--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำท่วมประชาชน แต่เงินท่วมรัฐบาล


แสนล้านหวานคอแร้ง(อีกแล้ว)
หาเงินไม่เป็นแต่โคตรใช้เงินเก่ง!!
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มีขั้วอำนาจหนุนหลังให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ในที่สุดก็ตาม

แต่ก็เป็นรัฐบาลที่มีปัญหาได้ในทุกๆเรื่อง เพราะจะปรองดอง ก็มีปัญหา เนื่องจากสไตล์เอาดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น และต้องการเป็นพระเอกแบบมีแต่ได้กับได้ เลยทำให้ทุกอย่างไม่เพียงยากลำบากในการที่จะคืบหน้า
แต่ยังหาทางออกสำหรับประเทศไทยไม่เจอเลยก็ว่าได้
ขณะเดียวกันแค่จะแก้รัฐธรรมนูญก็มีปัญหา ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ก็เกิดปัญหาออกมาทวงมติพรรคกันให้วุ่น
สุดท้ายก็เลยได้ข้อครหาว่า เป็นการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบตี 2 หน้า

และแม้แต่กระทั่งเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ปรากฏว่าเสียงครหาโผล่ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของการฉกฉวยผลประโยชน์จากการช่วยเหลือน้ำท่วมในสารพัดรูปแบบ

มีทั้งเรื่อง 2 มาตรฐานในการช่วยเหลือ และเรื่องของการงาบงบ การงาบหัวคิว ฯลฯ
ทั้งหมดจริงๆแล้วล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องของการทำงานไม่เป็น กับเรื่องของการเป็นรัฐบาลภายใต้ไม้ค้ำยัน การจะทำอะไรแต่ละอย่างจึงมีเรื่องผลประโยชน์ เรื่องของการแลกเปลี่ยนเข้ามาต่อรองตลอด
แบบนี้จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขั้วอำนาจเห็นว่าเป็นตัวจักรที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือ และนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นเด็กดีที่ยังเหมาะสมกับเก้าอี้นายกฯนั้น จะสำรวจกี่ครั้งกี่หน ทำโพลกี่รอบ ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ได้เลยสักครั้งว่าจะชนะการเลือกตั้ง

ก็ขนาดแค่เรื่องการดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่น่ามีอะไร ยังระงมเสียงโวยได้ขนาดนี้ แล้วจะให้ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกรอบได้อย่างไร

ดังนั้นแม้ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ จะต้องปากแข็ง จะต้องสวนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ คุยข่มเอาไว้ก่อน แต่ของจริงจะเป็นอย่างไรก็คงต้องดูกัน

อย่างเช่นในฐานเสียงภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมทั่วประเทศว่า การจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือน้ำท่วมให้กับสวนยางพาราในภาคใต้นั้น มีการกระทำ 2 มาตรฐาน ได้มากกว่าผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคอื่นๆหรือไม่

เล่นเอาวิ่งปฏิเสธกันจ้าละหวั่น

แต่ขณะเดียวกันจุดที่ต้องตั้งเป็นข้อสังเกตุให้สังคมจับตามองกันก็คือ ทำไมกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องมีประชาชนบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี แต่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับเชื่อว่าหากรัฐบาล ชุดนี้อยู่ต่อจะสามารถแก้ไขปัญหาได้แน่
ฉวยโอกาสฟุ้งเพื่อขอตีตั๋วต่ออายุรัฐบาลเอาไว้ล่วงหน้าเฉยเลย

ทั้งๆที่หากมีการบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี มีคนบุกรุกเอาไปทำสวนยางจริงๆ เรื่องนี้ทั้งนายถาวร และพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นพื้นที่ฐานเสียงควรจะต้องทำความกระจ่างให้กับสังคมด้วย

เพราะนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับว่าที่เขาสันกาลาคีรีมีการบุกรุกป่าจริง แถมมีชื่อหมดแล้วว่าใครบุกรุกบ้าง แบบนี้แปลว่าอะไร

หรืออย่างกรณีของจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นอีกจังหวัดที่สะท้อนภาพทุจริตอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมาก็ฉาวโฉ่ในเรื่องของการแจกปลากระป๋องเน่าเสีย แจกสิ่งของและยาหมดอายุ รวมทั้งข้าวสารเน่า จนฉาวโฉ่ทั่วประเทศและรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ต้องลาออกมาแล้ว

น้ำท่วมครั้งนี้ก็โดนชาวบ้านร้องเรียนนักการเมืองนำข้าวสารของรัฐไปแจกจ่ายเพื่อหวังผลทางการเมืองจนฉาวโฉ่อีกครั้ง เพราะเล่นเอาข้าวสารของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีการพิมพ์ชื่อตัวเองลงในถุงเข้าสารของ กระทรวงพาณิชย์แล้วนำไปแจกจ่ายชาวบ้าน

เล่นกันง่ายๆ จนฉาวไปทั่ว

พอๆกับที่ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน ทนดูไม่ไหว ต้องออกมาระบุว่ามีการหักหัวคิวช่วยเหลือผู้ประสบอุทักภัย เล่นเอาการเมืองร้อนฉ่า

มีนักการเมืองกินหัวคิว 30เปอร์เซ็นต์ ในโครงการของรัฐบาล จริงๆหรือ
หรือแม้แต่การตั้งข้อสังเกตุรื่องที่มีการแจกของช่วยเหลือและแจกเงินเฉพาะพื้นที่เลือกตั้งซ่อมเขต 6 และเกิดขึ้นในช่วงนี้ แถมยังมีรัฐมนตรีลงพื้นที่ช่วงเวลาเสาร์-อาทิตย์ มีพฤติกรรมขึ้นเวทีคล้ายกับการปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคภูมิใจไทย

เลยเจอคำถามว่าทำไมต้องเจาะจงช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม และที่สำคัญทำไมต้องทำนอกเวลาราชการ แล้วคิดว่ามีความเหมาะสมหรือไม่

เพราะฉาวกันขนาดนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เลยเตรียมส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพื้นที่ เพื่อตรวจสอบเรื่องการทุจริตหักเงินชดเชยค่าเสียหายบ้านเรือนประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งรัฐบาลมีมติจ่ายค่าชดเชยให้ครัวเรือนละ 5,000 บาท แต่มีการร้องเรียนว่าประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้รับเงินค่าชดเชยไม่เต็มจำนวน

ดังนั้นป.ป.ท.จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงในบางพื้นที่ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเพราะถือเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมผู้เดือดร้อน
แต่ที่ยิ่งต้องระวังก็คือ ในเมื่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 พฤศจิกายน มีมติให้หน่วยราชการ ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณเหลือจ่ายหรืองบเหลื่อมปี 2552-2553 จำนวน 53,000 ล้านบาท มาใช้ฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเร่งด่วน

ซึ่งเท่ากับว่าหากมีงบเหลือมปี 53,000 ล้านบาท และมีงบเหลือจ่ายในส่วนของโครงการไทยเข้มแข็ง บวกกับงบกลางปีอีกประมาณ 48,000 ล้านบาท

งานนี้เท่ากับว่า มีงบมากถึง 101,000 ล้านบาทใช้ล่อเสือล่อตะเข้ ภายใต้คำว่าเยียวยาน้ำท่วม
กระสือการเมืองจ้องตาเป็นมัน เลียปากแผล็บๆกันเลยทีเดียว

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาตรฐานทางศีลธรรมกับการแทรกแซงตุลาการ

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์


ห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอันเนื่องจากกรณี"คลิปฉาว"หลายชุดที่มีการนำเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์Youtupe โดยมีการกล่าวหาว่า ตุลาการบางคนนำข้อสอบคัดเลือกเข้าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปให้พรรคพวกและเครือญาติ

แน่นอนว่า ผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวและพรรคเพื่อไทย ต้องการใช้"คลิปฉาว"เป็นเครื่องมือในการกดดันการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน เนื้อหาในคลิปดังกล่าวก็ทำให้สาธารณชนคลางแคลงใจต่อพฤติกรรมของตุลาการบางคนว่า ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเพียงพอในการทำหน้าที่หรือไม่

แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจริยธรรมเข้ามาไต่สวนหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้แต่ประการใด

ได้อ่านหนังสือเรื่อง "การทุจริตและสิทธิมนุษยชน:การเชื่อมโยง(Corrution and Human Right : making the Connection)"ซึ่งเป็นรายงานที่จัดทำโดยสมัชชาสากลว่าด้วยนโยบายสิทธิมนุษยชน(แปลโดย รศ.วีระ สมบูรรณ์ หัวหน้าภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะ)

หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การทุจริตทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุยชนในหลายด้าน อาทิ ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในทางการเมือง สุขภาพ การศึกษา การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมฯลฯ

อย่างไรก็ตามเพื่อให้สอคคล้องการวิพากษ์วิจารณ์ข้างต้น จึงขอสรุปหัวข้อ"มาตรฐานอันเกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม"มานำเสนอให้เห็นภาพว่า ในทางสากลนั้น มองเรื่องนี้อย่างไร

ความเห็นในรายงานระบุว่า การทุจริตอาจส่งผลเสียต่อความเป็นอิสระของศาล  เช่น การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งจะก่อให้เกิดการแทรกแซงหลักการในหลายด้านด้วยกัน

การแทรกแซงระบบตุลาการจากฝ่ายการเมืองเกิดขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้อิทธิพลของตน (ซึ่งรวมทั้งการคุกคาม ข่มขู่ หรือสินบน) เพื่อบังคับหรือโน้มน้าวผู้พิพากษา (หรือเจ้าหน้าที่ของศาล) เพื่อให้ตัดสินคดีโดยเอื้อต่อผลประโยชน์ของตนและไม่เป็นไปตามกฎหมาย

การแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองยังเกิดขึ้นเมื่อมีการควบคุมการแต่งตั้งผู้พิพากษา การกำหนดเงินเดือนและเงื่อนไขของการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้พิพากษา อัยการ และเจ้าหน้าที่ศาลได้ นำมาซึ่งระบบตุลาการที่อ่อนปวกเปียกคล้อยตามผู้มีอำนาจ

การแทรกแซงทางการเมืองยังรวมไปถึงประเด็นการใช้กฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษา  แม้ว่าผู้พิพากษาที่ทุจริตอาจใช้กฎหมายคุ้มกันที่ล้าสมัยเพื่อปกป้องตนเอง

แต่ถ้าปราศจากกฎหมายคุ้มกันผู้พิพากษาที่มีความเป็นอิสระอาจถูกอำนาจทางการเมืองใช้คดีความรังควานได้

กฎหมายหมิ่นประมาทอาจถูกใช้ในหลายทางเพื่อขับผู้พิพากษาที่เป็นอิสระให้พ้นจากตำแหน่ง หรือเพื่อคุ้มครองผู้พิพากษาที่ทุจริตอย่างไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงการติดสินบนในการดำเนินงานยุติธรรม ส่วนใหญ่หมายถึงภาคประชาสังคมถูกเรียกสินบนหรือให้สินบน รวมไปถึงประชาชนที่มีรายได้ต่ำซึ่งแทบจะไม่สามารถจ่ายสินบนเหล่านั้นได้

