลระดับสูงในราชสำนักว่า "ในเครือข่ายของเพื่อไทยก็มีราชนิกุลที่ ใกล้ชิด ที่คอยบอกข้อมูลอีกด้าน ที่ต่างจากข้อมูลของสายรัฐบาลและพันธมิตร และมั่นใจว่าทักษิณยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา และมีราชนิกุลหลายคนพร้อมที่จะอธิบายความชอบธรรมให้ทักษิณ"
ความเชื่อนี้นำไปสู่ท่าทีและปฏิบัติการ ทั้งการแต่งตั้งบุคลากรการเมืองในพรรค และความพยายามในการมุดบ้าน "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" และความพยายามในการ "เข้าถึง" องคมนตรีหลายครั้งหลายครา
ทุกท่าทีของ "ทักษิณ ชินวัตร" จึงต้องแฝงไว้ด้วยความหมายของการจงรักภักดี
ทุกความเคลื่อนไหว ทุกจังหวะก้าว จึงมีเป้าหมายที่ต้องการคลายข้อกังขาของฝ่ายราชสำนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีต่อเส้นทาง เข้าสู่แผนปรองดองระหว่างฝ่าย "ทักษิณ" กับฝ่าย "อภิสิทธิ์" และฝ่ายอำนาจของ กองทัพ
คำสั่ง-สัญญาณที่ส่งตรงถึง "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" จึงชัดยิ่งกว่าชัดว่า "ทักษิณ" ต้องการเจรจากับฝ่ายอำนาจนำ
เสียงที่ "ทักษิณ" ส่งตรงถึงห้องประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยใน "วันฟ้าใสหัวใจตรงกัน" ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี ค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2553 บอกวัตถุประสงค์ 2 ข้อ
ข้อแรก ต้องการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อจัดการระบบประเทศผ่าน "เสธ.หนั่น"
ข้อ 2 ต้องการตอกย้ำความคิด-ความเชื่อเรื่องความจงรักภักดี
พร้อมกันนี้ "ทักษิณ" มีความคาดหวัง ที่จะปูทางให้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ยังทนทุกข์อยู่ในคุก เดินออกจากที่คุมขังในเวลาอันใกล้
"ญาติพี่น้องของคนที่เคราะห์ร้ายที่ติดคุกก็ขอให้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ แล้ว ฝากบอกว่าผมฝากมาเยี่ยม ฝากมาให้กำลังใจแล้วก็ขอให้พี่น้องอดทนอีกไม่นานเกินรอบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว...ติดคุกแบบนี้แน่นอนลำบากหน่อย แต่ว่าเท่ครับ"
สอดคล้องกับท่าทีของ "น้องเขย-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รับลูก-ทอดสะพานให้เกิดการเจรจาผลประโยชน์ทางอำนาจและการเมือง
"ความหวังเรื่องการปรองดองไม่คิดว่า จะมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการปรองดองเป็นเรื่องดี แต่ยากเพราะมีองค์ประกอบหลายฝ่าย ฝ่ายรัฐฝ่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบและอะไรต่ออะไรที่เรารู้ ๆ นั่นแหละ"
นายสมชาย-อธิบายว่า "เราควรจะมีความพยายามต่อไป เช่นกรณี เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณเป็นเรื่องดีเพราะปรองดองต้องคุยกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีความลงตัวแต่ถ้ามาปรองดองเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายก็จะถูกมองว่าปรองดองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าคนได้รับผลกระทบไม่ปรองดองด้วยก็ไม่ใช่ปรองดอง"
"ความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ยังบอกไม่ได้ แต่การที่ผู้หลักผู้ใหญ่พยายามก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมว่าถ้าเราจะคิดปรองดองต้องใจกว้างกับทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ของอย่างนี้ มันมีได้มีเสีย ไม่มีใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกฝ่ายต้องยอมเสียสละในส่วนตัวที่ตัวเองคิดว่าเสีย"
นายสมชาย-เรียกร้องต่อทุกฝ่ายที่มีอำนาจว่า...
