เมื่อมีหนึ่งมาเลเซีย
“หนึ่งมาเลเซีย ประชาชนมาก่อนและต้องทำเดี๋ยวนี้ยุคข้าราชการรู้ทุกเรื่องได้จบลงแล้ว”
นี่คือคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย ท่าน Mohd. Najib bin Tun Abdul Razak หรือเรียกตามสื่อต่างๆว่า ท่านนายกฯ นาจีบ ราซัค เมื่อท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย จึงจัดว่าเป็นศักราชใหม่ของการบริหารงานที่เน้นการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติและให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน
>> มาเลเซียโมเดลเอกภาพคือพลัง
มาเลเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีประชากรราว 27 ล้านคน และมีคำขวัญประจำชาติ คือ Bersekutu Bertambah Mutu หรือ “ความเป็นเอกภาพคือพลัง” ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากประเทศ มาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ และในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมือง เนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ จึงต้องเน้นการรวมกันเป็นชาติ และมีเอกภาพเป็นสำคัญ
ประชากรส่วนใหญ่ของมาเลเซียเป็นชาวมลายู ร้อยละ 50.4 เรียกว่าเป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศ อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบาห์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิมและอยู่ในกรอบ วัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวักและรัฐ ซาบาห์
นอกจากนี้ ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบ สมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ส่วนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีร้อยละ 23.7 มีชาวมาเลเซีย เชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร รวมทั้งยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่ใน รัฐทางตอนเหนือของประเทศ และมีคนเชื้อสายชวา และมินังกะเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ มีชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชน ลูกครึ่งอื่นๆ อย่าง ฮอลันดา และอังกฤษส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนัง
ประเทศนี้จึงมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อย่างมาก
>> วาระผลัดใบประเทศ
สิ่งที่จะเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้คือ การที่มาเลเซีย กำลังปรับเปลี่ยนประเทศให้เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคของความสมานฉันท์ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล ตลอดจนเสริมสร้างความซื่อตรงของคนในชาติ ที่เป็นนโยบายหลักของท่านนายกฯ นาจีบทำไมนายกฯ ท่านนี้จึงสนใจเรื่องนี้นัก เราลอง มารู้จักท่านสักเล็กน้อย
ท่านนายกฯ นาจีบเกิดวันที่ 23 กรกฎาคม 2496 ที่ปาหัง เป็นบุตรคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัค (จากพี่น้อง 6 คน) เป็นหลานของท่าน ฮุสเซ็นออน นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของมาเลเซีย ท่านมีมรดกที่ดินมากมายในรัฐปาหัง จบปริญญาตรี จากอังกฤษทางด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ก่อนเข้าสู่การเมืองท่านเคยเป็นนักธุรกิจ เคยทำงาน กับธนาคารกลาง และบริษัทปิโตรแนส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของมาเลเซีย ในฐานะผู้จัดการกิจการสาธารณะ ท่านเป็นทายาทนักการเมืองที่ ยิ่งใหญ่ ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารธุรกิจ และมีทรัพย์สมบัติจากบรรพบุรุษมหาศาล แบบที่ไม่ ต้องไปแสวงหาอีกแต่อย่างใด
ท่านนายกรัฐมนตรีนาจีบพยายามลดความตึงเครียดทางการเมืองลงโดยในวันแรกที่ท่านเข้าทำงานได้ยกเลิกการห้ามออกหนังสือพิมพ์สองฉบับ ที่เป็นของผู้นำฝ่ายค้าน และปล่อยนักโทษที่ถูกจับตามกฎหมายความมั่นคง (บางคนเคยรณรงค์ต่อต้าน รัฐ) นอกจากนี้ ท่านยังมุ่งมั่นที่จะลดความยากจนของชาวมาเลเซีย ปรับโครงสร้างสังคมมาเลเซีย ขยายการเข้าถึงคุณภาพการศึกษาสำหรับทุกคน และส่งเสริมโครงการที่สนองความต้องการของประชาชนด้านการบริการสาธารณะ
>> ปฏิบัติการหนึ่งมาเลเซีย
โครงการแรกที่ดิฉันประทับใจและจะกล่าวถึง คือ “โครงการหนึ่งมาเลเซีย” หรือ “1 Malaysia” เป็นโครงการที่มีการรณรงค์อย่างกว้างขวางในขณะนี้ และมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นโครงการ ที่ประกาศโดยนายกรัฐมนตรีนาจีบเอง
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และข้าราชการให้ความสำคัญกับการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว และมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
โดยมีค่านิยมแปดประการของหนึ่ง มาเลเซีย คือ การมีมานะอุตสาหะ (perseverance) มีวัฒนธรรมของการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (a culture of excellence) การยอมรับกัน (acceptance) การมีความจงรักภักดี (loyalty) การศึกษา (education) การอ่อนน้อมถ่อมตน (humility) การมีความซื่อตรง (integrity) และการยึดมั่นในคุณงามความดีหรือมีระบบที่เชื่อในความสำเร็จด้วยตนเองที่ไม่ใช้สิทธิพิเศษ (meritocracy)
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 หรือวันเดียวหลังจากประกาศโครงการหนึ่งมาเลเซีย ท่านนายกฯ นาจีบ ได้เปิดเว็บไซต์ www. 1Malaysia.com.my ท่านได้ใช้เว็บไซต์นี้ในการประชาสัมพันธ์นโยบายทางการเมือง และจัดให้มีเวทีสำหรับชาวมาเลเซียที่จะอภิปราย กันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล โครงการหนึ่งมาเลเซียนี้ มีการใช้สื่อ สาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์
>> รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว
รัฐบาลของท่านนาจีบ กำลังดำเนินโครงการที่เป็นการปรับเปลี่ยนระบบการทำ งานของภาครัฐ ในการให้บริการที่ดีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น มีการใช้มาตรการต่างๆ และมีตัวชี้วัดมากมายที่จะแสดงถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีการให้รางวัลหน่วยงานต่างๆ ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียกำลัง ปฏิรูปตัวเองอย่างแข็งขัน เพราะชาวมาเลเซีย จะเข้าใจคำว่า หนึ่งมาเลเซีย หรือวันมาเลเซีย ได้อย่างดี เพราะหากอ่านตรงตัวก็คือ มาเลเซียเป็นหนึ่งเดียว แม้คนขับแท็กซี่ยังบอกว่า หนึ่งมาเลเซีย เป็นสิ่งที่จะทำให้มาเลเซียไปสู่ความ สำเร็จในเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทุกๆ ด้านได้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชนมากมายภายใต้การจัดซื้อจัดจ้างที่เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมาก ขึ้น ทั้งในการพิจารณาและการแสดงความเห็น ต่อการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล
