ทั้งองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" ยังพยายามดิ้นรนให้ พ้นข้อครหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยการแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ก็เพื่อตอบโจทย์-แก้ข้อหา "ไม่จงรักภักดี"
อย่างน้อยความพยายามในการแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ก็เพื่อเชื่อม-ต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่ใกล้ชิดราชสำนัก
ทั้งความพยายามในการถวายฎีกา ความตั้งใจในการขอเข้าเฝ้าฯของ "บิ๊กจิ๋ว" ล้วนเป็นไปเพื่อแก้ข้อเคลือบแคลง-สงสัย ในข้อหา "จาบจ้วง"
นักการเมืองทุกคนที่อยู่ในสังกัดโครงสร้างอำนาจของฝ่ายพรรคเพื่อไทย จึงต้องหาคอนเน็กชั่น "พิเศษ" เพื่อปฏิบัติบูชาให้ "ทักษิณ" พ้นจากพันธนาการหัวขบวนไม่จงรักภักดี
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เคยอธิบายความพยายามในการเชื่อมต่อกับบุคคลระดับสูงในราชสำนักว่า "ในเครือข่ายของเพื่อไทยก็มีราชนิกุลที่ ใกล้ชิด ที่คอยบอกข้อมูลอีกด้าน ที่ต่างจากข้อมูลของสายรัฐบาลและพันธมิตร และมั่นใจว่าทักษิณยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา และมีราชนิกุลหลายคนพร้อมที่จะอธิบายความชอบธรรมให้ทักษิณ"
ความเชื่อนี้นำไปสู่ท่าทีและปฏิบัติการ ทั้งการแต่งตั้งบุคลากรการเมืองในพรรค และความพยายามในการมุดบ้าน "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" และความพยายามในการ "เข้าถึง" องคมนตรีหลายครั้งหลายครา
ทุกท่าทีของ "ทักษิณ ชินวัตร" จึงต้องแฝงไว้ด้วยความหมายของการจงรักภักดี
ทุกความเคลื่อนไหว ทุกจังหวะก้าว จึงมีเป้าหมายที่ต้องการคลายข้อกังขาของฝ่ายราชสำนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีต่อเส้นทาง เข้าสู่แผนปรองดองระหว่างฝ่าย "ทักษิณ" กับฝ่าย "อภิสิทธิ์" และฝ่ายอำนาจของ กองทัพ
คำสั่ง-สัญญาณที่ส่งตรงถึง "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" จึงชัดยิ่งกว่าชัดว่า "ทักษิณ" ต้องการเจรจากับฝ่ายอำนาจนำ
เสียงที่ "ทักษิณ" ส่งตรงถึงห้องประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยใน "วันฟ้าใสหัวใจตรงกัน" ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี ค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2553 บอกวัตถุประสงค์ 2 ข้อ
ข้อแรก ต้องการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อจัดการระบบประเทศผ่าน "เสธ.หนั่น"
ข้อ 2 ต้องการตอกย้ำความคิด-ความเชื่อเรื่องความจงรักภักดี
พร้อมกันนี้ "ทักษิณ" มีความคาดหวัง ที่จะปูทางให้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ยังทนทุกข์อยู่ในคุก เดินออกจากที่คุมขังในเวลาอันใกล้
"ญาติพี่น้องของคนที่เคราะห์ร้ายที่ติดคุกก็ขอให้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ แล้ว ฝากบอกว่าผมฝากมาเยี่ยม ฝากมาให้กำลังใจแล้วก็ขอให้พี่น้องอดทนอีกไม่นานเกินรอบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว...ติดคุกแบบนี้แน่นอนลำบากหน่อย แต่ว่าเท่ครับ"
สอดคล้องกับท่าทีของ "น้องเขย-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รับลูก-ทอดสะพานให้เกิดการเจรจาผลประโยชน์ทางอำนาจและการเมือง
"ความหวังเรื่องการปรองดองไม่คิดว่า จะมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการปรองดองเป็นเรื่องดี แต่ยากเพราะมีองค์ประกอบหลายฝ่าย ฝ่ายรัฐฝ่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบและอะไรต่ออะไรที่เรารู้ ๆ นั่นแหละ"
นายสมชาย-อธิบายว่า "เราควรจะมีความพยายามต่อไป เช่นกรณี เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณเป็นเรื่องดีเพราะปรองดองต้องคุยกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีความลงตัวแต่ถ้ามาปรองดองเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายก็จะถูกมองว่าปรองดองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าคนได้รับผลกระทบไม่ปรองดองด้วยก็ไม่ใช่ปรองดอง"
"ความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ยังบอกไม่ได้ แต่การที่ผู้หลักผู้ใหญ่พยายามก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมว่าถ้าเราจะคิดปรองดองต้องใจกว้างกับทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ของอย่างนี้ มันมีได้มีเสีย ไม่มีใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกฝ่ายต้องยอมเสียสละในส่วนตัวที่ตัวเองคิดว่าเสีย"
นายสมชาย-เรียกร้องต่อทุกฝ่ายที่มีอำนาจว่า...
"คุยกันไปไม่ควรมาตั้งแง่ว่าต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่เรียกว่าปรองดองแต่เป็นอุปสรรคของการปรองดองมากกว่า ผมไม่ได้บอกว่าใครใจแคบแต่จะบอกว่าการทำงานใหญ่ต้องใจกว้างหน่อย ทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้งหมดรวมและเพื่อสานตาของคนทั้งโลกที่จับจ้องมองเราอยู่ วิสัยทัศน์ต้องไปถึงตรงนั้น ถ้าจะมาตั้งเงื่อนไขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อขัดขวางงานใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่ดี"
ท่าทีของ "ทักษิณ" ที่เคยเป็นทั้ง ลาง-หลอก-หลอน คนการเมืองและคู่เจรจานั้นในการส่งสัญญาณล่าสุด "สมชาย" ตีความว่า
"เท่าที่ฟังท่านทักษิณก็ไม่มีเงื่อนไขอะไร ท่านเสียสละได้ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ผมว่าพูดอย่างนี้เป็นผู้ใหญ่เพียงพอถ้าจะบอกว่าเอานายกฯทักษิณกลับบ้านแล้วเป็นอุปสรรคของการปรองดอง ก็แปลว่ามาตั้งเงื่อนไข...ผมคิดว่าไม่ใช่อุปสรรคและไม่จำเป็นต้องพูดถึงท่านทักษิณก็ได้"
"ถ้าหากว่าปรองดองแล้วมีเศษมีเลยไปถึงท่านให้ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเรื่องดี...ผมคิดว่านายกฯทักษิณไม่ใช่คนที่อยู่แล้วเปลืองข้าวเปลืองน้ำ ไม่งั้นไม่มีชาวไทยหลายส่วน เช่น ชาวภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ยังเรียกร้องให้ท่านกลับมา"
การใช้ "เสธ.หนั่น" ในฐานะที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาลเป็นเครื่องมือของ "ทักษิณ" ในฐานะผู้ต้องหา "สมชาย" เห็นว่าเป็นคนละเรื่องกับองคาพยพของรัฐบาลประชาธิปัตย์
"เรื่องของรัฐบาลจะรับหรือไม่รับ แต่เรามองประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ดีกว่าเพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะครับ รัฐบาลเดี๋ยวมาก็ไป และการปรองดองเนี่ย รัฐบาลน่าทำตัวเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นอุปสรรค ถ้านายกฯเห็นว่าการที่ เสธ.หนั่นไปพบท่านทักษิณจะเป็นอุปสรรคที่รัฐบาล ไม่ยอมรับอย่างนั้นก็แสดงว่ารัฐบาลทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแล้ว"
"สมชาย" พูดแทนใจ "ทักษิณ" ว่า "ท่านทักษิณเคยบอกว่าท่านไม่แคร์ในการ ที่ถูกดำเนินคดี แต่ท่านแคร์อย่างเดียว ขอให้ความเป็นธรรมเสมอภาคเสมอหน้าเท่านั้น...อย่าเป็น 2 มาตรฐาน อย่าทำสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการยุติธรรม"
เสียงจาก "ทักษิณ" และสำทับด้วยเสียงของ "บิ๊กจิ๋ว" ยืนกรานท่าที-เป้าหมาย 2 ข้อ ทั้งเรียกร้องการเจรจาและต้องการแสดงท่าทีจงรักภักดี
ประธานพรรคเพื่อไทยชิงประกาศเชิงสัญลักษณ์ ลบล้างพงศาวดารกระซิบของฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ว่า "พรรคจะมีเครื่องหมายแห่งความจงรักภักดีเข้ามาร่วมด้วยเป็นหม่อมเจ้ารุ่นสุดท้าย เพราะทราบดีว่าวิธีการที่จะปกป้องสถาบันได้ดีที่สุด ไม่ใช่การร้องเพลงหรือขี่จักรยานแต่เป็นการทำงานถวาย"
แต่ข้อครหาอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งพยายามแก้ คล้ายยิ่งพยายามมัดให้แน่นจนยากจะดิ้น เมื่อ "หม่อมเจ้า" ที่ "บิ๊กจิ๋ว" พาดพิงออกมาปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
พล.ต.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เปิดเผยต่อสาธารณะว่า ไม่เคยคุยเรื่องการเมืองกับพล.อ.ชวลิต และไม่สนใจการเมืองเลย
ราชนิกุล-ที่ถูกพรรคเพื่อไทยนำไปเป็นเครือข่ายให้เหตุผลอย่างชนชั้นนำว่า "เพราะการเมือง หากดีก็เสมอตัว ถ้าไม่ดีก็ถูกขุดคุ้ย เพราะฉะนั้นขอบอกเลยว่า ไม่อยากยุ่งการเมืองและผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเล่นการเมืองได้ จึงขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย"
เมื่อถูกปฏิเสธ "บิ๊กจิ๋ว" ก็มีทางลงด้วยการเปิดเกมใหม่ ไม่พ้นเรื่องความจงรักภักดี ในโครงการสร้างความสมานฉันท์และสามัคคี โดยส่งผ่านข้อความต่าง ๆ ไปยัง 7 หมื่นหมู่บ้านเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในมหาวโรกาสอันเป็นมงคล ในวาระเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ
โครงการที่เกี่ยวเนื่องถูกจัดทำเป็นระลอก-ต่อเนื่อง
"โครงการอันใดก็ได้ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลอง เพื่อถวายเป็นพระเกียรติยศกับสถาบัน อันเป็นที่เคารพรักของเรา ทำกันได้ทั้งนั้น และคิดทำกันมาหลายทีแล้ว ตั้งแต่เรายังอยู่ในราชการ...ในประเทศไทย ในการพัฒนาประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ทำโดยสถาบัน พระมหากษัตริย์ สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านมีขั้นตอน ในการพัฒนา" บิ๊กจิ๋วตอกย้ำความคิด
ทั้งเสียงจาก "ทักษิณ" ที่ส่งตรงถึง "เสธ.หนั่น" ดังก้องไปทั้งท้องถนนการเมือง
ทั้งสัญญาณจาก "บิ๊กจิ๋ว" ถึง "ม.จ.จุลเจิม" กระเทือนไปถึงข้าราชบริพารราชสำนัก
ทุกเสียง-ทุกสัญญาณยังทำให้บริวารพรรคเพื่อไทยจมอยู่ในพงศาวดารกระซิบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ใครคือคนที่สร้างความแตกแยก?
