นายสมพงษ์ ศรีอนันต์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหลักหก ได้รับแจ้งเกิดแนวกระสอบทรายกั้นน้ำที่ทางเทศบาลตำบลหลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี สร้างคันกั้นน้ำเอาไว้ด้วยความสูง 1 เมตร ตลอดทางความยาว 4 กิโลเมตร ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ซึ่งเป็นคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกมือดีดึงกระสอบทรายออกได้รับความเสียหายทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าหมู่บ้านเมืองเอก หมู่ที่ 5 ต.หลักหก อ.เมือง จำนวนมากจึงเดินทางไปตรวจสอบบริเวณสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ หมู่ที่ 5 ต.หลักหก ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลหลักหก นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิตทั้งชายและหญิง กว่า 200 คน และ เจ้าหน้าที่สนามกอล์ฟเมืองเอก และสนามกอล์ฟวินต้า กว่า 100 คน พร้อมเครื่องจักรกลหนัก และรถแบคโฮกำลังช่วยกันสร้างคันดินและเสริมแนวกระสอบทราย หลังมือดีดึงกระสอบทรายที่ทางเทศบาลตำบลหลักหกสร้างเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมหมู่บ้านเมืองเอกชั้นใน ออกได้รับความเสียหายเป็นทางยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้น้ำจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ไหลเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของหมู่บ้านเมืองเอก
นายสมพงษ์ กล่าวว่า จุดที่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นที่มืดริมคลองไม่มีไฟส่องสว่างจึงไม่มีใครเห็นลักษณะการแต่งกายของผู้ก่อเหตุ และหากปริมาณน้ำไหลเข้าท่วมภายในหมู่บ้านเมืองเอกได้นั้นค่าความเสียหายจะมหาศาลมาก เพราะภายในหมู่บ้านเมืองเอกประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยรังสิต หอพักนักศึกษา สนามกอล์ฟเมืองเอก และหมู่บ้านเมืองเอกที่บ้านแต่ละหลังราคากว่า 10 ล้านบาท อาจจมบาดาลได้ เพราะน้ำในคลองรังสิตกับพื้นถนนภายในหมู่บ้านนั้นความสูงต่างกัน 1.60 เมตร และในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้ทราบข่าวจัดส่งนักศึกษาของสถาบันมาช่วยกลอกทรายบรรจุกระสอบ พร้อมแก้ไขแนวกระสอบทรายที่ได้รับความเสียหายจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่ดึงเอากระสอบทรายออก และทางเทศบาลได้ตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมเพื่อดูดน้ำด้านในออกคาดว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมงน่าจะเข้าสู่สภาวะปกติพี่น้องประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ ออกตรวจสอบแนวกระสอบทรายกั้นน้ำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีดึงกระสอบทรายออก และหากผู้ใดพบเห็นและจับกุมได้ให้นำตัวมาส่งมอบให้ตนจะมีรางวัลเป็นสินน้ำใจมอบให้ส่วนสาเหตุนั้นน่าจะมาจากความเครียดของชาวบ้านริมคลองที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมไม่มีที่ขับถ่ายน้ำก็เกิดเน่าเหม็นส่งกลิ่นรบกวนผู้พักอาศัยจึงเป็นเหตุกระสอบทรายถูกดึงครั้งนี้ ส่วนคลองส่งน้ำดิบของการประปานครหลวงที่ทางเทศบาลได้นำกระสอบทรายมาปิดกั้นให้ทางการประปา และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงได้นำทรายมาเทให้ทางเทศบาลเพื่อสร้างแนวคันป้องกันน้ำไหลเข้าคลองส่งน้ำดิบของการประปานั้นทางชาวบ้านต่างบ่นว่านำทรายมาให้กรอกกระสอบทรายไปตั้งคันแนวให้แต่ไม่ยอมส่งข้าวปลาอาหารที่จะต้องหากินกันสามมื้อนั้นกับไม่มีให้มาเลย แต่วันนี้ทางการประปาได้ส่งน้ำดื่มมาให้เท่านั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านโกธรจึงมีการมาดึงกระสอบทรายดังกล่าว
ที่มา.เนชั่น
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อดีตผู้นำยอดแย่?
โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใน Foreign Policy
เมื่อไม่นานมานี้ นิตยสาร Foreign Policy ได้นำเสนอเรื่องราวในทางลบเกี่ยวดับอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ทักษิณ ชินวัตร (อดีตผู้นำยอดแย่: 1 ตุลาคม 2553) ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เหตุใดทักษิณยังคงได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทยอยู่
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของอดีตผู้นำเพียงบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่มีการเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 4ปี (2544-2548) นายกรัฐมนตรีทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคเดียวที่ได้รับเสียงส่วนมากในสภา จากคะแนนเสียงของประชาชนที่ทักษิณรับใช้อย่างท่วมท้น พรรคไทยรักไทยครองที่นั่งในสภาถึง 75เปอร์เซ็นต์ และในเดือนกันยายน ปี 2549
รัฐบาลของทักษิณถูกยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารที่ผิดกฎหมาย นำโดยเหล่านายพลและสมาชิกเงาของกลุ่มอำมาตย์ ปัจจุบัน 4 ปีหลังจากการทำรัฐประหาร เรายังต้องพยายามแก้ต่างให้กับทักษิณซึ่งถูกป้ายสีจากสื่อที่ไม่มีความเป็นกลาง ตรายางศาล และมติของรัฐสภาอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องจักรกลไกแห่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์
หลักจากที่ถูกใส่ร้่ายป้ายสีมาเป็นเวลานาน ทักษิณยังคงเป็นที่นิยม ทั้งนี้เพราะความสำเร็จอย่างท่วมท้นของรัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ในการใช้นโยบายบริหารประเทศทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การนำของทักษิณยังคงทำให้ประชาชนในภาคอีสานรอดพ้นจากยุคมืดศักดินา อันนำไปสู่การได้รับสิทธิพื้นฐานทางพลเรือนมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดากลุ่มอำมาตย์ที่เชื่อว่าคนไทยบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิ์ควรจะได้รับโอกาสมากกว่าคนกลุ่มอื่นในประเทศต่อต้านแนวทางนี้อย่างขมขื่น
นาย Joel Schectman ได้เขียนบทความใน Newsweek เดือนพฤษภาคม ปี 2553 ว่า แม้ทักษิณจะมีข้อตำหนิแต่ “ทักษิณแสดงให้เห็นถึง “จุดสูงสุด” ของระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบในประเทศไทย และความสำเร็จที่สำคัญในการบริหารงานคือ การพัฒนาชนบทและสวัสดิการรักษาพยาบาล ผู้เขียนยังกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2544 ไปจนถึงปี 2549 ทักษิณได้เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศมีประสิทธิภาพ”
เหมือนกับผู้นำทั่วไป ทักษิณมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมีคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามในประเทศทั่วไป ตรงที่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณพยายามที่จะหยิบคดีที่ไม่มีมูลมาฟ้องร้องกล่าวหาทักษิณ ข้อกล่าวหาเดียวที่มีคือ ภรรยาของทักษิณเข้าร่วมประมูลที่ดินสาธารณะ แม้ว่าการซื้อขายที่ดินนั้นจะเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิดในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เนื่องจากภรรยาของทักษิณไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประมูลที่ดินในขณะที่สามีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การตัดสินคดีดังกล่าว ไม่ได้ถูกตัดสินโดยศาลที่มีความเป็นอิสระ แต่ถูกตัดสินโดยกลุ่มคนที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร
การกล่าวหาอย่างผิดๆ ถือเป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะทักษิณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ยังมีคนเสื้อแดงอีกนับร้อยที่ถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาที่น่าสงสัย นอกจากนี้เวปไซต์อีกกว่า 100,000 เวปไซต์ที่ต่อต้านรัฐบาลยังถูกสั่งปิด ในขณะที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน รวมถึงพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในกรณีฉุกเฉินที่ยืดเยื้อยังได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐโอเวลเลี่ยน (รัฐที่ประชาชนถูกควบคุมอย่างมาก)อีกด้วย เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายตรงข้ามทักษิณได้สังหารหมู่ผู้ชุมนุมโดยสงบอีกกว่า 80ราย และประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์
รวมถึงนักข่าว โดยการใช้มือปืนซุ่มอยู่บนดาดฟ้ายิงประชาชนอย่างไม่เลือกและเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่การทำรัฐประหาร เสรีภาพทางการพูด สิทธิพลเรือน และสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก อาทิเช่น จากการจัดลำดับของการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยขององค์กร Transparency International ระหว่างปี 2549 ถึง 2552 ปรากฏว่าประเทศไทยตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 59 จาก 84 และเมื่อวานนี้ กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 153 จากการจัดลำดับ “เสรีภาพของสื่อในโลก” โดยก่อนหน้ารัฐประหาร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 66 แม้จะทราบข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยมีรากฐานของอำนาจนิยม แต่สื่อต่างชาติบางสำนักยังคงเชื่อว่า ในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยนั้นแย่กว่าในสมัยปัจจุบันมาก
เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตการณ์การเมืองไทยและบทบาทของทักษิณแล้ว ผู้อ่านของ Foreign Policy ควรจะต้องจะต้องมองไปไกลกว่าภาพโปสเตอร์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะต้องคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงกลัวเสรีภาพแห่งการพูด และคัดค้านการเลือกตั้งที่แท้จริง
นักวิชาการห่วงคลิปฉาวยุบปชป.ดึงทหารปฏิวัติ
นักวิชาการเผยคนในแวดวงถกเรื่องคลิปอื้อฉาวเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างกว้างขวาง ส่วนมากเป็นห่วงทำการเมืองถึงทางตัน ส่งผลให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ระบุหากทำจริงตายหมู่ทั้งประเทศเพราะซัดกันเละแน่ “สมบัติ” ระบุน่าละอายที่ไม่มีตุลาการคนใดแสดงความรับผิดชอบ แถมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เฉลิม” อัดเบี่ยงเบนประเด็นเป็นเรื่องแอบถ่ายกับคนเผยแพร่ผิดกฎหมายโดยไม่คิดชี้แจงข้อเท็จจริง
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ระบุว่า ปัญหาคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และเรื่องต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกแฉออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และรุกลามไปถึงกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ
“ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกำลังลามไปยังศาลอื่น ความรู้สึกของประชาชนตอนนี้ไม่ได้คิดว่าศาลเชื่อถือได้หรือเป็นองค์กรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป” นายสมบัติกล่าวและว่า การที่ไม่มีตุลาการคนใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องคลิปฉาวที่มีออกมาเป็นเรื่องน่าอายมาก เพราะท่านถูกแก้ผ้าออกมากลางถนนแล้ว ส่วนตัวคิดว่าที่บรรดาตุลาการไม่แสดงสปิริตเป็นเพราะว่าการได้มาซึ่งอำนาจไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และยังอยู่ในสถานะพิเศษที่ได้รับการปกป้อง ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนเรื่องที่มาของตุลาการเพื่อให้หลุดพ้นจากการเมือง
นายสมบัติเชื่อว่าหากยังเป็นอย่างนี้ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่ไม่ได้ หากวันใดมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องถูกยุบแน่นอน เพราะมีหลายเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้ เช่น กรณีนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการ ไปสอนหนังสือมีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปสอนทำกับข้าวออกโทรทัศน์จนต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นลูกจ้างขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กรณีของนายจรัญกลับทำเงียบ ทั้งที่ควรหยิบมาพิจารณาในมาตรฐานเดียวกันว่ากระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังมีคุณสมบัติเป็นตุลาการอยู่อีกหรือไม่
ผศ.ดร.ธวัชชัย สุวรรณพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยว่า ในวงนักวิชาการมีการพูดถึงเรื่องคลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก
“เรื่องนี้ถือเป็นปฏิบัติการดับดวงตะวัน หากจะจุดประกายขึ้นมาใหม่มีทางเดียวคือการรัฐประหาร เพราะปัญหาของการเมืองตอนนี้ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าทหารทำรัฐประหารอีกครั้งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนตาสว่างกว่าเก่า เพราะจะมีคนมาแก้ผ้าให้เราดูกลางตลาด แต่ผมคิดว่าทหารคงไม่กล้าทำ เพราะถ้าทำต้องกอดคอกันตายทั้งประเทศ” ผศ.ดร.ธวัชชัยกล่าวและว่า มีนายทหารคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นจริงไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยเฉพาะในกองทัพที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ประเด็นสำคัญเรื่องคลิปไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจงว่ามีการพูดคุยกันจริงหรือไม่ เรื่องอะไร ทำไมแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคประชาธิปัตย์จึงสอดคล้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป
“สมัยพรรคพลังประชาชนถูกยุบมีคลิปที่กระทรวงกลาโหม พรรคประชาธิปัตย์หัวเราะชอบใจบอกว่าใครแอบถ่ายไม่สำคัญแต่อยู่ที่เนื้อหาสาระ มาวันนี้กลับเฉไฉและกลบข้อเท็จจริง” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการประชุมร่วมกับทีมสอบสวนเป็นครั้งแรกว่า ได้กำหนดแนวทางการทำงานและมอบหมายงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบในประเด็นต่างๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน โดยนัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทุกวันจันทร์
“จุดเริ่มคงต้องไปดูจากคลิปก่อน โดยจะตรวจสอบจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีใครเกี่ยวข้อง วัน เวลา และสถานที่ที่ปรากฏในคลิป ก่อนที่จะไปดูเรื่องการนำมาเผยแพร่” พล.ต.อ.เอกกล่าวและว่า จะเรียกคนที่ปรากฏในคลิปมาสอบสวนหรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีหรือไม่
“คดีนี้เป็นคดีอาญา ประเด็นหลักคือหากมีการตัดต่อต้องสืบหาว่าใครเป็นคนตัดต่อ ใครเป็นคนนำมาเผยแพร่ เรื่องนี้ไม่หนักใจเพราะทำตามหน้าที่” พล.ต.อ.เอกกล่าว
จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้**********************************************************************
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ระบุว่า ปัญหาคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และเรื่องต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกแฉออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และรุกลามไปถึงกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ
“ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกำลังลามไปยังศาลอื่น ความรู้สึกของประชาชนตอนนี้ไม่ได้คิดว่าศาลเชื่อถือได้หรือเป็นองค์กรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป” นายสมบัติกล่าวและว่า การที่ไม่มีตุลาการคนใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องคลิปฉาวที่มีออกมาเป็นเรื่องน่าอายมาก เพราะท่านถูกแก้ผ้าออกมากลางถนนแล้ว ส่วนตัวคิดว่าที่บรรดาตุลาการไม่แสดงสปิริตเป็นเพราะว่าการได้มาซึ่งอำนาจไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และยังอยู่ในสถานะพิเศษที่ได้รับการปกป้อง ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนเรื่องที่มาของตุลาการเพื่อให้หลุดพ้นจากการเมือง
นายสมบัติเชื่อว่าหากยังเป็นอย่างนี้ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่ไม่ได้ หากวันใดมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องถูกยุบแน่นอน เพราะมีหลายเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้ เช่น กรณีนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการ ไปสอนหนังสือมีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปสอนทำกับข้าวออกโทรทัศน์จนต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นลูกจ้างขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กรณีของนายจรัญกลับทำเงียบ ทั้งที่ควรหยิบมาพิจารณาในมาตรฐานเดียวกันว่ากระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังมีคุณสมบัติเป็นตุลาการอยู่อีกหรือไม่
ผศ.ดร.ธวัชชัย สุวรรณพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยว่า ในวงนักวิชาการมีการพูดถึงเรื่องคลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก
“เรื่องนี้ถือเป็นปฏิบัติการดับดวงตะวัน หากจะจุดประกายขึ้นมาใหม่มีทางเดียวคือการรัฐประหาร เพราะปัญหาของการเมืองตอนนี้ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าทหารทำรัฐประหารอีกครั้งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนตาสว่างกว่าเก่า เพราะจะมีคนมาแก้ผ้าให้เราดูกลางตลาด แต่ผมคิดว่าทหารคงไม่กล้าทำ เพราะถ้าทำต้องกอดคอกันตายทั้งประเทศ” ผศ.ดร.ธวัชชัยกล่าวและว่า มีนายทหารคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นจริงไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยเฉพาะในกองทัพที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ประเด็นสำคัญเรื่องคลิปไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจงว่ามีการพูดคุยกันจริงหรือไม่ เรื่องอะไร ทำไมแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคประชาธิปัตย์จึงสอดคล้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป
“สมัยพรรคพลังประชาชนถูกยุบมีคลิปที่กระทรวงกลาโหม พรรคประชาธิปัตย์หัวเราะชอบใจบอกว่าใครแอบถ่ายไม่สำคัญแต่อยู่ที่เนื้อหาสาระ มาวันนี้กลับเฉไฉและกลบข้อเท็จจริง” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการประชุมร่วมกับทีมสอบสวนเป็นครั้งแรกว่า ได้กำหนดแนวทางการทำงานและมอบหมายงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบในประเด็นต่างๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน โดยนัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทุกวันจันทร์
“จุดเริ่มคงต้องไปดูจากคลิปก่อน โดยจะตรวจสอบจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีใครเกี่ยวข้อง วัน เวลา และสถานที่ที่ปรากฏในคลิป ก่อนที่จะไปดูเรื่องการนำมาเผยแพร่” พล.ต.อ.เอกกล่าวและว่า จะเรียกคนที่ปรากฏในคลิปมาสอบสวนหรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีหรือไม่
“คดีนี้เป็นคดีอาญา ประเด็นหลักคือหากมีการตัดต่อต้องสืบหาว่าใครเป็นคนตัดต่อ ใครเป็นคนนำมาเผยแพร่ เรื่องนี้ไม่หนักใจเพราะทำตามหน้าที่” พล.ต.อ.เอกกล่าว
จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้**********************************************************************
รัฐสวัสดิการเฉลี่ยความเป็นธรรม
ลดเหลื่อมล้ำ
“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับส่งท้ายเดือนตุลาคม ขอนำเสนอมุมมอง “บุญส่ง ชเลธร” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐสวัสดิการ และอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ หรือ “13 ขบถรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์ และปลุกปั่นต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น เป็นเหตุให้ต้อง เดินทางไปพำนักพักพิงในประเทศสวีเดนถึง 30 กว่าปี ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
โดยอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ ได้อรรถาธิบาย ถึงมิติ ทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่อง กับพัฒนาการ และการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการหรือสวัสดิการ สังคม ที่กำลังเป็นเงื่อนไขใหม่ที่รัฐบาลประกาศใช้เป็นกุญแจ สำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม
>> พัฒนาการในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
“การชุมนุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในอดีต อย่างเช่นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 หรือ 6 ตุลาคม 19 ผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งนิสิตนักศึกษาและ ประชาชนจะไม่สลับซับซ้อน ประชาชนจะเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพในการต่อสู้กับเผด็จการรัฐบาลทหาร และที่สำคัญ จะเป็นไปโดยสันติวิธี แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนสูง ส่งผลให้ประชาชนไร้เอกภาพ มีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมาก อันเกี่ยวข้องไปถึงนักการเมือง ที่ต้องการครองอำนาจ รวมไป ถึงองค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่ง บทบาทข้าราชการ ปัจจัยเหล่า นี้ ทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยปราศจากสันติวิธี และมีแนวโน้มเป็นได้สูงว่า อาจจะถูก ล้อมปราบ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน ไปเยอะ สมัยก่อนเราต่อสู้กับเผด็จการทหาร ต่างกับปัจจุบัน ที่นักการเมืองมีอำนาจมาก ข้าราชการก็หันไปรับใช้นัก การเมืองมากกว่าที่จะทำหน้าที่ ของตัวเอง ความซับซ้อนในการต่อสู้จึงมีสูงมาก”
>> แนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาจิตสำนึกการชุมนุม
“ตรงนี้ขอยกตัวอย่างใน ประเทศสวีเดน กรอบกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมของเขาแข็งแกร่งมาก เขาจะมีการ กำหนดที่ชัดเจนลงไปถึงแผน การชุมนุม ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ชัดเจนไปเลยว่า จะชุมนุม ที่ไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ สถานที่แบบไหนไม่ควรก้าวข้าม รั้วเข้าไป จะมีการต่อรองกันได้ ระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความเป็นระเบียบมากกว่าบ้าน เรามากนักเพราะประชาชนเขาเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก การประท้วงจึงไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน คือประชาชนของเขามีสำนึกต่อสังคมสูง จึงไม่มี ปัญหาที่นำไปสู่ความรุนแรง ในส่วนประเทศไทยตอนนี้ ผมเห็น ว่าควรต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ชัดเจนถึงขอบข่ายการชุมนุม และบังคับใช้อย่างเป็นธรรม”
>> แนวทางปรองดองเพื่อลดความขัดแย้งที่กำลังดำเนิน ณ ปัจจุบัน
“การปรองดองที่พูด กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ ที่ไม่มีความเป็นรูปธรรม เพราะหากคิดจะปรองดองกันจริงๆ จะต้องทำกันอย่าง มีแบบแผน มีหลักการ ไม่ใช่แค่การเดินสายไปพูดคุย กันในวงแคบๆ เพราะหากถือธงปรองดองไปคุยกับคน นั้นคนนี้ เขาก็ยินดีปรองดอง กันทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีสักคนเลยที่จะมานั่งพูดคุยถึงเรื่องแบบแผนและหลักการที่จะเดินแผนปรองดองไปข้างหน้า”
>> ข้อบริภาษเรื่อง 2 มาตรฐานจะมีผลต่อแผน ปรองดองหรือไม่
“อันที่จริง หากจะมอง ถึงมาตรฐานในสังคมไทยที่มักจะถูกกล่าวอ้างว่ามี 2 มาตรฐาน ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วในสังคม บ้านเรา แต่หากจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆ คือ มันไม่เคยมีมาตรฐานใดเลย เพราะการตัดสินใจว่าอะไรคือ มาตรฐานอยู่ที่ผู้มีอำนาจ เด็ดขาดเท่านั้น ผู้รักษากฎหมายเองก็ไม่ได้ทำงานตาม หน้าที่ เพราะยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายปล่อยให้เกียร์ว่าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ควรแก้ที่นักการเมืองมากกว่า”
>> แนวคิดรัฐบาลเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะใช้ลดความเหลื่อมล้ำ