รายงานระบุด้วยว่า หลักการของความไม่ลำเอียงนั้นมีความสำคัญมาก ทั้งในการปฏิบัติจริงและโดยภาพลักษณ์ที่ปรากฏ

ในบริบทนี้พึงตระหนักว่า การทุจริตในกระบวนการแต่งตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตุลาการอาจส่งผลให้คุณภาพของการทำงานลดต่ำลง

การแต่งตั้งควรพิจารณาจากคุณสมบัติ การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม และความสามารถของบุคคลผู้นั้น

แต่ถ้าได้รับอิทธิพลจากการทุจริตแล้ว ฝ่ายตุลาการก็จะมีความสามารถและความเป็นอิสระน้อยลง และสิทธิของผู้ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่

นอกจากความเที่ยงธรรมแล้ว ประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการพิจารณาคดีภายในระยะเวลาอันเหมาะสม

องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่า การวินิจฉัยความหมายของคำว่า "ความล่าช้าอันมิสมควร" หรือ "กระบวนการอันรวดเร็ว" นั้นขึ้นอยู่กับสภาพการณ์แวดล้อมและความซับซ้อนของคดี รวมทั้งการปฏิบัติของคู่ความที่เกี่ยวข้อง

การละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยปราศจากความล่าช้าอันมิสมควร อาจเกิดขึ้นในกรณีตัวอย่างเช่น เมื่อมีการติดสินบนผู้พิพากษาเพื่อทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปเท่าที่จะทำได้

ในกรณีเช่นนี้ สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมย่อมถูกละเมิดโดยการติดสิบนอย่างชัดเจน

เมื่อดูมาตรฐานสากลแล้ว มาย้อนดูประเทศไทยโดยเฉพาะการแต่งตั้งตุลาการ ควรพิจารณาจากคุณสมบัติ"การเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม"ว่า ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผู้พิพากษาอาวุโสตัดพ้อเครดิตศาลถึงจุดวิกฤต

ผู้พิพากษาอาวุโสชี้สถานะของศาลรัฐธรรมนูญเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายและสิ้นสภาพไปในที่สุด ระบุแนวทางปกป้องตัวเองด้วยการฟ้องแหลกแสดงให้เห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะหลังพิงกำแพง คิดอะไรได้ก็เอาไว้ก่อน ฟันธงความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมติดลบและถึงขั้นเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงแล้ว คดีพรรคประชาธิปัตย์หากตัดสินให้ยุบก็เสมอตัว ไม่ให้ยุบประชาชนก็ไม่นับถือ “จตุพร” ประณามคนนำภาพเบื้องสูงโพสต์ปะปนคลิปโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ เชื่อทำเป็นขบวนการเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น แอบอ้างสถาบันเพื่อปกป้องตัวเอง

นายสถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส กล่าวถึงภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญหลังถูกคลิปฉาว 3 ชุดถล่มอย่างหนักว่า เท่าที่ประเมินขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในสภาพที่น่าหนักใจ เพราะภาพลักษณ์และความน่าเชื่อต่างๆกำลังติดลบ และสิ่งที่ศาลต่อสู้แต่ละอย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่าศาลอยู่ในสภาพหลังพิงฝา คว้าอะไรได้ก็ว่าไปเรื่อย สภาพของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ต่างกับคนที่หมดทางสู้ เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายและหมดสภาพไปในที่สุด

“ผมดูสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดหรือดำเนินการฟ้องร้องต่างๆไม่เข้าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิติรัฐหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไม่เหลืออะไร เพราะความน่าเชื่อต่างๆของกระบวนการยุติธรรมติดลบและถึงขั้นเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงแล้ว”

นายสถิตย์กล่าวว่า ขณะนี้มีหนทางเดียวที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถจะสู้ได้ เช่น บอกว่าไม่ได้พูด แต่คนที่พูดเป็นคนที่มานั่งแทนแล้วหาว่าเราพูด อย่างนี้ถึงจะต่อสู้ได้ ซึ่งความจริงน่าจะออกมาในรูปนั้น แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดปัญหาคลิปฉาวไม่เคยเห็นตุลาการที่ถูกพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับคลิปออกมาแถลงชี้แจงอะไร แต่กลับบอกว่านายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ แย่ใช้ไม่ได้

ส่วนกรณีภาพความน่าเชื่อของศาลรัฐธรรมนูญติดลบจะมีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายสถิตย์กล่าวว่า ไม่ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาว่ายุบหรือไม่ยุบก็ไม่มีความหมายแล้ว เพราะสิ่งที่ศาลจะวินิจฉัยไม่มีความน่าเชื่อถืออะไร เช่น ถ้ามีคำวินิจฉัยไม่ยุบคนก็ไม่นับถือ แต่ถ้าวินิจฉัยว่ายุบคนก็จะรู้สึกเฉยๆ ดังนั้น ไม่ว่าผลการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะเหตุผลในทางความน่าเชื่อถือของศาลไม่มีเหลืออยู่แล้ว

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวประณามคนที่อัพโหลดคลิปหรือภาพถ่ายสถาบันเบื้องสูงรวมอยู่ในคลิปโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่ามีการทำกันเป็นขบวนการเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

“คงจะทำเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เมื่อเห็นว่าจวนตัวก็ดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องเพื่อปกป้องตัวเอง ผมต้องตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโกงสอบ แต่กลับมุ่งดำเนินคดีกับคนที่จับได้ว่ามีการทุจริต

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ล่อนจ้อน(ยัง..ยังมีอีกเยอะ...)

คลิปฉาวชุดที่ 3 โดย “ohmygod3009” ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เศษ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ใช้ชื่อว่า “คำสารภาพคนโกงข้อสอบ” มีความยาว 5.36 นาที ไม่ต่างกับระเบิดนาปาล์มที่พุ่งใส่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเนื้อหาในคลิปมีการยอมรับว่าโกงข้อสอบอย่างชัดเจน โดยมีการเอ่ยชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถึง 3 คน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้สั่งบล็อกคลิปดังกล่าวหลังจากเผยแพร่ได้ประมาณ 12 ชั่วโมง และมีรายงานว่ากระทรวงไอซีทีจะใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อนำไปขอหมายศาลประกอบการยื่นให้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

แต่ก็มีคำถามว่าการปิดกั้นการเข้าดูเว็บแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้กระทรวงไอซีทีใช้อำนาจอะไร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเป็นการขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่าสมควรบล็อกเว็บที่เผยแพร่หรือไม่ เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ และอาจกระทบถึงความมั่นคงของประเทศด้วย

ขณะที่นักวิชาการกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะเนื้อหาในคลิปที่สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อปกป้ององค์กรศาลรัฐธรรมนูญหรือกระบวนการยุติธรรม

ต้องตรวจสอบศาล

“ศาล ประชาชน นักกฎหมายสายคุณธรรมทั้งหลายเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรมจากนักการเมือง แต่พอมีประเด็นปัญหาความสงสัยต่อคุณธรรม จริยธรรมในองค์กรศาลเอง คนที่เคยเรียกร้องเหล่านั้นกลับเงียบงัน หลายคนทำหูทวนลม นักกฎหมายบางคนบอกว่าจนบัดนี้ตัวเองยังไม่ได้ดูคลิปเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อที่สุด”

อาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์ภาควิชากฎหมายอาญาและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามกรณีคลิปฉาวกับบรรดานักกฎหมายที่สอนหลักวิชาชีพว่า ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันหมด ซึ่งจริงๆแล้วหายไปตั้งแต่เกิดกระแส “ตุลาการภิวัฒน์” เพราะหลังคลิปฉาวหลุดออกสู่สาธารณะควรจะมีกระบวนการหาข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะโดยองค์กรศาล หรือสำนักงานคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจข้อเท็จจริง

อาจารย์สาวตรียกตัวอย่างคลิปเจ้าหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาในต่างประเทศซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของผู้เห็นเหตุการณ์ หรือคลิปการทรมานในคุก ยังใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นเบาะแสในการสืบหาข้อเท็จจริง และเป็นข่าวฮือฮาทั่วโลก จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏ เพราะปล่อยไว้ก็มีแต่เกิดผลเสียและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน แต่นักกฎหมายไทยจำนวนมากกลับเพิกเฉยแล้วกล่าวคำมักง่ายลอยๆว่า “คลิปที่หลุดออกมาเป็นของปลอม ไม่ต้องดูและไม่ต้องพิสูจน์”

เรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสถาบันศาลยึดถือคุณธรรม จริยธรรมจริงหรือไม่ ถ้าเป็นการใส่ร้ายก็ต้องดำเนินคดีกับคนที่ทำคลิปมาเผยแพร่ตามกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและสอบพยานกันในชั้นศาล เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีพฤติ-กรรมอย่างที่ปรากฏในคลิป

3 ตุลาการเอาผิดมือแพร่คลิป

แต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจรูญ อินทจันทร์ นายสุพจน์ ไชยมุข และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบอำนาจให้นายณพล อรุณอาศิรกุล ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อให้ติดตามหาบุคคลที่เผยแพร่คลิปชุดที่ 3 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีกลุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อ “ปอย” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ สนทนาเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเป็นการโกงข้อสอบ โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆเพื่อไปรวมสำนวนกับคดีที่นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมาแจ้งความไว้แล้วก่อนหน้านี้

ขณะที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแถลงว่า ฝ่ายบริหารของสำนักงานมีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ในหลายแนวทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นชั้นความลับที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากคณะตุลาการเห็นควรดำเนินการเช่นไรจะนำมาแถลงต่อสื่อมวลชนโดยทันที แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่ล่าช้าแน่นอน และเชื่อว่าน่าจะมีข้อยุติโดยเร็ว

ปัญหาภายในศาลรัฐธรรมนูญ

แต่มีการตั้งคำถามว่าทำไมนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังนิ่งเฉย แม้มีตุลาการหลายคนเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเคลียร์ข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้บุคคลภายนอกทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้สังคมยอมรับและไม่ถูกมองว่าปกป้องพวกเดียวกันเอง แต่ได้รับคำตอบจากนายชัชว่า “รอให้เรื่องเงียบก่อน” ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับตุลาการหลายคนเพราะเห็นว่าเหมือนเป็นเป้านิ่ง

ขณะนี้มีรายงานข่าวว่าผู้ที่ไม่สามารถสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นเริ่มหารือว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะหากเนื้อหาในคลิปเป็นเรื่องจริงเท่ากับบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้เสียโอกาสในการสอบ และยังส่งผลโดยตรงถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะกรณีนายพสิษฐ์ ย่อมหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของนายชัชที่เป็นผู้แต่งตั้งเข้ามา ซึ่งพฤติกรรมของนายพสิษฐ์กระทบถึงสถาบันศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทั้งยังมีรายงานข่าวว่านายพสิษฐ์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการต่อนายชัชตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม และเดินทางไปฮ่องกงในวันเดียวกัน ไม่ใช่การปลดออกอย่างที่ 5 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีตุลาการคนใดเห็นหนังสือสั่งปลดนายพสิษฐ์ที่ลงนามโดยประธานศาลรัฐธรรมนูญ

ประเด็นดังกล่าวยิ่งทำให้มีคำถามถึงความเป็นมาของนายพสิษฐ์ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใดกับนายชัช และนายชัชปกป้องนายพสิษฐ์หรือไม่ แม้จนขณะนี้ก็ยังไม่มีการฟ้องร้องเพื่อให้ติดตามจับกุมนายพสิษฐ์นอกจากถอนพาสปอร์ตข้าราชการเท่านั้น โดยนายพสิษฐ์ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตแบบปรกติทั่วไป

พฤติกรรมของนายพสิษฐ์จึงยิ่งเป็นปริศนาว่าทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อใคร ถ้าทำเพื่อตัวเอง ทำเพราะอะไร และถ้าทำเพื่อ “นาย” ทำเพราะอะไร?