โดย บรรณาธิการ
วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บังคับบัญชาการทหารบก และหัวหน้าผู้รับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินออกคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองในสินค้าซึ่งก่อให้เกิดความแตกแยกในการชุมนุมคนเสื้อแดง ในพื้นที่ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกจำคุกไม่เกิน 2ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อะไรคือสินค้าที่ศอฉ. มองว่าสร้างความแตกแยก? คำสั่งยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภคหรือวัตถุอื่นใดที่มีการพิมพ์ เขียน วาดภาพ ภาพถ่าย หรือวิธีอื่นใดที่ปรากฏความหมายยั่วยุหรือปลุกระดม
คนที่มีสติดีคงจะมองออกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความแตกแยกแต่อย่างใด แต่เป็นวิธีการแบบเผด็จการของศอฉ. กลุ่มอำมาตย์ และรัฐบาลต้องการที่จะทำลายสิทธิการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม เพราะยอมรับไม่ได้กับความเป็นจริง
ความแตกแยกทางสังคมไม่ได้เกิดจากการชุมนุมคนเสื้อแดง หรือการขายสินค้าที่มีข้อความต่อต้านกลุ่มอำมาตย์แต่อย่างใด แต่เกิดจากพฤติกรรมเหล่านี้
การทำรัฐประหารปี 2549เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การร่วมมือ จัดตั้งและสนับสนุนม๊อบพันธมิตรในการยึดทำเนียบ สนามบิน ขับไล่รัฐบาล และก่ออาชญากรรมโดยไม่มีความผิด
การพยายามปล้นสิทธิเลือกตั้งจากประชาชน โดยอ้างว่าคนจนเป็นคนโง่ ไม่มีวิจารณญาณ เพราะไม่เลือกพรรคที่กลุ่มอำมาตย์สนับสนุน
การทำลายการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีอารยะธรรม โดยการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเพื่อเข่นฆ่าผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบมานานนับปี และหลังจากนั้นพยายามปกปิดอาชญากรมของกลุ่มตนเอง
การจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้าม ปิดบังข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรง
การให้ท้ายส่งเสริมอาชญากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชน
การเริ่มกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอม
ล่าสุดคือการช่วยเหลือกันปิดพฤติกรรมอันน่าอดสูของตุลาการศาลรัฐธรรม
พฤติกรรมข้างต้นนั้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ที่จริงแล้วศอฉ.ควรจะออกคำสั่งแบนตัวเอง กลุ่มอำมาตย์และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะคนส่วนน้อยกลุ่มนั้นเป็นต้นเหตุที่แท้จริงในการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศไทย
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ตร.ส่งตัว"พัลลภ"พร้อมสำนวนฟ้องหมิ่น"สุเทพ" ให้อัยการ
วันนี้ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง พาตัว พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหารนอกราชการ อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา มาส่งมอบให้อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 พร้อมสำนวนพยานหลักฐาน และความเห็นสมควรสั่งฟ้องจำนวน 42 หน้า เพื่อพิจารณาสั่งคดีกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุ 100.5 ตอบโต้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทำนองว่าการใช้คำพูดของนายสุเทพที่ให้สัมภาษณ์โต้ภายหลังพรรคเพื่อไทยนำพยาน 2 คนคดียุบพรรคไทยรักไทย ออกมาแถลงข่าวนั้น ไม่น่าจะมาจากปากของคนที่เป็นเสนาบดี เคยเห็นแต่เด็กปากคลองตลาด
ภายหลังรับมอบสำนวนแล้ว อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 นัดฟังการสั่งคดีในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น.
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้มอบให้ทนายความยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพื่อให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เตรียมจะลงเล่นการเมืองหากมีการยุบสภา โดยจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ได้เดินสายปราศรัยกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถบภาคอีสาน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทางไปอุดรธานีและบุรีรัมย์ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภายหลังรับมอบสำนวนแล้ว อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 นัดฟังการสั่งคดีในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น.
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้มอบให้ทนายความยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพื่อให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เตรียมจะลงเล่นการเมืองหากมีการยุบสภา โดยจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ได้เดินสายปราศรัยกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถบภาคอีสาน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทางไปอุดรธานีและบุรีรัมย์ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทูตญี่ปุ่นทวงถามคดีนักข่าวถูกยิงดับปริศนา
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายเซอิจิ โคจิมะ เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคาราวะ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ว่า มีการพูดคุยหารือกันในหลายเรื่องด้วยกัน ส่วนคดีนักข่าวญี่ปุ่นในเสียชีวิตขณะที่มาทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงนั้นมีการหารือสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี และพูดคุยกันในภาพรวม เขาก็พอใจการทำคดีและการดูแลของเรา ก่อนหน้านี้ทางตำรวจก็ได้มีการประสานความคืบหน้าคดีกับทางสถานทูตโดยตลอดอยู่แล้ว
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอส่งมาให้ ตร.นั้น เป็นสำนวนชันสูตรศพเท่านั้นเอง เพราะโดยทั่วไปถ้ามีการตายผิดปกติต้องมีสำนวนชันสูตรโดยตำรวจ ดีเอสไอรับไปเฉพาะสำนวนของการก่อการร้ายคดีที่ได้รับอนุมัติเป็นคดีพิเศษให้ดีเอสไอไปสอบสวน แม้ศพต่าง ๆ จะได้รับการฌาปณกิจไปแล้วก็ไม่เกี่ยวกันเพราะศพทุกศพมีผลรายการการตรวจสอบศพโดยแพทย์อยู่แล้ว ก็จะนำผลการตรวจศพมาทำสำนวนชันสูตรอีกครั้ง ถ้าเป็นการตายปกติเป็นคดีไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นการชันสูตรศพธรรมดา แต่หากเป็นการตายโดยมีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือการตายระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีการชันสูตรพิเศษ ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งต้องมีอัยการมาร่วด้วย เป็นไปตามป.วิอาญามาตรา 150
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอส่งมาให้ ตร.นั้น เป็นสำนวนชันสูตรศพเท่านั้นเอง เพราะโดยทั่วไปถ้ามีการตายผิดปกติต้องมีสำนวนชันสูตรโดยตำรวจ ดีเอสไอรับไปเฉพาะสำนวนของการก่อการร้ายคดีที่ได้รับอนุมัติเป็นคดีพิเศษให้ดีเอสไอไปสอบสวน แม้ศพต่าง ๆ จะได้รับการฌาปณกิจไปแล้วก็ไม่เกี่ยวกันเพราะศพทุกศพมีผลรายการการตรวจสอบศพโดยแพทย์อยู่แล้ว ก็จะนำผลการตรวจศพมาทำสำนวนชันสูตรอีกครั้ง ถ้าเป็นการตายปกติเป็นคดีไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นการชันสูตรศพธรรมดา แต่หากเป็นการตายโดยมีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือการตายระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีการชันสูตรพิเศษ ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งต้องมีอัยการมาร่วด้วย เป็นไปตามป.วิอาญามาตรา 150
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การเมืองแบบโอเวลเลี่ยนของนายวัชระ เพชรทอง
ในอาทิตย์นี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวัชระ เพชรทอง กล่าวหาดร.ทักษิณ ชินวัตรและผมว่าละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพราะขอความในสมุดปกขาว นายวัชระอ้างว่าตนเองได้รับ “ร้องเรียนมาจากชาวบ้าน” และเรียกร้องให้ตำรวจและประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบการกระทำละเมิดดังกล่าว แต่นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาผม หลังจากการเผยแพร่สมุดปกขาวในเดือนกรกฎาคม โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ดร.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ก็กล่าวหาผมแบบนี้เช่นกัน
ผมขออนุญาตให้อธิบายอย่างชัดเจนในที่นี่ว่า สมุดปกขาวไม่มีข้อความที่อาจเป็นการละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงคือ ข้อมูลที่มีความอ่อนไหวนี้ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่อยู่ในหนังสือหลายร้อยเล่ม และวัชระอาจจะรู้ลึกประหาดใจว่า หากมีการจับกุมคนด้วยข้ออ้างดังกล่าวเกิดขึ้น คงจะมีคนถูกจับกุมจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ข้อความไหนที่นายวัชระอ้างถึง? นายวัชระอ้างถึงข้อความสองข้อความต่อสื่อมวลชนเท่านั้น ข้อความแรกคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงแทรกแซงทางเมืองอย่างเปิดเผยหลังจากเหตุการณ์การชุมนุมในปี 2519และ 2553 เหมือนในปี 2516 และ 2535 ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง และนอกจากนี้สมุดปกขาวไม่ได้ตัดสินคุณค่าหรือให้ความเห็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ข้อนี้เลย ข้อความที่สองคือ มีคนหลายคนที่ถูกจับและคุมขังฐานละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งข้อเท็จดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ทั่วไปว่า จำนวนคนที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาดังกล่าวเพิ่มขึ้นอยู่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีการโกงและฉ้อฉลเพิ่มให้พรรคขึ้นสู่อำนาจ (คดีเพิ่มขึ้น 1500% ตั้งแต่ปี 2552) การประณามการจับกุมดังกล่าวไม่ได้เป็นการหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแน่นอน แต่เป็นการโจมตีคนอย่างนายวัชระและพรรคที่แอบอ้างพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน
และเหตุใดนายวัชระถึงนำเอาเรื่องดังกล่าวมาพูดในตอนนี้ เพราะสมุดปกขาวถูกตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อสี่เดือนก่อน หรือนายวัชระเพิ่งจะตัดสินใจว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ดีไม่งาม? การออกมาโจมตีในระยะเวลาที่แปลกประหลาดไม่ใช่ความพยายามอันโปร่งใส แต่เป็นไปเพื่อต้องการลิดรอนเสรีภาพทางการพูด เพราะประชาคมโลกเริ่มรับรู้ถึงการกระทำอันละเมิดกฎหมายในเหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นทุกวัน สมุดปกขาวที่ตีพิมพ์ออนไลน์และเป็นรูปเล่มทั้งภาคภาษาอังกฤษและไทยถูกดาวน์โหลดและจำหน่ายมากกว่า 50,000 ครั้ง และนั้นคือเหตุผลที่เหตุใดรัฐบาลทหารจึงหยิบยกประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย ดูเหมือนกันว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนายวัชระคือการสกัดยอดขายหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือมากกว่า
เพราะสมุกปกขาวไม่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ปัญหาใหญ่ของนายวัชระคือการไม่ยอมรับความจริง ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของนายเดวิด สเตร็กฟัส ที่ชื่อว่า the truth itself is on trial in Thailand today ก็ได้ตีพิมพ์ข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ข้ออ้างที่ใช้โจมตีดังกล่าวเผยให้เห็นทัศนะที่โง่เขลาและล้าหลังของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเรียนรู้เรื่องการเมืองจากหนังสือของโอเวลล์ (ว่าด้วยรัฐอำนาจนิยม) ซึ่งถอยห่างจากสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน อิสรภาพ และความพยามอย่างโปร่งใสที่จะสร้างสังคมที่มีเสรีภาพ
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
******************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ยุติธรรมสมานฉันท์...กับ'การเมือง'แก้'การเมือง'
กระบวนการสมานรอยปริแตกกทางความคิด เริ่มขยับโดยใช้กลไกของรัฐที่มีอยู่ เช่น ประกันตัวผู้ต้องขังเสื้อแดง ขณะที่ 90ศพกลางเมืองหลวงก็เป็นปมสำคัญ
แม้จะดูล่าช้าไปสักนิด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง สำหรับข้อเสนอล่าสุดของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน
ข้อเสนอที่ว่านี้ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเรื่อง "ปล่อยตัวชั่วคราว" หรือ "ให้ประกัน" กับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่สิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน โดยเน้นไปยังกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือสนับสนุนความรุนแรงระหว่างการชุมนุมก่อน
รายงานของ คอป.ให้เหตุผลในแง่ที่ว่า สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็น "สิทธิพื้นฐาน" ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล และรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 40 (7)
เพราะการเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในความควบคุมหรือในอำนาจรัฐเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อเสรีภาพของบุคคลอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญแล้ว ยังกระทบถึงโอกาสในการต่อสู้คดี และส่งผลกระทบต่อครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้กล่าวหาอีกด้วย
"กุญแจดอกสำคัญ" ของรายงานฉบับนี้ ในความเห็นของผมคิดว่ามีอยู่ 2 ประเด็น ก็คือ
หนึ่ง การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำแนวทาง "สันติวิธี" มาใช้ในการแสวงหาทางออกให้กับบ้านเมือง โดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็น "จุดเปลี่ยนที่สำคัญ" ที่จะส่งสัญญาณว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับกระบวนการสร้างความปรองดองในชาติ และเป็นการลดกระแสความเชื่อที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในระบบการปกครองของรัฐ อันอาจสร้างความร้าวฉานและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่
สอง การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธีดังกล่าว จะดำเนินไปภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ซึ่งไม่ใช่การมุ่งเอาผิดกันในแบบ "แก้แค้นทดแทน" แต่เน้นใช้การทำความเข้าใจ และชี้ให้เห็นความเสียหายหากเลือกใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา
นี่คือแนวทางการใช้ "การเมือง" แก้ปัญหาขัดแย้งทาง "การเมือง" ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังและหยิบมาปฏิบัติโดยพลัน!
