--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฮิวแมนไรท์เตือนรับมือปัญหาชายแดนไทย-พม่า

ฮิวแมนไรท์ เตือนรัฐบาลไทย เตรียมรับมือ 3ปัญหาชายแดนไทย-พม่า ระบุรัฐบาลพม่ารับมือศึกสองด้านตีขนาบทั้งประชาชน และกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อย

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ ประจำประเทศไทย กล่าวกับ "สำนักข่าวเนชั่น" เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเตรียมรับมือสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า ที่มีแนวโน้มจะระอุขึ้น หลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้นำมาสู่เสถียรภาพของประเทศพม่า แต่กลับตอกย้ำถึงความวุ่นวายภายในประเทศ

นอกจากประชาชนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ กลุ่มกองกำลังติดอาวุธต่างๆอาจจะผนึกกำลังกันเข้มแข็งขึ้นเมื่อรัฐบาลพม่ามีนโยบายที่จะเข้าปราบปรามพวกเขา

นายสุณัย ชี้ว่า เหตุรุนแรงในพม่าครั้งนี้มาจากสองปัจจัยคือการจัดการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ไม่ดึงทุกฝ่ายเข้าร่วมอย่างแท้จริง และนโยบายการกดดันชนกลุ่มน้อยอย่างหนักโดยหลีกเลี่ยงที่จะใช้กระบวนการแก้ปัญหาทางการเมือง หากรัฐบาลพม่ายังเดินหน้าที่จะกดดันชนกลุ่มน้อย รัฐบาลอาจจะต้องพบกับศึกสองด้านที่จะตีขนาบข้างคือทั้งประชาชนที่จะออกมาเคลื่อนไหวประท้วงผลการเลือกตั้ง ขณะที่ตามแนวชายแดนก็จะต้องทำศึกกับกองกำลังติดอาวุธต่างๆที่ไม่ยอมจำนนกับรัฐบาล

รัฐบาลไทยต้องเลิกมองโลกในแง่ดีว่าการเลือกตั้งจะทำให้พม่ามีความเป็นเอกภาพ โดยต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนที่มีแนวโน้มร้อนระอุขึ้นโดยเฉพาะใน 3 เรื่องคือ 1 .ความรุนแรงจากการปะทะกันตามแนวชายแดน 2 .ผู้อพยพนับแสนที่จะหนีภัยสงครามเข้ามาเมืองไทย และ 3 .ต้องทบทวนโครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่าเนื่องจากหลายโครงการเกิดขึ้นที่พื้นที่สู้รบ”ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์ว้อชท์ ประเทศไทย กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
****************************************

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผีตัวที่ ธปท.กลัวไม่มี มีแต่ผีที่ ธปท.ไม่เห็นและไม่กลัว

คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เท่าที่ฟังดูมาตลอด ตั้งแต่คบกับผู้หลักผู้ใหญ่ใน ธปท.ระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น ผจก.คนเก่าหรือคนใหม่ รวมถึงประธานคณะกรรมการ ธปท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธาน ธปท.ตั้งแต่สมัยท่านเป็น ผจก. ธปท. คือกลัวว่าจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อจากปริมาณเงินในระบบมากเกินไป กลัวว่าจะถูก "กองทุนอีแร้ง" โจมตีอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 ดังนั้นจุดมุ่งหมายของนโยบายดอกเบี้ยต้องมีไว้เพื่อจุดมุ่งหมายป้องกันเหตุร้ายอันจะเกิดจาก "เงินเฟ้อ" และการถูกโจมตีจากกองทุน "อีแร้ง"

ที่ว่า ธปท.ไม่เข้าใจสามัญลักษณะของเศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กอื่น ๆ มีลักษณะที่ไม่เหมือนในตำราเศรษฐศาสตร์ทั่ว ๆ ไปที่อ่านกันในห้องเรียน

เศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนานั้น มีลักษณะที่เรียกกันว่าเป็น "เศรษฐกิจเล็กและเปิด" หรือฝรั่งนิยม เรียกว่า "Small and Open Economy"

ที่ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่เล็ก ก็เพราะว่าเล็กเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของโลกกล่าวคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเรามีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก ต่างกับสหรัฐ ยุโรป จีน อินเดีย หรือรัสเซีย กิจกรรมหรือพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของไทยไม่กระทบกระเทือนเศรษฐกิจโลกหรือตลาดโลกในทุกเรื่อง แต่กิจกรรมของโลกกระเทือนเราทุกเรื่อง เราจึงเป็นผู้ตามตลาดโลก ไม่ใช่ผู้นำตลาดโลก เป็น market taker ไม่ใช่ market maker ไม่ว่าจะเป็นตลาดสินค้าหรือบริการ ตลาดทุนและตลาดเงิน หรือที่เรียกรวมกันว่า ตลาดการเงิน

ที่ว่าเป็นตลาดเปิดก็เพราะสินค้าและบริการ รวมทั้งตลาดการเงินของเราเปิดเชื่อมโยงกับตลาดโลกทั้งนั้น จะสกัดกั้น โดยการควบคุมก็ทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย เราต้องอาศัยเครื่องมือทั้งทางการเงินและการคลังเข้าแทรกแซงผ่านทางตลาดภายในประเทศ

ลองมาดูตลาดสินค้าและบริการ สินค้าของเราส่วนใหญ่ก็เชื่อมโยงกับตลาดโลกทั้งนั้น ไม่ว่าจะในฐานะเป็นสินค้าส่งออก หรือสินค้าที่นำเข้า หรือที่ตำราเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "tradable goods" เช่น น้ำมัน ถ่านหิน วัตถุดิบ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่นำมาผลิตสินค้าสำเร็จรูปเป็นสินค้านำเข้า ส่วนข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล สินค้าจากภาคอุตสาหกรรมส่งออก รถยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นทั้งสินค้าส่งออกและนำเข้า

สินค้าเหล่านี้ราคาภายในประเทศจะเท่ากับราคาส่งออกหรือนำเข้า ที่กำหนดในตลาดโลกเมื่อคูณกับอัตราแลกเปลี่ยน หรือพูดง่าย ๆ ว่า เมื่อแตกเป็นเงินบาทบวกกับภาษีขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้า ส่วนสินค้าส่งออกไม่มีภาษีขาออกและภาษีมูลค่าเพิ่ม

ถ้าราคาภายในประเทศแตกต่างไปจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เราผลิตเองหรือสินค้านำเข้า ก็จะมีพ่อค้ารายอื่นแย่งซื้อไปส่งออกทำกำไร หรือมีพ่อค้ารายอื่นแย่งกันนำเข้ามาขายเอากำไร ราคาภายในก็เลยเท่ากับราคาภายนอก

ไม่ว่าไทยเราจะมีความต้องการสินค้ามากหรือน้อยและบริการจะสูงจะต่ำ ก็จะไม่มีผลต่อราคาสินค้าประเภทนี้เพราะเราเป็นผู้ตามตลาด หรือ price taker แต่จะมีผลต่อภาพการส่งออกและนำเข้า

แต่อย่างไรก็ตาม มีสินค้าบางอย่างที่ เรานำเข้ามาก็ไม่ได้ ส่งออกก็ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ผักที่เน่าเสียง่าย หรือส่งออกนำเข้าได้เหมือนกัน แต่มีกำแพงธรรมชาติกั้นการ ส่งออกและนำเข้ากล่าวคือ "ค่าขนส่ง" เพราะเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อิฐ หิน ปูน ทราย ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง มุงหลังคา หรือขนส่งไปไกล ๆ ได้ยาก เช่น ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น สินค้าเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "nontradable goods"

สินค้าประเทศส่งออกนำเข้าไม่ได้ หรือได้ก็มีสัดส่วนของค่าขนส่งสูง ราคาสินค้าเหล่านี้อาจจะไม่ขึ้นอยู่กับตลาดโลก ถ้าความต้องการมีสูงขึ้น และกำลังการผลิตได้ใช้หมดแล้ว ราคาก็จะถีบตัวสูงขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำความต้องการมีน้อยราคาก็จะลดลง

สินค้าที่ว่านี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ "ภาคอสังหาริมทรัพย์" เราจึงมักจะเห็นได้เสมอว่า เวลาเศรษฐกิจร้อนแรงราคาอสังหาริมทรัพย์ก็จะทะยานสูงขึ้นก่อนใคร เวลาเศรษฐกิจซบเซาราคาก็จะตกก่อนใคร ไม่ค่อยเชื่อมโยงกับราคาตลาดโลกมากนัก แต่อสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้มีสัดส่วนมากนักถ้าเทียบกับเศรษฐกิจส่วนรวมทั้งหมด แต่อาจมีสัดส่วนในตลาดสินเชื่อมาก เวลาผันผวนจะกระทบธนาคารพาณิชย์มากกว่าภาคอื่น ๆ

อัตราเงินเฟ้อของเศรษฐกิจเล็กและ เปิดของเรา จึงขึ้นอยู่กับราคาสินค้านำเข้า เช่น น้ำมัน เหล็ก อะลูมิเนียม ข้าว ยางพารา และราคาสินค้าส่งออก เช่น อาหารสำเร็จรูป ข้าว ไก่ เนื้อ หมู ยางพารา และสินค้าส่งออกอื่น ๆ ในตลาดโลก เศรษฐกิจของเราอัตราเงินเฟ้อ เป็นผลจากราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับราคานำเข้าพลังงานและราคาอาหารตามฤดูกาล