แถลงการณ์ปริศนา?

นอกจากนี้ยังมีจดหมายที่อ้างว่าเป็นของนาย พสิษฐ์จากฮ่องกง โดยส่งมาทางแฟกซ์ถึงสำนักพิมพ์ต่างๆในช่วงค่ำวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเขียนด้วยลายมือ จึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากมีการแฟกซ์ปริศนาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีคลิปชุดที่ 3 เผยแพร่ออกมา ส่วนข้อความในจดหมายมีว่า

“กระผมนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ มีความคิดและมีอุดมการณ์ตั้งมั่นอยู่ในจิตวิญญาณ และเชื่อถือระบบกระบวนการยุติธรรมว่าจะต้องโปร่งใส เสมอภาค และมีคุณธรรม จริยธรรมครบถ้วนในทุกด้าน เหนือกว่าสาขาอาชีพใดๆ เพราะถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวไทยทุกท่าน

ซึ่งเมื่อกระผมได้เข้ามาทำงานในศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรสำคัญยิ่งยวด เพราะคำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด และผลแห่งคำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร แต่กระผมกลับเสียใจต่อความพิลึกของผู้มีอำนาจ ทั้งเรื่องความหมายของคำว่ามาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ตลอดถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับศาลในรูปแบบที่บิดเบี้ยวของพรรคการเมืองบางพรรค รวมถึงกระแสพิเศษและความเกื้อหนุนอุ้มชูในหลากหลายรูปแบบ หลายครั้งยากต่อการมองเห็น รวมถึงมีบุคคลแอบอ้างกระแสพิเศษกันมากมาย

กระผมอยากเห็นคำว่ายุติธรรมกลับไปศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม โดยอุดมการณ์ของกระผมนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งกระผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารซึ่งกระผมเทิดทูนยิ่งชีวิต ถึงแม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา แต่กลับทำให้กระผมมีความเข้มแข็ง เพราะกระผมไม่ได้เป็นไปตามคำกล่าวหาต่างๆ

ขอแสดงความเคารพต่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่มีความรักความถูกต้องในทุกวิถี และช่วยกันผดุงความดีจรรโลงไว้ในแผ่นดิน จึงขอให้พี่น้องชาวไทยได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับกระผม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฉันใด ความจริงทุกประการก็จะได้ปรากฏอีกมากมาย”

“จรัญ” ไม่จนตรอกไม่ฟ้อง

ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้เผยแพร่คลิป แต่นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ถ้าไม่จนตรอกจริงๆจะไม่ใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน แต่เพียงขอให้มีโอกาสได้ชี้แจงต่อสาธารณะบ้าง

“ขณะนี้ขอให้เราได้มีโอกาสชี้แจงต่อสาธารณะให้รับทราบบ้าง ซึ่งตอนนี้เราก็พอทนได้ แต่เราไม่มีช่องทางที่จะไปสู้กับเขา ได้แต่หาทางพิสูจน์ความจริงกันไป อีกทั้งผมไม่อยากดำเนินคดีกับประชาชนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ และผมก็ไม่อยากใช้กฎหมายไปเล่นงานประชาชน เพราะอาจถูกมองว่าเราไม่เป็นศาล ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร”

ส่วนคลิปชุดที่ 3 ที่มีอักษรย่อ “จ” แอบไปตีกอล์ฟที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วมีรายการตีกอล์ฟหลุม 19 ต่อนั้น นายจรัญกล่าวว่า ปรกติไม่ค่อยชอบตีกอล์ฟเพราะเห็นว่าเป็นกีฬาที่เบาไป และ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์เลย ที่ระบุในคลิปจึงเป็นการใส่ร้ายกัน แต่ก็ไม่รู้สึกหนักใจที่มีการนำคลิปที่เป็นผลเสียกับศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผยแพร่เป็นระยะ เพราะถือเป็นการนำความเท็จมากล่าวหากัน หลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวหรือไม่นั้น ยังไม่มีการหารือกันของตุลาการ

ดักคอศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมว่าเรื่องนี้ตุลาการอย่าบอกปัด แต่ควรเคลียร์ตัวเองให้กระจ่าง หากบอกว่าถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน เร็วเกินไปถ้ามีคนพูดว่าคลิปฉาวนี้มีการตัดต่อ ผมยืนยันว่าเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ในระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถวิจารณ์ในเชิงวิชาการและวิจารณ์ด้วยเจตนาที่อยากให้ดีขึ้น มีกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่วิจารณ์ด่าทออย่างเสียๆหายๆ และศาลเองก็ต้องเปิดรับฟังความเห็น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็หมิ่นศาล เพราะถ้าศาลไม่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมไม่อยากให้มีความรู้สึกว่าศาลกำลังจะหมิ่นประชาชน”

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงคลิปฉาวโดยติงถึงกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสว่าเป็นการแอบถ่ายหรือจัดฉาก และการเผยแพร่คลิปผิดกฎหมาย ทั้งที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหาที่พูดกันในคลิป ซึ่งถ้าเนื้อหาที่พูดเป็นความจริงจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือศาลอีกต่อไป และจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของปัญหา 2 มาตรฐาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่าจริงหรือไม่ อย่างไร อย่าให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาแก้ตัวแทน

ภาพพจน์สูงต่ำอยู่ที่ตุลาการ

เช่นเดียวกับนายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าคลิปที่ออกมาไม่สามารถดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะมีความน่าเชื่อถือสูงหรือต่ำไม่ได้อยู่ที่องค์กร และการเมืองไม่สามารถแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

“เรื่องนี้มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องหลายคน บางคนอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นตุลาการด้วย โดยเฉพาะนายพสิษฐ์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะสมัยก่อนเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญคือเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ”

จี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออก

ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว” ว่าแม้ข้อกล่าวหาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็มีผลสั่นคลอนความไว้วางใจของสาธารณชนที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และนับตั้งแต่เกิดข้อสงสัยต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ปรากฏคำชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในความเป็นอิสระ เที่ยงธรรมในการตัดสินคดีแต่อย่างใด

ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้เกิดการแสดงความรับผิดต่อปัญหาที่เกิดขึ้นคือ

1.ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่สร้างความสงสัยต่อความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความชัดเจนได้

2.ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว เพราะแม้จะมีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญคือสถาบันตุลาการที่ปราศจากการตรวจสอบทั้งจากภาคสังคมและการเมืองยังดำรงอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ก็อาจไม่ได้ดำเนินไปบนหลักการหรือมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรม สถาบันตุลาการจะกลายเป็นองค์กรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น

ตรงกันข้ามหากสถาบันตุลาการเป็นอิสระและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงจะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมการเมืองไทย จึงต้องร่วมกันผลักดันความรับผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในอนาคต

เปลือยคลิป-เปลือยตุลาการ

ปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้จึงส่งผลกระทบต่อสถาบันตุลาการทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ตราบใดที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ว่าเนื้อหาในคลิปฉาวทั้ง 3 ชุดที่ออกมาจริงหรือเท็จประการใด ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคลิปชุดแรกได้พาดพิงถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย

ยิ่งทำให้ “คลิปฉาว” มีความเป็นไปได้ ทั้งฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายที่ต้องการทำลายศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกก็ไม่สามารถตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ถ้าตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจเกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและลุกลามจนนำมาสู่การรัฐประหารอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคลิปจะออกมาจากฝ่ายใดและมีเบื้องลึกอย่างไร แต่ขณะนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงสถาบันตุลาการทั้งระบบอีกด้วย อย่างผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนของสถาบันพระปกเกล้าที่มีต่อศาลและองค์กรอิสระ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับความน่าเชื่อถือต่ำที่สุด รองลงมาคือศาลปกครอง

ท่ามกลางกระแสศรัทธาที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ แล้วสรรหาตุลาการชุดใหม่มาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่จะหยุดวิกฤตศรัทธาได้ในทันที

แต่ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าบริสุทธิ์และสุจริตเที่ยงธรรม กล้าที่จะตัดสินคดียุบพรรคประ-ชาธิปัตย์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็มีคำถามว่าใครจะเชื่อถือ?

ที่สำคัญเชื่อว่าจะมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือสูงกว่านั้นออกมาอีก และมี “บุคคลระดับสูง” อีกหลายคนที่จะถูก “เปลือย” อย่างล่อนจ้อน...

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏ และเร่งปฏิรูปศาลอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็น “ตุลาการวิบัติ” มากกว่า “ตุลาการภิวัฒน์”!

หากประชาชนหมิ่นศาล...พอจะเดาได้ว่าผลที่ตาม มาอย่างแน่นอนคือ “ติดคุก”

แต่ถ้าศาลหมิ่นประชาชน...ไม่กล้าเดาจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

********************************************************

ความมีอยู่ของมาตรฐานการเมือง.

หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเชือด 6 ส.ส.ให้พ้นสมาชิกภาพ กรณีถือครองหุ้น สื่อและสัมปทานกับรัฐ ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ งานนี้มีพ่วงรัฐมนตรีเข้าไป 2 คน คือ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม

แน่นอนว่างานนี้ต้องมีการแก้มือ คือ เลือกตั้งซ่อม...แต่สิ่งที่เป็นประเด็น คือ การ เลือกตั้งซ่อมจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลาออก จากตำแหน่งรัฐมนตรี ???กรณีแบบนี้มี

ให้เห็นอยู่บ่อยจะว่าไป ก็ก่อนท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกยกขึ้น มาเป็นบรรทัดฐานของท่านนายกฯ ด้วยซ้ำไป

บรรทัดฐานการเมืองควรเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน จะไปเทียบเคียงกับ กรณีที่มีการยุบสภาไม่ได้ เพราะเมื่อมีการ ยุบสภา

แล้วมีการรักษาการณ์ ซึ่งสภาพโดยธรรมชาติจะแตกต่าง มีบทบัญญัติที่ รองรับไว้ในการไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจ เต็มที่ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ต้องเข้ามาดูเรื่องงบประมาณ และการโยกย้ายแต่งตั้งด้วยŽ นายอภิสิทธิ์ กล่าว

จะว่าไปแล้วก่อนที่คุณสุเทพ จะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงไปเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดบ้านเกิดเรื่องนี้ก็ถือว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่น้อยในวงสังคมถึงความไม่เหมาะสม มีทั้งนักวิชาการ นักการเมืองออกมาโต้แย้งกันเป็นวงกว้าง แต่สุดท้ายคุณสุเทพก็ลาออกมาเพื่อความสง่างามในการสู้ศึก... แม้ว่าตอนแรกจะทำท่าดื้อแพ่งอยู่เล็กน้อย ก็ตาม

มาถึงในกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่ถูกจับตาว่าจะแหกม่านประเพณี หรือไม่นั้น อาจจะเป็นเพราะการให้สัมภาษณ์ ว่าจะลาออกหรือไม่ แต่กลับตอบว่าอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค และต้องเป็นไปตาม กฎหมายซึ่งต่างจากส่ง นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ที่ชี้ชัดไปแล้วว่าจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงเลือกตั้งอีกครั้งจะว่าไปแล้วนักการเมืองไทย

เอะอะ อะไรก็อ้างกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่กฎหมายก็มีพื้นฐานมาจากหลักจริยธรรม เพียงแต่กฎหมายมีช่องว่างให้เอาตัวรอดได้มากกว่า การเมืองกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ คุณธรรมและ จริยธรรมจึงมีบทบาทสำคัญกับระบบการ เมือง ลักษณะการเมืองการปกครองเน้นหนัก ในทางที่สะท้อนความหวัง ความปรารถนา ของมวลมนุษยชาติ มีการปกครองที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัด เน้นความเสมอภาคโสเครตีส เคยให้ความ

เห็นไว้ว่า คุณธรรมที่แท้จริงมีคุณค่าภายในตัวของมัน คือ ทำให้ผู้ครอบครองความดีเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพลโต แนะว่า คุณธรรมต้องตั้งอยู่บนความรู้ สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นคุณธรรม เช่น ความกล้าหาญ ความพอดี ความยุติธรรม และ

ศาสนกิจ จะไม่เป็นคุณธรรม หากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่มีความรู้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ สังคมที่คนในสังคมไม่มีคุณธรรมจริยธรรม ก็จะเป็นสังคมไร้ระเบียบ มีการ เบียดเบียนละเมิดและขัดแย้งกันหากแต่สังคมที่เรายืนอยู่นี้นักการ

เมืองก็คือนักการเมือง การใช้ช่องกฎหมาย เพื่อเข้าข้างตัวเองจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ว่าสร้างมาตรฐานนั้นจริงๆ แล้วก็หาได้มาจากจิตสำนึกไม่ แต่เป็นเพราะ ต้องรักษาหน้าตาและป้องกันตัวเองจากข้อครหาเพื่อรักษาฐานเสียงนั่นเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
*****************************************

ฝ่าดงบาทา!

เหตุเกิดจากการถือหุ้นต้องห้าม “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ต้องตกอยู่ในสภาพขาลอย เฉกเช่น “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และด้วยมาตรฐานของ “กำนันเทือก” บวกกับแรงบีบจาก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะ” จึงกลายเป็นข้อบริภาษในวงกว้างว่า..“เสี่ยบุญจง” จะยอมถอดหัวโขน มท.2 เพื่อลงสู้ศึกหรือไม่???หรือจะให้นอมินีตัวแทนอย่าง “กาญจนา วงศ์ไตรรัตน์” สุภาพสตรีผู้ร่วมเรียงเคียงหมอน ลงป้องกันแชมป์ในสนามเขต 3 เมืองโคราชหรือไม่???


ไม่ว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งหรือเบอร์ สอง แต่ด้วยภาพและศักดิ์ศรีแห่งตระกูล “วงศ์ไตรรัตน์” ที่ค้ำคอ เดิมพันในสนามนี้จึงถือว่าสูงลิบลิ่วและแพ้ไม่ได้...การบ้านข้อใหญ่ “เครือเนวินกรุ๊ป” ตรงข้ามอย่างสุดขั้วกับสถานการณ์ของ “กำนันเทือก” ซึ่งลงแข่งในสนามที่ไม่แพ้


จะเหมือนกันก็แต่เพียง ด้วยศักดิ์ศรี แห่งภูมิใจไทย ภารกิจนี้มันจึงใหญ่หลวงนัก!!!


ยิ่งชำเลืองดูคู่แข่งอย่างเพื่อแผ่นดินและเพื่อไทยแล้ว ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า โอกาสแพ้ชนะนั้นแทบไม่แตกต่างกัน โดยมวย มุมแดงชัดเจนเป็นที่สุดว่า เครือข่ายนายใหญ่ จะส่ง “อภิชา เลิศพชรกมล” หรือชื่อเดิม “มีชัย จิตต์พิพัฒน์” อดีตผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน “คู่ขับ


เคี่ยวตัวฉกาจ” ของ “บุญจง” ลงล้างตาอีกหนึ่งไฟต์ที่สำคัญก็เป็น “อภิชา” นี่แหละ ที่เคย ล้ม “บุญจง” จนพังพาบมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ด้วยพิษใบเหลือง และกำลังภายในของ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ซึ่งถูกส่งผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งน้ำต้มผักยังหอมหวาน


มันจึงกลายเป็นเดชะบุญและกุศลหนุน ส่งให้ “บุญจง” รีเทิร์นกลับมาได้หลังระฆังหมดยก จนได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีกระทรวงคลองหลอด แต่สถานการณ์ ในวันนี้ไม่เหมือนวันวาน เพราะ “อภิชา” ในวันนี้ เป็นผู้สมัครที่ “นายใหญ่” ล็อกสเปกเพื่อมาโค่น บัลลังก์ “บุญจง” เพื่อสั่งสอนคนทรยศโดยเฉพาะแค่ปี่กลอง โหมโรง เลือดก็สาดเต็มเวที!!!


ยิ่งโฟกัสไปที่ “คู่แข่ง” หลักอย่าง เป็นทางการภายใต้ขุมข่ายทีมงาน “3 พี” แห่งเพื่อแผ่นดิน ที่มี “พีว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” ลงบัญชาการรบในสนามนี้ด้วย ตัวเอง


แม้ตัวผู้สมัครลงชิงชัยจะยังเป็นภาพเบลอ เพราะต้อง เสีย “อภิชา” ให้กับ “นายใหญ่” แต่ด้วยบารมีในพื้นที่ที่ไม่เป็นสองรอง “บุญจง” ไม่ว่าจะ ส่งใครลง ม้าตัวนี้ก็ยังคงเป็นม้าเต็งเข้าวิน อยู่เช่นเดิม และหากย้อนภาพกลับไปก่อน หน้านี้ไม่กี่อึดใจ ครั้งที่ “ครูใหญ่เนวิน” ร่ายเวทมนตร์เขมรจน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เคลิ้ม เผลอถีบส่งพรรคเพื่อแผ่นดินพ้น “รัฐบาลเทพประทาน”


แถมไล่ส่งไม่ไล่เปล่า เพื่อนหักยังดอด เข้าประตูหลัง กวาดต้อน ส.ส.เพื่อแผ่นดินไปเป็นกิ๊กกับพรรคภูมิใจไทยอย่างน่าเจ็บใจนัก


บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ เมื่อโอกาสเปิด สนามประดาบเปิดช่อง งานนี้ มีทีเด็ดอะไร “เสี่ยไพโรจน์” เทหมดหน้าตักแน่นอน บรรยากาศทวีความเดือดพล่านขึ้นมาเกินห้ามใจ พลันที่ “เสี่ยไพโรจน์” แอบไปแตะมือกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” กุนซือใหญ่พรรครวมชาติพัฒนา ในฐานะผู้มากบารมีเมืองโคราชตัวจริง


แถมยังมีข่าวแปร่งๆ ออกมาทำให้ราคาต่อรองสับสนว่า..งานนี้ “นายใหญ่” แอบแตะมืออย่างลับๆ กับ “พินิจ จารุสมบัติ” เจ้าวังพญานาคตัวพ่อ


ส่งผลให้สารพัดข่าวฮั้ว ข่าวซูเอี๋ย เช็ก บิลสั่งสอนคนเนรคุณ เริ่มดังลั่นทุ่งไปทุกหย่อมหญ้าปริมณฑลการเมืองโคราช และว่ากันว่า หากสมมติฐานแห่งพลังฮั้วไม่ผิดพลาด ฝ่ายที่จะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คงไม่แคล้วพรรคภูมิใจไทย แต่หากสมมติฐาน ดังกล่าวกลับหัว เพื่อไทยและเพื่อแผ่นดิน ตัดแต้มกันเอง


“ภูมิใจไทย” คงได้กระหยิ่มยิ้มย่อง พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ประกาศชัยชนะ..


ใต้ฟ้าแดนอีสานไม่มีอะไรที่ “เนวิน” ดลบันดาลไม่ได้ แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงไม่ต้องอรรถาธิบายว่า “บุญจง” จะอ่วมอรทัยสักปานใดฝ่าดงบาทา สวนทางปืนศัตรูคู่แค้นฝังหุ่น ที่แค้นกันชนิด “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กว่าจะชนะได้ คงต้องมีการเหยียบหัวข้ามศพ ขึ้นไปใหญ่แน่นอน เงื่อนไขอำมหิตนี้ หัวคะแนนใหญ่เมืองโคราช ผู้ชี้เป็นชี้ตายผลเลือกตั้งเขต 3 น่าจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี


เลือกตั้งเดือดตั้งเค้า คุณพระคุณเจ้า คุ้มครอง..สาธุ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องของสัญญาณ??

กลายเป็นคำคุ้นเคยติดปากคนไปแล้วกับคำว่า”สัญญาณ” และ “สัญญาญพิเศษ” ซึ่งก็ไม่รู้มันต่างกันตรงไหน??

ยิ่งเป็นข้าราชการด้วยแล้วจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรมักจะอ้างว่าเพราะได้รับสัญญาณมา หรือยังไม่ได้รับสัญญาณ

แทนที่จะเป็นผู้ดูแลให้บริการประชาชน..กลายไปเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มนุษย์พันธุ์รอรับสัญญาณไปเสียแล้ว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสัญญาณที่ว่านี้เครื่องส่งมันอยู่ที่ไหน?? คลื่นความถี่เท่าไหร่?? จัดส่งโดยวิธีใด??

