ข่าวเงินลึกลับสะพัด 400 ล้าน หนุน "มิ่งขวัญ" ฝันเป็นนายกรัฐมนตรี ยังล่องลอยไร้ร่องรอย
แต่ภาพ-เสียง "เจ๊ตุ๋ย" วิยดี สุตะวงศ์ แห่งค่าย "จีเน็ต" ปรากฏตัวเป็น ๆ เห็นกันทั่วทั้งพรรคเพื่อไทย และที่อาคารรัฐสภา
ฐานะของเธอเป็นทั้งนักธุรกิจในบัญชีดำ 1 ใน 83 รายชื่อที่ ศอฉ.ต้องการตัว เมื่อครั้งเหตุการณ์ "พฤษภา 53"
ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในเครือข่ายต่อท่อน้ำเลี้ยง "เสื้อแดง" ที่มียอดเงินหมุนเวียน 281 ล้านบาท และมีเงินฝาก 142 ล้านบาท มีการถอนออกจากบัญชี 139 ล้านบาท
อีกสถานภาพที่เธอถูกสปอตไลน์ฉายจับคือ เธอเป็น 1 ในสมาชิกคอนเน็กชั่น "เซนต์โยเซฟคอนแวนต์" ในเครือเถา คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์
เธอเดินสายไปกับพรรคเพื่อไทย ร่วมก๊วน ส.ส.อีสาน ใกล้ชิดคนในตระกูล "ชินวัตร" หลายคน
แต่ชื่อของเธอถูกเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับเจ้าแม่วังบัวบาน "เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์"
ทำไมเธอยังเดินหน้าเข้าหาพรรคเพื่อไทย
ทำไมเธอเลือกหนุน "มิ่งขวัญ"
ประชาชาติธุรกิจไขคำตอบตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป
- คุณตุ๋ยถูกมองว่าหวังผลทางการเมือง
พี่หนุนท่านมิ่งขวัญและก็เลยโดนในพรรคก็มีหลายก๊กหลายเหล่า สาเหตุที่เกิดเรื่องพี่วิเคราะห์ว่ามันไม่ได้มาจากภายนอกหรอกแต่มาจากภายใน มีการทิ่มหน้าทิ่มหลัง ทิ่มทะลุหน้า ทะลุหลัง
- ที่ปรากฏข่าวว่าสนับสนุนเงินให้แก่ คุณมิ่งขวัญ แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
เราไปดูแลเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร พี่คุยกับท่านทักษิณว่าให้ตุ๋ยลงไปดูไหมล่ะ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินพรรค ไม่ต้องใช้ เงินท่าน
ตอนนี้พี่ว่าควรให้ท่านทักษิณกลับมาต่อสู้ พี่เจอท่านทุกครั้ง เคยไปพบท่านทักษิณที่ดูไบ เรื่องที่ว่าท่านไม่จงรักภักดีนั้นก็ไม่จริง
- สนิทกับท่านมิ่งขวัญได้ยังไง
ท่านมิ่งเป็นคนเชียงรายนะ คุณแม่ท่านมิ่งเป็นคนเชียงราย พี่ชื่นชอบท่านตอนปราศรัยหาเสียงพรรคพลังประชาชน และคิดว่าเขาเป็นคนที่ซอฟต์ที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่ชอบพี่เหลิม คือเป็นคนละสไตล์
เวลานี้พี่ไม่เห็นใครเหมาะสมเท่าท่านมิ่งขวัญ เฉพาะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนะ ส่วนพี่เหลิมเหมาะอีกแบบหนึ่ง ได้ใจคนอีสาน อาจจะเป็นเพราะความดุดัน แต่คนชั้นกลางล่ะ ? เราอย่าลืมนะว่าคนบ้านนอกเลือก ส.ส.แต่คนที่จะล้ม ส.ส.คือคนเมืองกรุง
- เหมาะสมที่พูดถึงนี่หมายถึงตำแหน่งนายกฯงั้นหรือ
คือท่านมิ่งขวัญ เพราะพี่คิดว่าในสภาพที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ท่านก็เป็นมือเศรษฐกิจคนเดียว คนอื่นเหมาะสมไหม คุณลุงจิ๋วก็เหมาะสม พี่เฉลิมก็เหมาะสม แต่เหมาะสมในสถานการณ์แต่ละอย่าง
ท่านมิ่งขวัญท่านเป็นคนเรียบร้อยนะ พี่บอกท่านมิ่งพี่เข้าใจท่าน ใครจะว่ายังไง ก็ช่าง ก็มีคนพยายามยุตะแคงให้พี่กับ ท่านมิ่งทะเลาะกัน แต่พี่เข้าใจ เขามีความตั้งใจสูงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พี่คุยกับท่านมิ่งและคุยกับท่านทักษิณ 2 คนรวมกัน ท่านทักษิณบอกว่าใครที่ไม่ชอบท่านก็ต้องเลือกท่าน
- การช่วยเหลือคุณมิ่งขวัญทำยังไงได้ให้ผ่านพรรค หรือให้ผ่านคนอื่น
ที่ผ่านมาพี่จ่ายให้เอง ท่านมิ่งขวัญก็มี คนรักเยอะ ก็อาจจะมีคนอื่นช่วย และ พักหลังมีปัญหามากนักพี่ก็เรียนท่านทักษิณว่าตุ๋ยขอถอยอยู่ห่าง ๆ ยอมปิดทองใต้ถุน พระ เพราะในพรรคนี้ถ้าใครเป็นที่ยอมรับ มีบารมีขึ้นมาปั๊บ เดี๋ยวก็ไป...เป็นของธรรมดา
- ทำไมเลือกมาให้การช่วยเหลือพรรค เพื่อไทย
มาช่วยท่านทักษิณ ส่วนประเด็นพรรคพี่ไม่ได้สนใจ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ที่ช่วยท่านทักษิณเพราะเห็นว่าคนอื่นแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ถ้าแก้ถูกจุดก็ควรให้ท่าน กลับมาเสียก่อน
- ข่าวที่ออกมากับพรรคเพื่อไทย
พี่คงไม่ชี้แจงเพราะจะไปกระทบหลายฝ่าย กระทบญาติพี่น้องท่าน (ทักษิณ) กระทบภายในพรรคตั้งไม่รู้อีกกี่ร้อยก๊ก เราไม่ชี้แจงแต่ให้ข้อคิด ทำทุกอย่างเพื่อให้คนอยู่ดีเป็นสุขได้
อย่างตอนนี้พอจะมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลายคน...พี่มาผูกพัน ส.ส.อีสาน เพราะตอนเลือกตั้งซ่อมสกลนคร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ชนะทั้ง 3 แห่ง และทุกคนยังมาใส่สีตีไข่ว่าพี่รับเงินจากเนวินบ้าง สีน้ำเงินบ้าง จะไปรับได้ยังไง เมื่อตอนเลือกตั้งซ่อมเขาเอารถประกบพี่ เบียดพี่จนตกขอบถนนน่ะ
- สนิทกับท่านทักษิณ
สนิทเพราะเป็นคนภาคเดียวกัน ด้วยความเคารพนับถือศรัทธาท่าน แต่ถามว่าสนิทถึงขั้นอะไร...พี่อาจจะเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเอาอะไรจากท่าน ท่านบอกมาตุ๋ยช่วยหน่อย ทำบุญให้หน่อย วันเกิดท่านไปที่วัดลำปางหลวงไปทำให้ หรือจะไปช่วยเรื่อง ส.ส.เลือกตั้ง ช่วยเสื้อแดงกับแกนนำเวลาเขาลำบาก
- คนก็สงสัยว่าต้องการอะไร ต้องการ เป็นรัฐมนตรี หรือมีตำแหน่งทางการ เมืองหรือเปล่า
ไม่มี อาจจะเป็นคนเดียวที่ไม่มี ไม่ได้สนใจ
- เห็นมีข่าวว่าขัดแย้งกับคุณแดง-เยาวภา สั่งห้ามเข้าพรรค
ตัว ส.ส.อาจจะมีกลุ่มหนึ่งอยากให้แตกแยกกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อไม่มีข่าวพี่ก็ไม่ไปเท่านั้นเอง เพราะยังไง ๆ คุณแดงก็คือน้องสาวท่าน เขาก็อาจจะต้องระแวง เพราะเขาก็โดนมาแล้วสมัยคุณเนวิน พอมาถึงเราขึ้นมาเขาก็อาจจะระแวงอีก คุณเยาวภาเขาคงมีความห่วงใยต่อพรรคต่อพี่ชายเขามากกว่า
- ล่าสุดได้คุยกับคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หลังมีข่าวห้ามเข้าพรรคหรือไม่
คือถ้าเขาคิดว่าเราทำให้มีปัญหา เราต้องถอย เราคนเดียวต้องถอยปล่อยให้เขาดำเนินการเอง แต่เราอยู่เบื้องหลัง ไม่เห็นจะไปเดือดร้อนอะไรใคร บางทีเรา ก็ไม่รู้ว่าใคร...คือมันมีที่ ส.ส.หลายคน...ส.ส.บางคน เช่น ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนันท์ เอย ท่าน ส.ส.อีสานบางคนเมื่อก่อนไม่เคยมีบทบาท ไม่เคยมาช่วยเลือกตั้ง แต่พอเรามาเขาอาจจะคิดอะไรของเขา แล้วคงมีการให้ข่าว
- ตอนนี้ได้เข้าไปในพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
พี่ไม่ได้เข้าไปในพรรคเลย ก็ช่วยเหลือในกิจกรรมแบบนี้ (เวทีปราศรัย)
- เห็นคุณตุ๋ยเข้าไปที่สภา
ไปสภาในฐานะที่ปรึกษาพี่เปีย (พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย) แกตั้งให้เป็นที่ปรึกษารองประธานสภา ถ้าพูดถึงอย่างพี่เปีย ถ้าพี่เปียไม่ออกทีวีว่าให้ป๋า...พี่ว่าพี่เปียเหมาะสมที่สุด (ตำแหน่งนายกฯ) ส่วนพี่เหลิมก็ทุกอย่างดี แต่ในกรุงเทพฯเขาไม่ค่อยรับ นี่พูดถึงเฉพาะ ส.ส.นะ แต่ถ้าพูดถึงลุงจิ๋วตอนนี้ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ประนีประนอมที่สุด
- ทักษิณห่วงอะไรในการเมืองไทย ได้คุยกันหรือไม่
ปกติพี่คุยกับท่านบ่อยมาก คือท่านทักษิณเองท่านเป็นห่วงว่าข้างบนต้องการยังไงก็ให้เป็นไปอย่างนั้น ท่านต้องการใครของพรรคเราก็ให้เป็นอย่างนั้น อันที่สอง ถ้าต้องการจะให้เกิดการปรองดองยังไงก็ให้ทำอย่างนั้น ตัวท่านเองไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน ท่านพูดว่าเงินที่สูญแล้วก็แล้วไปหาใหม่ยังได้อยู่
- คุณตุ๋ยสนิทกับคุณพายัพมากที่สุด หรือเปล่า และสนิทกับใครอีก
ในบรรดาพี่น้องท่านทักษิณสนิทกับ ท่านพายัพ อาจเพราะท่านเป็นประธาน ภาคอีสาน ถัดมาก็เป็นคุณปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แต่นาน ๆ ก็คุยกันที คุณปูท่านเป็นคนน่ารัก ถ้าพูดถึงคนในพรรคก็ สนิทกับพี่สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แล้วก็มี ท่านมิ่งขวัญ และคนที่นำพี่เข้ามายุ่งกับการเมืองจริง ๆ คือพี่กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์
ส่วนพี่ธีระพล (นภรัมภา) ไม่ได้สนิท แต่เป็นเพื่อนน้องเขย ตอนที่ท่านสมัคร สุนทรเวช พี่ก็มาช่วยประสานงานตอนยุบพรรค เพราะคนที่ร้องยุบพรรคคือพี่วิจิตรซึ่งเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องพี่ที่เชียงราย พี่ไปขอให้พี่วิจิตรถอนเรื่อง แล้วก็เลยรู้จักกัน
ส่วนท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ก็ไม่ได้ สนิทกัน ตอนแรกท่านทักษิณบอกให้พี่ช่วยดูจังหวัดเชียงรายแทนยงยุทธหน่อย แต่พี่กลัวจะมีปัญหา ก็บอกว่าท่านต้องทำความเข้าใจกับท่านยงยุทธ ไม่งั้นเดี๋ยวท่านยงยุทธไม่เข้าใจหาว่าตุ๋ยไปแย่งมวลชน กลัวมีปัญหา ถ้าเขามีนัยทางการเมืองพี่ก็ถอยพี่ไม่เอา
- พี่เคยเข้าไปบอกให้กลุ่ม ส.ส.ลงคะแนนโหวต หรือให้ ส.ส.ทำอะไรสักอย่างไหม
พี่ไม่เคยไปยุ่งให้ ส.ส.ทำอะไร ทั้ง การเมืองในพรรคและในสภา เขาจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา อาจจะเป็นจุดนี้ที่ทำให้ ส.ส.เขามาคุยกับเราแล้ว เขาสบายใจ แล้วเขาก็คิดว่าเราไม่ได้ หวังผล เพราะฉะนั้นเขามีอะไรเขาก็จะระบาย ๆ โดยเฉพาะอยู่ในสภาวะที่เป็น ฝ่ายค้านแบบนี้
- คิดยังไงเวลามีคนมาบอกว่าเป็นคุณตุ๋ยเป็นนายทุนพรรค
พี่คุยกับท่านทักษิณท่านบอกว่า เขาว่าเรามีสตางค์ดีกว่าเขาว่าเราจน ท่านทักษิณบอก (หัวเราะ)
ตอนหนึ่งนั่งคุยกับท่านทักษิณ ก็ยอมรับว่าท่านชี้แนะธุรกิจให้ไม่ได้คุยการเมือง แล้วตอนนั้นก็มีคนโทร.ไปหาท่านทักษิณว่า เห็นตุ๋ยรับเงินจากเนวินที่ฮ่องกง กำลังจะขึ้นเครื่องแล้ว...ท่านทักษิณอดไม่ได้ก็พูดว่า คนที่คุณว่ากำลังนั่งคุยกับผม ฉะนั้นระหว่างท่านกับพี่เนี่ยเข้าใจ
พี่เข้าใจทุกฝ่าย เข้าใจคุณแดง (เยาวภา) เข้าใจ ส.ส.ในพรรค เพราะเขาอยู่ในวงการเมือง เขาไม่เคยเจอคนแบบเราที่ให้เสร็จแล้วไม่หวังผล เขาคิดว่าจะมาเซ้งพรรคบ้าง เราจะเอาปัญญาที่ไหนไปเซ้งพรรค...ในพรรคเพื่อไทยยังไม่ดีพอ ถ้าคิดจะให้เป็นสถาบันทางการเมืองก็ต้องเปิดใจให้กว้าง แล้วตราบใดที่ท่านทักษิณยังไม่กลับมา นาน ๆ ไปพรรคก็จะเตี้ยลงเตี้ยลง พรรคเพื่อไทยถ้าหากไม่มีท่านทักษิณเนี่ยนะ (ส่ายหน้า) พี่เห็นพรรคเป็นอย่างนี้ก็พยายามประคองเพื่อให้ฐานเสียงของท่านยังอยู่ตลอด เพื่อให้ท่านมาพิสูจน์ความจริง
- จะเข้าสู่การเมืองเต็มตัวไหม ได้ทำงานจริง ๆ
ท่านทักษิณเคยบอกพี่นะ ถ้าสมมติว่าคนที่จะเป็นคนประสานได้ เคลียร์ปัญหาได้ ถ้านึกถึงแต่ตัวเองว่า เห็นไหมมันอยากเป็นนั่น...ก็จะแก้ปัญหาไม่จบ ทำไมพี่มา ดูอีสานทั้งที่ทะเบียนบ้านอยู่เชียงราย พวกอีสานก็ต้องรู้แล้วว่าพี่ลงปาร์ตี้ลิสต์ไม่ได้ อะไรก็เป็นไม่ได้ ฉะนั้น ส.ส.อีสานก็สบายใจ พี่ไม่มีโอกาสมาแย่งชิง
การเมืองตอนนี้นะคะอยู่เบื้องหลังดี ที่สุด ส่วนการช่วยเหลือเสื้อแดง พี่ก็ใช้เงินส่วนตัวช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตในเบื้องต้น
ส่วนตอนที่ ศอฉ.เรียกไปชี้แจงกรณี ธุรกรรมทางการเงิน พอตรวจสอบย้อนหลัง 6 ปี แล้วคนทำงานก่อสร้างกับธุรกิจมือถือเดือนหนึ่ง 400-500 ล้าน ตอนนี้พี่ยังโดนอยู่ ถ้าเบิกเงินเกิน 10 ล้านต้องชี้แจง เราเป็นนักธุรกิจก็ชี้แจงได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ใต้เท้าขอรับ: ได้โปรดปล่อยนักโทษการเมือง
โดย.ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
ผมไม่มีเรื่องใหม่มาเสนอ แต่ขอถือโอกาสที่การเมืองของเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยมีความเคลื่อนไหว เอาเรื่องเก่าคาใจมาทวงถาม
การปล่อยตัวอองซาน ซูจี หลังการเลือกตั้งในสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นแผนการสร้างภาพประชาธิปไตยให้กับพม่าและรัฐบาลพม่าใต้เงื้อมมือกองทัพที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น เพื่อหวังจะคุยกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลกได้บ้าง และเชื่อได้ว่า หากเสรีภาพของนางอองซาน ซูจี ไม่ไปสร้างความหวาดกลัวหรือเขย่าความมั่นคงของเหล่าทหารในกองทัพพม่า การทยอยปล่อยนักโทษการเมืองหลายพันคนในพม่าก็จะเกิดตามมาตามแรงกดดันของประชาคมโลก
เรื่องนักโทษการเมืองที่มาจากความคิดต่าง ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมาย หรือโดยอำนาจของศาลนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมันขัดและแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างที่สุด เราจึงเห็นประเด็นการกดดันให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองในทุกประเทศทั่วโลก เป็นประเด็นหลักขององค์การนิรโทษกรรมสากล และขณะที่โลกเฝ้าดูและยินดีกับการปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี ความยินดีนั้นก็มาพร้อมกับการกดดันให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ด้วย
แต่ข่าวสารความเป็นไปในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยนั้น มันไม่ได้โลดแล่นอย่างปราศจากความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย เพราะไม่ว่าเราจะเรียกคนเสื้อแดงจำนวนมาก และแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของบ้านเราในเวลานี้ว่าอย่างไร 'ผู้ก่อการร้าย' หรือ 'ผู้ต้องคดีอาญา' ด้วยอำนาจจากคำสั่งของศาล แต่สาระสำคัญ ความผิดที่เขาถูกกล่าวหา และต้องกล่าวหา ก็มีฐานมาจากความคิดต่างทางการเมืองทั้งสิ้น
จำนวนมากพิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่า ไม่เคยมีความคิดจะใช้ความรุนแรงด้วยวิธีใดๆ จำนวนมากเคยพูดจาปราศรัยที่ดูเหมือนเป็นการยุยงให้ใช้ความรุนแรงทำลายทรัพย์สิน กระนั้น เราต่างรู้ว่า มันเป็นกลวิธีในการปราศรัย ที่ทุกคนที่ฟังล้วนแต่ชัดเจนว่า เป็นแค่มุข และจำนวนมาก ไม่เคยแม้แต่จะพูด ไม่เคยแม้แต่จะคิด หรือกระทั่งไม่เคยแม้แต่จะไปร่วมชุมนุม
มิหนำซ้ำ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีและตัดสินแล้วนั้น รัฐก็ไม่เคยพิสูจน์ได้ว่าใครคือผู้กระทำความรุนแรงนั้น มีแต่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่ชี้ว่าเขาทำ ด้วยคำสั่งของศาล ที่ 'เชื่อว่า-เห็นว่า-วินิจฉัยว่า-พิพากษาว่า' แม้เราจำต้องยอมรับในคำพิพากาษา แต่จำนวนมากคดีที่ไม่เคยทำให้เกิดการยอมรับ หรือทำให้เกิดสภาพ 'ธรรมอันเป็นที่ยุติ' ได้เลย
ในประเทศพม่า กองทัพและรัฐบาลย่อมไม่เรียกนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังว่า 'นักโทษการเมือง' เช่นเดียวกับบ้านเราที่กองทัพและรัฐบาลก็ไม่เรียกเช่นนั้น สื่อ ประชาชนส่วนหนึ่งก็ไม่เรียกเช่นนั้น เพราะจะอย่างไรก็ยังสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็มองและเห็นฝ่ายผู้ชุมนุมอย่างปราศจากความเข้าใจ เราจึงไม่เห็น นักโทษการเมืองในประเทศไทย เมื่อไม่เห็นก็ไม่เกิด 'กระแส'
แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายความว่า ไม่มีนักโทษการเมืองในประเทศไทย
ดังนั้น ในขณะที่โลกกำลังกดดันพม่าให้ปล่อยนักโทษการเมือง ผู้มีความละอายต่อบาปย่อมตระหนักได้ถึงภาวะที่คล้ายๆ กัน นั่นคือ โลกก็กดดันไทยด้วย เพียงแต่น้ำหนักที่ให้นั้นเบาบางกว่า แต่ยิ่งพม่าลดความกดดันเรื่องนี้ลงเท่าไร ไทยก็จะเป็นเป้าสายตามากขึ้นเท่านั้น
เราอาจจะมีข้อถกเถียงจำนวนมากถึงความผิดที่แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ แต่ถามกันแบบสามัญสำนึกดูเถิดว่า ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมอยู่ในเวลานี้เป็นผู้ก่อการร้ายที่สมควรถุกคุมขังอยู่นานเกือบ 6 เดือนแล้ว เหมือนกับที่เราเคยตั้งคำถามนั่นแหละว่า เราเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดสนามบินนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย
หลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ เป็นได้อย่างมากก็แค่นักการเมือง ที่จะอย่างไรก็หวังคะแนนนิยม และไม่มีทางที่จะมีแรงจูงใจจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐ
กล่าวสำหรับการปรองดอง รัฐพึงเข้าใจด้วยว่า 'คนเสื้อแดง' นั้นไม่เคยได้สิ่งที่เขาเรียกร้องเลยสักข้อ ข้อเรียกร้องให้ 'ล้มอำมาตยฯ' นั้น ไกลเกินหวัง และเปลี่ยนมาเป็นให้ประชาชนตัดสินอนาคตบ้านเมืองด้วย 'การยุบสภา' เลือกตั้งใหม่ ซึ่งพ่วงมากับข้อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
มาขณะนี้ เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ทว่าเขากลับตะโกนก้องจากหัวใจด้วยเสียงอันแหบสนิท เรียกร้องในสิ่งที่เป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์อันสำคัญ คือเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนของเขา ครอบครัวของเขา
รัฐไทยที่ใช้อำนาจอธิปไตยของเขา ทั้ง รัฐบาล รัฐสภา และศาล จะไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องอันเป็นหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของเจ้าของอำนาจที่แท้จริงบ้างเลยหรือ
แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เราเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาเหล่านั้น หรืออย่างน้อยก็ประกันตัวออกมาก่อน
เราไม่ได้เรียกร้องเพื่อให้ท่านเป็นวีรบุรุษปรองดอง ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะนักการเมืองของประชาชน ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะผู้สถิตความยุติธรรม เราแค่เรียกร้องให้ท่านได้ละอายต่อบาป และซือตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง
ที่มา.ประชาไท
************************************************
ผมไม่มีเรื่องใหม่มาเสนอ แต่ขอถือโอกาสที่การเมืองของเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยมีความเคลื่อนไหว เอาเรื่องเก่าคาใจมาทวงถาม
การปล่อยตัวอองซาน ซูจี หลังการเลือกตั้งในสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นแผนการสร้างภาพประชาธิปไตยให้กับพม่าและรัฐบาลพม่าใต้เงื้อมมือกองทัพที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น เพื่อหวังจะคุยกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลกได้บ้าง และเชื่อได้ว่า หากเสรีภาพของนางอองซาน ซูจี ไม่ไปสร้างความหวาดกลัวหรือเขย่าความมั่นคงของเหล่าทหารในกองทัพพม่า การทยอยปล่อยนักโทษการเมืองหลายพันคนในพม่าก็จะเกิดตามมาตามแรงกดดันของประชาคมโลก
เรื่องนักโทษการเมืองที่มาจากความคิดต่าง ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมาย หรือโดยอำนาจของศาลนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมันขัดและแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างที่สุด เราจึงเห็นประเด็นการกดดันให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองในทุกประเทศทั่วโลก เป็นประเด็นหลักขององค์การนิรโทษกรรมสากล และขณะที่โลกเฝ้าดูและยินดีกับการปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี ความยินดีนั้นก็มาพร้อมกับการกดดันให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ด้วย
แต่ข่าวสารความเป็นไปในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยนั้น มันไม่ได้โลดแล่นอย่างปราศจากความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย เพราะไม่ว่าเราจะเรียกคนเสื้อแดงจำนวนมาก และแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของบ้านเราในเวลานี้ว่าอย่างไร 'ผู้ก่อการร้าย' หรือ 'ผู้ต้องคดีอาญา' ด้วยอำนาจจากคำสั่งของศาล แต่สาระสำคัญ ความผิดที่เขาถูกกล่าวหา และต้องกล่าวหา ก็มีฐานมาจากความคิดต่างทางการเมืองทั้งสิ้น
จำนวนมากพิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่า ไม่เคยมีความคิดจะใช้ความรุนแรงด้วยวิธีใดๆ จำนวนมากเคยพูดจาปราศรัยที่ดูเหมือนเป็นการยุยงให้ใช้ความรุนแรงทำลายทรัพย์สิน กระนั้น เราต่างรู้ว่า มันเป็นกลวิธีในการปราศรัย ที่ทุกคนที่ฟังล้วนแต่ชัดเจนว่า เป็นแค่มุข และจำนวนมาก ไม่เคยแม้แต่จะพูด ไม่เคยแม้แต่จะคิด หรือกระทั่งไม่เคยแม้แต่จะไปร่วมชุมนุม
มิหนำซ้ำ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีและตัดสินแล้วนั้น รัฐก็ไม่เคยพิสูจน์ได้ว่าใครคือผู้กระทำความรุนแรงนั้น มีแต่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่ชี้ว่าเขาทำ ด้วยคำสั่งของศาล ที่ 'เชื่อว่า-เห็นว่า-วินิจฉัยว่า-พิพากษาว่า' แม้เราจำต้องยอมรับในคำพิพากาษา แต่จำนวนมากคดีที่ไม่เคยทำให้เกิดการยอมรับ หรือทำให้เกิดสภาพ 'ธรรมอันเป็นที่ยุติ' ได้เลย