ดังนั้น การขึ้นลงดอกเบี้ยของเราจึงไม่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อเลย จะมีก็ ส่วนน้อยเฉพาะราคาบ้านและที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเท่านั้น ซึ่งออกมาในรูป "ค่าเช่า" ซึ่งมีสัดส่วนไม่มากใน "ดัชนีผู้บริโภค"

การใช้สูตร "เป้าหมายเงินเฟ้อ" หรือ Inflation Targeting" โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการปรับเงินเฟ้อ จึงไม่ตรงกับลักษณะของเศรษฐกิจไทย เคยเสนอให้เลิกเสีย ธปท.ก็ไม่ฟัง ถ้าจะมีก็ควรเป็น เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน หรือ "Exchange Rate Targeting" ก็ไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ ธปท.ก็อธิบายไม่ได้

ผีตัวที่ ธปท.กลัวจึงไม่มี

ส่วนตลาดทุนและตลาดเงิน รวมทั้งตลาดเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกรวมกันว่า ตลาดการเงินของเราก็เป็นตลาดเล็กและเปิดเช่นเดียวกัน เราก็ไม่ควรใช้วิธีควบคุมเหมือนกันเพราะจะทำให้เกิด "ตลาดมืด" แต่อาจจะควบคุมไม่ให้ชาวต่างประเทศเปิดบัญชีเงินบาทในต่างประเทศได้ ถ้าจะเปิดก็มาเปิดในประเทศไทยเพราะควบคุมสถาบันการเงินในประเทศได้ ในต่างประเทศควบคุมไม่ได้ ดังเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลี หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเขาก็ส่งออกนำเข้าไม่ให้ทำในรูปเงินบาท ต้องทำในรูปของเงินตรา ต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น

เมื่อเป็นตลาดเล็กและเปิด กองทุนต่าง ๆ จึงสามารถเข้าออกมาปั่นตลาดของเราได้ง่ายเพราะใช้เงินไม่มาก เราจึงต้องเข้าแทรกแซงผ่านตลาดการเงินให้ได้ เช่น กำหนดเป้าหมายของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ทำให้ค่าเงินของเราสูงเกินกว่าธรรมชาติ ต่ำกว่าธรรมชาติไม่เป็นไร แต่อาจจะทำให้สิ่งของในประเทศเราแพงเกินไป

เมื่อกำหนดเป้าหมายไม่ให้แข็งเกินไป ถ้าเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาก็ต้องเอาเงินบาทรับซื้อไว้ในอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนด หรือที่เป็นเป้าหมาย

เมื่อนำเงินบาทออกมาซื้อเงินตราต่างประเทศเข้าเก็บเป็นทุนสำรองมากขึ้น ปริมาณเงินบาทหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น คนมีเงินมากขึ้น ความต้องการสิ่งของทั้งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะเพิ่มขึ้นเพราะนำเข้าอสังหาริมทรัพย์มาจากต่างประเทศเข้ามาขายแข่งไม่ได้ แต่สิ่งของอย่างอื่นราคาจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อมีความต้องการมากขึ้นก็นำเข้ามาขายมากขึ้น ราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะเลวลง ถ้าเราเกินดุลก็จะเกินดุลน้อยลง ถ้าขาดดุลอยู่ก็จะขาดดุลมากขึ้น ทุนสำรองก็เพิ่มขึ้นช้าลงหรือไม่ก็ลดลง ถ้าทุนสำรองมีมากเกิน ความจำเป็นอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ต้องการให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปก็ออกพันธบัตรมาซับเงินบางส่วนออกไปเสียโดยยอมจ่ายดอกเบี้ย

บทบาทของดอกเบี้ยก็อยู่ตรงที่ว่า ของเราสูงกว่าหรือต่ำกว่าดอกเบี้ยของคู่กรณี ถ้าเป็นดอลลาร์ก็อเมริกา ถ้าดอกเบี้ยของเราสูงกว่าดอกเบี้ยอเมริกา ถ้าส่วนต่างมี ไม่มากก็ไม่เป็นไร ถ้ามากเงินดอลลาร์ก็ยิ่งไหลเข้ามามาก ถ้าต่ำกว่าดอกเบี้ยอเมริกาเงินก็ไหลออก

เงินก็เหมือนน้ำ น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ ส่วนเงินไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ผลตอบแทนสูง กั้นอย่างไรก็ไม่อยู่ ถ้ากั้นไม่ดีก็เกิด "ตลาดมืด" ดังนั้นดอกเบี้ยจึงเหมือนประตูน้ำ แล้วแต่จะชักขึ้นหรือชักลง นายประตูน้ำอย่า "ด่าน้ำ" ว่าไหลออกหรือไหลเข้า ต้องด่าตัวเองว่าตั้งประตูน้ำอย่างไรกล่าวคือ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในประเทศไว้สูงต่ำอย่างไร

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตาม "กลไกตลาด" คือปล่อยน้ำให้ไหลไปมาตามยถากรรมก็เป็นสวรรค์ของนักเก็งกำไรที่จะเข้ามาปั่นตลาดขึ้นลงทำกำไร ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเราผันผวนไปมาเหมือนสายน้ำที่ไม่มี ประตูน้ำ เดี๋ยวน้ำท่วมบาทก็แข็ง พอน้ำแห้งบาทก็อ่อน

ผู้คนในระบบเศรษฐกิจวางแผนอะไร ไม่ได้เลย เศรษฐกิจก็พัง ผีนั้นมีแต่เป็นคนละตัวกับที่ ธปท.กลัว ผีที่ว่าก็คือกองทุนเก็งกำไร โดยหลอกให้เราปล่อยให้เป็นไปตาม "กลไกตลาด" หรือปล่อยไปตามยถากรรม ธปท.กลับไม่เห็นและไม่กลัว ผีตัวนี้แหละที่หลอกเรา ไม่ให้ดูแลพวกเรา แต่ดอดมากินตับพวกเราตลอดเวลา จนเราไม่เติบโต ผีดูดเลือดตัวนี้น่ากลัว

สมัยก่อนตอนเงินไหลออกจนเราจะแย่ ทุนสำรองก็ไม่มีเพราะเราไปต่อสู้กองทุนอีแร้งหมด กลับตั้งดอกเบี้ยไว้ต่ำกว่าดอกเบี้ยอเมริกา เพราะปู่อลัน กรีนสแปน แกขึ้นดอกเบี้ยเอ้าขึ้นดอกเบี้ยเอา ผม จึงตะโกนบอก ธปท.ให้ขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่ฟังจนต้องเปลี่ยน ผจก.จึงขึ้นดอกเบี้ยได้ เงินก็ค่อย ๆ หยุดไหลออกจนกลายมาเป็นไหลเข้า

จะเอาอย่างจีนเขาไม่ได้ เขาจะตั้งดอกเบี้ยไว้สูงอย่างไรก็ได้เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเขาผูกกับ "ตะกร้าเงิน" ที่ไม่บอกว่าในตะกร้านั้นมีอะไร 5 โมงเย็นทุกวัน เขาประกาศอัตราแลกเปลี่ยนแล้วก็รับซื้อหมดถ้ามาขายเขา และขายหมดถ้ามาซื้อเขา อัตราแลกเปลี่ยนของเขาจึงไม่เกี่ยวกับ ดอกเบี้ยที่เขาตั้ง เขาเห็นว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ของเขาชักจะร้อนแรงก็ขึ้นดอกเบี้ย แต่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่คงเดิม คนจีนก็ทำมาค้าขายได้

ผีตัวที่ ธปท.กลัวจึงไม่มี มีแต่ผีที่ ธปท.ไม่เห็นและไม่กลัว

มีธนาคารกลางแบบนี้พวกเราก็มีแต่ตายกับตาย ถ้าเจอ ดร.ไตรรงค์ซึ่งเป็นเกลอกันก็จะบอกท่านว่า

"ผวกน่ายผูดหมายรู้ควัง"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ ออนำไลน์
************************************************************

ความกล้าหาญของนักนิติศาสตร์ไทยในคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง

โดย เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


"กฎหมายที่แท้จริง คือเหตุผลที่ถูกต้อง”  ซิเซโร

ธรรมดานั้นเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วย่อมเป็นที่สุด ไม่ว่าผู้แพ้หรือชนะย่อมเคารพในคำตัดสินและหลีกเลี่ยงที่จะวิจารณ์ แต่เมื่อศาลแขวงพระโขนงได้ตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา

ผู้เขียนเห็นว่า คำพิพากษานี้มีปัญหาอย่างยิ่ง สมควรที่จะหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์ให้กระจ่าง โดยเมื่อตั้งสมมติฐานไว้แล้วว่า การตัดสินนั้น ตุลาการได้ดำรงความเที่ยงธรรมเป็นกลาง ปราศจากอคติทั้งปวง สิ่งที่จะหยิบยกมาพิจารณาจึงเหลือแต่วิธีการให้เหตุผลดังนี้

๑.แบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง

เนื่องจากการเลือกตั้งวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ นั้น มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙ /๒๕๔๙ ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุว่าผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งนั้น ปฏิบัติหน้าที่ไม่เที่ยงธรรม สิ่งที่จำเลยฉีกไปจึงมิใช่บัตรเลือกตั้ง แต่เป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งแต่อย่างใด