ท่านนายกฯ นาจีบ ยังสัญญาที่จะทำ ให้รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว จึงยุบกระทรวงไปสองกระทรวง แต่สร้างกระทรวงพลังงาน เทคโนโลยีสะอาดและน้ำขึ้น แต่คณะรัฐมนตรีของเขามี รัฐมนตรีรวม 28 คนซึ่งน้อยกว่ายุคก่อนๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้นำพรรคของชาวจีนในมาเลเซียเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเอกภาพและการดำเนินการอีกด้วย แสดงถึงการยึดมั่น ในการลดความตึงเครียดทางเชื้อชาติและศาสนาอย่างเอาจริงเอาจัง
>> สร้างความเป็นหนึ่งอย่างบูรณาการ
อีกประการหนึ่งที่น่าชื่นชมคือการที่เขา รณรงค์ในการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เป็นการรวมใจการสร้างการเป็นหนึ่งในทุกเรื่องทั้งการ ศาสนา กีฬา เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง และศิลปวัฒนธรรม เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2510 ที่ผ่านมา คณะนักวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าไปศึกษาวิจัยที่กัวลาลัมเปอร์ จึงพบป้ายรณรงค์เรื่องหนึ่งมาเลเซียในด้านต่างๆ เต็มเมืองไปหมดคู่กับการประดับธงชาติที่สวยงามในอาคารต่างๆ ทั้งเอกชน สื่อมวลชน องค์กรต่างๆ และหน่วยงานราชการพากันขานรับเรื่องนี้ทั้งนั้น
แม้ในพิพิธภัณฑ์เองก็มีการจัดนิทรรศ การให้ความรู้เรื่องการพัฒนาด้านต่างๆ ของมาเลเซียทั้งก่อนและหลังการเป็นอาณานิคม การสร้างความเป็นเลิศด้านต่างๆ ได้แสดงให้ เด็กชม แม้กระทั่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเป็นนักบินอวกาศของวิศวกรหนุ่มรูปหล่อ การมีสนามแข่งรถ การค้นพบน้ำมัน และการ มีตึกที่สูงติดอันดับโลก เป็นต้น
>> แผนความซื่อตรงแห่งชาติ
สิ่งที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกันคือการไปเรียนรู้เรื่องการทำแผนความซื่อตรงแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงของผู้นำชาวมาเลเซีย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยเฉพาะในสมัยท่านมหาธีร์ เขาก่อตั้งสถาบันความซื่อตรงแห่งชาติ หรือ Malaysian Institute of Integrity (IIM) และทำงานขับเคลื่อนแผนความซื่อตรงแห่งชาติ โดยเฉพาะด้านการรณรงค์เรื่องความซื่อตรง ให้เป็นวิถีชีวิตของคนมาเลเซีย การศึกษาวิจัย การอบรมเผยแพร่เรื่องความซื่อตรงให้กับประชาชนทุกระดับตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา และข้าราชการ ตลอดจนเอกชน
รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนเรื่องนี้อย่าง จริงจัง จะเห็นได้จากอาคารที่เขาใช้ทำงาน เป็นอาคารเช่าในราคาไม่กี่พันบาท จัดว่าแทบ อยู่ฟรี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เป้าหมายของการจัดทำแผนความซื่อตรง เพื่อการลดการทุจริต การประพฤติมิชอบ และการใช้อำนาจมิชอบ การเพิ่มประสิทธิภาพในการ ให้บริการสาธารณะ การลดการทำงานที่ล่าช้า ของราชการ การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคเอกชน และเสริมสร้างความซื่อตรงในสังคม และครอบครัว และการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีการจัดตั้งสถาบันนี้ขึ้น และมีกรรมการมาจากหลายภาคส่วนในการมากำหนดนโยบายและการบริหารงานของสถาบัน ทั้งร่วมกันเสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อตรงให้เกิดขึ้น ในทุกปียังมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับความซื่อตรงและนำเสนอประเด็นต่อนายกรัฐมนตรี ปีที่แล้วเป็นเรื่องของเยาวชนกับความซื่อตรง เขามีโครงการให้เยาวชนก่อตั้งชมรมความซื่อตรง และทำโครงการเสริมสร้างความซื่อตรงโดยมีเงินให้ทำกิจกรรมเล็กน้อยด้วย ในทุกปียังมีการโต้ วาทีเรื่องความซื่อตรงอีกด้วย
ในโอกาสที่ไปเยือนสถาบันอันทรงเกียรติ แห่งนี้ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากท่านดาโต๊ะ ด็อกเตอร์โมฮัมหมัด แทป ซาเลย์ (Datuk Dr. Mohd Tap Salleh) ประธานของสถาบันและยังให้ความรู้แก่พวกเราอย่าง มากมายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แม้เป็นช่วงถือศีลอดก็ตาม
>> ปฏิรูปประเทศอย่ามองแค่การเมือง
หลังจากนั้นการส่งเสริมอย่างจริงจังใน เรื่องทำความดีจึงแพร่ไปทั่งในวงการราชการ มีการมอบรางวัลแห่งความเป็นเลิศในการบริการและมีธรรมาภิบาล ทั้งมีรางวัลที่เรียก ว่าหน่วยงานราชการแบบห้าดาวอีกด้วย ดิฉันจึงได้มีโอกาสไปปุตราจายา เมืองหลวงใหม่หรือเมืองราชการเพื่อศึกษาหน่วยงานตัวอย่าง ที่มีการบริการแบบห้าดาวอีกด้วย และต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ ในเรื่องการบริการด้วยใจ
ทั้งหนึ่งมาเลเซีย และแผนความซื่อตรง แห่งชาติจนถึงหน่วยงานราชการห้าดาวล้วนน่าสนใจ และนำมาเป็นตัวแบบของการพัฒนา ชาติของเราให้เดินไปสู่ความสมานฉันท์ รวมใจเป็นหนึ่ง สร้างค่านิยมร่วมในเรื่องความซื่อตรงและธรรมาภิบาล เพราะเป็นของจริงที่ต้องปฏิรูป การมองเพียงประเด็นการเมือง สถาบันการเมือง และรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้
หากยังคงละเลยเรื่องที่เพื่อนบ้านเรา เขามองเห็นและเดินล่วงหน้าไปแล้ว!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ทำไมไม่มี..หนึ่งไทยแลนด์?
เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วไง..
โดย.ชำนาญ จันทร์เรือง
ผลพวงของการชี้มูลทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอของ ปปช.และข่าวลือเรื่องการใช้เงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านนักการเมืองที่กระหน่ำประโคมข่าวกันถี่ยิบในช่วงหลัง ทำให้กระแสการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มมีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกด้วยเหตุที่ว่าไหนๆตอนนี้ตำแหน่งดังกล่าวก็ผูกพันกับการเมืองอยู่แล้ว เรามาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ
แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสรุปว่าควรหรือไม่ควร เรามาดูนานาอารยประเทศทั้งหลายว่ามีรูปแบบการปกครองกันอย่างไรบ้าง
ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) วิวัฒนาการของการปกครองประเทศมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลหรือส่วนกลางมาอย่างยาวนาน ซึ่งเน้นหลักการรวมอำนาจและเอกภาพแห่งรัฐโดยถือว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการปกครองและบริหารประเทศ
ส่วนการปกครองและการบริหารท้องถิ่นเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาล โดยรัฐบาลมอบอำนาจบางประการให้แก่ท้องถิ่น ดังนั้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจในการปกครองตนเองและมีความเป็นอิสระมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเราได้ลอกเลียนแบบการปกครองของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานแต่ไทยเราแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงดังเช่นของฝรั่งเศสที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฝรั่งเศสอยู่ที่การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาค 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 (The Law on the Rights and Liberties of Communes, Departments and Regions 2 march 1982) ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีฟรังชัวส์ มิตเตอร็องด์ (Francois Mitterrand) การออกกฎหมายฉบับนี้นำมาสู่การออกกฎหมายอื่น ๆ ตามมาอีกหลายฉบับ เพื่อให้การปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เดิมจังหวัดจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1789 ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลกลาง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1830 จังหวัดได้กลายเป็นองค์กรปกครองที่มี 2 สถานะ คือ สถานะหนึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลกลาง โดยเป็นส่วนราชการในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และอีกสถานะหนึ่งเป็นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยผู้บริหารยังคงมาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการกระจายอำนาจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ ปี 1980 โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาคเมื่อ 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 จังหวัดเปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเดิมได้กลายเป็น“ผู้ตรวจการแห่งสาธารณรัฐ” (Commissioner of the Republic) อำนาจหน้าที่ซึ่งแต่เดิมเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดถูกถ่ายโอนไปเป็นของประธานสภาจังหวัดซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร
สมาชิกสภาจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีจำนวนตั้งแต่ 14 คน จนถึง 76 คน ขึ้นอยู่กับจำนวน “กังต็อง” หรือเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด โดยแต่ละกังต็องมีสิทธิเลือกสมาชิกสภาจังหวัดได้ 1 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดใหม่จำนวนกึ่งหนึ่งของสภา สภาชิกสภาจังหวัดจะคัดเลือกสมาชิกคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัด และรองประธานสภาฯ อีก 4 – 10 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 3 ปี โดยประธานสภาฯ ยังดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ สภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการต่าง ๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจังหวัด
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีองค์พระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย ญี่ปุ่นจัดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วน คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะผู้ยึดครองของสหรัฐฯ ที่เข้ามาจัดระเบียบทางการเมือง การบริหาร และระบบเศรษฐกิจ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จัดระดับชั้นการปกครองท้องถิ่นของญี่ปุ่นออกเป็น 2 ชั้น (Two-Teir System) คือ ระดับบน (Upper Tier) ได้แก่ จังหวัด (Prefecture) และ ระดับล่าง (Lower Tier) ได้แก่ เทศบาล (Municipal) จึงมีผลทำให้จังหวัดมีพื้นที่ในการดำเนินงานครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับเทศบาลทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อจังหวัดอย่างไรก็ตาม จังหวัดและเทศบาลมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้หมายความว่าเทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้สังกัดจังหวัด ดังนั้น จังหวัดจึงมีอำนาจเพียงให้คำแนะนำและแนวทางแก่เทศบาลเท่านั้น ไม่สามารถใช้อำนาจสั่งการเทศบาลได้
ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอำนาจหน้าที่ที่สำคัญก็คือบริหารงานของจังหวัดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เสนอร่างกฎหมายต่างๆเพื่อให้สภาจังหวัดพิจารณา เสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้สภาจังหวัดอนุมัติและบริหารงบประมาณตามที่ได้รับการอนุมัติอย่างมีประสิทธิภาพ จัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ(โดยมีหลักการว่าท้องถิ่นเก็บภาษีแล้วนำบางส่วนส่งส่วนกลางตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตรงกันข้ามกับของไทยที่ส่งส่วนกลางก่อนแล้วจึงแบ่งบางส่วนมาให้ท้องถิ่น) แต่งตั้งและปลดรองผู้ว่าราชการจังหวัด อำนาจในการยุบสภาจังหวัด
ที่สำคัญคืออำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินกิจการบางอย่างแทนให้สำเร็จลุล่วงตามกฎระเบียบและแนวทางที่รัฐบาลกลางวางไว้
เกาหลีใต้
ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทย มีการแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น แต่ประเทศเกาหลีได้กลับทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในเกาหลีใต้ เพิ่งจะมีการปฏิรูปกันอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีบทบัญญัติรองรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ทางการเมืองในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามเกาหลีทีทำให้การปกครองท้องถิ่นของเกาหลีใต้ต้องหยุดชะงักลง หรือจะเป็นการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลเผด็จการของปัก จุง ฮี ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 (Local Autonomy Act in 1949) และได้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้การการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีการแก้ไขปรับปรุงเมื่อปี ค.ศ. 1995 ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่ามีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้น กล่าวคือเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