ยิ่งฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการด้วยแล้ว ผู้มีอำนาจแต่งตั้งแทบทำอะไรไม่ถูกเพราะต้องรอรับสัญญาณก่อนถึงจะคลานได้เดินเป็น

นี่แสดงว่าเครื่องส่งสัญญาณนั้นมันมีอิทธิฤทธิ์อิทธิพลรุนแรงเหลือคณานับจนมิอาจทานทัดเป็นแน่แท้!!

ระวังให้ดีก็แล้วกัน สมัยนี้อะไรๆ มันไฮเทค

ไอ้สัญญาณที่รับมาอาจเป็นสัญญาณเก๊ที่มือดี ดอดส่งมาก็ได้นะ...นักลวงโลกมันเยอะ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำแบบนี้มันเสียบุคลิคภาพนะ??

กำลังดูหนังดูละครอยู่มันๆ ดันมีการส่งสัญญาณภาพและเสียง “มาร์คไขสือ" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โผล่จอทีวีออกมาขัดจังหวะเอาดื้อๆ

ก็เรื่องการแถลงผลงานช่วยเหลือเรืองพายุกระหน่ำบ้านน้ำท่วมเมืองของรัฐบาลนั่นแหละ

โดนสื่อแยงเข้านิด ประชาชนบ่นเข้าหน่อย ถึงเดินได้เต้นเป็น

ฝอยเป็นฉากๆ ถึงแนวทางช่วยเหลือทั้งขณะและหลังน้ำลด

แต่ที่เห็นแล้วทำให้ท่านผู้นำดูประหนึ่งว่าจะไม่จริงใจเท่าไหร่นัก...นั่นก็คือบุคลิก

ก็เล่นทำตาล๊อกแล๊ก..เหลือบซ้ายทีเหลือบขวาที เปลี่ยนเป้าไวชะมัดยาด

ดีนะที่เป็นสมัยนี้...ขืนเป็นสมัยก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่คงไม่ยอมให้ลูกหลานคบด้วยแน่เลยล่ะ???

++++++++++++++++++++++++++++++

ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก??

โดนศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนจากการเป็น ส.ส.

สองรัฐมนตรีจากสองพรรคร่วม

บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มท. อดีต ส.ส.โคราชจากภูมิใจไทย

เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา จากพรรคชาติไทยพัฒนา

กำลังยักแย่ยักยันไม่อยากถอนสมอลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม

มันก็เป็นยุทธการวัดใจกันดีๆ นี่แหละ...ระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับพรรคร่วมรัฐบาล

ลองพรรคร่วมรัฐบาลดึงดันไม่ยอมให้สองรัฐมนตรีลาออกเพื่อเลือกตั้งซ่อม

ก็อยากรู้เหมือนกันว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่าไหม??

ขาดพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติพัฒนาเมื่อไหร่ “มาร์คไขสือ” จะรู้สึก

กล้าๆ หน่อย “เนวิน ชิดชอบ” และ “บรรหาร ศิลปอาชา”!!!

+++++++++++++++++++++++++++++++

อยากปรองดองจริงหรือเปล่า??

ไม่อยากเห็นบ้านเมืองแตกแยกวุ่นวาย

พญาชาละวันแห่งโคกเจริญจังหวัดพิจิตร พล.ต.สนั่น ขจรประสาสน์ รองนายกรัฐมนตรีแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ลงทุนเป็นหนุมานขันอาสาเป็นกาวใจ ยอมเหม็นน้ำลายที่ถาโถมใส่

เข้าคุกไปคุยกับแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกขังก็ถูกกระแนะกระแหนถากถาง

ล่าสุดก็ไปจับเข่าคุยกับ “แม้วพลัดถิ่น” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขาใหญ่พรรคเพื่อไทยที่นอร์เวย์ ก็ยังไม่วายมีเสียงเสียดว่าระวังจะโดนข้อหาละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่ที่ไปคุยกับผู้ต้องหา ทั้งๆ ที่เสธ.หนั่นหรือกฌไม่ได้มีหน้าที่ในการจับกุมใครแต่อย่างใด
แม้จะเห็นลู่ทางแห่งความปรองดอง...แต่หนทางนั้นมันเต็มไปด้วยขวาก??

ไอ้ปากว่าตาขยิบมันเยอะ

แบ่งแยกแล้วปกครองมันคงง่ายกว่า??

ปรองดองจะสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่มันอยู่ที่ผู้มีอำนาจ!!

ลองเพิ่งจะเริ่มก็มีเงื่อนไขเสียแล้ว

ถ้าต่างจะเดินหน้าอย่างเดียวโดยไม่ยอมถอยกันบ้าง....เลือดนองแผ่นดินอีกครั้ง ถ้าชาติยังไม่สิ้นถึงจะได้เห็นความปรองดองมั้ง??

+++++++++++++++++++++++++++++++

ทำให้เห็น ไม่ใช่เป็นแต่พูด??

อย่าได้นึกว่าประเทศไทยเป็นสยามเมืองยิ้มอย่างเดียวเป็นอันขาด

เพราะนอกจากจะเป็นสยามเมืองยิ้มแล้ว บ้านเรายังเป็นเมืองนักพูด เป็นเมืองนักประชาสัมพันธ์อีกต่างหาก

ไม่เชื่อก็ลองดูเอาตามข้างถนนรนแคม แม้กระทั่งหน้าจอทีวี ก็ได้

หมู่บ้านปลอดยาเสพติดที่ติดไว้หน้าหมู่บ้านมากมี แต่ยาเสพติดก็ไม่เคยลดมีแต่เพิ่มเพราะการดำเนินการเพื่อให้เป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติดแทบไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็น นอกจากป้ายที่ติดไว้โก้ๆ

นี่ก็คงมาอีหรอบเดิมอีกแล้ว ยอมทุ่มงบประมาณมาทำสปอตโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกองทัพบกและ กอ.รมน.

ในโครงการทำดีมีอาชีพ

หลักในการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ตามกระแสพระราชดำรัสนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรทำเป็นอย่างยิ่ง

ว่าแต่ว่า กองทัพบกและ กอ.รมน.เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาไปแล้วมากน้อยแค่ไหนเพียงใด??

ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ไปเร่งไปทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

ถ้ายังเข้าไม่ถึงก็ไปหาทางเข้าให้ถึง

ถ้ายังพัฒนาไม่เต็มที่ก็ไปเร่งพัฒนาให้เต็มที่

ลงมือทำอย่างจริงจังย่อมดีกว่าพูดมากทำน้อยเสมอ

จริงไหมท่าน ผบ.ทบ. พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา และ เสนาธิการ กอ.รมน. พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก??
**********************************************
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
บางกอกทูเดย์

ก.ล.ต.ฟันยกก๊วนผู้บริหาร-จนท.โบรกเกอร์ดังทุจริตซื้อขายหุ้นลูกค้า600รายการ วงเงินกว่า3พันล้าน

ก.ล.ต.สั่งฟันผู้บริหาร-เจ้าหน้าที่บล.ยูบีเอสยกก๊วน 7ราย หลังพบพฤติกรรมทุจริตส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นลูกค้าสลับกระดานไปมาในกระดานหลักและกระดานต่างประเทศกว่า600รายการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ฟันส่วนต่างกำไรเข้ากระป๋า37ล้าน สั่งบริษัทฯทบทวนกลไกกำกับดูแลภายในก่อนจัดการต่อไป ส่วนลูกค้าอยู่ระหว่างชดเชยความเสียหาย

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษนายนำกฤติ จีรพุทธิรักษ์ อดีตเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (บล.ยูบีเอส) กรณีกระทำการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น พร้อมทั้งกล่าวโทษนายปวริศ ภัทร์วงศธร นางสาวมีนา กำแพงแก้ว นายภัทร ธำรงวิทย์ นางสาวชลาลัย สาลิวรรธนะ นางสาวดวงเดือน ลิ้มสุธาโภชน์ และนางสาวรสธร กิตติคุณธนสาร เนื่องจากให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการกระทำผิดของนายนำกฤติ

สืบเนื่องจาก ก.ล.ต. ได้รับแจ้งข้อสังเกตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับพฤติกรรมน่าสงสัยของบุคลากรรายหนึ่งของ บล.ยูบีเอส ซึ่งรับผิดชอบการซื้อขายหลักทรัพย์ตามคำสั่งของลูกค้าสถาบันของบริษัทดังกล่าว

จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2552 นายนำกฤติซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย International Equity Sales ของ บล.ยูบีเอส และรับผิดชอบการให้บริการนายหน้าซื้อขายให้แก่ลูกค้าสถาบันในประเทศและต่างประเทศ ได้กระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริต โดยอาศัยโอกาสจากการรู้ข้อมูลคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าสถาบัน นัดแนะกับพวกของตนให้เข้ามาจับคู่ซื้อขายกับลูกค้าของ บล.ยูบีเอส ในลักษณะเอาเปรียบและทำให้ลูกค้าเสียหาย โดยลูกค้า บล.ยูบีเอส ต้องซื้อหลักทรัพย์ในราคาแพงหรือขายหลักทรัพย์ได้ในราคาถูก ทั้งที่ในขณะนั้นในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผู้ให้ราคาเสนอขายหรือเสนอซื้อที่ดีกว่า แต่นายนำกฤติกับพวกกลับเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากราคาที่ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นเอง

กล่าวคือ ในกรณีที่ลูกค้า บล.ยูบีเอส ต้องการขายหลักทรัพย์ แทนที่นายนำกฤติจะนำหลักทรัพย์ของลูกค้าไปขายให้กับผู้ให้ราคาเสนอซื้อที่ดีที่สุด (เสนอซื้อแพงสุด) ในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะนั้น นายนำกฤติกลับนำหลักทรัพย์ดังกล่าวไปจับคู่ขายให้กับพวกของตนโดยวิธี put through บนกระดานรายใหญ่ (big lot board) หรือกระดานต่างประเทศ (foreign board) ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่มีเสนอซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะนั้น และเมื่อจับคู่ซื้อขายแล้ว พวกของนายนำกฤติก็เป็นฝ่ายนำหลักทรัพย์ไปขายทำกำไรในกระดานหลักเสียเอง หรือในทางกลับกัน หากลูกค้า บล.ยูบีเอส ต้องการซื้อหลักทรัพย์ แทนที่นายนำกฤติจะเข้าไปซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ จากผู้เสนอขายที่ให้ราคาที่ดีที่สุด (เสนอขายถูกสุด) นายนำกฤติจะให้พวกของตนไปซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาดังกล่าวในกระดานหลักแทน แล้วนำหลักทรัพย์นั้นมาจับคู่ขายให้กับลูกค้า บล.ยูบีเอส ในราคาที่สูงขึ้นโดยวิธี put through บนกระดานรายใหญ่ หรือกระดานต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้นายนำกฤติกับพวกจึงได้กำไรในทุกรายการที่เกี่ยวข้องกับการจับคู่ซื้อขายกับลูกค้า บล.ยูบีเอส โดยไม่มีความเสี่ยง