ถ้าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วเกิดผลข้างต้นขึ้น การกระทำผิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็ไม่ควรจะผิดได้เลย เพราะเมื่อไม่ใช่การเลือกตั้งเสียแล้ว การซื้อเสียงครั้งนั้นจึงไม่ใช่การซื้อเสียง เป็นเพียงการแสดงท่าทางการซื้อเสียงเท่านั้น

จนถึงที่สุด ถ้าใช้ตรรกกะเช่นนี้ พรรคไทยรักไทยก็ไม่ควรถูกยุบ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและสิ้นผลไปแล้ว การจ้างพรรคเล็กลงสมัครจึงไม่เป็นความผิด

๒. สันติวิธีและการได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีทางนอกรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๖๕ ซึ่งให้สิทธิประชาชนชาวไทยที่จะ “ต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้” ได้ถูกนำมาอ้างเป็นฐานในการต่อสู้คดี และศาลชั้นต้นก็ได้ใช้สิทธิตามมาตราดังกล่าวมายกเว้นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไป

ในเหตุผลข้อนี้ต้องวิเคราะห์ในสองประเด็น คือ การต่อต้านโดยสันติวิธีและการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

๒.๑ การต่อต้านโดยสันติวิธี

คำถาม คือ สันติวิธีนั้นสามารถผิดกฎหมายได้หรือไม่

แน่นอนว่า การกระทำผิดกฎหมายที่ก่อความรำคาญหรือเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่นไม่ใช่สันติวิธี อาทิ การยิงลูกระเบิด การชุมนุมปิดสนามบิน หรือแม้กระทั่งการขับรถแท๊กซี่ชนรถถังของคณะรัฐประหาร

แน่นอนว่า การแสดงออกซึ่งความไม่เห็นด้วยโดยไม่ผิดกฎหมายและไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการกระทำโดยสันติวิธี เช่น การอดข้าวประท้วง การชูป้ายข้อความ

แล้วการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่สร้างความเสียหายแก่บุคคลใดโดยเฉพาะ นอกจากความสงบเรียบร้อยของรัฐและความมั่นคงในกฎหมาย เป็นการกระทำโดยสันติวิธีหรือไม่

ในความเห็นผู้เขียนแล้ว “สันติวิธี” ของรัฐธรรมนูญนั้น ต้องเป็นสันติที่คู่ไปกับความชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถตีความแยกออกจากกันได้ มิเช่นนั้นคงเป็นการตีความที่ให้ผลประหลาดและทำลายตัวของมันเอง

รัฐธรรมนูญคงมิได้มีเจตนารมณ์ จะให้คนทำผิดกฎหมายกระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงหลักนิติธรรมที่ประเทศประชาธิปไตยพึงมีแล้ว การกระทำไม่ว่าจะของรัฐหรือเอกชน ล้วนแต่ต้องชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น

๒.๒ การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙/๒๕๔๙ เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สุจริตเที่ยงธรรม และคำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรรมนูญที่ ๓-๕/๒๕๕๐ เห็นว่า การกระทำของพรรคไทยรักไทย เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ศาลสามารถอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิต่อต้านตามมาตรา ๖๕ ได้อย่างมั่นใจ

แต่กระนั้นก็ดี มีข้อโต้แย้งดังนี้

ประเด็นที่หนึ่ง ถ้าไม่มีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน การเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมไม่เสียไปตามกฎหมาย ถ้าเป็นเช่นนี้ ศาลจะตัดสินอย่างไร แสดงว่า จำเลยคดีนี้โชคดีใช่หรือไม่ ในขณะที่คนที่ฉีกบัตรในการเลือกตั้งครั้งอื่นไม่โชคดีเท่านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การฉีกบัตรก็ไม่ต่างจาการพนัน ว่า หลังจากฉีกแล้วจะมีคนนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือไม่

ประเด็นที่สอง การได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น ที่จริงต้องมีลักษณะเช่นใด

ประเด็นนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตีความเรื่องนี้เป็นอัตวิสัยสูง การทุจริตเลือกตั้ง ไม่ว่า จะด้วยเหตุเล็กน้อยเพียงใด รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๒๓๗ ล้วนถือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

ถ้ายึดตามการให้เหตุผลเช่นนี้ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้ามีคนฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อประท้วงการทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องมีในการเลือกตั้งทุกครั้งไป บุคคลผู้นั้นจะอ้างเหตุผลนี้ได้หรือไม่

นอกจากนี้ ศาลพึงสังวรด้วยว่า ลำพังการทุจริตการเลือกตั้งอาจจะมิใช่วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจุบันได้มีการถกเถียงกันอย่างมากเรื่องการแก้ไขมาตรา ๒๓๗ ให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการบัญญัติที่รุนแรงและไม่เป็นธรรมมากเกินไป

เพราะฉะนั้น การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้อาจควรจำกัดเฉพาะการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญเลย เช่น การรัฐประหาร ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดขึ้นจริงแล้วก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิประชาชนไปต่อต้านอยู่ดี มากกว่าการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในการเลือกตั้งครั้งไหนบ้างที่คนโกงจะถูกจับได้และจะมีคำพิพากษายุบพรรคการเมืองออกมาอีก

๓. ทรัพย์ที่ฉีกมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

คำถามประการเดียว ณ ที่นี้ คือ ศาลมีอำนาจพิจารณาด้วย หรือว่าถ้าทรัพย์มีราคาเล็กน้อยแล้วยกฟ้องได้ มีกฎหมายให้อำนาจศาลไว้ตรงนี้หรือไม่

ทั้งสามประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณานั้น มิใช่มุ่งหมายร้องให้นำตัวจำเลยกลับมาลงโทษ ซึ่งจำเลยเองก็พร้อมจะยอมรับโทษทัณฑ์อันพึงมีหากศาลตัดสิน และผู้เขียนก็นับถือในความเป็นคนจริงของท่านยิ่งนัก

แต่แท้จริงทั้งสามประเด็นนี้ล้วนมุ่งไปที่เหตุผลของศาลเองทั้งสิ้น เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลน่าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายคลาดเคลื่อน เหตุผลบางประการไม่สมเหตุสมผล หรือเหตุผลที่ให้นั้นขาดกฎหมายรองรับ

จริงอยู่ที่คำพิพากษานี้ เป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่คำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานในวงการนิติศาสตร์ไทย

แต่ไม่ว่าจะศาลชั้นไหนก็ไม่ควรมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ เพราะในสังคมไทย ไม่ใช่ทุกคดีจะขึ้นสู่ศาลฎีกา มิเช่นนั้น ความยุติธรรมจะเกิดได้อย่างไร

น่าเสียดายที่ด้วยระยะเวลาอันจำกัด ผู้เขียนจึงไม่อาจค้นหาคำพิพากษาฉบับเต็มได้ และไม่สามารถค้นหาได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หรือการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีคนฉีกบัตรแล้วโดนลงโทษไปมากน้อยเท่าใด

ในบางครั้งตุลาการอาจได้รับคำแนะนำจากสังคมให้คำนึงถึง “ความเหมาะสม” “หลักรัฐศาสตร์” หรือ “ความเป็นธรรมเฉพาะคดี” บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไร หลักก็คือหลัก หน้าที่คือหน้าที่ โดยเฉพาะในยามนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวายมิใช่เพราะทุกคนทิ้งหน้าที่ ทิ้งหลัก ปล่อยให้ตัวเองไปตามกระแสความรู้สึกอันเชี่ยวกรากมิใช่หรือ

เพราะฉะนั้น ตุลาการ ผู้ธำรงระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นเสาค้ำจุนรัฐไทยอยู่ จึงยิ่งสมควรมั่นคงในหลักการแห่งวิชาชีพและวิชาการของตนมากยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน ๆ ในประวัติศาสตร์

มิเช่นนั้น อาจจะถึงเวลาที่เราต้องหยุดเรียกร้องหา “ความกล้าหาญ” ของนักนิติศาสตร์ไทยเสีย เพราะเมื่อความกล้าหาญถูกสำแดง มันกลับทำลายความน่าเชื่อถือแห่งวงการนิติศาตร์ไทยเอง

คลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และภัยความมั่นคงของกลุ่มอำมาตย์



โดย บรรณาธิการ

คลิปวีดีโอใหม่ชื่อว่า “คำสารภาพคนโกงข้อสอบ” ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพฤติกรรมฉาวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกเผยแพร่ทางเวปไซต์ยูทูปเมื่อสองวันก่อน โดยเป็นการสนทนากันในห้องของชาย 3คน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขอร้องไม่ให้ชาย 2คน เปิดปากพูดความจริงว่าใครเป็นคนนำข้อสอบมาให้อ่านก่อนวันสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยคลิปก่อนหน้านี้ เป็นคลิปสนทนาของตุลาการ 2 ท่านคือ นายจรูญ สุพจน์ และนายพสิษฐ์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะปกปิดข่าวว่าตนเองขโมยข้อสอบศาลรัฐธรรมนูญไปให้พวกพ้องอ่านก่อนเข้าสอบอย่างไร

ไม่น่าแปลกใจที่วันต่อมาวิดีโอดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่รัฐไทยบล็อก โดยใช้อำนาจพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากวิดีโอดังกล่าว “เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ” โดยวิดีโอสองชุดก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมคดโกงและคอรัปชั่นของผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกบล็อกด้วยข้ออ้างเดียวกัน

ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องราวในวิดีโอดังกล่าวจากผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงคำแถลงของ   นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับมอบหมายจากคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้มาแถลง ถึงคลิปชุดที่สองว่า “การลักลอบแอบบันทึกในศาลเผยแพร่ต่อสาธารณชน สร้างความเสื่อมเสียให้ศาลมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง” ที่จริงแล้วบุคคลที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ระบบตุลาการคือเหล่าผู้พิพากษาที่ขโมยข้อสอบไปให้พวกพ้องมากกว่า และแทนที่รัฐบาลจะทำการสอบสวนเหล่าผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง กลับรัฐบาลพยายามลงโทษบุคคลที่พยายามเผยแพร่คลิปดังกล่าว

พฤติกรรมปกปิดอาชญากรรมของตนเอง ลงโทษบุคคลที่พยายามพูดความจริง และปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลของกลุ่มอำมาตย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในปี 2516, 2519, 2535 และล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้จองจำฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ และลิดรอนสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการแก้ต่างให้กับตัวเองอย่างเต็ม ซ้ำยังปกปิดข้อมูลข่าวสาร และปิดปากฝ่ายตรงข้ามด้วยการบิดเบือนใช้กฎหมายที่เข้มงวดและไม่มีความชอบธรรม

ผู้เผยแพร่คลิประบุว่า จากวันนี้จนไปถึงสิ้นปีจะมีการเผยแพร่คลิปชุดใหม่อีกหลายชุด และคาดว่ารัฐบาลคงจะตามบล็อกคลิปดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ ที่จริงแล้ว คลิปดังกล่าวเป็น “ภัยต่อความมั่นคงของกลุ่มอำมาตย์” มากกว่า เพราะประเทศคือประชาชน และคลิปดังกล่าวทำให้ประชาชนอีกหลายล้านคนตาสว่างและรับรู้ถึงพฤติกรรมคดโกงและฉ้อฉลของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องรักษาความยุติธรรม

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

“ขิง” ยิ่งแก่ยิ่ง “เผ็ด”!!

เมื่อ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มอบดาบอำนาจ ให้ “ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เข้ามาดูแล..เรื่องทุกอย่าง ก็โปร่งใสขาวสะอาด เบ็ดเสร็จ

ประมูลสต๊อกมันเส้น ๒.๕ แสนตัน, และ ประมูลสต๊อกข้าว ๑.๕ ล้านตัน ที่เหม็นโฉ่ งามไส้ไปทั้งกระทรวงพาณิชย์.. “รองนายกฯไตรรงค์” ล้างคราบไคล ไม่เหลือกลิ่นเหม็น

“ท่านไตรรงค์” เลิกสัญญา ล้มประมูลข้าว แบบคนทำงานเป็น

เพราะบริษัทที่ประมูลได้นั้น..ทำผิดสัญญาเต็มเปา ระบายขายข้าวใน ๑๕๐ วันไม่ได้ จึงต้องยกเลิก...ส่วนข้าวนั้น เมื่อนำมาขายในระบบ “จีทูจี” รัฐต่อรัฐ และ “ประมูลขาย”บางส่วน ก็ได้เงินเข้าประเทศ มากมายมหาศาล เสร็จสรรพ!!

ทำเรื่องทุกอย่างออกมาดี...โดยรายงานนายกรัฐมนตรี..แบบทันที ทันใด ด้วยสิครับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำงานหลายกระทรวง.. “งานหลวง” ผ่านมาโชกโชน!!

“ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ จึงเก่ง ด้านใช้ทรัพยากรบุคคล??

ดึงมือโปร หัวกะทิมันสมองของประเทศ.. ทั้งอดีตข้าราชการ อดีตอธิบดี และ อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ มาช่วยเร่งบูรณาการ ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ และ เร่งปัญหาเรื่องข้าว เรื่องมัน

โดยเฉพาะข้าว หากเก็บสต๊อกไว้ ๒ ปี จะเป็น “อาหารสัตว์” ราคาตกอย่างมหันต์

ดังนั้น,จึงต้องดึงคนดีมาร่วมงาน เพื่อเปิดประมูลข้าวและมันให้โปร่งใส..ไม่ให้ “บริษัทฮั้วกัน” หรือพวก “มือใหม่หัดประมูลข้าว” ใช้เส้นสาย เข้ามาประมูล !!!

และเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต..ครม.จึงให้เครดิต.. “นายกฯอภิสิทธิ์” เซ็นขายได้คนเดียว เท่านั้นแหละคุณ???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“สปิริต” และ “จริยธรรม” ต้องสูง!!

เมื่อซุกหุ้น..ถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” พิพากษาเช็คบิลอย่างเด็ดขาด.. “บุญจง วงศ์ไตรรงค์” มท.๒ ต้องถวายบังคม ลาออกจากตำแหน่ง เรื่องมันจะได้ไม่ต้องยุ่ง??

รัฐมนตรีญี่ป่นลาออกเพราะ “เมาแล้วขับ”...รัฐมนตรีเกาหลีใต้ลาออก เพราะ “ไปเล่นกอล์ฟโดยไม่ทำงาน”..เขาไม่มีคำตัดสินของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ชี้โทษผิดยังพากันออก..น่าที่ “มท. ๒ บุญจง” ต้องเอาเป็นตัวอย่าง

อย่าดื้อแพ่งเกาะเก้าอี้อยู่เลย เหมือนคนไม่มียาง

ที่ซ้ำร้ายเลิกแถได้แล้ว เพราะการทำตัวเป็นนักเลงข้ามรุ่นท้า “ท่านไพโรจน์ สุวรรณฉวี” พรรคเพื่อแผ่นดิน ให้ฮั้วและจับมือ กับ “พรรคเพื่อไทย” นั้น ท่านเบลอ และหลงประเด็น!!

หรือคิดว่าชาตินี้..สะบัดก้นออกจากความเป็นรัฐมนตรี.บารมีสูญสิ้น อดที่จะกลับเข้ามาเป็น

++++++++++++++++++++++++++++++++++

หงายไพ่แบบเกเต็มหน้าตัก!!

หวังเพียงประการเดียว...เพื่อที่ “น้ามิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จะได้เป็นหัวหน้าพรรค

กระสุนดินดำ หน้าเสื่อมีแค่ไหน ควักจ่ายดูแล สส.ลูกทีม ใน“พรรคเพื่อไทย” เป็นอย่างดี

เป้าหมายสูงสุด เบอร์หนึ่งของประเทศ เป็น “นายกรัฐมนตรี”

ท่ามกลางคนไทยที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม และหนาวตาย..โดย “รัฐบาลอภิสิทธิ์” สอบตกในการช่วยราษฎร..แต่ “น้ามิ่ง” กลับถอย “บีเอ็ม” ซีรีย์ใหม่คันโก้ เข้ามาแล่นในสภาฯ!!

ในเมื่อสตุ้งสตางค์เหลือเยอะ..บริจาคช่วยคนมั่งเหอะ?..บุญจะพาให้เจอะ สิ่งสมปรารถนา?

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แฉกันอย่างตูมตาม!!

เอาเรื่องจริงโพนทะนา กลางสภาฯ โดย “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.เพื่อไทย มหาสารคาม

อบจ.อุบลราชธานี เอาถุงยังชีพไปแจก แก่ราษฎร ที่ถูกน้ำท่วม อ้างราคาสูง ๑ พันบาท

เมื่อเช็คราคาจริง ๆ แล้ว แค่ “ห้าร้อย” .. นี่,คือการกินเงินหลวง ที่น่าเกลียดชะมัด

“ลุงจิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท. ๑ ตรวจสอบหน่อย..ปล่อย “เหลือบ”ให้กำแหงไม่ได้!!

คนเขาเดือดร้อนมันยังงาบ.....หยั่งงี้,ต้องกำหลาบ ..ปราบให้ราบคาบหน่อยนะเจ้านาย ???


คอลัมน์ :ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************

ชาติมาทีหลัง...!!!?

กรณี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นอร์เวย์เพื่อหารือเรื่องความปรองดองกลายเป็นการตอบโต้ทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยไปโดยปริยาย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถือว่า พล.ต.สนั่นไม่ให้เกียรตินายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาล แต่พรรคชาติไทยพัฒนาถือเป็นเรื่องส่วนตัว และ พล.ต.สนั่นเคยแถลงไว้แล้วว่าตั้งใจจะสร้างความปรองดองให้สำเร็จก่อนเดือนธันวาคม และถือเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในชีวิตทางการเมือง แม้จะมีหลายกระแสต่อต้านหรือกลัวจะเป็นการเกี๊ยะเซียะทางการเมือง

การออกมาเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ทั้งที่ยังไม่มีรายละเอียดใดๆจาก พล.ต.สนั่นจึงถูกมองว่าเป็นการตีโพยตีพายหรือกลัวจะสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์มากเกินไปหรือไม่ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ประกาศเองว่าต้องการให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองโดยเร็ว เพื่อจะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ทันที เหมือนที่รัฐบาลมีมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราก่อนหน้านี้

ดังนั้น การจะเดินหน้าไปสู่การปรองดองหรือไม่นั้นพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญไม่น้อยไปกว่าประชาชนทุกกลุ่ม เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุด และพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล ถ้าผู้นำรัฐบาลไม่มีความจริงใจก็ไม่สามารถเกิดความปรองดองและความสงบสุขได้

เหมือนกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก้ไขใน 2 ประเด็น ซึ่งเป็นข้อเสนอของพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์เคยมีมติไม่เห็นด้วยจนทำให้ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มาแล้ว