อังกฤษ
อังกฤษเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่มีความแตกต่างจากฝรั่งเศส ในขณะที่ฝรั่งเศสมีการจัดระบบบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ระดับ คือ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แต่อังกฤษจัดระบบบริหารราชการเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นโดยมิได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแต่ว่าเป็นรูปแบบของรัฐรวมหรือสหรัฐซึ่งแตกต่างจากไทยเราซึ่งเป็นรัฐเดี่ยว โดยผมยกตัวอย่างเฉพาะที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทยเพราะเมื่อใดที่มีการยกประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นมา ก็จะถูกยกประเด็นการเป็นรัฐเดี่ยวและการมีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศขึ้นมาโต้แย้งอยู่เสมอ และแน่นอนว่าผมมิได้ยกตัวอย่างประเทศพม่า ลาว กัมพูชา หรือประเทศในแถบอาฟริกาที่ยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอยู่เช่นเดียวกับไทยอยู่แล้ว
ประเทศไทยถึงเวลาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วหรือยัง
คำตอบของผมก็คือหากอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเรายังเป็นเสมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไม่มีอำนาจและงบประมาณเป็นของตนเอง การตัดสินใจต่างๆ ล้วนแล้วแต่รวมศูนย์อำนาจอยู่แต่ในส่วนกลางคือตัวปัญหา การเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคจึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพราะผลที่ได้มาภายหลังการเลือกตั้งก็ยังคงเหมือนเดิม
การบริหาราชการส่วนภูมิภาคนั้นนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านการเมืองและการปกครองเพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ไว้วางใจประชาชนในท้องถิ่นแล้ว ยังทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอน อีกทั้งยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อท้องถิ่น เพราะถูกบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากที่อื่น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจปัญหาของท้องถิ่นเท่ากับคนท้องถิ่นเอง
ฉะนั้น การมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั่นเองที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน การยกเลิกเสียซึ่งการบริหารราชส่วนภูมิภาคต่างหากคือคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่นจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม
----------------------------
ผลพวงของการชี้มูลทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอของ ปปช.และข่าวลือเรื่องการใช้เงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านนักการเมืองที่กระหน่ำประโคมข่าวกันถี่ยิบในช่วงหลัง ทำให้กระแสการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มมีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกด้วยเหตุที่ว่าไหนๆตอนนี้ตำแหน่งดังกล่าวก็ผูกพันกับการเมืองอยู่แล้ว เรามาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ
แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสรุปว่าควรหรือไม่ควร เรามาดูนานาอารยประเทศทั้งหลายว่ามีรูปแบบการปกครองกันอย่างไรบ้าง
ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) วิวัฒนาการของการปกครองประเทศมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลหรือส่วนกลางมาอย่างยาวนาน ซึ่งเน้นหลักการรวมอำนาจและเอกภาพแห่งรัฐโดยถือว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการปกครองและบริหารประเทศ
ส่วนการปกครองและการบริหารท้องถิ่นเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาล โดยรัฐบาลมอบอำนาจบางประการให้แก่ท้องถิ่น ดังนั้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจในการปกครองตนเองและมีความเป็นอิสระมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเราได้ลอกเลียนแบบการปกครองของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานแต่ไทยเราแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงดังเช่นของฝรั่งเศสที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฝรั่งเศสอยู่ที่การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาค 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 (The Law on the Rights and Liberties of Communes, Departments and Regions 2 march 1982) ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีฟรังชัวส์ มิตเตอร็องด์ (Francois Mitterrand) การออกกฎหมายฉบับนี้นำมาสู่การออกกฎหมายอื่น ๆ ตามมาอีกหลายฉบับ เพื่อให้การปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เดิมจังหวัดจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1789 ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลกลาง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1830 จังหวัดได้กลายเป็นองค์กรปกครองที่มี 2 สถานะ คือ สถานะหนึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลกลาง โดยเป็นส่วนราชการในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และอีกสถานะหนึ่งเป็นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยผู้บริหารยังคงมาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการกระจายอำนาจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ ปี 1980 โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาคเมื่อ 2 มีนาคม ค.ศ. 1982 จังหวัดเปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเดิมได้กลายเป็น“ผู้ตรวจการแห่งสาธารณรัฐ” (Commissioner of the Republic) อำนาจหน้าที่ซึ่งแต่เดิมเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดถูกถ่ายโอนไปเป็นของประธานสภาจังหวัดซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร
สมาชิกสภาจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีจำนวนตั้งแต่ 14 คน จนถึง 76 คน ขึ้นอยู่กับจำนวน “กังต็อง” หรือเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด โดยแต่ละกังต็องมีสิทธิเลือกสมาชิกสภาจังหวัดได้ 1 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดใหม่จำนวนกึ่งหนึ่งของสภา สภาชิกสภาจังหวัดจะคัดเลือกสมาชิกคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัด และรองประธานสภาฯ อีก 4 – 10 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 3 ปี โดยประธานสภาฯ ยังดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ สภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการต่าง ๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจังหวัด
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีองค์พระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย ญี่ปุ่นจัดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วน คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะผู้ยึดครองของสหรัฐฯ ที่เข้ามาจัดระเบียบทางการเมือง การบริหาร และระบบเศรษฐกิจ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จัดระดับชั้นการปกครองท้องถิ่นของญี่ปุ่นออกเป็น 2 ชั้น (Two-Teir System) คือ ระดับบน (Upper Tier) ได้แก่ จังหวัด (Prefecture) และ ระดับล่าง (Lower Tier) ได้แก่ เทศบาล (Municipal) จึงมีผลทำให้จังหวัดมีพื้นที่ในการดำเนินงานครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับเทศบาลทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อจังหวัดอย่างไรก็ตาม จังหวัดและเทศบาลมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้หมายความว่าเทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้สังกัดจังหวัด ดังนั้น จังหวัดจึงมีอำนาจเพียงให้คำแนะนำและแนวทางแก่เทศบาลเท่านั้น ไม่สามารถใช้อำนาจสั่งการเทศบาลได้
ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอำนาจหน้าที่ที่สำคัญก็คือบริหารงานของจังหวัดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เสนอร่างกฎหมายต่างๆเพื่อให้สภาจังหวัดพิจารณา เสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้สภาจังหวัดอนุมัติและบริหารงบประมาณตามที่ได้รับการอนุมัติอย่างมีประสิทธิภาพ จัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ(โดยมีหลักการว่าท้องถิ่นเก็บภาษีแล้วนำบางส่วนส่งส่วนกลางตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตรงกันข้ามกับของไทยที่ส่งส่วนกลางก่อนแล้วจึงแบ่งบางส่วนมาให้ท้องถิ่น) แต่งตั้งและปลดรองผู้ว่าราชการจังหวัด อำนาจในการยุบสภาจังหวัด
ที่สำคัญคืออำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินกิจการบางอย่างแทนให้สำเร็จลุล่วงตามกฎระเบียบและแนวทางที่รัฐบาลกลางวางไว้
เกาหลีใต้
ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทย มีการแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น แต่ประเทศเกาหลีได้กลับทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในเกาหลีใต้ เพิ่งจะมีการปฏิรูปกันอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีบทบัญญัติรองรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ทางการเมืองในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามเกาหลีทีทำให้การปกครองท้องถิ่นของเกาหลีใต้ต้องหยุดชะงักลง หรือจะเป็นการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลเผด็จการของปัก จุง ฮี ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 (Local Autonomy Act in 1949) และได้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้การการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีการแก้ไขปรับปรุงเมื่อปี ค.ศ. 1995 ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่ามีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้น กล่าวคือเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
อังกฤษ
อังกฤษเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่มีความแตกต่างจากฝรั่งเศส ในขณะที่ฝรั่งเศสมีการจัดระบบบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ระดับ คือ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แต่อังกฤษจัดระบบบริหารราชการเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นโดยมิได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแต่ว่าเป็นรูปแบบของรัฐรวมหรือสหรัฐซึ่งแตกต่างจากไทยเราซึ่งเป็นรัฐเดี่ยว โดยผมยกตัวอย่างเฉพาะที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทยเพราะเมื่อใดที่มีการยกประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นมา ก็จะถูกยกประเด็นการเป็นรัฐเดี่ยวและการมีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศขึ้นมาโต้แย้งอยู่เสมอ และแน่นอนว่าผมมิได้ยกตัวอย่างประเทศพม่า ลาว กัมพูชา หรือประเทศในแถบอาฟริกาที่ยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอยู่เช่นเดียวกับไทยอยู่แล้ว
ประเทศไทยถึงเวลาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วหรือยัง
คำตอบของผมก็คือหากอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเรายังเป็นเสมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไม่มีอำนาจและงบประมาณเป็นของตนเอง การตัดสินใจต่างๆ ล้วนแล้วแต่รวมศูนย์อำนาจอยู่แต่ในส่วนกลางคือตัวปัญหา การเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคจึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพราะผลที่ได้มาภายหลังการเลือกตั้งก็ยังคงเหมือนเดิม
การบริหาราชการส่วนภูมิภาคนั้นนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านการเมืองและการปกครองเพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ไว้วางใจประชาชนในท้องถิ่นแล้ว ยังทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอน อีกทั้งยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อท้องถิ่น เพราะถูกบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากที่อื่น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจปัญหาของท้องถิ่นเท่ากับคนท้องถิ่นเอง
ฉะนั้น การมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั่นเองที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน การยกเลิกเสียซึ่งการบริหารราชส่วนภูมิภาคต่างหากคือคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่นจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม
----------------------------
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ใครเลวกันแน่.....