"คุยกันไปไม่ควรมาตั้งแง่ว่าต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่เรียกว่าปรองดองแต่เป็นอุปสรรคของการปรองดองมากกว่า ผมไม่ได้บอกว่าใครใจแคบแต่จะบอกว่าการทำงานใหญ่ต้องใจกว้างหน่อย ทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้งหมดรวมและเพื่อสานตาของคนทั้งโลกที่จับจ้องมองเราอยู่ วิสัยทัศน์ต้องไปถึงตรงนั้น ถ้าจะมาตั้งเงื่อนไขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อขัดขวางงานใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่ดี"
ท่าทีของ "ทักษิณ" ที่เคยเป็นทั้ง ลาง-หลอก-หลอน คนการเมืองและคู่เจรจานั้นในการส่งสัญญาณล่าสุด "สมชาย" ตีความว่า
"เท่าที่ฟังท่านทักษิณก็ไม่มีเงื่อนไขอะไร ท่านเสียสละได้ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ผมว่าพูดอย่างนี้เป็นผู้ใหญ่เพียงพอถ้าจะบอกว่าเอานายกฯทักษิณกลับบ้านแล้วเป็นอุปสรรคของการปรองดอง ก็แปลว่ามาตั้งเงื่อนไข...ผมคิดว่าไม่ใช่อุปสรรคและไม่จำเป็นต้องพูดถึงท่านทักษิณก็ได้"
"ถ้าหากว่าปรองดองแล้วมีเศษมีเลยไปถึงท่านให้ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเรื่องดี...ผมคิดว่านายกฯทักษิณไม่ใช่คนที่อยู่แล้วเปลืองข้าวเปลืองน้ำ ไม่งั้นไม่มีชาวไทยหลายส่วน เช่น ชาวภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ยังเรียกร้องให้ท่านกลับมา"
การใช้ "เสธ.หนั่น" ในฐานะที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาลเป็นเครื่องมือของ "ทักษิณ" ในฐานะผู้ต้องหา "สมชาย" เห็นว่าเป็นคนละเรื่องกับองคาพยพของรัฐบาลประชาธิปัตย์
"เรื่องของรัฐบาลจะรับหรือไม่รับ แต่เรามองประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ดีกว่าเพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะครับ รัฐบาลเดี๋ยวมาก็ไป และการปรองดองเนี่ย รัฐบาลน่าทำตัวเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นอุปสรรค ถ้านายกฯเห็นว่าการที่ เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณจะเป็นอุปสรรคที่รัฐบาล ไม่ยอมรับอย่างนั้นก็แสดงว่ารัฐบาลทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแล้ว"
"สมชาย" พูดแทนใจ "ทักษิณ" ว่า "ท่านทักษิณเคยบอกว่าท่านไม่แคร์ในการ ที่ถูกดำเนินคดี แต่ท่านแคร์อย่างเดียว ขอให้ความเป็นธรรมเสมอภาคเสมอหน้าเท่านั้น...อย่าเป็น 2 มาตรฐาน อย่าทำสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการยุติธรรม"
เสียงจาก "ทักษิณ" และสำทับด้วยเสียงของ "บิ๊กจิ๋ว" ยืนกรานท่าที-เป้าหมาย 2 ข้อ ทั้งเรียกร้องการเจรจาและต้องการแสดงท่าทีจงรักภักดี
ประธานพรรคเพื่อไทยชิงประกาศเชิงสัญลักษณ์ ลบล้างพงศาวดารกระซิบของฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ว่า "พรรคจะมีเครื่องหมายแห่งความจงรักภักดีเข้ามาร่วมด้วยเป็นหม่อมเจ้ารุ่นสุดท้าย เพราะทราบดีว่าวิธีการที่จะปกป้องสถาบันได้ดีที่สุด ไม่ใช่การร้องเพลงหรือขี่จักรยานแต่เป็นการทำงานถวาย"
แต่ข้อครหาอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งพยายามแก้ คล้ายยิ่งพยายามมัดให้แน่นจนยากจะดิ้น เมื่อ "หม่อมเจ้า" ที่ "บิ๊กจิ๋ว" พาดพิงออกมาปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
พล.ต.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เปิดเผยต่อสาธารณะว่า ไม่เคยคุยเรื่องการเมืองกับพล.อ.ชวลิต และไม่สนใจการเมืองเลย
ราชนิกุล-ที่ถูกพรรคเพื่อไทยนำไปเป็นเครือข่ายให้เหตุผลอย่างชนชั้นนำว่า "เพราะการเมือง หากดีก็เสมอตัว ถ้าไม่ดีก็ถูกขุดคุ้ย เพราะฉะนั้นขอบอกเลยว่า ไม่อยากยุ่งการเมืองและผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเล่นการเมืองได้ จึงขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย"
เมื่อถูกปฏิเสธ "บิ๊กจิ๋ว" ก็มีทางลงด้วยการเปิดเกมใหม่ ไม่พ้นเรื่องความจงรักภักดี ในโครงการสร้างความสมานฉันท์และสามัคคี โดยส่งผ่านข้อความต่าง ๆ ไปยัง 7 หมื่นหมู่บ้านเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในมหาวโรกาสอันเป็นมงคล ในวาระเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ
โครงการที่เกี่ยวเนื่องถูกจัดทำเป็นระลอก-ต่อเนื่อง
"โครงการอันใดก็ได้ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลอง เพื่อถวายเป็นพระเกียรติยศกับสถาบัน อันเป็นที่เคารพรักของเรา ทำกันได้ทั้งนั้น และคิดทำกันมาหลายทีแล้ว ตั้งแต่เรายังอยู่ในราชการ...ในประเทศไทย ในการพัฒนาประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ทำโดยสถาบัน พระมหากษัตริย์ สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านมีขั้นตอน ในการพัฒนา" บิ๊กจิ๋วตอกย้ำความคิด
