--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"ต้องเปิดพื้นที่ความรู้ สร้างกลไกเชิงซ้อนตรวจสอบถ่วงดุล"

รัฐบาลเอาใจกลุ่มทุน ผลักภาระให้คนจน ยังเชื่อตลาดทำงานดี คนก็จะดีขึ้น...ไม่มองความขัดแย้งเป็นตัวแก้ปัญหา ต้องไม่ผูกขาดความรู้แค่สถาบันศึกษา

ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เสนอผลการศึกษา "พื้นที่ความรู้และกลไกเชิงซ้อนในจินตนาการใหม่ของสังคมเปลี่ยนผ่าน" ต่อ สภาวิจัยแห่งชาติ และนำเสนอในหลายเวที “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” สัมภาษณ์หามุมมองต่อสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบัน

ปัญหาปัจจุบันเกี่ยวเนื่องจากอะไร เพราะขัดแย้งทางชนชั้นหรือเปล่า
ไม่ใช่ สังคมไทยเข้าสู่ระบบโลกาภิวัตน์มากขึ้น เราเปิดตลาดอะไรต่าง ๆ เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากเกษตรกรรมฐานที่ดิน มาเป็นเกษตรพึ่งพาทุนอย่างมาก การปรับโครงสร้างนี้ผลตามมาได้เกิดคนกลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น กลุ่มคนที่เรามองไม่เห็น เมื่อก่อนเราเรียกชาวนาก็ใช่ เรียกคนงานก็โอ เค แต่เดี๋ยวนี้ชาวนาเหมือนกัน แต่เป็นชาวนาตามพันธะสัญญา คุณเป็นเจ้าของที่ดินคุณก็เป็นชาวนา แต่การทำงานตัวคุณเป็นเหมือนคนงาน นอกจากนี้ยังมีคนงานผลัดถิ่นจากต่างประเทศ คนกลุ่มน้อยไร้สัญชาติในประเทศ

คนเหล่านี้เราอาจเห็น แต่เราไม่รู้จัก ในเมื่อโครงสร้างเปลี่ยนคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถได้รับผลพวงประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากไม่ได้ประโยชน์หรือได้น้อยไม่พอ พวกเขายังถูกผลักภาระความเสี่ยงให้ทั้งหมดตามระบบพันธะสัญญา ตัวอย่างชัดเจนเมื่อไหร่บริษัททำกำไรได้ คนกลุ่มนี้ก็ได้บ้างไม่มาก แต่เมื่อไหร่เกิดความเสี่ยงพวกเขาจะถูกผลักภาระความเสี่ยงมาทั้งหมดเลย นอกจากนี้ก็มีความเสี่ยงหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง มาบตาพุด ชาวบ้านรับเคราะห์กรรม นั่นคือกลไกกำกับความสัมพันธ์บริษัทกับชุมชนมันไม่มีเลย

พันธะสัญญาแบบนี้พูดถึงแต่ตัวเลขตอบแทนใช่ไม่ แต่ไม่ระบุปริมาณปล่อยของเสีย การรับผิดชอบ
เราไม่มีกติกาทางสังคมต่อกรณีไง ปล่อยให้บริษัทใช้อำนาจมากมารุกรานวิถีชีวิต ชาวบ้านเองก็ต้องพึ่งทุนมากขึ้นไง ถ้าโอพะเรทกันแบบเดิมมันก็ได้(เสียงสูง) แต่ไม่เพียงพอ ลูกหลานเขาไม่มีที่เรียนทำไง ไม่สามารถอยู่ในชุมชนตัวเองได้อย่างมีความสุขทำไง เพราะเราปล่อยให้กลไกตลาดมีอำนาจมากเกินไป

กลุ่มคนล่องหน สังคมไม่เห็นหัวเขาเหล่านี้ ได้ต่อสู้กับทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ เพื่อพวกเขาเองอย่างไรบ้าง
เขาต่อสู้เชิงตั้งรับไง เช่นชะลอการขายผลผลิต ก็แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่มาถึงจุดหนึ่งมันออกมาในรูปการชุมนุมไปอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง เราก็งงมาก มาได้ยังไง
0 37 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 มาถึงขบวนการเสื้อแดง มีทั้งกลุ่มคนที่มองไม่เห็นสถานะ และกลุ่มคนรุ่น 14 ตุลาไปรับใช้อำนาจทุน อำนาจรัฐ ก่อความรุนแรง เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวที่ชูทักษิณหรือไม่

คนรุ่นนี้มีการเสพข่าวสาร รู้ข้อมูลมากขึ้น แต่ก็เป็นปัจเจกมากขึ้น การรวมตัวต่อสู้ต่อรองก็ยังน้อย ดังนั้น คนเหล่านี้จึงเลือกจะรวมกลุ่มที่สามารถไปต่อรองกับอำนาจรัฐได้ บางคนถือโอกาสเข้าไปในกลุ่มเสื้อแดงสายคุณทักษิณ เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง เหล่านี้ผมเรียกว่าปัญหาอัตลักษณ์ ปัญหาตัวตน คนมองไม่เห็นเขา การใส่เสื้อสีอะไรจึงเป็นการแสดงสัญลักษณ์ พวกเขามีข้อมูลข่าวสารก็เอามาบอกให้สังคมได้รู้จักในนามของสีเสื้อ

ไม่นานมานี้ มีวิจัยสาเหตุขัดแย้งโดยเฉพาะเสื้อแดง ว่าไม่ใช่มีสาเหตุจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกระทำ 2 มาตรฐาน เป็นจริงหรือแค่ปรากฏการณ์
ความเหลื่อมล้ำมีหลายลักษณะ ไม่ใช่แค่จนกับรวย การพูดแค่นี้เป็นลักษณะคู่ตรงข้าม เป็นการพูดแบบลดรูปให้เหลือแค่ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ยังไม่ดีพอ ส่วนใหญ่คิดกันอย่างนี้จริง ๆ มันเป็นความขัดแย้งเชิงซ้อน เช่น คนเข้ามาสร้างความเจริญในพื้นที่ก็จริง แต่มองไม่เห็นหัวคนที่นั่น อะไรๆ ก็ไม่ได้ด้วย คือเขาไม่ได้อย่างที่เขาคิดว่าจะได้นะ นี่คือเรื่องสิทธิ

เสื้อแดงไม่ได้สิทธิในแง่ไหน
เรื่องเสื้อแดงนี่ผมไม่รู้ ที่ไปสัมภาษณ์มาเป็นเพียงเฉพาะหน้า ไม่มีบริบทอื่นประกอบ งานวิจัยจะอ้างว่า เขาต้องการสิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิในการเลือกผู้นำเอง ซึ่งอันนี้ก็เป็นการลดรูปเรื่องสิทธิให้เหลือแค่นั้น เราต้องดูโครงสร้างด้วยหมายถึงอะไร ที่ทำมาเป็นแค่ปรากฏการณ์ แก้ไม่ได้

ปัญหาอยู่ที่นักวิชาการด้วยไหม หยิบมาขยายต่อให้ใหญ่โต
ในเมื่อพูดแค่ปรากฏการณ์ ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะมันถูกแค่ปรากฏการณ์ คือมีปัญหาอื่น ๆ อีกคุณไม่พูด พูดนิดเดียว มันก็ไม่ผิด เราก็ไม่เถียง แต่ไม่ได้บอกปัญหาอย่างนี้มีความเป็นมาอย่างไร ภายใต้โครงสร้างอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรทำให้เป็นอย่างนี้ ที่ผมพยายามบอกคือปัญหาเรื่องตัวตน ปัญหาเรื่องสิทธิ และปัญหาเรื่องความรู้ 3 อย่าง

พัฒนาการสังคมมาถึงจุดที่ วัด บ้าน โรงเรียน ช่วยแก้ปัญหาชุมชนไม่ได้แล้วหรือ
มาบตาพุด วัด บ้าน โรงเรียนจะไปแก้ยังไง เป็นปัญหาต้องรับความเสี่ยง นี่แหละที่ว่าไปทำพันธะสัญญาแล้วโรงงานก็ผลักภาระให้ชุมชนต้องรับผิดชอบเอง แล้วจะแก้อย่างไง พวกคุณอยู่ในความสัมพันธ์แบบใหม่ แต่ไปใช้โครงสร้างเก่า กลไกเก่ามาแก้ได้ยังไง เออถ้าผัวเมียตีกันอย่างนี้ โอ เค วัดบ้านโรงเรียน พอได้ (หัวเราะ)

กลไกใหม่คืออะไร อย่างไร
กลไกหลัก ๆ คือการตรวจสอบถ่วงดุลตลาด นี่พูดรวม ๆ เช่นอะไรบ้าง กลไกภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมลพิษหรือกลไกเพื่อการใช้ เช่นนายทุนมาซื้อที่ดินเป็นเจ้าของจะทำอะไร ต้องถามชุมชนที่จะถูกผลกระทบก่อน พูดง่ายๆ หลักการเชิงซ้อนนำไปสร้างกลไกเชิงซ้อนเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลให้เกิดความเป็นธรรม เกิดความสงบสุขในสังคม

คณะกรรมการสี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุดล่ะ
อันนี้ไม่ใช่กลไกเชิงซ้อน ไม่ใช่มาตรการเคลื่อนไหวทางสังคม ต้องให้ท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุด จะพูดว่ากระจายอำนาจก็ได้ แต่พูดมาจนเบื่อแล้ว ผมมาพูดใหม่บ้างคือจัดการการใช้อำนาจเชิงซ้อน เป็นคอนเซ็ปท์ ส่วนจะเป็นแบบไหนมาคุยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครรวบหัวรวบหาง ตั้งอะไรขึ้นมา

ถามย้ำอีก ทักษิณเป็นเงื่อนไขสำคัญ หรือเป็นแค่ตัวแปรในความขัดแย้งครั้งนี้
ทักษิณเป็นเพียงแค่ปลายของภูเขาน้ำแข็ง ประเทศเราสะสมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำมานาน ละเลยคน ละเลยเรื่องตัวตน ละเลยเรื่องสิทธิ ละเลยเรื่องความรู้ คิดว่าการปฏิรูปอย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้หมด ทั้งที่มีความรู้หลายรูปแบบ แต่ไม่นำความรู้นั้นมาสังเคราะห์หรือมาผสมผสานใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ พูดง่าย ๆ เป็นปัญหาทางโครงสร้าง เรามาติดปลายเหตุที่ทักษิณ ผมจึงพยายามดึงมาหาปัญหาโครงสร้าง โอเคพูดปรากฏการณ์ก็ไม่ผิด แต่จะบอกว่าเลือกตั้งอย่างเดียวแล้วปัญหาจบ มันไม่ได้ ทักษิณตอนอยู่ในอำนาจก็ไม่เห็นทำเรื่องพวกนี้เลย ผมพูดกับทักษิณตั้งหลายที ไม่เห็นมันทำ...อะไร