ในประเทศพม่า กองทัพและรัฐบาลย่อมไม่เรียกนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังว่า 'นักโทษการเมือง' เช่นเดียวกับบ้านเราที่กองทัพและรัฐบาลก็ไม่เรียกเช่นนั้น สื่อ ประชาชนส่วนหนึ่งก็ไม่เรียกเช่นนั้น เพราะจะอย่างไรก็ยังสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็มองและเห็นฝ่ายผู้ชุมนุมอย่างปราศจากความเข้าใจ เราจึงไม่เห็น นักโทษการเมืองในประเทศไทย เมื่อไม่เห็นก็ไม่เกิด 'กระแส'
แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายความว่า ไม่มีนักโทษการเมืองในประเทศไทย
ดังนั้น ในขณะที่โลกกำลังกดดันพม่าให้ปล่อยนักโทษการเมือง ผู้มีความละอายต่อบาปย่อมตระหนักได้ถึงภาวะที่คล้ายๆ กัน นั่นคือ โลกก็กดดันไทยด้วย เพียงแต่น้ำหนักที่ให้นั้นเบาบางกว่า แต่ยิ่งพม่าลดความกดดันเรื่องนี้ลงเท่าไร ไทยก็จะเป็นเป้าสายตามากขึ้นเท่านั้น
เราอาจจะมีข้อถกเถียงจำนวนมากถึงความผิดที่แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ แต่ถามกันแบบสามัญสำนึกดูเถิดว่า ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมอยู่ในเวลานี้เป็นผู้ก่อการร้ายที่สมควรถุกคุมขังอยู่นานเกือบ 6 เดือนแล้ว เหมือนกับที่เราเคยตั้งคำถามนั่นแหละว่า เราเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดสนามบินนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย
หลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ เป็นได้อย่างมากก็แค่นักการเมือง ที่จะอย่างไรก็หวังคะแนนนิยม และไม่มีทางที่จะมีแรงจูงใจจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐ
กล่าวสำหรับการปรองดอง รัฐพึงเข้าใจด้วยว่า 'คนเสื้อแดง' นั้นไม่เคยได้สิ่งที่เขาเรียกร้องเลยสักข้อ ข้อเรียกร้องให้ 'ล้มอำมาตยฯ' นั้น ไกลเกินหวัง และเปลี่ยนมาเป็นให้ประชาชนตัดสินอนาคตบ้านเมืองด้วย 'การยุบสภา' เลือกตั้งใหม่ ซึ่งพ่วงมากับข้อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
มาขณะนี้ เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ทว่าเขากลับตะโกนก้องจากหัวใจด้วยเสียงอันแหบสนิท เรียกร้องในสิ่งที่เป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์อันสำคัญ คือเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนของเขา ครอบครัวของเขา
รัฐไทยที่ใช้อำนาจอธิปไตยของเขา ทั้ง รัฐบาล รัฐสภา และศาล จะไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องอันเป็นหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของเจ้าของอำนาจที่แท้จริงบ้างเลยหรือ
แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เราเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาเหล่านั้น หรืออย่างน้อยก็ประกันตัวออกมาก่อน
เราไม่ได้เรียกร้องเพื่อให้ท่านเป็นวีรบุรุษปรองดอง ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะนักการเมืองของประชาชน ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะผู้สถิตความยุติธรรม เราแค่เรียกร้องให้ท่านได้ละอายต่อบาป และซือตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง
ที่มา.ประชาไท
************************************************
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
จี้สอบข้าราชการ‘ส’กุญแจสำคัญไขความลับโกงสอบเจ้าหน้าที่ศาล
โฆษกเพื่อไทยเผยได้ข้อมูลใหม่ที่จะช่วยไขความกระจ่างเรื่องการโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ แนะประธานศาลเรียกข้าราชการระดับ 9 ชื่อ “ส” ที่มีชื่อเป็นกรรมการจัดสอบแต่ยื่นลาออก เชื่อรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลจึงไม่อยากติดร่างแหด้วย “จาตุรนต์” เรียกร้องคนในแวดวงกฎหมาย ทั้งตุลาการ นักวิชาการ และนักศึกษา ตั้งวงถกปัญหาคลิปฉาวอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ถูกเบี่ยนเบนมุ่งเอาผิดเฉพาะคนถ่ายกับคนเผยแพร่โดยละเลยเนื้อหาในคลิป โฆษกประชาธิปัตย์เรียกร้องศาลรัฐธรรมนูญอย่ายอมจำนนกับการข่มขู่คุกคาม ต้องยึดกฎหมายและข้อเท็จจริงตัดสินคดียุบพรรค
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย เรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในวงการตุลาการ นักกฎหมาย อาจารย์สอนกฎหมาย นักศึกษา และสื่อมวลชน นำเรื่องคลิปฉาวที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกเผยแพร่มาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างจริงจัง
งงการเอาผิดแตกต่างจากกรณีอื่น
“เรามีกรณีศึกษามากมายในเรื่องลักษณะนี้ เช่น ตำรวจถูกให้ออกจากราชการเพราะถูกถ่ายคลิปพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การลงโทษนักเรียนที่ตบตีกันแล้วมีคนถ่ายคลิปเอาไว้ได้ หรือแม้แต่การสึกพระที่มั่วสีกา กรณีเหล่านี้จะเห็นว่าผู้ทำความผิดที่ปรากฏในคลิปจะถูกลงโทษโดยไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่กรณีคลิปที่เกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับปฏิบัติในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป” นายจาตุรนต์กล่าวพร้อมตั้งคำถามว่า รัฐบาลใช้อำนาจตามกฎหมายอะไรไปสั่งบล็อกการเผยแพร่คลิปบนเว็บไซต์ รวมทั้งการสั่งยกเลิกพาสปอร์ตของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ทราบว่าใช้อำนาจตามกฎหมายใดดำเนินการ เพราะนายพสิษฐ์ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหา การยกเลิกพาสปอร์ตจึงน่าจะขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ต้องสอบเนื้อหาคลิปก่อนตัดสินคดี
นายจาตุรนต์กล่าวว่า เนื้อหาของคลิปมีประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่คือ กรณีที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพยายามนำนายทะเบียนพรรคการเมืองมาเป็นพยานในชั้นศาล โดยไม่ต้องการให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนอื่นมาร่วมเป็นพยานเบิกความ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง ซึ่งควรมีการสอบสวนข้อเท็จจริงตามเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป เพราะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีความสำคัญต่อบ้านเมือง เนื่องจากเป็นพรรคใหญ่และบริหารประเทศอยู่ หากไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเนื้อหาให้ชัดเจนก่อนการตัดสินคดี ผลการตัดสินคดีนี้จะไม่เป็นที่เชื่อถือของประชาชน
จี้เรียกข้าราชการ “ส” สอบ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2552 คือมีข้าราชการระดับ 9 ชื่อ “ส” ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินการสอบขอถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการ เพราะไม่อยากร่วมสังฆกรรมกับการจัดการสอบที่ส่อว่าจะมีปัญหา จึงอยากเรียกร้องให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญไปตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นจริงแสดงว่าคลิปโกงสอบที่ถูกนำมาเผยแพร่มีมูล
ปชป. ป้อง “จุติ” ไม่ได้ทำอะไรผิด
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่เป็นการยุติธรรมหากพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่สั่งปิดเว็บไซต์ที่เผยแพร่คลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
“ที่บอกว่าไม่เป็นธรรมเพราะพรรคเพื่อไทยมีส่วนในการตัดต่อคลิปที่บิดเบือนความจริงนำมาเผยแพร่ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะเป็นการจัดฉากที่มีเป้าหมายในการข่มขู่คุกคามกระบวนการยุติธรรม”
เรียกร้องศาลอย่ายอมแพ้แรงกดดัน
นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีความพยายามเคลื่อนไหวกดดันการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่ามีการใช้ 2 มาตรฐาน ทั้งที่กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน
“คดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนเป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง แต่คดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง พฤติการณ์ของคดีก็แตกต่างกัน เพราะคดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการดำเนินการโดยคนนอกที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคและไม่เกี่ยวกับพรรค ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการโดยยึดกฎหมาย แสดงที่มาของรายได้และรายจ่ายอย่างชัดเจนโดยตลอด ดังนั้น ความเชื่อที่ว่ายุบพรรคหนึ่งต้องยุบอีกพรรคจึงไม่ถูกต้อง อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญยึดหลักการในการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์”
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย เรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในวงการตุลาการ นักกฎหมาย อาจารย์สอนกฎหมาย นักศึกษา และสื่อมวลชน นำเรื่องคลิปฉาวที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกเผยแพร่มาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างจริงจัง
งงการเอาผิดแตกต่างจากกรณีอื่น
“เรามีกรณีศึกษามากมายในเรื่องลักษณะนี้ เช่น ตำรวจถูกให้ออกจากราชการเพราะถูกถ่ายคลิปพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การลงโทษนักเรียนที่ตบตีกันแล้วมีคนถ่ายคลิปเอาไว้ได้ หรือแม้แต่การสึกพระที่มั่วสีกา กรณีเหล่านี้จะเห็นว่าผู้ทำความผิดที่ปรากฏในคลิปจะถูกลงโทษโดยไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่กรณีคลิปที่เกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับปฏิบัติในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป” นายจาตุรนต์กล่าวพร้อมตั้งคำถามว่า รัฐบาลใช้อำนาจตามกฎหมายอะไรไปสั่งบล็อกการเผยแพร่คลิปบนเว็บไซต์ รวมทั้งการสั่งยกเลิกพาสปอร์ตของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ทราบว่าใช้อำนาจตามกฎหมายใดดำเนินการ เพราะนายพสิษฐ์ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหา การยกเลิกพาสปอร์ตจึงน่าจะขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ต้องสอบเนื้อหาคลิปก่อนตัดสินคดี
นายจาตุรนต์กล่าวว่า เนื้อหาของคลิปมีประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่คือ กรณีที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพยายามนำนายทะเบียนพรรคการเมืองมาเป็นพยานในชั้นศาล โดยไม่ต้องการให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนอื่นมาร่วมเป็นพยานเบิกความ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง ซึ่งควรมีการสอบสวนข้อเท็จจริงตามเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป เพราะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีความสำคัญต่อบ้านเมือง เนื่องจากเป็นพรรคใหญ่และบริหารประเทศอยู่ หากไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเนื้อหาให้ชัดเจนก่อนการตัดสินคดี ผลการตัดสินคดีนี้จะไม่เป็นที่เชื่อถือของประชาชน
จี้เรียกข้าราชการ “ส” สอบ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2552 คือมีข้าราชการระดับ 9 ชื่อ “ส” ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินการสอบขอถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการ เพราะไม่อยากร่วมสังฆกรรมกับการจัดการสอบที่ส่อว่าจะมีปัญหา จึงอยากเรียกร้องให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญไปตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นจริงแสดงว่าคลิปโกงสอบที่ถูกนำมาเผยแพร่มีมูล
ปชป. ป้อง “จุติ” ไม่ได้ทำอะไรผิด
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่เป็นการยุติธรรมหากพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่สั่งปิดเว็บไซต์ที่เผยแพร่คลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
“ที่บอกว่าไม่เป็นธรรมเพราะพรรคเพื่อไทยมีส่วนในการตัดต่อคลิปที่บิดเบือนความจริงนำมาเผยแพร่ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะเป็นการจัดฉากที่มีเป้าหมายในการข่มขู่คุกคามกระบวนการยุติธรรม”
เรียกร้องศาลอย่ายอมแพ้แรงกดดัน
นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีความพยายามเคลื่อนไหวกดดันการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่ามีการใช้ 2 มาตรฐาน ทั้งที่กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน
“คดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนเป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง แต่คดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง พฤติการณ์ของคดีก็แตกต่างกัน เพราะคดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการดำเนินการโดยคนนอกที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคและไม่เกี่ยวกับพรรค ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการโดยยึดกฎหมาย แสดงที่มาของรายได้และรายจ่ายอย่างชัดเจนโดยตลอด ดังนั้น ความเชื่อที่ว่ายุบพรรคหนึ่งต้องยุบอีกพรรคจึงไม่ถูกต้อง อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญยึดหลักการในการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์”
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
‘แม้ว’แนะยึดแบบพม่าปล่อยนักโทษการเมือง
“ทักษิณ” ร่อนแถลงการณ์แนะผู้มีอำนาจในไทยยึดแบบอย่างรัฐบาลพม่า ปล่อยนักโทษทางการเมืองเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองและสร้างความเป็นธรรมในสังคม “นพดล” ระบุการต่อสู้คดีตามกฎหมายไม่จำเป็นต้องจับขังเอาไว้ในคุก ชี้หากรัฐบาลสนับสนุนโอกาสได้รับการประกันตัวจะมีมากขึ้น “เทพไท” โต้ให้ยึดแบบอย่าง “ออง ซาน ซู จี” ต่อสู้ด้วยความอดทน เคารพกฎกติกา ไม่ใช้ความรุนแรง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์กรณีที่รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นอิสระหลังถูกกักบริเวณมาเป็นเวลานาน โดยระบุว่า ในโอกาสที่รัฐบาลพม่าได้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ให้ได้รับอิสรภาพ ใคร่ขอแสดงความยินดีต่อนางออง ซาน ซู จี และชาวพม่าผู้รักประชาธิปไตยทุกคนที่บุคคลผู้เป็นที่รักและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าได้รับอิสรภาพ และขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีต่อรัฐบาลพม่าที่ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องในการให้อิสรภาพแก่เธอในครั้งนี้ แม้การตัดสินใจจะล่าช้าไปก็ตาม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลพม่าจะใช้โอกาสนี้ในการเริ่มปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหลายในประเทศให้ได้รับอิสรภาพในเร็ววัน
กระแสประชาธิปไตยคือกระแสของโลกที่จะนำความมั่นคงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมาให้กับประชาชน เชื่อว่าเหตุการณ์ในพม่าจะส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียนดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสถานการณ์ในประเทศไทยที่ประชาชนต่างโหยหาประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม เหตุการณ์ในประเทศพม่าแสดงให้เห็นว่าการให้อิสรภาพแก่ผู้ต้องขังในคดีการเมืองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดองแห่งชาติและสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างแท้จริง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณหวังว่าเหตุการณ์ในพม่าจะทำให้ผู้มีอำนาจในประเทศไทยคิดได้ว่าควรทำอย่างไรความสมานฉันท์ปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีนัยยะ อะไร เพียงแต่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน
“สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีต้องการชี้ให้เห็นคือ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ไม่ควรมองคนที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองเป็นอาชญากร จึงควรปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม การต่อสู้คดีไม่จำเป็นต้องกักขังเอาไว้ในคุก จริงอยู่อำนาจการตัดสินใจว่าจะปล่อยตัวหรือไม่เป็นเรื่องของศาล แต่หากรัฐบาลให้การสนับสนุนความเป็นไปได้ก็จะมีมากขึ้น” นายนพดลกล่าว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นางซู จี เป็นแบบอย่างที่ดีที่นักการเมืองควรเอาอย่างในเรื่องการต่อสู้ที่ยึดหลักสันติ อหิงสา ไม่เคยต่อสู้นอกกติกา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้มาเผาบ้านเผาเมือง
“นักการเมืองไทยโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณควรเอาอย่างนางซู จี หรือไม่ก็ให้ดูตัวอย่างอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ถูกตัดสินคดีทุจริตก็ตัดสินใจโดดหน้าผาตาย หรือประธานาธิบดีไต้หวันที่ยอมใช้ชีวิตในคุก 19 ปี หาก พ.ต.ท.ทักษิณมีสำนึกเหมือนผู้นำเหล่านี้ในเรื่องของการยอมรับกติกาสังคมโลกก็จะสรรเสริญ”
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์กรณีที่รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นอิสระหลังถูกกักบริเวณมาเป็นเวลานาน โดยระบุว่า ในโอกาสที่รัฐบาลพม่าได้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ให้ได้รับอิสรภาพ ใคร่ขอแสดงความยินดีต่อนางออง ซาน ซู จี และชาวพม่าผู้รักประชาธิปไตยทุกคนที่บุคคลผู้เป็นที่รักและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าได้รับอิสรภาพ และขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีต่อรัฐบาลพม่าที่ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องในการให้อิสรภาพแก่เธอในครั้งนี้ แม้การตัดสินใจจะล่าช้าไปก็ตาม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลพม่าจะใช้โอกาสนี้ในการเริ่มปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหลายในประเทศให้ได้รับอิสรภาพในเร็ววัน
กระแสประชาธิปไตยคือกระแสของโลกที่จะนำความมั่นคงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมาให้กับประชาชน เชื่อว่าเหตุการณ์ในพม่าจะส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียนดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสถานการณ์ในประเทศไทยที่ประชาชนต่างโหยหาประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม เหตุการณ์ในประเทศพม่าแสดงให้เห็นว่าการให้อิสรภาพแก่ผู้ต้องขังในคดีการเมืองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดองแห่งชาติและสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างแท้จริง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณหวังว่าเหตุการณ์ในพม่าจะทำให้ผู้มีอำนาจในประเทศไทยคิดได้ว่าควรทำอย่างไรความสมานฉันท์ปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีนัยยะ อะไร เพียงแต่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน
“สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีต้องการชี้ให้เห็นคือ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ไม่ควรมองคนที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองเป็นอาชญากร จึงควรปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม การต่อสู้คดีไม่จำเป็นต้องกักขังเอาไว้ในคุก จริงอยู่อำนาจการตัดสินใจว่าจะปล่อยตัวหรือไม่เป็นเรื่องของศาล แต่หากรัฐบาลให้การสนับสนุนความเป็นไปได้ก็จะมีมากขึ้น” นายนพดลกล่าว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นางซู จี เป็นแบบอย่างที่ดีที่นักการเมืองควรเอาอย่างในเรื่องการต่อสู้ที่ยึดหลักสันติ อหิงสา ไม่เคยต่อสู้นอกกติกา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้มาเผาบ้านเผาเมือง
“นักการเมืองไทยโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณควรเอาอย่างนางซู จี หรือไม่ก็ให้ดูตัวอย่างอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ถูกตัดสินคดีทุจริตก็ตัดสินใจโดดหน้าผาตาย หรือประธานาธิบดีไต้หวันที่ยอมใช้ชีวิตในคุก 19 ปี หาก พ.ต.ท.ทักษิณมีสำนึกเหมือนผู้นำเหล่านี้ในเรื่องของการยอมรับกติกาสังคมโลกก็จะสรรเสริญ”
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
สราวุธ เบญจกุล อารยะขัดขืนกับการละเมิดกม.
นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เขียนอธิบายถึง "การต่อต้านโดยสันติวิธี vs การละเมิดกฎหมาย" สืบเนื่องจากกรณี ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจำเลย ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 108 ที่ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำบัตรเลือกตั้งดีให้เป็นบัตรเสีย และ ป.อาญา มาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากฉีกบัตรเลือกตั้ง ในระหว่างการไปลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549
หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งในหลายรูปแบบ ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมส่งผลให้ประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้าน จึงเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
แต่ละบุคคลก็มีวิธีการใช้สิทธิออกเสียงเพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเองให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณะด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป
หนึ่งในนั้นคือ กรณีที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งฉีกบัตรลงคะแนนในวันเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 จนเป็นเหตุให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอาจารย์ท่านนั้นต่อศาล ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเพื่อต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 ที่กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"
การต่อต้านโดยสันติวิธี คืออะไร
การต่อต้านโดยสันติวิธี (Civil Disobedience : อารยะขัดขืน, การขัดขืนอย่างสงบ) ถือเป็นสิทธิที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศในระบอบประชาธิปไตย
เป็นรูปแบบการต่อต้านทางการเมืองอย่างสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อกระตุ้นให้เกิดสำนึกแห่งความยุติธรรมและเพื่อกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองปัจจุบันที่เป็นอยู่ โดยผู้กระทำยอมรับผลทางกฎหมายของการกระทำนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม เพราะถ้าไม่ยอมให้กฎหมายลงโทษ คงไม่มีเหตุกระตุ้นให้สังคมเกิดความสนใจหรือให้ความสำคัญและไม่ใช่การต่อต้านโดยสันติวิธี
ประเทศในระบอบประชาธิปไตย เช่น ประ เทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ประชาชนในสังคม มีส่วนร่วมและมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเสมอมา เห็นได้จากมีการบัญญัติเกี่ยวกับการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาโดยตลอด
ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ฉบับปัจจุบัน มาตรา 69 กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้ง 2 ฉบับไม่ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" ไว้ ดังนั้น คำพิพากษากรณีฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าว จึงตีความคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" โดยถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 ให้ความหมายคำว่า "ต่อต้าน" หมายถึง ปะทะไว้, ต้านทานไว้, สู้รบป้องกันไว้ และให้ความหมายของคำว่า "ป้องกัน" หมายถึง กันไว้เพื่อต้านทานหรือคุ้มครอง
คำว่า "ต่อต้าน" กับ "ป้องกัน" มีความหมายตรงกันอย่างหนึ่งว่า "ต้านทาน" หมายถึง ขัดขวาง, ยับยั้ง, ต่อสู้ยันไว้ และยังให้ความหมายคำว่า "สันติวิธี" หมายถึง วิธีจะก่อให้เกิดความสงบ
จากกรณีดังกล่าว เห็นได้ว่าเมื่อมีการฉีกบัตรเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น การฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าวไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ใช้อาวุธ ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทุกข์ยากแก่ผู้ใด
แต่สื่อให้สังคมตระหนักถึงการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม เพราะหากนิ่งเฉยต่อการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตจนการเลือกตั้งแล้วเสร็จ อาจส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยสั่นคลอนไม่มั่นคง ซึ่งสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีนี้ประชาชนทุกคนสามารถกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ในต่างประเทศการต่อต้านโดยสันติวิธีมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี่ในสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 เมื่อโรซา พาร์ก ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกันต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง จนถูกจับตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก เป็นเหตุให้คนผิวดำออกมาประท้วงจนรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้
กรณีการต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดียเมื่อปี ค.ศ. 1930 โดย มหาตมะ คานธี สมัยนั้นประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับให้การผลิตและขายเกลือกระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ถึงแม้คนอินเดียจะผลิตเกลือเพื่อบริโภคเองได้ก็จำต้องซื้อจากประเทศอังกฤษ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก มหาตมะ คานธี จึงดำเนินการต่อต้านโดยสันติวิธีคือ ขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ ท้าทายมาตรการผูกขาดนั้น เป็นเหตุให้ถูกจับกุมตัวและได้รับโทษ
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านโดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดียส่งผลให้คนอินเดียได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ. 1947 และกรณีนางออง ซาน ซู จี ที่ต่อสู้โดยสันติ วิธีเพื่อเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในบ้านเกิดของเธอจนยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เธอเป็น "สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ" เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2545
แม้กฎหมายจะให้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในสังคมแก่ประชาชน แต่กฎหมายก็กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นกัน เพื่อรักษาความ สงบเรียบร้อยและสร้างความมีเสถียรภาพในสังคม
ดังนั้น ประชาชนทุกคนควรให้ความสำคัญและเคารพในสิทธิเสรีภาพของทั้งตนเองและผู้อื่น เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างสงบสุขภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
****************************************************
หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งในหลายรูปแบบ ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมส่งผลให้ประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้าน จึงเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
แต่ละบุคคลก็มีวิธีการใช้สิทธิออกเสียงเพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเองให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณะด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป
หนึ่งในนั้นคือ กรณีที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งฉีกบัตรลงคะแนนในวันเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 จนเป็นเหตุให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอาจารย์ท่านนั้นต่อศาล ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเพื่อต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 ที่กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"
การต่อต้านโดยสันติวิธี คืออะไร
การต่อต้านโดยสันติวิธี (Civil Disobedience : อารยะขัดขืน, การขัดขืนอย่างสงบ) ถือเป็นสิทธิที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศในระบอบประชาธิปไตย
เป็นรูปแบบการต่อต้านทางการเมืองอย่างสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อกระตุ้นให้เกิดสำนึกแห่งความยุติธรรมและเพื่อกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองปัจจุบันที่เป็นอยู่ โดยผู้กระทำยอมรับผลทางกฎหมายของการกระทำนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม เพราะถ้าไม่ยอมให้กฎหมายลงโทษ คงไม่มีเหตุกระตุ้นให้สังคมเกิดความสนใจหรือให้ความสำคัญและไม่ใช่การต่อต้านโดยสันติวิธี
ประเทศในระบอบประชาธิปไตย เช่น ประ เทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ประชาชนในสังคม มีส่วนร่วมและมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเสมอมา เห็นได้จากมีการบัญญัติเกี่ยวกับการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาโดยตลอด
ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ฉบับปัจจุบัน มาตรา 69 กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้ง 2 ฉบับไม่ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" ไว้ ดังนั้น คำพิพากษากรณีฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าว จึงตีความคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" โดยถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 ให้ความหมายคำว่า "ต่อต้าน" หมายถึง ปะทะไว้, ต้านทานไว้, สู้รบป้องกันไว้ และให้ความหมายของคำว่า "ป้องกัน" หมายถึง กันไว้เพื่อต้านทานหรือคุ้มครอง
คำว่า "ต่อต้าน" กับ "ป้องกัน" มีความหมายตรงกันอย่างหนึ่งว่า "ต้านทาน" หมายถึง ขัดขวาง, ยับยั้ง, ต่อสู้ยันไว้ และยังให้ความหมายคำว่า "สันติวิธี" หมายถึง วิธีจะก่อให้เกิดความสงบ
จากกรณีดังกล่าว เห็นได้ว่าเมื่อมีการฉีกบัตรเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น การฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าวไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ใช้อาวุธ ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทุกข์ยากแก่ผู้ใด
แต่สื่อให้สังคมตระหนักถึงการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม เพราะหากนิ่งเฉยต่อการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตจนการเลือกตั้งแล้วเสร็จ อาจส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยสั่นคลอนไม่มั่นคง ซึ่งสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีนี้ประชาชนทุกคนสามารถกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ในต่างประเทศการต่อต้านโดยสันติวิธีมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี่ในสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 เมื่อโรซา พาร์ก ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกันต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง จนถูกจับตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก เป็นเหตุให้คนผิวดำออกมาประท้วงจนรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้
กรณีการต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดียเมื่อปี ค.ศ. 1930 โดย มหาตมะ คานธี สมัยนั้นประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับให้การผลิตและขายเกลือกระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ถึงแม้คนอินเดียจะผลิตเกลือเพื่อบริโภคเองได้ก็จำต้องซื้อจากประเทศอังกฤษ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก มหาตมะ คานธี จึงดำเนินการต่อต้านโดยสันติวิธีคือ ขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ ท้าทายมาตรการผูกขาดนั้น เป็นเหตุให้ถูกจับกุมตัวและได้รับโทษ
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านโดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดียส่งผลให้คนอินเดียได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ. 1947 และกรณีนางออง ซาน ซู จี ที่ต่อสู้โดยสันติ วิธีเพื่อเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในบ้านเกิดของเธอจนยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เธอเป็น "สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ" เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2545
แม้กฎหมายจะให้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในสังคมแก่ประชาชน แต่กฎหมายก็กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นกัน เพื่อรักษาความ สงบเรียบร้อยและสร้างความมีเสถียรภาพในสังคม
ดังนั้น ประชาชนทุกคนควรให้ความสำคัญและเคารพในสิทธิเสรีภาพของทั้งตนเองและผู้อื่น เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างสงบสุขภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
****************************************************
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
‘วรเจตน์’เสนอปฏิรูปตุลาการยึดโยงประชาชน-‘สถิตย์’ชี้ถ้าคลิปจริง โทษ 20 ปี
นิติราษฎร์จัดอภิปราย ‘วรเจตน์’ฟันธงตุลาการภิวัตน์ผิดทาง ถึงเวลาปฏิรูปทุกศาลให้ยึดโยงประชาชน สร้างระบบเปิดตรวจสอบได้ ‘พนัส ทัศนียานนท์’ เรียกร้องตุลาการเป็นแนวหน้าปชต.เหมือนอังกฤษ‘สถิตย์ ไพเราะ’ นอนยันไม่มีทางเป็นไปได้ ชี้คลิปฉาวศาลรธน. ถ้าจริงตุลาการผิดกม.อาญาโทษสูง 20 ปี
‘คณะนิติราษฎร์’ จัดอภิปรายเรื่อง “ตุลาการ-มโนธรรมสำนึก-ประชาธิปไตย” ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. สถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตอาจารย์ผู้บรรยายวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ ทั้งนี้ คณะนิติราษฎร์เปิดตัวเมื่อ 19 ก.ย.53 ประกอบด้วย 7 อาจารย์จากนิติศาสตร์ มธ. มีสโลแกนว่า “นิติศาสตร์ เพื่อราษฎร”
วรเจตน์ กล่าวว่า การทบทวนระบบตุลาการเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากคำอธิบายเกี่ยวกับสถานะและอุดมการณ์ของตุลาการนั้นละเลยคุณค่าพื้น ฐานของประชาธิปไตย หากไม่กลับไปสู่คุณค่าพื้นฐานก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ข้อแย้งสำคัญของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ตุลาการเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยคือเกรง จะกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงสร้าง 3 เสามีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นอำนาจตุลาการที่รับโครงสร้างจากระบอบเก่ามาสวมทับ กับระบบใหม่ทั้งหมด และเป็นประเด็นที่ไม่เคยอภิปรายกันเลยตลอดมา
เขา กล่าวถึงตัวอย่างของการขาดความเข้าใจในหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยยกกรณี ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความกับผู้เผยแพร่คลิปศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเร็วๆ นี้ในความผิดหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ตุลาการซึ่งตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยว่า การพิพากษาคดีของศาลต้องดำเนินการตามกฎหมายและ “ในนามพระมหากษัตริย์” คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จนกระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2489 จึงใช้คำว่า “ในพระปรมาภิไธย” ความหมายของคำนี้คือ การที่พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจแทนปวงชนผ่านองค์กรของรัฐ อันหนึ่งคือศาล ที่สุดแล้วเป็นการใช้อำนาจของราษฎรทั้งหลายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการอยู่ ร่วมกันเป็นรัฐ
วรเจตน์ กล่าวว่า หลักประชาธิปไตยอันหนึ่งคือ ผู้ปกครองปกครองโดยมีระยะเวลาจำกัด มีแต่ฝ่ายตุลาการเท่านั้นที่ไม่มีวาระในการทำงาน แม้เข้าใจได้โดยสภาพของงาน แต่ต้องไม่ละเลยว่าตัวเองเชื่อมโยงกับประชาชน ไม่ต้องกลัวว่าการยึดโยงนี้จะกระทบต่อความอิสระ เนื่องจากความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายถึง 1.เป็นอิสระในทางเนื้อหา หมายความว่า พิพากษาคดีไปตามกฎหมาย ความรู้ในวิชาชีพ ไม่รับใบสั่งจากใคร 2. อิสระต่ออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการด้วยกันเอง กรณีหลังหมายความว่าศาลไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำตัดสินของศาลสูงที่เคยตัดสินแล้ว หากไม่เห็นด้วย มีเหตุผลดีกว่าจะกลับคำพิพากษาก็ได้ 3. ต้องเป็นอิสระต่ออิทธิพลในทางสังคม อย่างไรก็ตาม หลักนี้ใช้เฉพาะการกระทำการในทางตุลาการเท่านั้น ถ้าทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่การตัดสินคดีก็ไม่สามารถอ้างหลักการนี้มาป้องกันการตรวจสอบได้ และไม่ทำให้ผู้พิพากษาพ้นไปจากกฎหมาย
“ในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เห็นด้วยเดินขบวนประท้วงคำพิพากษาก็ได้ เพียงแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคดีได้หากศาลตัดสินไปแล้ว แต่เจ้าของอำนาจมีสิทธิที่จะแสดงออกได้ว่าคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าถูกกดทับ ปิดปากในนามของการละเมิดอำนาจศาล” วรเจตน์กล่าวและว่า ตุลาการจำเป็นต้องอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ ตราบเท่าที่ไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทตัวผู้พิพากษา
วรเจตน์ ย้ำว่า การกำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาโดยเชื่อมโยงกับประชาชนไม่ขัดแย้งอะไรกับหลักความเป็นอิสระ เพราะการะบวนการคัดคนไม่ควรเป็นระบบปิด หลายประเทศสร้างระบบเปิดให้กับตุลาการในหลายรูปแบบ เช่น 1.เลือกตั้งโดยตรง ดังเช่นบางมลรัฐในสหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ 2.คัดเลือกและเสนอชื่อโดยฝ่ายบริหาร 3.คัดเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ 4.รูปแบบผสมให้ตุลาการและฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกันคัดเลือก ขณะที่บางประเทศใช้ระบบลูกขุน ให้คนธรรมดาเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลชั้นต้น เช่น เยอรมนี เพื่อทำให้กระบวนการดำเนินคดีอยู่ในสายตาของสาธารณชนด้วย แต่เมื่อเสนอแนวทางนี้ในสังคมก็มักจบด้วยข้ออ้างว่าการทำเช่นนี้ทำให้คนทั่วไปมีอิทธิพลกับตุลาการได้ อันเป็นมุมมองที่เห็นว่าราษฎรไทยยังไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถในการจัดการปกครองตนเอง เรื่องนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย
“บางคนบอกปัญหาเกิดกับศาลใหม่ๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ขอเรียนว่า นี่เป็นเรื่องอำนาจตุลาการทั้งหมด เราควรใช้โอกาสนี้พูดถึงทั้งระบบ ดังจะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้คำตัดสินของทุกศาลล้วนถูกตั้งคำถาม”
วรเจตน์กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของตุลาการ คือ การขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะแก้ปัญหาอื่นไม่ได้เลย เพราะผู้พิพากษาไม่รู้สึกว่าการตัดสินคดีไม่ใช่ใช้อำนาตตัวเองแต่เป็นอำนาจประชาชน จำเป็นต้องปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย นิติรัฐลงไป และเปลี่ยนโครงสร้างตุลาการให้ทนทานต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม หากดูรัฐธรรมนูญ 50 จะพบแนวโน้มที่กลับกัน โดยสร้างอำนาจให้ศาลมากขึ้น เป็นระบบปิดมากขึ้น และอ้างถึงกระแสตุลาการภิวัตน์ซึ่งเห็นว่าศาลเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ปัญหาการเมืองไทยได้ แต่วันนี้ผ่านมาหลายปีแล้วน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าผลเป็นอย่างไร เพียงแต่จะกล้ายอมรับไหมว่าแนวทางนี้ผิดและสร้างปัญหา
พนัส กล่าวว่า มโนสำนึกในทางที่จะเป็นประชาธิปไตยถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้คงต้องมีการปฏิรูป ไม่ใช่ที่ระบบ แต่ปฏิรูปที่คน ทำอย่างไรให้ผู้พิพากษาไทยมีความสำนึกในประชาธิปไตยขณะที่จารีตประเพณีที่ยึดถือกันมานั้นไม่ต่างจากสมัยอยุธยา ในหมู่ตุลาการคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับชัดเจนเท่าไรนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตุลาการผู้พิพากษาที่มีสปิริตนี้เลย แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าแปลกแยกกับสังคมที่แวดล้อม
พนัส กล่าวต่อว่า ธรรมเนียมตุลาการไทยนั้นรับมาจากอังกฤษ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียนรู้มาด้วย คือประวัติศาสตร์อังกฤษ ถ้าไม่มีตุลาการร่วมต่อสู้ ความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษคงไม่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ทั้งโลกเป็นหนี้ตุลาการชาวอังกฤษคือ ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด คุก เขายอมสละตัวเองต่อสู้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อหลักการที่ถูกต้อง
สถิตย์ ผู้อภิปรายที่เรียกเสียงหัวเราะผู้ฟังได้เป็นระยะตลอดการอภิปราย กล่าวว่า สำนึกประชาธิปไตยในวงการตุลาการนั้นมีอยู่ในตัวบทกฎหมาย ดังเช่นมาตรา 26 พ.ร.บ.ข้าราชการตุลาการ วรรค 3 ระบุว่าคนที่จะสมัครสอบเป็นผู้พิพากษาจะต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครอง ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดยบริสุทธิ์ใจ แต่กลับปรากฏตามข่าวว่าประธานศาลกับเลขาฯ ไปประชุมล้มรัฐบาล และสังคมก็ไม่เอาเรื่อง ไม่มีใครออกมารับผิดชอบแถลงข้อเท็จจริง
ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามายาวนาน เขายังยืนยันด้วยว่า ผู้พิพากษาไม่มีทางที่จะมาเป็นแถวหน้าในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่พนัสคาดหวัง หลายเรื่องที่มีคนคาดหวังก็ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ เช่นกรณีการไม่รับรองความชอบธรรมภายหลังเกิดการรัฐประหาร เพราะกลไกต่างๆ นั้นเคลื่อนไปหมดแล้ว มีรัฐสภา มีกฎหมาย มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วจำนวนมาก
“ศาลเป็นผู้นำไม่ได้ ต้องเป็นผู้ตาม ที่ท่านอ้างอังกฤษ ผมว่ามันเขียนคนละตัว ในความเห็นผม แมกนาคาตา เกิดขึ้นได้จากใคร ไม่ได้เกิดจากผู้พิพากษา ประเทศไทยไม่เคยมีผู้พิพากษาตายเพื่อรักษาความยุติธรรม ระหว่างจำเลยตายกับผมตาย จำเลยต้องตาย (ผู้ฟังหัวเราะ) มันเป็นอย่างนี้ คนที่ตายเพื่อกฎหมาย ความยุติธรรม เป็นทหาร คือ พันท้ายนรสิงห์ ฉะนั้นท่านไปเรียกร้องไม่มีใครได้ยินหรอก ขอบฟ้าอยู่แสนไกล อันนี้กราบเรียนจากหัวใจในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามา 40 ปี ไม่มีทางจริงๆ”
“อย่าหวังผู้พิพากษาเป็นแนวหน้า ไม่มีทาง ประชาชนเท่านั้นจะเป็นแนวหน้า บัดนี้เกิดขึ้นแล้ว รอบตัวท่านนี่แหละ” สถิตย์กล่าว ขณะที่พนัสกล่าวในประเด็นนี้ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความหวังแม้จะริบหรี่ดูได้จากกรณีคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาชื่อกีรติ กาญจนรินทร์ ซึ่งระบุว่าการทำรัฐประหารนั้นผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของประเทศตุรกีซึ่งต้องการเป็นสมาชิกอียู เพิ่งลงประชามติเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่าการรัฐประหารเมื่อ 30 ปีก่อนผิดกฎหมายและการนิรโทษกรรมครั้งนั้นเป็นโมฆะ ส่วนวรเจตน์เห็นว่าการที่ผู้พิพากษาเป็นแนวหน้าไม่ได้นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะลักษณะงานตุลาการเป็นงานในเชิงรับมากกว่ารุก แต่ถ้าศาลไม่เป็นกองหน้า ก็เป็นกองหนุนได้ และสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ผ่านคำพิพากษา องค์กรตุลาการทำให้กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญเป็นจริงทางปฏิบัติได้
สถิตย์ ยังกล่าวถึงกรณีคลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังโด่งดังอยู่ขณะนี้ด้วยว่า มีนักศึกษาถามว่าเขาเชื่อไหมว่าคลิปนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเขาตอบว่าไม่เชื่อ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับหนึ่งทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะทำผิดกฎหมายขนาดนั้น เพราะมันผิดทั้ง ม.157 เป็นผู้พิพากษาประชุมปรึกษาช่วยโจทก์จำเลย ผิดฎหมายฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โทษจำคุก 1-10 ปี หากเป็นตุลาการโทษจะเลื่อนไปใน ม. 201 โทษจำคุก 5-20 ปี อีกทั้งประชุมกันเพื่อทำผิดกฎหมายยังมีความผิดฐานซ่องโจรตาม ม. 210 ท่านตุลาการย่อมต้องรู้ ฉะนั้นท่านย่อมไม่ทำ (ผู้ฟังหัวเราะ)
พงศ์เทพ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของศาลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การตัดสินคดีไม่เหมือนกันในแต่ละชั้นเป็นเรื่องปกติ หรือต่อให้ตัดสินไม่ถูก แต่โจทก์หรือจำเลยต่างก็ยอมรับได้ เพราะไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในองค์กรตุลาการ แต่ถ้ามีความเคลือบแคลงเสียแล้ว ต่อให้ตัดสินถูกต้องที่สุดคนก็ยังไม่เชื่อ สถานการณ์หลังยึดอำนาจ มีพฤติการณ์ คำพิพากษาหลายฉบับที่ก่อความเคลือบแคลงใจต่อสาธารณชน ประกอบกับหลายเหตุการณ์ทำให้ความเคลือบแคลงนั้นกลับเป็นความแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวงการตุลาการ
พงศ์เทพยกตัวอย่างกรณีคำตัดสินของศาลยุติธรรมที่ก่อความแคลงใจ เช่น อดีต กกต. 4 คนถูกฟ้องคดีอาญา ต่อมาพิพากษาว่า กกต.3 คนมีความผิด มีการขอปล่อยชั่วคราวซึ่งตามปกติแล้วต้องให้ แต่ศาลไม่ให้ จน กกต.เหล่านั้นลาออกจึงได้รับการปล่อยชั่วคราว ต่อมามีการปล่อยเทปบันทึกเสียงผู้พิพากษา 2 คน คุยกับข้าราชการระดับสูง เลขาธิการ ปปง. พูดข้อมูลที่เกี่ยวพันกับคดีนี้ คนปล่อยเทปถูกฟ้องด้วยข้อหาดักฟังโทรศัพท์แล้วแอบอัดเสียง แต่สุดท้ายในแวดวงศาลก็ไม่มีการสอบข้อเท็จจริงใดๆ
ส่วนกรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งเกิดขึ้น พงศ์เทพเห็นว่าหากมีการตัดต่อจริงถือเป็นการจงใจทำลายใส่ความศาลรัฐธรรมนูญที่รุนแรงมากต้องดำเนินคดี แต่หากเป็นเรื่องจริง สื่อมวลชนควรไปสัมภาษณ์ตุลาการที่เหลือว่าเห็นควรทำงานร่วมกับคนเหล่านั้นต่อไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาศาลฎีกาเคยพิพากษาคดีครูเอาข้อสอบไปให้เด็กดู ตัดสินให้เจ้าพนักงานต้องโทษจำคุกคนละ 9 ปี คนสนับสนุนโดนคนละ 6 ปี
พงศ์เทพ กล่าวถึงสำนึกเรื่องประชาธิปไตยของตุลาการว่าตั้งแต่ในอดีตเราอาจผิดหวังที่ ตุลาการไม่ได้ทำนุบำรุงรักษาระบอบประชาธิปไตยเท่าที่ควร คำพิพพากษาศาลฎีกาปี 2496 ก็รับรองให้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และปีเดียวกันนั้นเองหนึ่งในผู้พิพากษาคดีนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ผ่านมาจนปี 2549 ก็ยังมีผู้พิพากษาที่มีบทบาทก่อนการยึดอำนาจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายท่านด้วยกัน
“สรุปแล้ว มโนธรรมสำนึก เท่ากับ โน สำนึก ไม่ต้องพูดเรื่องหลักวิชาชีพทางกฎหมาย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครต้องบรรยายเรื่องจริยธรรมตุลาการคงปวดหัวมาก เพราะไม่สามารถปรับหลักการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย” พงษ์เทพกล่าว
มีผู้ถามว่ากรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตุลาการสามารถแจ้งข้อหากับผู้เผยแพร่ในความผิดมาตรา 112 หมิ่นสถาบันได้หรือไม่ สถิตย์กล่าวว่า มาตรา 112 ไม่ได้กำหนดขอบเขตรวมถึงศาลแต่อย่างใด ส่วนที่กล่าวกันว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะละเมิดอำนาจศาลหมายถึงการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาลเท่านั้น ส่วนการดูหมิ่นศาล ต้องเป็นเรื่องดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี คำว่า “ดูหมิ่น” ก็ต้องตีความอีกว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของคน นอกจากนี้จะเข้าข่ายดูหมิ่นศาลได้ต้องเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย การปรึกษาคดีเพื่อรับสินบนเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่มา.ประชาไท
***************************************************************
‘คณะนิติราษฎร์’ จัดอภิปรายเรื่อง “ตุลาการ-มโนธรรมสำนึก-ประชาธิปไตย” ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. สถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตอาจารย์ผู้บรรยายวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ ทั้งนี้ คณะนิติราษฎร์เปิดตัวเมื่อ 19 ก.ย.53 ประกอบด้วย 7 อาจารย์จากนิติศาสตร์ มธ. มีสโลแกนว่า “นิติศาสตร์ เพื่อราษฎร”
วรเจตน์ กล่าวว่า การทบทวนระบบตุลาการเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากคำอธิบายเกี่ยวกับสถานะและอุดมการณ์ของตุลาการนั้นละเลยคุณค่าพื้น ฐานของประชาธิปไตย หากไม่กลับไปสู่คุณค่าพื้นฐานก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ข้อแย้งสำคัญของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ตุลาการเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยคือเกรง จะกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงสร้าง 3 เสามีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นอำนาจตุลาการที่รับโครงสร้างจากระบอบเก่ามาสวมทับ กับระบบใหม่ทั้งหมด และเป็นประเด็นที่ไม่เคยอภิปรายกันเลยตลอดมา
เขา กล่าวถึงตัวอย่างของการขาดความเข้าใจในหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยยกกรณี ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความกับผู้เผยแพร่คลิปศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเร็วๆ นี้ในความผิดหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ตุลาการซึ่งตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยว่า การพิพากษาคดีของศาลต้องดำเนินการตามกฎหมายและ “ในนามพระมหากษัตริย์” คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จนกระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2489 จึงใช้คำว่า “ในพระปรมาภิไธย” ความหมายของคำนี้คือ การที่พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจแทนปวงชนผ่านองค์กรของรัฐ อันหนึ่งคือศาล ที่สุดแล้วเป็นการใช้อำนาจของราษฎรทั้งหลายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการอยู่ ร่วมกันเป็นรัฐ
วรเจตน์ กล่าวว่า หลักประชาธิปไตยอันหนึ่งคือ ผู้ปกครองปกครองโดยมีระยะเวลาจำกัด มีแต่ฝ่ายตุลาการเท่านั้นที่ไม่มีวาระในการทำงาน แม้เข้าใจได้โดยสภาพของงาน แต่ต้องไม่ละเลยว่าตัวเองเชื่อมโยงกับประชาชน ไม่ต้องกลัวว่าการยึดโยงนี้จะกระทบต่อความอิสระ เนื่องจากความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายถึง 1.เป็นอิสระในทางเนื้อหา หมายความว่า พิพากษาคดีไปตามกฎหมาย ความรู้ในวิชาชีพ ไม่รับใบสั่งจากใคร 2. อิสระต่ออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการด้วยกันเอง กรณีหลังหมายความว่าศาลไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำตัดสินของศาลสูงที่เคยตัดสินแล้ว หากไม่เห็นด้วย มีเหตุผลดีกว่าจะกลับคำพิพากษาก็ได้ 3. ต้องเป็นอิสระต่ออิทธิพลในทางสังคม อย่างไรก็ตาม หลักนี้ใช้เฉพาะการกระทำการในทางตุลาการเท่านั้น ถ้าทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่การตัดสินคดีก็ไม่สามารถอ้างหลักการนี้มาป้องกันการตรวจสอบได้ และไม่ทำให้ผู้พิพากษาพ้นไปจากกฎหมาย
“ในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เห็นด้วยเดินขบวนประท้วงคำพิพากษาก็ได้ เพียงแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคดีได้หากศาลตัดสินไปแล้ว แต่เจ้าของอำนาจมีสิทธิที่จะแสดงออกได้ว่าคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าถูกกดทับ ปิดปากในนามของการละเมิดอำนาจศาล” วรเจตน์กล่าวและว่า ตุลาการจำเป็นต้องอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ ตราบเท่าที่ไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทตัวผู้พิพากษา
วรเจตน์ ย้ำว่า การกำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาโดยเชื่อมโยงกับประชาชนไม่ขัดแย้งอะไรกับหลักความเป็นอิสระ เพราะการะบวนการคัดคนไม่ควรเป็นระบบปิด หลายประเทศสร้างระบบเปิดให้กับตุลาการในหลายรูปแบบ เช่น 1.เลือกตั้งโดยตรง ดังเช่นบางมลรัฐในสหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ 2.คัดเลือกและเสนอชื่อโดยฝ่ายบริหาร 3.คัดเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ 4.รูปแบบผสมให้ตุลาการและฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกันคัดเลือก ขณะที่บางประเทศใช้ระบบลูกขุน ให้คนธรรมดาเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลชั้นต้น เช่น เยอรมนี เพื่อทำให้กระบวนการดำเนินคดีอยู่ในสายตาของสาธารณชนด้วย แต่เมื่อเสนอแนวทางนี้ในสังคมก็มักจบด้วยข้ออ้างว่าการทำเช่นนี้ทำให้คนทั่วไปมีอิทธิพลกับตุลาการได้ อันเป็นมุมมองที่เห็นว่าราษฎรไทยยังไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถในการจัดการปกครองตนเอง เรื่องนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย
“บางคนบอกปัญหาเกิดกับศาลใหม่ๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ขอเรียนว่า นี่เป็นเรื่องอำนาจตุลาการทั้งหมด เราควรใช้โอกาสนี้พูดถึงทั้งระบบ ดังจะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้คำตัดสินของทุกศาลล้วนถูกตั้งคำถาม”
วรเจตน์กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของตุลาการ คือ การขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะแก้ปัญหาอื่นไม่ได้เลย เพราะผู้พิพากษาไม่รู้สึกว่าการตัดสินคดีไม่ใช่ใช้อำนาตตัวเองแต่เป็นอำนาจประชาชน จำเป็นต้องปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย นิติรัฐลงไป และเปลี่ยนโครงสร้างตุลาการให้ทนทานต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม หากดูรัฐธรรมนูญ 50 จะพบแนวโน้มที่กลับกัน โดยสร้างอำนาจให้ศาลมากขึ้น เป็นระบบปิดมากขึ้น และอ้างถึงกระแสตุลาการภิวัตน์ซึ่งเห็นว่าศาลเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ปัญหาการเมืองไทยได้ แต่วันนี้ผ่านมาหลายปีแล้วน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าผลเป็นอย่างไร เพียงแต่จะกล้ายอมรับไหมว่าแนวทางนี้ผิดและสร้างปัญหา
พนัส กล่าวว่า มโนสำนึกในทางที่จะเป็นประชาธิปไตยถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้คงต้องมีการปฏิรูป ไม่ใช่ที่ระบบ แต่ปฏิรูปที่คน ทำอย่างไรให้ผู้พิพากษาไทยมีความสำนึกในประชาธิปไตยขณะที่จารีตประเพณีที่ยึดถือกันมานั้นไม่ต่างจากสมัยอยุธยา ในหมู่ตุลาการคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับชัดเจนเท่าไรนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตุลาการผู้พิพากษาที่มีสปิริตนี้เลย แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าแปลกแยกกับสังคมที่แวดล้อม
พนัส กล่าวต่อว่า ธรรมเนียมตุลาการไทยนั้นรับมาจากอังกฤษ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียนรู้มาด้วย คือประวัติศาสตร์อังกฤษ ถ้าไม่มีตุลาการร่วมต่อสู้ ความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษคงไม่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ทั้งโลกเป็นหนี้ตุลาการชาวอังกฤษคือ ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด คุก เขายอมสละตัวเองต่อสู้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อหลักการที่ถูกต้อง
สถิตย์ ผู้อภิปรายที่เรียกเสียงหัวเราะผู้ฟังได้เป็นระยะตลอดการอภิปราย กล่าวว่า สำนึกประชาธิปไตยในวงการตุลาการนั้นมีอยู่ในตัวบทกฎหมาย ดังเช่นมาตรา 26 พ.ร.บ.ข้าราชการตุลาการ วรรค 3 ระบุว่าคนที่จะสมัครสอบเป็นผู้พิพากษาจะต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครอง ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดยบริสุทธิ์ใจ แต่กลับปรากฏตามข่าวว่าประธานศาลกับเลขาฯ ไปประชุมล้มรัฐบาล และสังคมก็ไม่เอาเรื่อง ไม่มีใครออกมารับผิดชอบแถลงข้อเท็จจริง
ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามายาวนาน เขายังยืนยันด้วยว่า ผู้พิพากษาไม่มีทางที่จะมาเป็นแถวหน้าในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่พนัสคาดหวัง หลายเรื่องที่มีคนคาดหวังก็ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ เช่นกรณีการไม่รับรองความชอบธรรมภายหลังเกิดการรัฐประหาร เพราะกลไกต่างๆ นั้นเคลื่อนไปหมดแล้ว มีรัฐสภา มีกฎหมาย มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วจำนวนมาก
“ศาลเป็นผู้นำไม่ได้ ต้องเป็นผู้ตาม ที่ท่านอ้างอังกฤษ ผมว่ามันเขียนคนละตัว ในความเห็นผม แมกนาคาตา เกิดขึ้นได้จากใคร ไม่ได้เกิดจากผู้พิพากษา ประเทศไทยไม่เคยมีผู้พิพากษาตายเพื่อรักษาความยุติธรรม ระหว่างจำเลยตายกับผมตาย จำเลยต้องตาย (ผู้ฟังหัวเราะ) มันเป็นอย่างนี้ คนที่ตายเพื่อกฎหมาย ความยุติธรรม เป็นทหาร คือ พันท้ายนรสิงห์ ฉะนั้นท่านไปเรียกร้องไม่มีใครได้ยินหรอก ขอบฟ้าอยู่แสนไกล อันนี้กราบเรียนจากหัวใจในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามา 40 ปี ไม่มีทางจริงๆ”