โดย.นักวิชาการ ลูกพ่อขุน
จากข่าวหน้าหนึ่งที่ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ตกเป็นข่าวเรื่องคลิปฉาวที่โยงใยกระบวนการยุติธรรมนั้น ณ ปัจุบันสังคมกำลังแสดงออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัช ตกเป็นเหยื่อถูกกลั่นแกล้งและทำหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้าย หนักกว่านั้นในวงของแฟนพันธุ์แท้ สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงกับบอกว่าคลิปนี้เป็นการตัดต่อเพื่อทำลายชื่อเสียและความน่าเชื่อถือของขบวนการยุติธรรม ก็ว่ากันไป...
เรามาลองตามเรื่องนี้แบบมีสติกันดูบ้าง เริ่มเดิมทีคลิปถูกกระจายอยู่ในเน็ตโดยไม่ค่อยได้รับความสนใจอะไร จนกระทั่งมีนักรบไซด์เบอร์ท่านหนึ่งโพสคลิปนี้ต่อโดยเปลี่ยนชื่อคลิป นำมาซึ่งการตรวจสอบของข้อเท็จจริงของพรรคเพื่อไทยและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวคลิปถูกตัดทอนออกมาเป็นช่วง แต่ส่วนที่มีปัญหาคือช่วงคลิปที่ 2
พรรคเพื่อไทยตีเรื่องนี้ออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ และยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ถือเป็นการทำให้ระบบยุติธรรมเสื่อมเสีย ตรงนี้เป็นภาพรวม แต่ข้อกล่าวหาที่ทางพรรคเพื่อไทยใช้ในการเผยนั้น เป็นเรื่องที่บุคคลในคลิปตกลงกันเรื่องจะนำ กกต.มาขึ้นให้การในคดีหรือไม่?
จุดนี้เป็นเรื่องตลกที่หลายคนคงลืมไปเพราะคดีการยุบพรรคเป็นเรื่องที่ กกต.เป็นผู้ยื่นเรื่องฟ้องไม่ใช่พรรคเพื่อไทยทำ ฉะนั้น กกต.จึงมีศักดิ์เป็นโจทย์แล้วโจทย์ผู้ร้องจะมาเป็นพยานให้จำเลยผู้ที่ตนมีความเห็นให้ฟ้องเช่นนี้จะเรียกว่าอะไรได้นอกจากทำลายระบบยุติธรรมอย่างที่พรรคเพื่อไทยชี้แจง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องมองไปถึงเรื่องจริยธรรม ที่มีการเอาข้อมูลมาเพื่อเตรียมล๊อปบี้แค่เรื่องที่ กกต.ผู้เป็นโจทย์จะมาแก้ต่างให้จำเลยที่ตนสั่งฟ้องแค่เรื่องนี้ก็ผิดแล้ว
กลับมาทางฝั่งนายวิรัชบ้าง พอเรื่องแดงก็รีบออกมาบอกว่าตนไม่มีเจตนาและเรื่องทุกอย่างเป็นการจัดฉาก สังเกตุจากการที่มีคนตั้งใจตั้งกล้องแอบถ่าย
ตรงนี้หากฟังเผินๆคงเชื่อสนิทใจ ด้วยผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดฉากถือได้ว่ามีส่วนได้เสียกับคดียุบพรรค ทำให้ดูมีนำหนักกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างถ่องแท้