ทักษิณก็เป็นทุนนิยมเสรี รัฐบาลปัจจุบันก็เป็นทุนนิยมเสรี แล้วต่างกันยังไง มีจุดแยกแค่เรื่องทุจริตภาษีหรือ
ชูประชานิยมเหมือนกัน

มองนโยบายรัฐบาลนี้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยไหม
ยังไม่พยายามทำเรื่องกำกับตลาด ที่ทำคือเอาใจกลุ่มทุน ผลักภาระให้คนจน ที่พูดกันมานับสิบปีแล้ว คือโฉนดชุมชน เพราะสังคมใหม่ ฐานไปอยู่ที่ทุน ไม่ใช่อยู่ที่ดิน หรือแลนด์เบส อีกแล้ว ฐานโครงสร้างมันล้ำเข้ามาเรื่องทุนขนาดนี้แล้ว ถ้าจะแก้แค่นี้ก็ไม่ผิด ก็ดี แต่ยังน้อยเกินไป คือเขาคิดว่าปล่อยให้ทุนมันดีขึ้นกว่านี้ ให้ตลาดทำงานดีกว่านี้ คนก็จะดีขึ้น เขายังเชื่อแบบเดิม เมื่อไม่ได้กำกับทุนก็จะมีปัญหามากขึ้น เพราะเรื่องสิทธิ เรื่องกฎหมายยังไม่ได้แก้

กฎหมายที่ออกจากสภา กลไกใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร
ศาลมีปัญหามาก เพราะยังใช้หลักคิดเชิงเดี่ยว เช่นเรื่องป่า กรมป่าไม้มีอำนาจ ใครมีอำนาจ อำนาจอยู่ที่ใครคนนั้นถูก ใช้ไม่ได้ จะฝากอำนาจไว้กับแค่คนกลุ่มเดียวไม่ได้ ยกตัวอย่างผมไปออสเตรเลีย เพื่อนผมเขาบอกวันนี้ต้องไปพิพากษาคดีชาวอะบอริจิน คือศาลที่นั่นเขาจะมีนักวิชาการมานุษยวิทยาไปร่วมพิจารณาตัดสินด้วย คนวัฒนธรรมแตกต่างจะใช้กฎหมายเดียวไปยัดเยียดให้เขาผิดไม่ได้

อเมริกาเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ออกกฎหมาย Public Accommodation Law คนผิวสีจะไปพักโรงแรม เจ้าของโรงแรมคนผิวขาวไม่ยอมให้พัก กฎหมายนี้จึงกำหนดว่าถึงแม้เป็นเจ้าของโรงแรมก็จริง แต่ไม่มีสิทธิปฏิเสธผู้ใช้บริการ ไม่สามารถบังคับสิทธิได้สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ กฎหมายเปิดให้สังคมสามารถบังคับสิทธิซ้อนทับลงไปได้อีกด้วย

ชาวเขาทำไร่หมุนเวียน พวกเราไปเรียกไร่เลื่อนลอย ถูกจับ แต่ปลูกยางพาราในพื้นที่เดียวกัน ไม่จับ ยางพารามันเป็นนโยบาย มันสร้างรายได้ ชาวเขาปลูกข้าวไว้กินมันไม่สร้างรายได้ ไร่หมุนเวียนเขาทำมาเป็นพันปี แต่คนเมืองไม่ยอมรับความแตกต่าง เขาทำไร่แบบนั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ของคนเมือง ดังนั้น ถ้าคุณไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ใหญ่แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร ในสังคมไทยมีกฎเกณฑ์ตั้งหลายอย่างสลับซับซ้อน แต่พูดลดรูปเหลือแค่กฎหมายที่บัญญัติเท่านั้น

ศาลแรงงานก็มีผู้พิพากษาสมทบจากคนภายนอก ศาลครอบครัวเด็กและเยาวชนก็มีคนนอกมีประสบการณ์มาร่วมตัดสินด้วย เป็นเชิงซ้อนหรือยัง
เป็นความพยายามที่จะมีหลายศาลเท่านั้น แต่ก็เป็นกฎหมายเดียว เอาเฉพาะที่เป็นตัวกฎหมายมาตัดสิน

เรื่องความขัดแย้งที่เชียงใหม่ รุนแรง นักวิชาการที่นั่นเตือนๆ บ้างไหม
เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยรู้จริง และก็มีการช่วงชิงข้อมูลกัน ป้ายกันไปป้ายกันมา ไม่รู้ความจริงหรืออะไร พูดง่ายๆ อย่าไปตกเป็นเครื่องมือของใคร โอเคเห็นด้วยคนถูกฆ่าก็จะต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา ผมเองก็ถูกอ้างชื่อด้วยกับยุบสภา แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง มันแค่ประเด็นเดียว ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยกับแนวทางพวกเคลื่อนไหว เพราะหลายๆ อย่างไม่ตรงกับเราคิด เช่นหลายๆ เรื่องที่รัฐบาลฝากให้บางคณะดูแล

คณะกรรมการปฏิรูป สมัชชาปฏิรูป คณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง เป็นแค่รัฐบาลฝากงาน
เป็นเรื่องที่ฝ่ายกล่าวหารัฐบาล ๆ ก็พยายามหาอะไรมาถ่วงเวลาหรือซื้อเวลาอะไรก็แล้วแต่ เรื่องปฏิรูป สังคมมักคิดว่าได้คนมีความรู้เข้ามาจะแก้ได้ อย่างเก่งก็จัดรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ต้องถามว่าปฏิรูปอะไร ตั้งขึ้นมาแล้วเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงกัน และมีการเคลื่อนไหวทางสังคม

กังวลเรื่องระเบิดบ่อยๆ ไหม
ไม่กังวล เป็นข่าวประจำวันแล้ว เป็นการสร้างสถานการณ์ก็ได้ ผมอยู่กับงานวิจัย เรื่องที่ไม่รู้ ไม่อยากพูด

เห็นข้อดีของความขัดแย้งในสังคมไทยในช่วงนี้บ้างไหม
ความขัดแย้งครั้งนี้ไปในทางไม่ค่อยดี ซึ่งมันน่าจะดีได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร อาจเป็นที่หมู่แกนนำ ค่อนข้างวิเคราะห์สังคมพลาด แกนนำเองก็มีปัญหาซับซ้อน บางคนนำพาไปเรื่องรัฐชาติ พรมแดน ชนชั้น ติดกับมัน ปวดใจจริงๆ โลกไร้พรมแดนมากขึ้น เสียดายในสังคมตั้งเยอะแยะมองเห็นแค่ไม่กี่คน เสียดายสังคมมองความขัดแย้งเป็นปัญหา ไม่มองความขัดแย้งเป็นตัวแก้ปัญหา สังคมที่ถูกครอบงำความรู้ พูดตามๆ กันมากกว่าจะพูดจากสติปัญญา ดังนั้นจะต้องไม่ผูกขาดความรู้แค่ในสถาบันการศึกษา ทุกคนลดรูปความเป็นจริงลง ทุกอย่างจึงบิดเบี้ยวไร้สติ เราเลยอ่อนด้อยสติปัญญา ขาดความสามารถจะต่อกรกับปัญหาได้ แทนที่จะใช้ความขัดแย้งมาสร้างสรรค์ ช่วยกันเสนอประเด็นปัญหาเพื่อสร้างสถาบันหรือกลไกเผชิญในโลกสมัยใหม่ ที่ผ่านมาพูดแต่เรื่องรูปแบบ เรียกร้องระบบประชาธิปไตยก็แค่รูปแบบ

คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทำอยู่พอไหวไหม
ไม่พอ ยังวิเคราะห์สังคมแบบ 20 ปีที่แล้ว ควรจะทำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาทำตอนนี้ถือว่าน้อยไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ

คลิปร้อนๆ

ร้อนฉ่าจนควันขึ้นไปทั้งแวดวงการเมือง และวงการศาลหลัง 'คลิป' ลับ 5 ชุดรวดเผยแพร่ออกมา ซึ่งหาดูได้จากเว็บไซต์ 'ยูทูบ' และอื่นๆ ที่ส่งกันแพร่หลาย

คลิปที่กำลังเป็นเรื่องคือการพบปะระหว่าง นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ

อันเป็นศาลที่ทำหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในขณะนี้

คลิปอีกชุดเป็นการหารือกันของ 'ตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ' เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ตัวละครในคลิปออกมาชี้แจงแถลงไข ในรูปแบบแตก ต่างกันไป

คลิปแรกนายวิรัช อ้างว่าถูกหลอกล่อให้ไปปรากฏตัว แต่ภายหลังยอมรับว่าเคยพบปะกับนายพสิษฐ์ หลายครั้ง และอ้างว่าทำไปเป็นการส่วนตัว!?

ถึงจะอ้างว่าไม่ได้คุยกับเรื่องยุบพรรค แต่สังคมมีสิทธิ์ระแวงเช่นกัน

เพราะคนหนึ่งเป็นเลขาฯ ประธานศาล อีกคนเป็นทีมกฎหมายของจำเลย

หากเปรียบกับศาลอื่น เช่น ศาลอาญา เกิดเลขาฯ ของผู้พิพากษา นัดพบปะกับทนายจำเลยในคดีที่ผู้ พิพากษาท่านนี้กำลังพิจารณาอยู่

ต่อให้เป็นเพื่อนกันมาก่อน หรือรู้จักมักคุ้นและไม่ได้คุยในเรื่องคดีก็ตาม

คำถามเรื่องความเหมาะ ความควร ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

ส่วนเรื่องคลิปการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการจะให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. มาเป็นพยาน ไม่ขอก้าวล่วงเพราะล่าสุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดนายอภิชาต ออกจากพยานแล้ว

แต่ต้องอธิบายความสำคัญของนายอภิชาต ว่าเป็นบุคคลที่ไม่เห็นชอบให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่แรก

ซึ่งทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ใช้ความเห็นของนายอภิชาต ในฐานะประธานกกต. มาเป็นแนวทางต่อสู้คดี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกับคลิปที่เผยแพร่ออกมา คือท่าทีของผู้เกี่ยวข้องทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล รวมไปถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจหาข้อเท็จจริงว่า มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ปรากฏในคลิปหรือไม่ หรือมีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่จะหาทางหนีทีไล่เพื่อช่วยเหลือ 'จำเลย' จริงหรือไม่

แต่กลับพยายามเล่นงานผู้เผยแพร่คลิป และลากโยงว่าต้องการถล่มไปถึงคนโน้น คนนี้

ในเบื้องลึกเบื้องหลังผู้เผยแพร่คลิปอาจมีความต้องการเช่นนั้นจริงๆ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคลิปนี้ก็มีอยู่จริงเช่นกัน!?

ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
คอลัมน์ เหล็กใน

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มของจุดจบ...

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวถึงกรณีข่าวจะมี 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากองค์คณะในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้คดีไม่สามารถตัดสินได้ว่า ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น และขอให้ 3 ตุลาการคิดให้ดี เพราะถ้ามีการถอนตัวจริงอย่างที่เป็นข่าวตนเป็นห่วงว่าจะทำให้องค์กรศาลเสื่อมเสียยิ่งแย่ลงไปอีกถึงขั้นเกิดวิกฤตตุลาการครั้งใหญ่ในประเทศไทยเลยทีเดียว

รศ.อัษฎางค์ กล่าวว่า “ผมคิดว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่ 3 ตุลาการจะต้องถอนตัวจากองค์คณะในการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เลย และถ้าถอนตัวจริงจะยิ่งทำให้ปัญหาวิกฤตตุลาการบานปลายออกไป และสะท้อนให้เห็นว่า องค์กรศาลไม่เป็นเอกภาพ ทั้งๆที่ความจริงสถาบันศาลจะแบ่งเป็นค่ายไม่ได้ ต้องยึดระบบของตัวเองเป็นหลัก และเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข”

ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องมีการสังคายนาองค์กรศาลครั้งใหญ่ เพราะขาดความเชื่อถือจากประชาชน โดยจะต้องมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างและที่มาในการคัดเลือกตุลาการ เพื่อให้ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง ส่วนกรณีที่ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ พ้นจากเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนที่แต่งตั้งนายพสิษฐ์เป็นเลขานุการรวมทั้งจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า มีส่วนรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่

รศ.อัษฎางค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่า สถานการณ์ขณะนี้มีธงเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคือ จะต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความเห็นของ กกต. ที่ได้มีมติ 5 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปก่อนหน้านี้และส่วนตัวก็คิดว่า หวยน่าจะออกให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตัวบุคคลอาจไม่โดน เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้การสนับสนุนแข็งมาก” รศ.อัษฎางค์กล่าว

เรื่องราวมหากาพย์การเมืองกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์นี้ หากมองกันด้วยหลักฐานที่ปรากฏชัดจากคำให้การของนายประจวบ สังข์ขาว คนเก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์เอง รวมถึงการสืบพยานที่แสดงให้เห็นถึงการทำนิตกรรมอำพลาง หรือแม้แต่ข้อผิดพลาดจากการให้เบิกความของแม่ทัพคนปัจุบันของประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ที่ยอมรับสารภาพกลางศาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างทำป้ายหาเสียงเมื่อเดือนมกราคมปี 2548 จริง ทั้งๆที่การจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2547 เรียกได้ว่าเป็นการโกหกคำโตกลางศาลก็ว่าได้สอดรับกับข้อกล่าวหาทำนิติกรรมอำพลางและใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมืองผิดประเภทเข้าอย่างจัง และที่สำคัญไปกว่าเรื่องนั้นคือลักษณะการเบิกความของนายอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นการตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือออกแนวใช้สำนวนเชื่อได้ว่ากันเป็นสิบๆครั้ง แต่ทุกข้อกล่าวอ้างที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เบิกความนั้นกลับไร้ซึ่งหลักฐานใดๆมาสนับสนุนคำให้การแม้แต่เรื่องเดียว

พูดมาถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกได้เลยว่าหากศาลยังคงมีสำนึกและรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม เป็นตาชั่งเที่ยงตรง ประชาธิปัตย์คงเหลือเพียงชื่อในหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่ แต่อย่างที่เราท่านทราบกันดีด้วยพรรคนี้บารมีล้นเหลือจึงเกิดกระแสล้มคดี โดยการถอนตัวของ 3 ตุลาการอย่างที่ท่าน รศ.อัศฎางค์ได้ออกมาเตือนสติ เป็นทางรอดสุดท้ายของประชาธิปัตย์แต่อาจเป็นทางตายทางแรกของประเทศนี้ก็เป็นได้

ผมเชื่อเหลือเกินว่าหากวันนี้หลักฐานพร้อมมูล แต่ไม่ถูกลงโทษตามโทษานุโทษแล้วไซ้ บ้านเมืองที่เรียกว่าสยามเมืองยิ้ม ก็คงสิ้นลงไปพร้อมคำตัดสินที่ไร้ซึ่งความเป็นธรรมนั่นเอง

โดย.นักวิชาการลูกพ่อขุน

ปูดตุลาการถอนตัวลากยาวตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

อดีต ส.ว. ปูดได้ข่าวจะมีการพลิกเกมให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากการเป็นองค์คณะตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อีก 3 คน เพื่อให้คดีนี้ค้างเติ่งไม่สามารถตัดสินได้เพราะองค์คณะไม่ครบ ระบุหากทำจริงสถาบันตุลาการพัง หมดความน่าเชื่อถือทันที ชี้กำลังมีความพยายามบิดประเด็นให้สังคมเข้าใจว่าการแอบถ่ายคลิปเป็นความผิด ทั้งที่ควรดูเนื้อหาในคลิปว่ามีการเจรจาล็อบบี้กันจริงหรือไม่ ตั้งข้อสังเกตทำไมรีบไล่ “พสิษฐ์” ออกทั้งที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังคลิปฉาวตัวจริง ด้านเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เปิดศึกยื่นฟ้องกันแหลก ต่างกล่าวหาอีกฝ่ายทำให้เสียหาย “จรัญ” รูดซิบปากไม่พูดทุจริตสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาล อ้างไม่อยากทะเลาะ “จตุพร” ขณะที่ตุลาการเตรียมแถลงชี้แจงอีกครั้งวันนี้ (20 ต.ค.)

ท่ามกลางความสับสนเรื่องคลิปอื้อฉาวที่เป็นการสนทนากันระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กับอดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีผลเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่

ปูดมีตุลาการ 3 คนจ่อถอนตัว

ล่าสุดนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.จังหวัดตากและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาเปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าได้ข่าวจากวงในศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีตุลาการ 3 คนถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไม่ให้ครบองค์ จะได้ยื้อเวลาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ออกไป

“ผมทราบมาว่าจะมีตุลาการ 3 คนขอถอนตัวจากคดีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถอนตัวไปแล้ว 1 คนคือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผมยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่หากมีการถอนตัวเพิ่มจะทำให้ไม่สามารถพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปได้”

ลากยาวไม่ตัดสินคดียุบประชาธิปัตย์

นายพนัสคาดการณ์ว่า สาเหตุที่ต้องออกลูกนี้เพราะคงประเมินกันแล้วว่าไม่สามารถเดินหน้าต่อคดียุบพรรคได้ เพราะมีแรงกดันจากภายนอกมากเหลือเกิน หากเดินหน้าต่อไม่มีทางออกอื่นต้องยุบพรรคสถานเดียว จึงคิดใช้วิชามารให้ตุลาการถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีเพิ่มเติม เพื่ออ้างว่าตัดสินคดีไม่ได้เพราะองค์คณะไม่ครบ หากเรื่องนี้เป็นจริงคงต้องดูว่าเขาเอาเหตุผลอะไรมาอ้างเพื่อถอนตัว เพราะตามปรกติหากไม่มีการยื่นคัดค้านตุลาการไม่มีสิทธิถอนตัว

ถ้าทำจริงก็พังหมดความน่าเชื่อถือ

“ถ้าจะเอากันถึงขนาดนั้นจริงก็พัง สถาบันตุลาการจะหมดความน่าเชื่อถือ ซึ่งจริงๆหมดความน่าเชื่อถือไปตั้งนานแล้ว เพราะข้างในกลวง เน่าเฟะมาก แต่คนข้างนอกไม่ค่อยรู้” นายพนัสกล่าวและว่า ทางออกของประเทศในขณะนี้ค่อนข้างมืดมน ที่พูดกันเรื่องการสร้างความปรองดองต่างๆความจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์มาไกลเกินกว่าที่จะปรองดองกันได้แล้ว และคงต้องวุ่นวายกันอีกหลายรอบ

นายพนัสกล่าวอีกว่า เรื่องคลิปวิดีโอที่ออกมาเป็นการล่อคนเสื้อแดง เพราะหากออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านก็จะเข้าทางเขา จะมีการปราบปรามคนเสื้อแดงอีก หรือไม่ก็อาจถึงขั้นยึดอำนาจ

เชื่อแพร่คลิปขุดบ่อล่อเสื้อแดง

“เป็นแผนขุดบ่อล่อปลา แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นแผนของใคร” นายพนัสระบุและว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้ในตอนนี้คืออะไรคือข้อเท็จจริง เรื่องใครหลอกใครไปถ่ายคลิปไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือมีการล็อบบี้กันจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพูดว่าต้องการให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาศาล ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดกันระหว่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เท่านั้น แต่ในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญก็มีการพูดเรื่องนี้ด้วย

ให้ดูเนื้อหาล็อบบี้กันจริงหรือไม่

“การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าใช้วิธีการชั่วช้าต่างๆเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะตำรวจก็ใช้วิธีล่อซื้อแบบนี้เพื่อดักจับผู้ร้าย สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดคือ เนื้อหาการสนทนาในคลิปวิดีโอเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มีการพูดเพื่อที่จะทำอะไร ส่วนคลิปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ ขณะนี้มีการบิดประเด็นว่าเป็นการล่อไปแอบถ่าย การแอบถ่ายเป็นความผิด แต่ประเด็นจริงๆอยู่ที่สิ่งที่ถ่ายมาเป็นความจริงหรือเปล่ามากกว่า” นายพนัสกล่าว

ตั้งคำถามทำไมรีบตัดตอน “พสิษฐ์”

ส่วนกรณีที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญไล่นายพสิษฐ์ออกจากเลขานุการนั้น นายพนัสกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเหมือนเป็นการปิดปากพยานมากกว่า เพราะนายพสิษฐ์เป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด นายพสิษฐ์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะบอกว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ที่ศาลไม่ดำเนินการกับผู้นำคลิปที่อ้างว่าเป็นการล็อบบี้คดีไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาเผยแพร่เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอาญาแผ่นดิน ตำรวจสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ

เชื่อคลิปฉาวไม่กระทบศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมเชื่อว่าคลิปฉาวนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดี เพราะศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ เป็นผู้ถูกละเมิด และเป็นผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสี” นายจรัญกล่าว

ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 3 คนทุจริตสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลนั้น นายจรัญปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่า “ผมไม่อยากทะเลาะกับนายจตุพร”

ตุลาการเตรียมแถลงโต้ “จตุพร”

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเตรียมเปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อกล่าวหาของนายจตุพรในวันนี้ (20 ต.ค.)