“ก่อนอื่นต้องระบุก่อนว่า คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) จะใช้แนวทางสวัสดิการสังคม แต่ผมมองว่า สวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการ ตามเงื่อนไขและความหมายนั้น มันเหมือนกัน คราวนี้เราต้องรู้จักกับคำว่า รัฐสวัสดิการก่อน ว่าอะไรคือรัฐสวัสดิการ ที่ทำได้ และอะไรที่ต้องทำ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันมากการมีรัฐสวัสดิการก็เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเป็นธรรม ในสังคมเพื่อแก้ปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้”
“สำหรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ ของรัฐบาลปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าทำไปได้ หลายเรื่องแล้วแต่ยังขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน เพราะแต่ละกระทรวง ต่างคนต่างทำ ไม่มีการประสานงานที่เหมาะสม ที่สำคัญในเรื่องของความจริงใจ รัฐบาลเองก็ไม่ได้มีชัดเจนว่า เป็นแค่การหาเสียงหรือต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง”
“ในส่วนที่ผมเป็นห่วงคือการที่ รัฐบาลทำให้รัฐสวัสดิการเป็นของฟรี จะทำ ให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องสามานย์ อย่างเช่น น้ำ ไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะเกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องของรัฐสวัสดิการ และจะเสียนิสัยใน ที่สุดเพราะอะไรๆ ก็ฟรีไปหมด เพราะฉะนั้น ควรจะมีการแบ่งเจ้าภาพให้ชัดเจนว่างานนี้รัฐเป็นผู้จัดสรรให้ได้ เรื่องแบบนี้ผู้รับบริการต้องดูแลเองหรือแม้แต่นายจ้างก็ต้องมีส่วนร่วม ซึ่งการจะทำรัฐสวัสดิการต้องทำให้มีแบบแผน มีระบบไม่ทำงานแบบทับซ้อนรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายให้ ชัดเจน”
>> มุมมองเกี่ยวกับสวัสดิการด้านการศึกษาที่เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา องค์ความรู้ประชาชน
“สำหรับเรื่องการศึกษาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างมาก ในสหภาพ ยุโรปหลายต่อหลายประเทศสนับสนุนเรื่อง นี้มากในบางประเทศถึงกับเปิดโอกาสให้เรียนฟรีจนจบดอกเตอร์ แต่สำหรับบ้าน เราเปิดโอกาสให้เรียนฟรี 15 ปี แม้จะถือ ว่าไม่น้อย แต่ก็น่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้มีความหลากหลายและกว้างขวางขึ้นไปกว่านี้”
“อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด ที่รัฐบาล ควรให้ความสนใจ คือเรื่องของคุณภาพการศึกษา รัฐบาลต้องมีการพัฒนาให้มีมาตรฐาน เท่ากันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อลดการหลั่งไหลของนักเรียนที่เดินทางเข้า มาแออัดในเมืองหลวง หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็ยังมีค่านิยมการแย่งกันเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่กี่แห่ง ซึ่งปัญหาก็มาจากมาตรฐานการศึกษาที่เหลื่อมล้ำกัน นั่นเอง”
>> ข้อห่วงใยเรื่องงบประมาณสนับสนุนการทำรัฐสวัสดิการ
“ในด้านของงบประมาณในการดำเนินงานรัฐสวัสดิการแน่นอนว่าจำเป็นต้องมาจากเงินภาษีอากร ซึ่งในเบื้องต้นอาจยังไม่จำเป็นนัก แต่ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ประชาชนเต็มใจที่จะยอมจ่ายภาษี ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ เขามีการเก็บภาษีกันสูงมากถึง 50% หรืออาจถึง 80% แต่ที่เขาจ่ายเพราะเชื่อมั่น ว่าเงินที่จ่ายไปจะต้องได้รับการคืนกลับมา ในรูปของสวัสดิการสังคม”
“ต่างจากบ้านเราที่ยังขาดความน่า เชื่อถือในเรื่องนี้มาก ปัญหาการคอร์รัปชั่น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากที่จะ ยอมเสียภาษี เพราะไม่เชื่อในเรื่องกลไก รัฐว่า เงินที่จ่ายไปจะกลับคืนมาสู่สังคม แต่หากเรามีการจัดระบบการเก็บภาษีที่รัดกุม ป้องกันการรั่วไหลของรายได้รัฐ และ ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ กับนักการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถ เรียกศรัทธาจากประชาชนได้ และเขาจะยอมเสียภาษีในที่สุด เพราะเชื่อแน่ว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกหายไปไหน แต่จะกลับมา ในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือต้องมีการพัฒนา คนในชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพราะเงื่อนไขตรงนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญของ รัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ดี หากนักการเมือง ไม่เลิกโกงกินไม่รู้จักหน้าที่ชาติก็ล่ม รัฐสวัสดิการก็ไม่เกิด”
นั่นคือมุมมองอันแหลมคมของ “บุญส่ง ชเลธร” อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งทับซ้อนไปถึงข้อพิพาทเรื่องเลื่อมล้ำ 2 มาตรฐาน และทอดยอดไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการ ที่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” ต้องขบให้ แตก เพื่อประโยชน์สุขและความสมานฉันท์ ในสังคมไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************
“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับส่งท้ายเดือนตุลาคม ขอนำเสนอมุมมอง “บุญส่ง ชเลธร” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐสวัสดิการ และอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ หรือ “13 ขบถรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์ และปลุกปั่นต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น เป็นเหตุให้ต้อง เดินทางไปพำนักพักพิงในประเทศสวีเดนถึง 30 กว่าปี ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
โดยอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ ได้อรรถาธิบาย ถึงมิติ ทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่อง กับพัฒนาการ และการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการหรือสวัสดิการ สังคม ที่กำลังเป็นเงื่อนไขใหม่ที่รัฐบาลประกาศใช้เป็นกุญแจ สำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม
>> พัฒนาการในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
“การชุมนุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในอดีต อย่างเช่นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 หรือ 6 ตุลาคม 19 ผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งนิสิตนักศึกษาและ ประชาชนจะไม่สลับซับซ้อน ประชาชนจะเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพในการต่อสู้กับเผด็จการรัฐบาลทหาร และที่สำคัญ จะเป็นไปโดยสันติวิธี แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนสูง ส่งผลให้ประชาชนไร้เอกภาพ มีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมาก อันเกี่ยวข้องไปถึงนักการเมือง ที่ต้องการครองอำนาจ รวมไป ถึงองค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่ง บทบาทข้าราชการ ปัจจัยเหล่า นี้ ทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยปราศจากสันติวิธี และมีแนวโน้มเป็นได้สูงว่า อาจจะถูก ล้อมปราบ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน ไปเยอะ สมัยก่อนเราต่อสู้กับเผด็จการทหาร ต่างกับปัจจุบัน ที่นักการเมืองมีอำนาจมาก ข้าราชการก็หันไปรับใช้นัก การเมืองมากกว่าที่จะทำหน้าที่ ของตัวเอง ความซับซ้อนในการต่อสู้จึงมีสูงมาก”
>> แนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาจิตสำนึกการชุมนุม
“ตรงนี้ขอยกตัวอย่างใน ประเทศสวีเดน กรอบกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมของเขาแข็งแกร่งมาก เขาจะมีการ กำหนดที่ชัดเจนลงไปถึงแผน การชุมนุม ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ชัดเจนไปเลยว่า จะชุมนุม ที่ไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ สถานที่แบบไหนไม่ควรก้าวข้าม รั้วเข้าไป จะมีการต่อรองกันได้ ระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความเป็นระเบียบมากกว่าบ้าน เรามากนักเพราะประชาชนเขาเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก การประท้วงจึงไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน คือประชาชนของเขามีสำนึกต่อสังคมสูง จึงไม่มี ปัญหาที่นำไปสู่ความรุนแรง ในส่วนประเทศไทยตอนนี้ ผมเห็น ว่าควรต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ชัดเจนถึงขอบข่ายการชุมนุม และบังคับใช้อย่างเป็นธรรม”
>> แนวทางปรองดองเพื่อลดความขัดแย้งที่กำลังดำเนิน ณ ปัจจุบัน
“การปรองดองที่พูด กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ ที่ไม่มีความเป็นรูปธรรม เพราะหากคิดจะปรองดองกันจริงๆ จะต้องทำกันอย่าง มีแบบแผน มีหลักการ ไม่ใช่แค่การเดินสายไปพูดคุย กันในวงแคบๆ เพราะหากถือธงปรองดองไปคุยกับคน นั้นคนนี้ เขาก็ยินดีปรองดอง กันทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีสักคนเลยที่จะมานั่งพูดคุยถึงเรื่องแบบแผนและหลักการที่จะเดินแผนปรองดองไปข้างหน้า”
>> ข้อบริภาษเรื่อง 2 มาตรฐานจะมีผลต่อแผน ปรองดองหรือไม่
“อันที่จริง หากจะมอง ถึงมาตรฐานในสังคมไทยที่มักจะถูกกล่าวอ้างว่ามี 2 มาตรฐาน ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วในสังคม บ้านเรา แต่หากจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆ คือ มันไม่เคยมีมาตรฐานใดเลย เพราะการตัดสินใจว่าอะไรคือ มาตรฐานอยู่ที่ผู้มีอำนาจ เด็ดขาดเท่านั้น ผู้รักษากฎหมายเองก็ไม่ได้ทำงานตาม หน้าที่ เพราะยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายปล่อยให้เกียร์ว่าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ควรแก้ที่นักการเมืองมากกว่า”
>> แนวคิดรัฐบาลเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะใช้ลดความเหลื่อมล้ำ
“ก่อนอื่นต้องระบุก่อนว่า คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) จะใช้แนวทางสวัสดิการสังคม แต่ผมมองว่า สวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการ ตามเงื่อนไขและความหมายนั้น มันเหมือนกัน คราวนี้เราต้องรู้จักกับคำว่า รัฐสวัสดิการก่อน ว่าอะไรคือรัฐสวัสดิการ ที่ทำได้ และอะไรที่ต้องทำ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันมากการมีรัฐสวัสดิการก็เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเป็นธรรม ในสังคมเพื่อแก้ปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้”
“สำหรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ ของรัฐบาลปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าทำไปได้ หลายเรื่องแล้วแต่ยังขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน เพราะแต่ละกระทรวง ต่างคนต่างทำ ไม่มีการประสานงานที่เหมาะสม ที่สำคัญในเรื่องของความจริงใจ รัฐบาลเองก็ไม่ได้มีชัดเจนว่า เป็นแค่การหาเสียงหรือต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง”
“ในส่วนที่ผมเป็นห่วงคือการที่ รัฐบาลทำให้รัฐสวัสดิการเป็นของฟรี จะทำ ให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องสามานย์ อย่างเช่น น้ำ ไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะเกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องของรัฐสวัสดิการ และจะเสียนิสัยใน ที่สุดเพราะอะไรๆ ก็ฟรีไปหมด เพราะฉะนั้น ควรจะมีการแบ่งเจ้าภาพให้ชัดเจนว่างานนี้รัฐเป็นผู้จัดสรรให้ได้ เรื่องแบบนี้ผู้รับบริการต้องดูแลเองหรือแม้แต่นายจ้างก็ต้องมีส่วนร่วม ซึ่งการจะทำรัฐสวัสดิการต้องทำให้มีแบบแผน มีระบบไม่ทำงานแบบทับซ้อนรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายให้ ชัดเจน”
>> มุมมองเกี่ยวกับสวัสดิการด้านการศึกษาที่เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา องค์ความรู้ประชาชน
“สำหรับเรื่องการศึกษาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างมาก ในสหภาพ ยุโรปหลายต่อหลายประเทศสนับสนุนเรื่อง นี้มากในบางประเทศถึงกับเปิดโอกาสให้เรียนฟรีจนจบดอกเตอร์ แต่สำหรับบ้าน เราเปิดโอกาสให้เรียนฟรี 15 ปี แม้จะถือ ว่าไม่น้อย แต่ก็น่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้มีความหลากหลายและกว้างขวางขึ้นไปกว่านี้”
“อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด ที่รัฐบาล ควรให้ความสนใจ คือเรื่องของคุณภาพการศึกษา รัฐบาลต้องมีการพัฒนาให้มีมาตรฐาน เท่ากันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อลดการหลั่งไหลของนักเรียนที่เดินทางเข้า มาแออัดในเมืองหลวง หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็ยังมีค่านิยมการแย่งกันเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่กี่แห่ง ซึ่งปัญหาก็มาจากมาตรฐานการศึกษาที่เหลื่อมล้ำกัน นั่นเอง”
>> ข้อห่วงใยเรื่องงบประมาณสนับสนุนการทำรัฐสวัสดิการ
“ในด้านของงบประมาณในการดำเนินงานรัฐสวัสดิการแน่นอนว่าจำเป็นต้องมาจากเงินภาษีอากร ซึ่งในเบื้องต้นอาจยังไม่จำเป็นนัก แต่ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ประชาชนเต็มใจที่จะยอมจ่ายภาษี ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ เขามีการเก็บภาษีกันสูงมากถึง 50% หรืออาจถึง 80% แต่ที่เขาจ่ายเพราะเชื่อมั่น ว่าเงินที่จ่ายไปจะต้องได้รับการคืนกลับมา ในรูปของสวัสดิการสังคม”
“ต่างจากบ้านเราที่ยังขาดความน่า เชื่อถือในเรื่องนี้มาก ปัญหาการคอร์รัปชั่น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากที่จะ ยอมเสียภาษี เพราะไม่เชื่อในเรื่องกลไก รัฐว่า เงินที่จ่ายไปจะกลับคืนมาสู่สังคม แต่หากเรามีการจัดระบบการเก็บภาษีที่รัดกุม ป้องกันการรั่วไหลของรายได้รัฐ และ ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ กับนักการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถ เรียกศรัทธาจากประชาชนได้ และเขาจะยอมเสียภาษีในที่สุด เพราะเชื่อแน่ว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกหายไปไหน แต่จะกลับมา ในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือต้องมีการพัฒนา คนในชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพราะเงื่อนไขตรงนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญของ รัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ดี หากนักการเมือง ไม่เลิกโกงกินไม่รู้จักหน้าที่ชาติก็ล่ม รัฐสวัสดิการก็ไม่เกิด”
นั่นคือมุมมองอันแหลมคมของ “บุญส่ง ชเลธร” อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งทับซ้อนไปถึงข้อพิพาทเรื่องเลื่อมล้ำ 2 มาตรฐาน และทอดยอดไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการ ที่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” ต้องขบให้ แตก เพื่อประโยชน์สุขและความสมานฉันท์ ในสังคมไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************
ตร.ล่าตัวจอมบงการคลิปยุบปชป. รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง มติตุลาการรธน.ฟ้องคนให้ข่าว ฟันมือแพร่ในยูทูบ
ตุลาการรธน.มีมติสั่งฟ้องคนให้ข่าว ฟันอาญามือแพร่ 5คลิปใน"ยูทูบ" ตั้งกฎไม่ตอบโต้ ตร.เล็งออกหมายจับคดีคลิปยุบปชป.สัปดาห์หน้า รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง วงจรปิด"สุวรรณภูมิ"จับภาพคนรับ-ส่ง ศาลรธน.แจ้ง"บัวแก้ว"ถอนพาสปอร์ตประเภทราชการ พท.จี้สอบเนื้อหา-ตุลาการในคลิป ชี้ตั้งลูกหลานเป็นเลขาฯส่อผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 100
"ตุลาการรธน."ให้สำนักงานเตรียมฟ้องหมิ่นผู้ให้ข่าวศาลรับใบสั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 27 ตุลาคม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกเอกสารข่าวสำนักงาน เรื่องการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันเดียวกันนี้ โดยที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนจนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดเผยคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประชุมพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นลำดับ ดังนี้
1.เมื่อวันที่ 28 กันยายน ได้มีบุคคลข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญว่า มีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และได้ให้ข่าวกับ
หนังสือพิมพ์ข่าวสดว่า “ทราบว่า เวลานี้รังสีอำมหิตได้ส่งไปช่วยไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน “พี่น้องประชาชนจะได้เห็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความหายนะของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญและคนไทยจะต้องตกตะลึงกับคลิปดังกล่าว ก็คือมีบุคคลคนหนึ่งไปรับงานเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้”
“ค่อยดูกันความลับไม่มีในโลก เราเชื่อว่า หากไม่มีใบสั่งใด ๆ พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปนานแล้ว"
ต่อมาได้มีการเผยแพร่คลิปภาพนิ่ง ของประธานองค์มนตรี นั่งอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดไปว่าได้มีใบสั่งไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ศาลในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 และมาตรา 198
พ่วงฟ้องอาญาคนนำคลิป5 ตอนแพร่ยูทูบ
2. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อ นำคลิปวีดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูบซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิปเป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซด์จึงเป็นการนำความลับในราชการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่า เป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323
นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิด โดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน
ถอนพาสปอร์ตข้าราชการ "พสิษฐ์"
ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินประเภทราชการ (Official Passport) ของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ย้ำห่วงบ้านเมืองไม่หวังตอบโต้คู่กรณีฝ่ายใดหากจำเป็นทำตามกฎหมาย
ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการจึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง
ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบ จะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้ง ๆ ตามลำดับต่อไป
ปธ.กก.สอบคลิปเผยขีดเส้นสอบคลิปใน 15 วัน เร่งลงลึกในรายละเอียด
ก่อนหน้านี้ เวลา 17.30 น. วันเดียวกัน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการที่ใช้เวลาการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องบุคคลใด เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดีได้
ทั้งนี้คณะกรรมการได้ยืนยันว่าจะสรุปการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 20 ตุลาคมตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และไม่ควรที่จะขยายเวลาการตรวจสบอออกไปอีก และเมื่อสรุปข้อเท็จจริงเสร็จแล้วจะรายงานผลให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับทราบก่อนเสนอให้คณะตุลาการต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ (28 ตุลาคม) ก็จะมีการประชุมอีกครั้ง โดยหลังจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใดซึ่งจะสามารถเรียกประชุมได้ในทันที
ปัดสอบวิ่งเต้นโยนหน่วยงานอื่นจัดการ ยันกก.โปร่งใส
ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น นายสนิท กล่าวว่า คงไม่สามารถตรวจสอบถึงเจตนาและเนื้อหาของคลิปดังกล่าวได้เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วที่จะดำเนินการเอาผิดได้ แต่คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการว่ามีวิธีการอย่างไรที่ทำให้การประชุมตุลาการถูกเล็ดลอดออกไปภายนอกได้
เมื่อถามถึงพรรคเพื่อไทยการกล่าวหาว่าในคณะกรรมการตรวจสอบมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งตุลาการนั้น นายสนิทยืนยันว่าไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ เพราะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้นไม่มีที่ไหนที่ถ้าคนทำสุจริตแล้วมาบอกว่าไม่สุจริต ยืนยันเรียกได้เลยว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว
เล็งออกหมายจับคดีคลิปฉาว
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปลับคดียุบ ปชป. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) และนายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปวิดีโอการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง เข้าชี้แจง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม
พล.ต.ต.ปัญญาชี้แจงว่า เบื้องต้นหลังจากรวบรวมหลักฐาน และพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ว่าด้วยการดูหมิ่นศาล หรือขัดขวางการพิพากษาของศาล การนำข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การแอบถ่ายตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เชื่อมั่นว่า การสืบสวนน่าจะกระจ่างแน่นอน เนื่องจากผู้กระทำผิดทิ้งร่องรอยไว้เยอะ และน่าจะออกหมายจับคนร้ายได้ภายในสัปดาห์หน้า
พบหลักฐานสาวถึงคนทำผิด
พ.ต.อ.ศิริพงษ์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่นำคลิปออกมาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบได้ แต่ขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน จะใช้การสืบสวนโดยอาศัยบริบทแวดล้อม รวมถึงกระบวนการที่ทำให้เกิดคลิปวิดีโอ ทั้งวันที่ถ่าย วันที่อัพโหลด โดยได้ติดต่อไปยังเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งเป็นของบริษัทกูเกิล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน และรักษาข้อมูลของลูกค้า
ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า คนร้ายทิ้งร่องรอยไว้เยอะ ตำรวจพบไอซีซี-ไอดี (หมายเลขที่กำหนดให้ใช้เฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์มือถือ) จำนวน 20 ตัว ที่สามารถพิสูจน์คนทำผิด ซึ่งซุกอยู่ในระบบ visual computer ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยจะตามร่องรอยจากจุดนี้เพื่อสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดให้ได้ ทั้งนี้ เรื่องหลักฐานจากเว็บไซต์ยูทูบ จะใช้ "เอ็มแลบ" คือการร่วมมือทางอาญา ซึ่งจะใช้ช่องทางในการสืบสวนหรือได้พยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายโดยผ่านช่องทางกองการต่างประเทศ ร้องขอไปยังหน่วยงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ เพื่อให้ช่วยขอหมายศาลจากศาลสูง เพื่อขอข้อมูลจากบริษัทกูเกิล
รู้"พสิษฐ์"ไปพบใครที่ฮ่องกง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.หลายคนได้สอบถามถึงการเอาผิดกับผู้ที่มีเจตนาเอาคลิปมาเผยแพร่ได้หรือไม่ รวมถึงจะเชิญนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในฮ่องกง มาสอบสวนได้หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า กรณีความผิดที่มีคนเอาเรื่องคลิปมาพูดก่อน ทางกองปราบปรามจะเก็บบรรยากาศของการสร้างเจตนาของบุคลที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญต้องสอบพยานที่ได้มีการคุยเรื่องคลิปก่อนที่จะมีการเผยแพร่ รวมทั้งสอบถามว่า คลิปได้มาอย่างไร โดยจะนำให้ศาลพิจารณา หากเข้าข่ายก็จะให้ศาลออกหมายจับ
"กรณีนายพสิษฐ์ที่เดินทางไปฮ่องกง เจ้าหน้าที่รู้ตั้งแต่วันที่เดินทางออกไป โดยชุดสืบสวนได้เก็บภาพที่สนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว ว่าใครไปส่ง ใครไปรับ หรือมีใครมาพบบ้าง โดยฝ่ายสืบสวนได้เก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ส่วนที่เดินทางไปฮ่องกง ก็ได้เก็บข้อมูลไว้แล้วว่า ไปพบใคร หากออกหมายจับแล้ว จะขอความร่วมมือไปยังต่างประเทศเพื่อดำเนินการจับกุม" พ.ต.อ.สุพิศาลกล่าว
พท.จี้สอบตุลาการรธน.ในคลิป