ก.ล.ต. ตรวจสอบพบพฤติกรรมข้างต้นของนายนำกฤติกับพวกรวมกว่า 600 รายการ ผ่านรายการซื้อขายที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และทำให้นายนำกฤติกับพวกได้รับกำไรเฉพาะจากส่วนต่างของราคาซื้อขายหลักทรัพย์ราว 37 ล้านบาท

ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษนายนำกฤติกับพวก คือ นายปวริศ ภัทร์วงศธร นางสาวมีนา กำแพงแก้ว นายภัทร ธำรงวิทย์ นางสาวชลาลัย สาลิวรรธนะ นางสาวดวงเดือน ลิ้มสุธาโภชน์ และนางสาวรสธร กิตติคุณธนสาร ซึ่งสมรู้ร่วมคิดหรือช่วยเหลือสนับสนุนกระทำการดังกล่าว อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 311 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ

และเนื่องจากนายนำกฤติ จีรพุทธิรักษ์ นางสาวชลาลัย สาลิวรรธนะ นางสาวดวงเดือน ลิ้มสุธาโภชน์ และนางสาวรสธร กิตติคุณธนสาร มีฐานะเป็นบุคคลที่ขึ้นทะเบียนเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนอยู่ด้วย จึงต้องห้ามมิให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นบุคลากรในตลาดทุนในระหว่างที่ถูกกล่าวโทษ โดย ก.ล.ต. ได้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนของบุคคลทั้งสี่รายข้างต้นแล้ว

สำหรับ บล. ยูบีเอส ในกรณีนี้ เนื่องจากระบบของบริษัทไม่พบข้อผิดปกติแม้ว่ารายการข้างต้นจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก.ล.ต. จึงได้สั่งให้บริษัททบทวนกลไกการกำกับดูแลภายในให้มีประสิทธิภาพและรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่ง ก.ล.ต. จะพิจารณาดำเนินการตามควรต่อไป ส่วนผู้ลงทุนสถาบันที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำโดยทุจริตของนายนำกฤติ มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ บล.ยูบีเอส รับผิดชอบในการชดเชยความเสียหายอย่างเป็นธรรมได้ ซึ่ง ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจาก บล.ยูบีเอสว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่ลูกค้า

"ธุรกิจหลักทรัพย์เป็นธุรกิจที่ดำรงอยู่ได้บนความไว้วางใจของผู้ใช้บริการ การที่บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน กระทำทุจริตต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง จึงเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้ เพราะการกระทำดังกล่าวมีผลมิใช่เพียงแค่ทำลายบ้านที่อาศัยของตนเองเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยรวมด้วย จึงเป็นหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่งที่จะต้องดูแลรักษาบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยอยู่เสมอ และต้องไม่ละเลยหรือเพิกเฉยต่อการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของตน เพื่อดำรงไว้ซึ่งมาตรฐานจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต" นายธีระชัยกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีก ก.ล.ต. ได้มีหนังสือเวียนกำชับบริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งให้เพิ่มความระมัดระวังและต้องมีระบบในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานที่รัดกุมเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

***************************************************************

ฮิวแมนไรท์เตือนรับมือปัญหาชายแดนไทย-พม่า

ฮิวแมนไรท์ เตือนรัฐบาลไทย เตรียมรับมือ 3ปัญหาชายแดนไทย-พม่า ระบุรัฐบาลพม่ารับมือศึกสองด้านตีขนาบทั้งประชาชน และกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อย

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ ประจำประเทศไทย กล่าวกับ "สำนักข่าวเนชั่น" เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเตรียมรับมือสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า ที่มีแนวโน้มจะระอุขึ้น หลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้นำมาสู่เสถียรภาพของประเทศพม่า แต่กลับตอกย้ำถึงความวุ่นวายภายในประเทศ

นอกจากประชาชนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ กลุ่มกองกำลังติดอาวุธต่างๆอาจจะผนึกกำลังกันเข้มแข็งขึ้นเมื่อรัฐบาลพม่ามีนโยบายที่จะเข้าปราบปรามพวกเขา

นายสุณัย ชี้ว่า เหตุรุนแรงในพม่าครั้งนี้มาจากสองปัจจัยคือการจัดการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ไม่ดึงทุกฝ่ายเข้าร่วมอย่างแท้จริง และนโยบายการกดดันชนกลุ่มน้อยอย่างหนักโดยหลีกเลี่ยงที่จะใช้กระบวนการแก้ปัญหาทางการเมือง หากรัฐบาลพม่ายังเดินหน้าที่จะกดดันชนกลุ่มน้อย รัฐบาลอาจจะต้องพบกับศึกสองด้านที่จะตีขนาบข้างคือทั้งประชาชนที่จะออกมาเคลื่อนไหวประท้วงผลการเลือกตั้ง ขณะที่ตามแนวชายแดนก็จะต้องทำศึกกับกองกำลังติดอาวุธต่างๆที่ไม่ยอมจำนนกับรัฐบาล

รัฐบาลไทยต้องเลิกมองโลกในแง่ดีว่าการเลือกตั้งจะทำให้พม่ามีความเป็นเอกภาพ โดยต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนที่มีแนวโน้มร้อนระอุขึ้นโดยเฉพาะใน 3 เรื่องคือ 1 .ความรุนแรงจากการปะทะกันตามแนวชายแดน 2 .ผู้อพยพนับแสนที่จะหนีภัยสงครามเข้ามาเมืองไทย และ 3 .ต้องทบทวนโครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่าเนื่องจากหลายโครงการเกิดขึ้นที่พื้นที่สู้รบ”ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์ว้อชท์ ประเทศไทย กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
****************************************

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผีตัวที่ ธปท.กลัวไม่มี มีแต่ผีที่ ธปท.ไม่เห็นและไม่กลัว

คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เท่าที่ฟังดูมาตลอด ตั้งแต่คบกับผู้หลักผู้ใหญ่ใน ธปท.ระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น ผจก.คนเก่าหรือคนใหม่ รวมถึงประธานคณะกรรมการ ธปท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธาน ธปท.ตั้งแต่สมัยท่านเป็น ผจก. ธปท. คือกลัวว่าจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อจากปริมาณเงินในระบบมากเกินไป กลัวว่าจะถูก "กองทุนอีแร้ง" โจมตีอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 ดังนั้นจุดมุ่งหมายของนโยบายดอกเบี้ยต้องมีไว้เพื่อจุดมุ่งหมายป้องกันเหตุร้ายอันจะเกิดจาก "เงินเฟ้อ" และการถูกโจมตีจากกองทุน "อีแร้ง"

ที่ว่า ธปท.ไม่เข้าใจสามัญลักษณะของเศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กอื่น ๆ มีลักษณะที่ไม่เหมือนในตำราเศรษฐศาสตร์ทั่ว ๆ ไปที่อ่านกันในห้องเรียน

เศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนานั้น มีลักษณะที่เรียกกันว่าเป็น "เศรษฐกิจเล็กและเปิด" หรือฝรั่งนิยม เรียกว่า "Small and Open Economy"

ที่ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่เล็ก ก็เพราะว่าเล็กเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของโลกกล่าวคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเรามีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก ต่างกับสหรัฐ ยุโรป จีน อินเดีย หรือรัสเซีย กิจกรรมหรือพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของไทยไม่กระทบกระเทือนเศรษฐกิจโลกหรือตลาดโลกในทุกเรื่อง แต่กิจกรรมของโลกกระเทือนเราทุกเรื่อง เราจึงเป็นผู้ตามตลาดโลก ไม่ใช่ผู้นำตลาดโลก เป็น market taker ไม่ใช่ market maker ไม่ว่าจะเป็นตลาดสินค้าหรือบริการ ตลาดทุนและตลาดเงิน หรือที่เรียกรวมกันว่า ตลาดการเงิน

ที่ว่าเป็นตลาดเปิดก็เพราะสินค้าและบริการ รวมทั้งตลาดการเงินของเราเปิดเชื่อมโยงกับตลาดโลกทั้งนั้น จะสกัดกั้น โดยการควบคุมก็ทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย เราต้องอาศัยเครื่องมือทั้งทางการเงินและการคลังเข้าแทรกแซงผ่านทางตลาดภายในประเทศ

ลองมาดูตลาดสินค้าและบริการ สินค้าของเราส่วนใหญ่ก็เชื่อมโยงกับตลาดโลกทั้งนั้น ไม่ว่าจะในฐานะเป็นสินค้าส่งออก หรือสินค้าที่นำเข้า หรือที่ตำราเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "tradable goods" เช่น น้ำมัน ถ่านหิน วัตถุดิบ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่นำมาผลิตสินค้าสำเร็จรูปเป็นสินค้านำเข้า ส่วนข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล สินค้าจากภาคอุตสาหกรรมส่งออก รถยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นทั้งสินค้าส่งออกและนำเข้า

สินค้าเหล่านี้ราคาภายในประเทศจะเท่ากับราคาส่งออกหรือนำเข้า ที่กำหนดในตลาดโลกเมื่อคูณกับอัตราแลกเปลี่ยน หรือพูดง่าย ๆ ว่า เมื่อแตกเป็นเงินบาทบวกกับภาษีขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้า ส่วนสินค้าส่งออกไม่มีภาษีขาออกและภาษีมูลค่าเพิ่ม

ถ้าราคาภายในประเทศแตกต่างไปจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เราผลิตเองหรือสินค้านำเข้า ก็จะมีพ่อค้ารายอื่นแย่งซื้อไปส่งออกทำกำไร หรือมีพ่อค้ารายอื่นแย่งกันนำเข้ามาขายเอากำไร ราคาภายในก็เลยเท่ากับราคาภายนอก

ไม่ว่าไทยเราจะมีความต้องการสินค้ามากหรือน้อยและบริการจะสูงจะต่ำ ก็จะไม่มีผลต่อราคาสินค้าประเภทนี้เพราะเราเป็นผู้ตามตลาด หรือ price taker แต่จะมีผลต่อภาพการส่งออกและนำเข้า

แต่อย่างไรก็ตาม มีสินค้าบางอย่างที่ เรานำเข้ามาก็ไม่ได้ ส่งออกก็ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ผักที่เน่าเสียง่าย หรือส่งออกนำเข้าได้เหมือนกัน แต่มีกำแพงธรรมชาติกั้นการ ส่งออกและนำเข้ากล่าวคือ "ค่าขนส่ง" เพราะเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อิฐ หิน ปูน ทราย ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง มุงหลังคา หรือขนส่งไปไกล ๆ ได้ยาก เช่น ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น สินค้าเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "nontradable goods"

สินค้าประเทศส่งออกนำเข้าไม่ได้ หรือได้ก็มีสัดส่วนของค่าขนส่งสูง ราคาสินค้าเหล่านี้อาจจะไม่ขึ้นอยู่กับตลาดโลก ถ้าความต้องการมีสูงขึ้น และกำลังการผลิตได้ใช้หมดแล้ว ราคาก็จะถีบตัวสูงขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำความต้องการมีน้อยราคาก็จะลดลง