ทั้งเสียงจาก "ทักษิณ" ที่ส่งตรงถึง "เสธ.หนั่น" ดังก้องไปทั้งท้องถนนการเมือง
ทั้งสัญญาณจาก "บิ๊กจิ๋ว" ถึง "ม.จ.จุลเจิม" กระเทือนไปถึงข้าราชบริพารราชสำนัก
ทุกเสียง-ทุกสัญญาณยังทำให้บริวารพรรคเพื่อไทยจมอยู่ในพงศาวดารกระซิบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************
อย่างน้อยการแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ก็เพื่อตอบโจทย์-แก้ข้อหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยความพยายามในการแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ก็เพื่อเชื่อม-ต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่ใกล้ชิดราชสำนัก
ทั้งความพยายามในการถวายฎีกา ความตั้งใจในการขอเข้าเฝ้าฯของ "บิ๊กจิ๋ว" ล้วนเป็นไปเพื่อแก้ข้อเคลือบแคลง-สงสัย ในข้อหา "จาบจ้วง"
นักการเมืองทุกคนที่อยู่ในสังกัดโครงสร้างอำนาจของฝ่ายพรรคเพื่อไทย จึงต้องหาคอนเน็กชั่น "พิเศษ" เพื่อปฏิบัติบูชาให้ "ทักษิณ" พ้นจากพันธนาการหัวขบวนไม่จงรักภักดี
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เคยอธิบายความพยายามในการเชื่อมต่อกับบุคคลระดับสูงในราชสำนักว่า "ในเครือข่ายของเพื่อไทยก็มีราชนิกุลที่ ใกล้ชิด ที่คอยบอกข้อมูลอีกด้าน ที่ต่างจากข้อมูลของสายรัฐบาลและพันธมิตร และมั่นใจว่าทักษิณยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา และมีราชนิกุลหลายคนพร้อมที่จะอธิบายความชอบธรรมให้ทักษิณ"
ความเชื่อนี้นำไปสู่ท่าทีและปฏิบัติการ ทั้งการแต่งตั้งบุคลากรการเมืองในพรรค และความพยายามในการมุดบ้าน "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" และความพยายามในการ "เข้าถึง" องคมนตรีหลายครั้งหลายครา
ทุกท่าทีของ "ทักษิณ ชินวัตร" จึงต้องแฝงไว้ด้วยความหมายของการจงรักภักดี
ทุกความเคลื่อนไหว ทุกจังหวะก้าว จึงมีเป้าหมายที่ต้องการคลายข้อกังขาของฝ่ายราชสำนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีต่อเส้นทาง เข้าสู่แผนปรองดองระหว่างฝ่าย "ทักษิณ" กับฝ่าย "อภิสิทธิ์" และฝ่ายอำนาจของ กองทัพ
คำสั่ง-สัญญาณที่ส่งตรงถึง "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" จึงชัดยิ่งกว่าชัดว่า "ทักษิณ" ต้องการเจรจากับฝ่ายอำนาจนำ
เสียงที่ "ทักษิณ" ส่งตรงถึงห้องประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยใน "วันฟ้าใสหัวใจตรงกัน" ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี ค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2553 บอกวัตถุประสงค์ 2 ข้อ
ข้อแรก ต้องการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อจัดการระบบประเทศผ่าน "เสธ.หนั่น"
ข้อ 2 ต้องการตอกย้ำความคิด-ความเชื่อเรื่องความจงรักภักดี
พร้อมกันนี้ "ทักษิณ" มีความคาดหวัง ที่จะปูทางให้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ยังทนทุกข์อยู่ในคุก เดินออกจากที่คุมขังในเวลาอันใกล้
"ญาติพี่น้องของคนที่เคราะห์ร้ายที่ติดคุกก็ขอให้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ แล้ว ฝากบอกว่าผมฝากมาเยี่ยม ฝากมาให้กำลังใจแล้วก็ขอให้พี่น้องอดทนอีกไม่นานเกินรอบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว...ติดคุกแบบนี้แน่นอนลำบากหน่อย แต่ว่าเท่ครับ"
สอดคล้องกับท่าทีของ "น้องเขย-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รับลูก-ทอดสะพานให้เกิดการเจรจาผลประโยชน์ทางอำนาจและการเมือง
"ความหวังเรื่องการปรองดองไม่คิดว่า จะมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการปรองดองเป็นเรื่องดี แต่ยากเพราะมีองค์ประกอบหลายฝ่าย ฝ่ายรัฐฝ่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบและอะไรต่ออะไรที่เรารู้ ๆ นั่นแหละ"
นายสมชาย-อธิบายว่า "เราควรจะมีความพยายามต่อไป เช่นกรณี เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณเป็นเรื่องดีเพราะปรองดองต้องคุยกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีความลงตัวแต่ถ้ามาปรองดองเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายก็จะถูกมองว่าปรองดองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าคนได้รับผลกระทบไม่ปรองดองด้วยก็ไม่ใช่ปรองดอง"
"ความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ยังบอกไม่ได้ แต่การที่ผู้หลักผู้ใหญ่พยายามก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมว่าถ้าเราจะคิดปรองดองต้องใจกว้างกับทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ของอย่างนี้ มันมีได้มีเสีย ไม่มีใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกฝ่ายต้องยอมเสียสละในส่วนตัวที่ตัวเองคิดว่าเสีย"
นายสมชาย-เรียกร้องต่อทุกฝ่ายที่มีอำนาจว่า...