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ถูกประณามจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินว่าไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดอง จนเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็นถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน จนถึงวันนี้ยังไม่มีผลการชันสูตรพลิกศพว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร และใครเป็นคนยิง

นายอภิสิทธิ์จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าไม่จริงใจและใช้วาทกรรมเพื่อสร้างภาพตัวเองและพวกพ้องให้มีอำนาจต่อไปให้นานที่สุดมากกว่าจะแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน

แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าสุดที่นายอภิสิทธิ์ประกาศจะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ทันที แต่กลับตั้งเงื่อนไขเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาว่าบ้านเมืองต้องมีความสงบสุข หรือเลือกตั้งแล้วไม่เกิดความรุนแรง ซึ่งมีคำถามว่าใครเป็นผู้ประเมิน ขณะที่รัฐบาลยังคงใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง จับกุมและคุมขังฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติ

ความปรองดองจึงเกิดขึ้นไม่ได้ตราบใดที่ไม่มีความยุติธรรมและผู้นำรัฐบาลไม่มีความจริงใจ

ที่มา:บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

‘ทักษิณ’ซัดอ้างสถาบันจนระบบพัง

“ทักษิณ” กลับถึงเลบานอนทวิตข้อความให้รอถามรายละเอียดพูดคุยปรองดองจาก “สนั่น” เอาเอง เตือนองค์กรต่างๆทั้งหลายให้กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา อย่ารอสัญญาณหรือธงจากใคร เพราะมีขบวนการแอบอ้างจนทำให้ระบบต่างๆพังย่อย ยับ ย้ำถอยคนละก้าวสองก้าว ทำให้ทุกฝ่ายมีความเสมอภาคปรองดองเกิดได้แน่นอน “สนั่น” นัดชี้แจงรายละเอียดหารือวันนี้ (9 พ.ย.) “อภิสิทธิ์” ไม่ตื่นเต้น เผยรองนายกฯแจ้งหลักการพูดคุยให้ทราบแล้วไม่มีอะไรซับซ้อน

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางกลับมาจากประเทศนอร์เวย์ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องความปรองดอง โดยกล่าวเพียงว่า “หากปรองดองไม่ดีคงไม่ไป”

ทั้งนี้ พล.ต.สนั่นนัดหมายกับสื่อมวลชนแถลงผลการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 9 พ.ย.

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องการพูดคุยระหว่าง พล.ต.สนั่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเรื่องที่ดีเพราะการสร้างความปรองดองต้องคุยกับทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ

“แม้การสร้างความปรองดองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องพยายามทำต่อไปด้วยใจที่บริสุทธิ์ และทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน แต่หากใครจะปรองดองเพื่อให้หมดภาระหรือให้ตนเองปลอดภัยก็คงไม่สำเร็จ” นายสมชายกล่าวและว่า การปรองดองไม่ควรมีการตั้งเงื่อนไข เพราะการทำงานใหญ่ต้องใจกว้างและไม่ควรเอา พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นเงื่อนไข เพราะอดีตนายกฯไม่เคยยื่นเงื่อนไขใดๆ ยินดีที่จะเสียสละเพื่อประชาชนและบ้านเมืองตลอดเวลา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะได้พบ พล.ต.สนั่นในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 พ.ย. นี้ แต่เท่าที่คุยกันก่อนหน้านี้ พล.ต.สนั่นบอกว่าแนวทางสร้างความปรองดองของท่านไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวระบุว่า รายละเอียดพูดคุยให้ไปถาม พล.ต.สนั่นเอาเอง ขณะนี้พักอยู่ที่ประเทศเลบานอน

“คนไทยด้วยกันทะเลาะกันไปทำไมครับ ทะเลาะไปทะเลาะมา ไอ้พวกทำเลวได้ดีกันเป็นแถว ระบบต่างๆที่สร้างกันมาชั่วบรรพบุรุษพังไปหมด ตอนนี้ระบบไม่ทำงานเพราะมีคนไปทำลายระบบเพื่ออำนวยประโยชน์ให้ตัวเอง สำคัญคือคนที่รักษาระบบไม่ยอมทำงานตามกฎเกณฑ์ จะคอยรอแต่สัญญาณ (ธง) ผมขอเล่าประสบการณ์ตอนเป็นนายกฯให้ฟังครับ มีรัฐมนตรีบางคนซึ่งก็ทิ้งผมไปแล้วบ้าง ตายไปบ้าง เวลาลงโทษหรือย้ายข้าราชการไปที่แย่ลง ขาดภาวะผู้นำที่จะบอกว่าตัวเองสั่ง ก็อ้างว่านายกฯสั่ง บางทีไปทำอะไรก็มารายงานให้ทราบทั้งๆที่เรื่องอยู่ในอำนาจรัฐมนตรี พอมีคนที่ได้รับผลกระทบมาโวยก็บอกว่านายกฯสั่ง”

“หลังจากผมพ้นนายกฯแล้วจึงมีคนกล้ามาพูดให้ผมฟัง นี่คือวัฒนธรรมที่ไม่ดีอย่างหนึ่งที่อยู่ในตัวของคนขาดภาวะผู้นำ และวันนี้ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งที่ฝ่ายหนึ่งทำผิดก็ถูก อีกฝ่ายหนึ่งทำไม่ผิดก็ต้องผิด จึงเกิดอาการใหม่ขึ้นครับ คือมองฝ่ายและรอสัญญาณ คือไม่พิจารณาตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติกันมาหรือหลักสากล ถ้าไม่มีสัญญาณล่ะก็แดงผิด ไม่แดงถูก ความที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นยืดเยื้อยาวนานทำให้เกิดอาการอ้างเหมือนที่ผมเคยโดนมา ตอนนี้อำนาจและผลประโยชน์ในช่วงนี้มากมายเหลือเกินก็เลยต้องอ้างแบบที่เช็กไม่ได้ให้กลัวไว้ก่อน จึงเอาเจ้านายมาอ้าง ผมเป็นคนธรรมดาที่เช็กได้ยังถูกอ้าง แล้วเจ้านายไม่มีใครบังอาจโทร.ไปตรวจสอบอะไรเลยถูกอ้างกันเพลิน ทำให้เจ้านายถูกเข้าใจผิดโดยคนที่ถูกผลกระทบได้” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

นอกจากนั้นยังเกิดข่าวลือต่างๆนานาจากการที่ทำเป็นอาสาจะปกป้องสถาบันขึ้นมากล่าวหาคนอื่นไม่จงรักภักดีบ้าง ที่สุดคือเจ้านายและสถาบันเสียหาย ทางออกที่ดีคือการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นโดยเร็ว คนที่รักษาระบบก็ขอให้ปฏิบัติที่เล่าเรียนและอบรมมา โดยอยู่ในหลักนิติธรรมและคุณธรรม ตลอดจนปฏิบัติตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเสีย อย่าเอาระบบไปเล่นการเมืองกับเขา อย่ารอสัญญาณปลอมๆเพื่อประโยชน์ฝ่ายใดเลย ส่วนทุกฝ่ายที่คิดจะเอาเป็นเอาตายกันวันนี้ก็ต้องรู้จักถอยคนละก้าวสองก้าว หันหน้าเข้าหากันด้วยความตระหนักว่าเราคือคนไทยด้วยกัน แล้วมาร่วมกันเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้โดยไม่เลือกสีเลือกฝ่าย ไม่ว่าจะตาย บาดเจ็บ หรือติดคุกโดยไม่เป็นธรรมอย่างเสมอภาคกันทุกฝ่าย

ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

ฝนตกขี้หมูไหล !!!!!??

พระพิรุณโปรยปราย..โปรยปรายอย่าง บ้าคลั่ง ไหลบ่าท่วมภาคกลาง หมุนวนป่วนอีสาน ขมวดหัวขบวนก้อนน้ำดิ่งลงใต้ ขวานทองแห่งสยามจมบาดาลเกือบมิดเล่ม

ประชาชนผู้ประสบภัยเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า น้ำป่าไหลหลากซ้ำเป็นสีแดงเทือกสะท้อนให้เห็นในวงกว้างอย่าน่าอเนจอนาถสายตา น้ำทะเลหนุนท่วมมิดปิดขอบตลิ่ง ไหลลึกหนุน ท่วมสูงปกคลุมไปถึงยอดหอคอยงาช้างและสภาหินอ่อนแห่งปริมณฑลการเมืองไทย น้ำเน่าการ เมืองอันฟอนเฟะที่กำลังส่งกลิ่นโชยรับอานิสงส์น้ำท่วมจนเจือจางเป็นแค่หางดีเปรสชั่น

การเมืองอันมอมแมมกระดำกระด่าง ถูกฟอก ขาวชั่วครู่ชั่วยามบนสายธารน้ำตาของประชาชน คลิปฉาวในแวดวงตุลาการ ที่เกิดขึ้นในอาณา บริเวณขององค์กรอิสระที่ชื่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ดูจะกลายเป็นเรื่องรองๆ ลงไปในพลันที่ฟ้าบ้าคลั่งหอบพายุกระหน่ำเมือง

แต่การเปิดประเด็นเหล่านี้ กลับถูกฝ่ายการ เมืองหรือแม้กระทั่งคนในแวดวงศาลเอง ที่ยังคง ชิงจังหวะตีกินสร้างความได้เปรียบ กระทั่งกลายเป็น เรื่องราวบานปลาย ในวันมหาทุกข์หล่นทับกบาลประชาชน

ประธานศาลรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบด้วย การลาออกตุลาการรัฐธรรมนูญต้องลาออกทั้งคณะ พรรคประชาธิปัตย์จะรอดในคดียุบพรรคหากตุลาการรัฐธรรมนูญพ้นสภาพไป แต่กระนั้นก็ยังมีข้อเรียกร้องให้ตุลาการลาออกดังออกมาจากทีมงานนักเลือกตั้งเสื้อแดง

หรือแม้กระทั่งคำแถลงอย่างแข็งขันในการ ไล่ล่ามือปล่อยของปล่อยคลิป ที่ดังมาคู่ขนานกับสัญญาใจในการผลัดใบอำนาจ อันเป็นคำมั่นของคน กันเอง นี่คือเรื่องเล่าน้ำเน่าในวันน้ำท่วมที่ดังมาจาก ปริมณฑลการเมืองไทย

และด้วยชะตากรรมของพรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนว่า จะทำให้โลกใต้น้ำยังคงหมุนรอบพระแม่ ธรณีบีบมวยผมอย่างไม่ขาดสาย รับกับสถานการณ์ ร้อนในวันพิพากษา 6 ผู้ทรงเกียรติจากสภาล่างต้อง สิ้นสภาพ ส.ส. คาตีนโรงตีนศาลรัฐธรรมนูญ ภายใต้ ข้อกล่าวหาถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ

มันยิ่งอ่อนไหวกินยาวไปถึงเสถียรภาพรัฐบาล ก่อนวันคิดบัญชียุบพรรค..ปรับ ครม. เลือกตั้งซ่อม บนสถานการณ์อนาคตไม่แน่นอน รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทางคะแนนนิยมยังไม่นิ่งและไม่เข้าใครออก ใคร อะไรอะไรทางการเมืองย่อมเปลี่ยนหน้าแปรพักตร์ไปได้ทุกกระบวนท่า

จับจากอาการจมูกไวของนักเลือกตั้ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รีเทิร์นคืนสถานภาพ แต่ไม่วายมีข่าวลือว่าคนใกล้ชิด “เชน เทือกสุบรรณ” ผู้น้อง เตรียมผ่องถ่ายอนาคตด้วยการจดทะเบียนพรรคใหม่ในนาม “ไทยเข้มแข็ง”

ที่น่าแปลกไปเสียยิ่งกว่า นั่นคือข่าวลือเรื่องการขยับของคนบ้านเดียวกันในซีกทศวรรษใหม่ เคลื่อนแบบลับๆ เช่นกัน แผ่วทางประตูฉุกเฉินหนีไฟไว้ในนาม “ธรรมาธิปัตย์”

หรือแม้กระทั่ง คนฝั่งตรงข้ามอย่าง “หญิงหน่อยสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ” ยังแอบเดินเงียบปิดแต่ไม่ลับ แต่มือทหารเก่ารุ่นเก๋า เปิดป้อมค่ายการเมืองแห่งใหม่ ภายใต้พะยี่ห้อใหม่ที่ยังไม่ลง ตัวระหว่างพรรค “ไทยเพื่อไทย” และ “สร้างสรรค์ไทย”

ทั้งหมดทั้งมวลแห่งการเคลื่อน นี่เป็นแค่เพียง ตัวอย่างเล็กๆ แห่งคลื่นใต้น้ำการเมืองที่ยังคงหมุนวน อยู่ใต้บาดาลแห่งวาระน้ำท่วมประเทศไทย อย่างว่า ฝนตกขี้หมูไหล มันเกิดได้ทุกเมื่อ... ไม่เว้นแม้กระทั่งวันที่คนทั้งประเทศกำลังลอย คอรอความช่วยเหลืออย่างน่าสลดหดหู่หัวใจ

ที่มา:สยามธุรกิจ
*******************************

ฮือฮา!จดหมาย‘พสิษฐ์’ระบุเมื่อถึงเวลาความจริงจะปรากฏอีกมาก

ฮือฮา! แฟกซ์เขียนด้วยลายมืออ้างเป็น “พสิษฐ์” ส่งจากฮ่องกง ปฏิเสธไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่อยากให้คำว่า “ยุติธรรม” กลับไปศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมามีการอ้างกระแสพิเศษเพื่ออุ้มชูกันในหลายรูปแบบจนเละเทะ ระบุเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมความจริงจะปรากฏอีกมากมาย อาจารย์ภาควิชากฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ มธ. งงทำไมนักวิชการและคนในแวดวงกฎหมายเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องคลิปฉาวทั้งที่มีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม และหลายประเด็นต้องการคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง ย้ำอย่าเบี่ยงเบนให้เป็นเพียงความผิดของคนถ่ายทำกับคนเผยแพร่ แต่ละเลยเนื้อหาโดยไม่สนใจสืบให้กระจ่างว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “พิชา” ให้เวลาประธานศาลรัฐธรรมนูญถึงวันที่ 12 พ.ย. หากไม่แจ้งความเอาผิดโกงสอบเจ้าหน้าที่ยื่น ป.ป.ช. ฟันฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่แน่


ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

เกมชิงอำนาจ

โดย : รักษ์ มนตรี

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนเสื้อหลากสี และทราบว่า "หมอตุลย์" ได้ทำหนังสือถึงราชเลขาธิการ

และท่าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา กรณีที่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (นักบริหาร 10) รักษาราชการแทนผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) อ้างถึงการใช้อำนาจหน้าที่ ในฐานะประธานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (ประธาน คตง.) ทำเรื่องขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการซี 10 สำนักงาน สตง. พ้นจากตำแหน่ง และขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ ข้าราชการสำนักงาน สตง. ซี 9 เป็นซี 10 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจนอกเหนือจากคำพิพากษาศาลปกครอง

หมอตุลย์ บอกผมว่า "การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องระงับคำสั่งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา แต่งตั้งนายพิศิษฐ์ รักษาการผู้ว่าการ สตง. ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับคำสั่งที่ไม่ให้นายพิศิษฐ์เป็นรักษาการผู้ว่าการ สตง. โดยให้ทำหน้าที่แทนผู้ว่าการ สตง.ในงานด้านธุรการ ภายในสำนักงาน สตง. แต่นายพิศิษฎ์กำลังอาศัย 'ความเห็นของผู้พิพากษา' ซึ่งไม่ใช่คำพิพากษา ตีขลุมว่าตัวนายพิศิษฎ์มีอำนาจที่จะใช้อำนาจในฐานะประธาน คตง. ซึ่งขัดกับประกาศ คปค. เพราะนายพิศิษฎ์ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการสรรหาใหม่ ให้มาเป็นประธาน คตง."

การเกษียณและพ้นจากตำแหน่งระดับ 10 ในสำนักงาน สตง. ไม่เหมือนข้าราชการอื่นนะครับ

ผมเพิ่งทราบว่า การจะให้ซี 10 สตง. พ้นจากตำแหน่งแม้จะเกษียณ ต้องเป็นหน้าที่ของประธาน คตง. นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการระดับ 10 สตง.พ้นจากตำแหน่ง และประธาน คตง.เป็นผู้มีอำนาจขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการ ระดับ 9 เป็นระดับ 10 ประจำสำนักงาน สตง. โดยในปี 2553 มีข้าราชการระดับ 10 เกษียณอายุราชการทั้งสิ้น 7 คน การที่คนเหล่านี้จะพ้นจากตำแหน่งได้ต้องให้ประธาน คตง.นำความขึ้นกราบบังคมทูล

หมอตุลย์ บอกว่า นายพิศิษฎ์ ซึ่งตามคำสั่งศาลปกครองนั้นคือรักษาการผู้ว่าการ สตง. แต่จะไปอ้างว่าศาลปกครอง ได้ระบุให้ทำหน้าที่รักษาผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน และเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ประธาน คตง. และคณะกรรมการ คตง. ไม่ได้เนื่องจากคำสั่งศาลในคดีนี้ในหน้าที่ 27 เป็นความเห็นของผู้พิพากษาในคดี ไม่ใช้คำพิพากษาของคดีนี้ ซึ่งศาลมีคำสั่งเพียงว่า

"พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง 184 เรื่องยกเลิกคำสั่งให้รองรักษาผู้ว่าการ สตง.พ้นจากรักษาการผู้ว่าการ สตง. โดยให้คำสั่งทุเลาการบังคับใช้จนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาเป็นอย่างอื่น"

"การยื่นเรื่องคัดค้านครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าไม่เห็นด้วย ที่นายพิศิษฎ์จะใช้กรณีนี้แสตมป์ตัวเองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ประธาน คตง. และต้องการใช้อำนาจนั้น ไปสรรหาสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ซึ่ง ส.ว.สรรหาชุดแรกจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 19 ก.พ.นี้"

หมอตุลย์ บอกอย่างนั้น

ขณะที่ผมก็สอบทานไปยังท่านสมาชิกวุฒิสภา ที่รู้จักมักคุ้นกันก็ทราบว่า การที่นายพิศิษฎ์ อาศัยความเห็นของผู้พิพากษาในหน้า 27 ซึ่งความเห็นของตุลาการ ไม่ใช่คำพิพากษาในคดี ดังนั้น การที่ความเห็นของตุลาการแม้จะเห็นว่า "รองผู้ว่าการ สตง. ทำหน้าที่รักษาการผู้ว่าการ สตง. จึงมีอำนาจหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการ และคณะกรรมการ คตง.ระหว่างที่ยังไม่มีการสรรหาประธาน คตง. และกรรมการ คตง. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 301 และไม่ขัดแย้งการบริหารงานบุคคลภายในสำนักงานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน" ก็ไม่ใช่คำพิพากษาของศาล