สินค้าที่ว่านี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ "ภาคอสังหาริมทรัพย์" เราจึงมักจะเห็นได้เสมอว่า เวลาเศรษฐกิจร้อนแรงราคาอสังหาริมทรัพย์ก็จะทะยานสูงขึ้นก่อนใคร เวลาเศรษฐกิจซบเซาราคาก็จะตกก่อนใคร ไม่ค่อยเชื่อมโยงกับราคาตลาดโลกมากนัก แต่อสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้มีสัดส่วนมากนักถ้าเทียบกับเศรษฐกิจส่วนรวมทั้งหมด แต่อาจมีสัดส่วนในตลาดสินเชื่อมาก เวลาผันผวนจะกระทบธนาคารพาณิชย์มากกว่าภาคอื่น ๆ

อัตราเงินเฟ้อของเศรษฐกิจเล็กและ เปิดของเรา จึงขึ้นอยู่กับราคาสินค้านำเข้า เช่น น้ำมัน เหล็ก อะลูมิเนียม ข้าว ยางพารา และราคาสินค้าส่งออก เช่น อาหารสำเร็จรูป ข้าว ไก่ เนื้อ หมู ยางพารา และสินค้าส่งออกอื่น ๆ ในตลาดโลก เศรษฐกิจของเราอัตราเงินเฟ้อ เป็นผลจากราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับราคานำเข้าพลังงานและราคาอาหารตามฤดูกาล

ดังนั้น การขึ้นลงดอกเบี้ยของเราจึงไม่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อเลย จะมีก็ ส่วนน้อยเฉพาะราคาบ้านและที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเท่านั้น ซึ่งออกมาในรูป "ค่าเช่า" ซึ่งมีสัดส่วนไม่มากใน "ดัชนีผู้บริโภค"

การใช้สูตร "เป้าหมายเงินเฟ้อ" หรือ Inflation Targeting" โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการปรับเงินเฟ้อ จึงไม่ตรงกับลักษณะของเศรษฐกิจไทย เคยเสนอให้เลิกเสีย ธปท.ก็ไม่ฟัง ถ้าจะมีก็ควรเป็น เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน หรือ "Exchange Rate Targeting" ก็ไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ ธปท.ก็อธิบายไม่ได้

ผีตัวที่ ธปท.กลัวจึงไม่มี

ส่วนตลาดทุนและตลาดเงิน รวมทั้งตลาดเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกรวมกันว่า ตลาดการเงินของเราก็เป็นตลาดเล็กและเปิดเช่นเดียวกัน เราก็ไม่ควรใช้วิธีควบคุมเหมือนกันเพราะจะทำให้เกิด "ตลาดมืด" แต่อาจจะควบคุมไม่ให้ชาวต่างประเทศเปิดบัญชีเงินบาทในต่างประเทศได้ ถ้าจะเปิดก็มาเปิดในประเทศไทยเพราะควบคุมสถาบันการเงินในประเทศได้ ในต่างประเทศควบคุมไม่ได้ ดังเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลี หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเขาก็ส่งออกนำเข้าไม่ให้ทำในรูปเงินบาท ต้องทำในรูปของเงินตรา ต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น

เมื่อเป็นตลาดเล็กและเปิด กองทุนต่าง ๆ จึงสามารถเข้าออกมาปั่นตลาดของเราได้ง่ายเพราะใช้เงินไม่มาก เราจึงต้องเข้าแทรกแซงผ่านตลาดการเงินให้ได้ เช่น กำหนดเป้าหมายของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ทำให้ค่าเงินของเราสูงเกินกว่าธรรมชาติ ต่ำกว่าธรรมชาติไม่เป็นไร แต่อาจจะทำให้สิ่งของในประเทศเราแพงเกินไป

เมื่อกำหนดเป้าหมายไม่ให้แข็งเกินไป ถ้าเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาก็ต้องเอาเงินบาทรับซื้อไว้ในอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนด หรือที่เป็นเป้าหมาย

เมื่อนำเงินบาทออกมาซื้อเงินตราต่างประเทศเข้าเก็บเป็นทุนสำรองมากขึ้น ปริมาณเงินบาทหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น คนมีเงินมากขึ้น ความต้องการสิ่งของทั้งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะเพิ่มขึ้นเพราะนำเข้าอสังหาริมทรัพย์มาจากต่างประเทศเข้ามาขายแข่งไม่ได้ แต่สิ่งของอย่างอื่นราคาจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อมีความต้องการมากขึ้นก็นำเข้ามาขายมากขึ้น ราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะเลวลง ถ้าเราเกินดุลก็จะเกินดุลน้อยลง ถ้าขาดดุลอยู่ก็จะขาดดุลมากขึ้น ทุนสำรองก็เพิ่มขึ้นช้าลงหรือไม่ก็ลดลง ถ้าทุนสำรองมีมากเกิน ความจำเป็นอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ต้องการให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปก็ออกพันธบัตรมาซับเงินบางส่วนออกไปเสียโดยยอมจ่ายดอกเบี้ย

บทบาทของดอกเบี้ยก็อยู่ตรงที่ว่า ของเราสูงกว่าหรือต่ำกว่าดอกเบี้ยของคู่กรณี ถ้าเป็นดอลลาร์ก็อเมริกา ถ้าดอกเบี้ยของเราสูงกว่าดอกเบี้ยอเมริกา ถ้าส่วนต่างมี ไม่มากก็ไม่เป็นไร ถ้ามากเงินดอลลาร์ก็ยิ่งไหลเข้ามามาก ถ้าต่ำกว่าดอกเบี้ยอเมริกาเงินก็ไหลออก

เงินก็เหมือนน้ำ น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ ส่วนเงินไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ผลตอบแทนสูง กั้นอย่างไรก็ไม่อยู่ ถ้ากั้นไม่ดีก็เกิด "ตลาดมืด" ดังนั้นดอกเบี้ยจึงเหมือนประตูน้ำ แล้วแต่จะชักขึ้นหรือชักลง นายประตูน้ำอย่า "ด่าน้ำ" ว่าไหลออกหรือไหลเข้า ต้องด่าตัวเองว่าตั้งประตูน้ำอย่างไรกล่าวคือ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในประเทศไว้สูงต่ำอย่างไร

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตาม "กลไกตลาด" คือปล่อยน้ำให้ไหลไปมาตามยถากรรมก็เป็นสวรรค์ของนักเก็งกำไรที่จะเข้ามาปั่นตลาดขึ้นลงทำกำไร ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเราผันผวนไปมาเหมือนสายน้ำที่ไม่มี ประตูน้ำ เดี๋ยวน้ำท่วมบาทก็แข็ง พอน้ำแห้งบาทก็อ่อน

ผู้คนในระบบเศรษฐกิจวางแผนอะไร ไม่ได้เลย เศรษฐกิจก็พัง ผีนั้นมีแต่เป็นคนละตัวกับที่ ธปท.กลัว ผีที่ว่าก็คือกองทุนเก็งกำไร โดยหลอกให้เราปล่อยให้เป็นไปตาม "กลไกตลาด" หรือปล่อยไปตามยถากรรม ธปท.กลับไม่เห็นและไม่กลัว ผีตัวนี้แหละที่หลอกเรา ไม่ให้ดูแลพวกเรา แต่ดอดมากินตับพวกเราตลอดเวลา จนเราไม่เติบโต ผีดูดเลือดตัวนี้น่ากลัว

สมัยก่อนตอนเงินไหลออกจนเราจะแย่ ทุนสำรองก็ไม่มีเพราะเราไปต่อสู้กองทุนอีแร้งหมด กลับตั้งดอกเบี้ยไว้ต่ำกว่าดอกเบี้ยอเมริกา เพราะปู่อลัน กรีนสแปน แกขึ้นดอกเบี้ยเอ้าขึ้นดอกเบี้ยเอา ผม จึงตะโกนบอก ธปท.ให้ขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่ฟังจนต้องเปลี่ยน ผจก.จึงขึ้นดอกเบี้ยได้ เงินก็ค่อย ๆ หยุดไหลออกจนกลายมาเป็นไหลเข้า

จะเอาอย่างจีนเขาไม่ได้ เขาจะตั้งดอกเบี้ยไว้สูงอย่างไรก็ได้เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเขาผูกกับ "ตะกร้าเงิน" ที่ไม่บอกว่าในตะกร้านั้นมีอะไร 5 โมงเย็นทุกวัน เขาประกาศอัตราแลกเปลี่ยนแล้วก็รับซื้อหมดถ้ามาขายเขา และขายหมดถ้ามาซื้อเขา อัตราแลกเปลี่ยนของเขาจึงไม่เกี่ยวกับ ดอกเบี้ยที่เขาตั้ง เขาเห็นว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ของเขาชักจะร้อนแรงก็ขึ้นดอกเบี้ย แต่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่คงเดิม คนจีนก็ทำมาค้าขายได้

ผีตัวที่ ธปท.กลัวจึงไม่มี มีแต่ผีที่ ธปท.ไม่เห็นและไม่กลัว

มีธนาคารกลางแบบนี้พวกเราก็มีแต่ตายกับตาย ถ้าเจอ ดร.ไตรรงค์ซึ่งเป็นเกลอกันก็จะบอกท่านว่า

"ผวกน่ายผูดหมายรู้ควัง"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ ออนำไลน์
************************************************************

ความกล้าหาญของนักนิติศาสตร์ไทยในคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง

โดย เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"กฎหมายที่แท้จริง คือเหตุผลที่ถูกต้อง”  ซิเซโร

ธรรมดานั้นเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วย่อมเป็นที่สุด ไม่ว่าผู้แพ้หรือชนะย่อมเคารพในคำตัดสินและหลีกเลี่ยงที่จะวิจารณ์ แต่เมื่อศาลแขวงพระโขนงได้ตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา

ผู้เขียนเห็นว่า คำพิพากษานี้มีปัญหาอย่างยิ่ง สมควรที่จะหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์ให้กระจ่าง โดยเมื่อตั้งสมมติฐานไว้แล้วว่า การตัดสินนั้น ตุลาการได้ดำรงความเที่ยงธรรมเป็นกลาง ปราศจากอคติทั้งปวง สิ่งที่จะหยิบยกมาพิจารณาจึงเหลือแต่วิธีการให้เหตุผลดังนี้

๑.แบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง

เนื่องจากการเลือกตั้งวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ นั้น มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙ /๒๕๔๙ ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุว่าผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งนั้น ปฏิบัติหน้าที่ไม่เที่ยงธรรม สิ่งที่จำเลยฉีกไปจึงมิใช่บัตรเลือกตั้ง แต่เป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งแต่อย่างใด

ถ้าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วเกิดผลข้างต้นขึ้น การกระทำผิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็ไม่ควรจะผิดได้เลย เพราะเมื่อไม่ใช่การเลือกตั้งเสียแล้ว การซื้อเสียงครั้งนั้นจึงไม่ใช่การซื้อเสียง เป็นเพียงการแสดงท่าทางการซื้อเสียงเท่านั้น