แต่การที่นายวิรัชใช้เรื่องนี้ เพื่อพาตนให้พ้นจากความผิดนั้นผมไม่เห็นด้วย แม้จะอ้างว่าถูกหลอกให้มาเจอกับเลขาฯจนถูกแอบถ่าย แต่หากเราวิเคราะห์กันตามหลักความเป็นจริงเรื่องทุกอย่างเกิดจากคนสองคนมีการพูดคุยกัน โดยบทสนทนาเกิดจากการพูดคุยตกลงกันเองมิได้มีใครไปบังคับ แม้จะอ้างว่ามีการแอบถ่ายหรือหลอกล่อให้มาเจอ แต่หากคนสองคนนั้นมิได้พูดเรื่องที่มิบังควรถามว่าผู้ที่แอบถ่ายนั้นจะได้อะไรกลับไป การอ้างว่าตนถูกหลอกมาถ่ายเป็นการจัดฉากจึงเป็นเป็นข้ออ้างไม่สามารถลบเรื่องที่นายวิรัชเป็นผู้กระทำไว้ได้ เพราะไม่ว่าจะมีการถ่ายหรือไม่นายวิรัชก็ไดพูดเช่นที่ปรากฎในคลิปจริงๆ ถึงแม้ความจริงแล้วคนที่จัดการแอบถ่ายจะเป็น นปช.หรือพรรคเพื่อไทยอย่างที่นายวิรัชกล่าวหา แต่หากนายวิรัชไม่พูดกับเลขาในเรื่องดังกล่าวจะเป็นข่าวไหม..? ความจริงข้อนี้กำลังถูกคารมคมคายของนายวิรัชลบไปทุกขณะ
การออกมาตีรวนว่าเป็นการจักดฉากในสายตาผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องตลกที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอีกครั้ง คนทำออกมาประกาศปาวๆว่าไม่ได้ผิดอะไรที่พูด แต่อีกฟากฝั่งทางศาลจัดการลงดาบตัดตอนกันข้อติติงโดยการให้พักราชการเลขาฯไว้ก่อน เช่นนี้เป็นการตอบสังคมกลายๆว่าการกระทำนี้ไม่ว่าจะจัดหรือไม่จัดฉากก็ไม่ควรจะเกิด ไม่ใช่ความผิดของผู้แอบถ่ายแต่เรื่องนี้ความผิดอยู่ที่คนสองคนที่พูดและคิดทำเรื่องที่ผิดจริยธรรม
วันนี้สังคมกำลังเซไปเซมากับคำพูดสวยหรู ที่ผู้กระทำผิดพยายามพูดเพื่อให้ตนเองรอดพ้น แต่หากหยุดฟังเรื่องไร้สาระ แล้วตั้งสติวิเคราะห์ความจริงที่เกิดเราจะทราบเองว่า ใครกันแน่ที่เลวทราม
จากข่าวหน้าหนึ่งที่ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ตกเป็นข่าวเรื่องคลิปฉาวที่โยงใยกระบวนการยุติธรรมนั้น ณ ปัจุบันสังคมกำลังแสดงออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัช ตกเป็นเหยื่อถูกกลั่นแกล้งและทำหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้าย หนักกว่านั้นในวงของแฟนพันธุ์แท้ สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงกับบอกว่าคลิปนี้เป็นการตัดต่อเพื่อทำลายชื่อเสียและความน่าเชื่อถือของขบวนการยุติธรรม ก็ว่ากันไป...
เรามาลองตามเรื่องนี้แบบมีสติกันดูบ้าง เริ่มเดิมทีคลิปถูกกระจายอยู่ในเน็ตโดยไม่ค่อยได้รับความสนใจอะไร จนกระทั่งมีนักรบไซด์เบอร์ท่านหนึ่งโพสคลิปนี้ต่อโดยเปลี่ยนชื่อคลิป นำมาซึ่งการตรวจสอบของข้อเท็จจริงของพรรคเพื่อไทยและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวคลิปถูกตัดทอนออกมาเป็นช่วง แต่ส่วนที่มีปัญหาคือช่วงคลิปที่ 2
พรรคเพื่อไทยตีเรื่องนี้ออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ และยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ถือเป็นการทำให้ระบบยุติธรรมเสื่อมเสีย ตรงนี้เป็นภาพรวม แต่ข้อกล่าวหาที่ทางพรรคเพื่อไทยใช้ในการเผยนั้น เป็นเรื่องที่บุคคลในคลิปตกลงกันเรื่องจะนำ กกต.มาขึ้นให้การในคดีหรือไม่?