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พท. ในฐานะผู้ร้องร่วมกับนายทะเบียนพรรคการเมืองในคดียุบ ปชป. จากการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท เข้ายื่นหนังสือถึงนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านสำนักอำนวยกิจการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญคนใดเป็นผู้พูดหรืออภิปรายในเนื้อหาของคลิป
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เนื้อหาที่ปรากฏเป็นคำพูดในคลิปของตุลาการ ถือเป็นสาระสำคัญที่ควรต้องตรวจสอบว่าตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ใดเป็นผู้พูดหรืออภิปราย จะสอบเพียงแต่ที่มาของคลิป ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงขอให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง ได้สอบเนื้อหาและตุลาการผู้ที่ได้ปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าวในคลิป เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมที่สนใจติดตามเรื่องนี้ทราบต่อไป
ชี้ตั้ง"ลูกหลาน"ส่อผิดม.100
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการว่า พท.ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาทำหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ก่อนที่ตนจะเปิดเผยก็มีตุลาการบางคนตอบโต้ว่า สามารถตั้งใครก็ได้มาเป็นเลขานุการ จึงอยากตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้ามีบุตรหลานหรือเครือญาติของตุลาการไม่มาทำงาน แต่รับเงินเดือนทุกเดือน จะถือเป็นความผิดตามกฎระเบียบของทางราชการหรือไม่ และจะมีบทลงโทษอย่างไร หากบุตรหลานทำให้งานราชการเสียหาย จะมีใครกล้าออกคำสั่งลงโทษหรือไม่ และในกรณีที่บุตรหลานอาจมีการทุจริตด้วยการไปรับงานหรืออามิสสินจ้างในการวิ่งเต้นคดี ตุลาการรัฐธรรมนูญจะกล้าลงโทษบุตรหลานด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐร่วมกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 วรรคท้าย ได้บัญญัติให้การพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใด จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวด้วย ดังนั้น การแต่งตั้งบุตรหลาน หรือคนรู้ใจมาเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมและจริยธรรม ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำสัญญาจ้างบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว ทำให้สัญญาดังกล่าวส่อเป็นสัญญาในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
"ชมรมกฎหมายภาคประชาชนจะไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการเปิดเผยชื่อของตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งบุตรและหลานมาเป็นเลขานุการอีกครั้ง" นายพร้อมพงศ์กล่าว
ไล่บี้จัดซื้อรถประจำตำแหน่ง
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การจัดซื้อรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 10 คัน ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า เป็นการจัดซื้อของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดก่อน ถือเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาได้เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้และมีการชี้มูลว่า น่าจะไม่ถูกต้องและส่อไปในทางทุจริต โดยมีเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน น่าจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ประกอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เคยเข้ามาตรวจสอบและทำหนังสือมาถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีมูลความผิดก็ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัย ซึ่งขณะนี้เวลาก็ผ่านมาประมาณ 3-4 เดือน แต่ยังไม่มีดำเนินการอะไร จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ได้มีการต่อรองในเรื่องนี้กันหรือไม่ และอยากเรียกร้องไปยังนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. ควรทำความจริงในเรื่องนี้ให้ปรากฏอีกครั้ง และควรทำหนังสือทวงถามทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไร
"เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถ ทราบมาว่า มีถึง 4 คน ที่ได้มาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิปที่มีการแอบถ่ายในห้องประชุมตุลาการ ที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 7 คนด้วย ซึ่งการที่ตั้งคนที่ยังมีปัญหามาตรวจสอบเรื่องสำคัญเช่นนี้ แล้วจะสามารถหาความจริงโดยปราศจากความกดดันได้อย่างไร ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการพูดว่า พวกผมมีต้นทุนต่ำในสังคม แต่ในวันนี้เรากำลังนำความจริงมาพูดให้สังคมได้รับรู้"นายพร้อมพงศ์กล่าว
สตง.ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายพร้อมพงศ์ พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือพร้อมคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดียุบ ปชป. ถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยระบุว่า นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้เสียหาย ควรดำเนินการเอาผิดผู้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้งในคลิป นายอภิชาตเป็นผู้ที่ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวพาดพิงถึง นายอภิชาตจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อรถประจำตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยี่ห้อเล็กซัส ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ย้อนหลัง หลังได้รับรายงานเบื้องต้นว่า สตง.เคยมีการเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่ามีความคืบหน้าอย่างใดบ้าง และมีผลการสอบสวนออกมาอย่างเป็นทางการหรือยัง เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อรถยนต์ดังกล่าว ยืนยันได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใด เป็นการดำเนินการของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดเก่าที่พ้นวาระไปแล้ว
ปชป.สรุปคำแถลงปิดคดียุบ
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบ ปชป. เปิดเผยภายหลังการประชุมทีมกฎหมายที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป. เป็นหัวหน้าทีม ว่าที่ประชุมได้สรุปคำแถลงปิดคดีในคดีกล่าวหา ปชป.ช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แล้ว โดยได้เพิ่มเอกสารที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจากเดิม 108 หน้า เป็น 115-119 หน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มรายละเอียดข้อมูล เพื่อให้มีน้ำหนักในสำนวนมากขึ้น และจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในเช้าวันที่ 28 ตุลาคมนี้
"นายชวนและนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ต่างแสดงความพอใจต่อการทำงานของคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ซึ่งนายชวนมีสีหน้ายิ้มแย้งแจ่มใส และได้กำชับให้ทีมกฎหมายลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย"นายวิรัตน์กล่าว
นายวิรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้หารือกันถึงกรณี พท.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเนื้อหาในคลิป แต่เรื่องนี้ ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ซื้อได้ ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ทำลาย กระบวนการรอบนี้จึงมุ่งทำลาย ซึ่งคลิปที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อสถาบันองคมตรี และตุลาการ เป็นการกระทำอย่างน่าละอาย แต่ยืนยันว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าว จะไม่มีผลต่อรูปคดียุบ ปชป.
ที่มา:มติชนออนไลน์
****************************************************************
"ตุลาการรธน."ให้สำนักงานเตรียมฟ้องหมิ่นผู้ให้ข่าวศาลรับใบสั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 27 ตุลาคม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกเอกสารข่าวสำนักงาน เรื่องการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันเดียวกันนี้ โดยที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนจนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดเผยคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประชุมพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นลำดับ ดังนี้
1.เมื่อวันที่ 28 กันยายน ได้มีบุคคลข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญว่า มีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และได้ให้ข่าวกับ
หนังสือพิมพ์ข่าวสดว่า “ทราบว่า เวลานี้รังสีอำมหิตได้ส่งไปช่วยไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน “พี่น้องประชาชนจะได้เห็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความหายนะของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญและคนไทยจะต้องตกตะลึงกับคลิปดังกล่าว ก็คือมีบุคคลคนหนึ่งไปรับงานเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้”
“ค่อยดูกันความลับไม่มีในโลก เราเชื่อว่า หากไม่มีใบสั่งใด ๆ พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปนานแล้ว"
ต่อมาได้มีการเผยแพร่คลิปภาพนิ่ง ของประธานองค์มนตรี นั่งอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดไปว่าได้มีใบสั่งไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ศาลในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 และมาตรา 198
พ่วงฟ้องอาญาคนนำคลิป5 ตอนแพร่ยูทูบ
2. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อ นำคลิปวีดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูบซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิปเป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซด์จึงเป็นการนำความลับในราชการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่า เป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323
นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิด โดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน
ถอนพาสปอร์ตข้าราชการ "พสิษฐ์"
ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินประเภทราชการ (Official Passport) ของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ย้ำห่วงบ้านเมืองไม่หวังตอบโต้คู่กรณีฝ่ายใดหากจำเป็นทำตามกฎหมาย
ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการจึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง
ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบ จะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้ง ๆ ตามลำดับต่อไป
ปธ.กก.สอบคลิปเผยขีดเส้นสอบคลิปใน 15 วัน เร่งลงลึกในรายละเอียด
ก่อนหน้านี้ เวลา 17.30 น. วันเดียวกัน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการที่ใช้เวลาการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องบุคคลใด เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดีได้
ทั้งนี้คณะกรรมการได้ยืนยันว่าจะสรุปการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 20 ตุลาคมตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และไม่ควรที่จะขยายเวลาการตรวจสบอออกไปอีก และเมื่อสรุปข้อเท็จจริงเสร็จแล้วจะรายงานผลให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับทราบก่อนเสนอให้คณะตุลาการต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ (28 ตุลาคม) ก็จะมีการประชุมอีกครั้ง โดยหลังจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใดซึ่งจะสามารถเรียกประชุมได้ในทันที
ปัดสอบวิ่งเต้นโยนหน่วยงานอื่นจัดการ ยันกก.โปร่งใส
ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น นายสนิท กล่าวว่า คงไม่สามารถตรวจสอบถึงเจตนาและเนื้อหาของคลิปดังกล่าวได้เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วที่จะดำเนินการเอาผิดได้ แต่คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการว่ามีวิธีการอย่างไรที่ทำให้การประชุมตุลาการถูกเล็ดลอดออกไปภายนอกได้
เมื่อถามถึงพรรคเพื่อไทยการกล่าวหาว่าในคณะกรรมการตรวจสอบมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งตุลาการนั้น นายสนิทยืนยันว่าไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ เพราะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้นไม่มีที่ไหนที่ถ้าคนทำสุจริตแล้วมาบอกว่าไม่สุจริต ยืนยันเรียกได้เลยว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว
เล็งออกหมายจับคดีคลิปฉาว
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปลับคดียุบ ปชป. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) และนายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปวิดีโอการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง เข้าชี้แจง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม
พล.ต.ต.ปัญญาชี้แจงว่า เบื้องต้นหลังจากรวบรวมหลักฐาน และพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ว่าด้วยการดูหมิ่นศาล หรือขัดขวางการพิพากษาของศาล การนำข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การแอบถ่ายตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เชื่อมั่นว่า การสืบสวนน่าจะกระจ่างแน่นอน เนื่องจากผู้กระทำผิดทิ้งร่องรอยไว้เยอะ และน่าจะออกหมายจับคนร้ายได้ภายในสัปดาห์หน้า
พบหลักฐานสาวถึงคนทำผิด
พ.ต.อ.ศิริพงษ์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่นำคลิปออกมาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบได้ แต่ขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน จะใช้การสืบสวนโดยอาศัยบริบทแวดล้อม รวมถึงกระบวนการที่ทำให้เกิดคลิปวิดีโอ ทั้งวันที่ถ่าย วันที่อัพโหลด โดยได้ติดต่อไปยังเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งเป็นของบริษัทกูเกิล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน และรักษาข้อมูลของลูกค้า
ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า คนร้ายทิ้งร่องรอยไว้เยอะ ตำรวจพบไอซีซี-ไอดี (หมายเลขที่กำหนดให้ใช้เฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์มือถือ) จำนวน 20 ตัว ที่สามารถพิสูจน์คนทำผิด ซึ่งซุกอยู่ในระบบ visual computer ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยจะตามร่องรอยจากจุดนี้เพื่อสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดให้ได้ ทั้งนี้ เรื่องหลักฐานจากเว็บไซต์ยูทูบ จะใช้ "เอ็มแลบ" คือการร่วมมือทางอาญา ซึ่งจะใช้ช่องทางในการสืบสวนหรือได้พยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายโดยผ่านช่องทางกองการต่างประเทศ ร้องขอไปยังหน่วยงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ เพื่อให้ช่วยขอหมายศาลจากศาลสูง เพื่อขอข้อมูลจากบริษัทกูเกิล
รู้"พสิษฐ์"ไปพบใครที่ฮ่องกง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.หลายคนได้สอบถามถึงการเอาผิดกับผู้ที่มีเจตนาเอาคลิปมาเผยแพร่ได้หรือไม่ รวมถึงจะเชิญนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในฮ่องกง มาสอบสวนได้หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า กรณีความผิดที่มีคนเอาเรื่องคลิปมาพูดก่อน ทางกองปราบปรามจะเก็บบรรยากาศของการสร้างเจตนาของบุคลที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญต้องสอบพยานที่ได้มีการคุยเรื่องคลิปก่อนที่จะมีการเผยแพร่ รวมทั้งสอบถามว่า คลิปได้มาอย่างไร โดยจะนำให้ศาลพิจารณา หากเข้าข่ายก็จะให้ศาลออกหมายจับ
"กรณีนายพสิษฐ์ที่เดินทางไปฮ่องกง เจ้าหน้าที่รู้ตั้งแต่วันที่เดินทางออกไป โดยชุดสืบสวนได้เก็บภาพที่สนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว ว่าใครไปส่ง ใครไปรับ หรือมีใครมาพบบ้าง โดยฝ่ายสืบสวนได้เก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ส่วนที่เดินทางไปฮ่องกง ก็ได้เก็บข้อมูลไว้แล้วว่า ไปพบใคร หากออกหมายจับแล้ว จะขอความร่วมมือไปยังต่างประเทศเพื่อดำเนินการจับกุม" พ.ต.อ.สุพิศาลกล่าว
พท.จี้สอบตุลาการรธน.ในคลิป
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พท. ในฐานะผู้ร้องร่วมกับนายทะเบียนพรรคการเมืองในคดียุบ ปชป. จากการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท เข้ายื่นหนังสือถึงนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านสำนักอำนวยกิจการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญคนใดเป็นผู้พูดหรืออภิปรายในเนื้อหาของคลิป
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เนื้อหาที่ปรากฏเป็นคำพูดในคลิปของตุลาการ ถือเป็นสาระสำคัญที่ควรต้องตรวจสอบว่าตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ใดเป็นผู้พูดหรืออภิปราย จะสอบเพียงแต่ที่มาของคลิป ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงขอให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง ได้สอบเนื้อหาและตุลาการผู้ที่ได้ปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าวในคลิป เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมที่สนใจติดตามเรื่องนี้ทราบต่อไป
ชี้ตั้ง"ลูกหลาน"ส่อผิดม.100
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการว่า พท.ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาทำหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ก่อนที่ตนจะเปิดเผยก็มีตุลาการบางคนตอบโต้ว่า สามารถตั้งใครก็ได้มาเป็นเลขานุการ จึงอยากตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้ามีบุตรหลานหรือเครือญาติของตุลาการไม่มาทำงาน แต่รับเงินเดือนทุกเดือน จะถือเป็นความผิดตามกฎระเบียบของทางราชการหรือไม่ และจะมีบทลงโทษอย่างไร หากบุตรหลานทำให้งานราชการเสียหาย จะมีใครกล้าออกคำสั่งลงโทษหรือไม่ และในกรณีที่บุตรหลานอาจมีการทุจริตด้วยการไปรับงานหรืออามิสสินจ้างในการวิ่งเต้นคดี ตุลาการรัฐธรรมนูญจะกล้าลงโทษบุตรหลานด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐร่วมกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 วรรคท้าย ได้บัญญัติให้การพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใด จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวด้วย ดังนั้น การแต่งตั้งบุตรหลาน หรือคนรู้ใจมาเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมและจริยธรรม ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำสัญญาจ้างบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว ทำให้สัญญาดังกล่าวส่อเป็นสัญญาในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
"ชมรมกฎหมายภาคประชาชนจะไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการเปิดเผยชื่อของตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งบุตรและหลานมาเป็นเลขานุการอีกครั้ง" นายพร้อมพงศ์กล่าว
ไล่บี้จัดซื้อรถประจำตำแหน่ง
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การจัดซื้อรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 10 คัน ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า เป็นการจัดซื้อของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดก่อน ถือเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาได้เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้และมีการชี้มูลว่า น่าจะไม่ถูกต้องและส่อไปในทางทุจริต โดยมีเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน น่าจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ประกอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เคยเข้ามาตรวจสอบและทำหนังสือมาถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีมูลความผิดก็ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัย ซึ่งขณะนี้เวลาก็ผ่านมาประมาณ 3-4 เดือน แต่ยังไม่มีดำเนินการอะไร จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ได้มีการต่อรองในเรื่องนี้กันหรือไม่ และอยากเรียกร้องไปยังนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. ควรทำความจริงในเรื่องนี้ให้ปรากฏอีกครั้ง และควรทำหนังสือทวงถามทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไร
"เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถ ทราบมาว่า มีถึง 4 คน ที่ได้มาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิปที่มีการแอบถ่ายในห้องประชุมตุลาการ ที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 7 คนด้วย ซึ่งการที่ตั้งคนที่ยังมีปัญหามาตรวจสอบเรื่องสำคัญเช่นนี้ แล้วจะสามารถหาความจริงโดยปราศจากความกดดันได้อย่างไร ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการพูดว่า พวกผมมีต้นทุนต่ำในสังคม แต่ในวันนี้เรากำลังนำความจริงมาพูดให้สังคมได้รับรู้"นายพร้อมพงศ์กล่าว
สตง.ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายพร้อมพงศ์ พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือพร้อมคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดียุบ ปชป. ถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยระบุว่า นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้เสียหาย ควรดำเนินการเอาผิดผู้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้งในคลิป นายอภิชาตเป็นผู้ที่ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวพาดพิงถึง นายอภิชาตจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อรถประจำตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยี่ห้อเล็กซัส ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ย้อนหลัง หลังได้รับรายงานเบื้องต้นว่า สตง.เคยมีการเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่ามีความคืบหน้าอย่างใดบ้าง และมีผลการสอบสวนออกมาอย่างเป็นทางการหรือยัง เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อรถยนต์ดังกล่าว ยืนยันได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใด เป็นการดำเนินการของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดเก่าที่พ้นวาระไปแล้ว
ปชป.สรุปคำแถลงปิดคดียุบ
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบ ปชป. เปิดเผยภายหลังการประชุมทีมกฎหมายที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป. เป็นหัวหน้าทีม ว่าที่ประชุมได้สรุปคำแถลงปิดคดีในคดีกล่าวหา ปชป.ช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แล้ว โดยได้เพิ่มเอกสารที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจากเดิม 108 หน้า เป็น 115-119 หน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มรายละเอียดข้อมูล เพื่อให้มีน้ำหนักในสำนวนมากขึ้น และจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในเช้าวันที่ 28 ตุลาคมนี้
"นายชวนและนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ต่างแสดงความพอใจต่อการทำงานของคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ซึ่งนายชวนมีสีหน้ายิ้มแย้งแจ่มใส และได้กำชับให้ทีมกฎหมายลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย"นายวิรัตน์กล่าว
นายวิรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้หารือกันถึงกรณี พท.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเนื้อหาในคลิป แต่เรื่องนี้ ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ซื้อได้ ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ทำลาย กระบวนการรอบนี้จึงมุ่งทำลาย ซึ่งคลิปที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อสถาบันองคมตรี และตุลาการ เป็นการกระทำอย่างน่าละอาย แต่ยืนยันว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าว จะไม่มีผลต่อรูปคดียุบ ปชป.