ส.ว.คนเดิมบอกว่า มี ส.ว.สรรหาหลายคนบ่นไม่สบายใจ เพราะขณะนี้เริ่มส่งสัญญาณว่าจะมีผู้นั้นผู้นี้มาทำหน้าที่คณะกรรมการสรรหา ส.ว.ถ้าต้องการได้รับการสรรหา ขอให้รีบมา "เข้าแถว"

สำหรับผมแล้ว ผู้ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ไม่ดีเลย เพราะนั่นเท่ากับเป็นการข่มขู่คุกคามการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา
ครั้นมาดูกรรมการสรรหา ส.ว.มีใครบ้าง ประกอบด้วย 1.ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (นายชัช ชลวร) 2.ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) 3.ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (นายปราโมทย์ โชติมงคล) 4.ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ) 5.ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 6. ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด และ 7.ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน)

ครับ นี่คือเกมชิงอำนาจที่แท้จริง

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
*******************************************

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศาลโลกนำเรื่องเข้าพิจารณาการ" สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ "ในวาระพิเศษวาระแรกแล้ว

 



ลางร้ายสำหรับรัฐบาลไทย 

วันนี้ ดูเหมือนว่าความดิ้นรนพยายามสร้าง “กระบวนการปรองดองสมานฉันท์” ของนายอภิสิทธิ์ดูจะท่าจะไม่เป็นผล เพราะ ICG องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ถอนตัวจากการมีส่วนร่วมกับกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมในศรีลังกา และได้ยังเผยแพร่แถลงการณ์ตักเตือนว่า

“ICG องค์การนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง (LLRC) แห่งศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกาได้ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศหลังจากสงครามการเมืองที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม the Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) แต่กระนั้นคณะกรรมการล้มเหลวปฏิบัติตามมาตรฐานเบื้องต้น และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการปฏิบัติ ”


เป็นที่แน่ชัดว่า นายกอภิสิทธิ์เพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ และทำให้หลายคนคิดว่าแผนการดังกล่าวเป็นแค่กระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมที่ใช้ปกปิดความจริง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงอันอำมหิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย ได้รับการปูนบำเหน็จ ในขณะที่จำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมและถูกกักขังเพิ่มมากขึ้น

 สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนถึงข้อกล่าวหาอันน่าเชื่อถือหลายข้อที่มีต่อหน่วยความมั่นคงและกลุ่ม LTTE ว่าทั้งสองกลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมสงคราม กระบวนการพิจารณารับฟังที่มีขึ้นสองเดือนที่แล้วจนกระทั่งวันนี้ สมาชิกคณะกรรมการหลายคนที่ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เล่าโดยฝ่ายรัฐบาล และยังปล่อยให้สมาชิกคณะกรรมการใหม่เข้าใจผิดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว


ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย”  นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ “เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”

หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร?

รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะกุมกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

* มาตรา ๘๑ รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (มีทั้งหมด ๕ ข้อ)  (๒) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน* มาตรา ๘๒ รัฐต้องปฎิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี รวมทั้งตามพันธกรณีที่ได้กระทำไว้กับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ* มาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้  * มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้     ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฎิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิด มิได้

* มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม


แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง

หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ผ่านพ้นไปและดูท่าทีรัฐบาลอภิสิทธิยังกอดอำนาจแน่น จึงมีกลุ่มผู้รอบรู้ทางกฏหมายและการสืบสวนสอบสวน

ได้ ลงมือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละัเอียด เป็นขั้นเป็นตอน น่าเชื่อถือ เก็บพยานวัตถุ สอบปากคำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก สอบกันแบบมืออาชีพ

สำคัญที่สุดผลการตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิต เท่าที่สามารถรวบรวมได้ โดยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช ยืนยันได้ว่า ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนเข้าที่ศรีษะ

นั่นหมายความว่า คนตายจำนวนมากถูกยิงจากที่สูง ไม่ใช่ยิงในแนวระนาบ

เหมือน กรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการตรวจพบรอยกระสุนยิงลงบนพื้นซีเมนต์จนเป็นรูเต็มไปหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะยิงจากแนวราบ ต้องยิงจากที่สูงทั้งนั้น

ขณะที่มีภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ละเอียดทุกมุม เห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมอาวุธยืนเล็งปืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมนั่นเอง

ทีม นักกฏหมายและผู้รอบรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนในไทยได้ลงมือรวบรวมพยาน หลักฐานเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนประสานกับนายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อนำไปประกอบการฟ้องร้องต่อศาลในต่างประเทศ

อย่งน้อยก็ไม่ใช่การฟ้องร้องอย่างเลื่อนลอย

หาก แต่แนบพยานหลักฐาน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจที่เกิดเหตุ ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบและหนาแน่นน่าเชื่อถือ พร้อม ๆ กับการยื่นฟ้องร้องด้วย

อย่างว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในกลางเมืองหลวง ต่อหน้าต่อตาประชาชนมากมาย ในยุคที่อุปกรณ์ไฮเทคมีอยู่ทุกครัวเรือน

ดังนั้นการบันทึกพยานหลักฐานในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงยุบยั่บไปหมด

ขณะ เดียวกันนักกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญด้้านสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทนดูการเข่นฆ่ากันกลางเมืองโดยคำสั่งอันผิดพลาดของรัฐบาลได้

จึงมีการแอบลงมือรวมรวมเป็นรูปคดีสมบูรณ์แบบ เพื่อประสานกับทนายความระดับสากล ในการนำคดีนี้ไปพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ



...นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ...

ศาลไทยน่าจะพิจารณาจาก ป.วิอาญา ลักษณะ 2 การพิจาณา ม.172 และ ม.172 ทวิ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในม.172 ทวิ (2)หรือ(3) ซึ่งหมายถึงกรณีที่คดีมีจำเลยจำนวนหลายคน จำเลยยังคงสิทธิที่จะรับการพิจารณาและสืบพยานต่อหน้า หากการจำกัดสิทธิของจำเลยตามมาตราดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อจำเลย

ทั้งนี้ เจตนาของมาตรานี้ก็คือ ห้ามมิให้ศาลรับฟังการพิจาณาสืบพยานที่กระทำลับหลังและเป็นโทษหรือมีผลเสียหายกับจำเลย

นอกจากนี้ ม.172 ทวิ (1) กำหนดให้การพิจารณาสืบพยานสามารถทำลับหลังจำเลยได้หากทนายจำเลยและตัวจำเลยให้ความยินยอม  และจะต้องเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูงสุดไม่เกิน 10 ปี

แต่ในกรณีแกนนำเสื้อแดง ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายนั้น อัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตดังนั้น การพิจารณาสืบพยาน จะกระทำลับหลังจำเลยไม่ได้เด็ดขาด


ส่วนที่ ๔

สิทธิในกระบวนการยุติธรรม

*****************


มาตรา ๓๙   บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

มาตรา ๔๐  บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(๑)    สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง(๒)    สิทธิพื้นฐานในกระบวนการพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับ      การพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง(๓)    บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม(๔)    ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทย์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์แก่ตนเอง(๕)    ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับการรับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ(๖)    เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ หรือผู้ทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับการคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฎิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ(๗)    ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (๘)    ในคดีแพ่ง บุคคลมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเหมาะสมจากรัฐ


หมายเหตุ > รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐



รายชื่อที่อัมสเตอร์ดัมสั่งฟ้องมีกี่คนจำไม่ได้จำได้แค่ว่าเป็นคณะกรรมการใน ศอฉ.ทั้งหมด

โดยเริ่มตั้งแต่ม้ากในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเทือก ผอ. ศอฉ. แม่ทัพทั้ง 4 เหล่าทัพนายธาริต ผอ.ดีเอสไอ นอกนั้นจำไม่ได้

แต่น่าเสียดายตรงที่ว่าคนสั่งฆ่าตัวจริงซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าคนเสื้อแดงเรียกคนพวกนั้นว่า **ไอ้เฮี่ยสั่งฆ่า**มีชื่ออยู่บัญชีที่ถูกฟ้องด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

สิ่งที่สงสัยและยังไม่มีใครตอบได้คือ

1...ตอนนี้ศาลโลกรับฟ้องแล้วใช่หรือไม่ถึงได้บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแรก

2...ถ้าคนที่มีรายชื่อถูกฟ้องครั้งนี้ไม่ยอมไปขึ้นศาลโลก จะทำอย่างไรศาลโลกมีมาตรการอะไรบ้างที่จะบังคับหรือทำให้คนพวกนี้ไปขึ้นศาลให้จงได้

ขอบคุณข้อมูล โดย :d-day ตาสว่าง และ Thai Free News 

**************************************************

ตุ๊กแกเรียกพี่? “บุญจง”เหนื่อย!!