จุดเด่นที่สุดที่ทำให้ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ คอป.ในเรื่องนี้ก็คือ คอป.ไม่ได้บอกให้รัฐบาลละเลยการบังคับใช้กฎหมาย หรือมองกฎหมายเป็นปฏิปักษ์ แต่แนะให้รัฐบาลเลือกใช้ "ดุลพินิจ" ในบางกรณี และเปิดโอกาสให้มีการ "พูดคุย" กับคนที่คิดเห็นต่างทางการเมือง หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพื่อให้เกิดการรับฟัง แลกเปลี่ยนทัศนะ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธี
และนี่ก็คือหลักการ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" หรือ Restorative Justice ที่เรียกกันติดปากในหมู่คนยุติธรรมยุคใหม่ว่า "RJ" ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
"ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ไม่ใช่การยกโทษให้ผู้กระทำผิด เพราะการลงโทษนั้นยังมีอยู่ แต่จุดต่างอันสำคัญระหว่าง "RJ" กระบวนการยุติธรรมแบบ "แก้แค้นทดแทน" ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ การสร้างกระบวนการให้ผู้กระทำผิดสำนึกในการกระทำ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนเสียหายของ "เหยื่อ" รวมไปถึง "ชุมชน" ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของตน
หลักการของ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" จึงเป็นการให้ผู้กระทำผิดได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนการกระทำ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันระหว่างตัวผู้กระทำผิด เหยื่อ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันหาทางยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ "จับยัดคุกแล้วจบ" เหมือนที่เป็นอยู่ (เพราะความจริงมันไม่มีทางจบ)
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จึงเป็นเวทีแห่งความเข้าใจที่ดึงทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยและจัดการปัญหาร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกระบวนการ "สานเสวนา" ที่นักสันติวิธีทั้งหลายพยายามเรียกร้องมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในการเมืองไทยนั่นเอง
แน่นอนว่ากับบริบทปัญหาความขัดแย้งขนาดใหญ่เช่นนี้ การทบทวนการกระทำของตนย่อมต้องไม่จำกัดเฉพาะ "คนเสื้อแดง" ที่ถูกคุมขัง แต่ต้องหมายรวมถึง "คนเสื้อแดง" ในภาพใหญ่ และที่สำคัญคือ "รัฐบาล" ในฐานะคู่ขัดแย้ง ซึ่งมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบกรณีที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่กลางเมืองหลวงกว่า 90 ศพได้เช่นกัน
ผมเชื่อมั่นว่าการทบทวนตนเอง ยอมรับผิดร่วมกัน และใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง จะเป็นทางออกของประเทศนี้ได้ในยามที่ดูเหมือนไร้ทางออก!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
***************************************************
แม้จะดูล่าช้าไปสักนิด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง สำหรับข้อเสนอล่าสุดของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน
ข้อเสนอที่ว่านี้ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเรื่อง "ปล่อยตัวชั่วคราว" หรือ "ให้ประกัน" กับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่สิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน โดยเน้นไปยังกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือสนับสนุนความรุนแรงระหว่างการชุมนุมก่อน
รายงานของ คอป.ให้เหตุผลในแง่ที่ว่า สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็น "สิทธิพื้นฐาน" ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล และรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 40 (7)
เพราะการเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในความควบคุมหรือในอำนาจรัฐเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อเสรีภาพของบุคคลอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญแล้ว ยังกระทบถึงโอกาสในการต่อสู้คดี และส่งผลกระทบต่อครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้กล่าวหาอีกด้วย
"กุญแจดอกสำคัญ" ของรายงานฉบับนี้ ในความเห็นของผมคิดว่ามีอยู่ 2 ประเด็น ก็คือ
หนึ่ง การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำแนวทาง "สันติวิธี" มาใช้ในการแสวงหาทางออกให้กับบ้านเมือง โดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็น "จุดเปลี่ยนที่สำคัญ" ที่จะส่งสัญญาณว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับกระบวนการสร้างความปรองดองในชาติ และเป็นการลดกระแสความเชื่อที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในระบบการปกครองของรัฐ อันอาจสร้างความร้าวฉานและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่
สอง การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธีดังกล่าว จะดำเนินไปภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ซึ่งไม่ใช่การมุ่งเอาผิดกันในแบบ "แก้แค้นทดแทน" แต่เน้นใช้การทำความเข้าใจ และชี้ให้เห็นความเสียหายหากเลือกใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา
นี่คือแนวทางการใช้ "การเมือง" แก้ปัญหาขัดแย้งทาง "การเมือง" ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังและหยิบมาปฏิบัติโดยพลัน!
จุดเด่นที่สุดที่ทำให้ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ คอป.ในเรื่องนี้ก็คือ คอป.ไม่ได้บอกให้รัฐบาลละเลยการบังคับใช้กฎหมาย หรือมองกฎหมายเป็นปฏิปักษ์ แต่แนะให้รัฐบาลเลือกใช้ "ดุลพินิจ" ในบางกรณี และเปิดโอกาสให้มีการ "พูดคุย" กับคนที่คิดเห็นต่างทางการเมือง หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพื่อให้เกิดการรับฟัง แลกเปลี่ยนทัศนะ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาบนแนวทางสันติวิธี
และนี่ก็คือหลักการ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" หรือ Restorative Justice ที่เรียกกันติดปากในหมู่คนยุติธรรมยุคใหม่ว่า "RJ" ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
"ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ไม่ใช่การยกโทษให้ผู้กระทำผิด เพราะการลงโทษนั้นยังมีอยู่ แต่จุดต่างอันสำคัญระหว่าง "RJ" กระบวนการยุติธรรมแบบ "แก้แค้นทดแทน" ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ การสร้างกระบวนการให้ผู้กระทำผิดสำนึกในการกระทำ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนเสียหายของ "เหยื่อ" รวมไปถึง "ชุมชน" ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของตน
หลักการของ "ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" จึงเป็นการให้ผู้กระทำผิดได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนการกระทำ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันระหว่างตัวผู้กระทำผิด เหยื่อ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันหาทางยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ "จับยัดคุกแล้วจบ" เหมือนที่เป็นอยู่ (เพราะความจริงมันไม่มีทางจบ)
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จึงเป็นเวทีแห่งความเข้าใจที่ดึงทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยและจัดการปัญหาร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกระบวนการ "สานเสวนา" ที่นักสันติวิธีทั้งหลายพยายามเรียกร้องมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในการเมืองไทยนั่นเอง
แน่นอนว่ากับบริบทปัญหาความขัดแย้งขนาดใหญ่เช่นนี้ การทบทวนการกระทำของตนย่อมต้องไม่จำกัดเฉพาะ "คนเสื้อแดง" ที่ถูกคุมขัง แต่ต้องหมายรวมถึง "คนเสื้อแดง" ในภาพใหญ่ และที่สำคัญคือ "รัฐบาล" ในฐานะคู่ขัดแย้ง ซึ่งมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบกรณีที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่กลางเมืองหลวงกว่า 90 ศพได้เช่นกัน
ผมเชื่อมั่นว่าการทบทวนตนเอง ยอมรับผิดร่วมกัน และใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง จะเป็นทางออกของประเทศนี้ได้ในยามที่ดูเหมือนไร้ทางออก!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
***************************************************
จี้ชันสูตรศพเสื้อแดงผลสอบสวนชี้ชัดคนสั่ง-คนฆ่าใกล้คุก
“จตุพร” จี้ตำรวจ อัยการชันสูตรศพคนเสื้อแดงภายใน 30 วัน หลังดีเอสไอสรุปผลสอบสวนเบื้องต้นเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อส่งคดีให้ศาลพิจารณา ระบุคนสั่งปราบปรามและคนลงมือสังหารประชาชนใกล้คุกเข้ามาทุกทีแล้ว ย้ำชุมนุม 19 พ.ย. รำลึก 6 เดือนราชประสงค์ไม่รุนแรง ทำกิจกรรมชั่วโมงเดียวเลิก “ธาริต” ไม่หวั่นถูกฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ยันอำนาจสอบสวนเป็นของเจ้าหน้าที่ เรื่องทำงานเร็วช้าอยู่ที่พยานหลักฐาน ผบช.น. เข้มห้ามตั้งเวที ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ห้ามปิดถนน ภายใน 2 ชั่วโมงต้องเลิก โฆษก “มาร์ค” ติงไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่าวิจารณ์ผลสอบสวนสาเหตุการตาย เกรงทำให้สังคมสับสน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ระบุว่า การที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงความคืบหน้าผลสอบการเสียชีวิต 89 ศพว่า บางส่วนอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ และการตายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหารเป็นฝีมือของทหาร ก็ชัดเจนว่าผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารใกล้คุกเข้าไปทุกทีแล้ว
จี้ชันสูตรศพเสื้อแดงใน 30 วัน
“เมื่อแถลงออกมาชัดเจนอย่างนี้แล้วขอให้ตำรวจและอัยการเร่งดำเนินการชันสูตรพลิกศพภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะไม่มีเหตุผลที่จะประวิงเวลากันอีกต่อไป และขอให้ดีเอสไอเร่งแถลงผลการสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนที่เหลือโดยเร็ว เพราะทำงานมานานกว่า 7 เดือนแล้ว” นายจตุพรกล่าวพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอ ตำรวจ หรืออัยการ ขอให้ผู้นำรัฐบาล ผู้นำทหารประกาศความพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาสั่งฆ่าประชาชนในชั้นศาล และสุดท้ายขอเรียกร้องถึงศาลยุติธรรมให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้สังคม
นำผลสอบดีเอสไอฟ้องศาล
นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะนำข้อมูลในส่วนที่ดีเอสไอแถลงและผลของคดีไปฟ้องต่อศาลโลก แม้จะมีข้อกล่าวอ้างว่าทำตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในข้อเท็จจริงไม่ว่าจะใช้กฎหมายใดก็ไม่มีสิทธิเข่นฆ่าประชาชน สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองนั้น คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้ ส่วนแกนนำและแนวร่วมที่อยู่ในเรือนจำจะพยายามยื่นประกันตัวต่อไป
พร้อมไปพบ ศอฉ. ตามนัดหมาย
นายจตุพรกล่าวอีกว่า พร้อมไปพบกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อหารือเรื่องการจัดงานรำลึก 6 เดือน 6 โมงเย็น ที่ราชประสงค์ ในวันที่ 19 พ.ย. โดยจะไปที่ห้องประชุมกองทัพบก เทเวศน์ ในวันที่ 18 พ.ย. เวลา 11.00 น.