“อย่าหวังผู้พิพากษาเป็นแนวหน้า ไม่มีทาง ประชาชนเท่านั้นจะเป็นแนวหน้า บัดนี้เกิดขึ้นแล้ว รอบตัวท่านนี่แหละ” สถิตย์กล่าว ขณะที่พนัสกล่าวในประเด็นนี้ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความหวังแม้จะริบหรี่ดูได้จากกรณีคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาชื่อกีรติ กาญจนรินทร์ ซึ่งระบุว่าการทำรัฐประหารนั้นผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของประเทศตุรกีซึ่งต้องการเป็นสมาชิกอียู เพิ่งลงประชามติเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่าการรัฐประหารเมื่อ 30 ปีก่อนผิดกฎหมายและการนิรโทษกรรมครั้งนั้นเป็นโมฆะ ส่วนวรเจตน์เห็นว่าการที่ผู้พิพากษาเป็นแนวหน้าไม่ได้นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะลักษณะงานตุลาการเป็นงานในเชิงรับมากกว่ารุก แต่ถ้าศาลไม่เป็นกองหน้า ก็เป็นกองหนุนได้ และสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ผ่านคำพิพากษา องค์กรตุลาการทำให้กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญเป็นจริงทางปฏิบัติได้
สถิตย์ ยังกล่าวถึงกรณีคลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังโด่งดังอยู่ขณะนี้ด้วยว่า มีนักศึกษาถามว่าเขาเชื่อไหมว่าคลิปนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเขาตอบว่าไม่เชื่อ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับหนึ่งทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะทำผิดกฎหมายขนาดนั้น เพราะมันผิดทั้ง ม.157 เป็นผู้พิพากษาประชุมปรึกษาช่วยโจทก์จำเลย ผิดฎหมายฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โทษจำคุก 1-10 ปี หากเป็นตุลาการโทษจะเลื่อนไปใน ม. 201 โทษจำคุก 5-20 ปี อีกทั้งประชุมกันเพื่อทำผิดกฎหมายยังมีความผิดฐานซ่องโจรตาม ม. 210 ท่านตุลาการย่อมต้องรู้ ฉะนั้นท่านย่อมไม่ทำ (ผู้ฟังหัวเราะ)
พงศ์เทพ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของศาลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การตัดสินคดีไม่เหมือนกันในแต่ละชั้นเป็นเรื่องปกติ หรือต่อให้ตัดสินไม่ถูก แต่โจทก์หรือจำเลยต่างก็ยอมรับได้ เพราะไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในองค์กรตุลาการ แต่ถ้ามีความเคลือบแคลงเสียแล้ว ต่อให้ตัดสินถูกต้องที่สุดคนก็ยังไม่เชื่อ สถานการณ์หลังยึดอำนาจ มีพฤติการณ์ คำพิพากษาหลายฉบับที่ก่อความเคลือบแคลงใจต่อสาธารณชน ประกอบกับหลายเหตุการณ์ทำให้ความเคลือบแคลงนั้นกลับเป็นความแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวงการตุลาการ
พงศ์เทพยกตัวอย่างกรณีคำตัดสินของศาลยุติธรรมที่ก่อความแคลงใจ เช่น อดีต กกต. 4 คนถูกฟ้องคดีอาญา ต่อมาพิพากษาว่า กกต.3 คนมีความผิด มีการขอปล่อยชั่วคราวซึ่งตามปกติแล้วต้องให้ แต่ศาลไม่ให้ จน กกต.เหล่านั้นลาออกจึงได้รับการปล่อยชั่วคราว ต่อมามีการปล่อยเทปบันทึกเสียงผู้พิพากษา 2 คน คุยกับข้าราชการระดับสูง เลขาธิการ ปปง. พูดข้อมูลที่เกี่ยวพันกับคดีนี้ คนปล่อยเทปถูกฟ้องด้วยข้อหาดักฟังโทรศัพท์แล้วแอบอัดเสียง แต่สุดท้ายในแวดวงศาลก็ไม่มีการสอบข้อเท็จจริงใดๆ
ส่วนกรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งเกิดขึ้น พงศ์เทพเห็นว่าหากมีการตัดต่อจริงถือเป็นการจงใจทำลายใส่ความศาลรัฐธรรมนูญที่รุนแรงมากต้องดำเนินคดี แต่หากเป็นเรื่องจริง สื่อมวลชนควรไปสัมภาษณ์ตุลาการที่เหลือว่าเห็นควรทำงานร่วมกับคนเหล่านั้นต่อไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาศาลฎีกาเคยพิพากษาคดีครูเอาข้อสอบไปให้เด็กดู ตัดสินให้เจ้าพนักงานต้องโทษจำคุกคนละ 9 ปี คนสนับสนุนโดนคนละ 6 ปี
พงศ์เทพ กล่าวถึงสำนึกเรื่องประชาธิปไตยของตุลาการว่าตั้งแต่ในอดีตเราอาจผิดหวังที่ ตุลาการไม่ได้ทำนุบำรุงรักษาระบอบประชาธิปไตยเท่าที่ควร คำพิพพากษาศาลฎีกาปี 2496 ก็รับรองให้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และปีเดียวกันนั้นเองหนึ่งในผู้พิพากษาคดีนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ผ่านมาจนปี 2549 ก็ยังมีผู้พิพากษาที่มีบทบาทก่อนการยึดอำนาจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายท่านด้วยกัน
“สรุปแล้ว มโนธรรมสำนึก เท่ากับ โน สำนึก ไม่ต้องพูดเรื่องหลักวิชาชีพทางกฎหมาย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครต้องบรรยายเรื่องจริยธรรมตุลาการคงปวดหัวมาก เพราะไม่สามารถปรับหลักการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย” พงษ์เทพกล่าว
มีผู้ถามว่ากรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตุลาการสามารถแจ้งข้อหากับผู้เผยแพร่ในความผิดมาตรา 112 หมิ่นสถาบันได้หรือไม่ สถิตย์กล่าวว่า มาตรา 112 ไม่ได้กำหนดขอบเขตรวมถึงศาลแต่อย่างใด ส่วนที่กล่าวกันว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะละเมิดอำนาจศาลหมายถึงการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาลเท่านั้น ส่วนการดูหมิ่นศาล ต้องเป็นเรื่องดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี คำว่า “ดูหมิ่น” ก็ต้องตีความอีกว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของคน นอกจากนี้จะเข้าข่ายดูหมิ่นศาลได้ต้องเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย การปรึกษาคดีเพื่อรับสินบนเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่มา.ประชาไท
***************************************************************
วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
น้ำท่วมประชาชน แต่เงินท่วมรัฐบาล
แสนล้านหวานคอแร้ง(อีกแล้ว)
หาเงินไม่เป็นแต่โคตรใช้เงินเก่ง!!
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มีขั้วอำนาจหนุนหลังให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ในที่สุดก็ตาม
แต่ก็เป็นรัฐบาลที่มีปัญหาได้ในทุกๆเรื่อง เพราะจะปรองดอง ก็มีปัญหา เนื่องจากสไตล์เอาดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น และต้องการเป็นพระเอกแบบมีแต่ได้กับได้ เลยทำให้ทุกอย่างไม่เพียงยากลำบากในการที่จะคืบหน้า
แต่ยังหาทางออกสำหรับประเทศไทยไม่เจอเลยก็ว่าได้
ขณะเดียวกันแค่จะแก้รัฐธรรมนูญก็มีปัญหา ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ก็เกิดปัญหาออกมาทวงมติพรรคกันให้วุ่น
สุดท้ายก็เลยได้ข้อครหาว่า เป็นการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบตี 2 หน้า
และแม้แต่กระทั่งเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ปรากฏว่าเสียงครหาโผล่ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของการฉกฉวยผลประโยชน์จากการช่วยเหลือน้ำท่วมในสารพัดรูปแบบ
มีทั้งเรื่อง 2 มาตรฐานในการช่วยเหลือ และเรื่องของการงาบงบ การงาบหัวคิว ฯลฯ
ทั้งหมดจริงๆแล้วล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องของการทำงานไม่เป็น กับเรื่องของการเป็นรัฐบาลภายใต้ไม้ค้ำยัน การจะทำอะไรแต่ละอย่างจึงมีเรื่องผลประโยชน์ เรื่องของการแลกเปลี่ยนเข้ามาต่อรองตลอด
แบบนี้จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขั้วอำนาจเห็นว่าเป็นตัวจักรที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือ และนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นเด็กดีที่ยังเหมาะสมกับเก้าอี้นายกฯนั้น จะสำรวจกี่ครั้งกี่หน ทำโพลกี่รอบ ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ได้เลยสักครั้งว่าจะชนะการเลือกตั้ง
ก็ขนาดแค่เรื่องการดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่น่ามีอะไร ยังระงมเสียงโวยได้ขนาดนี้ แล้วจะให้ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกรอบได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ จะต้องปากแข็ง จะต้องสวนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ คุยข่มเอาไว้ก่อน แต่ของจริงจะเป็นอย่างไรก็คงต้องดูกัน
อย่างเช่นในฐานเสียงภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมทั่วประเทศว่า การจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือน้ำท่วมให้กับสวนยางพาราในภาคใต้นั้น มีการกระทำ 2 มาตรฐาน ได้มากกว่าผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคอื่นๆหรือไม่
เล่นเอาวิ่งปฏิเสธกันจ้าละหวั่น
แต่ขณะเดียวกันจุดที่ต้องตั้งเป็นข้อสังเกตุให้สังคมจับตามองกันก็คือ ทำไมกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องมีประชาชนบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี แต่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับเชื่อว่าหากรัฐบาล ชุดนี้อยู่ต่อจะสามารถแก้ไขปัญหาได้แน่
ฉวยโอกาสฟุ้งเพื่อขอตีตั๋วต่ออายุรัฐบาลเอาไว้ล่วงหน้าเฉยเลย
ทั้งๆที่หากมีการบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี มีคนบุกรุกเอาไปทำสวนยางจริงๆ เรื่องนี้ทั้งนายถาวร และพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นพื้นที่ฐานเสียงควรจะต้องทำความกระจ่างให้กับสังคมด้วย
เพราะนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับว่าที่เขาสันกาลาคีรีมีการบุกรุกป่าจริง แถมมีชื่อหมดแล้วว่าใครบุกรุกบ้าง แบบนี้แปลว่าอะไร
หรืออย่างกรณีของจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นอีกจังหวัดที่สะท้อนภาพทุจริตอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมาก็ฉาวโฉ่ในเรื่องของการแจกปลากระป๋องเน่าเสีย แจกสิ่งของและยาหมดอายุ รวมทั้งข้าวสารเน่า จนฉาวโฉ่ทั่วประเทศและรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ต้องลาออกมาแล้ว
น้ำท่วมครั้งนี้ก็โดนชาวบ้านร้องเรียนนักการเมืองนำข้าวสารของรัฐไปแจกจ่ายเพื่อหวังผลทางการเมืองจนฉาวโฉ่อีกครั้ง เพราะเล่นเอาข้าวสารของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีการพิมพ์ชื่อตัวเองลงในถุงเข้าสารของ กระทรวงพาณิชย์แล้วนำไปแจกจ่ายชาวบ้าน
เล่นกันง่ายๆ จนฉาวไปทั่ว
พอๆกับที่ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน ทนดูไม่ไหว ต้องออกมาระบุว่ามีการหักหัวคิวช่วยเหลือผู้ประสบอุทักภัย เล่นเอาการเมืองร้อนฉ่า
มีนักการเมืองกินหัวคิว 30เปอร์เซ็นต์ ในโครงการของรัฐบาล จริงๆหรือ
หรือแม้แต่การตั้งข้อสังเกตุรื่องที่มีการแจกของช่วยเหลือและแจกเงินเฉพาะพื้นที่เลือกตั้งซ่อมเขต 6 และเกิดขึ้นในช่วงนี้ แถมยังมีรัฐมนตรีลงพื้นที่ช่วงเวลาเสาร์-อาทิตย์ มีพฤติกรรมขึ้นเวทีคล้ายกับการปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคภูมิใจไทย
เลยเจอคำถามว่าทำไมต้องเจาะจงช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม และที่สำคัญทำไมต้องทำนอกเวลาราชการ แล้วคิดว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
เพราะฉาวกันขนาดนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เลยเตรียมส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพื้นที่ เพื่อตรวจสอบเรื่องการทุจริตหักเงินชดเชยค่าเสียหายบ้านเรือนประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งรัฐบาลมีมติจ่ายค่าชดเชยให้ครัวเรือนละ 5,000 บาท แต่มีการร้องเรียนว่าประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้รับเงินค่าชดเชยไม่เต็มจำนวน
ดังนั้นป.ป.ท.จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงในบางพื้นที่ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเพราะถือเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมผู้เดือดร้อน
แต่ที่ยิ่งต้องระวังก็คือ ในเมื่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 พฤศจิกายน มีมติให้หน่วยราชการ ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณเหลือจ่ายหรืองบเหลื่อมปี 2552-2553 จำนวน 53,000 ล้านบาท มาใช้ฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเร่งด่วน
ซึ่งเท่ากับว่าหากมีงบเหลือมปี 53,000 ล้านบาท และมีงบเหลือจ่ายในส่วนของโครงการไทยเข้มแข็ง บวกกับงบกลางปีอีกประมาณ 48,000 ล้านบาท
งานนี้เท่ากับว่า มีงบมากถึง 101,000 ล้านบาทใช้ล่อเสือล่อตะเข้ ภายใต้คำว่าเยียวยาน้ำท่วม
กระสือการเมืองจ้องตาเป็นมัน เลียปากแผล็บๆกันเลยทีเดียว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาตรฐานทางศีลธรรมกับการแทรกแซงตุลาการ
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอันเนื่องจากกรณี"คลิปฉาว"หลายชุดที่มีการนำเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์Youtupe โดยมีการกล่าวหาว่า ตุลาการบางคนนำข้อสอบคัดเลือกเข้าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปให้พรรคพวกและเครือญาติ
แน่นอนว่า ผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวและพรรคเพื่อไทย ต้องการใช้"คลิปฉาว"เป็นเครื่องมือในการกดดันการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน เนื้อหาในคลิปดังกล่าวก็ทำให้สาธารณชนคลางแคลงใจต่อพฤติกรรมของตุลาการบางคนว่า ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเพียงพอในการทำหน้าที่หรือไม่
แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจริยธรรมเข้ามาไต่สวนหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้แต่ประการใด
ได้อ่านหนังสือเรื่อง "การทุจริตและสิทธิมนุษยชน:การเชื่อมโยง(Corrution and Human Right : making the Connection)"ซึ่งเป็นรายงานที่จัดทำโดยสมัชชาสากลว่าด้วยนโยบายสิทธิมนุษยชน(แปลโดย รศ.วีระ สมบูรรณ์ หัวหน้าภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะ)
หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การทุจริตทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุยชนในหลายด้าน อาทิ ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในทางการเมือง สุขภาพ การศึกษา การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมฯลฯ
อย่างไรก็ตามเพื่อให้สอคคล้องการวิพากษ์วิจารณ์ข้างต้น จึงขอสรุปหัวข้อ"มาตรฐานอันเกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม"มานำเสนอให้เห็นภาพว่า ในทางสากลนั้น มองเรื่องนี้อย่างไร
ความเห็นในรายงานระบุว่า การทุจริตอาจส่งผลเสียต่อความเป็นอิสระของศาล เช่น การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งจะก่อให้เกิดการแทรกแซงหลักการในหลายด้านด้วยกัน
การแทรกแซงระบบตุลาการจากฝ่ายการเมืองเกิดขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้อิทธิพลของตน (ซึ่งรวมทั้งการคุกคาม ข่มขู่ หรือสินบน) เพื่อบังคับหรือโน้มน้าวผู้พิพากษา (หรือเจ้าหน้าที่ของศาล) เพื่อให้ตัดสินคดีโดยเอื้อต่อผลประโยชน์ของตนและไม่เป็นไปตามกฎหมาย
การแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองยังเกิดขึ้นเมื่อมีการควบคุมการแต่งตั้งผู้พิพากษา การกำหนดเงินเดือนและเงื่อนไขของการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้พิพากษา อัยการ และเจ้าหน้าที่ศาลได้ นำมาซึ่งระบบตุลาการที่อ่อนปวกเปียกคล้อยตามผู้มีอำนาจ
การแทรกแซงทางการเมืองยังรวมไปถึงประเด็นการใช้กฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษา แม้ว่าผู้พิพากษาที่ทุจริตอาจใช้กฎหมายคุ้มกันที่ล้าสมัยเพื่อปกป้องตนเอง
แต่ถ้าปราศจากกฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษาที่มีความเป็นอิสระอาจถูกอำนาจทางการเมืองใช้คดีความรังควานได้
กฎหมายหมิ่นประมาทอาจถูกใช้ในหลายทางเพื่อขับผู้พิพากษาที่เป็นอิสระให้พ้นจากตำแหน่ง หรือเพื่อคุ้มครองผู้พิพากษาที่ทุจริตอย่างไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงการติดสินบนในการดำเนินงานยุติธรรม ส่วนใหญ่หมายถึงภาคประชาสังคมถูกเรียกสินบนหรือให้สินบน รวมไปถึงประชาชนที่มีรายได้ต่ำซึ่งแทบจะไม่สามารถจ่ายสินบนเหล่านั้นได้
รายงานระบุด้วยว่า หลักการของความไม่ลำเอียงนั้นมีความสำคัญมาก ทั้งในการปฏิบัติจริงและโดยภาพลักษณ์ที่ปรากฏ
ในบริบทนี้พึงตระหนักว่า การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตุลาการอาจส่งผลให้คุณภาพของการทำงานลดต่ำลง
การแต่งตั้งควรพิจารณาจากคุณสมบัติ การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม และความสามารถของบุคคลผู้นั้น
แต่ถ้าได้รับอิทธิพลจากการทุจริตแล้ว ฝ่ายตุลาการก็จะมีความสามารถและความเป็นอิสระน้อยลง และสิทธิของผู้ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่
นอกจากความเที่ยงธรรมแล้ว ประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการพิจารณาคดีภายในระยะเวลาอันเหมาะสม
องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่า การวินิจฉัยความหมายของคำว่า "ความล่าช้าอันมิสมควร" หรือ "กระบวนการอันรวดเร็ว" นั้นขึ้นอยู่กับสภาพการณ์แวดล้อมและความซับซ้อนของคดี รวมทั้งการปฏิบัติของคู่ความที่เกี่ยวข้อง
การละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยปราศจากความล่าช้าอันมิสมควร อาจเกิดขึ้นในกรณีตัวอย่างเช่น เมื่อมีการติดสินบนผู้พิพากษาเพื่อทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปเท่าที่จะทำได้
ในกรณีเช่นนี้ สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมย่อมถูกละเมิดโดยการติดสิบนอย่างชัดเจน
เมื่อดูมาตรฐานสากลแล้ว มาย้อนดูประเทศไทยโดยเฉพาะการแต่งตั้งตุลาการ ควรพิจารณาจากคุณสมบัติ"การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม"ว่า ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอันเนื่องจากกรณี"คลิปฉาว"หลายชุดที่มีการนำเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์Youtupe โดยมีการกล่าวหาว่า ตุลาการบางคนนำข้อสอบคัดเลือกเข้าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปให้พรรคพวกและเครือญาติ
แน่นอนว่า ผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวและพรรคเพื่อไทย ต้องการใช้"คลิปฉาว"เป็นเครื่องมือในการกดดันการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน เนื้อหาในคลิปดังกล่าวก็ทำให้สาธารณชนคลางแคลงใจต่อพฤติกรรมของตุลาการบางคนว่า ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเพียงพอในการทำหน้าที่หรือไม่
แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจริยธรรมเข้ามาไต่สวนหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้แต่ประการใด
ได้อ่านหนังสือเรื่อง "การทุจริตและสิทธิมนุษยชน:การเชื่อมโยง(Corrution and Human Right : making the Connection)"ซึ่งเป็นรายงานที่จัดทำโดยสมัชชาสากลว่าด้วยนโยบายสิทธิมนุษยชน(แปลโดย รศ.วีระ สมบูรรณ์ หัวหน้าภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะ)
หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การทุจริตทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุยชนในหลายด้าน อาทิ ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในทางการเมือง สุขภาพ การศึกษา การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมฯลฯ
อย่างไรก็ตามเพื่อให้สอคคล้องการวิพากษ์วิจารณ์ข้างต้น จึงขอสรุปหัวข้อ"มาตรฐานอันเกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม"มานำเสนอให้เห็นภาพว่า ในทางสากลนั้น มองเรื่องนี้อย่างไร
ความเห็นในรายงานระบุว่า การทุจริตอาจส่งผลเสียต่อความเป็นอิสระของศาล เช่น การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งจะก่อให้เกิดการแทรกแซงหลักการในหลายด้านด้วยกัน
การแทรกแซงระบบตุลาการจากฝ่ายการเมืองเกิดขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้อิทธิพลของตน (ซึ่งรวมทั้งการคุกคาม ข่มขู่ หรือสินบน) เพื่อบังคับหรือโน้มน้าวผู้พิพากษา (หรือเจ้าหน้าที่ของศาล) เพื่อให้ตัดสินคดีโดยเอื้อต่อผลประโยชน์ของตนและไม่เป็นไปตามกฎหมาย
การแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองยังเกิดขึ้นเมื่อมีการควบคุมการแต่งตั้งผู้พิพากษา การกำหนดเงินเดือนและเงื่อนไขของการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้พิพากษา อัยการ และเจ้าหน้าที่ศาลได้ นำมาซึ่งระบบตุลาการที่อ่อนปวกเปียกคล้อยตามผู้มีอำนาจ
การแทรกแซงทางการเมืองยังรวมไปถึงประเด็นการใช้กฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษา แม้ว่าผู้พิพากษาที่ทุจริตอาจใช้กฎหมายคุ้มกันที่ล้าสมัยเพื่อปกป้องตนเอง
แต่ถ้าปราศจากกฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษาที่มีความเป็นอิสระอาจถูกอำนาจทางการเมืองใช้คดีความรังควานได้
กฎหมายหมิ่นประมาทอาจถูกใช้ในหลายทางเพื่อขับผู้พิพากษาที่เป็นอิสระให้พ้นจากตำแหน่ง หรือเพื่อคุ้มครองผู้พิพากษาที่ทุจริตอย่างไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงการติดสินบนในการดำเนินงานยุติธรรม ส่วนใหญ่หมายถึงภาคประชาสังคมถูกเรียกสินบนหรือให้สินบน รวมไปถึงประชาชนที่มีรายได้ต่ำซึ่งแทบจะไม่สามารถจ่ายสินบนเหล่านั้นได้
รายงานระบุด้วยว่า หลักการของความไม่ลำเอียงนั้นมีความสำคัญมาก ทั้งในการปฏิบัติจริงและโดยภาพลักษณ์ที่ปรากฏ
ในบริบทนี้พึงตระหนักว่า การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตุลาการอาจส่งผลให้คุณภาพของการทำงานลดต่ำลง
การแต่งตั้งควรพิจารณาจากคุณสมบัติ การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม และความสามารถของบุคคลผู้นั้น
แต่ถ้าได้รับอิทธิพลจากการทุจริตแล้ว ฝ่ายตุลาการก็จะมีความสามารถและความเป็นอิสระน้อยลง และสิทธิของผู้ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่
นอกจากความเที่ยงธรรมแล้ว ประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการพิจารณาคดีภายในระยะเวลาอันเหมาะสม
องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่า การวินิจฉัยความหมายของคำว่า "ความล่าช้าอันมิสมควร" หรือ "กระบวนการอันรวดเร็ว" นั้นขึ้นอยู่กับสภาพการณ์แวดล้อมและความซับซ้อนของคดี รวมทั้งการปฏิบัติของคู่ความที่เกี่ยวข้อง
การละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยปราศจากความล่าช้าอันมิสมควร อาจเกิดขึ้นในกรณีตัวอย่างเช่น เมื่อมีการติดสินบนผู้พิพากษาเพื่อทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปเท่าที่จะทำได้
ในกรณีเช่นนี้ สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมย่อมถูกละเมิดโดยการติดสิบนอย่างชัดเจน
เมื่อดูมาตรฐานสากลแล้ว มาย้อนดูประเทศไทยโดยเฉพาะการแต่งตั้งตุลาการ ควรพิจารณาจากคุณสมบัติ"การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม"ว่า ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้พิพากษาอาวุโสตัดพ้อเครดิตศาลถึงจุดวิกฤต
ผู้พิพากษาอาวุโสชี้สถานะของศาลรัฐธรรมนูญเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายและสิ้นสภาพไปในที่สุด ระบุแนวทางปกป้องตัวเองด้วยการฟ้องแหลกแสดงให้เห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะหลังพิงกำแพง คิดอะไรได้ก็เอาไว้ก่อน ฟันธงความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมติดลบและถึงขั้นเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงแล้ว คดีพรรคประชาธิปัตย์หากตัดสินให้ยุบก็เสมอตัว ไม่ให้ยุบประชาชนก็ไม่นับถือ “จตุพร” ประณามคนนำภาพเบื้องสูงโพสต์ปะปนคลิปโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ เชื่อทำเป็นขบวนการเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น แอบอ้างสถาบันเพื่อปกป้องตัวเอง
นายสถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส กล่าวถึงภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญหลังถูกคลิปฉาว 3 ชุดถล่มอย่างหนักว่า เท่าที่ประเมินขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในสภาพที่น่าหนักใจ เพราะภาพลักษณ์และความน่าเชื่อต่างๆกำลังติดลบ และสิ่งที่ศาลต่อสู้แต่ละอย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่าศาลอยู่ในสภาพหลังพิงฝา คว้าอะไรได้ก็ว่าไปเรื่อย สภาพของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ต่างกับคนที่หมดทางสู้ เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายและหมดสภาพไปในที่สุด
“ผมดูสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดหรือดำเนินการฟ้องร้องต่างๆไม่เข้าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิติรัฐหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไม่เหลืออะไร เพราะความน่าเชื่อต่างๆของกระบวนการยุติธรรมติดลบและถึงขั้นเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงแล้ว”
นายสถิตย์กล่าวว่า ขณะนี้มีหนทางเดียวที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถจะสู้ได้ เช่น บอกว่าไม่ได้พูด แต่คนที่พูดเป็นคนที่มานั่งแทนแล้วหาว่าเราพูด อย่างนี้ถึงจะต่อสู้ได้ ซึ่งความจริงน่าจะออกมาในรูปนั้น แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดปัญหาคลิปฉาวไม่เคยเห็นตุลาการที่ถูกพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับคลิปออกมาแถลงชี้แจงอะไร แต่กลับบอกว่านายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ แย่ใช้ไม่ได้
ส่วนกรณีภาพความน่าเชื่อของศาลรัฐธรรมนูญติดลบจะมีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายสถิตย์กล่าวว่า ไม่ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาว่ายุบหรือไม่ยุบก็ไม่มีความหมายแล้ว เพราะสิ่งที่ศาลจะวินิจฉัยไม่มีความน่าเชื่อถืออะไร เช่น ถ้ามีคำวินิจฉัยไม่ยุบคนก็ไม่นับถือ แต่ถ้าวินิจฉัยว่ายุบคนก็จะรู้สึกเฉยๆ ดังนั้น ไม่ว่าผลการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะเหตุผลในทางความน่าเชื่อถือของศาลไม่มีเหลืออยู่แล้ว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวประณามคนที่อัพโหลดคลิปหรือภาพถ่ายสถาบันเบื้องสูงรวมอยู่ในคลิปโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่ามีการทำกันเป็นขบวนการเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น
“คงจะทำเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เมื่อเห็นว่าจวนตัวก็ดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องเพื่อปกป้องตัวเอง ผมต้องตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโกงสอบ แต่กลับมุ่งดำเนินคดีกับคนที่จับได้ว่ามีการทุจริต
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นายสถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส กล่าวถึงภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญหลังถูกคลิปฉาว 3 ชุดถล่มอย่างหนักว่า เท่าที่ประเมินขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในสภาพที่น่าหนักใจ เพราะภาพลักษณ์และความน่าเชื่อต่างๆกำลังติดลบ และสิ่งที่ศาลต่อสู้แต่ละอย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่าศาลอยู่ในสภาพหลังพิงฝา คว้าอะไรได้ก็ว่าไปเรื่อย สภาพของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ต่างกับคนที่หมดทางสู้ เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายและหมดสภาพไปในที่สุด
“ผมดูสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดหรือดำเนินการฟ้องร้องต่างๆไม่เข้าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิติรัฐหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไม่เหลืออะไร เพราะความน่าเชื่อต่างๆของกระบวนการยุติธรรมติดลบและถึงขั้นเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงแล้ว”
นายสถิตย์กล่าวว่า ขณะนี้มีหนทางเดียวที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถจะสู้ได้ เช่น บอกว่าไม่ได้พูด แต่คนที่พูดเป็นคนที่มานั่งแทนแล้วหาว่าเราพูด อย่างนี้ถึงจะต่อสู้ได้ ซึ่งความจริงน่าจะออกมาในรูปนั้น แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดปัญหาคลิปฉาวไม่เคยเห็นตุลาการที่ถูกพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับคลิปออกมาแถลงชี้แจงอะไร แต่กลับบอกว่านายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ แย่ใช้ไม่ได้
ส่วนกรณีภาพความน่าเชื่อของศาลรัฐธรรมนูญติดลบจะมีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายสถิตย์กล่าวว่า ไม่ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาว่ายุบหรือไม่ยุบก็ไม่มีความหมายแล้ว เพราะสิ่งที่ศาลจะวินิจฉัยไม่มีความน่าเชื่อถืออะไร เช่น ถ้ามีคำวินิจฉัยไม่ยุบคนก็ไม่นับถือ แต่ถ้าวินิจฉัยว่ายุบคนก็จะรู้สึกเฉยๆ ดังนั้น ไม่ว่าผลการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะเหตุผลในทางความน่าเชื่อถือของศาลไม่มีเหลืออยู่แล้ว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวประณามคนที่อัพโหลดคลิปหรือภาพถ่ายสถาบันเบื้องสูงรวมอยู่ในคลิปโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่ามีการทำกันเป็นขบวนการเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น
“คงจะทำเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เมื่อเห็นว่าจวนตัวก็ดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องเพื่อปกป้องตัวเอง ผมต้องตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโกงสอบ แต่กลับมุ่งดำเนินคดีกับคนที่จับได้ว่ามีการทุจริต
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ล่อนจ้อน(ยัง..ยังมีอีกเยอะ...)
คลิปฉาวชุดที่ 3 โดย “ohmygod3009” ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เศษ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ใช้ชื่อว่า “คำสารภาพคนโกงข้อสอบ” มีความยาว 5.36 นาที ไม่ต่างกับระเบิดนาปาล์มที่พุ่งใส่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเนื้อหาในคลิปมีการยอมรับว่าโกงข้อสอบอย่างชัดเจน โดยมีการเอ่ยชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถึง 3 คน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้สั่งบล็อกคลิปดังกล่าวหลังจากเผยแพร่ได้ประมาณ 12 ชั่วโมง และมีรายงานว่ากระทรวงไอซีทีจะใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อนำไปขอหมายศาลประกอบการยื่นให้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
แต่ก็มีคำถามว่าการปิดกั้นการเข้าดูเว็บแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้กระทรวงไอซีทีใช้อำนาจอะไร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเป็นการขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่าสมควรบล็อกเว็บที่เผยแพร่หรือไม่ เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ และอาจกระทบถึงความมั่นคงของประเทศด้วย
ขณะที่นักวิชาการกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะเนื้อหาในคลิปที่สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อปกป้ององค์กรศาลรัฐธรรมนูญหรือกระบวนการยุติธรรม
ต้องตรวจสอบศาล
“ศาล ประชาชน นักกฎหมายสายคุณธรรมทั้งหลายเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรมจากนักการเมือง แต่พอมีประเด็นปัญหาความสงสัยต่อคุณธรรม จริยธรรมในองค์กรศาลเอง คนที่เคยเรียกร้องเหล่านั้นกลับเงียบงัน หลายคนทำหูทวนลม นักกฎหมายบางคนบอกว่าจนบัดนี้ตัวเองยังไม่ได้ดูคลิปเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อที่สุด”
อาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์ภาควิชากฎหมายอาญาและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามกรณีคลิปฉาวกับบรรดานักกฎหมายที่สอนหลักวิชาชีพว่า ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันหมด ซึ่งจริงๆแล้วหายไปตั้งแต่เกิดกระแส “ตุลาการภิวัฒน์” เพราะหลังคลิปฉาวหลุดออกสู่สาธารณะควรจะมีกระบวนการหาข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะโดยองค์กรศาล หรือสำนักงานคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจข้อเท็จจริง
อาจารย์สาวตรียกตัวอย่างคลิปเจ้าหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาในต่างประเทศซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของผู้เห็นเหตุการณ์ หรือคลิปการทรมานในคุก ยังใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นเบาะแสในการสืบหาข้อเท็จจริง และเป็นข่าวฮือฮาทั่วโลก จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏ เพราะปล่อยไว้ก็มีแต่เกิดผลเสียและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน แต่นักกฎหมายไทยจำนวนมากกลับเพิกเฉยแล้วกล่าวคำมักง่ายลอยๆว่า “คลิปที่หลุดออกมาเป็นของปลอม ไม่ต้องดูและไม่ต้องพิสูจน์”
เรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสถาบันศาลยึดถือคุณธรรม จริยธรรมจริงหรือไม่ ถ้าเป็นการใส่ร้ายก็ต้องดำเนินคดีกับคนที่ทำคลิปมาเผยแพร่ตามกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและสอบพยานกันในชั้นศาล เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีพฤติ-กรรมอย่างที่ปรากฏในคลิป
3 ตุลาการเอาผิดมือแพร่คลิป
แต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจรูญ อินทจันทร์ นายสุพจน์ ไชยมุข และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบอำนาจให้นายณพล อรุณอาศิรกุล ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อให้ติดตามหาบุคคลที่เผยแพร่คลิปชุดที่ 3 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีกลุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อ “ปอย” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ สนทนาเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเป็นการโกงข้อสอบ โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆเพื่อไปรวมสำนวนกับคดีที่นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมาแจ้งความไว้แล้วก่อนหน้านี้
ขณะที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแถลงว่า ฝ่ายบริหารของสำนักงานมีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ในหลายแนวทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นชั้นความลับที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากคณะตุลาการเห็นควรดำเนินการเช่นไรจะนำมาแถลงต่อสื่อมวลชนโดยทันที แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่ล่าช้าแน่นอน และเชื่อว่าน่าจะมีข้อยุติโดยเร็ว
ปัญหาภายในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่มีการตั้งคำถามว่าทำไมนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังนิ่งเฉย แม้มีตุลาการหลายคนเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเคลียร์ข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้บุคคลภายนอกทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้สังคมยอมรับและไม่ถูกมองว่าปกป้องพวกเดียวกันเอง แต่ได้รับคำตอบจากนายชัชว่า “รอให้เรื่องเงียบก่อน” ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับตุลาการหลายคนเพราะเห็นว่าเหมือนเป็นเป้านิ่ง
ขณะนี้มีรายงานข่าวว่าผู้ที่ไม่สามารถสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นเริ่มหารือว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะหากเนื้อหาในคลิปเป็นเรื่องจริงเท่ากับบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้เสียโอกาสในการสอบ และยังส่งผลโดยตรงถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะกรณีนายพสิษฐ์ ย่อมหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของนายชัชที่เป็นผู้แต่งตั้งเข้ามา ซึ่งพฤติกรรมของนายพสิษฐ์กระทบถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทั้งยังมีรายงานข่าวว่านายพสิษฐ์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการต่อนายชัชตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม และเดินทางไปฮ่องกงในวันเดียวกัน ไม่ใช่การปลดออกอย่างที่ 5 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีตุลาการคนใดเห็นหนังสือสั่งปลดนายพสิษฐ์ที่ลงนามโดยประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็นดังกล่าวยิ่งทำให้มีคำถามถึงความเป็นมาของนายพสิษฐ์ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใดกับนายชัช และนายชัชปกป้องนายพสิษฐ์หรือไม่ แม้จนขณะนี้ก็ยังไม่มีการฟ้องร้องเพื่อให้ติดตามจับกุมนายพสิษฐ์นอกจากถอนพาสปอร์ตข้าราชการเท่านั้น โดยนายพสิษฐ์ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตแบบปรกติทั่วไป
พฤติกรรมของนายพสิษฐ์จึงยิ่งเป็นปริศนาว่าทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อใคร ถ้าทำเพื่อตัวเอง ทำเพราะอะไร และถ้าทำเพื่อ “นาย” ทำเพราะอะไร?
แถลงการณ์ปริศนา?
นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่อ้างว่าเป็นของนาย พสิษฐ์จากฮ่องกง โดยส่งมาทางแฟกซ์ถึงสำนักพิมพ์ต่างๆในช่วงค่ำวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเขียนด้วยลายมือ จึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากมีการแฟกซ์ปริศนาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีคลิปชุดที่ 3 เผยแพร่ออกมา ส่วนข้อความในจดหมายมีว่า
“กระผมนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ มีความคิดและมีอุดมการณ์ตั้งมั่นอยู่ในจิตวิญญาณ และเชื่อถือระบบกระบวนการยุติธรรมว่าจะต้องโปร่งใส เสมอภาค และมีคุณธรรม จริยธรรมครบถ้วนในทุกด้าน เหนือกว่าสาขาอาชีพใดๆ เพราะถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวไทยทุกท่าน
ซึ่งเมื่อกระผมได้เข้ามาทำงานในศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรสำคัญยิ่งยวด เพราะคำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด และผลแห่งคำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร แต่กระผมกลับเสียใจต่อความพิลึกของผู้มีอำนาจ ทั้งเรื่องความหมายของคำว่ามาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ตลอดถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับศาลในรูปแบบที่บิดเบี้ยวของพรรคการเมืองบางพรรค รวมถึงกระแสพิเศษและความเกื้อหนุนอุ้มชูในหลากหลายรูปแบบ หลายครั้งยากต่อการมองเห็น รวมถึงมีบุคคลแอบอ้างกระแสพิเศษกันมากมาย
กระผมอยากเห็นคำว่ายุติธรรมกลับไปศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม โดยอุดมการณ์ของกระผมนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งกระผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารซึ่งกระผมเทิดทูนยิ่งชีวิต ถึงแม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา แต่กลับทำให้กระผมมีความเข้มแข็ง เพราะกระผมไม่ได้เป็นไปตามคำกล่าวหาต่างๆ
ขอแสดงความเคารพต่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่มีความรักความถูกต้องในทุกวิถี และช่วยกันผดุงความดีจรรโลงไว้ในแผ่นดิน จึงขอให้พี่น้องชาวไทยได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับกระผม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฉันใด ความจริงทุกประการก็จะได้ปรากฏอีกมากมาย”
“จรัญ” ไม่จนตรอกไม่ฟ้อง
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้เผยแพร่คลิป แต่นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ถ้าไม่จนตรอกจริงๆจะไม่ใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน แต่เพียงขอให้มีโอกาสได้ชี้แจงต่อสาธารณะบ้าง
“ขณะนี้ขอให้เราได้มีโอกาสชี้แจงต่อสาธารณะให้รับทราบบ้าง ซึ่งตอนนี้เราก็พอทนได้ แต่เราไม่มีช่องทางที่จะไปสู้กับเขา ได้แต่หาทางพิสูจน์ความจริงกันไป อีกทั้งผมไม่อยากดำเนินคดีกับประชาชนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ และผมก็ไม่อยากใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน เพราะอาจถูกมองว่าเราไม่เป็นศาล ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร”
ส่วนคลิปชุดที่ 3 ที่มีอักษรย่อ “จ” แอบไปตีกอล์ฟที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วมีรายการตีกอล์ฟหลุม 19 ต่อนั้น นายจรัญกล่าวว่า ปรกติไม่ค่อยชอบตีกอล์ฟเพราะเห็นว่าเป็นกีฬาที่เบาไป และ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์เลย ที่ระบุในคลิปจึงเป็นการใส่ร้ายกัน แต่ก็ไม่รู้สึกหนักใจที่มีการนำคลิปที่เป็นผลเสียกับศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผยแพร่เป็นระยะ เพราะถือเป็นการนำความเท็จมากล่าวหากัน หลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวหรือไม่นั้น ยังไม่มีการหารือกันของตุลาการ
ดักคอศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมว่าเรื่องนี้ตุลาการอย่าบอกปัด แต่ควรเคลียร์ตัวเองให้กระจ่าง หากบอกว่าถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน เร็วเกินไปถ้ามีคนพูดว่าคลิปฉาวนี้มีการตัดต่อ ผมยืนยันว่าเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ในระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถวิจารณ์ในเชิงวิชาการและวิจารณ์ด้วยเจตนาที่อยากให้ดีขึ้น มีกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่วิจารณ์ด่าทออย่างเสียๆหายๆ และศาลเองก็ต้องเปิดรับฟังความเห็น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็หมิ่นศาล เพราะถ้าศาลไม่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมไม่อยากให้มีความรู้สึกว่าศาลกำลังจะหมิ่นประชาชน”
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงคลิปฉาวโดยติงถึงกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสว่าเป็นการแอบถ่ายหรือจัดฉาก และการเผยแพร่คลิปผิดกฎหมาย ทั้งที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหาที่พูดกันในคลิป ซึ่งถ้าเนื้อหาที่พูดเป็นความจริงจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือศาลอีกต่อไป และจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของปัญหา 2 มาตรฐาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่าจริงหรือไม่ อย่างไร อย่าให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาแก้ตัวแทน
ภาพพจน์สูงต่ำอยู่ที่ตุลาการ
เช่นเดียวกับนายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าคลิปที่ออกมาไม่สามารถดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะมีความน่าเชื่อถือสูงหรือต่ำไม่ได้อยู่ที่องค์กร และการเมืองไม่สามารถแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“เรื่องนี้มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องหลายคน บางคนอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นตุลาการด้วย โดยเฉพาะนายพสิษฐ์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะสมัยก่อนเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญคือเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ”
จี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออก
ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว” ว่าแม้ข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และนับตั้งแต่เกิดข้อสงสัยต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ปรากฏคำชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในความเป็นอิสระ เที่ยงธรรมในการตัดสินคดีแต่อย่างใด
ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
1.ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่สร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความชัดเจนได้
2.ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญคือสถาบันตุลาการที่ปราศจากการตรวจสอบทั้งจากภาคสังคมและการเมืองยังดำรงอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น
ตรงกันข้ามหากสถาบันตุลาการเป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงจะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย จึงต้องร่วมกันผลักดันความรับผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต
เปลือยคลิป-เปลือยตุลาการ
ปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้จึงส่งผลกระทบต่อสถาบันตุลาการทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ตราบใดที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ว่าเนื้อหาในคลิปฉาวทั้ง 3 ชุดที่ออกมาจริงหรือเท็จประการใด ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคลิปชุดแรกได้พาดพิงถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ยิ่งทำให้ “คลิปฉาว” มีความเป็นไปได้ ทั้งฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายที่ต้องการทำลายศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกก็ไม่สามารถตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ถ้าตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจเกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและลุกลามจนนำมาสู่การรัฐประหารอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคลิปจะออกมาจากฝ่ายใดและมีเบื้องลึกอย่างไร แต่ขณะนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงสถาบันตุลาการทั้งระบบอีกด้วย อย่างผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนของสถาบันพระปกเกล้าที่มีต่อศาลและองค์กรอิสระ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับความน่าเชื่อถือต่ำที่สุด รองลงมาคือศาลปกครอง
ท่ามกลางกระแสศรัทธาที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ แล้วสรรหาตุลาการชุดใหม่มาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่จะหยุดวิกฤตศรัทธาได้ในทันที
แต่ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าบริสุทธิ์และสุจริตเที่ยงธรรม กล้าที่จะตัดสินคดียุบพรรคประ-ชาธิปัตย์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็มีคำถามว่าใครจะเชื่อถือ?
ที่สำคัญเชื่อว่าจะมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือสูงกว่านั้นออกมาอีก และมี “บุคคลระดับสูง” อีกหลายคนที่จะถูก “เปลือย” อย่างล่อนจ้อน...
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏ และเร่งปฏิรูปศาลอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็น “ตุลาการวิบัติ” มากกว่า “ตุลาการภิวัฒน์”!
หากประชาชนหมิ่นศาล...พอจะเดาได้ว่าผลที่ตาม มาอย่างแน่นอนคือ “ติดคุก”
แต่ถ้าศาลหมิ่นประชาชน...ไม่กล้าเดาจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
********************************************************
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้สั่งบล็อกคลิปดังกล่าวหลังจากเผยแพร่ได้ประมาณ 12 ชั่วโมง และมีรายงานว่ากระทรวงไอซีทีจะใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อนำไปขอหมายศาลประกอบการยื่นให้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
แต่ก็มีคำถามว่าการปิดกั้นการเข้าดูเว็บแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้กระทรวงไอซีทีใช้อำนาจอะไร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเป็นการขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่าสมควรบล็อกเว็บที่เผยแพร่หรือไม่ เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ และอาจกระทบถึงความมั่นคงของประเทศด้วย
ขณะที่นักวิชาการกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะเนื้อหาในคลิปที่สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อปกป้ององค์กรศาลรัฐธรรมนูญหรือกระบวนการยุติธรรม
ต้องตรวจสอบศาล
“ศาล ประชาชน นักกฎหมายสายคุณธรรมทั้งหลายเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรมจากนักการเมือง แต่พอมีประเด็นปัญหาความสงสัยต่อคุณธรรม จริยธรรมในองค์กรศาลเอง คนที่เคยเรียกร้องเหล่านั้นกลับเงียบงัน หลายคนทำหูทวนลม นักกฎหมายบางคนบอกว่าจนบัดนี้ตัวเองยังไม่ได้ดูคลิปเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อที่สุด”
อาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์ภาควิชากฎหมายอาญาและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามกรณีคลิปฉาวกับบรรดานักกฎหมายที่สอนหลักวิชาชีพว่า ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันหมด ซึ่งจริงๆแล้วหายไปตั้งแต่เกิดกระแส “ตุลาการภิวัฒน์” เพราะหลังคลิปฉาวหลุดออกสู่สาธารณะควรจะมีกระบวนการหาข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะโดยองค์กรศาล หรือสำนักงานคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจข้อเท็จจริง
อาจารย์สาวตรียกตัวอย่างคลิปเจ้าหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาในต่างประเทศซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของผู้เห็นเหตุการณ์ หรือคลิปการทรมานในคุก ยังใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นเบาะแสในการสืบหาข้อเท็จจริง และเป็นข่าวฮือฮาทั่วโลก จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏ เพราะปล่อยไว้ก็มีแต่เกิดผลเสียและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน แต่นักกฎหมายไทยจำนวนมากกลับเพิกเฉยแล้วกล่าวคำมักง่ายลอยๆว่า “คลิปที่หลุดออกมาเป็นของปลอม ไม่ต้องดูและไม่ต้องพิสูจน์”
เรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสถาบันศาลยึดถือคุณธรรม จริยธรรมจริงหรือไม่ ถ้าเป็นการใส่ร้ายก็ต้องดำเนินคดีกับคนที่ทำคลิปมาเผยแพร่ตามกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและสอบพยานกันในชั้นศาล เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีพฤติ-กรรมอย่างที่ปรากฏในคลิป
3 ตุลาการเอาผิดมือแพร่คลิป
แต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจรูญ อินทจันทร์ นายสุพจน์ ไชยมุข และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบอำนาจให้นายณพล อรุณอาศิรกุล ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อให้ติดตามหาบุคคลที่เผยแพร่คลิปชุดที่ 3 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีกลุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อ “ปอย” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ สนทนาเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเป็นการโกงข้อสอบ โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆเพื่อไปรวมสำนวนกับคดีที่นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมาแจ้งความไว้แล้วก่อนหน้านี้
ขณะที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแถลงว่า ฝ่ายบริหารของสำนักงานมีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ในหลายแนวทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นชั้นความลับที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากคณะตุลาการเห็นควรดำเนินการเช่นไรจะนำมาแถลงต่อสื่อมวลชนโดยทันที แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่ล่าช้าแน่นอน และเชื่อว่าน่าจะมีข้อยุติโดยเร็ว
ปัญหาภายในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่มีการตั้งคำถามว่าทำไมนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังนิ่งเฉย แม้มีตุลาการหลายคนเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเคลียร์ข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้บุคคลภายนอกทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้สังคมยอมรับและไม่ถูกมองว่าปกป้องพวกเดียวกันเอง แต่ได้รับคำตอบจากนายชัชว่า “รอให้เรื่องเงียบก่อน” ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับตุลาการหลายคนเพราะเห็นว่าเหมือนเป็นเป้านิ่ง
ขณะนี้มีรายงานข่าวว่าผู้ที่ไม่สามารถสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นเริ่มหารือว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะหากเนื้อหาในคลิปเป็นเรื่องจริงเท่ากับบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้เสียโอกาสในการสอบ และยังส่งผลโดยตรงถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะกรณีนายพสิษฐ์ ย่อมหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของนายชัชที่เป็นผู้แต่งตั้งเข้ามา ซึ่งพฤติกรรมของนายพสิษฐ์กระทบถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทั้งยังมีรายงานข่าวว่านายพสิษฐ์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการต่อนายชัชตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม และเดินทางไปฮ่องกงในวันเดียวกัน ไม่ใช่การปลดออกอย่างที่ 5 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีตุลาการคนใดเห็นหนังสือสั่งปลดนายพสิษฐ์ที่ลงนามโดยประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็นดังกล่าวยิ่งทำให้มีคำถามถึงความเป็นมาของนายพสิษฐ์ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใดกับนายชัช และนายชัชปกป้องนายพสิษฐ์หรือไม่ แม้จนขณะนี้ก็ยังไม่มีการฟ้องร้องเพื่อให้ติดตามจับกุมนายพสิษฐ์นอกจากถอนพาสปอร์ตข้าราชการเท่านั้น โดยนายพสิษฐ์ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตแบบปรกติทั่วไป
พฤติกรรมของนายพสิษฐ์จึงยิ่งเป็นปริศนาว่าทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อใคร ถ้าทำเพื่อตัวเอง ทำเพราะอะไร และถ้าทำเพื่อ “นาย” ทำเพราะอะไร?
แถลงการณ์ปริศนา?
นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่อ้างว่าเป็นของนาย พสิษฐ์จากฮ่องกง โดยส่งมาทางแฟกซ์ถึงสำนักพิมพ์ต่างๆในช่วงค่ำวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเขียนด้วยลายมือ จึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากมีการแฟกซ์ปริศนาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีคลิปชุดที่ 3 เผยแพร่ออกมา ส่วนข้อความในจดหมายมีว่า
“กระผมนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ มีความคิดและมีอุดมการณ์ตั้งมั่นอยู่ในจิตวิญญาณ และเชื่อถือระบบกระบวนการยุติธรรมว่าจะต้องโปร่งใส เสมอภาค และมีคุณธรรม จริยธรรมครบถ้วนในทุกด้าน เหนือกว่าสาขาอาชีพใดๆ เพราะถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวไทยทุกท่าน
ซึ่งเมื่อกระผมได้เข้ามาทำงานในศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรสำคัญยิ่งยวด เพราะคำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด และผลแห่งคำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร แต่กระผมกลับเสียใจต่อความพิลึกของผู้มีอำนาจ ทั้งเรื่องความหมายของคำว่ามาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ตลอดถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับศาลในรูปแบบที่บิดเบี้ยวของพรรคการเมืองบางพรรค รวมถึงกระแสพิเศษและความเกื้อหนุนอุ้มชูในหลากหลายรูปแบบ หลายครั้งยากต่อการมองเห็น รวมถึงมีบุคคลแอบอ้างกระแสพิเศษกันมากมาย
กระผมอยากเห็นคำว่ายุติธรรมกลับไปศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม โดยอุดมการณ์ของกระผมนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งกระผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารซึ่งกระผมเทิดทูนยิ่งชีวิต ถึงแม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา แต่กลับทำให้กระผมมีความเข้มแข็ง เพราะกระผมไม่ได้เป็นไปตามคำกล่าวหาต่างๆ
ขอแสดงความเคารพต่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่มีความรักความถูกต้องในทุกวิถี และช่วยกันผดุงความดีจรรโลงไว้ในแผ่นดิน จึงขอให้พี่น้องชาวไทยได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับกระผม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฉันใด ความจริงทุกประการก็จะได้ปรากฏอีกมากมาย”
“จรัญ” ไม่จนตรอกไม่ฟ้อง
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้เผยแพร่คลิป แต่นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ถ้าไม่จนตรอกจริงๆจะไม่ใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน แต่เพียงขอให้มีโอกาสได้ชี้แจงต่อสาธารณะบ้าง
“ขณะนี้ขอให้เราได้มีโอกาสชี้แจงต่อสาธารณะให้รับทราบบ้าง ซึ่งตอนนี้เราก็พอทนได้ แต่เราไม่มีช่องทางที่จะไปสู้กับเขา ได้แต่หาทางพิสูจน์ความจริงกันไป อีกทั้งผมไม่อยากดำเนินคดีกับประชาชนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ และผมก็ไม่อยากใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน เพราะอาจถูกมองว่าเราไม่เป็นศาล ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร”
ส่วนคลิปชุดที่ 3 ที่มีอักษรย่อ “จ” แอบไปตีกอล์ฟที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วมีรายการตีกอล์ฟหลุม 19 ต่อนั้น นายจรัญกล่าวว่า ปรกติไม่ค่อยชอบตีกอล์ฟเพราะเห็นว่าเป็นกีฬาที่เบาไป และ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์เลย ที่ระบุในคลิปจึงเป็นการใส่ร้ายกัน แต่ก็ไม่รู้สึกหนักใจที่มีการนำคลิปที่เป็นผลเสียกับศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผยแพร่เป็นระยะ เพราะถือเป็นการนำความเท็จมากล่าวหากัน หลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวหรือไม่นั้น ยังไม่มีการหารือกันของตุลาการ
ดักคอศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมว่าเรื่องนี้ตุลาการอย่าบอกปัด แต่ควรเคลียร์ตัวเองให้กระจ่าง หากบอกว่าถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน เร็วเกินไปถ้ามีคนพูดว่าคลิปฉาวนี้มีการตัดต่อ ผมยืนยันว่าเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ในระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถวิจารณ์ในเชิงวิชาการและวิจารณ์ด้วยเจตนาที่อยากให้ดีขึ้น มีกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่วิจารณ์ด่าทออย่างเสียๆหายๆ และศาลเองก็ต้องเปิดรับฟังความเห็น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็หมิ่นศาล เพราะถ้าศาลไม่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมไม่อยากให้มีความรู้สึกว่าศาลกำลังจะหมิ่นประชาชน”
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงคลิปฉาวโดยติงถึงกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสว่าเป็นการแอบถ่ายหรือจัดฉาก และการเผยแพร่คลิปผิดกฎหมาย ทั้งที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหาที่พูดกันในคลิป ซึ่งถ้าเนื้อหาที่พูดเป็นความจริงจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือศาลอีกต่อไป และจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของปัญหา 2 มาตรฐาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่าจริงหรือไม่ อย่างไร อย่าให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาแก้ตัวแทน
ภาพพจน์สูงต่ำอยู่ที่ตุลาการ
เช่นเดียวกับนายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าคลิปที่ออกมาไม่สามารถดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะมีความน่าเชื่อถือสูงหรือต่ำไม่ได้อยู่ที่องค์กร และการเมืองไม่สามารถแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“เรื่องนี้มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องหลายคน บางคนอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นตุลาการด้วย โดยเฉพาะนายพสิษฐ์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะสมัยก่อนเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญคือเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ”
จี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออก
ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว” ว่าแม้ข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และนับตั้งแต่เกิดข้อสงสัยต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ปรากฏคำชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในความเป็นอิสระ เที่ยงธรรมในการตัดสินคดีแต่อย่างใด
ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
1.ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่สร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความชัดเจนได้
2.ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญคือสถาบันตุลาการที่ปราศจากการตรวจสอบทั้งจากภาคสังคมและการเมืองยังดำรงอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น
ตรงกันข้ามหากสถาบันตุลาการเป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงจะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย จึงต้องร่วมกันผลักดันความรับผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต
เปลือยคลิป-เปลือยตุลาการ
ปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้จึงส่งผลกระทบต่อสถาบันตุลาการทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ตราบใดที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ว่าเนื้อหาในคลิปฉาวทั้ง 3 ชุดที่ออกมาจริงหรือเท็จประการใด ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคลิปชุดแรกได้พาดพิงถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ยิ่งทำให้ “คลิปฉาว” มีความเป็นไปได้ ทั้งฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายที่ต้องการทำลายศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกก็ไม่สามารถตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ถ้าตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจเกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและลุกลามจนนำมาสู่การรัฐประหารอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคลิปจะออกมาจากฝ่ายใดและมีเบื้องลึกอย่างไร แต่ขณะนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงสถาบันตุลาการทั้งระบบอีกด้วย อย่างผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนของสถาบันพระปกเกล้าที่มีต่อศาลและองค์กรอิสระ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับความน่าเชื่อถือต่ำที่สุด รองลงมาคือศาลปกครอง
ท่ามกลางกระแสศรัทธาที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ แล้วสรรหาตุลาการชุดใหม่มาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่จะหยุดวิกฤตศรัทธาได้ในทันที
แต่ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าบริสุทธิ์และสุจริตเที่ยงธรรม กล้าที่จะตัดสินคดียุบพรรคประ-ชาธิปัตย์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็มีคำถามว่าใครจะเชื่อถือ?
ที่สำคัญเชื่อว่าจะมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือสูงกว่านั้นออกมาอีก และมี “บุคคลระดับสูง” อีกหลายคนที่จะถูก “เปลือย” อย่างล่อนจ้อน...
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏ และเร่งปฏิรูปศาลอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็น “ตุลาการวิบัติ” มากกว่า “ตุลาการภิวัฒน์”!
หากประชาชนหมิ่นศาล...พอจะเดาได้ว่าผลที่ตาม มาอย่างแน่นอนคือ “ติดคุก”
แต่ถ้าศาลหมิ่นประชาชน...ไม่กล้าเดาจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
********************************************************
ความมีอยู่ของมาตรฐานการเมือง.