ที่มา:มติชนออนไลน์
****************************************************************
วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คนเรานี่ก็แปลก...
ตอนเป็น“คนธรรมดาๆ” ไม่มี “ตำแหน่งอะไร” หรือมี “หัวโขนใดๆ” จะทำตัวดีน่าคบหาไปหมด...เจอใครที่รู้จักก็ทักทายกันตามประสาว่า “รู้จักกันดี” มาก-น้อย...เพียงใด
แม้แต่โทรศัพท์...ยังถือเอง...รับสายเอง โดยไม่เห็นต้องมี “เลขาฯ หน้าม้า” มาคอย “เสนอหน้า” แทน แต่พอ “มีอำนาจ” เมื่อไหร่...ผมเห็นมาหลายคนหลายวงการแล้วว่า... เปลี่ยนไปจริงๆ
เพราะจากการสัมผัสด้วยตัวเอง...จากบรรดา ก๊วนเพื่อนฝูงที่นั่งเฮฮา...หารือกันสารพัดเรื่องราว... ที่แต่ก่อน “ใครอาวุโสน้อยกว่า” ก็จะอ่อนน้อมถ่อม ตน...ทักทาย “คนที่มีอาวุโสมากกว่า”...อันถือเป็น เรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่... อาทรกันและกัน
แต่ระยะหลัง...ที่ไปตามงานสังคมตามงานสังสรรค์ต่างๆ กลับได้เห็นถึง “วิวัฒนาการ” ในการเปลี่ยนแปลงของ “หลายคน” ที่เปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังมือ” จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่า... “อำนาจ” มันทำให้คน...เหลวไหลได้ถึงเพียงนี้... เชียวหรือ???
เพราะเจอหน้ากัน...แทนที่จะทักทายกันปกติ เหมือนก่อน...“แต่พอมีอำนาจบาตรใหญ่” กลับไม่เห็นหัว “เพื่อนฝูง” เหมือนแต่ก่อน...โทรศัพท์ก็ถือเองไม่เป็น...นัดหมายอะไรแต่ละที...ก็ยุ่งยาก เสียจริงๆ ยิ่งได้ยินได้ฟัง...พรรคพวกมาเล่าสู่กันฟัง... ถึงปูมหลังแต่ละคนที่ “ใหญ่โต” ในเวลานี้...ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่
ที่พูดนี้...เหมารวมทั้งแวดวงธุรกิจ-การเมือง-การทหาร...ที่ “แต่ละคน” ทั้งที่ผมรู้จักดี-เคยรู้จัก...และแสดงออกมาให้ได้เห็น...ทั้งผ่านเพื่อนฝูง-ญาติมิตร...และแม้กระทั่งได้เห็น “ด้วยตัวเอง”... แบบไม่ต้องให้ใครมา “บอก” หรือมา “ฟ้อง”
ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “นักการเมืองไทย” นี่เอง...หลายคนไม่ว่าจะอยู่ฟากไหน-ซีกไหน-พรรคไหน-กลุ่มไหน...พอยัง “ไร้อำนาจ” ก็ทำตัวน่ารัก-น่าคบหา-น่าทะนุถนอม แต่พอมีอำนาจมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว...ก็หยิ่งผยอง... นัดหมายอะไร ก็ยุ่งยาก แถมยัง “จองหอง” โชว์ให้ “คนรู้จัก” กันได้เห็นธาตุแท้อีกด้วย
แต่ที่ตลกก็คือ “คนเหล่านี้” พอไร้อำนาจไร้วาสนาทางการเมืองแล้ว...ก็หันกลับมาเป็น “คนเดิมๆ” ที่เคยได้เห็น...โดยที่ไม่มีอาการเคอะ เขิน...ว่าตัวเองเคยทำตัว “คางคกขึ้นวอ” มาก่อน!!!
หรือว่านี่คือ “สันดานของนักการเมืองพันธุ์แท้” ที่หากอยากจะเป็น “คนการเมือง ตัวจริง” ก็ต้องทำตัวเยี่ยงนี้...และต้องทำตัวให้ดูเหมาะสมกลมกลืน...ตามสถานการณ์ที่ตัวเอง “มีอำนาจ” หรือ “ไม่มีอำนาจ” โดยไม่สนใจ คนอื่นๆ ที่ต้องมาคอยรับรู้รับอารมณ์...ของเขา เลย...ว่าเห็นแล้ว “มันสุดแสนจะสมเพช” และ “เวทนา” ขนาดไหน...
ทุเรศจริงๆ...ขอบอก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*************************************************
แม้แต่โทรศัพท์...ยังถือเอง...รับสายเอง โดยไม่เห็นต้องมี “เลขาฯ หน้าม้า” มาคอย “เสนอหน้า” แทน แต่พอ “มีอำนาจ” เมื่อไหร่...ผมเห็นมาหลายคนหลายวงการแล้วว่า... เปลี่ยนไปจริงๆ
เพราะจากการสัมผัสด้วยตัวเอง...จากบรรดา ก๊วนเพื่อนฝูงที่นั่งเฮฮา...หารือกันสารพัดเรื่องราว... ที่แต่ก่อน “ใครอาวุโสน้อยกว่า” ก็จะอ่อนน้อมถ่อม ตน...ทักทาย “คนที่มีอาวุโสมากกว่า”...อันถือเป็น เรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่... อาทรกันและกัน
แต่ระยะหลัง...ที่ไปตามงานสังคมตามงานสังสรรค์ต่างๆ กลับได้เห็นถึง “วิวัฒนาการ” ในการเปลี่ยนแปลงของ “หลายคน” ที่เปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังมือ” จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่า... “อำนาจ” มันทำให้คน...เหลวไหลได้ถึงเพียงนี้... เชียวหรือ???
เพราะเจอหน้ากัน...แทนที่จะทักทายกันปกติ เหมือนก่อน...“แต่พอมีอำนาจบาตรใหญ่” กลับไม่เห็นหัว “เพื่อนฝูง” เหมือนแต่ก่อน...โทรศัพท์ก็ถือเองไม่เป็น...นัดหมายอะไรแต่ละที...ก็ยุ่งยาก เสียจริงๆ ยิ่งได้ยินได้ฟัง...พรรคพวกมาเล่าสู่กันฟัง... ถึงปูมหลังแต่ละคนที่ “ใหญ่โต” ในเวลานี้...ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่
ที่พูดนี้...เหมารวมทั้งแวดวงธุรกิจ-การเมือง-การทหาร...ที่ “แต่ละคน” ทั้งที่ผมรู้จักดี-เคยรู้จัก...และแสดงออกมาให้ได้เห็น...ทั้งผ่านเพื่อนฝูง-ญาติมิตร...และแม้กระทั่งได้เห็น “ด้วยตัวเอง”... แบบไม่ต้องให้ใครมา “บอก” หรือมา “ฟ้อง”
ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “นักการเมืองไทย” นี่เอง...หลายคนไม่ว่าจะอยู่ฟากไหน-ซีกไหน-พรรคไหน-กลุ่มไหน...พอยัง “ไร้อำนาจ” ก็ทำตัวน่ารัก-น่าคบหา-น่าทะนุถนอม แต่พอมีอำนาจมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว...ก็หยิ่งผยอง... นัดหมายอะไร ก็ยุ่งยาก แถมยัง “จองหอง” โชว์ให้ “คนรู้จัก” กันได้เห็นธาตุแท้อีกด้วย
แต่ที่ตลกก็คือ “คนเหล่านี้” พอไร้อำนาจไร้วาสนาทางการเมืองแล้ว...ก็หันกลับมาเป็น “คนเดิมๆ” ที่เคยได้เห็น...โดยที่ไม่มีอาการเคอะ เขิน...ว่าตัวเองเคยทำตัว “คางคกขึ้นวอ” มาก่อน!!!
หรือว่านี่คือ “สันดานของนักการเมืองพันธุ์แท้” ที่หากอยากจะเป็น “คนการเมือง ตัวจริง” ก็ต้องทำตัวเยี่ยงนี้...และต้องทำตัวให้ดูเหมาะสมกลมกลืน...ตามสถานการณ์ที่ตัวเอง “มีอำนาจ” หรือ “ไม่มีอำนาจ” โดยไม่สนใจ คนอื่นๆ ที่ต้องมาคอยรับรู้รับอารมณ์...ของเขา เลย...ว่าเห็นแล้ว “มันสุดแสนจะสมเพช” และ “เวทนา” ขนาดไหน...
ทุเรศจริงๆ...ขอบอก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
*************************************************
ส.ส.ในพื้นที่น้ำท่วม หลังน้ำลดเจอศึกน้ำลาย
โดย : บายไลน์ Resercher & Rewriter
ขานชื่อส.ส.โซนน้ำท่วม ใครเป็นใคร..ในวันวิกฤต หลังน้ำลดเจอ"ศึกน้ำลาย"
อุทกภัยในต้นฤดูหนาว พ.ศ.นี้ ขยายวงกว้างเกินกว่าที่คาดคิด ทั้งที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ข้อมูลล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปรายงานสถานการณ์ในช่วงวันที่ 10 - 23 ต.ค. 2553 พบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด 196 อำเภอ 1,419 ตำบล 9,365 หมู่บ้าน ปัจจุบันอุทกภัยคลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด
ภาครัฐ ทั้งในส่วนฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการ ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติมีปัญหา ไม่ทันท่วงที และไม่ประสานงานกัน
สำหรับนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน ทั้งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่สู้จะมีข่าวคราวว่าได้แสดงตัวตนช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงขอขานชื่อ ส.ส. 10 จังหวัด ที่จมบาดาลหนักที่สุดสิบกว่าจังหวัดดังนี้
นครราชสีมา ถึงขั้นประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทั้งจังหวัด น้ำท่วม 31 อำเภอ 376 ตำบล 2 ,158 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ เป็นอำเภอในเขตเลือกของ ส.ส.เขต สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา และ พรรคภูมิใจไทย
เขต 1 วัชรพล โตมรศักดิ์ รวมชาติพัฒนา นายประเสริฐ บุญชัยสุข พรรครวมชาติพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรครวมชาติพัฒนา
เขต 2 ประนอม โพธิ์คำ เพื่อแผ่นดิน ,จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล เพื่อแผ่นดิน ,พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ เพื่อไทย
เขต 3 บุญเลิศ ครุฑขุนทด เพื่อไทย, ลินดา เชิดชัย เพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เพื่อไทย
เขต 4 ทัศนียา รัตนเศรษฐ รวมชาติพัฒนา, ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน, อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ เพื่อแผ่นดิน
เขต 5 ภิรมย์ พลวิเศษ ภูมิใจไทย, สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ รวมชาติพัฒนา เขต 6 พลพีร์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน
ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรองลงมาจากโคราช น้ำท่วม 16 อำเภอ 113 ตำบล 1,305 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตเกือบทั้งจังหวัดเป็นฝ่ายค้าน มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว
เขต 1 เชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ชาติไทยพัฒนา,เจริญ จรรย์โกมล เพื่อไทย,มานะ โลหะวณิชย์ เพื่อไทย
เขต 2 สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เพื่อไทย,ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
เขต 3 ปาริชาติ ชาลีเครือ เพื่อไทย, สุนทรี ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
ลพบุรี เป็นจังหวัดในที่ราบลุ่มภาคกลางที่โดนหนักที่สุดใน น้ำท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ 120 ตำบล 1,012 หมู่บ้าน
เขตเลือกตั้งที่เจอภัยธรรมชาติหนักหนาสาหัส จะเป็นพื้นที่ของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล
เขต 1 มัลลิกา จิระพันธ์วาณิช ชาติไทยพัฒนา, ผ่องศรี ธาราภูมิ ประชาธิปัตย์,สุชาติ ลายน้ำเงิน เพื่อไทย
เขต 2 อำนวย คลังผา เพื่อไทย,นิยม วรปัญญา เพื่อไทย
พระนครศรีอยุธยา เจอภาวะน้ำเอ่อล้นจาก 3 แม่น้ำคือ เจ้าพระยา, ลพบุรี และแม่น้ำน้อย ท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ 54 ตำบล 297 หมู่บ้าน กรุงเก่าเป็นพื้นที่ ส.ส.เขตค่อนจังหวัด เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชาติไทยพัฒนา
เขต 1 สุรเชษฐ์ ชัยโกศล เพื่อไทย, พ้อง ชีวานันท์ เพื่อไทย, เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ชาติไทยพัฒนา
เขต 2 สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เพื่อไทย, วิทยา บุรณศิริ เพื่อไทย
สระบุรี เป็นที่ราบภาคกลางอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเจอน้ำทะลักจากเขื่อนป่าสัก และน้ำล้นจากทางด้านอยุธย น้ำท่วมในพื้นที่ 13 อำเภอ 111 ตำบล 973 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมเป็นเขตเลือกตั้งของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด
เขต 1 กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประชาธิปัตย์,ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ภูมิใจไทย
เขต 2 วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ประชาธิปัตย์, องอาจ วงษ์ประยูร ประชาธิปัตย์
ชัยนาท น้ำท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 40 ตำบล 342 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตมี 2 คน แยกกันอยู่คนละพรรค เขต 1 ชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เพื่อไทย,พรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ภูมิใจไทย
สุพรรณบุรี น้ำท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ 61 ตำบล 304 หมู่บ้าน
ดั่งที่ทราบกัน เมืองสุพรรณเป็นฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา หรือ "บรรหารยกจังหวัด"
เขต 1 นพดล มาตรศรี, นิติวัฒน์ จันทร์สว่าง, ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ เขต 2 เจรจา เที่ยงธรรม, พัชรี โพธสุธน
อ่างทอง น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 52 ตำบล 215 หมู่บ้าน
ในทางการเมือง ก็เป็นพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนาเหมือนกัน ส.ส.เขต จึงมีนามสกุลเดียวกันคือ ภราดร ปริศนานันทกุล และภคิน ปริศนานันทกุล
นนทบุรี ปลายน้ำที่กำลังอ่วมจากน้ำเหนือและน้ำหนุน เข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ
ส.ส.เขตก็แบ่งกันไป ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เขต 1 อุดมเดช รัตนเสถียร เพื่อไทย,นิทัศน์ ศรีนนท์ เพื่อไทย,มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ภูมิใจไทย
เขต 2 ณรงค์ จันทนดิษฐ ประชาธิปัตย์,ทศพล เพ็งส้ม ประชาธิปัตย์,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เพื่อไทย
ปทุมธานี น้ำท่วมซ้ำซาก เพราะเจอน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ,เขื่อนป่าสัก และเขื่อนท่าด่าน
จังหวัดนี้ "เพื่อไทยยกจังหวัด" ทั้งเขต 1 สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล, สุทิน นพขำ เขต 2 พรพิมล ธรรมสาร, ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี, ชูชาติ หาญสวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย
บุรีรัมย์ กลายเป็นเมืองทางผ่านของน้ำที่ไหลมาจากโคราช ทำให้ท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ
แม้ ส.ส.เขตอาจจะมีบางพรรคแทรกเข้ามา แต่โดยส่วนใหญ่ ก็อยู่ในสังกัด "บ้านใหญ่ชิดชอบ" โดยเฉพาะพื้นที่ลำปลายมาศ ของ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม
ส่วนที่เหลือเกือบ 20 จังหวัด น้ำท่วมกระจายตัว ได้รับผลกระทบไม่หนักเท่ากับจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น
ว่ากันว่า "น้ำท่วม" หรือ "แล้งเข็ญ" ล้วนเป็นวาทกรรมที่ "นักเลือกตั้ง" ใช้ประโยชน์ในทางการเมืองได้ทั้งสิ้น
ขานชื่อส.ส.โซนน้ำท่วม ใครเป็นใคร..ในวันวิกฤต หลังน้ำลดเจอ"ศึกน้ำลาย"
อุทกภัยในต้นฤดูหนาว พ.ศ.นี้ ขยายวงกว้างเกินกว่าที่คาดคิด ทั้งที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ข้อมูลล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปรายงานสถานการณ์ในช่วงวันที่ 10 - 23 ต.ค. 2553 พบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด 196 อำเภอ 1,419 ตำบล 9,365 หมู่บ้าน ปัจจุบันอุทกภัยคลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด
ภาครัฐ ทั้งในส่วนฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการ ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติมีปัญหา ไม่ทันท่วงที และไม่ประสานงานกัน
สำหรับนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน ทั้งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่สู้จะมีข่าวคราวว่าได้แสดงตัวตนช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงขอขานชื่อ ส.ส. 10 จังหวัด ที่จมบาดาลหนักที่สุดสิบกว่าจังหวัดดังนี้
นครราชสีมา ถึงขั้นประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทั้งจังหวัด น้ำท่วม 31 อำเภอ 376 ตำบล 2 ,158 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ เป็นอำเภอในเขตเลือกของ ส.ส.เขต สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา และ พรรคภูมิใจไทย
เขต 1 วัชรพล โตมรศักดิ์ รวมชาติพัฒนา นายประเสริฐ บุญชัยสุข พรรครวมชาติพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรครวมชาติพัฒนา
เขต 2 ประนอม โพธิ์คำ เพื่อแผ่นดิน ,จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล เพื่อแผ่นดิน ,พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ เพื่อไทย
เขต 3 บุญเลิศ ครุฑขุนทด เพื่อไทย, ลินดา เชิดชัย เพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เพื่อไทย
เขต 4 ทัศนียา รัตนเศรษฐ รวมชาติพัฒนา, ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน, อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ เพื่อแผ่นดิน
เขต 5 ภิรมย์ พลวิเศษ ภูมิใจไทย, สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ รวมชาติพัฒนา เขต 6 พลพีร์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน
ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรองลงมาจากโคราช น้ำท่วม 16 อำเภอ 113 ตำบล 1,305 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตเกือบทั้งจังหวัดเป็นฝ่ายค้าน มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว
เขต 1 เชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ชาติไทยพัฒนา,เจริญ จรรย์โกมล เพื่อไทย,มานะ โลหะวณิชย์ เพื่อไทย
เขต 2 สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เพื่อไทย,ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
เขต 3 ปาริชาติ ชาลีเครือ เพื่อไทย, สุนทรี ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
ลพบุรี เป็นจังหวัดในที่ราบลุ่มภาคกลางที่โดนหนักที่สุดใน น้ำท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ 120 ตำบล 1,012 หมู่บ้าน
เขตเลือกตั้งที่เจอภัยธรรมชาติหนักหนาสาหัส จะเป็นพื้นที่ของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล
เขต 1 มัลลิกา จิระพันธ์วาณิช ชาติไทยพัฒนา, ผ่องศรี ธาราภูมิ ประชาธิปัตย์,สุชาติ ลายน้ำเงิน เพื่อไทย
เขต 2 อำนวย คลังผา เพื่อไทย,นิยม วรปัญญา เพื่อไทย
พระนครศรีอยุธยา เจอภาวะน้ำเอ่อล้นจาก 3 แม่น้ำคือ เจ้าพระยา, ลพบุรี และแม่น้ำน้อย ท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ 54 ตำบล 297 หมู่บ้าน กรุงเก่าเป็นพื้นที่ ส.ส.เขตค่อนจังหวัด เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชาติไทยพัฒนา
เขต 1 สุรเชษฐ์ ชัยโกศล เพื่อไทย, พ้อง ชีวานันท์ เพื่อไทย, เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ชาติไทยพัฒนา
เขต 2 สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เพื่อไทย, วิทยา บุรณศิริ เพื่อไทย
สระบุรี เป็นที่ราบภาคกลางอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเจอน้ำทะลักจากเขื่อนป่าสัก และน้ำล้นจากทางด้านอยุธย น้ำท่วมในพื้นที่ 13 อำเภอ 111 ตำบล 973 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมเป็นเขตเลือกตั้งของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด
เขต 1 กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประชาธิปัตย์,ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ภูมิใจไทย
เขต 2 วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ประชาธิปัตย์, องอาจ วงษ์ประยูร ประชาธิปัตย์
ชัยนาท น้ำท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 40 ตำบล 342 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตมี 2 คน แยกกันอยู่คนละพรรค เขต 1 ชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เพื่อไทย,พรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ภูมิใจไทย
สุพรรณบุรี น้ำท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ 61 ตำบล 304 หมู่บ้าน
ดั่งที่ทราบกัน เมืองสุพรรณเป็นฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา หรือ "บรรหารยกจังหวัด"
เขต 1 นพดล มาตรศรี, นิติวัฒน์ จันทร์สว่าง, ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ เขต 2 เจรจา เที่ยงธรรม, พัชรี โพธสุธน
อ่างทอง น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 52 ตำบล 215 หมู่บ้าน
ในทางการเมือง ก็เป็นพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนาเหมือนกัน ส.ส.เขต จึงมีนามสกุลเดียวกันคือ ภราดร ปริศนานันทกุล และภคิน ปริศนานันทกุล
นนทบุรี ปลายน้ำที่กำลังอ่วมจากน้ำเหนือและน้ำหนุน เข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ
ส.ส.เขตก็แบ่งกันไป ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เขต 1 อุดมเดช รัตนเสถียร เพื่อไทย,นิทัศน์ ศรีนนท์ เพื่อไทย,มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ภูมิใจไทย
เขต 2 ณรงค์ จันทนดิษฐ ประชาธิปัตย์,ทศพล เพ็งส้ม ประชาธิปัตย์,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เพื่อไทย
ปทุมธานี น้ำท่วมซ้ำซาก เพราะเจอน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ,เขื่อนป่าสัก และเขื่อนท่าด่าน
จังหวัดนี้ "เพื่อไทยยกจังหวัด" ทั้งเขต 1 สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล, สุทิน นพขำ เขต 2 พรพิมล ธรรมสาร, ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี, ชูชาติ หาญสวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย
บุรีรัมย์ กลายเป็นเมืองทางผ่านของน้ำที่ไหลมาจากโคราช ทำให้ท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ
แม้ ส.ส.เขตอาจจะมีบางพรรคแทรกเข้ามา แต่โดยส่วนใหญ่ ก็อยู่ในสังกัด "บ้านใหญ่ชิดชอบ" โดยเฉพาะพื้นที่ลำปลายมาศ ของ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม
ส่วนที่เหลือเกือบ 20 จังหวัด น้ำท่วมกระจายตัว ได้รับผลกระทบไม่หนักเท่ากับจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น
ว่ากันว่า "น้ำท่วม" หรือ "แล้งเข็ญ" ล้วนเป็นวาทกรรมที่ "นักเลือกตั้ง" ใช้ประโยชน์ในทางการเมืองได้ทั้งสิ้น
น้ำท่วม-ตอผุด
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คำอธิบายภัยธรรมชาติครั้งนี้คือ ปรากฏการณ์ลานิญามาเร็วกว่าที่เคย ทำให้ปลายฤดูฝนกลับมีฝนตกชุกอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ผลก็คือน้ำบนภูเขาทะลักลงมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะรับมือทัน
ที่พูดกันมากก็คือ น้ำท่วมเกิดจากความสูญเสียพื้นที่ป่า ซึ่งจะสามารถซับน้ำให้ไหลลงจากภูเขาช้าลง (ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของป่าในแง่นี้ยังถกเถียงกันอยู่ในวงวิชาการ เพราะมีบางทรรศนะที่เห็นว่าป่าไม่สามารถทำหน้าที่ซับน้ำในลักษณะนี้ได้เลย) แต่การสูญเสียพื้นที่ป่า ไม่ได้เกิดจากผู้คน (ทั้งนายทุนและชาวบ้าน) เข้าไปบุกรุกป่าเท่านั้น แท้จริงแล้วดูจะเป็นนโยบายของรัฐที่จะส่งเสริมโดยทางอ้อมให้เกิดขึ้นด้วย
พืช เศรษฐกิจซึ่งทำเงินหล่อเลี้ยงการพัฒนาในระยะต้นนั้น จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ป่าและจำนวนมากเป็นพื้นที่ "ชายขอบ" ของการเกษตร เพราะกำไรจากการปลูกพืชเศรษฐกิจมีน้อยมาก จนเกินกว่าใครอยากจะลงทุนกับปัจจัยการผลิตคือที่ดินมากนัก ฉะนั้นผู้คนจึงบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ "ป่า" โดยจับจองหรือซื้อต่อจากรายอื่นในราคาไม่แพงนัก ในที่สุดก็สูญเสียที่ดินนั้นไปให้แก่ผู้อื่น เพราะความผันผวนของราคาพืชผล และการถูกเอาเปรียบในทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถตั้งตัวกับพืชเศรษฐกิจได้ บ้างก็รุกป่าต่อไป บ้างก็หันเข้าเมืองเพื่อหาอาชีพรับจ้าง
นโยบายของรัฐในระยะหลังคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่คาดว่าสามารถทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะยางพารา ผลคือพื้นที่ไร่ซึ่งโค่นถางป่าจนเรียบราบไปแล้ว ถูกเปลี่ยนมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวกันมากขึ้น แม้เป็นไม้ใหญ่ แต่พืชเชิงเดี่ยวที่หยั่งรากลงดินในระดับเดียวกัน ทำให้เกิดดานที่ราบเรียบเสมอกันใต้พื้นดิน เมื่อโดนฝนกระหน่ำลงเป็นเวลานาน ดินผิวหน้าก็เลื่อนไหลลงจากดานกลายเป็นดินถล่ม สร้างความเสียหายแก่พื้นที่เบื้องล่าง ซึ่งมักเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างหนัก
ในขณะเดียวกัน รัฐก็ปล่อยให้การถือครองที่ดินเป็นการเก็งกำไรทางเศรษฐกิจที่มั่นคงปลอดภัย และคุ้มทุนที่สุด ทำให้คนมีทรัพย์นิยมที่จะลงทุนถือครองที่ดิน อาจใช้ประโยชน์ในธุรกิจท่องเที่ยว หรือถึงไม่ทำอะไรเลย ก็คาดหวังได้ว่าจะทำกำไรในตอนขายได้มาก
ตราบเท่าที่นโยบาย การเกษตรและการจัดการที่ดินยังเหมือนเดิม ป่าก็ต้องสูญเสียพื้นที่ต่อไป ไม่ว่าจะกวดขันให้เจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้เข้มงวดสักเพียงไร และปรากฏการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง, ภาคกลางและภาคอีสานก็จะเกิดขึ้นเป็นประจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขื่อน และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อตอนจะสร้างก็มักให้เหตุผลไว้ข้อหนึ่งว่า ป้องกันน้ำท่วม แต่น้ำท่วมทุกครั้งรวมทั้งครั้งนี้ พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ในครั้งนี้ เขื่อนหลายต่อหลายแห่งต้องรีบปล่อยน้ำลงมาซ้ำเติม เพราะเสี่ยงที่จะเกิดเขื่อนแตก (และเขื่อนเอกชนของสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งก็แตกจริงๆ ด้วย ก่อความเสียหายแก่ชาวบ้านอย่างหนัก แต่จนบัดนี้ยังไม่สามารถเอาเจ้าของเขื่อนมารับผิดชอบได้) บางท่านอาจจะกล่าวว่า เพราะเขื่อนไม่รีบพร่องน้ำไว้ก่อน ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำฝนหนักในปลายฤดูได้ แต่กระบวนการตัดสินใจพร่องน้ำ พร่องมากน้อยเพียงไร พร่องช่วงไหน ฯลฯ นั้น เป็นอย่างไร มีข้อมูลหรือประสิทธิภาพเพียงใด ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่นอนก็คือขาดการประสานความรู้ของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง
อันที่จริง เขื่อนจำนวนมาก ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อจัดการน้ำ แต่สร้างขึ้นเพื่อกำเนิดพลังงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานเท่ากับที่อ้างไว้ในแผน เขื่อนเหล่านี้นอกจากสร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศอย่างหนัก จนทำให้ไม่คุ้มทุนในการก่อสร้าง ยังเป็นตัวระบายน้ำลงมาซ้ำเติมในขณะที่เกิดฝนชุกอีกด้วย บางครั้งก็เพิ่มพลังการผลิตโดยไม่แจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนท้ายเขื่อน
แต่ เขื่อน - ไม่ว่าจะสร้างเพื่อจัดการน้ำ หรือกำเนิดพลังงาน - เป็นโครงการที่ทุจริตได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นจึงมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักการเมืองและข้าราชการร่วมมือกันผลักดันการ สร้างเขื่อนอยู่ตลอดมา หมดพื้นที่ในประเทศไทยที่จะสร้าง ก็ย้ายไปสร้างในประเทศเพื่อนบ้านคือลำน้ำสาละวินและโขง
นโยบาย จัดการน้ำและพลังงานที่มุ่งจะป้อนน้ำและพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมต่างหาก ที่ทำให้น้ำท่วมหนัก
อีกด้านหนึ่งของความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งสื่อบางชนิดเฝ้าติดตามมาอย่างต่อเนื่อง คือระบบเตือนภัย แม้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดภัยพิบัติอย่างหนักถึงขั้น "ตายหมู่" แต่ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพก็สามารถบรรเทาความเสียหายที่เกิดแก่ชาว บ้านได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความทุลักทุเลของหน่วยงานบางแห่ง เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น
หลายชุมชนทั้งในเมืองและนอกเมืองประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ อย่างแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางชุมชนถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิงเพราะอพยพหลบภัยไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมักจะมองความไร้ประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยที่ เทคโนโลยี สิ่งนั้นขาด สิ่งนี้ขาด หากมีเครื่องมือพร้อม ทุกอย่างก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี
แต่ความบกพร่องของระบบเตือนภัยไม่ได้ อยู่ที่เทคโนโลยียังไม่พร้อม ที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการต่างหาก เช่นเดียวกับการจัดการทุกอย่างในประเทศไทย ระบบเตือนภัยธรรมชาติของเรามีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดียวกัน แม้มีการตั้งมิสเตอร์เตือนภัยขึ้นในบางชุมชนที่ถือว่าเป็นชุมชนเสี่ยง แต่การประสานงานภายในชุมชนเองกลับไม่ช่วยให้มิสเตอร์ทำงานอย่างได้ผล เพราะชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในการจัดระบบเตือนภัยของตนเอง เป็นความคิดและจัดการของราชการฝ่ายเดียว
ยิ่งกว่านี้ หากพิจารณากรณีน้ำท่วม ย่อมเห็นได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ระบบเตือนภัยควรมีเครือข่าย กล่าวคือแจ้งเตือนกล่วงหน้าแก่ชุมชนอื่นๆ ได้ตลอดเส้นทางน้ำ เครือข่ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากการจัดการของชาวบ้านเอง ไม่ใช่คำสั่งของราชการ
ระบบบริหารรัฐกิจของไทย ไม่เฉพาะแต่เรื่องของภัยธรรมชาติ แต่ทุกเรื่อง มีลักษณะรวมศูนย์อย่างแทบจะหาประเทศใดมาเทียบได้ยาก ระบบเช่นนี้เป็นระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อต่อการทุจริตฉ้อฉลในทุกรูปแบบ น้ำจะท่วมเมืองไทยไม่เลิก ตราบเท่าที่เรายังรวมศูนย์การบริหารเช่นนี้
มองให้เลยไกลไป จากน้ำ ก็จะเห็นความบกพร่องของระบบที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ภัยธรรมชาติทำความเสียหายให้แก่ผู้คนได้ระดับหนึ่ง แต่ภัยสังคมต่างหากที่ทำให้ความเสียหายนั้นขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด และบั่นทอนพลังของสังคมที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาอันสมควร
จำเป็น ต้องกล่าวด้วยว่า สื่อมีส่วนอย่างมากในการทำให้สังคมไทยไม่มองน้ำท่วมมากไปกว่าน้ำ, ลานิญา และพายุฝน ดังนั้น เมื่อน้ำลด "ตอ" ซึ่งคือตัวความบกพร่องของระบบก็กลับจะจมหายลึกลงไปในความไม่ใส่ใจของสังคม รอน้ำระลอกใหม่ที่จะไหลลงมาท่วมท้น จนทำให้สื่อไม่ต้องสนใจ "ตอ" อีกตามเดิม
ไม่มีสังคมใดในโลกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่ทุกสังคมควรมีสมรรถภาพที่จะแก้ไขตัวเองได้ ส่วนหนึ่งที่สังคมไทยไร้สมรรถภาพในแง่นี้ ก็เพราะเรามีสื่ออย่างที่เรามีอยู่ในขณะนี้
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก
หมายเหตุ: คัดลอกจากเรียงความของนักเรียน ป.4 คนหนึ่ง ซึ่งเขียนส่งอาจารย์เป็นการบ้านวิชาสังคมศึกษา
ถ้าฉันเป็นนายกรัฐมนตรี ในประเทศที่กำลังมีภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี
กินพื้นที่กว่า 30 จังหวัดหรือเกือบครึ่งประเทศ
ผู้คนเดือดร้อนหลายล้านคน
เป็นเวลายาวนานเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็ม
…. ฉันจะ
ฉันจะสั่งทำถุงยังชีพ ให้ข้างถุงเขียนว่า “มาจากภาษีประชาชน” ไม่ต้องให้ใครได้ “เอาหน้า” เพราะประชาชนเป็นคนทำงานเสียภาษีให้รัฐทุกปีอยู่แล้ว
ฉันจะจัดตั้ง “ศูนย์กลางแก้วิกฤติ” อย่างด่วนที่สุด ไม่รอให้เนิ่นช้ากว่า 7 วัน ไม่ปล่อยให้ “รัฐบาล” ซึ่งกินภาษีประชาชน ทำงานเชื่องช้ากว่าประชาชนด้วยกันเอง
ฉันจะเอา “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศอฉ.” นั่นแหละมาปัดฝุ่นแล้วลุยงานเลย เพราะฉันเชื่อว่า “น้ำท่วม” ก็เป็นเรื่อง “ฉุกเฉิน” ของชาติเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะภารกิจปราบม็อบเสื้อแดงเท่านั้นที่ฉุกเฉิน
ฉันจะตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าศูนย์ เพราะฉันคือผู้นำประเทศ และนี่คือช่วงเวลาที่ประเทศต้องการผู้นำ
ฉันจะไม่ตั้งที่ปรึกษาฯของฉันซึ่งไม่มีอำนาจอะไรทางกฏหมาย เป็นหัวหน้าศูนย์ โดยเฉพาะหากที่ปรึกษาคนนั้นเคยต้องลาออกจากตำแหน่งการเมืองด้วยเรื่องอื้อฉาวในอดีต
ฉันจะเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลในภาพกว้าง ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่า “น้ำ” ที่ท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปีนั้นมาจากไหน มาอย่างไร มาเมื่อไหร่ แล้วมันแตกต่างจากน้ำในปีก่อนๆอย่างไร และทำไมถึงต่าง
ฉันจะต้องรู้ด้วยว่าพื้นที่ไหนบ้างที่เดือดร้อนไปแล้ว พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อนในตอนนี้ และ พื้นที่ไหนที่น้ำจะท่วมต่อไปในวันพรุ่งนี้
และที่สำคัญคือ เมื่อไหร่ทุกอย่างจะคลี่คลาย
พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อน ฉันจะจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ (แดง เหลือง เขียว) ฉันอยากรู้ด้วยว่าในพื้นที่แต่ละแบบนั้นมีประชาชนอยู่กี่คน จุดไหนบ้าง พื้นที่ไหนเป็นสภาพเมือง พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่การเกษตร ฉันจะได้ส่งการช่วยเหลือไปอย่างเหมาะสม
ฉันจะกำหนดให้ศูนย์กลางแก้วิกฤติเป็นมากกว่า “คนประสานงาน” ระหว่างหน่วยงานราชการที่เชื่องช้า
ศูนย์กลางของฉันจะต้องทำหน้าที่ “บริหารทรัพยากร” ที่มีอยู่ให้ใช้ไปอย่างถูกที่ ถูกเวลา ด้วย
เงินทองที่เบิกจ่ายต้องโปร่งใสรวดเร็ว
ประมวลข้อมูลจากภาคสนามอย่างทันท่วงที
และประสานรับ “น้ำใจ” จากภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ
ดังนั้น ศูนย์ของฉันจะมีข้อมูลรายละเอียดว่าวันนี้ อำเภอไหนบ้างที่ขาดไฟฉายเข้าขั้นวิกฤต
ตำบลใดรับข้าวสารไปหุงกินเองได้ ตำบลใดต้องการอาหารสำเร็จรูปมากกว่า
เส้นทางไหนต้องใช้เรือ ใช้กี่ลำ มีคนติดอยู่แถวนั้นกี่คน
ฉันจะรู้ด้วยว่าถึงนาทีนี้ข้าวสาร น้ำดื่ม ทั้งที่จัดซื้อมาเอง และประสานกับภาคเอกชนนั้น มีกี่ขวด
แจกจ่ายไปจุดไหนบ้างแล้ว ไปถึงที่หมายช้าเร็วแค่ไหน
มีใครได้เกินความจำเป็นหรือไม่ มีใครที่ขาดแคลนอย่างหนักแต่ยังไม่ได้หรือเปล่า
เงินบริจาคทุกบาทจะต้องทำบัญชี แสดงที่มาที่ไป หน่วยงานไหนรับบริจาคมาเท่าไหร่ ต้องแสดงให้ชัดเจน เพราะมันจะมีผลต่อการกล่าวอ้างเพื่อยกเว้นภาษี อีกทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อฉลโดยใช้ความเดือดร้อนของคนร่วมชาติเป็นเครื่องมือ
อ้อ .. ฉันจะแจ้งให้กลุ่ม “ชาตินิยม” ทั้งหลายทราบด้วยว่า ตอนนี้แหละคือเรื่องของ “ชาติ” จริงๆ เพราะมันคือเรื่องของคนตัวเป็นๆที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ไม่ใช่ที่ดินผืนน้อยที่มีปัญหามาแต่โบราณ ใครอยากกู้ชาติ อยากพลีชีพ เชิญได้เต็มที่ในครั้งนี้ อย่ามัวแต่ไปต่อแถวกินโดนัทฉันจะต้องรู้ด้วยว่า “พื้นที่ปลอดภัย” ในแต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัดนั้นมีที่ไหนบ้าง จุดไหนที่สามารถอพยพผู้คนเข้าไปได้ จุดไหนยังเสี่ยง
ฉันจะจัดทำแผนอพยพที่ชัดเจน จะไปเส้นทางใด ใช้พาหนะใด ใช้เวลาเดินเท่าไหร่ และที่สำคัญ วันนี้ปลอดภัยแล้วพรุ่งนี้จะปลอดภัยไหม ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทำนายว่าอย่างไร
ดังนั้นหากรู้ว่า น้ำกำลังไหลจาก อำเภอ ก. ไป อำเภอ ข. ภายใน 12 ชั่วโมง ฉันจะได้สั่ง “อพยพ” ผู้คนได้ล่วงหน้า ทันเวลา ไม่ใช่เพียงแต่ทำงาน “ตามปัญหา”
ด้วยความที่ฉัน (และศูนย์กลางของฉัน) มีข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เห็นภาพกว้างที่สุด ฉันจะสามารถ “ประสาน” แนวทางการทำงานของแต่ละกลุ่ม ทั้งส่วนราชการต่างๆ หรือส่วนเอกชนอย่างอาสาสมัครกู้ภัย หรือกระทั่งสื่อมวลชน
ทุกคนจะได้ทำงานไปใน “ทาง” เดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน และได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ซ้ำซ้อน ลักลั่น ไร้ทิศทาง
ฉันเชื่อว่าในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ การส่งทรัพยากรอันจำกัดไปให้ถูกที่ ถูกเวลา นั้นสำคัญมาก – ใครขาดน้ำดื่มต้องได้น้ำดื่ม ใครขาดอาหารแห้งต้องได้อาหารแห้ง ใครป่วยต้องได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทันที – เพราะการใช้ทรัพยากรไปหนึ่งครั้ง มันมีค่าเสียโอกาสอยู่ด้วย
เรือที่ออกไปแจกข้าวสาร สามารถใช้ไปรับคนป่วยได้เช่นกันสำหรับพื้นที่ไหนที่น้ำยังไปไม่ถึง ฉันจะสั่งให้รีบ “เตรียมตัว” รับมือ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเอากระสอบทรายมา “กั้น” น้ำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องหมายถึงการเตรียมทางหนี ทีไล่ ระบบแจ้งเตือน จัดพื้นที่ปลอดภัยไว้รอรับปัญหา จัดอาหาร ยารักษาโรค ไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน
เราเพียงต้องรู้ให้ชัดว่าเมื่อไหร่ควรใช้อะไร ทำอะไร เพื่ออะไร
ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมีข้อมูลมุมกว้าง และต้องตัดสินใจอย่างจากภาพรวม