“เท่าที่ทราบ ศอฉ. เรียก พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ไปพบด้วยในวันที่ 19 พ.ย. นี้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดทำอะไร แต่ยืนยันว่าพวกผมไม่เคยคิดหนี” นายจตุพรกล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่ต้องเป็นห่วงการชุมนุมวันที่ 19 พ.ย. นี้ เพราะจะทำกิจกรรมกันเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น โดยนอกจากจะร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์แล้ว จะร่วมกันกราบไหว้ท้าวมหาพรหมเพื่อขอพรให้ท่านช่วยดลบันดาลให้พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำได้รับการปล่อยตัว และให้คนที่สั่งฆ่าประชาชนได้รับโทษ
“ธาริต” ไม่กลัวถูกฟ้อง
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ไม่กังวลหากนายจตุพรจะยื่นฟ้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมล่าช้า
“การสรุปสำนวนเพื่อสั่งฟ้องคดีเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน เมื่อทำคดีเสร็จต้องส่งเรื่องให้อัยการพิจารณา และเรื่องนี้ดีเอสไอไม่ได้ทำงานเพียงหน่วยเดียว แต่ทำร่วมกับตำรวจและอัยการ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมายังไม่เคยมีประวัติว่าพนักงานสอบสวนถูกฟ้องร้องด้วยเรื่องแบบนี้” นายธาริตกล่าวพร้อมยืนยันว่า จากการผลการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆเชื่อได้ว่าการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการ พล.ร. 2 รอ. เสียชีวิตจากการกระทำของคนเสื้อแดงหรือผู้สนับสนุน ส่วนที่นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานเห็น พ.อ.ร่มเกล้าถูกทหารยิงนั้น อยากทำความเข้าใจว่าการทำงานของดีเอสไม่ได้ฟังข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาจากหลายองค์ประกอบ
“สุเทพ” มั่นใจ ศอฉ. คุมเสื้อแดงได้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่า ศอฉ. จะสามารถควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 19 พ.ย. นี้ได้ เพราะการเคลื่อนไหวในช่วงหลังๆไม่มีเหตุการณ์อะไรบ่งบอกว่าจะเกิดความรุนแรง ส่วนการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นนายกรัฐมนตรีให้นโยบายชัดเจนว่า เมื่อสถานการณ์ปรกติก็จะยกเลิกทั้งหมด
นายสุเทพระบุว่า ผลการสอบสวนการเสียชีวิตที่ดีเอสไอแถลงออกมา เชื่อว่าจะคลายความสงสัยของสังคมได้ระดับหนึ่งว่าเราดำเนินการตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง
ทหารอากาศปฏิเสธหมิ่นเบื้องสูง
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศ ผู้ต้องหาคดีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คไม่เหมาะสมและพาดพิงสถาบันเบื้องสูง เข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นผู้รับเรื่อง
ตำรวจตั้ง 2 ข้อหาส่งตัวให้ศาลทหาร
พล.ต.ต.อำนวยเปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อคือ ทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และหมิ่นสถาบัน แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าอาจมีคนปลอมชื่อเข้าไปโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงกันต่อไป
“เมื่อรับมอบตัวแล้วจะส่งตัวไปยังศาลทหาร ส่วนศาลทหารจะให้ควบคุมตัวได้หรือให้ประกันตัวก็สุดแล้วแต่”
ผบช.น. ห้ามเสื้อแดงตั้งเวที
พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 19 พ.ย. นี้จะใช้มาตรการเดิมในการควบคุมคือ ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ห้ามตั้งเวที ห้ามปิดหรือกีดขวางการจราจร ซึ่งได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.กีรินทร์ อินทร์แก้ว รอง ผบช.น. ไปประสานทำความเข้าใจกับแกนนำแล้ว
ภายใน 1-2 ชั่วโมงต้องเลิกชุมนุม
“เท่าที่ทราบการชุมนุมจะมี 3 จุด ช่วงเช้าคนเสื้อแดงจะไปรวมตัวกันที่เรือนจำเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและแนวร่วม ช่วงสายๆจะไปที่ดีเอสไอ และช่วงเย็นไปร่วมตัวกันที่แยกราชประสงค์” พล.ต.ท.จักรทิพย์กล่าวและว่า ไม่อยากให้การชุมนุมยืดเยื้อเพราะกลางคืนควบคุมดูแลยาก ควรเลิกชุมนุมภายใน 1-2 ชั่วโมง
โฆษก “มาร์ค” ห่วงมือที่สามแทรก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้เกี่ยวข้องจึงต้องเตรียมความพร้อมในการเข้าไปควบคุมดูแลการชุมนุม หากไม่เตรียมความพร้อมอาจมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้าไปฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิดมาให้รัฐบาลได้
นายเทพไทตำหนินายจตุพรว่า ไม่ควรออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของดีเอสไอ เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสน การสอบสวนจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต้องมีการพิสูจน์กันด้วยข้อมูลหลักฐาน ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกตัดสิน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซง พร้อมพิสูจน์ความจริงในทุกข้อกล่าวหาบนพื้นฐานของกฎหมาย หากนายจตุพรเชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้เสียหายก็หาพยานหลักฐานมายื่นฟ้องรัฐบาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ระบุว่า การที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงความคืบหน้าผลสอบการเสียชีวิต 89 ศพว่า บางส่วนอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ และการตายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหารเป็นฝีมือของทหาร ก็ชัดเจนว่าผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารใกล้คุกเข้าไปทุกทีแล้ว
จี้ชันสูตรศพเสื้อแดงใน 30 วัน
“เมื่อแถลงออกมาชัดเจนอย่างนี้แล้วขอให้ตำรวจและอัยการเร่งดำเนินการชันสูตรพลิกศพภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะไม่มีเหตุผลที่จะประวิงเวลากันอีกต่อไป และขอให้ดีเอสไอเร่งแถลงผลการสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนที่เหลือโดยเร็ว เพราะทำงานมานานกว่า 7 เดือนแล้ว” นายจตุพรกล่าวพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอ ตำรวจ หรืออัยการ ขอให้ผู้นำรัฐบาล ผู้นำทหารประกาศความพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาสั่งฆ่าประชาชนในชั้นศาล และสุดท้ายขอเรียกร้องถึงศาลยุติธรรมให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้สังคม
นำผลสอบดีเอสไอฟ้องศาล
นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะนำข้อมูลในส่วนที่ดีเอสไอแถลงและผลของคดีไปฟ้องต่อศาลโลก แม้จะมีข้อกล่าวอ้างว่าทำตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในข้อเท็จจริงไม่ว่าจะใช้กฎหมายใดก็ไม่มีสิทธิเข่นฆ่าประชาชน สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองนั้น คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้ ส่วนแกนนำและแนวร่วมที่อยู่ในเรือนจำจะพยายามยื่นประกันตัวต่อไป
พร้อมไปพบ ศอฉ. ตามนัดหมาย
นายจตุพรกล่าวอีกว่า พร้อมไปพบกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อหารือเรื่องการจัดงานรำลึก 6 เดือน 6 โมงเย็น ที่ราชประสงค์ ในวันที่ 19 พ.ย. โดยจะไปที่ห้องประชุมกองทัพบก เทเวศน์ ในวันที่ 18 พ.ย. เวลา 11.00 น.
“เท่าที่ทราบ ศอฉ. เรียก พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ไปพบด้วยในวันที่ 19 พ.ย. นี้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดทำอะไร แต่ยืนยันว่าพวกผมไม่เคยคิดหนี” นายจตุพรกล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่ต้องเป็นห่วงการชุมนุมวันที่ 19 พ.ย. นี้ เพราะจะทำกิจกรรมกันเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น โดยนอกจากจะร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์แล้ว จะร่วมกันกราบไหว้ท้าวมหาพรหมเพื่อขอพรให้ท่านช่วยดลบันดาลให้พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำได้รับการปล่อยตัว และให้คนที่สั่งฆ่าประชาชนได้รับโทษ
“ธาริต” ไม่กลัวถูกฟ้อง
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ไม่กังวลหากนายจตุพรจะยื่นฟ้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมล่าช้า
“การสรุปสำนวนเพื่อสั่งฟ้องคดีเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน เมื่อทำคดีเสร็จต้องส่งเรื่องให้อัยการพิจารณา และเรื่องนี้ดีเอสไอไม่ได้ทำงานเพียงหน่วยเดียว แต่ทำร่วมกับตำรวจและอัยการ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมายังไม่เคยมีประวัติว่าพนักงานสอบสวนถูกฟ้องร้องด้วยเรื่องแบบนี้” นายธาริตกล่าวพร้อมยืนยันว่า จากการผลการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆเชื่อได้ว่าการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการ พล.ร. 2 รอ. เสียชีวิตจากการกระทำของคนเสื้อแดงหรือผู้สนับสนุน ส่วนที่นายจตุพรยืนยันว่ามีพยานเห็น พ.อ.ร่มเกล้าถูกทหารยิงนั้น อยากทำความเข้าใจว่าการทำงานของดีเอสไม่ได้ฟังข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาจากหลายองค์ประกอบ
“สุเทพ” มั่นใจ ศอฉ. คุมเสื้อแดงได้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่า ศอฉ. จะสามารถควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 19 พ.ย. นี้ได้ เพราะการเคลื่อนไหวในช่วงหลังๆไม่มีเหตุการณ์อะไรบ่งบอกว่าจะเกิดความรุนแรง ส่วนการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นนายกรัฐมนตรีให้นโยบายชัดเจนว่า เมื่อสถานการณ์ปรกติก็จะยกเลิกทั้งหมด
นายสุเทพระบุว่า ผลการสอบสวนการเสียชีวิตที่ดีเอสไอแถลงออกมา เชื่อว่าจะคลายความสงสัยของสังคมได้ระดับหนึ่งว่าเราดำเนินการตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง
ทหารอากาศปฏิเสธหมิ่นเบื้องสูง
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศ ผู้ต้องหาคดีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คไม่เหมาะสมและพาดพิงสถาบันเบื้องสูง เข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นผู้รับเรื่อง
ตำรวจตั้ง 2 ข้อหาส่งตัวให้ศาลทหาร
พล.ต.ต.อำนวยเปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อคือ ทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และหมิ่นสถาบัน แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าอาจมีคนปลอมชื่อเข้าไปโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงกันต่อไป
“เมื่อรับมอบตัวแล้วจะส่งตัวไปยังศาลทหาร ส่วนศาลทหารจะให้ควบคุมตัวได้หรือให้ประกันตัวก็สุดแล้วแต่”
ผบช.น. ห้ามเสื้อแดงตั้งเวที
พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 19 พ.ย. นี้จะใช้มาตรการเดิมในการควบคุมคือ ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ห้ามตั้งเวที ห้ามปิดหรือกีดขวางการจราจร ซึ่งได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.กีรินทร์ อินทร์แก้ว รอง ผบช.น. ไปประสานทำความเข้าใจกับแกนนำแล้ว
ภายใน 1-2 ชั่วโมงต้องเลิกชุมนุม
“เท่าที่ทราบการชุมนุมจะมี 3 จุด ช่วงเช้าคนเสื้อแดงจะไปรวมตัวกันที่เรือนจำเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและแนวร่วม ช่วงสายๆจะไปที่ดีเอสไอ และช่วงเย็นไปร่วมตัวกันที่แยกราชประสงค์” พล.ต.ท.จักรทิพย์กล่าวและว่า ไม่อยากให้การชุมนุมยืดเยื้อเพราะกลางคืนควบคุมดูแลยาก ควรเลิกชุมนุมภายใน 1-2 ชั่วโมง
โฆษก “มาร์ค” ห่วงมือที่สามแทรก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้เกี่ยวข้องจึงต้องเตรียมความพร้อมในการเข้าไปควบคุมดูแลการชุมนุม หากไม่เตรียมความพร้อมอาจมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้าไปฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิดมาให้รัฐบาลได้
นายเทพไทตำหนินายจตุพรว่า ไม่ควรออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของดีเอสไอ เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสน การสอบสวนจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต้องมีการพิสูจน์กันด้วยข้อมูลหลักฐาน ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกตัดสิน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซง พร้อมพิสูจน์ความจริงในทุกข้อกล่าวหาบนพื้นฐานของกฎหมาย หากนายจตุพรเชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้เสียหายก็หาพยานหลักฐานมายื่นฟ้องรัฐบาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
รัฐบาลไม่ห่วงถูกตัดสัมพันธ์หลังส่งตัว‘บูท’