"คุยกันไปไม่ควรมาตั้งแง่ว่าต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่เรียกว่าปรองดองแต่เป็นอุปสรรคของการปรองดองมากกว่า ผมไม่ได้บอกว่าใครใจแคบแต่จะบอกว่าการทำงานใหญ่ต้องใจกว้างหน่อย ทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้งหมดรวมและเพื่อสานตาของคนทั้งโลกที่จับจ้องมองเราอยู่ วิสัยทัศน์ต้องไปถึงตรงนั้น ถ้าจะมาตั้งเงื่อนไขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อขัดขวางงานใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่ดี"
ท่าทีของ "ทักษิณ" ที่เคยเป็นทั้ง ลาง-หลอก-หลอน คนการเมืองและคู่เจรจานั้นในการส่งสัญญาณล่าสุด "สมชาย" ตีความว่า
"เท่าที่ฟังท่านทักษิณก็ไม่มีเงื่อนไขอะไร ท่านเสียสละได้ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ผมว่าพูดอย่างนี้เป็นผู้ใหญ่เพียงพอถ้าจะบอกว่าเอานายกฯทักษิณกลับบ้านแล้วเป็นอุปสรรคของการปรองดอง ก็แปลว่ามาตั้งเงื่อนไข...ผมคิดว่าไม่ใช่อุปสรรคและไม่จำเป็นต้องพูดถึงท่านทักษิณก็ได้"
"ถ้าหากว่าปรองดองแล้วมีเศษมีเลยไปถึงท่านให้ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเรื่องดี...ผมคิดว่านายกฯทักษิณไม่ใช่คนที่อยู่แล้วเปลืองข้าวเปลืองน้ำ ไม่งั้นไม่มีชาวไทยหลายส่วน เช่น ชาวภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ยังเรียกร้องให้ท่านกลับมา"
การใช้ "เสธ.หนั่น" ในฐานะที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาลเป็นเครื่องมือของ "ทักษิณ" ในฐานะผู้ต้องหา "สมชาย" เห็นว่าเป็นคนละเรื่องกับองคาพยพของรัฐบาลประชาธิปัตย์
"เรื่องของรัฐบาลจะรับหรือไม่รับ แต่เรามองประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ดีกว่าเพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะครับ รัฐบาลเดี๋ยวมาก็ไป และการปรองดองเนี่ย รัฐบาลน่าทำตัวเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นอุปสรรค ถ้านายกฯเห็นว่าการที่ เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณจะเป็นอุปสรรคที่รัฐบาล ไม่ยอมรับอย่างนั้นก็แสดงว่ารัฐบาลทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแล้ว"
"สมชาย" พูดแทนใจ "ทักษิณ" ว่า "ท่านทักษิณเคยบอกว่าท่านไม่แคร์ในการ ที่ถูกดำเนินคดี แต่ท่านแคร์อย่างเดียว ขอให้ความเป็นธรรมเสมอภาคเสมอหน้าเท่านั้น...อย่าเป็น 2 มาตรฐาน อย่าทำสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการยุติธรรม"
เสียงจาก "ทักษิณ" และสำทับด้วยเสียงของ "บิ๊กจิ๋ว" ยืนกรานท่าที-เป้าหมาย 2 ข้อ ทั้งเรียกร้องการเจรจาและต้องการแสดงท่าทีจงรักภักดี
ประธานพรรคเพื่อไทยชิงประกาศเชิงสัญลักษณ์ ลบล้างพงศาวดารกระซิบของฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ว่า "พรรคจะมีเครื่องหมายแห่งความจงรักภักดีเข้ามาร่วมด้วยเป็นหม่อมเจ้ารุ่นสุดท้าย เพราะทราบดีว่าวิธีการที่จะปกป้องสถาบันได้ดีที่สุด ไม่ใช่การร้องเพลงหรือขี่จักรยานแต่เป็นการทำงานถวาย"
แต่ข้อครหาอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งพยายามแก้ คล้ายยิ่งพยายามมัดให้แน่นจนยากจะดิ้น เมื่อ "หม่อมเจ้า" ที่ "บิ๊กจิ๋ว" พาดพิงออกมาปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
พล.ต.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เปิดเผยต่อสาธารณะว่า ไม่เคยคุยเรื่องการเมืองกับพล.อ.ชวลิต และไม่สนใจการเมืองเลย
ราชนิกุล-ที่ถูกพรรคเพื่อไทยนำไปเป็นเครือข่ายให้เหตุผลอย่างชนชั้นนำว่า "เพราะการเมือง หากดีก็เสมอตัว ถ้าไม่ดีก็ถูกขุดคุ้ย เพราะฉะนั้นขอบอกเลยว่า ไม่อยากยุ่งการเมืองและผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเล่นการเมืองได้ จึงขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย"
เมื่อถูกปฏิเสธ "บิ๊กจิ๋ว" ก็มีทางลงด้วยการเปิดเกมใหม่ ไม่พ้นเรื่องความจงรักภักดี ในโครงการสร้างความสมานฉันท์และสามัคคี โดยส่งผ่านข้อความต่าง ๆ ไปยัง 7 หมื่นหมู่บ้านเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในมหาวโรกาสอันเป็นมงคล ในวาระเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ
โครงการที่เกี่ยวเนื่องถูกจัดทำเป็นระลอก-ต่อเนื่อง
"โครงการอันใดก็ได้ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลอง เพื่อถวายเป็นพระเกียรติยศกับสถาบัน อันเป็นที่เคารพรักของเรา ทำกันได้ทั้งนั้น และคิดทำกันมาหลายทีแล้ว ตั้งแต่เรายังอยู่ในราชการ...ในประเทศไทย ในการพัฒนาประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ทำโดยสถาบัน พระมหากษัตริย์ สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านมีขั้นตอน ในการพัฒนา" บิ๊กจิ๋วตอกย้ำความคิด
ทั้งเสียงจาก "ทักษิณ" ที่ส่งตรงถึง "เสธ.หนั่น" ดังก้องไปทั้งท้องถนนการเมือง
ทั้งสัญญาณจาก "บิ๊กจิ๋ว" ถึง "ม.จ.จุลเจิม" กระเทือนไปถึงข้าราชบริพารราชสำนัก
ทุกเสียง-ทุกสัญญาณยังทำให้บริวารพรรคเพื่อไทยจมอยู่ในพงศาวดารกระซิบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************
ใครคือคนที่สร้างความแตกแยก?