พื้นที่ไหนน้ำเริ่มลดแล้ว ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการ “แจกเงิน” อย่างมักง่ายเพียงอย่างเดียว เพราะฉันรู้ดีว่าเงินมีจำกัด และในสภาวะฉุกเฉินนั้น เงินอาจไม่ต่างจากกระดาษปึกหนึ่ง ที่อาจเอาไปซื้ออาหารมากินได้ไม่กี่มื้อ
ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชนในช่องทางอื่นด้วย เช่น อาจได้เวลาปล่อยสต๊อกข้าวในยุ้งของรัฐ อาจประสานงานกับภาคเอกชนว่าต้องการ “สินค้าเกษตร” เป็นของบริจาค และ อาจเอางบประมาณฉุกเฉินมา “จ้างงาน” ผู้ประสบภัยให้ “ทำอาหาร” แจกจ่ายคนอื่นๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยประชาชนได้ถึงสองต่อ (มีงานทำ ได้เงิน มีกิน) – ฉันหวังว่าไอเดียแบบเด็ก ป.4 ของฉันจะไม่ไร้เดียงสาเกินไปนัก
ฉันจะทำงานด้วยสำนึกในกะโหลกว่า “ผู้นำ” ประเทศมีหน้าที่รับทราบข้อมูล ประมวลผลในภาพกว้าง กำหนดกลยุทธ์ แนวทาง เป้าหมาย และ “ตัดสินใจ” ในทางเลือกสำคัญๆ
ผู้นำประเทศไม่ได้มีหน้าที่เพียง “รับฟัง” แล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานไปวันๆตามมีตามเกิด
ฉันรู้ดีว่าแนวทางเช่นนี้สำคัญมากในการ “บริหารวิกฤติ” และในฐานะ “นายกฯมือใหม่” ฉันจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด
เพราะจะว่าไป “น้ำท่วม” อาจเป็นภัยพิบัติที่ “เบา” ที่สุดแล้ว หากเทียบกับ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ หรือ ไวรัสระบาด
ฉันจะไม่ออกเดินทางพร่ำเพรื่อ หรือหากจะออกภาคสนาม ก็จะใช้ทรัพยากร (เช่น เจ้าหน้าที่ หรือ ยานพาหนะ) อย่างน้อยที่สุด เพราะสิ่งเหล่านั้นควรถูกนำไป “แก้ปัญหา” มากกว่ามาดูแลฉัน
ฉันจะพูดให้น้อย ทำงานให้มาก พูดเฉพาะเรื่องสำคัญๆ
เพราะรัฐบาลของฉันมีโฆษกกินเงินเดือนอยู่แล้ว
ฉันไม่อยากไปแย่งงานเขา ….
ที่มา: http://www.roodthanarak.com/2010/10/pm-flood/
"ดร.นันทวัฒน์"ข้องใจกรณีวิ่งเต้นยุบปชป.คนแต่งตั้งเลขาฯควรแสดงความรับผิดชอบ?"ภูมิใจไทย"นายกฯกล้าไหม!
ต้นสัปดาห์นี้ ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว็บไซต์ www.pub-law.net แสดงความเห็นผ่าน บทบรรณาธิการเรื่อง "ถามหาความรับผิดชอบ" ทั้งจากกรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นหลายเรื่องในรัฐบาล ดังนี้
@ ถามหาความรับผิดชอบ กรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ
มีผู้สื่อข่าวหลายคนสอบถามความเห็นของผมเกี่ยวกับกรณีที่เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” ที่ผู้กล่าวอ้างและผู้ถูกกล่าวอ้างมีหน้าที่ต้องพิสูจน์
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าควรต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความรับผิดชอบ” กันบ้างเพราะ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องความรับผิดชอบกันเท่าไรนัก ทำผิดแล้วเงียบหรือไม่ก็เถียงเอาชนะ !!
บทบรรณาธิการครั้งนี้ผมขอพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบโดยจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่กี่วันมาดูกันเล่น ๆ สักสองเรื่องเพื่อ “ถามหาความรับผิดชอบ” จากผู้เกี่ยวข้อง เรื่องแรกคือ การแต่งตั้งบุคคลให้เข้ามาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่าง การคัดสรรคนเข้ามารับตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นเลขานุการหรือที่ปรึกษานั้น เท่าที่ผมทราบก็คือไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว เป็นดุลพินิจของผู้ดำรงตำแหน่งแต่ละคนที่จะตั้งใครมาก็ได้
ในส่วนตัวผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งในช่วงของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ทำให้ทราบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่คนที่ตั้ง “นักวิชาการ” เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลืองานด้านวิชาการและให้คำปรึกษาทางวิชาการ ส่วนคนอื่นตั้งใครมาก็ไม่ทราบ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน
แต่จากข้อมูลที่ได้รับทราบ คนเหล่านั้นมีบางคนที่เป็น “เครือญาติ” บางคนก็มีความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ เมื่อตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งก็มีเงินค่าตอบแทน บางคนเอาลูกหลานตัวเองมาเป็นเลขานุการก็เคยมีมาแล้ว ไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรใดยังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คงต้องหาทางเอาข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบเพราะการตั้งคนมาเป็นเลขานุการหรือเป็นที่ปรึกษาคนระดับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น
@ ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบ !!!
แม้จะไม่มีหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้ง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมี “สำนึก” ว่าจะต้องตั้งคนที่มีความรู้ความสามารถและเคยมีประสบการณ์ในการทำงาน ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เมื่อบุคคลใดได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแล้วก็จะต้องรับทราบสถานะของคนที่ตนจะต้องมาทำงานด้วยและต้องประพฤติตน ดำรงตน ไม่แตกต่างไปจากผู้แต่งตั้งครับ
ส่วนตัวผู้แต่งตั้งนั้น จริงอยู่ที่บุคคลที่เป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ แม้ในเชิงโครงสร้างจะไม่ได้มีอำนาจอะไร แต่ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าในสังคมอุปถัมภ์ การแต่งตั้งคนสนิท คนใกล้ชิด หรือเครือญาติมาเป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ ถึงจะไปบอกบุคคลอื่นว่าไม่มีอำนาจ ถามจริง ๆ ใครจะเชื่อครับ !!!
เพราะฉะนั้น จึงขอฝากไปยังสื่อมวลชนทุกประเภทด้วยว่าช่วยกรุณาตรวจสอบผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา “ช่วย” ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นใครกันบ้าง มีความสามารถอย่างไร ได้ค่าตอบแทนเท่าไร เปิดมาดูกันให้หมดจะได้รู้กันไปเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร
ส่วนบุคคลที่มีปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้วันนี้จะถูกปลดออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบว่า คน ๆ นั้นเป็นใคร มีที่มาอย่างไร ชำนาญการเป็นเลขานุการมากแค่ไหน ได้ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นอย่างไรบ้างและที่สำคัญก็คือในช่วงเวลาที่ผ่านมามีบทบาทอย่างไรในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเท่าที่ได้ยินมานั้น “ไม่เบา” เลยครับ !!!
นอกจากนี้ ก็อยากฝากเป็นคำถามไว้กับสังคมไทยของเราด้วยว่า การใช้ดุลพินิจตั้งคนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่ง ต่อมาบุคคลดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง จริงอยู่แม้ในทางกฎหมายจะไม่มีการกำหนดให้ผู้แต่งตั้งต้องรับผิดชอบ แต่ในทางจริยธรรมและในระบบการบริหารราชการที่ดีนั้น ผู้แต่งตั้งจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบซึ่งก็คงไม่ใช่เพียงแค่ “ขอโทษ” แล้วจบกันนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะ “ระดับ” ความรับผิดชอบของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกันครับ บางคนเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัวเองก็ยังคงมีงานทำ มีเงินใช้ต่อไป สบายกว่าลาออกเป็นไหนๆ ครับ!!!
เรื่องต่อมา สืบเนื่องจากบทบรรณาธิการครั้งที่แล้วที่ผมได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีว่าไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงเนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาล วันนี้ นายกรัฐมนตรีมาในมาดใหม่แล้วครับ จากคำให้สัมภาษณ์ที่ได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ว่า หากรู้สึกอึดอัด ขอให้บอกมาอย่างเป็นทางการจะปรับออกให้ ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่ด้วยกันต้องทำตามกติการ่วมกันของรัฐบาล ทำให้รู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะเรียกความถูกต้องคืนมา เพราะที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้น มีข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองและในส่วนของพรรคภูมิใจไทย
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความพยายามในการแก้ปัญหา เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของบางคนที่มี “เรื่องอื้อฉาว” แต่การปรับเปลี่ยนก็ยังไม่ใช่คำตอบที่สังคมต้องการรับทราบเพราะเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน
ทุกครั้งนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเหมือน ๆ กันคือ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน เราก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีปลากระป๋องเน่า กรณีโครงการชุมชนพอเพียง กรณีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ก็ไม่ทราบว่าจะต้องรอคำตอบกันไปอีกนานแค่ไหนสำหรับกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ครับ
@ ทำไมสังคมจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทย
กลับมาดูในส่วนของพรรคภูมิใจไทยกันดีกว่า ผมชอบใจคำถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ถามนักข่าวและก็เป็นข่าวไปทั่วว่า อะไรที่เกี่ยวกับภูมิใจไทยถึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใสไปเสียหมด น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่นักข่าวคนนั้นเพราะถ้าผมเป็นนักข่าวคนนั้นผมจะต้องตอบกลับไปว่า ผู้ที่ตอบคำถามดังกล่าวได้ดีที่สุดก็คือผู้ถามนั่นเองครับ
ทำไมสังคมและสื่อมวลชนจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทยกันมากในเรื่องของการกระทำที่ไม่โปร่งใส เราคงไม่ต้องย้อนไปดูในรายละเอียดกันว่า พรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยใครบ้างและแต่ละคนมี “ประวัติความเป็นมา” อย่างไรเพราะอาจทำให้เกิด “อคติ” มากกว่าที่มีอยู่ก็เป็นได้ ผมคิดว่าเราน่าจะจำกัดการมองพรรคภูมิใจไทยอยู่ที่ “ผลงาน” ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาลจะดีกว่า
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าพรรคภูมิใจไทยดูแลรับผิดชอบกระทรวงสำคัญ ๆ อย่างเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทั้ง 3 ถือได้ว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศ เป็นกระทรวงที่ต้องการผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแต่ละด้านเข้ามาทำงานเพราะความเจริญของประเทศขึ้นอยู่กับกระทรวงทั้ง 3 แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า บุคคลทั้ง 3 ที่พรรคภูมิใจไทยส่งมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทั้ง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแผ่นดินไทยหรือไม่
ผมคงไม่ต้องตอบหรืออธิบายอะไรในเรื่องนั้นครับ เพียงแต่คิดง่าย ๆ ว่าประเทศชาติไม่ใช่ห้องทดลองหรือสถานที่ฝึกงานของคนแค่นั้นเอง ส่วนที่มีปัญหาจริง ๆ ก็คือ การทำงานของกระทรวงทั้ง 3 ที่จะว่าไปแล้วก็มีข่าวออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คาบลูกคาบดอกกับการทุจริตคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยกระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องเกี่ยวกับ “การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ” ที่วันนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพราะคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมได้สั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งนายอำเภอ 41 ตำแหน่ง
@ จาก 41 นายอำเภอถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ....งามหน้าไหม
เนื่องจาก “คำสั่งแต่งตั้งมาจากกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา” งามหน้าไหมครับ !!! ก็ต้องดูกันต่อว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบกันบ้างหรือจะรอให้มีการ “ลากคอ” ผู้กระทำความผิดมาลงโทษก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่อง “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย” ก็ใช่ย่อย เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 31 สิงหาคม 2553 ให้การแต่งตั้งอธิบดีกรมพัฒนาชุมชนเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนอธิบดีกรมการปกครองที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว ผมรับทราบเรื่องดังกล่าวจากการอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ทราบว่ามติคณะรัฐมนตรีเป็นลักษณะนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ต้องขอให้บรรดาผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายหน่อยว่า ข้าราชการขอไม่รับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งได้ด้วยหรือครับ ผมเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้
ตอนที่มีการแต่งตั้งตำรวจคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญแต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลต่างชาติแสดงความไม่เห็นด้วย ก็มีข่าวว่าตำรวจคนนั้นขอไม่รับตำแหน่งเช่นกันครับ !!!
จริง ๆ แล้วเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในโครงการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ของกระทรวงมหาดไทยในวงเงิน 3,490 ล้านบาท ที่ขณะนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนขึ้นมาดำเนินการค้นหาความจริงแล้วครับ เพราะฉะนั้น เรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่มากที่คณะรัฐมนตรีต้องให้ความระมัดระวังว่าหากจะแต่งตั้งใครสักคนขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็จะต้องทำการตรวจสอบคุณสมบัติให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดอาการแบบนี้คือ ตั้งแล้วเปลี่ยนซึ่งเป็นการทำลายระบบราชการอย่างมาก
@ โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา
โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา ถ้าเป็นรัฐบาลทักษิณคงถูกนำมาโจมตีและโยงไปถึงเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้วเพราะเท่าที่ทราบจากข่าวได้มีการเสนอแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว เข้าใจว่ารอโปรดเกล้าฯ อยู่แล้วก็คงมีการถอนเรื่องออกมา รัฐบาลคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
กระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยก็เช่นเดียวกัน การเช่ารถเมล์ 4,000 คันที่แพงกว่าซื้อเป็นเรื่องที่เข้า ๆ ออก ๆ การประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ส่วนของสังคมตั้งข้อสงสัยใน “ความโปร่งใส” แล้วก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน เข้าใจว่าเรื่องนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ ล่าสุดที่เป็นข่าวดังไปทั่วก็คือ เรื่องลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิที่น่าอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องที่คาดว่าจะตามมาที่เพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คือ หลังน้ำท่วมกระทรวงคมนาคมต้องใช้งบอีกพันล้านบาทเพื่อซ่อมแซมถนนและทางรถไฟที่ได้รับความเสียหาย ส่วนกระทรวงพาณิชย์นั้นก็มีข่าวออกมาตลอดในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องการขายข้าว เป็นต้น ผมคงไม่สามารถนำทุกเรื่องมากล่าวไว้ได้หมดในที่นี้ครับ
รวมความแล้ว 3 กระทรวงสำคัญที่พรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบมีข่าวคราวในเรื่องความไม่โปร่งใสออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยสงสัยว่าทำไมมีข่าวดังกล่าวก็คงต้องให้ความกระจ่างกับสังคมนะครับ คงต้องตอบคำถามกันอย่างเป็นทางการ เป็นระบบ ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่ตอบคำถามแบบแปลก ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดก็เพราะระหว่างที่เป็นรัฐบาล กระบวนการตรวจสอบภายในรัฐบาลเองทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ้นจากตำแหน่งจึงมีการขุดคุ้ยกันออกมามากมายหลายเรื่อง ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางคนต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวและคณะรัฐมนตรีก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในบางเรื่องด้วย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลนี้ต้องพึงระลึกถึงอยู่เสมอ
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล โอกาสที่จะถูก “เอาคืน” มีอยู่สูงมาก และในวันนั้นอาจมีหลายคนที่ต้อง “รับโทษ” เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้
กลับมาสู่คำถามที่นายกรัฐมนตรีต้องตอบก็คือ กล้าแค่ไหนที่จะจัดการกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ การตัดสินใจอะไรจึงควรยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ความรับผิดชอบดังกล่าวต้องนำมาวางไว้บนตาชั่งด้านหนึ่งเสมอครับ !!!
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*****************************************************************
@ ถามหาความรับผิดชอบ กรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ
มีผู้สื่อข่าวหลายคนสอบถามความเห็นของผมเกี่ยวกับกรณีที่เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” ที่ผู้กล่าวอ้างและผู้ถูกกล่าวอ้างมีหน้าที่ต้องพิสูจน์
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าควรต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความรับผิดชอบ” กันบ้างเพราะ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องความรับผิดชอบกันเท่าไรนัก ทำผิดแล้วเงียบหรือไม่ก็เถียงเอาชนะ !!