รัฐบาลยืนยันการส่งตัว “วิคเตอร์ บูท” ให้สหรัฐเป็นตามขั้นตอนกฎหมาย เชื่อรัสเซียเข้าใจเรื่องนี้ดีแต่อาจมีแสดงออกถึงความไม่พอใจบ้างถือเป็นเรื่องปรกติ รักษาการอธิบดีกรมราชทัณฑ์ระบุที่ต้องรีบส่งตัวเพราะหากพ้นกำหนดวันที่ 19 พ.ย. จะไม่มีสิทธิควบคุมตัวต่อ “เมียบูท” บินกลับรัสเซียหาลู่ทางอื่นช่วยสามี
นางเอลล่า บูท ภรรยานายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามที่ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปสหรัฐ ระบุว่า ไทยไม่มีเหตุอันควรในการส่งตัว เนื่องจากการต่อสู้คดีในไทยยังไม่สิ้นสุด ถือเป็นการตัดสินใจที่ขัดต่อกระบวนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
นางเอลล่า บูท ยืนยันว่า สามีไม่มีความลับอะไรเกี่ยวกับรัสเซียที่จะให้สหรัฐ ส่วนตัวคิดว่าสหรัฐใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเล่นเกมการเมืองกับรัสเซียเท่านั้น
“น่าแปลกประหลาดที่รับรู้เรื่องการส่งตัวสามีจากสื่อของไทย เพราะทนายหรือแม้แต่สถานทูตรัสเซียในไทยก็ไม่รับรู้มาก่อน แต่ดูเหมือนสหรัฐและไทยจะรู้กันเพราะมีการวางกำลังคุ้มกันตลอดทาง และสหรัฐก็ส่งเครื่องบินและเจ้าหน้าที่มารอรับที่สนามบินโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ล่ำลาสามี แสดงให้เห็นว่าการส่งตัวครั้งนี้ทำกันอย่างลับๆ ทำให้เชื่อได้ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไทยน่าจะเป็นผลมาจากการข่มขู่ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ทางการเมืองหรือทางการเงินก็ตาม” นางเอลล่า บูท กล่าวและว่า จากนี้ไปสหรัฐคงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เห็นว่าสามีมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ทั้งที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่มีต่อเขาได้เลย และเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคณะลูกขุนจะพิจารณาคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา
นางเอลล่า บูท กล่าวอีกว่า จากนี้ไปจะเดินทางกลับรัสเซียเพื่อหาลู่ทางดูว่าจะช่วยสามีได้อย่างไรต่อไป
นายสุรินทร์ เสถียรมาศ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่า การส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะคดีความสิ้นสุดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาล
“เมื่อทุกอย่างทำตามคำสั่งศาล ทนายของนายวิคเตอร์ บูท จะฟ้องร้องเรื่องกระทำไม่ถูกต้องหรือละเมิดอำนาจศาลไม่ได้ หากเราไม่ส่งตัวเมื่อครบกำหนดในวันที่ 19 พ.ย. ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวได้ต่อไป เรื่องนี้เป็นไปตามคำสั่งศาลและนโยบายของรัฐบาล”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันเช่นกันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะสามารถชี้แจงให้รัสเซียเข้าใจได้
“รัฐบาลไม่ได้กังวลว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย เพราะเราดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง เรื่องท่าทีที่เขาแสดงออกกับความเข้าใจในเหตุผลอาจแตกต่างกันได้ เพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก” นายสุเทพกล่าว
นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นว่า หากรัสเซียไม่พอใจถึงกับตัดความสัมพันธ์กับไทยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยแน่นอน เพราะจะไม่สามารถไปเปิดตลาดใหม่ๆในรัสเซียได้ และสายการบินไทยก็ต้องบินอ้อม ไม่สามารถผ่านน่านฟ้าของรัสเซียได้ ทำให้มีต้นทุนเพิ่มในเส้นทางบินยุโรป
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นางเอลล่า บูท ภรรยานายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามที่ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปสหรัฐ ระบุว่า ไทยไม่มีเหตุอันควรในการส่งตัว เนื่องจากการต่อสู้คดีในไทยยังไม่สิ้นสุด ถือเป็นการตัดสินใจที่ขัดต่อกระบวนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
นางเอลล่า บูท ยืนยันว่า สามีไม่มีความลับอะไรเกี่ยวกับรัสเซียที่จะให้สหรัฐ ส่วนตัวคิดว่าสหรัฐใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเล่นเกมการเมืองกับรัสเซียเท่านั้น
“น่าแปลกประหลาดที่รับรู้เรื่องการส่งตัวสามีจากสื่อของไทย เพราะทนายหรือแม้แต่สถานทูตรัสเซียในไทยก็ไม่รับรู้มาก่อน แต่ดูเหมือนสหรัฐและไทยจะรู้กันเพราะมีการวางกำลังคุ้มกันตลอดทาง และสหรัฐก็ส่งเครื่องบินและเจ้าหน้าที่มารอรับที่สนามบินโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ล่ำลาสามี แสดงให้เห็นว่าการส่งตัวครั้งนี้ทำกันอย่างลับๆ ทำให้เชื่อได้ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไทยน่าจะเป็นผลมาจากการข่มขู่ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ทางการเมืองหรือทางการเงินก็ตาม” นางเอลล่า บูท กล่าวและว่า จากนี้ไปสหรัฐคงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เห็นว่าสามีมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ทั้งที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่มีต่อเขาได้เลย และเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคณะลูกขุนจะพิจารณาคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา
นางเอลล่า บูท กล่าวอีกว่า จากนี้ไปจะเดินทางกลับรัสเซียเพื่อหาลู่ทางดูว่าจะช่วยสามีได้อย่างไรต่อไป
นายสุรินทร์ เสถียรมาศ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่า การส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะคดีความสิ้นสุดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาล
“เมื่อทุกอย่างทำตามคำสั่งศาล ทนายของนายวิคเตอร์ บูท จะฟ้องร้องเรื่องกระทำไม่ถูกต้องหรือละเมิดอำนาจศาลไม่ได้ หากเราไม่ส่งตัวเมื่อครบกำหนดในวันที่ 19 พ.ย. ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวได้ต่อไป เรื่องนี้เป็นไปตามคำสั่งศาลและนโยบายของรัฐบาล”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันเช่นกันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะสามารถชี้แจงให้รัสเซียเข้าใจได้
“รัฐบาลไม่ได้กังวลว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย เพราะเราดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง เรื่องท่าทีที่เขาแสดงออกกับความเข้าใจในเหตุผลอาจแตกต่างกันได้ เพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก” นายสุเทพกล่าว
นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นว่า หากรัสเซียไม่พอใจถึงกับตัดความสัมพันธ์กับไทยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยแน่นอน เพราะจะไม่สามารถไปเปิดตลาดใหม่ๆในรัสเซียได้ และสายการบินไทยก็ต้องบินอ้อม ไม่สามารถผ่านน่านฟ้าของรัสเซียได้ ทำให้มีต้นทุนเพิ่มในเส้นทางบินยุโรป
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
กระทงหลงทาง?
“ดูดี สมบูรณ์ หน้าตาก็ยังเป็นเหลี่ยมอยู่อย่างนั้น ใครบอกว่าป่วย ไม่เห็นป่วย ยังหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่เลย”
น้ำเสียงอันเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจคนเสื้อแดง ที่ได้ทราบออกจากปาก “เสธ.หนั่นพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาว่า แดงตัวพ่ออย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงดี
หลังจากทั้ง 2 บุรุษ พบปะกันโดยบังเอิญ (ตามคำบอกเล่าของ เสธ.หนั่น) ในงานบุญมหากุศลที่ประเทศนอร์เวย์ อันเป็นเหตุให้มือประสานสิบทิศจากเมืองชาละวัน ถือโอกาสสาน วาระสมานฉันท์ คุยกันพอหอมปากหอมคอ แต่ว่ากันว่า เวลาแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น มันกลับมีเอฟเฟกต์ดังกระหึ่มสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงปริมณฑลการเมืองไทย
เนื่องด้วยหัวโขนนักโทษหนีคุก อันตรงข้ามแบบสุดกู่กับ บรรดาศักดิ์รองนายกรัฐมนตรี แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่หากมองในเรื่องกาลเทศะ การพบปะกันครั้งนี้ จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งด้วยประการทั้งปวง ลำพังแค่เหตุบังเอิญ ยังยากจะเคลียร์ แต่เหตุบังเอิญครั้งนี้ กลับถูกพุ่งเป้าโจมตีอย่างกว้างขวางว่า มีการจัดฉากส่งหมายนัดล่วงหน้ากันอย่างเสร็จสรรพ
เมื่อเงื่อนไขและความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ เปลี่ยนหน้าแปรพักตร์จาก “เหตุบังเอิญ” เป็นการ “ส่งเทียบเชิญนัดหมายกันล่วงหน้า”มีหรือที่โฟกัสทางการเมืองจะไม่ฉายจับไปที่หัวขบวนปรองดองอย่าง “เสธ.หนั่น”
ต่อรองทางการเมืองอะไรกัน??? กดดันพรรคประชาธิปัตย์ก่อนปรับ ครม.ใช่หรือไม่??? เกี่ยวข้องกับการพลิกขั้วหลังพรรคแกนนำถูกยุบใช่หรือเปล่า??? และจริงหรือไม่ ว่านี่คือการเคลื่อนไหวเพื่อแต่งตัวรอเป็นนายกฯ คนต่อไป???
สารพันคำถามที่ถูกเก็บงำไว้ในใจ ตั้งแต่คาราวานปรองดองเริ่มเคลื่อนไล่ตั้งแต่..มุดคุกพบ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำ นปช...บุกบ้านพระอาทิตย์ จับเข่าคุย “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรฯ...วกเข้า สภาหินอ่อนสนทนากับวุฒิฯ..ดอดเข้าพรรคเพื่อไทย เคลียร์ข้อข้องใจแกนนำเสื้อแดงสายรัฐสภา..
แปรขบวนแวะซดไวน์กับ “เสี่ยกล้วยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แห่งพรรครวมชาติพัฒนา..เปิดเจรจากับรุ่นใหญ่สายพันธ์ุเดียวกันอย่าง “เสนาะ เทียนทอง” เจ้าพ่อวังน้ำเย็นแห่งป้อมค่ายประชาราช...ปักหมุดสมานฉันท์ เปิดอกคุยทีมงานเพื่อแผ่นดินผ่าน “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก”...นั่งจ่ออย่างเป็นกันเองกับหัวหน้าทีมปฏิวัติที่ผันตัวมาลงการเมืองในสีเสื้อพรรคมาตุภูมิอย่าง “บิ๊กบังพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน”
และสุดท้าย สารพันคำถามเหล่านั้นก็พรั่งพรูเข้าหา “เสธ.หนั่น” ในพลัน ที่โคจรมาบรรจบกับ “นายใหญ่” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น “เจ้าพ่อเมืองชาละวัน” แทบไม่เคยโดนสงสัยในเจตนา
ด้วยความพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ล้วนการันตีชัดเจน ความขัดแย้งระหว่างฝ่าย กุมอำนาจประเทศกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” นั่นย่อมเป็นนิจนิรันดร์และไม่ว่า “เสธ.หนั่น”
จะเดินสายปรองดองด้วยความจริงใจหรือมีนัยซ่อนเร้น แต่ในท้ายที่สุดแล้ว “เจ้าพ่อเมืองชาละวัน” ก็เป็นได้แค่เพียง...กระทงปรองดองที่กำลัง หลงทาง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น้ำเสียงอันเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจคนเสื้อแดง ที่ได้ทราบออกจากปาก “เสธ.หนั่นพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาว่า แดงตัวพ่ออย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงดี
หลังจากทั้ง 2 บุรุษ พบปะกันโดยบังเอิญ (ตามคำบอกเล่าของ เสธ.หนั่น) ในงานบุญมหากุศลที่ประเทศนอร์เวย์ อันเป็นเหตุให้มือประสานสิบทิศจากเมืองชาละวัน ถือโอกาสสาน วาระสมานฉันท์ คุยกันพอหอมปากหอมคอ แต่ว่ากันว่า เวลาแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น มันกลับมีเอฟเฟกต์ดังกระหึ่มสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงปริมณฑลการเมืองไทย
เนื่องด้วยหัวโขนนักโทษหนีคุก อันตรงข้ามแบบสุดกู่กับ บรรดาศักดิ์รองนายกรัฐมนตรี แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่หากมองในเรื่องกาลเทศะ การพบปะกันครั้งนี้ จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งด้วยประการทั้งปวง ลำพังแค่เหตุบังเอิญ ยังยากจะเคลียร์ แต่เหตุบังเอิญครั้งนี้ กลับถูกพุ่งเป้าโจมตีอย่างกว้างขวางว่า มีการจัดฉากส่งหมายนัดล่วงหน้ากันอย่างเสร็จสรรพ
เมื่อเงื่อนไขและความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ เปลี่ยนหน้าแปรพักตร์จาก “เหตุบังเอิญ” เป็นการ “ส่งเทียบเชิญนัดหมายกันล่วงหน้า”มีหรือที่โฟกัสทางการเมืองจะไม่ฉายจับไปที่หัวขบวนปรองดองอย่าง “เสธ.หนั่น”
ต่อรองทางการเมืองอะไรกัน??? กดดันพรรคประชาธิปัตย์ก่อนปรับ ครม.ใช่หรือไม่??? เกี่ยวข้องกับการพลิกขั้วหลังพรรคแกนนำถูกยุบใช่หรือเปล่า??? และจริงหรือไม่ ว่านี่คือการเคลื่อนไหวเพื่อแต่งตัวรอเป็นนายกฯ คนต่อไป???
สารพันคำถามที่ถูกเก็บงำไว้ในใจ ตั้งแต่คาราวานปรองดองเริ่มเคลื่อนไล่ตั้งแต่..มุดคุกพบ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำ นปช...บุกบ้านพระอาทิตย์ จับเข่าคุย “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรฯ...วกเข้า สภาหินอ่อนสนทนากับวุฒิฯ..ดอดเข้าพรรคเพื่อไทย เคลียร์ข้อข้องใจแกนนำเสื้อแดงสายรัฐสภา..