โดย บรรณาธิการ
วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บังคับบัญชาการทหารบก และหัวหน้าผู้รับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินออกคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองในสินค้าซึ่งก่อให้เกิดความแตกแยกในการชุมนุมคนเสื้อแดง ในพื้นที่ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกจำคุกไม่เกิน 2ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อะไรคือสินค้าที่ศอฉ. มองว่าสร้างความแตกแยก? คำสั่งยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภคหรือวัตถุอื่นใดที่มีการพิมพ์ เขียน วาดภาพ ภาพถ่าย หรือวิธีอื่นใดที่ปรากฏความหมายยั่วยุหรือปลุกระดม
คนที่มีสติดีคงจะมองออกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความแตกแยกแต่อย่างใด แต่เป็นวิธีการแบบเผด็จการของศอฉ. กลุ่มอำมาตย์ และรัฐบาลต้องการที่จะทำลายสิทธิการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม เพราะยอมรับไม่ได้กับความเป็นจริง
ความแตกแยกทางสังคมไม่ได้เกิดจากการชุมนุมคนเสื้อแดง หรือการขายสินค้าที่มีข้อความต่อต้านกลุ่มอำมาตย์แต่อย่างใด แต่เกิดจากพฤติกรรมเหล่านี้
การทำรัฐประหารปี 2549เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การร่วมมือ จัดตั้งและสนับสนุนม๊อบพันธมิตรในการยึดทำเนียบ สนามบิน ขับไล่รัฐบาล และก่ออาชญากรรมโดยไม่มีความผิด
การพยายามปล้นสิทธิเลือกตั้งจากประชาชน โดยอ้างว่าคนจนเป็นคนโง่ ไม่มีวิจารณญาณ เพราะไม่เลือกพรรคที่กลุ่มอำมาตย์สนับสนุน
การทำลายการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีอารยะธรรม โดยการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเพื่อเข่นฆ่าผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบมานานนับปี และหลังจากนั้นพยายามปกปิดอาชญากรมของกลุ่มตนเอง
การจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้าม ปิดบังข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรง
การให้ท้ายส่งเสริมอาชญากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชน
การเริ่มกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอม
ล่าสุดคือการช่วยเหลือกันปิดพฤติกรรมอันน่าอดสูของตุลาการศาลรัฐธรรม
พฤติกรรมข้างต้นนั้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ที่จริงแล้วศอฉ.ควรจะออกคำสั่งแบนตัวเอง กลุ่มอำมาตย์และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะคนส่วนน้อยกลุ่มนั้นเป็นต้นเหตุที่แท้จริงในการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศไทย
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ตร.ส่งตัว"พัลลภ"พร้อมสำนวนฟ้องหมิ่น"สุเทพ" ให้อัยการ
วันนี้ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง พาตัว พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหารนอกราชการ อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา มาส่งมอบให้อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 พร้อมสำนวนพยานหลักฐาน และความเห็นสมควรสั่งฟ้องจำนวน 42 หน้า เพื่อพิจารณาสั่งคดีกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุ 100.5 ตอบโต้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทำนองว่าการใช้คำพูดของนายสุเทพที่ให้สัมภาษณ์โต้ภายหลังพรรคเพื่อไทยนำพยาน 2 คนคดียุบพรรคไทยรักไทย ออกมาแถลงข่าวนั้น ไม่น่าจะมาจากปากของคนที่เป็นเสนาบดี เคยเห็นแต่เด็กปากคลองตลาด
ภายหลังรับมอบสำนวนแล้ว อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 นัดฟังการสั่งคดีในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น.
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้มอบให้ทนายความยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพื่อให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เตรียมจะลงเล่นการเมืองหากมีการยุบสภา โดยจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ได้เดินสายปราศรัยกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถบภาคอีสาน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทางไปอุดรธานีและบุรีรัมย์ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภายหลังรับมอบสำนวนแล้ว อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 นัดฟังการสั่งคดีในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น.