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตอบคำถามในเว็บไซต์ส่วนตัวที่มีคนโพสต์ถามเรื่องการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญท่ามกลางกระแสกดดันว่า คนที่จะมาเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้ย่อมมีเกียรติประวัติของตัวเองที่จะต้องรักษา และจะต้องรักษาความปราศจากอคติทั้งปวง

นอกจากนี้ยังระบุว่า การตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลมีกระบวนการอยู่แล้วคือ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา หากให้ประชาชนไปตรวจสอบได้เองบ้านเมืองคงไม่มีขื่อไม่มีแป

“วิรัช” ยืนยันอีกครั้งไม่ได้นัดคุย

นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในทีมกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ปรากฏภาพในคลิปพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ชี้แจงยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นคนนัดหมาย และเนื้อหาการพูดคุยที่นำมาเผยแพร่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของศาล ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าจะมีคลิปชุดสองออกมาอีกนั้นไม่มีปัญหา ทุกอย่างต้องพิสูจน์กัน หากเกี่ยวกับตนก็จะชี้แจง

ยอมรับคุย “พสิษฐ์” หลายครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าไปพบนายพสิษฐ์มากี่ครั้ง นายวิรัชยอมรับว่าหลายครั้ง แต่รอให้เขาเอาคลิปมาเปิดก่อนจึงจะชี้แจง

“ผมยืนยันว่ามีการวางแผนทำกันเป็นขั้นตอนเพื่อทำลายทั้งระบบ” นายวิรัชกล่าวพร้อมยอมรับว่า การไปรับประทานอาหารกับอดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งไม่ได้แจ้งให้นายชวน หลีกภัย หัวหน้าทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรค ทราบเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งการไปทุกครั้งนายพสิษฐ์เป็นคนนัด ตนไม่ได้นัด ส่วนนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่เป็นคนติดต่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์

ตำรวจรอคนเสียหายแจ้งความ

พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษตำรวจจึงสามารถเข้าไปดำเนินการได้ ส่วนคลิปที่นำมาเปิดไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ ต้องตรวจสอบจากต้นฉบับ

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคจะหารือกันวันที่ 21 ต.ค. นี้ว่าจะเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เอาคลิปมาเผยแพร่หรือไม่

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อเท็จจริงเรื่องคลิป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ตั้งกรรมการสอบนายวิรัช โดยมอบหมายให้นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ เป็นประธาน ทำงานร่วมกับกรรมการอีก 5 คน

“มาร์ค” สั่งดำเนินคดีทุกคนที่กล่าวหา

“ประเด็นที่จะสอบคือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีคนของพรรครู้เห็นเป็นใจหรือไม่ คาดว่าจะรู้ผลใน 7-15 วัน หากพบว่ามีคนของพรรครู้เห็นกับเรื่องนี้จะต้องได้รับโทษตามข้อบังคับพรรค” นายเทพไทกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์ได้สั่งการให้ไปประสานกับนายวิรัชยื่นฟ้องดำเนินคดีกับทุกคนที่ทำให้เกิดความเสียหาย ในส่วนของพรรคจะพิจารณากันวันที่ 21 ต.ค. หากเห็นว่าใครกล่าวหาให้พรรคเสียหายก็จะฟ้องดำเนินคดีด้วย

ไล่ “วรวุฒิ” พ้นกรรมาธิการ

ส่วนกรณีของนายวรวุฒิ นายเทพไทกล่าวว่า นายวิรัชได้ให้ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขอยืนยันว่านายวรวุฒิไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และคนในพรรคก็ไม่มีใครรู้จักนายวรวุฒิ สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะนำคลิปออกมาเผยแพร่อีกนั้น หากมีคนของพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องจะตั้งกรรมการสอบในทุกกรณี

“พร้อมพงศ์” ฟ้อง ปชป. กล่าวหาเสียหาย

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า วันที่ 20 ต.ค. นี้จะเดินทางไปที่กองปราบปรามพร้อมฝ่ายกฎหมายของพรรค เพื่อแจ้งให้ดำเนินคดีกับนายวิรัชข้อหาหมิ่นประมาทพรรคเพื่อไทย กรณีกล่าวหาว่าพรรคจัดฉากสร้างเรื่องถ่ายคลิปเพื่อทำลายองคมนตรี ตุลาการ และพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการกล่าวหาให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง คอการเมืองคิดอย่างไรต่อข่าวคลิปวิดีโอเกี่ยวข้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยสำรวจประชาชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล 1,056 คน ระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค. ที่ผ่านมา

คลิปฉาวฉุดคะแนนนิยม ปชป. ลด

ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 52.2 ระบุว่าคลิปดังกล่าวทำให้คะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ลดต่ำลง ร้อยละ 47.8 เชื่อว่ายังมีความนิยมมากขึ้น นอกจากนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เคยเป็นพลังเงียบร้อยละ 63.8 ระบุว่าชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์น้อยลงถึงไม่ชอบเลย ขณะที่กลุ่มให้การสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 75.8 ยังชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ส่วนกลุ่มที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 89.9 นิยมพรรคประชาธิปัตย์ระดับน้อยถึงไม่นิยมเลย

กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 54.0 ระบุว่าคลิปดังกล่าวกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 46.0 ระบุว่าไม่กระทบความเชื่อมั่น

ต่อข้อถามที่ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบจะมีผลกระทบอย่างไร ร้อยละ 59.7 ระบุว่าการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจะไม่ต่อเนื่อง และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย ร้อยละ 40.3 ระบุว่าไม่มีผลกระทบอะไร เพราะรัฐบาลไม่ได้มีผลงานอะไรชัดเจน

จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

ทำไมไม่มี..หนึ่งไทยแลนด์?

เมื่อมีหนึ่งมาเลเซีย
“หนึ่งมาเลเซีย ประชาชนมาก่อนและต้องทำเดี๋ยวนี้ยุคข้าราชการรู้ทุกเรื่องได้จบลงแล้ว”

นี่คือคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย ท่าน Mohd. Najib bin Tun Abdul Razak หรือเรียกตามสื่อต่างๆว่า ท่านนายกฯ นาจีบ ราซัค เมื่อท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย จึงจัดว่าเป็นศักราชใหม่ของการบริหารงานที่เน้นการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติและให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน

>> มาเลเซียโมเดลเอกภาพคือพลัง

มาเลเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีประชากรราว 27 ล้านคน และมีคำขวัญประจำชาติ คือ Bersekutu Bertambah Mutu หรือ “ความเป็นเอกภาพคือพลัง” ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากประเทศ มาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ และในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมือง เนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ จึงต้องเน้นการรวมกันเป็นชาติ และมีเอกภาพเป็นสำคัญ

ประชากรส่วนใหญ่ของมาเลเซียเป็นชาวมลายู ร้อยละ 50.4 เรียกว่าเป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศ อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบาห์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิมและอยู่ในกรอบ วัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวักและรัฐ ซาบาห์

นอกจากนี้ ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบ สมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ส่วนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีร้อยละ 23.7 มีชาวมาเลเซีย เชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร รวมทั้งยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่ใน รัฐทางตอนเหนือของประเทศ และมีคนเชื้อสายชวา และมินังกะเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ มีชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชน ลูกครึ่งอื่นๆ อย่าง ฮอลันดา และอังกฤษส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนัง

ประเทศนี้จึงมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อย่างมาก

>> วาระผลัดใบประเทศ

สิ่งที่จะเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้คือ การที่มาเลเซีย กำลังปรับเปลี่ยนประเทศให้เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคของความสมานฉันท์ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล ตลอดจนเสริมสร้างความซื่อตรงของคนในชาติ ที่เป็นนโยบายหลักของท่านนายกฯ นาจีบทำไมนายกฯ ท่านนี้จึงสนใจเรื่องนี้นัก เราลอง มารู้จักท่านสักเล็กน้อย

ท่านนายกฯ นาจีบเกิดวันที่ 23 กรกฎาคม 2496 ที่ปาหัง เป็นบุตรคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัค (จากพี่น้อง 6 คน) เป็นหลานของท่าน ฮุสเซ็นออน นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของมาเลเซีย ท่านมีมรดกที่ดินมากมายในรัฐปาหัง จบปริญญาตรี จากอังกฤษทางด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ก่อนเข้าสู่การเมืองท่านเคยเป็นนักธุรกิจ เคยทำงาน กับธนาคารกลาง และบริษัทปิโตรแนส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของมาเลเซีย ในฐานะผู้จัดการกิจการสาธารณะ ท่านเป็นทายาทนักการเมืองที่ ยิ่งใหญ่ ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารธุรกิจ และมีทรัพย์สมบัติจากบรรพบุรุษมหาศาล แบบที่ไม่ ต้องไปแสวงหาอีกแต่อย่างใด

ท่านนายกรัฐมนตรีนาจีบพยายามลดความตึงเครียดทางการเมืองลงโดยในวันแรกที่ท่านเข้าทำงานได้ยกเลิกการห้ามออกหนังสือพิมพ์สองฉบับ ที่เป็นของผู้นำฝ่ายค้าน และปล่อยนักโทษที่ถูกจับตามกฎหมายความมั่นคง (บางคนเคยรณรงค์ต่อต้าน รัฐ) นอกจากนี้ ท่านยังมุ่งมั่นที่จะลดความยากจนของชาวมาเลเซีย ปรับโครงสร้างสังคมมาเลเซีย ขยายการเข้าถึงคุณภาพการศึกษาสำหรับทุกคน และส่งเสริมโครงการที่สนองความต้องการของประชาชนด้านการบริการสาธารณะ

>> ปฏิบัติการหนึ่งมาเลเซีย

โครงการแรกที่ดิฉันประทับใจและจะกล่าวถึง คือ “โครงการหนึ่งมาเลเซีย” หรือ “1 Malaysia” เป็นโครงการที่มีการรณรงค์อย่างกว้างขวางในขณะนี้ และมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นโครงการ ที่ประกาศโดยนายกรัฐมนตรีนาจีบเอง

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และข้าราชการให้ความสำคัญกับการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว และมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

โดยมีค่านิยมแปดประการของหนึ่ง มาเลเซีย คือ การมีมานะอุตสาหะ (perseverance) มีวัฒนธรรมของการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (a culture of excellence) การยอมรับกัน (acceptance) การมีความจงรักภักดี (loyalty) การศึกษา (education) การอ่อนน้อมถ่อมตน (humility) การมีความซื่อตรง (integrity) และการยึดมั่นในคุณงามความดีหรือมีระบบที่เชื่อในความสำเร็จด้วยตนเองที่ไม่ใช้สิทธิพิเศษ (meritocracy)

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 หรือวันเดียวหลังจากประกาศโครงการหนึ่งมาเลเซีย ท่านนายกฯ นาจีบ ได้เปิดเว็บไซต์ www. 1Malaysia.com.my ท่านได้ใช้เว็บไซต์นี้ในการประชาสัมพันธ์นโยบายทางการเมือง และจัดให้มีเวทีสำหรับชาวมาเลเซียที่จะอภิปราย กันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล โครงการหนึ่งมาเลเซียนี้ มีการใช้สื่อ สาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์

>> รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว

รัฐบาลของท่านนาจีบ กำลังดำเนินโครงการที่เป็นการปรับเปลี่ยนระบบการทำ งานของภาครัฐ ในการให้บริการที่ดีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น มีการใช้มาตรการต่างๆ และมีตัวชี้วัดมากมายที่จะแสดงถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีการให้รางวัลหน่วยงานต่างๆ ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียกำลัง ปฏิรูปตัวเองอย่างแข็งขัน เพราะชาวมาเลเซีย จะเข้าใจคำว่า หนึ่งมาเลเซีย หรือวันมาเลเซีย ได้อย่างดี เพราะหากอ่านตรงตัวก็คือ มาเลเซียเป็นหนึ่งเดียว แม้คนขับแท็กซี่ยังบอกว่า หนึ่งมาเลเซีย เป็นสิ่งที่จะทำให้มาเลเซียไปสู่ความ สำเร็จในเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทุกๆ ด้านได้

ไม่เพียงเท่านั้น ยังสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชนมากมายภายใต้การจัดซื้อจัดจ้างที่เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมาก ขึ้น ทั้งในการพิจารณาและการแสดงความเห็น ต่อการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

ท่านนายกฯ นาจีบ ยังสัญญาที่จะทำ ให้รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว จึงยุบกระทรวงไปสองกระทรวง แต่สร้างกระทรวงพลังงาน เทคโนโลยีสะอาดและน้ำขึ้น แต่คณะรัฐมนตรีของเขามี รัฐมนตรีรวม 28 คนซึ่งน้อยกว่ายุคก่อนๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้นำพรรคของชาวจีนในมาเลเซียเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเอกภาพและการดำเนินการอีกด้วย แสดงถึงการยึดมั่น ในการลดความตึงเครียดทางเชื้อชาติและศาสนาอย่างเอาจริงเอาจัง

>> สร้างความเป็นหนึ่งอย่างบูรณาการ

อีกประการหนึ่งที่น่าชื่นชมคือการที่เขา รณรงค์ในการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เป็นการรวมใจการสร้างการเป็นหนึ่งในทุกเรื่องทั้งการ ศาสนา กีฬา เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง และศิลปวัฒนธรรม เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2510 ที่ผ่านมา คณะนักวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าไปศึกษาวิจัยที่กัวลาลัมเปอร์ จึงพบป้ายรณรงค์เรื่องหนึ่งมาเลเซียในด้านต่างๆ เต็มเมืองไปหมดคู่กับการประดับธงชาติที่สวยงามในอาคารต่างๆ ทั้งเอกชน สื่อมวลชน องค์กรต่างๆ และหน่วยงานราชการพากันขานรับเรื่องนี้ทั้งนั้น

แม้ในพิพิธภัณฑ์เองก็มีการจัดนิทรรศ การให้ความรู้เรื่องการพัฒนาด้านต่างๆ ของมาเลเซียทั้งก่อนและหลังการเป็นอาณานิคม การสร้างความเป็นเลิศด้านต่างๆ ได้แสดงให้ เด็กชม แม้กระทั่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเป็นนักบินอวกาศของวิศวกรหนุ่มรูปหล่อ การมีสนามแข่งรถ การค้นพบน้ำมัน และการ มีตึกที่สูงติดอันดับโลก เป็นต้น

>> แผนความซื่อตรงแห่งชาติ

สิ่งที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกันคือการไปเรียนรู้เรื่องการทำแผนความซื่อตรงแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงของผู้นำชาวมาเลเซีย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยเฉพาะในสมัยท่านมหาธีร์ เขาก่อตั้งสถาบันความซื่อตรงแห่งชาติ หรือ Malaysian Institute of Integrity (IIM) และทำงานขับเคลื่อนแผนความซื่อตรงแห่งชาติ โดยเฉพาะด้านการรณรงค์เรื่องความซื่อตรง ให้เป็นวิถีชีวิตของคนมาเลเซีย การศึกษาวิจัย การอบรมเผยแพร่เรื่องความซื่อตรงให้กับประชาชนทุกระดับตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา และข้าราชการ ตลอดจนเอกชน

รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนเรื่องนี้อย่าง จริงจัง จะเห็นได้จากอาคารที่เขาใช้ทำงาน เป็นอาคารเช่าในราคาไม่กี่พันบาท จัดว่าแทบ อยู่ฟรี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เป้าหมายของการจัดทำแผนความซื่อตรง เพื่อการลดการทุจริต การประพฤติมิชอบ และการใช้อำนาจมิชอบ การเพิ่มประสิทธิภาพในการ ให้บริการสาธารณะ การลดการทำงานที่ล่าช้า ของราชการ การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคเอกชน และเสริมสร้างความซื่อตรงในสังคม และครอบครัว และการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีการจัดตั้งสถาบันนี้ขึ้น และมีกรรมการมาจากหลายภาคส่วนในการมากำหนดนโยบายและการบริหารงานของสถาบัน ทั้งร่วมกันเสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อตรงให้เกิดขึ้น ในทุกปียังมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับความซื่อตรงและนำเสนอประเด็นต่อนายกรัฐมนตรี ปีที่แล้วเป็นเรื่องของเยาวชนกับความซื่อตรง เขามีโครงการให้เยาวชนก่อตั้งชมรมความซื่อตรง และทำโครงการเสริมสร้างความซื่อตรงโดยมีเงินให้ทำกิจกรรมเล็กน้อยด้วย ในทุกปียังมีการโต้ วาทีเรื่องความซื่อตรงอีกด้วย

ในโอกาสที่ไปเยือนสถาบันอันทรงเกียรติ แห่งนี้ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากท่านดาโต๊ะ ด็อกเตอร์โมฮัมหมัด แทป ซาเลย์ (Datuk Dr. Mohd Tap Salleh) ประธานของสถาบันและยังให้ความรู้แก่พวกเราอย่าง มากมายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แม้เป็นช่วงถือศีลอดก็ตาม

>> ปฏิรูปประเทศอย่ามองแค่การเมือง

หลังจากนั้นการส่งเสริมอย่างจริงจังใน เรื่องทำความดีจึงแพร่ไปทั่งในวงการราชการ มีการมอบรางวัลแห่งความเป็นเลิศในการบริการและมีธรรมาภิบาล ทั้งมีรางวัลที่เรียก ว่าหน่วยงานราชการแบบห้าดาวอีกด้วย ดิฉันจึงได้มีโอกาสไปปุตราจายา เมืองหลวงใหม่หรือเมืองราชการเพื่อศึกษาหน่วยงานตัวอย่าง ที่มีการบริการแบบห้าดาวอีกด้วย และต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ ในเรื่องการบริการด้วยใจ

ทั้งหนึ่งมาเลเซีย และแผนความซื่อตรง แห่งชาติจนถึงหน่วยงานราชการห้าดาวล้วนน่าสนใจ และนำมาเป็นตัวแบบของการพัฒนา ชาติของเราให้เดินไปสู่ความสมานฉันท์ รวมใจเป็นหนึ่ง สร้างค่านิยมร่วมในเรื่องความซื่อตรงและธรรมาภิบาล เพราะเป็นของจริงที่ต้องปฏิรูป การมองเพียงประเด็นการเมือง สถาบันการเมือง และรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้

หากยังคงละเลยเรื่องที่เพื่อนบ้านเรา เขามองเห็นและเดินล่วงหน้าไปแล้ว!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ

เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วไง..

โดย.ชำนาญ จันทร์เรือง

ผลพวงของการชี้มูลทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอของ ปปช.และข่าวลือเรื่องการใช้เงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านนักการเมืองที่กระหน่ำประโคมข่าวกันถี่ยิบในช่วงหลัง ทำให้กระแสการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มมีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกด้วยเหตุที่ว่าไหนๆตอนนี้ตำแหน่งดังกล่าวก็ผูกพันกับการเมืองอยู่แล้ว เรามาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ

แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสรุปว่าควรหรือไม่ควร เรามาดูนานาอารยประเทศทั้งหลายว่ามีรูปแบบการปกครองกันอย่างไรบ้าง

ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) วิวัฒนาการของการปกครองประเทศมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลหรือส่วนกลางมาอย่างยาวนาน ซึ่งเน้นหลักการรวมอำนาจและเอกภาพแห่งรัฐโดยถือว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการปกครองและบริหารประเทศ

ส่วนการปกครองและการบริหารท้องถิ่นเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาล โดยรัฐบาลมอบอำนาจบางประการให้แก่ท้องถิ่น ดังนั้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจในการปกครองตนเองและมีความเป็นอิสระมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเราได้ลอกเลียนแบบการปกครองของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานแต่ไทยเราแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงดังเช่นของฝรั่งเศสที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฝรั่งเศสอยู่ที่การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาค 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 (The Law on the Rights and Liberties of Communes, Departments and Regions 2 march 1982) ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีฟรังชัวส์ มิตเตอร็องด์ (Francois Mitterrand) การออกกฎหมายฉบับนี้นำมาสู่การออกกฎหมายอื่น ๆ ตามมาอีกหลายฉบับ เพื่อให้การปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

เดิมจังหวัดจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1789 ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลกลาง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1830 จังหวัดได้กลายเป็นองค์กรปกครองที่มี 2 สถานะ คือ สถานะหนึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลกลาง โดยเป็นส่วนราชการในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และอีกสถานะหนึ่งเป็นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยผู้บริหารยังคงมาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง

ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการกระจายอำนาจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ ปี 1980 โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาคเมื่อ 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 จังหวัดเปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเดิมได้กลายเป็น“ผู้ตรวจการแห่งสาธารณรัฐ” (Commissioner of the Republic) อำนาจหน้าที่ซึ่งแต่เดิมเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดถูกถ่ายโอนไปเป็นของประธานสภาจังหวัดซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร


สมาชิกสภาจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีจำนวนตั้งแต่ 14 คน จนถึง 76 คน ขึ้นอยู่กับจำนวน “กังต็อง” หรือเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด โดยแต่ละกังต็องมีสิทธิเลือกสมาชิกสภาจังหวัดได้ 1 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดใหม่จำนวนกึ่งหนึ่งของสภา สภาชิกสภาจังหวัดจะคัดเลือกสมาชิกคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัด และรองประธานสภาฯ อีก 4 – 10 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 3 ปี โดยประธานสภาฯ ยังดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ สภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการต่าง ๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจังหวัด

ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีองค์พระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย ญี่ปุ่นจัดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วน คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะผู้ยึดครองของสหรัฐฯ ที่เข้ามาจัดระเบียบทางการเมือง การบริหาร และระบบเศรษฐกิจ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร

กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จัดระดับชั้นการปกครองท้องถิ่นของญี่ปุ่นออกเป็น 2 ชั้น (Two-Teir System) คือ ระดับบน (Upper Tier) ได้แก่ จังหวัด (Prefecture) และ ระดับล่าง (Lower Tier) ได้แก่ เทศบาล (Municipal) จึงมีผลทำให้จังหวัดมีพื้นที่ในการดำเนินงานครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับเทศบาลทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อจังหวัดอย่างไรก็ตาม จังหวัดและเทศบาลมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้หมายความว่าเทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้สังกัดจังหวัด ดังนั้น จังหวัดจึงมีอำนาจเพียงให้คำแนะนำและแนวทางแก่เทศบาลเท่านั้น ไม่สามารถใช้อำนาจสั่งการเทศบาลได้

ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอำนาจหน้าที่ที่สำคัญก็คือบริหารงานของจังหวัดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เสนอร่างกฎหมายต่างๆเพื่อให้สภาจังหวัดพิจารณา เสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้สภาจังหวัดอนุมัติและบริหารงบประมาณตามที่ได้รับการอนุมัติอย่างมีประสิทธิภาพ จัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ(โดยมีหลักการว่าท้องถิ่นเก็บภาษีแล้วนำบางส่วนส่งส่วนกลางตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตรงกันข้ามกับของไทยที่ส่งส่วนกลางก่อนแล้วจึงแบ่งบางส่วนมาให้ท้องถิ่น) แต่งตั้งและปลดรองผู้ว่าราชการจังหวัด อำนาจในการยุบสภาจังหวัด

ที่สำคัญคืออำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินกิจการบางอย่างแทนให้สำเร็จลุล่วงตามกฎระเบียบและแนวทางที่รัฐบาลกลางวางไว้

เกาหลีใต้

ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทย มีการแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น แต่ประเทศเกาหลีได้กลับทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ

การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในเกาหลีใต้ เพิ่งจะมีการปฏิรูปกันอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีบทบัญญัติรองรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ทางการเมืองในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามเกาหลีทีทำให้การปกครองท้องถิ่นของเกาหลีใต้ต้องหยุดชะงักลง หรือจะเป็นการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลเผด็จการของปัก จุง ฮี ก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 (Local Autonomy Act in 1949) และได้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้การการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีการแก้ไขปรับปรุงเมื่อปี ค.ศ. 1995 ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่ามีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้น กล่าวคือเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง

อังกฤษ

อังกฤษเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่มีความแตกต่างจากฝรั่งเศส ในขณะที่ฝรั่งเศสมีการจัดระบบบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ระดับ คือ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แต่อังกฤษจัดระบบบริหารราชการเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาค

จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นโดยมิได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแต่ว่าเป็นรูปแบบของรัฐรวมหรือสหรัฐซึ่งแตกต่างจากไทยเราซึ่งเป็นรัฐเดี่ยว โดยผมยกตัวอย่างเฉพาะที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทยเพราะเมื่อใดที่มีการยกประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นมา ก็จะถูกยกประเด็นการเป็นรัฐเดี่ยวและการมีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศขึ้นมาโต้แย้งอยู่เสมอ และแน่นอนว่าผมมิได้ยกตัวอย่างประเทศพม่า ลาว กัมพูชา หรือประเทศในแถบอาฟริกาที่ยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอยู่เช่นเดียวกับไทยอยู่แล้ว

ประเทศไทยถึงเวลาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วหรือยัง

คำตอบของผมก็คือหากอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเรายังเป็นเสมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไม่มีอำนาจและงบประมาณเป็นของตนเอง การตัดสินใจต่างๆ ล้วนแล้วแต่รวมศูนย์อำนาจอยู่แต่ในส่วนกลางคือตัวปัญหา การเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคจึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพราะผลที่ได้มาภายหลังการเลือกตั้งก็ยังคงเหมือนเดิม

การบริหาราชการส่วนภูมิภาคนั้นนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านการเมืองและการปกครองเพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ไว้วางใจประชาชนในท้องถิ่นแล้ว ยังทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอน อีกทั้งยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อท้องถิ่น เพราะถูกบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากที่อื่น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจปัญหาของท้องถิ่นเท่ากับคนท้องถิ่นเอง

ฉะนั้น การมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั่นเองที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน การยกเลิกเสียซึ่งการบริหารราชส่วนภูมิภาคต่างหากคือคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่นจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม

----------------------------

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใครเลวกันแน่.....

โดย.นักวิชาการ ลูกพ่อขุน

จากข่าวหน้าหนึ่งที่ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ตกเป็นข่าวเรื่องคลิปฉาวที่โยงใยกระบวนการยุติธรรมนั้น ณ ปัจุบันสังคมกำลังแสดงออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัช ตกเป็นเหยื่อถูกกลั่นแกล้งและทำหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้าย หนักกว่านั้นในวงของแฟนพันธุ์แท้ สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงกับบอกว่าคลิปนี้เป็นการตัดต่อเพื่อทำลายชื่อเสียและความน่าเชื่อถือของขบวนการยุติธรรม ก็ว่ากันไป...

เรามาลองตามเรื่องนี้แบบมีสติกันดูบ้าง เริ่มเดิมทีคลิปถูกกระจายอยู่ในเน็ตโดยไม่ค่อยได้รับความสนใจอะไร จนกระทั่งมีนักรบไซด์เบอร์ท่านหนึ่งโพสคลิปนี้ต่อโดยเปลี่ยนชื่อคลิป นำมาซึ่งการตรวจสอบของข้อเท็จจริงของพรรคเพื่อไทยและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวคลิปถูกตัดทอนออกมาเป็นช่วง แต่ส่วนที่มีปัญหาคือช่วงคลิปที่ 2

พรรคเพื่อไทยตีเรื่องนี้ออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ และยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ถือเป็นการทำให้ระบบยุติธรรมเสื่อมเสีย ตรงนี้เป็นภาพรวม แต่ข้อกล่าวหาที่ทางพรรคเพื่อไทยใช้ในการเผยนั้น เป็นเรื่องที่บุคคลในคลิปตกลงกันเรื่องจะนำ กกต.มาขึ้นให้การในคดีหรือไม่?

จุดนี้เป็นเรื่องตลกที่หลายคนคงลืมไปเพราะคดีการยุบพรรคเป็นเรื่องที่ กกต.เป็นผู้ยื่นเรื่องฟ้องไม่ใช่พรรคเพื่อไทยทำ ฉะนั้น กกต.จึงมีศักดิ์เป็นโจทย์แล้วโจทย์ผู้ร้องจะมาเป็นพยานให้จำเลยผู้ที่ตนมีความเห็นให้ฟ้องเช่นนี้จะเรียกว่าอะไรได้นอกจากทำลายระบบยุติธรรมอย่างที่พรรคเพื่อไทยชี้แจง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องมองไปถึงเรื่องจริยธรรม ที่มีการเอาข้อมูลมาเพื่อเตรียมล๊อปบี้แค่เรื่องที่ กกต.ผู้เป็นโจทย์จะมาแก้ต่างให้จำเลยที่ตนสั่งฟ้องแค่เรื่องนี้ก็ผิดแล้ว

กลับมาทางฝั่งนายวิรัชบ้าง พอเรื่องแดงก็รีบออกมาบอกว่าตนไม่มีเจตนาและเรื่องทุกอย่างเป็นการจัดฉาก สังเกตุจากการที่มีคนตั้งใจตั้งกล้องแอบถ่าย
ตรงนี้หากฟังเผินๆคงเชื่อสนิทใจ ด้วยผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดฉากถือได้ว่ามีส่วนได้เสียกับคดียุบพรรค ทำให้ดูมีนำหนักกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างถ่องแท้

แต่การที่นายวิรัชใช้เรื่องนี้ เพื่อพาตนให้พ้นจากความผิดนั้นผมไม่เห็นด้วย แม้จะอ้างว่าถูกหลอกให้มาเจอกับเลขาฯจนถูกแอบถ่าย แต่หากเราวิเคราะห์กันตามหลักความเป็นจริงเรื่องทุกอย่างเกิดจากคนสองคนมีการพูดคุยกัน โดยบทสนทนาเกิดจากการพูดคุยตกลงกันเองมิได้มีใครไปบังคับ แม้จะอ้างว่ามีการแอบถ่ายหรือหลอกล่อให้มาเจอ แต่หากคนสองคนนั้นมิได้พูดเรื่องที่มิบังควรถามว่าผู้ที่แอบถ่ายนั้นจะได้อะไรกลับไป การอ้างว่าตนถูกหลอกมาถ่ายเป็นการจัดฉากจึงเป็นเป็นข้ออ้างไม่สามารถลบเรื่องที่นายวิรัชเป็นผู้กระทำไว้ได้ เพราะไม่ว่าจะมีการถ่ายหรือไม่นายวิรัชก็ไดพูดเช่นที่ปรากฎในคลิปจริงๆ ถึงแม้ความจริงแล้วคนที่จัดการแอบถ่ายจะเป็น นปช.หรือพรรคเพื่อไทยอย่างที่นายวิรัชกล่าวหา แต่หากนายวิรัชไม่พูดกับเลขาในเรื่องดังกล่าวจะเป็นข่าวไหม..? ความจริงข้อนี้กำลังถูกคารมคมคายของนายวิรัชลบไปทุกขณะ

การออกมาตีรวนว่าเป็นการจักดฉากในสายตาผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องตลกที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอีกครั้ง คนทำออกมาประกาศปาวๆว่าไม่ได้ผิดอะไรที่พูด แต่อีกฟากฝั่งทางศาลจัดการลงดาบตัดตอนกันข้อติติงโดยการให้พักราชการเลขาฯไว้ก่อน เช่นนี้เป็นการตอบสังคมกลายๆว่าการกระทำนี้ไม่ว่าจะจัดหรือไม่จัดฉากก็ไม่ควรจะเกิด ไม่ใช่ความผิดของผู้แอบถ่ายแต่เรื่องนี้ความผิดอยู่ที่คนสองคนที่พูดและคิดทำเรื่องที่ผิดจริยธรรม

วันนี้สังคมกำลังเซไปเซมากับคำพูดสวยหรู ที่ผู้กระทำผิดพยายามพูดเพื่อให้ตนเองรอดพ้น แต่หากหยุดฟังเรื่องไร้สาระ แล้วตั้งสติวิเคราะห์ความจริงที่เกิดเราจะทราบเองว่า ใครกันแน่ที่เลวทราม

จำคุกคอลัมนิสต์แนวหน้าหมิ่นเมียอดีตตุลาการศาล รธน.

ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1534/2550 ที่ นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ภรรยานายศักดิ์ เตชาชาญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด และนายวัชระ เพชรทอง เจ้าของคอลัมน์บุคคลแนวหน้าโดย “หลักชัย” เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 150 ล้านบาท

คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 7 - 15 มี.ค. 50 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณาเผยแพร่ ข้อความลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ทำนองว่าโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว .) เพราะมีสามีเป็นอดีตตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นผิดในคดีซุกหุ้นครั้งแรก จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 3 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวม 18 เดือน และให้ปรับ 3 กระทงๆ ละ 10,000 บาท รวมปรับ 30,000 บาท อย่างไรก็ดีโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังให้จำเลยที่ 2 ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.แนวหน้ารายวัน เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันด้วย

ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ทั้งนี้ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องที่ 24 เม.ย.50 ด้วย

ที่มา.เนชั่น

ยุทธการ ‘เบี่ยงประเด็น’

ข่าวเหม็น-กลบอีกข่าว

‘ผู้มีอำนาจ-สื่อ’ วินทั้งคู่

ประชาชนต้องตั้งสติดีๆ

ดูเหมือนว่า “รัฐบาลหล่อหลักลอย” ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน...ขนาดเผชิญกับศึก “แดงร้อยศพ” ที่เป็นเรื่อง “ความเป็น-ความตาย” ก็ยังไม่สามารถทำให้ “บัลลังก์ผู้นำ” สั่นสะเทือน...ไปได้ แถมมีทีท่าว่าจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ

ยิ่งหันมาดูลูกเล่น...ในการขย่ม “พรรคภูมิใจห้อย” ที่มีแต่เรื่องตุๆเหม็นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นการออกข่าวในลักษณะ “แหล่งข่าว”... ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก... ที่จะเห็น “แหล่งข่าวตัวเป็นๆ” เปิดตัว

แต่อย่างน้อยก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ “พรรคภูมิใจห้อย” เน่าเหม็น...จมอยู่ในคูคลองที่มีแต่น้ำ คลำ...ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ให้กับผู้พบเห็น... แต่สิ่งหนึ่งที่ “หลายคน” คาดไม่ถึงก็คือ “รัฐบาลหล่อ หลักลอย” ถนัดในเรื่อง Divert Intention หรือ “ยุทธการเบี่ยงเบนประเด็น” จริงๆ

ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือกรณีการออกมาท้วงติง และขัดขวาง “โครงการรถเมล์อเวจี” ที่ “พรรคภูมิใจห้อย” นำเสนอ...ซึ่งมีการสร้างภาพ “มหากาพย์การโกง” ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม...แต่ในช่วงเวลาเดียว กันนั้น...ครม.กลับมีมติเห็นชอบเม็ดเงิน 6.2 หมื่นล้านบาทในการพัฒนาหรือต่อเติม “การท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ” ในระยะที่ 2 โดยอ้างเรื่องการเพิ่ม ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี...ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า “เม็ดเงินมหาศาล” ที่ว่านี้...เป็น “ขนมหวาน” ที่นักการเมืองรอคอย!!!

ไม่เท่านั้น...ในกรณีการประมูลโครงการ 3G ที่หน่วยงานในสังกัดของ “ไอซีที” เจ้ากี้เจ้าการไปยื่นเรื่องให้ศาลปกครอง...คุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ระงับการประมูลของ “คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กทช.) แต่แล้วในช่วงเวลา ไล่เลี่ยกันนั้นเอง...ครม.ก็ไฟเขียวให้ “ทีโอที” ลงทุนโครงการ 3G เม็ดเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท...โดยให้ เปลี่ยนวิธีประมูลมาเป็นแบบทั่วไป...เรียกได้ว่า เป็น การเตะหมูเข้าปาก...แทนที่จะให้ “กทช.” ทำ...งานนี้ ขอให้ “รัฐบาล” ทำเอง...ดีกว่า

งานนี้จะเห็นว่า “ประชาชน” ถูกป้อนข้อมูลให้ “หลงประเด็น” กับข่าวที่นำเสนอออกมาตามสื่อมวลชน...โดย “ผู้มีอำนาจ” เป็นผู้กำหนดกลไก การป้อนข้อมูลข่าวสาร...ซึ่งทางหนึ่ง “ผู้มีอำนาจ” ก็ได้ประโยชน์เต็มๆ ในการเบี่ยงเบนประเด็น... ให้ประชาชนไปสนใจในเรื่องหนึ่ง แต่ขณะเดียว กัน “ตัวเอง” ก็ผ่านฉลุยในอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งอาจมีกลิ่นเน่าเหม็นกว่า...ก็เป็นได้...จึงเป็นเรื่อง “ประ ชาชน” ต้องตั้งสติในการรับรู้ข่าวสารให้ดีๆ

ขณะที่ “สื่อมวลชน” เอง...ก็ต้องยอมรับว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่โงหัว “เฟื่องฟู” อย่าง เต็มที่...การสรรหาโฆษณาที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิต... ในยามนี้จึงเป็นเรื่อง “ลำบากพอสมควร” ดังนั้น... “หลายสื่อ” ในเวลานี้จะเห็นทิศทางการเสนอข่าว... ที่สอดรับกับ “ความต้องการ” ของ “ผู้มีอำนาจ” และเป็นการ “ป้อนข้อมูล” ในทิศทางที่ “ผู้มีอำนาจ” ต้องการสื่อออกไปถึงประชาชน...เรียกได้ว่าเล่นกัน “เนียนๆ” แต่ winwin กันทุกฝ่าย

ยิ่งจู่ๆ มีการโหมประโคมข่าวฉาวของ “ดารา” ทั้งเรื่อง “ใครเป็นพ่อเด็กตรวจดีเอ็นเอหรือไม่” กับเรื่อง “คลิปฉาวแย่งผัว” อันเป็นการกลบข่าว “บึ้มป่วนเมือง” และความวุ่นวายในพรรคร่วมรัฐบาลได้เป็นอย่างดี

เห็นอานุภาพของสื่อหรือยังว่า...จะ เชียร์ ใครก็ได้จะด่าใครก็ได้จะสร้างภาพไม่ดีให้ใครก็ได้...น่าเป็นห่วงจริงๆ กับสังคมไทยในวันนี้

ที่มา.สยามธุรกิจ

อาเพศ

บ้านเมืองเวลานี้ประสบวิกฤตหนักหนาสาหัส hhhh ทั้งทางธรรมชาติ และฝีมือมนุษย์

น้ำท่วมหนักทั่วประเทศ ภาคเหนือภูเขาถล่ม ถนนสายหลักเสียหาย หลายหมู่บ้านตำบลถูกตัดขาด

ภาคกลางภาคตะวันออกน้ำป่าไหลทะลัก อ่างเก็บน้ำพังทลาย หลายจังหวัดจมบาดาล

ขณะที่อีสานฝนเทกระหน่ำต่อเนื่อง โคราช ปากช่องน้ำท่วมถึงคอ ถนนมิตรภาพ ทางรถไฟสัญจรไม่ได้

หนักหน่วงที่สุดในรอบ 30 ปี!

แต่ปฏิกิริยาของภาครัฐยังขยับเขยื้อนตามระบบราช การปกติ

โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่ควรทุกข์ร้อนห่วงใยมากกว่าใคร

ทว่าออกไปไกลได้แค่เพชรบุรี พื้นที่ส.ส.ลูกพรรค?

ทั้งๆที่สภาพความเสียหายเทียบไม่ได้เลยกับจังหวัดอื่นๆ

เป็นผู้นำประเทศแต่ไปไหนมาไหนได้แค่รอบๆ เมืองหลวง

ไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ??

ท่ามกลางภัยธรรมชาติถาโถม ประชาชนเดือดร้อนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้

'เจ้านาย' ในส่วนกลางกลับกระหน่ำซ้ำเติมวิกฤตประเทศไม่หยุดหย่อน

ทั้งเรื่องความล้มเหลวการบริหารราชการ อ่อนด้อยความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะ

จนถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกินกันน่าเกลียด น่ากลัว หน้าด้านๆ

ภาคธุรกิจเอกชนแฉเองแบบสุดทน ยุคนี้เรียกเปอร์ เซ็นต์ กินหัวคิว ยิ่งกว่ายุคไหนๆ

อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต้องลุกออกมาเปิดโปง ซื้อขายตำแหน่งแม้กระทั่งเก้าอี้เล็กๆ เลวร้ายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด

ระบบราชการ คุณธรรม ความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม พังพินาศป่นปี้

ไม่กี่วันก่อนนายตำรวจใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาเลื่อนชั้นให้สูงขึ้น

ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

ล่าสุดอธิบดีใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งปลัดกระ ทรวงมหาดไทย ซึ่งผ่านการตัดสินใจของเจ้าของกระทรวง และเคยผ่านการพิจารณาของครม.ไปแล้ว

ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน

ทั้ง 2 กรณีล้วนมาจากความล้มเหลว อ่อนด้อย ไร้คุณธรรม จริยธรรมของผู้บังคับบัญชา

โอหัง อหังการ เหมือนประเทศเป็นของข้า บ้านเมืองเป็นของกู

แผ่นดินเลยอาเพศอย่างนี้!?

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน

'วิวาทะ' 2 แนวคิดกู้วิกฤต 'ค่าบาท' ดร.โกร่ง ประชัน 'หม่อมเต่า-ประสาร'

ในงานสัมมนา "ตั้งรับยุคค่าเงินบาทแข็งตัว โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจไทย" เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจน พร้อมข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็ว และกำหนดเป้าหมายการแทรกแซงค่าเงินบาทว่าควรจะอยู่ในระดับใด

เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเท่าไร ธปท.ก็จะต้องเข้าไปรับซื้อให้หมดโดยไม่ต้องไปกลัวจะมีต้นทุนจากการออกพันธบัตรเข้ามาดูดซับสภาพคล่องเพิ่ม หาก กนง.มีการปรับลด ดอกเบี้ยลงมา หรือจะกลับไปใช้นโยบายบริหารอัตราแลกเปลี่ยน คงที่ก็ได้ เพราะขณะนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองอยู่ในระดับสูง เกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ไม่มีอันตรายเหมือนในอดีต

"หากจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าให้ได้ผลเร็วที่สุดนั้น ในการประชุม กนง.วันที่ 20 ต.ค.นี้ ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทีเดียว 0.75% เลย เพื่อให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐลดลง"