แปรขบวนแวะซดไวน์กับ “เสี่ยกล้วยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แห่งพรรครวมชาติพัฒนา..เปิดเจรจากับรุ่นใหญ่สายพันธ์ุเดียวกันอย่าง “เสนาะ เทียนทอง” เจ้าพ่อวังน้ำเย็นแห่งป้อมค่ายประชาราช...ปักหมุดสมานฉันท์ เปิดอกคุยทีมงานเพื่อแผ่นดินผ่าน “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก”...นั่งจ่ออย่างเป็นกันเองกับหัวหน้าทีมปฏิวัติที่ผันตัวมาลงการเมืองในสีเสื้อพรรคมาตุภูมิอย่าง “บิ๊กบังพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน”
และสุดท้าย สารพันคำถามเหล่านั้นก็พรั่งพรูเข้าหา “เสธ.หนั่น” ในพลัน ที่โคจรมาบรรจบกับ “นายใหญ่” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น “เจ้าพ่อเมืองชาละวัน” แทบไม่เคยโดนสงสัยในเจตนา
ด้วยความพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ล้วนการันตีชัดเจน ความขัดแย้งระหว่างฝ่าย กุมอำนาจประเทศกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” นั่นย่อมเป็นนิจนิรันดร์และไม่ว่า “เสธ.หนั่น”
จะเดินสายปรองดองด้วยความจริงใจหรือมีนัยซ่อนเร้น แต่ในท้ายที่สุดแล้ว “เจ้าพ่อเมืองชาละวัน” ก็เป็นได้แค่เพียง...กระทงปรองดองที่กำลัง หลงทาง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มองการณ์ไกล
เบื่อ..พวกวิจารณ์หน้าตู้ทำคนตกรถเสียโอกาสเซ็ง ‘พวกเหลือบนายทุน’เอาเปรียบผู้คนมาตลอด
เห็นอาการดีอกดีใจ...ตีฆ้องร้องป่าว...ว่า “เศรษฐกิจดี” เพราะฝีมือของรัฐบาลชุดนี้ ก็บอกได้คำเดียวว่า “ไม่จริง” เพราะหากใครติดตามการประเมิน...แบบ “มองการณ์ไกล” ที่ผมวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้
จะพบว่า...เศรษฐกิจปีนี้จะดี และปีหน้า...จะดีแบบ สุดๆ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง...เป็นเพราะ “วงรอบเศรษฐกิจ” ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น...และไม่ว่า “ใคร” จะมาเป็น “รัฐบาล” ก็ถือว่า “โชคช่วย” ได้รับอานิสงส์นี้แบบเต็ม เม็ดเต็มหน่วย
เพียงแต่ว่า...จะใช้อานิสงส์นี้ไปในทิศทางที่เป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่....อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ “กึ๋น” ของผู้มีอำนาจ...ว่าจะประเมินและวางแผนได้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร
ยิ่งเห็น “พวกนักวิจารณ์หน้าตู้”...คิดว่า “ตัวเองเลิศเลอ” ดอดมาวิจารณ์ว่า “ตลาดหุ้น” จะเจอกับ “ฟองสบู่” ก็ยิ่งรู้สึกอดสูไม่ได้...เพราะถ้าใครเกาะติดสถานการณ์ตลาดหุ้นแบบจริงๆ จังๆ จะรู้ว่า...ปีนี้เป็นปีที่ “ก้าวกระโดด” แม้จะมีอุปสรรคทางการเมืองมากมาย...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีผลกระทบ ต่อตลาดหุ้น สามารถผ่านระดับ “พันจุด” ขึ้นไปแบบสบายๆ
จึงเป็นเรื่องสะท้อนได้ดีว่า การเก่งแต่จะวิจารณ์อย่างเดียว...หากเราไม่ไตร่ตรองให้ดีๆ ก็เท่ากับว่า จะตกรถ...เสีย โอกาสที่ควรจะหยิบฉวย...ไปโดยปริยาย เข้าตำรา “ความกลัว ทำให้เสื่อม” เพราะสิ่งที่ “นักวิจารณ์หน้าจอตู้” เห็น...ไม่ใช่ “ของจริง”...ยิ่งพวกอนุรักษนิยม (Conservative) ทั้งหลาย... ในรอบปีที่ผ่านมา ก็จะรับรู้เป็นอย่างดีว่า การสูญเสียโอกาส... ในสิ่งที่ควรจะได้...เป็นอย่างไร
เรื่องแบบนี้...สอนกันไม่ได้...แต่อยู่ที่การวิเคราะห์ไตร่ตรอง...ว่าสมควรจะเชื่อกับคำวิจารณ์ที่มี “ประโยชน์แอบแฝง” หรือไม่...แต่เอาล่ะ...ก็ไม่ว่ากัน...หาก “ผู้มีอำนาจ” จะหยิบฉวยในช่วง “เศรษฐกิจขาขึ้น” นี้มาเป็น “ประโยชน์ให้ ตัวเอง”...เพียงแต่ว่า อยากให้มองลงลึกไปถึง “นายทุนธนาคาร” ที่เอาเปรียบ “ประชาชน” ในทุกสถานการณ์
อย่างเวลานี้...ที่เศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน...แต่ “นายทุนธนาคาร” ก็ยังเอาเปรียบและกอบโกยในเรื่อง “อัตราแลกเปลี่ยน” จากค่าเงิน...ชนิดที่...ถ้า “ผู้มีอำนาจ” จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน...หรือติด “ลูกเกรงใจ”...ใครบางคน... ก็จะทำให้ “ประชาชนผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย” มีแต่เสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรหันมาช่วยเหลือ “ผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย” หรือ “ประชาชน” ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีค่าเงินที่แข็งตัว...เพื่อให้ “เขาเหล่านี้” อยู่รอดและอยู่ได้...ไม่ใช่ปล่อยให้ “เหลือบนายทุน” ตั้งหน้าตั้งตา...เอาแต่ “ประโยชน์” ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ
งานนี้ก็ได้แต่บ่นดังๆ เพื่อจะได้กังวานไปเข้าหู “ผู้มีอำนาจ” ว่าจะกล้าทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่...เพราะคำว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” นั้น...ถือเป็น “คำที่โดนใจ” จริงๆ แต่การกระทำกับคำพูดที่คิดขึ้นมานั้น...ส่วนใหญ่ “มักตรงกันข้าม” กันเสมอ...ขอบอก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เห็นอาการดีอกดีใจ...ตีฆ้องร้องป่าว...ว่า “เศรษฐกิจดี” เพราะฝีมือของรัฐบาลชุดนี้ ก็บอกได้คำเดียวว่า “ไม่จริง” เพราะหากใครติดตามการประเมิน...แบบ “มองการณ์ไกล” ที่ผมวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้
จะพบว่า...เศรษฐกิจปีนี้จะดี และปีหน้า...จะดีแบบ สุดๆ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง...เป็นเพราะ “วงรอบเศรษฐกิจ” ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น...และไม่ว่า “ใคร” จะมาเป็น “รัฐบาล” ก็ถือว่า “โชคช่วย” ได้รับอานิสงส์นี้แบบเต็ม เม็ดเต็มหน่วย
เพียงแต่ว่า...จะใช้อานิสงส์นี้ไปในทิศทางที่เป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่....อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ “กึ๋น” ของผู้มีอำนาจ...ว่าจะประเมินและวางแผนได้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร
ยิ่งเห็น “พวกนักวิจารณ์หน้าตู้”...คิดว่า “ตัวเองเลิศเลอ” ดอดมาวิจารณ์ว่า “ตลาดหุ้น” จะเจอกับ “ฟองสบู่” ก็ยิ่งรู้สึกอดสูไม่ได้...เพราะถ้าใครเกาะติดสถานการณ์ตลาดหุ้นแบบจริงๆ จังๆ จะรู้ว่า...ปีนี้เป็นปีที่ “ก้าวกระโดด” แม้จะมีอุปสรรคทางการเมืองมากมาย...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีผลกระทบ ต่อตลาดหุ้น สามารถผ่านระดับ “พันจุด” ขึ้นไปแบบสบายๆ
จึงเป็นเรื่องสะท้อนได้ดีว่า การเก่งแต่จะวิจารณ์อย่างเดียว...หากเราไม่ไตร่ตรองให้ดีๆ ก็เท่ากับว่า จะตกรถ...เสีย โอกาสที่ควรจะหยิบฉวย...ไปโดยปริยาย เข้าตำรา “ความกลัว ทำให้เสื่อม” เพราะสิ่งที่ “นักวิจารณ์หน้าจอตู้” เห็น...ไม่ใช่ “ของจริง”...ยิ่งพวกอนุรักษนิยม (Conservative) ทั้งหลาย... ในรอบปีที่ผ่านมา ก็จะรับรู้เป็นอย่างดีว่า การสูญเสียโอกาส... ในสิ่งที่ควรจะได้...เป็นอย่างไร
เรื่องแบบนี้...สอนกันไม่ได้...แต่อยู่ที่การวิเคราะห์ไตร่ตรอง...ว่าสมควรจะเชื่อกับคำวิจารณ์ที่มี “ประโยชน์แอบแฝง” หรือไม่...แต่เอาล่ะ...ก็ไม่ว่ากัน...หาก “ผู้มีอำนาจ” จะหยิบฉวยในช่วง “เศรษฐกิจขาขึ้น” นี้มาเป็น “ประโยชน์ให้ ตัวเอง”...เพียงแต่ว่า อยากให้มองลงลึกไปถึง “นายทุนธนาคาร” ที่เอาเปรียบ “ประชาชน” ในทุกสถานการณ์
อย่างเวลานี้...ที่เศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน...แต่ “นายทุนธนาคาร” ก็ยังเอาเปรียบและกอบโกยในเรื่อง “อัตราแลกเปลี่ยน” จากค่าเงิน...ชนิดที่...ถ้า “ผู้มีอำนาจ” จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน...หรือติด “ลูกเกรงใจ”...ใครบางคน... ก็จะทำให้ “ประชาชนผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย” มีแต่เสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรหันมาช่วยเหลือ “ผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย” หรือ “ประชาชน” ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีค่าเงินที่แข็งตัว...เพื่อให้ “เขาเหล่านี้” อยู่รอดและอยู่ได้...ไม่ใช่ปล่อยให้ “เหลือบนายทุน” ตั้งหน้าตั้งตา...เอาแต่ “ประโยชน์” ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ
งานนี้ก็ได้แต่บ่นดังๆ เพื่อจะได้กังวานไปเข้าหู “ผู้มีอำนาจ” ว่าจะกล้าทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่...เพราะคำว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” นั้น...ถือเป็น “คำที่โดนใจ” จริงๆ แต่การกระทำกับคำพูดที่คิดขึ้นมานั้น...ส่วนใหญ่ “มักตรงกันข้าม” กันเสมอ...ขอบอก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘โกงไม่ว่าข้าท้องอิ่ม’ลัทธิมหาอุบาทว์!
ช่วงนี้ข่าวสารบ้านเรามีความหลากหลายสูงมาก เพราะเรื่องเก่าอย่างปัญหาน้ำท่วมก็ยังมีอยู่ให้เห็นตามสื่อ 30 จังหวัดสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย ภาคใต้ ก็มีมรสุมแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนอยู่ มิได้ขาด ภาคเหนือก็หนาวสั่นจนขากรรไกร แทบเป็นตะคริว ที่ตายเพราะภัยหนาวก็มีให้เห็นกันแล้วปีนี้ หันไปดูทางด้านตะวันตก... คุณพระช่วย! กลายเป็นเขตภัยพิบัติชายแดน หรือภัยสงครามไปเสียแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีระเบิด มาตกเป็นกิฟต์วอเชอร์...เออ..เข้าท่าดีเหมือน กันนะเมืองไทย
บางครั้ง...บางอารมณ์...ดูข่าวกลับไป กลับมาแล้วให้สงสัยมิได้เจ้าค่ะ???? นี่มัน ประเทศเดียวกันหรือเปล่า????.....อะไรมัน จะเยอะไปหมด???? งงสิเจ้าคะ...