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้มอบให้ทนายความยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพื่อให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เตรียมจะลงเล่นการเมืองหากมีการยุบสภา โดยจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ได้เดินสายปราศรัยกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถบภาคอีสาน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทางไปอุดรธานีและบุรีรัมย์ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทูตญี่ปุ่นทวงถามคดีนักข่าวถูกยิงดับปริศนา
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายเซอิจิ โคจิมะ เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคาราวะ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ว่า มีการพูดคุยหารือกันในหลายเรื่องด้วยกัน ส่วนคดีนักข่าวญี่ปุ่นในเสียชีวิตขณะที่มาทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงนั้นมีการหารือสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี และพูดคุยกันในภาพรวม เขาก็พอใจการทำคดีและการดูแลของเรา ก่อนหน้านี้ทางตำรวจก็ได้มีการประสานความคืบหน้าคดีกับทางสถานทูตโดยตลอดอยู่แล้ว
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอส่งมาให้ ตร.นั้น เป็นสำนวนชันสูตรศพเท่านั้นเอง เพราะโดยทั่วไปถ้ามีการตายผิดปกติต้องมีสำนวนชันสูตรโดยตำรวจ ดีเอสไอรับไปเฉพาะสำนวนของการก่อการร้ายคดีที่ได้รับอนุมัติเป็นคดีพิเศษให้ดีเอสไอไปสอบสวน แม้ศพต่าง ๆ จะได้รับการฌาปณกิจไปแล้วก็ไม่เกี่ยวกันเพราะศพทุกศพมีผลรายการการตรวจสอบศพโดยแพทย์อยู่แล้ว ก็จะนำผลการตรวจศพมาทำสำนวนชันสูตรอีกครั้ง ถ้าเป็นการตายปกติเป็นคดีไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นการชันสูตรศพธรรมดา แต่หากเป็นการตายโดยมีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือการตายระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีการชันสูตรพิเศษ ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งต้องมีอัยการมาร่วด้วย เป็นไปตามป.วิอาญามาตรา 150
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอส่งมาให้ ตร.นั้น เป็นสำนวนชันสูตรศพเท่านั้นเอง เพราะโดยทั่วไปถ้ามีการตายผิดปกติต้องมีสำนวนชันสูตรโดยตำรวจ ดีเอสไอรับไปเฉพาะสำนวนของการก่อการร้ายคดีที่ได้รับอนุมัติเป็นคดีพิเศษให้ดีเอสไอไปสอบสวน แม้ศพต่าง ๆ จะได้รับการฌาปณกิจไปแล้วก็ไม่เกี่ยวกันเพราะศพทุกศพมีผลรายการการตรวจสอบศพโดยแพทย์อยู่แล้ว ก็จะนำผลการตรวจศพมาทำสำนวนชันสูตรอีกครั้ง ถ้าเป็นการตายปกติเป็นคดีไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นการชันสูตรศพธรรมดา แต่หากเป็นการตายโดยมีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือการตายระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีการชันสูตรพิเศษ ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งต้องมีอัยการมาร่วด้วย เป็นไปตามป.วิอาญามาตรา 150
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การเมืองแบบโอเวลเลี่ยนของนายวัชระ เพชรทอง
ในอาทิตย์นี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวัชระ เพชรทอง กล่าวหาดร.ทักษิณ ชินวัตรและผมว่าละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพราะขอความในสมุดปกขาว นายวัชระอ้างว่าตนเองได้รับ “ร้องเรียนมาจากชาวบ้าน” และเรียกร้องให้ตำรวจและประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบการกระทำละเมิดดังกล่าว แต่นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาผม หลังจากการเผยแพร่สมุดปกขาวในเดือนกรกฎาคม โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ดร.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ก็กล่าวหาผมแบบนี้เช่นกัน
ผมขออนุญาตให้อธิบายอย่างชัดเจนในที่นี่ว่า สมุดปกขาวไม่มีข้อความที่อาจเป็นการละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงคือ ข้อมูลที่มีความอ่อนไหวนี้ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่อยู่ในหนังสือหลายร้อยเล่ม และวัชระอาจจะรู้ลึกประหาดใจว่า หากมีการจับกุมคนด้วยข้ออ้างดังกล่าวเกิดขึ้น คงจะมีคนถูกจับกุมจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ข้อความไหนที่นายวัชระอ้างถึง? นายวัชระอ้างถึงข้อความสองข้อความต่อสื่อมวลชนเท่านั้น ข้อความแรกคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงแทรกแซงทางเมืองอย่างเปิดเผยหลังจากเหตุการณ์การชุมนุมในปี 2519และ 2553 เหมือนในปี 2516 และ 2535 ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง และนอกจากนี้สมุดปกขาวไม่ได้ตัดสินคุณค่าหรือให้ความเห็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ข้อนี้เลย ข้อความที่สองคือ มีคนหลายคนที่ถูกจับและคุมขังฐานละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งข้อเท็จดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ทั่วไปว่า จำนวนคนที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาดังกล่าวเพิ่มขึ้นอยู่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีการโกงและฉ้อฉลเพิ่มให้พรรคขึ้นสู่อำนาจ (คดีเพิ่มขึ้น 1500% ตั้งแต่ปี 2552) การประณามการจับกุมดังกล่าวไม่ได้เป็นการหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแน่นอน แต่เป็นการโจมตีคนอย่างนายวัชระและพรรคที่แอบอ้างพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน
และเหตุใดนายวัชระถึงนำเอาเรื่องดังกล่าวมาพูดในตอนนี้ เพราะสมุดปกขาวถูกตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อสี่เดือนก่อน หรือนายวัชระเพิ่งจะตัดสินใจว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ดีไม่งาม? การออกมาโจมตีในระยะเวลาที่แปลกประหลาดไม่ใช่ความพยายามอันโปร่งใส แต่เป็นไปเพื่อต้องการลิดรอนเสรีภาพทางการพูด เพราะประชาคมโลกเริ่มรับรู้ถึงการกระทำอันละเมิดกฎหมายในเหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นทุกวัน สมุดปกขาวที่ตีพิมพ์ออนไลน์และเป็นรูปเล่มทั้งภาคภาษาอังกฤษและไทยถูกดาวน์โหลดและจำหน่ายมากกว่า 50,000 ครั้ง และนั้นคือเหตุผลที่เหตุใดรัฐบาลทหารจึงหยิบยกประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย ดูเหมือนกันว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนายวัชระคือการสกัดยอดขายหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือมากกว่า