บทบรรณาธิการครั้งนี้ผมขอพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบโดยจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่กี่วันมาดูกันเล่น ๆ สักสองเรื่องเพื่อ “ถามหาความรับผิดชอบ” จากผู้เกี่ยวข้อง เรื่องแรกคือ การแต่งตั้งบุคคลให้เข้ามาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่าง การคัดสรรคนเข้ามารับตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นเลขานุการหรือที่ปรึกษานั้น เท่าที่ผมทราบก็คือไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว เป็นดุลพินิจของผู้ดำรงตำแหน่งแต่ละคนที่จะตั้งใครมาก็ได้
ในส่วนตัวผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งในช่วงของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ทำให้ทราบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่คนที่ตั้ง “นักวิชาการ” เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลืองานด้านวิชาการและให้คำปรึกษาทางวิชาการ ส่วนคนอื่นตั้งใครมาก็ไม่ทราบ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน
แต่จากข้อมูลที่ได้รับทราบ คนเหล่านั้นมีบางคนที่เป็น “เครือญาติ” บางคนก็มีความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ เมื่อตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งก็มีเงินค่าตอบแทน บางคนเอาลูกหลานตัวเองมาเป็นเลขานุการก็เคยมีมาแล้ว ไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรใดยังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คงต้องหาทางเอาข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบเพราะการตั้งคนมาเป็นเลขานุการหรือเป็นที่ปรึกษาคนระดับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น
@ ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบ !!!
แม้จะไม่มีหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้ง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมี “สำนึก” ว่าจะต้องตั้งคนที่มีความรู้ความสามารถและเคยมีประสบการณ์ในการทำงาน ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เมื่อบุคคลใดได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแล้วก็จะต้องรับทราบสถานะของคนที่ตนจะต้องมาทำงานด้วยและต้องประพฤติตน ดำรงตน ไม่แตกต่างไปจากผู้แต่งตั้งครับ
ส่วนตัวผู้แต่งตั้งนั้น จริงอยู่ที่บุคคลที่เป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ แม้ในเชิงโครงสร้างจะไม่ได้มีอำนาจอะไร แต่ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าในสังคมอุปถัมภ์ การแต่งตั้งคนสนิท คนใกล้ชิด หรือเครือญาติมาเป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ ถึงจะไปบอกบุคคลอื่นว่าไม่มีอำนาจ ถามจริง ๆ ใครจะเชื่อครับ !!!
เพราะฉะนั้น จึงขอฝากไปยังสื่อมวลชนทุกประเภทด้วยว่าช่วยกรุณาตรวจสอบผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา “ช่วย” ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นใครกันบ้าง มีความสามารถอย่างไร ได้ค่าตอบแทนเท่าไร เปิดมาดูกันให้หมดจะได้รู้กันไปเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร
ส่วนบุคคลที่มีปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้วันนี้จะถูกปลดออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบว่า คน ๆ นั้นเป็นใคร มีที่มาอย่างไร ชำนาญการเป็นเลขานุการมากแค่ไหน ได้ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นอย่างไรบ้างและที่สำคัญก็คือในช่วงเวลาที่ผ่านมามีบทบาทอย่างไรในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเท่าที่ได้ยินมานั้น “ไม่เบา” เลยครับ !!!
นอกจากนี้ ก็อยากฝากเป็นคำถามไว้กับสังคมไทยของเราด้วยว่า การใช้ดุลพินิจตั้งคนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่ง ต่อมาบุคคลดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง จริงอยู่แม้ในทางกฎหมายจะไม่มีการกำหนดให้ผู้แต่งตั้งต้องรับผิดชอบ แต่ในทางจริยธรรมและในระบบการบริหารราชการที่ดีนั้น ผู้แต่งตั้งจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบซึ่งก็คงไม่ใช่เพียงแค่ “ขอโทษ” แล้วจบกันนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะ “ระดับ” ความรับผิดชอบของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกันครับ บางคนเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัวเองก็ยังคงมีงานทำ มีเงินใช้ต่อไป สบายกว่าลาออกเป็นไหนๆ ครับ!!!
เรื่องต่อมา สืบเนื่องจากบทบรรณาธิการครั้งที่แล้วที่ผมได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีว่าไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงเนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาล วันนี้ นายกรัฐมนตรีมาในมาดใหม่แล้วครับ จากคำให้สัมภาษณ์ที่ได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ว่า หากรู้สึกอึดอัด ขอให้บอกมาอย่างเป็นทางการจะปรับออกให้ ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่ด้วยกันต้องทำตามกติการ่วมกันของรัฐบาล ทำให้รู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะเรียกความถูกต้องคืนมา เพราะที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้น มีข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองและในส่วนของพรรคภูมิใจไทย
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความพยายามในการแก้ปัญหา เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของบางคนที่มี “เรื่องอื้อฉาว” แต่การปรับเปลี่ยนก็ยังไม่ใช่คำตอบที่สังคมต้องการรับทราบเพราะเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน
ทุกครั้งนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเหมือน ๆ กันคือ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน เราก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีปลากระป๋องเน่า กรณีโครงการชุมชนพอเพียง กรณีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ก็ไม่ทราบว่าจะต้องรอคำตอบกันไปอีกนานแค่ไหนสำหรับกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ครับ
@ ทำไมสังคมจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทย
กลับมาดูในส่วนของพรรคภูมิใจไทยกันดีกว่า ผมชอบใจคำถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ถามนักข่าวและก็เป็นข่าวไปทั่วว่า อะไรที่เกี่ยวกับภูมิใจไทยถึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใสไปเสียหมด น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่นักข่าวคนนั้นเพราะถ้าผมเป็นนักข่าวคนนั้นผมจะต้องตอบกลับไปว่า ผู้ที่ตอบคำถามดังกล่าวได้ดีที่สุดก็คือผู้ถามนั่นเองครับ
ทำไมสังคมและสื่อมวลชนจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทยกันมากในเรื่องของการกระทำที่ไม่โปร่งใส เราคงไม่ต้องย้อนไปดูในรายละเอียดกันว่า พรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยใครบ้างและแต่ละคนมี “ประวัติความเป็นมา” อย่างไรเพราะอาจทำให้เกิด “อคติ” มากกว่าที่มีอยู่ก็เป็นได้ ผมคิดว่าเราน่าจะจำกัดการมองพรรคภูมิใจไทยอยู่ที่ “ผลงาน” ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาลจะดีกว่า
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าพรรคภูมิใจไทยดูแลรับผิดชอบกระทรวงสำคัญ ๆ อย่างเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทั้ง 3 ถือได้ว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศ เป็นกระทรวงที่ต้องการผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแต่ละด้านเข้ามาทำงานเพราะความเจริญของประเทศขึ้นอยู่กับกระทรวงทั้ง 3 แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า บุคคลทั้ง 3 ที่พรรคภูมิใจไทยส่งมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทั้ง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแผ่นดินไทยหรือไม่
ผมคงไม่ต้องตอบหรืออธิบายอะไรในเรื่องนั้นครับ เพียงแต่คิดง่าย ๆ ว่าประเทศชาติไม่ใช่ห้องทดลองหรือสถานที่ฝึกงานของคนแค่นั้นเอง ส่วนที่มีปัญหาจริง ๆ ก็คือ การทำงานของกระทรวงทั้ง 3 ที่จะว่าไปแล้วก็มีข่าวออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คาบลูกคาบดอกกับการทุจริตคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยกระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องเกี่ยวกับ “การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ” ที่วันนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพราะคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมได้สั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งนายอำเภอ 41 ตำแหน่ง
@ จาก 41 นายอำเภอถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ....งามหน้าไหม
เนื่องจาก “คำสั่งแต่งตั้งมาจากกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา” งามหน้าไหมครับ !!! ก็ต้องดูกันต่อว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบกันบ้างหรือจะรอให้มีการ “ลากคอ” ผู้กระทำความผิดมาลงโทษก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่อง “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย” ก็ใช่ย่อย เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 31 สิงหาคม 2553 ให้การแต่งตั้งอธิบดีกรมพัฒนาชุมชนเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนอธิบดีกรมการปกครองที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว ผมรับทราบเรื่องดังกล่าวจากการอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ทราบว่ามติคณะรัฐมนตรีเป็นลักษณะนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ต้องขอให้บรรดาผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายหน่อยว่า ข้าราชการขอไม่รับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งได้ด้วยหรือครับ ผมเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้
ตอนที่มีการแต่งตั้งตำรวจคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญแต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลต่างชาติแสดงความไม่เห็นด้วย ก็มีข่าวว่าตำรวจคนนั้นขอไม่รับตำแหน่งเช่นกันครับ !!!
จริง ๆ แล้วเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในโครงการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ของกระทรวงมหาดไทยในวงเงิน 3,490 ล้านบาท ที่ขณะนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนขึ้นมาดำเนินการค้นหาความจริงแล้วครับ เพราะฉะนั้น เรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่มากที่คณะรัฐมนตรีต้องให้ความระมัดระวังว่าหากจะแต่งตั้งใครสักคนขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็จะต้องทำการตรวจสอบคุณสมบัติให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดอาการแบบนี้คือ ตั้งแล้วเปลี่ยนซึ่งเป็นการทำลายระบบราชการอย่างมาก
@ โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา
โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา ถ้าเป็นรัฐบาลทักษิณคงถูกนำมาโจมตีและโยงไปถึงเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้วเพราะเท่าที่ทราบจากข่าวได้มีการเสนอแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว เข้าใจว่ารอโปรดเกล้าฯ อยู่แล้วก็คงมีการถอนเรื่องออกมา รัฐบาลคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
กระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยก็เช่นเดียวกัน การเช่ารถเมล์ 4,000 คันที่แพงกว่าซื้อเป็นเรื่องที่เข้า ๆ ออก ๆ การประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ส่วนของสังคมตั้งข้อสงสัยใน “ความโปร่งใส” แล้วก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน เข้าใจว่าเรื่องนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ ล่าสุดที่เป็นข่าวดังไปทั่วก็คือ เรื่องลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิที่น่าอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องที่คาดว่าจะตามมาที่เพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คือ หลังน้ำท่วมกระทรวงคมนาคมต้องใช้งบอีกพันล้านบาทเพื่อซ่อมแซมถนนและทางรถไฟที่ได้รับความเสียหาย ส่วนกระทรวงพาณิชย์นั้นก็มีข่าวออกมาตลอดในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องการขายข้าว เป็นต้น ผมคงไม่สามารถนำทุกเรื่องมากล่าวไว้ได้หมดในที่นี้ครับ
รวมความแล้ว 3 กระทรวงสำคัญที่พรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบมีข่าวคราวในเรื่องความไม่โปร่งใสออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยสงสัยว่าทำไมมีข่าวดังกล่าวก็คงต้องให้ความกระจ่างกับสังคมนะครับ คงต้องตอบคำถามกันอย่างเป็นทางการ เป็นระบบ ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่ตอบคำถามแบบแปลก ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดก็เพราะระหว่างที่เป็นรัฐบาล กระบวนการตรวจสอบภายในรัฐบาลเองทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ้นจากตำแหน่งจึงมีการขุดคุ้ยกันออกมามากมายหลายเรื่อง ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางคนต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวและคณะรัฐมนตรีก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในบางเรื่องด้วย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลนี้ต้องพึงระลึกถึงอยู่เสมอ
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล โอกาสที่จะถูก “เอาคืน” มีอยู่สูงมาก และในวันนั้นอาจมีหลายคนที่ต้อง “รับโทษ” เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้
กลับมาสู่คำถามที่นายกรัฐมนตรีต้องตอบก็คือ กล้าแค่ไหนที่จะจัดการกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ การตัดสินใจอะไรจึงควรยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ความรับผิดชอบดังกล่าวต้องนำมาวางไว้บนตาชั่งด้านหนึ่งเสมอครับ !!!
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*****************************************************************
ไม่ใส่ใจ
ไม่รู้ว่าจะดีใจ หรือน้ำตาไหลดี!??
เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์บัญชาการ!??
ที่เกิดสับสนในความรู้สึกเพราะศูนย์แห่งนี้ เพิ่งตั้งขึ้นมาหลังเกิดเหตุน้ำท่วมมานานนับสัปดาห์แล้ว
ทั้งๆที่ภัยน้ำท่วมเกิดในช่วงนี้เป็นประจำทุกปี และก่อนที่น้ำจะทะลักทะล้นท่วมกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีประกาศเตือนล่วงหน้าตั้งแต่ฝนถล่มในภาคเหนือแล้ว
เรียกว่ามีเวลา 2-3 สัปดาห์ในการรับมือ
แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต
ผู้เกี่ยวข้องยังกล้าปล่อยให้น้ำท่วมทะลักทะล้นทั้งภาคอีสานยันภาคกลาง และเข้าสู่กรุงเทพฯเรียบร้อย
จริงๆ แล้วศูนย์นี้ควรจะตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนน้ำเหนือไหลบ่าลงมาภาคกลาง-อีสานด้วยซ้ำ
งบฉุกเฉินของรัฐบาลที่มีอยู่ในมือต้องผ่องถ่ายไปยังหน่วยงานหรือจังหวัดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ทุกอย่างสงบเงียบอย่างยิ่ง!??
จริงๆ แล้วปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี หน่วยงานของรัฐบาลอย่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มีภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบสภาพน้ำท่วมย้อนหลังได้หลายปี
ภาพจากดาวเทียมฟ้องชัดเจนว่าในทุกๆ ปี น้ำก็มาตามเส้นทางเดิม และท่วมจุดเดิมๆ
อยู่ที่ว่าปีไหนมาก ปีไหนน้อยเท่านั้น
รัฐบาลมีเครื่องมือและบทเรียนในอดีตที่ทำให้รู้ล่วงหน้า แต่กลับไม่ป้องกันอย่างทันท่วงที
แม้ไม่ง่ายที่จะป้องกันแต่เชื่อว่าหากเตรียมการดีกว่านี้ ประชาชนคงไม่เดือดร้อนเท่านี้
หรือการเตรียมตั้งศูนย์ประสานงานตั้งแต่เนิ่นๆ จัดเตรียมงบฯไว้ล่วงหน้า เพราะรู้อยู่แล้วว่าน้ำจะท่วมจุดใดบ้าง
แต่ก็เปล่าเลย ปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญชะตากรรมตามลำพัง
แม้ขนาดเกิดเรื่องขึ้นแล้วยังขยับตัวอุ้ยอ้ายอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะที่จ.นครราชสีมา ปล่อยให้ท่วมอยู่นานหลายวันแม้กระทั่งร.พ.มหาราช ซึ่งเป็นร.พ.ขนาดใหญ่ ก็ดูเหมือนให้เป็นไปตามยถากรรม
ร้อนถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่ทรงพักรักษาพระวรกาย ต้องมีพระราชดำริให้เร่งช่วยเหลือ
เมื่อนั้นแหละร.พ.มหาราช จึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดน้ำท่วมในเวลาแค่วันเดียว!!!
นี่ก็แสดงว่าหากจะช่วยจริงๆ ก็ทำได้ แต่ไม่ได้ทำ หรือไม่ใส่ใจจะทำ
อย่าให้คนเขานินทาพูดกันได้ว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะภาคเหนือ-อีสาน และภาคกลาง
ไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียงของประชาธิปัตย์!??
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
*****************************************************
เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์บัญชาการ!??
ที่เกิดสับสนในความรู้สึกเพราะศูนย์แห่งนี้ เพิ่งตั้งขึ้นมาหลังเกิดเหตุน้ำท่วมมานานนับสัปดาห์แล้ว
ทั้งๆที่ภัยน้ำท่วมเกิดในช่วงนี้เป็นประจำทุกปี และก่อนที่น้ำจะทะลักทะล้นท่วมกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีประกาศเตือนล่วงหน้าตั้งแต่ฝนถล่มในภาคเหนือแล้ว
เรียกว่ามีเวลา 2-3 สัปดาห์ในการรับมือ
แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต
ผู้เกี่ยวข้องยังกล้าปล่อยให้น้ำท่วมทะลักทะล้นทั้งภาคอีสานยันภาคกลาง และเข้าสู่กรุงเทพฯเรียบร้อย
จริงๆ แล้วศูนย์นี้ควรจะตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนน้ำเหนือไหลบ่าลงมาภาคกลาง-อีสานด้วยซ้ำ
งบฉุกเฉินของรัฐบาลที่มีอยู่ในมือต้องผ่องถ่ายไปยังหน่วยงานหรือจังหวัดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ทุกอย่างสงบเงียบอย่างยิ่ง!??
จริงๆ แล้วปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี หน่วยงานของรัฐบาลอย่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มีภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบสภาพน้ำท่วมย้อนหลังได้หลายปี
ภาพจากดาวเทียมฟ้องชัดเจนว่าในทุกๆ ปี น้ำก็มาตามเส้นทางเดิม และท่วมจุดเดิมๆ
อยู่ที่ว่าปีไหนมาก ปีไหนน้อยเท่านั้น
รัฐบาลมีเครื่องมือและบทเรียนในอดีตที่ทำให้รู้ล่วงหน้า แต่กลับไม่ป้องกันอย่างทันท่วงที
แม้ไม่ง่ายที่จะป้องกันแต่เชื่อว่าหากเตรียมการดีกว่านี้ ประชาชนคงไม่เดือดร้อนเท่านี้
หรือการเตรียมตั้งศูนย์ประสานงานตั้งแต่เนิ่นๆ จัดเตรียมงบฯไว้ล่วงหน้า เพราะรู้อยู่แล้วว่าน้ำจะท่วมจุดใดบ้าง
แต่ก็เปล่าเลย ปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญชะตากรรมตามลำพัง
แม้ขนาดเกิดเรื่องขึ้นแล้วยังขยับตัวอุ้ยอ้ายอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะที่จ.นครราชสีมา ปล่อยให้ท่วมอยู่นานหลายวันแม้กระทั่งร.พ.มหาราช ซึ่งเป็นร.พ.ขนาดใหญ่ ก็ดูเหมือนให้เป็นไปตามยถากรรม
ร้อนถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่ทรงพักรักษาพระวรกาย ต้องมีพระราชดำริให้เร่งช่วยเหลือ
เมื่อนั้นแหละร.พ.มหาราช จึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดน้ำท่วมในเวลาแค่วันเดียว!!!
นี่ก็แสดงว่าหากจะช่วยจริงๆ ก็ทำได้ แต่ไม่ได้ทำ หรือไม่ใส่ใจจะทำ
อย่าให้คนเขานินทาพูดกันได้ว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะภาคเหนือ-อีสาน และภาคกลาง
ไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียงของประชาธิปัตย์!??