แต่ภัยพิบัติใดก็ไม่เลวร้ายและเจ็บปวดเท่าข่าวนี้....ประชาชนที่มีทัศนคติยอมรับรัฐบาล ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ขอให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดี กินดี!!! ประมาณว่าโกงไม่ว่าขอข้าอิ่มด้วย...ว่างั้นเหอะ.... แนวคิดอุบาทว์นี้มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 63.2% ในเดือนตุลาคม 2551 เพิ่มมาถึง 76.1% ในปัจจุบัน...พุ่งกว่าสถิติของราคา ทองเสียอีกนะเจ้าคะ
ซ้ำร้ายความคิดอันน่าขยะแขยงนี้ยิ่ง กำลังระบาดไปไกลยิ่งกว่าเชื้อโรคร้ายในฤดูร้อน กระจายไปทั่วทุกสาขาอาชีพ เพราะจากการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ทัศนคติของ ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ยอมรับได้กับรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ขอให้ประเทศ ชาติรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดี กินดี ตนเองได้ประโยชน์ด้วย
แม้เจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นขุมกำลังของชาติ มาเป็นอนาคต ของประเทศ ก็ซึมซับเอาแนวคิดแบบนี้เข้า ไปเต็มหัวเสียแล้ว เป็นที่น่าอนาถใจยิ่งนัก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้บ่งบอกว่า มาตรฐานการแยกแยะดีชั่วของเรามันหดหายไปเสียแล้ว บรรทัดฐานทางจริยธรรม มันบิดเบือน มันผิดเพี้ยนตั้งแต่วิธีการคิด.... จนถึงการแสดงออก
ซึ่งในเรื่องนี้ผู้นำของประเทศจะว่าไง ล่ะเจ้าคะ?? ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ได้กล่าวไว้ เมื่อตอนเปิดงาน ป.ป.ช.โลก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า การทุจริตเป็นภัย ที่ทุกประเทศต้องร่วมกันต่อต้าน ทุกวันนี้คนไทยและเยาวชนยอมรับการโกง หากทำ ให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า ซึ่งขัดกับความ เชื่อเดิมที่ว่า การโกงจะทำให้เศรษฐกิจเสื่อมถอย ทั้งที่ไม่มีการคอร์รัปชั่นใดที่จะมีผลดี ทั้งนี้การต่อต้านการทุจริตเป็นเรื่อง ทางศีลธรรม ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากประชาชนยังไม่รู้สึกต่อต้านการ ทุจริต เราก็ยังจะเผชิญปัญหานี้ในอนาคต
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้อง มาร่วมมือกันต่อต้านการคอร์รัปชั่น โดยบทบาทของภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนก็เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้าน ขณะเดียวกับ ผู้มีตำแหน่งสำคัญและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ไทยเป็น 1 ในประเทศที่วางมาตรการ ป้องกันการทุจริตที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัด จ้างภาครัฐ และโชคดีที่ ในหลวงให้แนวคิด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่หากคนไทยทุก คนสามารถทำได้ จะเป็นรากฐานในการสร้างศีลธรรมที่แข็งแกร่งได้
สวยหรูเจ้าค่ะ...งดงามทุกถ้อยคำวจีที่เอื้อนเอ่ย...หากขอแต่อย่าให้มันเป็น แค่ลมปากที่พ่นออกมาแล้วละลายไปกับสายลมเท่านั้น รัฐบาลและผู้นำต้องจริงใจ กับการแก้ปัญหานี้ด้วย เริ่มจากจุลภาค ไปสู่มหภาค เริ่มจากไอ้ที่ใกล้ตัวนั่นแหละเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปมองไหนไกลดอก...เพราะ หญ้าปากคอกก็ยาวจนแหย่รูจมูกถึงไหนต่อ ไหนแล้ว...เล็มมันเสียหน่อยดีหรือเปล่า เจ้าค่ะคุณนายกฯ เจ้าขา....
ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************
บางครั้ง...บางอารมณ์...ดูข่าวกลับไป กลับมาแล้วให้สงสัยมิได้เจ้าค่ะ???? นี่มัน ประเทศเดียวกันหรือเปล่า????.....อะไรมัน จะเยอะไปหมด???? งงสิเจ้าคะ...
แต่ภัยพิบัติใดก็ไม่เลวร้ายและเจ็บปวดเท่าข่าวนี้....ประชาชนที่มีทัศนคติยอมรับรัฐบาล ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ขอให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดี กินดี!!! ประมาณว่าโกงไม่ว่าขอข้าอิ่มด้วย...ว่างั้นเหอะ.... แนวคิดอุบาทว์นี้มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 63.2% ในเดือนตุลาคม 2551 เพิ่มมาถึง 76.1% ในปัจจุบัน...พุ่งกว่าสถิติของราคา ทองเสียอีกนะเจ้าคะ
ซ้ำร้ายความคิดอันน่าขยะแขยงนี้ยิ่ง กำลังระบาดไปไกลยิ่งกว่าเชื้อโรคร้ายในฤดูร้อน กระจายไปทั่วทุกสาขาอาชีพ เพราะจากการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ทัศนคติของ ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ยอมรับได้กับรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ขอให้ประเทศ ชาติรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดี กินดี ตนเองได้ประโยชน์ด้วย
แม้เจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นขุมกำลังของชาติ มาเป็นอนาคต ของประเทศ ก็ซึมซับเอาแนวคิดแบบนี้เข้า ไปเต็มหัวเสียแล้ว เป็นที่น่าอนาถใจยิ่งนัก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้บ่งบอกว่า มาตรฐานการแยกแยะดีชั่วของเรามันหดหายไปเสียแล้ว บรรทัดฐานทางจริยธรรม มันบิดเบือน มันผิดเพี้ยนตั้งแต่วิธีการคิด.... จนถึงการแสดงออก
ซึ่งในเรื่องนี้ผู้นำของประเทศจะว่าไง ล่ะเจ้าคะ?? ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ได้กล่าวไว้ เมื่อตอนเปิดงาน ป.ป.ช.โลก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า การทุจริตเป็นภัย ที่ทุกประเทศต้องร่วมกันต่อต้าน ทุกวันนี้คนไทยและเยาวชนยอมรับการโกง หากทำ ให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า ซึ่งขัดกับความ เชื่อเดิมที่ว่า การโกงจะทำให้เศรษฐกิจเสื่อมถอย ทั้งที่ไม่มีการคอร์รัปชั่นใดที่จะมีผลดี ทั้งนี้การต่อต้านการทุจริตเป็นเรื่อง ทางศีลธรรม ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากประชาชนยังไม่รู้สึกต่อต้านการ ทุจริต เราก็ยังจะเผชิญปัญหานี้ในอนาคต
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้อง มาร่วมมือกันต่อต้านการคอร์รัปชั่น โดยบทบาทของภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนก็เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้าน ขณะเดียวกับ ผู้มีตำแหน่งสำคัญและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ไทยเป็น 1 ในประเทศที่วางมาตรการ ป้องกันการทุจริตที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัด จ้างภาครัฐ และโชคดีที่ ในหลวงให้แนวคิด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่หากคนไทยทุก คนสามารถทำได้ จะเป็นรากฐานในการสร้างศีลธรรมที่แข็งแกร่งได้
สวยหรูเจ้าค่ะ...งดงามทุกถ้อยคำวจีที่เอื้อนเอ่ย...หากขอแต่อย่าให้มันเป็น แค่ลมปากที่พ่นออกมาแล้วละลายไปกับสายลมเท่านั้น รัฐบาลและผู้นำต้องจริงใจ กับการแก้ปัญหานี้ด้วย เริ่มจากจุลภาค ไปสู่มหภาค เริ่มจากไอ้ที่ใกล้ตัวนั่นแหละเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปมองไหนไกลดอก...เพราะ หญ้าปากคอกก็ยาวจนแหย่รูจมูกถึงไหนต่อ ไหนแล้ว...เล็มมันเสียหน่อยดีหรือเปล่า เจ้าค่ะคุณนายกฯ เจ้าขา....
ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************
ยูโรจะแทนที่ดอลลาร์ ?
โดย วันวลิต ธารไทรทอง
ในช่วงหลายปีมานี้ มีเสียงวิจารณ์อย่างมากถึงความไม่มีประสิทธิภาพของเศรษฐกิจสหรัฐ (Poor Economic Performance) และมีกังวลกับการอ่อนค่าอย่างไร้เสถียรภาพของเงินดอลลาร์อย่างกว้างขวาง นักวิชาการที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์อย่างเช่น แบร์รี่ ไอเชนกรีน (Barry Eichengreen) ได้เขียนอธิบายถึงความด้อยประสิทธิภาพของดอลลาร์มาอย่างต่อเนื่อง และสรุปไว้อย่างฟันธงว่า เงินยูโรจะมาแทนที่เงินดอลลาร์ในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency) นอกจากนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของไอเชนกรีน ถึงแม้จะไม่ได้เห็นด้วยในทุกประเด็น แต่โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว พวกเขาเชื่อเหมือนกันว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่ในฐานะเงินตราของโลกแทนดอลล่าร์
มีหลายเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเชื่อว่าเงินยูโรจะแทนที่เงินดอลลาร์ อาทิเช่น พวกเขามั่นใจว่าในยุโรปมีบริษัทชั้นนำของโลกจำนวนมาก (World Class Companies) เช่น บริษัท ซีเมนส์ และ บริษัทฟิลลิปส์ และมีจำนวนประชากรที่พอ ๆ กันระหว่ายูโรโซนกับสหรัฐ อยู่ที่ประมาณ 300 กว่าล้านคน ทั้งยูโรโซนกับสหรัฐ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน ประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มากไปกว่านั้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของยูโรโซนในช่วง 2-3 ปี ก่อน วิกฤตการเงินโลก 2007 มีแนวโน้มที่ดีกว่าสหรัฐ เหนืออื่นใด ค่าเงินของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้วนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มใช้อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน เหตุผลหลัก ๆ เหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเงินยูโรมีโอกาสที่จะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคงจะไม่ง่ายอย่างนั้น ปัจจัยพื้นฐานที่ผิวเผินทางมหภาคเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะสรุปไปว่า เงินยูโรจะแทนที่เงินดอลลาร์ และการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาผนวกกับเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างไร้ซึ่งเสถียรภาพนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินยูโรจะได้รับสิทธิการเป็นเงินตราของโลก เพราะในทางเศรษฐศาสตร์การเงิน การจะเป็นเงินตราสกลุหลักของโลกได้ดีจะต้องให้ความมั่นใจได้ว่าปริมาณเงิน (International Money Supply) จะเพิ่มและลดอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลก ความมีเสถียรภาพของปริมาณเงินจะเป็นเครื่องค้ำยัน “ความยอมรับ” (Acceptability) ความมีเสถียรภาพทางด้านราคา (Price Stability) และความมีสภาพคล่อง (Liquidity) เพื่อบรรลุการเป้าหมายการทำหน้าที่สามประการของเงินตราของโลก นั่นคือ ทำหน้าที่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (International Medium of Exchange) ทำหน้าที่หน่วยในการวัดค่าระหว่างประเทศ (International Unit of Account) และ ทำหน้าที่ในการสะสมค่า (International Store of Value)
ฉะนั้นแล้ว แค่ประเด็นทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียว การที่เงินยูโรจะเป็นเงินตราของโลกได้นั้น ขั้นต่ำสุดเงินยูโรจะต้องสอบผ่านเงื่อนไขที่ว่านี้ แต่ปัญหามีอยู่ว่า ปัจจุบันเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินที่ใช้ในกลุ่มประเทศยุโรป (Regional Currency) นั่นย่อมหมายความว่า ปริมาณเงิน (Money Supply) ก็จะขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคของกลุ่มประเทศยุโรปเป็นสำคัญ แต่ถ้าเราต้องการให้เงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลกด้วยนั้น ปริมาณเงิน (Money Supply) ก็จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจโลกด้วย ประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดกัน (Dilemma) ระหว่างความต้องการปริมาณเงินของกลุ่มประเทศยุโรปกับความต้องการปริมาณเงินของเศรษฐกิจโลก เพราะในบางครั้งความต้องปริมาณในระบบก็อาจจะไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลก (World Reserve Currency) ในยามที่เศรษฐกิจโลกไร้เสถียรภาพจากปริมาณเงินยูโรที่มากเกินไปและต้องการให้ปริมาณเงินยูโรลดลง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรปกำลังตกต่ำและจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) การดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายของกลุ่มประเทศยุโรปนอกจากจะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินยูโรเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยุโรปแล้ว ยังส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณเงินให้ระบบเศรษฐกิจโลกด้วยดังนั้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายนี้ก็จะยิ่งไปซ้ำเติมความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก ในทางกลับกัน ในยามที่เศรษฐกิจโลกประสบกับปัญหาขาดแคลนเงินยูโรเพื่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ แต่ด้วยเหตุผลใดก็ตามทำให้กลุ่มประเทศยุโรปไม่สามารถเพิ่มปริมาณเงิน(Money Supply) เข้าสู่ระบเศรษฐกิจโลกได้ ประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดกันระหว่างความต้องการปริมาณเงินของเศรษฐกิจโลกและกลุ่มประเทศยุโรป