เพราะสมุกปกขาวไม่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ปัญหาใหญ่ของนายวัชระคือการไม่ยอมรับความจริง ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของนายเดวิด สเตร็กฟัส ที่ชื่อว่า the truth itself is on trial in Thailand today ก็ได้ตีพิมพ์ข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ข้ออ้างที่ใช้โจมตีดังกล่าวเผยให้เห็นทัศนะที่โง่เขลาและล้าหลังของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเรียนรู้เรื่องการเมืองจากหนังสือของโอเวลล์ (ว่าด้วยรัฐอำนาจนิยม) ซึ่งถอยห่างจากสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน อิสรภาพ และความพยามอย่างโปร่งใสที่จะสร้างสังคมที่มีเสรีภาพ
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
******************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ยุติธรรมสมานฉันท์...กับ'การเมือง'แก้'การเมือง'
กระบวนการสมานรอยปริแตกกทางความคิด เริ่มขยับโดยใช้กลไกของรัฐที่มีอยู่ เช่น ประกันตัวผู้ต้องขังเสื้อแดง ขณะที่ 90ศพกลางเมืองหลวงก็เป็นปมสำคัญ
แม้จะดูล่าช้าไปสักนิด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง สำหรับข้อเสนอล่าสุดของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน
ข้อเสนอที่ว่านี้ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเรื่อง "ปล่อยตัวชั่วคราว" หรือ "ให้ประกัน" กับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่สิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน โดยเน้นไปยังกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือสนับสนุนความรุนแรงระหว่างการชุมนุมก่อน
รายงานของ คอป.ให้เหตุผลในแง่ที่ว่า สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็น "สิทธิพื้นฐาน" ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล และรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 40 (7)
เพราะการเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในความควบคุมหรือในอำนาจรัฐเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อเสรีภาพของบุคคลอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญแล้ว ยังกระทบถึงโอกาสในการต่อสู้คดี และส่งผลกระทบต่อครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้กล่าวหาอีกด้วย
"กุญแจดอกสำคัญ" ของรายงานฉบับนี้ ในความเห็นของผมคิดว่ามีอยู่ 2 ประเด็น ก็คือ
หนึ่ง การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำแนวทาง "สันติวิธี" มาใช้ในการแสวงหาทางออกให้กับบ้านเมือง โดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็น "จุดเปลี่ยนที่สำคัญ" ที่จะส่งสัญญาณว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับกระบวนการสร้างความปรองดองในชาติ และเป็นการลดกระแสความเชื่อที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในระบบการปกครองของรัฐ อันอาจสร้างความร้าวฉานและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่
สอง การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธีดังกล่าว จะดำเนินไปภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ซึ่งไม่ใช่การมุ่งเอาผิดกันในแบบ "แก้แค้นทดแทน" แต่เน้นใช้การทำความเข้าใจ และชี้ให้เห็นความเสียหายหากเลือกใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา
นี่คือแนวทางการใช้ "การเมือง" แก้ปัญหาขัดแย้งทาง "การเมือง" ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังและหยิบมาปฏิบัติโดยพลัน!
จุดเด่นที่สุดที่ทำให้ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ คอป.ในเรื่องนี้ก็คือ คอป.ไม่ได้บอกให้รัฐบาลละเลยการบังคับใช้กฎหมาย หรือมองกฎหมายเป็นปฏิปักษ์ แต่แนะให้รัฐบาลเลือกใช้ "ดุลพินิจ" ในบางกรณี และเปิดโอกาสให้มีการ "พูดคุย" กับคนที่คิดเห็นต่างทางการเมือง หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพื่อให้เกิดการรับฟัง แลกเปลี่ยนทัศนะ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธี
และนี่ก็คือหลักการ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" หรือ Restorative Justice ที่เรียกกันติดปากในหมู่คนยุติธรรมยุคใหม่ว่า "RJ" ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
"ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ไม่ใช่การยกโทษให้ผู้กระทำผิด เพราะการลงโทษนั้นยังมีอยู่ แต่จุดต่างอันสำคัญระหว่าง "RJ" กระบวนการยุติธรรมแบบ "แก้แค้นทดแทน" ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ การสร้างกระบวนการให้ผู้กระทำผิดสำนึกในการกระทำ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนเสียหายของ "เหยื่อ" รวมไปถึง "ชุมชน" ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของตน
หลักการของ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" จึงเป็นการให้ผู้กระทำผิดได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนการกระทำ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันระหว่างตัวผู้กระทำผิด เหยื่อ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันหาทางยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ "จับยัดคุกแล้วจบ" เหมือนที่เป็นอยู่ (เพราะความจริงมันไม่มีทางจบ)
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จึงเป็นเวทีแห่งความเข้าใจที่ดึงทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยและจัดการปัญหาร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกระบวนการ "สานเสวนา" ที่นักสันติวิธีทั้งหลายพยายามเรียกร้องมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในการเมืองไทยนั่นเอง