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
*****************************************************
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เปิดแผลใหม่ตุลาการตั้งลูก-หลานนั่งเลขาฯกินเงินเดือนไม่ทำงาน
จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“พร้อมพงศ์” แฉซ้ำตุลาการตั้งเครือญาติเป็นเลขาฯกินเงินเดือน 40,000 บาท โดยไม่ได้นั่งทำงานจริง ยันเคยมีคนร้องให้สอบเรื่องนี้แล้วแต่เงียบ ซัดประชาธิปัตย์อย่าบิดเบือนโยนเรื่องการถ่ายและเผยแพร่คลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคมาให้เพื่อไทย บี้ “วิรัช” ตอบเรื่องสนทนากับบิ๊กสีเขียวที่ห้องอาหารญี่ปุ่นในโรงแรมดัง เตรียมส่ง ส.ส. ยื่นเรื่องทีมสอบข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ สืบหาตุลาการเจ้าของเสียงในคลิปที่ 4 เพราะมีเนื้อหาผิดหลักจริยธรรมชัดเจน ดักคออย่ามุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปโดยไม่สนใจเนื้อหา โฆษกการเมืองใหม่จี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญแค่ขอโทษไม่เพียงพอ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ ด้าน ส.ส.ประชาธิปัตย์เรียงหน้าโต้กระบวนการทำงานศาลไม่ยอมรามือ เชื่อคดียุบพรรคผลออกแบบไหนก็ไม่จบ จะมีการสร้างหลักฐานใหม่โจมตีทำลายศาลไปเรื่อยๆ
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นเรื่องให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำคลิปฉาวการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยอยากจะเน้นย้ำคือ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง และทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะให้ใครหลอกล่อไปถ่ายคลิปได้ง่ายๆ
เพื่อไทยบี้สอบหาตุลาการในคลิป
“นายวิรัชยังไม่ตอบเรื่องห้องที่ไปเปิดที่โรงแรมเรดิสันและเรื่องห้องอาหารญี่ปุ่น แต่กลับพยายามเบี่ยงประเด็นว่าเป็นฝีมือของพรรคเพื่อไทยที่เป็นผู้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคได้พิจารณาเนื้อหาในคลิปชุดที่ 3-5 ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่าเนื้อหาของบทสนทนาที่ปรากฏว่าจะผิดจริยธรรม ซึ่งนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานีของพรรค จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสอบสวนที่ศาลรัฐธรรมนูญตั้งขึ้นให้พิจารณาประเด็นนี้ด้วย เพื่อให้การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของศาลรัฐธรรมนูญ
มีหลายเรื่องพูดจาไม่เหมาะสม
“ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือ เนื้อหาที่ปรากฏในคลิปตอนที่ 4 ที่จะต้องตรวจสอบว่ามีการพูดจากันอย่างนั้นจริงหรือไม่ และเสียงที่พูดนั้นเป็นเสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านใด เพราะมีหลายประโยคที่ไม่เหมาะสม เช่น บอกว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่าทำตัวเป็นฤาษีหลังม่าน หรือคำพูดที่ว่าให้ผู้สื่อข่าวไปกดดัน ถ้าท่านไม่มาก็เสียคน” นายพร้อมพงศ์กล่าว
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้อง ไม่ใช่มุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปเท่านั้น แต่ควรตรวจสอบเนื้อหาที่ปรากฏด้วย ไม่อย่างนั้นจะได้ความจริงไม่ครบถ้วน
จี้ชี้แจงผลสอบซื้อรถหรูแพงเกินจริง
นายพร้อมพงศ์ระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยได้รับการร้องเรียนจากฝั่งรัฐบาลให้ตรวจสอบข้อมูลเรื่องการซื้อรถยนต์ยี่ห้อเลกซัสของศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 10 คัน ซึ่งพบว่าไม่น่าโปร่งใสและส่อไปในทางมิชอบ เนื่องจากการเสนอซื้อครั้งแรกซื้อในราคาคันละ 2.6 ล้านบาท แต่พอครั้งที่ 2 ราคาขึ้นเป็นคันละ 3 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างถึงคันละ 400,000 บาท รวม 10 คัน 4 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้มีคนร้องเรียนให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบแล้ว จึงอยากให้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่า สตง. ออกมาชี้แจงความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
แฉตั้งลูก-หลานกินเงินเดือนไม่ทำงาน
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังได้รับการร้องเรียนให้ช่วยตรวจสอบการแต่งตั้งเลขานุการในศาลรัฐธรรมนูญ โดยพรรคได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเรื่องนี้ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายเรื่อง เช่น มีตุลาการบางคนนำลูกของตัวเองมาเป็นเลขานุการและกินเงินเดือน 40,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น อยากให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยว่าจริงหรือไม่ และเมื่อกินเงินเดือนแล้วไม่อยู่ในประเทศไทย แต่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศโดยมีบางคนที่มีอำนาจเซ็นให้ และเงิน 40,000 บาทต่อเดือนก็ยังรับอยู่ฟรีๆ ซึ่งตอนนี้กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าชื่อ “กล้า” ไม่ทราบว่าชื่อย่อหรือไม่
มีชื่อเป็นเลขาฯแต่ตัวขายกาแฟ
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ยังมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนเอาหลานชายมาเป็นเลขานุการและได้รับเงินเดือน แต่ไปเปิดร้านขายกาแฟสดอยู่ใต้ถุนศูนย์ราชการ ไม่ได้มาทำงาน และยังอีกคนหนึ่งเอาหลาน 2 คนมาเป็นผู้ช่วยเลขานุการและเป็นเลขานุการด้วย
“ข้อมูลอย่างนี้ฝ่ายค้านไม่รู้หรอก หากคนในรัฐบาลไม่ส่งมาให้ เขาให้ข้อมูลด้วยว่าคนที่ลงชื่อรับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ชื่อมยุรี เศวตตาสัย เป็นเจ้าหน้าที่ศาล ผมไม่รู้ว่าคนที่ส่งข้อมูลนี้มาจะเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวกกับนายวิรัช แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการหักกันเองในพรรคประชาธิปัตย์” นายพร้อมพงศ์
“เทพไท” อัดเพื่อไทยเล่นไม่เลิก
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเล่นไม่เลิกกรณีจะไปแจ้งความกับกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค และทำหนังสือถึงกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบภาษีย้อนหลังของพรรค กรณีใช้เอกสารภาษีเท็จหรือหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับรัฐ
“การจะยื่นตรวจสอบพรรคเพื่อไทยต้องไปดูก่อนว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำผิดตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ และคดีขาดอายุความไปหรือยัง” นายเทพไทพร้อมยืนยันว่า ภายในพรรคไม่มีความแตกแยก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าคลิปฉาวต่างๆเป็นเรื่องที่คนในพรรคทำเพื่อทำลายกันเอง ส่วนตัวยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวการในการเผยแพร่คลิป
ท้ามีคลิปคุยในห้องอาหารให้เปิด
“ที่บอกว่ามีคลิปใหม่ โดยมีบุคคล 3 คนภายในคลิปเดิมไปพบกับบิ๊กทหารที่ห้องอาหารญี่ปุ่น โรงแรมเรดิสัน หากมีก็ให้เอามาเปิดเผย ไม่ใช่พูดจาสร้างเรื่องไปวันๆ” นายเทพไทกล่าวและว่า พรรคเพื่อไทยไม่ควรกล่าวอ้างถึงบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคในลักษณะจับแพะชนแกะ เพื่อแต่งนิยายให้สังคมเห็นว่ามีกระบวนการให้ความช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่รับผิดชอบ ทำให้คนอื่นเสียหาย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำลายกระบวนการยุติธรรมจะไม่ยุติแม้พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระบวนการทำลายศาลเริ่มตั้งแต่การตัดสินคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พยายามบิดเบือนให้สังคมเข้าใจไขว้เขว
กระบวนการทำลายศาลจะไม่ยุติ
“กระบวนการนี้จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆด้วยการสร้างหลักฐานใหม่และเชื่อมโยงกันอย่างไร้น้ำหนัก เช่น คลิป การพูดถึงคนใกล้ชิดพรรคมีผลต่อคดียุบพรรคเป็นการสร้างเรื่องด้วยการต่อจิ๊กซอว์อย่างไม่มีข้อมูลเพียงพอ และจะดำเนินการจนกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ผมอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญมั่นคง รักษาความเป็นกลางในการตัดสินคดี ดำรงไว้ด้วยความยุติธรรมตามข้อเท็จจริงเพื่อเป็นหลักให้กับสังคม” นายสาธิตกล่าว
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยควบคุมพฤติกรรมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มคนเสื้แดง รวมถึงนายพร้อมพงศ์ที่ร่วมกันให้ข่าวบิดเบือนทำร้ายกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังกดดันคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และใช้เป็นประเด็นปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาก่อความวุ่นวายขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้
ตรวจสอบได้แต่อย่าสร้างเรื่องเท็จ
“การตรวจสอบความสุจริตยุติธรรมขององค์กรต่างๆเป็นหน้าที่โดยชอบของพรรคการเมือง แต่การสร้างข่าวเท็จและการจัดฉากเหมือนสร้างละครถือเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นการสุ่มเสี่ยงให้อำนาจนอกระบบก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” นายอรรถพรกล่าวและว่า หลายเรื่องที่ผ่านมาสังคมได้พิสูจน์แล้วว่าข้อมูลของนายจตุพรและนายพร้อมพงศ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นเท็จเกือบทั้งหมด หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ควบคุมพฤติกรรมของคนพวกนี้ หลังการเลือกตั้งหากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะล่มสลายแน่นอน
หวั่นฆ่าตัดตอน “พสิษฐ์”
ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค แสดงความเป็นห่วงนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในคลิปฉาวว่า อาจะถูกฆ่าตัดตอนได้ นายพสิษฐ์จึงไม่ควรเงียบหายไป ควรออกมาพูดความจริงกับสังคมว่ามีการจัดฉากใส่ร้ายหรือมีกระบวนการล็อบบี้จริง
“การเงียบหายไปไม่เป็นประโยชน์ต่อนายพสิษฐ์เอง และยิ่งทำให้ประชาชนคลางแคลงใจในกระบวนการวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์” นายสุริยะใสกล่าวและว่า ขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเอาคลิปชุดที่ 2 ที่ระบุว่ามีบิ๊กทหารเกี่ยวข้องมาเปิดเผยหากมีคลิปดังกล่าวอยู่ในมือจริง เพราะหากตั้งใจปล่อยข่าวโดยไม่มีหลักฐานอยู่ในมือจะเข้าข่ายจ้องทำลายกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียว กันพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรเร่งตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ หากพบว่ามีคนของพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องต้องลงโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน
ระบุ “ชัช” แค่ขอโทษยังไม่พอ
นายสุริยะใสไม่พูดชัดเจนว่านายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ควรแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการลาออกหรือไม่ โดยระบุว่า เรื่องนี้กระทบต่อความเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก ไม่ว่านายชัชจะรับรู้ก่ารกระทำของนายพสิษฐ์หรือไม่ แต่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ การขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
**********************************************************************
“พร้อมพงศ์” แฉซ้ำตุลาการตั้งเครือญาติเป็นเลขาฯกินเงินเดือน 40,000 บาท โดยไม่ได้นั่งทำงานจริง ยันเคยมีคนร้องให้สอบเรื่องนี้แล้วแต่เงียบ ซัดประชาธิปัตย์อย่าบิดเบือนโยนเรื่องการถ่ายและเผยแพร่คลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคมาให้เพื่อไทย บี้ “วิรัช” ตอบเรื่องสนทนากับบิ๊กสีเขียวที่ห้องอาหารญี่ปุ่นในโรงแรมดัง เตรียมส่ง ส.ส. ยื่นเรื่องทีมสอบข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ สืบหาตุลาการเจ้าของเสียงในคลิปที่ 4 เพราะมีเนื้อหาผิดหลักจริยธรรมชัดเจน ดักคออย่ามุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปโดยไม่สนใจเนื้อหา โฆษกการเมืองใหม่จี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญแค่ขอโทษไม่เพียงพอ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ ด้าน ส.ส.ประชาธิปัตย์เรียงหน้าโต้กระบวนการทำงานศาลไม่ยอมรามือ เชื่อคดียุบพรรคผลออกแบบไหนก็ไม่จบ จะมีการสร้างหลักฐานใหม่โจมตีทำลายศาลไปเรื่อยๆ
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นเรื่องให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำคลิปฉาวการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยอยากจะเน้นย้ำคือ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง และทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะให้ใครหลอกล่อไปถ่ายคลิปได้ง่ายๆ
เพื่อไทยบี้สอบหาตุลาการในคลิป
“นายวิรัชยังไม่ตอบเรื่องห้องที่ไปเปิดที่โรงแรมเรดิสันและเรื่องห้องอาหารญี่ปุ่น แต่กลับพยายามเบี่ยงประเด็นว่าเป็นฝีมือของพรรคเพื่อไทยที่เป็นผู้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคได้พิจารณาเนื้อหาในคลิปชุดที่ 3-5 ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่าเนื้อหาของบทสนทนาที่ปรากฏว่าจะผิดจริยธรรม ซึ่งนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานีของพรรค จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสอบสวนที่ศาลรัฐธรรมนูญตั้งขึ้นให้พิจารณาประเด็นนี้ด้วย เพื่อให้การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของศาลรัฐธรรมนูญ
มีหลายเรื่องพูดจาไม่เหมาะสม
“ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือ เนื้อหาที่ปรากฏในคลิปตอนที่ 4 ที่จะต้องตรวจสอบว่ามีการพูดจากันอย่างนั้นจริงหรือไม่ และเสียงที่พูดนั้นเป็นเสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านใด เพราะมีหลายประโยคที่ไม่เหมาะสม เช่น บอกว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่าทำตัวเป็นฤาษีหลังม่าน หรือคำพูดที่ว่าให้ผู้สื่อข่าวไปกดดัน ถ้าท่านไม่มาก็เสียคน” นายพร้อมพงศ์กล่าว
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้อง ไม่ใช่มุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปเท่านั้น แต่ควรตรวจสอบเนื้อหาที่ปรากฏด้วย ไม่อย่างนั้นจะได้ความจริงไม่ครบถ้วน
จี้ชี้แจงผลสอบซื้อรถหรูแพงเกินจริง
นายพร้อมพงศ์ระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยได้รับการร้องเรียนจากฝั่งรัฐบาลให้ตรวจสอบข้อมูลเรื่องการซื้อรถยนต์ยี่ห้อเลกซัสของศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 10 คัน ซึ่งพบว่าไม่น่าโปร่งใสและส่อไปในทางมิชอบ เนื่องจากการเสนอซื้อครั้งแรกซื้อในราคาคันละ 2.6 ล้านบาท แต่พอครั้งที่ 2 ราคาขึ้นเป็นคันละ 3 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างถึงคันละ 400,000 บาท รวม 10 คัน 4 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้มีคนร้องเรียนให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบแล้ว จึงอยากให้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่า สตง. ออกมาชี้แจงความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
แฉตั้งลูก-หลานกินเงินเดือนไม่ทำงาน
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังได้รับการร้องเรียนให้ช่วยตรวจสอบการแต่งตั้งเลขานุการในศาลรัฐธรรมนูญ โดยพรรคได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเรื่องนี้ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายเรื่อง เช่น มีตุลาการบางคนนำลูกของตัวเองมาเป็นเลขานุการและกินเงินเดือน 40,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น อยากให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยว่าจริงหรือไม่ และเมื่อกินเงินเดือนแล้วไม่อยู่ในประเทศไทย แต่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศโดยมีบางคนที่มีอำนาจเซ็นให้ และเงิน 40,000 บาทต่อเดือนก็ยังรับอยู่ฟรีๆ ซึ่งตอนนี้กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าชื่อ “กล้า” ไม่ทราบว่าชื่อย่อหรือไม่
มีชื่อเป็นเลขาฯแต่ตัวขายกาแฟ
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ยังมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนเอาหลานชายมาเป็นเลขานุการและได้รับเงินเดือน แต่ไปเปิดร้านขายกาแฟสดอยู่ใต้ถุนศูนย์ราชการ ไม่ได้มาทำงาน และยังอีกคนหนึ่งเอาหลาน 2 คนมาเป็นผู้ช่วยเลขานุการและเป็นเลขานุการด้วย
“ข้อมูลอย่างนี้ฝ่ายค้านไม่รู้หรอก หากคนในรัฐบาลไม่ส่งมาให้ เขาให้ข้อมูลด้วยว่าคนที่ลงชื่อรับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ชื่อมยุรี เศวตตาสัย เป็นเจ้าหน้าที่ศาล ผมไม่รู้ว่าคนที่ส่งข้อมูลนี้มาจะเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวกกับนายวิรัช แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการหักกันเองในพรรคประชาธิปัตย์” นายพร้อมพงศ์
“เทพไท” อัดเพื่อไทยเล่นไม่เลิก
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเล่นไม่เลิกกรณีจะไปแจ้งความกับกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค และทำหนังสือถึงกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบภาษีย้อนหลังของพรรค กรณีใช้เอกสารภาษีเท็จหรือหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับรัฐ
“การจะยื่นตรวจสอบพรรคเพื่อไทยต้องไปดูก่อนว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำผิดตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ และคดีขาดอายุความไปหรือยัง” นายเทพไทพร้อมยืนยันว่า ภายในพรรคไม่มีความแตกแยก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าคลิปฉาวต่างๆเป็นเรื่องที่คนในพรรคทำเพื่อทำลายกันเอง ส่วนตัวยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวการในการเผยแพร่คลิป
ท้ามีคลิปคุยในห้องอาหารให้เปิด
“ที่บอกว่ามีคลิปใหม่ โดยมีบุคคล 3 คนภายในคลิปเดิมไปพบกับบิ๊กทหารที่ห้องอาหารญี่ปุ่น โรงแรมเรดิสัน หากมีก็ให้เอามาเปิดเผย ไม่ใช่พูดจาสร้างเรื่องไปวันๆ” นายเทพไทกล่าวและว่า พรรคเพื่อไทยไม่ควรกล่าวอ้างถึงบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคในลักษณะจับแพะชนแกะ เพื่อแต่งนิยายให้สังคมเห็นว่ามีกระบวนการให้ความช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่รับผิดชอบ ทำให้คนอื่นเสียหาย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำลายกระบวนการยุติธรรมจะไม่ยุติแม้พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระบวนการทำลายศาลเริ่มตั้งแต่การตัดสินคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พยายามบิดเบือนให้สังคมเข้าใจไขว้เขว
กระบวนการทำลายศาลจะไม่ยุติ
“กระบวนการนี้จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆด้วยการสร้างหลักฐานใหม่และเชื่อมโยงกันอย่างไร้น้ำหนัก เช่น คลิป การพูดถึงคนใกล้ชิดพรรคมีผลต่อคดียุบพรรคเป็นการสร้างเรื่องด้วยการต่อจิ๊กซอว์อย่างไม่มีข้อมูลเพียงพอ และจะดำเนินการจนกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ผมอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญมั่นคง รักษาความเป็นกลางในการตัดสินคดี ดำรงไว้ด้วยความยุติธรรมตามข้อเท็จจริงเพื่อเป็นหลักให้กับสังคม” นายสาธิตกล่าว
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยควบคุมพฤติกรรมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มคนเสื้แดง รวมถึงนายพร้อมพงศ์ที่ร่วมกันให้ข่าวบิดเบือนทำร้ายกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังกดดันคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และใช้เป็นประเด็นปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาก่อความวุ่นวายขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้
ตรวจสอบได้แต่อย่าสร้างเรื่องเท็จ
“การตรวจสอบความสุจริตยุติธรรมขององค์กรต่างๆเป็นหน้าที่โดยชอบของพรรคการเมือง แต่การสร้างข่าวเท็จและการจัดฉากเหมือนสร้างละครถือเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นการสุ่มเสี่ยงให้อำนาจนอกระบบก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” นายอรรถพรกล่าวและว่า หลายเรื่องที่ผ่านมาสังคมได้พิสูจน์แล้วว่าข้อมูลของนายจตุพรและนายพร้อมพงศ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นเท็จเกือบทั้งหมด หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ควบคุมพฤติกรรมของคนพวกนี้ หลังการเลือกตั้งหากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะล่มสลายแน่นอน
หวั่นฆ่าตัดตอน “พสิษฐ์”
ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค แสดงความเป็นห่วงนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในคลิปฉาวว่า อาจะถูกฆ่าตัดตอนได้ นายพสิษฐ์จึงไม่ควรเงียบหายไป ควรออกมาพูดความจริงกับสังคมว่ามีการจัดฉากใส่ร้ายหรือมีกระบวนการล็อบบี้จริง
“การเงียบหายไปไม่เป็นประโยชน์ต่อนายพสิษฐ์เอง และยิ่งทำให้ประชาชนคลางแคลงใจในกระบวนการวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์” นายสุริยะใสกล่าวและว่า ขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเอาคลิปชุดที่ 2 ที่ระบุว่ามีบิ๊กทหารเกี่ยวข้องมาเปิดเผยหากมีคลิปดังกล่าวอยู่ในมือจริง เพราะหากตั้งใจปล่อยข่าวโดยไม่มีหลักฐานอยู่ในมือจะเข้าข่ายจ้องทำลายกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียว กันพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรเร่งตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ หากพบว่ามีคนของพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องต้องลงโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน
ระบุ “ชัช” แค่ขอโทษยังไม่พอ
นายสุริยะใสไม่พูดชัดเจนว่านายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ควรแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการลาออกหรือไม่ โดยระบุว่า เรื่องนี้กระทบต่อความเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก ไม่ว่านายชัชจะรับรู้ก่ารกระทำของนายพสิษฐ์หรือไม่ แต่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ การขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)