และเมื่อเงินยูโรไม่สามารถกำหนดให้ปริมาณเงิน (International Money Supply) เพิ่มและลดอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลก เงินยูโรก็จะไม่ใช่เงินที่ดีในการทำหน้าที่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ทำหน้าที่สะสมค่า และทำหน้าที่ในการวัดค่า ฉะนั้นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจถ้าผมจะสรุปว่าการนำเงินยูโรมาทำหน้าที่เงินตราของโลกย่อมไม่ใช่แนวทางที่พึงปราถนา
มากไปกว่านั้น กลุ่มประเทศยุโรปต้องจัดให้มีตลาดสินทรัพย์ (Assets Market) ที่มีสภาพคล่องสูง (High Liquidity) เพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (U.S. Treasury Bonds, T-Bonds) มีสภาพคล่องสูงมากสามารถซื้อขายได้ทุกวันทุกเวลา อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตลาดสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศยุโรปมิได้เป็นเช่นนั้น ตลาดสินทรัพย์ยุโรปประกอบไปด้วยตลาดสินทรัพย์ย่อย ๆ ของแต่ละประเทศซึ่งมีกฎระเบียบ การกำกับดูแล (Regulation) จากรัฐบาลของตัวเอง และก็มีรายละเอียดของกฎระเบียบ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน คุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แตกต่งกันไป ตัวอย่างเช่น ตลาดสินทรัพย์ของประเทศกรีก ประเทศเสปน และประเทศเยอรมัน ก็จะมีกฎระเบียบและความน่าเชื่อถือทางเครดิตที่แตกต่างกัน แน่นอนว่า ตลาดสินทรัพย์เช่นนี้ย่อมมีสภาพคล่องที่น้อย
สมควรกล่าวไว้ด้วยว่า จริง ๆ แล้วปัจจัยพื้นฐานทางมหภาคของกลุ่มประเทศยุโรปก็ใช่ว่าจะดีเด่นอะไร ในรอบสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปเติบโตต่ำมาก (Low GDP Growth Rate) แม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ของเศรษฐกิจโลก 2003-2007 (World Economic Bubble) โดยเฉลี่ยเศรษฐกิจเติบโตเพียงแค่ประมาณ 2% ต่อปี แถมยังมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 9% ของกำลังแรงงาน ขณะที่หนี้ภาครัฐอยู่ที่เฉลี่ย 78 % ต่อ GDP
ครับ จากข้อมูลพื้นฐานทางมหภาคนี้ ถ้าเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลก เงินยูโรจะไม่ใช่สกุลเงินที่มีเสน่ห์ต่อการลงทุน
นี่ยังไม่นับรวมถึงปัจจัยทางด้านสังคม การเมือง สังคม และความมั่นคงของกลุ่มประเทศยุโรป เพียงแค่แง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ก็พอที่จะให้ผม สรุปว่า เงินยูโรอาจจะใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงลดทอนความผันผวนในอำนาจซื้อของเงินทุนสำรองได้ (Diversification) แต่เงินยูโรก็ยังมีจุดอ่อนหลายประการต่อการนำมาใช้เป็นเงินตราของโลก
ผมไม่ได้หมายความว่า การที่เงินยูโรไม่สามารถเป็นเงินตราของโลกได้แล้วเงินดอลลาร์ทำหน้าที่ในฐานะเงินตราของโลกได้ดีหรือควรจะทำหน้าที่ต่อไป ผมเพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการหลายท่านที่เชื่อว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ และควรจะใช้เงินยูโรในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency)
ในขณะที่เขียนงานนี้ ผมยังไม่เห็นว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ได้ และถ้าในอนาคตเงินยูโรได้ทำหน้าในฐานะเงินตราของโลก เราก็จะพบกับปัญหาความขัดกัน (Dilemma) ระหว่างความต้องการทางนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศยุโรป กับความต้องการทางนโยบายการเงินของเศรษฐกิจโลก
**********************************************************
ในช่วงหลายปีมานี้ มีเสียงวิจารณ์อย่างมากถึงความไม่มีประสิทธิภาพของเศรษฐกิจสหรัฐ (Poor Economic Performance) และมีกังวลกับการอ่อนค่าอย่างไร้เสถียรภาพของเงินดอลลาร์อย่างกว้างขวาง นักวิชาการที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์อย่างเช่น แบร์รี่ ไอเชนกรีน (Barry Eichengreen) ได้เขียนอธิบายถึงความด้อยประสิทธิภาพของดอลลาร์มาอย่างต่อเนื่อง และสรุปไว้อย่างฟันธงว่า เงินยูโรจะมาแทนที่เงินดอลลาร์ในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency) นอกจากนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของไอเชนกรีน ถึงแม้จะไม่ได้เห็นด้วยในทุกประเด็น แต่โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว พวกเขาเชื่อเหมือนกันว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่ในฐานะเงินตราของโลกแทนดอลล่าร์
มีหลายเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเชื่อว่าเงินยูโรจะแทนที่เงินดอลลาร์ อาทิเช่น พวกเขามั่นใจว่าในยุโรปมีบริษัทชั้นนำของโลกจำนวนมาก (World Class Companies) เช่น บริษัท ซีเมนส์ และ บริษัทฟิลลิปส์ และมีจำนวนประชากรที่พอ ๆ กันระหว่ายูโรโซนกับสหรัฐ อยู่ที่ประมาณ 300 กว่าล้านคน ทั้งยูโรโซนกับสหรัฐ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน ประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มากไปกว่านั้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของยูโรโซนในช่วง 2-3 ปี ก่อน วิกฤตการเงินโลก 2007 มีแนวโน้มที่ดีกว่าสหรัฐ เหนืออื่นใด ค่าเงินของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้วนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มใช้อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน เหตุผลหลัก ๆ เหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเงินยูโรมีโอกาสที่จะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคงจะไม่ง่ายอย่างนั้น ปัจจัยพื้นฐานที่ผิวเผินทางมหภาคเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะสรุปไปว่า เงินยูโรจะแทนที่เงินดอลลาร์ และการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาผนวกกับเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างไร้ซึ่งเสถียรภาพนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินยูโรจะได้รับสิทธิการเป็นเงินตราของโลก เพราะในทางเศรษฐศาสตร์การเงิน การจะเป็นเงินตราสกลุหลักของโลกได้ดีจะต้องให้ความมั่นใจได้ว่าปริมาณเงิน (International Money Supply) จะเพิ่มและลดอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลก ความมีเสถียรภาพของปริมาณเงินจะเป็นเครื่องค้ำยัน “ความยอมรับ” (Acceptability) ความมีเสถียรภาพทางด้านราคา (Price Stability) และความมีสภาพคล่อง (Liquidity) เพื่อบรรลุการเป้าหมายการทำหน้าที่สามประการของเงินตราของโลก นั่นคือ ทำหน้าที่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (International Medium of Exchange) ทำหน้าที่หน่วยในการวัดค่าระหว่างประเทศ (International Unit of Account) และ ทำหน้าที่ในการสะสมค่า (International Store of Value)
ฉะนั้นแล้ว แค่ประเด็นทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียว การที่เงินยูโรจะเป็นเงินตราของโลกได้นั้น ขั้นต่ำสุดเงินยูโรจะต้องสอบผ่านเงื่อนไขที่ว่านี้ แต่ปัญหามีอยู่ว่า ปัจจุบันเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินที่ใช้ในกลุ่มประเทศยุโรป (Regional Currency) นั่นย่อมหมายความว่า ปริมาณเงิน (Money Supply) ก็จะขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคของกลุ่มประเทศยุโรปเป็นสำคัญ แต่ถ้าเราต้องการให้เงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลกด้วยนั้น ปริมาณเงิน (Money Supply) ก็จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจโลกด้วย ประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดกัน (Dilemma) ระหว่างความต้องการปริมาณเงินของกลุ่มประเทศยุโรปกับความต้องการปริมาณเงินของเศรษฐกิจโลก เพราะในบางครั้งความต้องปริมาณในระบบก็อาจจะไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลก (World Reserve Currency) ในยามที่เศรษฐกิจโลกไร้เสถียรภาพจากปริมาณเงินยูโรที่มากเกินไปและต้องการให้ปริมาณเงินยูโรลดลง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรปกำลังตกต่ำและจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) การดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายของกลุ่มประเทศยุโรปนอกจากจะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินยูโรเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยุโรปแล้ว ยังส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณเงินให้ระบบเศรษฐกิจโลกด้วยดังนั้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายนี้ก็จะยิ่งไปซ้ำเติมความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก ในทางกลับกัน ในยามที่เศรษฐกิจโลกประสบกับปัญหาขาดแคลนเงินยูโรเพื่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ แต่ด้วยเหตุผลใดก็ตามทำให้กลุ่มประเทศยุโรปไม่สามารถเพิ่มปริมาณเงิน(Money Supply) เข้าสู่ระบเศรษฐกิจโลกได้ ประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดกันระหว่างความต้องการปริมาณเงินของเศรษฐกิจโลกและกลุ่มประเทศยุโรป
และเมื่อเงินยูโรไม่สามารถกำหนดให้ปริมาณเงิน (International Money Supply) เพิ่มและลดอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลก เงินยูโรก็จะไม่ใช่เงินที่ดีในการทำหน้าที่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ทำหน้าที่สะสมค่า และทำหน้าที่ในการวัดค่า ฉะนั้นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจถ้าผมจะสรุปว่าการนำเงินยูโรมาทำหน้าที่เงินตราของโลกย่อมไม่ใช่แนวทางที่พึงปราถนา
มากไปกว่านั้น กลุ่มประเทศยุโรปต้องจัดให้มีตลาดสินทรัพย์ (Assets Market) ที่มีสภาพคล่องสูง (High Liquidity) เพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (U.S. Treasury Bonds, T-Bonds) มีสภาพคล่องสูงมากสามารถซื้อขายได้ทุกวันทุกเวลา อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตลาดสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศยุโรปมิได้เป็นเช่นนั้น ตลาดสินทรัพย์ยุโรปประกอบไปด้วยตลาดสินทรัพย์ย่อย ๆ ของแต่ละประเทศซึ่งมีกฎระเบียบ การกำกับดูแล (Regulation) จากรัฐบาลของตัวเอง และก็มีรายละเอียดของกฎระเบียบ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน คุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แตกต่งกันไป ตัวอย่างเช่น ตลาดสินทรัพย์ของประเทศกรีก ประเทศเสปน และประเทศเยอรมัน ก็จะมีกฎระเบียบและความน่าเชื่อถือทางเครดิตที่แตกต่างกัน แน่นอนว่า ตลาดสินทรัพย์เช่นนี้ย่อมมีสภาพคล่องที่น้อย
สมควรกล่าวไว้ด้วยว่า จริง ๆ แล้วปัจจัยพื้นฐานทางมหภาคของกลุ่มประเทศยุโรปก็ใช่ว่าจะดีเด่นอะไร ในรอบสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปเติบโตต่ำมาก (Low GDP Growth Rate) แม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ของเศรษฐกิจโลก 2003-2007 (World Economic Bubble) โดยเฉลี่ยเศรษฐกิจเติบโตเพียงแค่ประมาณ 2% ต่อปี แถมยังมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 9% ของกำลังแรงงาน ขณะที่หนี้ภาครัฐอยู่ที่เฉลี่ย 78 % ต่อ GDP
ครับ จากข้อมูลพื้นฐานทางมหภาคนี้ ถ้าเงินยูโรทำหน้าที่เป็นเงินตราของโลก เงินยูโรจะไม่ใช่สกุลเงินที่มีเสน่ห์ต่อการลงทุน
นี่ยังไม่นับรวมถึงปัจจัยทางด้านสังคม การเมือง สังคม และความมั่นคงของกลุ่มประเทศยุโรป เพียงแค่แง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ก็พอที่จะให้ผม สรุปว่า เงินยูโรอาจจะใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงลดทอนความผันผวนในอำนาจซื้อของเงินทุนสำรองได้ (Diversification) แต่เงินยูโรก็ยังมีจุดอ่อนหลายประการต่อการนำมาใช้เป็นเงินตราของโลก
ผมไม่ได้หมายความว่า การที่เงินยูโรไม่สามารถเป็นเงินตราของโลกได้แล้วเงินดอลลาร์ทำหน้าที่ในฐานะเงินตราของโลกได้ดีหรือควรจะทำหน้าที่ต่อไป ผมเพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการหลายท่านที่เชื่อว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ และควรจะใช้เงินยูโรในฐานะ “เงินตราของโลก” (World Reserve Currency)
ในขณะที่เขียนงานนี้ ผมยังไม่เห็นว่าเงินยูโรจะทำหน้าที่แทนเงินดอลลาร์ได้ และถ้าในอนาคตเงินยูโรได้ทำหน้าในฐานะเงินตราของโลก เราก็จะพบกับปัญหาความขัดกัน (Dilemma) ระหว่างความต้องการทางนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศยุโรป กับความต้องการทางนโยบายการเงินของเศรษฐกิจโลก
**********************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)