ส่วนกรณีที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา เครือสหกรุ๊ปออกมา พูดว่ามีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตรอบ 2 ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้หาก ธปท.ยังปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด หรือปล่อยตามยถากรรม ตลาดเงินเมืองไทยเป็นตลาดเล็ก สถานการณ์ตอนนี้มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นไปเรื่อย ๆ พอไปถึงจุดที่ไม่สะท้อนกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ค่าเงินบาทก็แข็งต่อไปไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นนักเก็งกำไรก็อาจจะเข้ามาทุบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เสมือนปั่นให้เงินบาทขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็ปล่อยให้กลิ้งลงมา นี่คือสิ่งที่น่ากลัว ถือเป็นความโง่เขลาของ ธปท. หากยังปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป เรื่อย ๆ ถึงระดับ 25 บาท/ดอลลาร์เมื่อไรก็ตัวใครตัวมัน เพราะอาจจะเกิดวิกฤตรอบ 2 ได้

และสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่อง คือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นได้ โดยเฉพาะ ภาคอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่า สูง ๆ อย่างธุรกิจพลังงานตอนนี้ราคาหุ้นถีบตัวสูงขึ้นมามาก ไม่ได้มาจากการประกอบธุรกิจตามปกติ ส่วนในปีหน้าถ้าไม่มีกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยราคาหุ้นก็อาจจะมีปัญหา

ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการแทรกแซงค่าเงินบาทคงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ธปท. ในส่วนของคลังจะทำได้แค่การออกมาตรการไปช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและตอนนี้ก็ยังคงมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทางการจะพยายามไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปกว่านี้ แต่จะทำให้อ่อนค่าลงคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย

นายกรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า วิกฤตค่าเงินบาทครั้งนี้คงจะไม่ เหมือนกับเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นไปตรึงค่าเงินบาทไว้ แทนที่จะปล่อยให้อ่อนค่าลง ซึ่งในปัจจุบัน ธปท.ได้ปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดแล้ว

ต่อกรณีนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ดังนั้น หากไปดำเนินนโยบายสร้างดุลยภาพเทียมแล้ว นักลงทุน ไม่เชื่อ จะทำให้มีความเสี่ยง และมีต้นทุนสูงในการทำนโยบาย

"ถ้าผู้ลงทุนในตลาดไม่เชื่อดุลยภาพเทียมที่เราประกาศ เราก็ต้องใช้เงินของประเทศรองรับจำนวนสูงแล้ว ถ้าทนไม่ได้อย่าง ต่างประเทศเวลานี้ ที่ต้องขยายแบรนด์ อันนี้จะสร้างความเสียหายค่อนข้างสูง นี่คือสาเหตุอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ค่อนข้างอันตราย"

นายประสารกล่าวว่า ประสบการณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บอกให้รู้ว่า ธปท.ไม่สามารถทำ 3 เรื่องไปพร้อมกันได้ คือ 1.การดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา 2.การปล่อยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรีในระดับหนึ่ง และ 3.การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน จะทำได้เพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ต้องเลือกใช้นโยบายแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การไหลเข้าของเงินทุนครั้งนี้ จะทำให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งรอบ 2 นั้น นายประสาร กล่าวว่า ก็ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ข้อมูลทางเศษฐกิจก็ชี้ให้เห็นว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายตอนนี้เคลื่อนจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตน้อยมาสู่ภูมิภาคที่เติบโตสูงอย่างเอเชีย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นการไหลเข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวเท่าเทียมกัน จะน่ากังวลมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ธปท.มีความกังวลต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทขณะนี้ ซึ่งได้กระทบผู้ประกอบการกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว แต่ที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เข้าไปซื้อขายเพื่อดูแลตลาดอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลความผันผวนในระยะสั้น

"ผมเองก็มีความเป็นห่วง เพราะประเทศเราไม่ใช่เป็นประเทศ ที่ใหญ่ และเปิดประเทศ มันก็เหมือนช้างสารเขาชนกัน ก็กระทบหญ้าแพรกกันถ้วนหน้า เราก็พยายามคิดอ่านอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ สิ่งที่ห่วงอีกประเด็น คือถ้ายังหาข้อสรุปกันไม่ได้ ห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะชะงักงัน"

นายประสารกล่าวว่า ในส่วนของมาตรการดูแล ธปท.มีการวางแผนและมีมาตรการอยู่ในมือ แต่จะหยิบออกมาใช้เมื่อใด ธปท.ในฐานะผู้รับผิดชอบ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อมูลเศรษฐกิจ จังหวะ ผลดี ผลเสียอย่างรอบครอบ เพราะประสบการณ์การมี นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ผ่านมา บอกให้รู้ว่าทุกนโยบายมีข้อดี ข้อเสีย หากมีนโยบายใดที่ให้ผลดี 100% ธปท.คงหยิบมาใช้นานแล้ว

กรณีที่มีความเห็นว่า ธปท.ควรมีนโยบายที่แรงกว่าที่ออกมาก่อนหน้านี้ ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้วย เช่น กรณีของญี่ปุ่นและบราซิลที่ออกมาก่อนหน้านี้ หลังจากออกนโยบายได้ไม่กี่วัน ค่าเงินของทั้งสองประเทศก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การออกนโยบายเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นประเด็นที่อยู่ในความกังวลของหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าในการประชุม G 20 ที่จะเริ่มในปลายเดือน ต.ค.นี้จะมีการพูดคุยถึงประเด็นนี้ ในส่วนของประเทศไทยคงต้องอาศัยทั้งนโยบายการเงิน การคลัง และนโยบายอื่น ๆ ดูแลควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศน้อยที่สุด แต่ล่าสุดก็ยอมรับว่า ธปท.ได้มีการหารือกับธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด

"โดยภาพรวมการแข็งค่าของเงินบาท มีทั้งผู้ที่ได้และเสียประโยชน์ ภาคการส่งออกก็มีความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ก็ต้องเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในประเทศด้วย ถ้าเราไปแทรกแซง และฝืนตลาดมากเกินไป ก็กระทบส่วนอื่นได้"

สำหรับกรณีที่มีการเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง 0.75% นั้น นายประสารกล่าวว่า ต้องให้เป็นการตัดสินใจของ กนง. ที่จะประชุมในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีการนำประเด็นการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ ที่มีการวิจารณ์นโยบายของ ธปท.อย่างมาก นายประสารกล่าวว่า ไม่หนักใจอะไร เพราะเป็นธรรมดาของการดำเนินนโยบายของ ธปท.ที่ต้องดูแลเสถียรภาพของประเทศ จะทำอะไรให้ถูกใจทุกฝ่าย คงเป็นไปได้ยาก

ทั้งนี้ การทำงานของ ธปท.ก็ไม่ได้ตัดสินใจเพียงลำพัง เพราะ ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์การเงินปี 2540 ธปท.ได้ปรับกระบวนการ ดำเนินนโยบายใหม่ใน 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1.กระบวนการตัดสินใจต้องมาจากคณะบุคคล ซึ่งก็คือคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนไม่กี่คนเหมือนอดีต และ 2.กระบวนการกำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ย หรืออัตราแลกเปลี่ยน ก็มีกรอบที่สามารถอธิบายกับสังคมได้

"เมื่อมีกรอบนโยบายที่อธิบายกับสังคมได้ จึงไม่มีอะไรต้องหนักใจ" นายประสารกล่าว

ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการ ธปท. และอดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ประเทศไทยเคยประสบวิกฤตมาแล้วในปี 2540 จากการไปตั้งเป้าหมายค่าเงินไว้ที่ 26-27 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถ้าจะทำอีก คงทำได้ยาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเปิด และทำการค้ากับทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีการซื้อขายเงินตราอยู่กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน

"ถ้าไปตั้งเป้าอัตราแลกเปลี่ยน คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำ เขาก็ เอาเงินเข้ามา ถ้าจะทำให้มันได้ตามเป้าหมาย ก็ต้องทำนโยบาย อื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย แต่ก็ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน"

กรณีที่มีข้อเสนอว่าให้ลดดอกเบี้ยนั้น คงทำไม่ได้ เพราะเราใช้นโยบายดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา กนง.ขึ้นดอกเบี้ยไป เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีประเด็นการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ย ก็มีน้อยลง

สำหรับท่าทีของกระทรวงการคลังต่อบทบาท ธปท.ในปัจจุบัน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การดูแล ค่าเงินบาท เป็นหน้าที่ของ ธปท. ซึ่งวันนี้ ธปท.ได้รับฟังจากภาคเอกชนมากมาย ธปท.ก็ดูแลอยู่ "ผมเชื่อว่า ผู้ว่าการคนใหม่ ซึ่งเคยทำงานอยู่ภาครัฐ และไปอยู่ภาคเอกชน คงมองเห็นภาพชัดเจน ผมก็มีความมั่นใจในตัวท่าน"

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

คนสนิท"เปรม"ซัดมือแพร่คลิปเจตนาแย่ หวังโยงใยคดียุบพรรค เลขาฯประธานศาล รธน.เผ่นนอกแล้ว

กรณีพรรคเพื่อไทย(พท.) เผยแพร่คลิปวิดีโอหลายชุด โดยกล่าวอ้าง เป็นขบวนการโยงใยล็อบบี้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในคดีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งในคลิปชิ้นหนึ่งปรากฏภาพของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษด้วยนั้น

แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ชี้แจงว่า ภาพ พล.อ.เปรมที่ปรากฏ เป็นช่วงเดือนเมษายนเมื่อปีที่แล้ว(ปี2552) โดยพล.อ.เปรม ไปในงานมูลนิธิศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อให้รางวัลบุคคลต่างๆ ภายในคลิปที่ปรากฏช่วงระหว่างนั่งรอการมอบรางวัล ซึ่งพล.อ.เปรม ได้นั่งคุยกับนายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด

“ยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏในเว็บไม่ใช่ปีนี้แน่นอน และคนที่ทำมีเจตนาแย่มากที่นำภาพมาเผยแพร่เพื่อให้คนคิดว่า พล.อ.เปรม เข้าไปแทรกแซงศาล ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันไม่น่าทำแบบนี้ บ้านเมืองจะแย่ สื่อโดยเฉพาะ เว็บไซด์โอมายก็อดไม่ทราบว่า ของใคร แต่ก่อนที่ลงภาพหรือลงเนื้อหาควรตรวจสอบให้ดีก่อน หากมีผลกระทบต่อบุคคลก็มีผลส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญหากกระทบต่อชาติบ้านเมืองนั้นจะแย่ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่าจริงไม่จริงอย่างไร หากไม่จริงบ้านเมืองจะเสียหาย ตอนนี้บ้านเมืองก็แย่อยู่แล้ว ขอให้ช่วยกันทุกฝ่าย ให้นึกถึงบ้านเมืองกับความสงบเรียบร้อย อย่าไปนึกถึงคะแนนเสียง” แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรมระบุ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เวลา 17.46 นาที ด้วยสายการบินคาร์เธย์แปซิฟิก เที่ยวบิน Cx 070 ใช้หนังสือเดินทางราชการเลขที่ F502554 จนถึงขณะนี้ยังไม่เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย

ที่มา.มติชนออนไลน์