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเชือด 6 ส.ส.ให้พ้นสมาชิกภาพ กรณีถือครองหุ้น สื่อและสัมปทานกับรัฐ ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ งานนี้มีพ่วงรัฐมนตรีเข้าไป 2 คน คือ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม
แน่นอนว่างานนี้ต้องมีการแก้มือ คือ เลือกตั้งซ่อม...แต่สิ่งที่เป็นประเด็น คือ การ เลือกตั้งซ่อมจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลาออก จากตำแหน่งรัฐมนตรี ???กรณีแบบนี้มี
ให้เห็นอยู่บ่อยจะว่าไป ก็ก่อนท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกยกขึ้น มาเป็นบรรทัดฐานของท่านนายกฯ ด้วยซ้ำไป
บรรทัดฐานการเมืองควรเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน จะไปเทียบเคียงกับ กรณีที่มีการยุบสภาไม่ได้ เพราะเมื่อมีการ ยุบสภา
แล้วมีการรักษาการณ์ ซึ่งสภาพโดยธรรมชาติจะแตกต่าง มีบทบัญญัติที่ รองรับไว้ในการไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจ เต็มที่ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ต้องเข้ามาดูเรื่องงบประมาณ และการโยกย้ายแต่งตั้งด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าว
จะว่าไปแล้วก่อนที่คุณสุเทพ จะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงไปเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดบ้านเกิดเรื่องนี้ก็ถือว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่น้อยในวงสังคมถึงความไม่เหมาะสม มีทั้งนักวิชาการ นักการเมืองออกมาโต้แย้งกันเป็นวงกว้าง แต่สุดท้ายคุณสุเทพก็ลาออกมาเพื่อความสง่างามในการสู้ศึก... แม้ว่าตอนแรกจะทำท่าดื้อแพ่งอยู่เล็กน้อย ก็ตาม
มาถึงในกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่ถูกจับตาว่าจะแหกม่านประเพณี หรือไม่นั้น อาจจะเป็นเพราะการให้สัมภาษณ์ ว่าจะลาออกหรือไม่ แต่กลับตอบว่าอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค และต้องเป็นไปตาม กฎหมายซึ่งต่างจากส่ง นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ที่ชี้ชัดไปแล้วว่าจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงเลือกตั้งอีกครั้งจะว่าไปแล้วนักการเมืองไทย
เอะอะ อะไรก็อ้างกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่กฎหมายก็มีพื้นฐานมาจากหลักจริยธรรม เพียงแต่กฎหมายมีช่องว่างให้เอาตัวรอดได้มากกว่า การเมืองกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ คุณธรรมและ จริยธรรมจึงมีบทบาทสำคัญกับระบบการ เมือง ลักษณะการเมืองการปกครองเน้นหนัก ในทางที่สะท้อนความหวัง ความปรารถนา ของมวลมนุษยชาติ มีการปกครองที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัด เน้นความเสมอภาคโสเครตีส เคยให้ความ
เห็นไว้ว่า คุณธรรมที่แท้จริงมีคุณค่าภายในตัวของมัน คือ ทำให้ผู้ครอบครองความดีเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพลโต แนะว่า คุณธรรมต้องตั้งอยู่บนความรู้ สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นคุณธรรม เช่น ความกล้าหาญ ความพอดี ความยุติธรรม และ
ศาสนกิจ จะไม่เป็นคุณธรรม หากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่มีความรู้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ สังคมที่คนในสังคมไม่มีคุณธรรมจริยธรรม ก็จะเป็นสังคมไร้ระเบียบ มีการ เบียดเบียนละเมิดและขัดแย้งกันหากแต่สังคมที่เรายืนอยู่นี้นักการ
เมืองก็คือนักการเมือง การใช้ช่องกฎหมาย เพื่อเข้าข้างตัวเองจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ว่าสร้างมาตรฐานนั้นจริงๆ แล้วก็หาได้มาจากจิตสำนึกไม่ แต่เป็นเพราะ ต้องรักษาหน้าตาและป้องกันตัวเองจากข้อครหาเพื่อรักษาฐานเสียงนั่นเอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
*****************************************
แน่นอนว่างานนี้ต้องมีการแก้มือ คือ เลือกตั้งซ่อม...แต่สิ่งที่เป็นประเด็น คือ การ เลือกตั้งซ่อมจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลาออก จากตำแหน่งรัฐมนตรี ???กรณีแบบนี้มี
ให้เห็นอยู่บ่อยจะว่าไป ก็ก่อนท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกยกขึ้น มาเป็นบรรทัดฐานของท่านนายกฯ ด้วยซ้ำไป
บรรทัดฐานการเมืองควรเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน จะไปเทียบเคียงกับ กรณีที่มีการยุบสภาไม่ได้ เพราะเมื่อมีการ ยุบสภา
แล้วมีการรักษาการณ์ ซึ่งสภาพโดยธรรมชาติจะแตกต่าง มีบทบัญญัติที่ รองรับไว้ในการไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจ เต็มที่ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ต้องเข้ามาดูเรื่องงบประมาณ และการโยกย้ายแต่งตั้งด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าว
จะว่าไปแล้วก่อนที่คุณสุเทพ จะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงไปเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดบ้านเกิดเรื่องนี้ก็ถือว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่น้อยในวงสังคมถึงความไม่เหมาะสม มีทั้งนักวิชาการ นักการเมืองออกมาโต้แย้งกันเป็นวงกว้าง แต่สุดท้ายคุณสุเทพก็ลาออกมาเพื่อความสง่างามในการสู้ศึก... แม้ว่าตอนแรกจะทำท่าดื้อแพ่งอยู่เล็กน้อย ก็ตาม
มาถึงในกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่ถูกจับตาว่าจะแหกม่านประเพณี หรือไม่นั้น อาจจะเป็นเพราะการให้สัมภาษณ์ ว่าจะลาออกหรือไม่ แต่กลับตอบว่าอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค และต้องเป็นไปตาม กฎหมายซึ่งต่างจากส่ง นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ที่ชี้ชัดไปแล้วว่าจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงเลือกตั้งอีกครั้งจะว่าไปแล้วนักการเมืองไทย
เอะอะ อะไรก็อ้างกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่กฎหมายก็มีพื้นฐานมาจากหลักจริยธรรม เพียงแต่กฎหมายมีช่องว่างให้เอาตัวรอดได้มากกว่า การเมืองกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ คุณธรรมและ จริยธรรมจึงมีบทบาทสำคัญกับระบบการ เมือง ลักษณะการเมืองการปกครองเน้นหนัก ในทางที่สะท้อนความหวัง ความปรารถนา ของมวลมนุษยชาติ มีการปกครองที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัด เน้นความเสมอภาคโสเครตีส เคยให้ความ
เห็นไว้ว่า คุณธรรมที่แท้จริงมีคุณค่าภายในตัวของมัน คือ ทำให้ผู้ครอบครองความดีเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพลโต แนะว่า คุณธรรมต้องตั้งอยู่บนความรู้ สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นคุณธรรม เช่น ความกล้าหาญ ความพอดี ความยุติธรรม และ
ศาสนกิจ จะไม่เป็นคุณธรรม หากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่มีความรู้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ สังคมที่คนในสังคมไม่มีคุณธรรมจริยธรรม ก็จะเป็นสังคมไร้ระเบียบ มีการ เบียดเบียนละเมิดและขัดแย้งกันหากแต่สังคมที่เรายืนอยู่นี้นักการ
เมืองก็คือนักการเมือง การใช้ช่องกฎหมาย เพื่อเข้าข้างตัวเองจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ว่าสร้างมาตรฐานนั้นจริงๆ แล้วก็หาได้มาจากจิตสำนึกไม่ แต่เป็นเพราะ ต้องรักษาหน้าตาและป้องกันตัวเองจากข้อครหาเพื่อรักษาฐานเสียงนั่นเอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
*****************************************
ฝ่าดงบาทา!
เหตุเกิดจากการถือหุ้นต้องห้าม “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ต้องตกอยู่ในสภาพขาลอย เฉกเช่น “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และด้วยมาตรฐานของ “กำนันเทือก” บวกกับแรงบีบจาก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะ” จึงกลายเป็นข้อบริภาษในวงกว้างว่า..“เสี่ยบุญจง” จะยอมถอดหัวโขน มท.2 เพื่อลงสู้ศึกหรือไม่???หรือจะให้นอมินีตัวแทนอย่าง “กาญจนา วงศ์ไตรรัตน์” สุภาพสตรีผู้ร่วมเรียงเคียงหมอน ลงป้องกันแชมป์ในสนามเขต 3 เมืองโคราชหรือไม่???
ไม่ว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งหรือเบอร์ สอง แต่ด้วยภาพและศักดิ์ศรีแห่งตระกูล “วงศ์ไตรรัตน์” ที่ค้ำคอ เดิมพันในสนามนี้จึงถือว่าสูงลิบลิ่วและแพ้ไม่ได้...การบ้านข้อใหญ่ “เครือเนวินกรุ๊ป” ตรงข้ามอย่างสุดขั้วกับสถานการณ์ของ “กำนันเทือก” ซึ่งลงแข่งในสนามที่ไม่แพ้
จะเหมือนกันก็แต่เพียง ด้วยศักดิ์ศรี แห่งภูมิใจไทย ภารกิจนี้มันจึงใหญ่หลวงนัก!!!
ยิ่งชำเลืองดูคู่แข่งอย่างเพื่อแผ่นดินและเพื่อไทยแล้ว ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า โอกาสแพ้ชนะนั้นแทบไม่แตกต่างกัน โดยมวย มุมแดงชัดเจนเป็นที่สุดว่า เครือข่ายนายใหญ่ จะส่ง “อภิชา เลิศพชรกมล” หรือชื่อเดิม “มีชัย จิตต์พิพัฒน์” อดีตผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน “คู่ขับ
เคี่ยวตัวฉกาจ” ของ “บุญจง” ลงล้างตาอีกหนึ่งไฟต์ที่สำคัญก็เป็น “อภิชา” นี่แหละ ที่เคย ล้ม “บุญจง” จนพังพาบมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ด้วยพิษใบเหลือง และกำลังภายในของ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ซึ่งถูกส่งผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งน้ำต้มผักยังหอมหวาน
มันจึงกลายเป็นเดชะบุญและกุศลหนุน ส่งให้ “บุญจง” รีเทิร์นกลับมาได้หลังระฆังหมดยก จนได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีกระทรวงคลองหลอด แต่สถานการณ์ ในวันนี้ไม่เหมือนวันวาน เพราะ “อภิชา” ในวันนี้ เป็นผู้สมัครที่ “นายใหญ่” ล็อกสเปกเพื่อมาโค่น บัลลังก์ “บุญจง” เพื่อสั่งสอนคนทรยศโดยเฉพาะแค่ปี่กลอง โหมโรง เลือดก็สาดเต็มเวที!!!
ยิ่งโฟกัสไปที่ “คู่แข่ง” หลักอย่าง เป็นทางการภายใต้ขุมข่ายทีมงาน “3 พี” แห่งเพื่อแผ่นดิน ที่มี “พีว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” ลงบัญชาการรบในสนามนี้ด้วย ตัวเอง
แม้ตัวผู้สมัครลงชิงชัยจะยังเป็นภาพเบลอ เพราะต้อง เสีย “อภิชา” ให้กับ “นายใหญ่” แต่ด้วยบารมีในพื้นที่ที่ไม่เป็นสองรอง “บุญจง” ไม่ว่าจะ ส่งใครลง ม้าตัวนี้ก็ยังคงเป็นม้าเต็งเข้าวิน อยู่เช่นเดิม และหากย้อนภาพกลับไปก่อน หน้านี้ไม่กี่อึดใจ ครั้งที่ “ครูใหญ่เนวิน” ร่ายเวทมนตร์เขมรจน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เคลิ้ม เผลอถีบส่งพรรคเพื่อแผ่นดินพ้น “รัฐบาลเทพประทาน”
แถมไล่ส่งไม่ไล่เปล่า เพื่อนหักยังดอด เข้าประตูหลัง กวาดต้อน ส.ส.เพื่อแผ่นดินไปเป็นกิ๊กกับพรรคภูมิใจไทยอย่างน่าเจ็บใจนัก
บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ เมื่อโอกาสเปิด สนามประดาบเปิดช่อง งานนี้ มีทีเด็ดอะไร “เสี่ยไพโรจน์” เทหมดหน้าตักแน่นอน บรรยากาศทวีความเดือดพล่านขึ้นมาเกินห้ามใจ พลันที่ “เสี่ยไพโรจน์” แอบไปแตะมือกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” กุนซือใหญ่พรรครวมชาติพัฒนา ในฐานะผู้มากบารมีเมืองโคราชตัวจริง
แถมยังมีข่าวแปร่งๆ ออกมาทำให้ราคาต่อรองสับสนว่า..งานนี้ “นายใหญ่” แอบแตะมืออย่างลับๆ กับ “พินิจ จารุสมบัติ” เจ้าวังพญานาคตัวพ่อ
ส่งผลให้สารพัดข่าวฮั้ว ข่าวซูเอี๋ย เช็ก บิลสั่งสอนคนเนรคุณ เริ่มดังลั่นทุ่งไปทุกหย่อมหญ้าปริมณฑลการเมืองโคราช และว่ากันว่า หากสมมติฐานแห่งพลังฮั้วไม่ผิดพลาด ฝ่ายที่จะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คงไม่แคล้วพรรคภูมิใจไทย แต่หากสมมติฐาน ดังกล่าวกลับหัว เพื่อไทยและเพื่อแผ่นดิน ตัดแต้มกันเอง
“ภูมิใจไทย” คงได้กระหยิ่มยิ้มย่อง พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ประกาศชัยชนะ..
ใต้ฟ้าแดนอีสานไม่มีอะไรที่ “เนวิน” ดลบันดาลไม่ได้ แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงไม่ต้องอรรถาธิบายว่า “บุญจง” จะอ่วมอรทัยสักปานใดฝ่าดงบาทา สวนทางปืนศัตรูคู่แค้นฝังหุ่น ที่แค้นกันชนิด “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กว่าจะชนะได้ คงต้องมีการเหยียบหัวข้ามศพ ขึ้นไปใหญ่แน่นอน เงื่อนไขอำมหิตนี้ หัวคะแนนใหญ่เมืองโคราช ผู้ชี้เป็นชี้ตายผลเลือกตั้งเขต 3 น่าจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี
เลือกตั้งเดือดตั้งเค้า คุณพระคุณเจ้า คุ้มครอง..สาธุ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************************
ไม่ว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งหรือเบอร์ สอง แต่ด้วยภาพและศักดิ์ศรีแห่งตระกูล “วงศ์ไตรรัตน์” ที่ค้ำคอ เดิมพันในสนามนี้จึงถือว่าสูงลิบลิ่วและแพ้ไม่ได้...การบ้านข้อใหญ่ “เครือเนวินกรุ๊ป” ตรงข้ามอย่างสุดขั้วกับสถานการณ์ของ “กำนันเทือก” ซึ่งลงแข่งในสนามที่ไม่แพ้
จะเหมือนกันก็แต่เพียง ด้วยศักดิ์ศรี แห่งภูมิใจไทย ภารกิจนี้มันจึงใหญ่หลวงนัก!!!
ยิ่งชำเลืองดูคู่แข่งอย่างเพื่อแผ่นดินและเพื่อไทยแล้ว ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า โอกาสแพ้ชนะนั้นแทบไม่แตกต่างกัน โดยมวย มุมแดงชัดเจนเป็นที่สุดว่า เครือข่ายนายใหญ่ จะส่ง “อภิชา เลิศพชรกมล” หรือชื่อเดิม “มีชัย จิตต์พิพัฒน์” อดีตผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน “คู่ขับ
เคี่ยวตัวฉกาจ” ของ “บุญจง” ลงล้างตาอีกหนึ่งไฟต์ที่สำคัญก็เป็น “อภิชา” นี่แหละ ที่เคย ล้ม “บุญจง” จนพังพาบมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ด้วยพิษใบเหลือง และกำลังภายในของ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ซึ่งถูกส่งผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งน้ำต้มผักยังหอมหวาน
มันจึงกลายเป็นเดชะบุญและกุศลหนุน ส่งให้ “บุญจง” รีเทิร์นกลับมาได้หลังระฆังหมดยก จนได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีกระทรวงคลองหลอด แต่สถานการณ์ ในวันนี้ไม่เหมือนวันวาน เพราะ “อภิชา” ในวันนี้ เป็นผู้สมัครที่ “นายใหญ่” ล็อกสเปกเพื่อมาโค่น บัลลังก์ “บุญจง” เพื่อสั่งสอนคนทรยศโดยเฉพาะแค่ปี่กลอง โหมโรง เลือดก็สาดเต็มเวที!!!
ยิ่งโฟกัสไปที่ “คู่แข่ง” หลักอย่าง เป็นทางการภายใต้ขุมข่ายทีมงาน “3 พี” แห่งเพื่อแผ่นดิน ที่มี “พีว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” ลงบัญชาการรบในสนามนี้ด้วย ตัวเอง
แม้ตัวผู้สมัครลงชิงชัยจะยังเป็นภาพเบลอ เพราะต้อง เสีย “อภิชา” ให้กับ “นายใหญ่” แต่ด้วยบารมีในพื้นที่ที่ไม่เป็นสองรอง “บุญจง” ไม่ว่าจะ ส่งใครลง ม้าตัวนี้ก็ยังคงเป็นม้าเต็งเข้าวิน อยู่เช่นเดิม และหากย้อนภาพกลับไปก่อน หน้านี้ไม่กี่อึดใจ ครั้งที่ “ครูใหญ่เนวิน” ร่ายเวทมนตร์เขมรจน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เคลิ้ม เผลอถีบส่งพรรคเพื่อแผ่นดินพ้น “รัฐบาลเทพประทาน”
แถมไล่ส่งไม่ไล่เปล่า เพื่อนหักยังดอด เข้าประตูหลัง กวาดต้อน ส.ส.เพื่อแผ่นดินไปเป็นกิ๊กกับพรรคภูมิใจไทยอย่างน่าเจ็บใจนัก
บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ เมื่อโอกาสเปิด สนามประดาบเปิดช่อง งานนี้ มีทีเด็ดอะไร “เสี่ยไพโรจน์” เทหมดหน้าตักแน่นอน บรรยากาศทวีความเดือดพล่านขึ้นมาเกินห้ามใจ พลันที่ “เสี่ยไพโรจน์” แอบไปแตะมือกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” กุนซือใหญ่พรรครวมชาติพัฒนา ในฐานะผู้มากบารมีเมืองโคราชตัวจริง
แถมยังมีข่าวแปร่งๆ ออกมาทำให้ราคาต่อรองสับสนว่า..งานนี้ “นายใหญ่” แอบแตะมืออย่างลับๆ กับ “พินิจ จารุสมบัติ” เจ้าวังพญานาคตัวพ่อ
ส่งผลให้สารพัดข่าวฮั้ว ข่าวซูเอี๋ย เช็ก บิลสั่งสอนคนเนรคุณ เริ่มดังลั่นทุ่งไปทุกหย่อมหญ้าปริมณฑลการเมืองโคราช และว่ากันว่า หากสมมติฐานแห่งพลังฮั้วไม่ผิดพลาด ฝ่ายที่จะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คงไม่แคล้วพรรคภูมิใจไทย แต่หากสมมติฐาน ดังกล่าวกลับหัว เพื่อไทยและเพื่อแผ่นดิน ตัดแต้มกันเอง
“ภูมิใจไทย” คงได้กระหยิ่มยิ้มย่อง พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ประกาศชัยชนะ..
ใต้ฟ้าแดนอีสานไม่มีอะไรที่ “เนวิน” ดลบันดาลไม่ได้ แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงไม่ต้องอรรถาธิบายว่า “บุญจง” จะอ่วมอรทัยสักปานใดฝ่าดงบาทา สวนทางปืนศัตรูคู่แค้นฝังหุ่น ที่แค้นกันชนิด “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กว่าจะชนะได้ คงต้องมีการเหยียบหัวข้ามศพ ขึ้นไปใหญ่แน่นอน เงื่อนไขอำมหิตนี้ หัวคะแนนใหญ่เมืองโคราช ผู้ชี้เป็นชี้ตายผลเลือกตั้งเขต 3 น่าจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี
เลือกตั้งเดือดตั้งเค้า คุณพระคุณเจ้า คุ้มครอง..สาธุ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)