แน่นอนว่ากับบริบทปัญหาความขัดแย้งขนาดใหญ่เช่นนี้ การทบทวนการกระทำของตนย่อมต้องไม่จำกัดเฉพาะ "คนเสื้อแดง" ที่ถูกคุมขัง แต่ต้องหมายรวมถึง "คนเสื้อแดง" ในภาพใหญ่ และที่สำคัญคือ "รัฐบาล" ในฐานะคู่ขัดแย้ง ซึ่งมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบกรณีที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่กลางเมืองหลวงกว่า 90 ศพได้เช่นกัน
ผมเชื่อมั่นว่าการทบทวนตนเอง ยอมรับผิดร่วมกัน และใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง จะเป็นทางออกของประเทศนี้ได้ในยามที่ดูเหมือนไร้ทางออก!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
***************************************************
แม้จะดูล่าช้าไปสักนิด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง สำหรับข้อเสนอล่าสุดของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน
ข้อเสนอที่ว่านี้ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเรื่อง "ปล่อยตัวชั่วคราว" หรือ "ให้ประกัน" กับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่สิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน โดยเน้นไปยังกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือสนับสนุนความรุนแรงระหว่างการชุมนุมก่อน
รายงานของ คอป.ให้เหตุผลในแง่ที่ว่า สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็น "สิทธิพื้นฐาน" ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล และรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 40 (7)
เพราะการเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในความควบคุมหรือในอำนาจรัฐเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อเสรีภาพของบุคคลอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญแล้ว ยังกระทบถึงโอกาสในการต่อสู้คดี และส่งผลกระทบต่อครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้กล่าวหาอีกด้วย
"กุญแจดอกสำคัญ" ของรายงานฉบับนี้ ในความเห็นของผมคิดว่ามีอยู่ 2 ประเด็น ก็คือ
หนึ่ง การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำแนวทาง "สันติวิธี" มาใช้ในการแสวงหาทางออกให้กับบ้านเมือง โดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็น "จุดเปลี่ยนที่สำคัญ" ที่จะส่งสัญญาณว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับกระบวนการสร้างความปรองดองในชาติ และเป็นการลดกระแสความเชื่อที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในระบบการปกครองของรัฐ อันอาจสร้างความร้าวฉานและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่
สอง การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธีดังกล่าว จะดำเนินไปภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ซึ่งไม่ใช่การมุ่งเอาผิดกันในแบบ "แก้แค้นทดแทน" แต่เน้นใช้การทำความเข้าใจ และชี้ให้เห็นความเสียหายหากเลือกใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา
นี่คือแนวทางการใช้ "การเมือง" แก้ปัญหาขัดแย้งทาง "การเมือง" ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังและหยิบมาปฏิบัติโดยพลัน!
จุดเด่นที่สุดที่ทำให้ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ คอป.ในเรื่องนี้ก็คือ คอป.ไม่ได้บอกให้รัฐบาลละเลยการบังคับใช้กฎหมาย หรือมองกฎหมายเป็นปฏิปักษ์ แต่แนะให้รัฐบาลเลือกใช้ "ดุลพินิจ" ในบางกรณี และเปิดโอกาสให้มีการ "พูดคุย" กับคนที่คิดเห็นต่างทางการเมือง หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพื่อให้เกิดการรับฟัง แลกเปลี่ยนทัศนะ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธี
และนี่ก็คือหลักการ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" หรือ Restorative Justice ที่เรียกกันติดปากในหมู่คนยุติธรรมยุคใหม่ว่า "RJ" ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
"ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ไม่ใช่การยกโทษให้ผู้กระทำผิด เพราะการลงโทษนั้นยังมีอยู่ แต่จุดต่างอันสำคัญระหว่าง "RJ" กระบวนการยุติธรรมแบบ "แก้แค้นทดแทน" ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ การสร้างกระบวนการให้ผู้กระทำผิดสำนึกในการกระทำ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนเสียหายของ "เหยื่อ" รวมไปถึง "ชุมชน" ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของตน
หลักการของ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" จึงเป็นการให้ผู้กระทำผิดได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนการกระทำ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันระหว่างตัวผู้กระทำผิด เหยื่อ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันหาทางยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ "จับยัดคุกแล้วจบ" เหมือนที่เป็นอยู่ (เพราะความจริงมันไม่มีทางจบ)
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จึงเป็นเวทีแห่งความเข้าใจที่ดึงทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยและจัดการปัญหาร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกระบวนการ "สานเสวนา" ที่นักสันติวิธีทั้งหลายพยายามเรียกร้องมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในการเมืองไทยนั่นเอง
แน่นอนว่ากับบริบทปัญหาความขัดแย้งขนาดใหญ่เช่นนี้ การทบทวนการกระทำของตนย่อมต้องไม่จำกัดเฉพาะ "คนเสื้อแดง" ที่ถูกคุมขัง แต่ต้องหมายรวมถึง "คนเสื้อแดง" ในภาพใหญ่ และที่สำคัญคือ "รัฐบาล" ในฐานะคู่ขัดแย้ง ซึ่งมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบกรณีที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่กลางเมืองหลวงกว่า 90 ศพได้เช่นกัน
ผมเชื่อมั่นว่าการทบทวนตนเอง ยอมรับผิดร่วมกัน และใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง จะเป็นทางออกของประเทศนี้ได้ในยามที่ดูเหมือนไร้ทางออก!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
***************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)