‘มาร์ค-เทือก’... สามวาสองศอก
แม้ว่า คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการถือหุ้นของ ส.ส. และ ส.ว. ที่สุดท้ายมีผู้ที่ถูกเชือดแค่หยิบมือเดียว

เพราะคำวินิจฉัยให้ ส.ส. 6 รายพ้นสมาชิกภาพ ประกอบด้วย 1. นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ 2. นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา และ รมช.คมนาคม 3. นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน 4. ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยันต์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน 5. นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และ รมช.มหาดไทย และ 6. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
เนื่องจากขณะถือครองหุ้นทั้งหมดมีสถานะเป็น ส.ส. แล้ว

ส่วน 22 ส.ส.-16 ส.ว. โล่งอกเก้าอี้ยังอยู่เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าการถือหุ้นมาก่อนได้รับตำแหน่ง จะต้องถือว่าไม่ผิดกติกา

ดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร 6 ส.ส.ที่พ้นสภาพก็แค่มาลงเลือกตั้งใหม่ก็จบ เพราะไม่มีบทลงโทษอย่างอื่น ไม่มีการตัดสิทธิ์

แต่ปัญหาที่ไม่น่ามีก็ยังมีจนได้ เมื่อนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา นั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย
หากลงสมัครเลือกตั้งทั้งๆที่ยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่งามแน่ เพราะคนเป็นรัฐมนตรี ไว่าอย่างไรก็มีอำนาจบริหารอยู่ในมือ มีผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งกระทรวง ที่สำคัญมีงบราชการอยู่ในมือด้วย
มองมุมไหนก็ต้องได้เปรียบคู่แข่งขันในสนามเลือกตั้งแน่นอน กระแสสังคมจึงเห็นว่าสมควรที่ทั้งคู่จะต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปลงสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไร เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องลาออกมาก่อนที่จะลงเลือกตั้งซ่อมที่สุราษฎร์ธานีมาแล้วเช่นกัน

แต่ที่เป็นเรื่องก็เพราะ ดันมีกองเชียร์ กองหนุน มากระชุ่นว่านายบุญจงไม่จำเป็นต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีก็ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับไว้

งานนี้แม้ว่านายบุญจงจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำที่ว่าหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคำถามเรื่อง “จริยธรรม”ดังกระฉ่อน ไปแล้ว

โดนกันระนาว ไล่ตั้งแต่นายบุญจง ไปยันผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย และแน่นอนว่าลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีด้วยเต็มๆ

อย่างเช่นนายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อแผ่นดิน คนสนิท ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงกรณี นายบุญจง อาจจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 ว่า ยิ่งนายบุญจง เกาะเก้าอี้แน่นอย่างนี้ยิ่งถูกคู่แข่งโจมตีง่าย ว่ากลัวจะแพ้เลือกตั้งจึงไม่ยอมลาออก เพราะกลัวว่าจะหลุดทั้ง 2 ตำแหน่ง

เนื่องจากถูกจองกฐินเยอะ ทั้งจากบรรดาผู้รับเหมา ข้าราชการ และผู้นำท้องถิ่น ที่ไม่พอใจการบริหารงาน ถึงแม้จะทุ่มเทงบประมาณลงไปในพื้นที่เยอะ แต่ก็ไม่ได้ใจชาวบ้าน เพราะมีกระแสข่าวเรื่องทุจริตการรับเหมาในโครงการต่างๆหนาหู

ดังนั้นจึงอยากรู้เหมือนกันว่านายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอย่างไร???
เพราะกรณีของนายสุเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี ยังให้ลาออกจากตำแหน่งก่อน ทั้งที่ไม่ได้โดนคำพิพากษาของศาล แต่กรณีนายบุญจงถือว่าขาดคุณสมบัติไปแล้ว นายกฯจะปกป้องคนที่ขาดคุณสมบัติเพื่อเอาใจพรรคร่วมหรือ!!!
ที่สุดจะกลายเป็นอนุสาวรีย์เน่าๆของครม.อภิสิทธิ์ 5 ??

“กระแสในพื้นที่ขณะนี้ไม่ถือว่า นายบุญจง ได้เปรียบ และยิ่งถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือกับกลุ่ม 3 พี บวกกับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา นายบุญจง สาหัสแน่ เพราะการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมาก็แพ้ นายมีชัย จิตต์พิพัฒน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย มาแล้ว ซึ่งอยู่ที่ทางผู้ใหญ่จะได้พูดคุยกันต่อไปว่าจะเอาอย่างไร”นายอนุวัฒน์กล่าว
ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงข้อวิจารณ์ว่ากลุ่มโคราชจับมือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำรวมชาติพัฒนา เพื่อคว่ำพรรคภูมิใจไทยในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครราชสีมา ว่า ในทางการเมืองคงจะฮั้วกันไม่ได้ แม้ว่าโดยส่วนตัวอยากให้พื้นที่ จ.นครราชสีมา เกิดความสมานฉันท์ปรองดอง

แต่จะไม่คุยกันในเรื่องแบบนี้ ส่วนการส่งบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินที่จะมีการประชุมกันในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพรรคไม่ได้เตรียมบุคลากรไว้รอเลือกตั้งซ่อม เพราะผู้สมัครเดิมของพรรค ได้ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่าถึงความคืบหน้าการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมว่า ในวันอังคารที่ 9 พ.ย.นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อขอมติว่าจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมกี่เขตและใครบ้าง

ส่วนกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทย เตรียมขอร้องให้พรรคเพื่อแผ่นดิน งดส่งผู้สมัครนั้น นายชาญชัย กล่าวว่า “ข่าวลือก็คือข่าวลือ ต้องฟังหูไว้หู ทุกอย่างพรรคจะเป็นผู้ตัดสินใจ”

นายนิคม ไวยรัชพาณิช รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่าหาก นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส. ก็ควรลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี จะปฏิเสธผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นไม่ได้

และเสี่ยงที่จะได้ใบเหลืองหรือใบแดงหากคู่แข่งนำไปเป็นประเด็นร้องเรียนต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดังนั้นการลาออกจึงดีที่สุด

หากหลังการเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าชนะคู่แข่งแล้วกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ วิธีนี้จะเรียกศรัทธาจากประชาชนให้กับคืนมาสู่พรรคการเมืองได้

ดังนั้นจึงคิดว่าควรยึดมาตรฐานที่นายสุเทพ ทำไว้ เพราะเป็นบรรทัดฐานด้านจริยธรรมของนักการเมือง ที่ประเทศไทยและคนไทยต้องการ

สำหรับมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นส.ส.นั้น ควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กำหนดบท ลงโทษที่ชัดเจนหรือไม่ นายนิคมมองว่า จะมัวมาแก้รัฐธรรมนูญทำไม อยู่ที่คนปฏิบัตินั้นแหละ

“แม้กฎหมายไม่ได้กำหนด แต่หากนักการเมืองมีจิตสำนึกก็คิดได้เอง ถึงแก้รัฐธรรมนูญไป แต่คนไม่นำไปปฏิบัติ ก็เสียเปล่า”

ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนกรานว่าเป็นเรื่องที่นายบุญจงจะต้องพิจารณาเองว่าควรที่จะดำเนินการอย่างไร

แต่ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย จะช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง รวมถึงพิจารณาตัวผู้สมัครด้วย

อย่างไรก็ตามการไม่ลาออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้ขัดกับกฎหมาย
ส่วนว่าถ้าจะพูดเรื่องจริยธรรม ก็เป็นเรื่องที่พูดยากและน่าหนักใจแทนนายบุญจง!!!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำให้เห็นแล้วในกรณีของนายสุเทพ ที่ลาออกไปเมื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนการที่พรรคภูมิใจไทย อ้างว่าไม่สามารถใช้บรรทัดฐานเดียวกันได้นั้น ยืนยันว่าบรรทัดฐานการเมืองควรจะเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

และจะไปเทียบเคียงกับเวลาที่เป็นการยุบสภาคงไม่ได้เพราะเวลาที่ยุบสภาที่เป็นลักษณะของการรักษาการ คือโดยสภาพตามธรรมชาติและก็มีบทบัญญัติรองรับไว้ไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเต็มที่ เพราะ กกต.จะต้องเข้ามาดูเรื่องงบประมาณ การโยกย้ายและการแต่งตั้ง

ส่วนที่ว่าแม้นายกฯส่งสัญญาณมาอย่างนี้ แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทย ตอบกลับไม่ตรงกับสัญญาณที่ให้ไปจะทำอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปสมมุติ เพราะได้มอบให้นายสุเทพไปคุยอยู่ บอกไปเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ซึ่งนายสุเทพบอกว่าจะไปคุยให้เร็วที่สุด

ปัญหาก็เลยกลายมาเป็นประเด็นงานเข้าที่นายสุเทพไปในทันที
เพราะนายสุเทพ ได้มีการให้สัมภาษณ์ว่ากรณีของนายบุญจง กับ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ไม่มีรัฐธรรมนูญกำหนด

พูดง่ายๆก็คือพูดอ้างในลักษณะที่สอดคล้องเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหมือนกับพรรคภูมิใจไทย นั่นคือรัฐมนตรีรักษาการยังลงสมัครได้โดยไม่ต้องลาออก

เมื่อถูกจี้ในเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ยืนยันว่าได้คุยกับนายสุเทพแล้ว นายสุเทพอ้างว่าไม่ได้พูดอย่างที่เป็นข่าว

“ท่านบอกผมไม่ได้พูดอย่างนั้นหรอก”
เลยเจรายการยืนยันว่านายสุเทพให้สัมภาษณ์แบบนั้นจริงๆ แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ยังคงยืนกรานว่า
“ก็ท่านบอกผมว่าท่านไม่ได้พูดอย่างนั้น”

งานนี้ได้เห็นอาการที่ออกมาแล้ว บอกได้แค่ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์คลอนแคลนเต็มที ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้เกิดภาพเช่นนี้หลุดออกมาแน่

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************