จนถึงที่สุด ถ้าใช้ตรรกกะเช่นนี้ พรรคไทยรักไทยก็ไม่ควรถูกยุบ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและสิ้นผลไปแล้ว การจ้างพรรคเล็กลงสมัครจึงไม่เป็นความผิด

๒. สันติวิธีและการได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีทางนอกรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๖๕ ซึ่งให้สิทธิประชาชนชาวไทยที่จะ “ต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้” ได้ถูกนำมาอ้างเป็นฐานในการต่อสู้คดี และศาลชั้นต้นก็ได้ใช้สิทธิตามมาตราดังกล่าวมายกเว้นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไป

ในเหตุผลข้อนี้ต้องวิเคราะห์ในสองประเด็น คือ การต่อต้านโดยสันติวิธีและการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

๒.๑ การต่อต้านโดยสันติวิธี

คำถาม คือ สันติวิธีนั้นสามารถผิดกฎหมายได้หรือไม่

แน่นอนว่า การกระทำผิดกฎหมายที่ก่อความรำคาญหรือเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่นไม่ใช่สันติวิธี อาทิ การยิงลูกระเบิด การชุมนุมปิดสนามบิน หรือแม้กระทั่งการขับรถแท๊กซี่ชนรถถังของคณะรัฐประหาร

แน่นอนว่า การแสดงออกซึ่งความไม่เห็นด้วยโดยไม่ผิดกฎหมายและไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการกระทำโดยสันติวิธี เช่น การอดข้าวประท้วง การชูป้ายข้อความ

แล้วการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่สร้างความเสียหายแก่บุคคลใดโดยเฉพาะ นอกจากความสงบเรียบร้อยของรัฐและความมั่นคงในกฎหมาย เป็นการกระทำโดยสันติวิธีหรือไม่

ในความเห็นผู้เขียนแล้ว “สันติวิธี” ของรัฐธรรมนูญนั้น ต้องเป็นสันติที่คู่ไปกับความชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถตีความแยกออกจากกันได้ มิเช่นนั้นคงเป็นการตีความที่ให้ผลประหลาดและทำลายตัวของมันเอง

รัฐธรรมนูญคงมิได้มีเจตนารมณ์ จะให้คนทำผิดกฎหมายกระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงหลักนิติธรรมที่ประเทศประชาธิปไตยพึงมีแล้ว การกระทำไม่ว่าจะของรัฐหรือเอกชน ล้วนแต่ต้องชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น

๒.๒ การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙/๒๕๔๙ เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สุจริตเที่ยงธรรม และคำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรรมนูญที่ ๓-๕/๒๕๕๐ เห็นว่า การกระทำของพรรคไทยรักไทย เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ศาลสามารถอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิต่อต้านตามมาตรา ๖๕ ได้อย่างมั่นใจ

แต่กระนั้นก็ดี มีข้อโต้แย้งดังนี้

ประเด็นที่หนึ่ง ถ้าไม่มีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน การเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมไม่เสียไปตามกฎหมาย ถ้าเป็นเช่นนี้ ศาลจะตัดสินอย่างไร แสดงว่า จำเลยคดีนี้โชคดีใช่หรือไม่ ในขณะที่คนที่ฉีกบัตรในการเลือกตั้งครั้งอื่นไม่โชคดีเท่านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การฉีกบัตรก็ไม่ต่างจาการพนัน ว่า หลังจากฉีกแล้วจะมีคนนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือไม่

ประเด็นที่สอง การได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น ที่จริงต้องมีลักษณะเช่นใด

ประเด็นนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตีความเรื่องนี้เป็นอัตวิสัยสูง การทุจริตเลือกตั้ง ไม่ว่า จะด้วยเหตุเล็กน้อยเพียงใด รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๒๓๗ ล้วนถือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

ถ้ายึดตามการให้เหตุผลเช่นนี้ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้ามีคนฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อประท้วงการทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องมีในการเลือกตั้งทุกครั้งไป บุคคลผู้นั้นจะอ้างเหตุผลนี้ได้หรือไม่

นอกจากนี้ ศาลพึงสังวรด้วยว่า ลำพังการทุจริตการเลือกตั้งอาจจะมิใช่วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจุบันได้มีการถกเถียงกันอย่างมากเรื่องการแก้ไขมาตรา ๒๓๗ ให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการบัญญัติที่รุนแรงและไม่เป็นธรรมมากเกินไป

เพราะฉะนั้น การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้อาจควรจำกัดเฉพาะการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญเลย เช่น การรัฐประหาร ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดขึ้นจริงแล้วก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิประชาชนไปต่อต้านอยู่ดี มากกว่าการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในการเลือกตั้งครั้งไหนบ้างที่คนโกงจะถูกจับได้และจะมีคำพิพากษายุบพรรคการเมืองออกมาอีก

๓. ทรัพย์ที่ฉีกมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

คำถามประการเดียว ณ ที่นี้ คือ ศาลมีอำนาจพิจารณาด้วย หรือว่าถ้าทรัพย์มีราคาเล็กน้อยแล้วยกฟ้องได้ มีกฎหมายให้อำนาจศาลไว้ตรงนี้หรือไม่

ทั้งสามประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณานั้น มิใช่มุ่งหมายร้องให้นำตัวจำเลยกลับมาลงโทษ ซึ่งจำเลยเองก็พร้อมจะยอมรับโทษทัณฑ์อันพึงมีหากศาลตัดสิน และผู้เขียนก็นับถือในความเป็นคนจริงของท่านยิ่งนัก

แต่แท้จริงทั้งสามประเด็นนี้ล้วนมุ่งไปที่เหตุผลของศาลเองทั้งสิ้น เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลน่าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายคลาดเคลื่อน เหตุผลบางประการไม่สมเหตุสมผล หรือเหตุผลที่ให้นั้นขาดกฎหมายรองรับ

จริงอยู่ที่คำพิพากษานี้ เป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่คำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานในวงการนิติศาสตร์ไทย

แต่ไม่ว่าจะศาลชั้นไหนก็ไม่ควรมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ เพราะในสังคมไทย ไม่ใช่ทุกคดีจะขึ้นสู่ศาลฎีกา มิเช่นนั้น ความยุติธรรมจะเกิดได้อย่างไร

น่าเสียดายที่ด้วยระยะเวลาอันจำกัด ผู้เขียนจึงไม่อาจค้นหาคำพิพากษาฉบับเต็มได้ และไม่สามารถค้นหาได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หรือการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีคนฉีกบัตรแล้วโดนลงโทษไปมากน้อยเท่าใด

ในบางครั้งตุลาการอาจได้รับคำแนะนำจากสังคมให้คำนึงถึง “ความเหมาะสม” “หลักรัฐศาสตร์” หรือ “ความเป็นธรรมเฉพาะคดี” บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไร หลักก็คือหลัก หน้าที่คือหน้าที่ โดยเฉพาะในยามนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวายมิใช่เพราะทุกคนทิ้งหน้าที่ ทิ้งหลัก ปล่อยให้ตัวเองไปตามกระแสความรู้สึกอันเชี่ยวกรากมิใช่หรือ

เพราะฉะนั้น ตุลาการ ผู้ธำรงระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นเสาค้ำจุนรัฐไทยอยู่ จึงยิ่งสมควรมั่นคงในหลักการแห่งวิชาชีพและวิชาการของตนมากยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน ๆ ในประวัติศาสตร์

มิเช่นนั้น อาจจะถึงเวลาที่เราต้องหยุดเรียกร้องหา “ความกล้าหาญ” ของนักนิติศาสตร์ไทยเสีย เพราะเมื่อความกล้าหาญถูกสำแดง มันกลับทำลายความน่าเชื่อถือแห่งวงการนิติศาตร์ไทยเอง

คลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และภัยความมั่นคงของกลุ่มอำมาตย์



โดย บรรณาธิการ

คลิปวีดีโอใหม่ชื่อว่า “คำสารภาพคนโกงข้อสอบ” ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพฤติกรรมฉาวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกเผยแพร่ทางเวปไซต์ยูทูปเมื่อสองวันก่อน โดยเป็นการสนทนากันในห้องของชาย 3คน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขอร้องไม่ให้ชาย 2คน เปิดปากพูดความจริงว่าใครเป็นคนนำข้อสอบมาให้อ่านก่อนวันสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยคลิปก่อนหน้านี้ เป็นคลิปสนทนาของตุลาการ 2 ท่านคือ นายจรูญ สุพจน์ และนายพสิษฐ์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะปกปิดข่าวว่าตนเองขโมยข้อสอบศาลรัฐธรรมนูญไปให้พวกพ้องอ่านก่อนเข้าสอบอย่างไร

ไม่น่าแปลกใจที่วันต่อมาวิดีโอดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่รัฐไทยบล็อก โดยใช้อำนาจพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากวิดีโอดังกล่าว “เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ” โดยวิดีโอสองชุดก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมคดโกงและคอรัปชั่นของผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกบล็อกด้วยข้ออ้างเดียวกัน

ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องราวในวิดีโอดังกล่าวจากผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงคำแถลงของ   นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับมอบหมายจากคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้มาแถลง ถึงคลิปชุดที่สองว่า “การลักลอบแอบบันทึกในศาลเผยแพร่ต่อสาธารณชน สร้างความเสื่อมเสียให้ศาลมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง” ที่จริงแล้วบุคคลที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ระบบตุลาการคือเหล่าผู้พิพากษาที่ขโมยข้อสอบไปให้พวกพ้องมากกว่า และแทนที่รัฐบาลจะทำการสอบสวนเหล่าผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง กลับรัฐบาลพยายามลงโทษบุคคลที่พยายามเผยแพร่คลิปดังกล่าว

พฤติกรรมปกปิดอาชญากรรมของตนเอง ลงโทษบุคคลที่พยายามพูดความจริง และปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลของกลุ่มอำมาตย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในปี 2516, 2519, 2535 และล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้จองจำฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ และลิดรอนสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการแก้ต่างให้กับตัวเองอย่างเต็ม ซ้ำยังปกปิดข้อมูลข่าวสาร และปิดปากฝ่ายตรงข้ามด้วยการบิดเบือนใช้กฎหมายที่เข้มงวดและไม่มีความชอบธรรม

ผู้เผยแพร่คลิประบุว่า จากวันนี้จนไปถึงสิ้นปีจะมีการเผยแพร่คลิปชุดใหม่อีกหลายชุด และคาดว่ารัฐบาลคงจะตามบล็อกคลิปดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ ที่จริงแล้ว คลิปดังกล่าวเป็น “ภัยต่อความมั่นคงของกลุ่มอำมาตย์” มากกว่า เพราะประเทศคือประชาชน และคลิปดังกล่าวทำให้ประชาชนอีกหลายล้านคนตาสว่างและรับรู้ถึงพฤติกรรมคดโกงและฉ้อฉลของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องรักษาความยุติธรรม