จุดนี้เป็นเรื่องตลกที่หลายคนคงลืมไปเพราะคดีการยุบพรรคเป็นเรื่องที่ กกต.เป็นผู้ยื่นเรื่องฟ้องไม่ใช่พรรคเพื่อไทยทำ ฉะนั้น กกต.จึงมีศักดิ์เป็นโจทย์แล้วโจทย์ผู้ร้องจะมาเป็นพยานให้จำเลยผู้ที่ตนมีความเห็นให้ฟ้องเช่นนี้จะเรียกว่าอะไรได้นอกจากทำลายระบบยุติธรรมอย่างที่พรรคเพื่อไทยชี้แจง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องมองไปถึงเรื่องจริยธรรม ที่มีการเอาข้อมูลมาเพื่อเตรียมล๊อปบี้แค่เรื่องที่ กกต.ผู้เป็นโจทย์จะมาแก้ต่างให้จำเลยที่ตนสั่งฟ้องแค่เรื่องนี้ก็ผิดแล้ว
กลับมาทางฝั่งนายวิรัชบ้าง พอเรื่องแดงก็รีบออกมาบอกว่าตนไม่มีเจตนาและเรื่องทุกอย่างเป็นการจัดฉาก สังเกตุจากการที่มีคนตั้งใจตั้งกล้องแอบถ่าย
ตรงนี้หากฟังเผินๆคงเชื่อสนิทใจ ด้วยผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดฉากถือได้ว่ามีส่วนได้เสียกับคดียุบพรรค ทำให้ดูมีนำหนักกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างถ่องแท้
แต่การที่นายวิรัชใช้เรื่องนี้ เพื่อพาตนให้พ้นจากความผิดนั้นผมไม่เห็นด้วย แม้จะอ้างว่าถูกหลอกให้มาเจอกับเลขาฯจนถูกแอบถ่าย แต่หากเราวิเคราะห์กันตามหลักความเป็นจริงเรื่องทุกอย่างเกิดจากคนสองคนมีการพูดคุยกัน โดยบทสนทนาเกิดจากการพูดคุยตกลงกันเองมิได้มีใครไปบังคับ แม้จะอ้างว่ามีการแอบถ่ายหรือหลอกล่อให้มาเจอ แต่หากคนสองคนนั้นมิได้พูดเรื่องที่มิบังควรถามว่าผู้ที่แอบถ่ายนั้นจะได้อะไรกลับไป การอ้างว่าตนถูกหลอกมาถ่ายเป็นการจัดฉากจึงเป็นเป็นข้ออ้างไม่สามารถลบเรื่องที่นายวิรัชเป็นผู้กระทำไว้ได้ เพราะไม่ว่าจะมีการถ่ายหรือไม่นายวิรัชก็ไดพูดเช่นที่ปรากฎในคลิปจริงๆ ถึงแม้ความจริงแล้วคนที่จัดการแอบถ่ายจะเป็น นปช.หรือพรรคเพื่อไทยอย่างที่นายวิรัชกล่าวหา แต่หากนายวิรัชไม่พูดกับเลขาในเรื่องดังกล่าวจะเป็นข่าวไหม..? ความจริงข้อนี้กำลังถูกคารมคมคายของนายวิรัชลบไปทุกขณะ
การออกมาตีรวนว่าเป็นการจักดฉากในสายตาผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องตลกที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอีกครั้ง คนทำออกมาประกาศปาวๆว่าไม่ได้ผิดอะไรที่พูด แต่อีกฟากฝั่งทางศาลจัดการลงดาบตัดตอนกันข้อติติงโดยการให้พักราชการเลขาฯไว้ก่อน เช่นนี้เป็นการตอบสังคมกลายๆว่าการกระทำนี้ไม่ว่าจะจัดหรือไม่จัดฉากก็ไม่ควรจะเกิด ไม่ใช่ความผิดของผู้แอบถ่ายแต่เรื่องนี้ความผิดอยู่ที่คนสองคนที่พูดและคิดทำเรื่องที่ผิดจริยธรรม
วันนี้สังคมกำลังเซไปเซมากับคำพูดสวยหรู ที่ผู้กระทำผิดพยายามพูดเพื่อให้ตนเองรอดพ้น แต่หากหยุดฟังเรื่องไร้สาระ แล้วตั้งสติวิเคราะห์ความจริงที่เกิดเราจะทราบเองว่า ใครกันแน่ที่เลวทราม
จำคุกคอลัมนิสต์แนวหน้าหมิ่นเมียอดีตตุลาการศาล รธน.
ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1534/2550 ที่ นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ภรรยานายศักดิ์ เตชาชาญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด และนายวัชระ เพชรทอง เจ้าของคอลัมน์บุคคลแนวหน้าโดย “หลักชัย” เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 150 ล้านบาท
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 7 - 15 มี.ค. 50 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณาเผยแพร่ ข้อความลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ทำนองว่าโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว .) เพราะมีสามีเป็นอดีตตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นผิดในคดีซุกหุ้นครั้งแรก จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 3 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวม 18 เดือน และให้ปรับ 3 กระทงๆ ละ 10,000 บาท รวมปรับ 30,000 บาท อย่างไรก็ดีโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังให้จำเลยที่ 2 ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.แนวหน้ารายวัน เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันด้วย
ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ทั้งนี้ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องที่ 24 เม.ย.50 ด้วย
ที่มา.เนชั่น
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 7 - 15 มี.ค. 50 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณาเผยแพร่ ข้อความลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ทำนองว่าโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว .) เพราะมีสามีเป็นอดีตตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นผิดในคดีซุกหุ้นครั้งแรก จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 3 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวม 18 เดือน และให้ปรับ 3 กระทงๆ ละ 10,000 บาท รวมปรับ 30,000 บาท อย่างไรก็ดีโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังให้จำเลยที่ 2 ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.แนวหน้ารายวัน เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันด้วย
ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ทั้งนี้ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องที่ 24 เม.ย.50 ด้วย
ที่มา.เนชั่น
ยุทธการ ‘เบี่ยงประเด็น’
ข่าวเหม็น-กลบอีกข่าว
‘ผู้มีอำนาจ-สื่อ’ วินทั้งคู่
ประชาชนต้องตั้งสติดีๆ
ดูเหมือนว่า “รัฐบาลหล่อหลักลอย” ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน...ขนาดเผชิญกับศึก “แดงร้อยศพ” ที่เป็นเรื่อง “ความเป็น-ความตาย” ก็ยังไม่สามารถทำให้ “บัลลังก์ผู้นำ” สั่นสะเทือน...ไปได้ แถมมีทีท่าว่าจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ
ยิ่งหันมาดูลูกเล่น...ในการขย่ม “พรรคภูมิใจห้อย” ที่มีแต่เรื่องตุๆเหม็นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นการออกข่าวในลักษณะ “แหล่งข่าว”... ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก... ที่จะเห็น “แหล่งข่าวตัวเป็นๆ” เปิดตัว
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ “พรรคภูมิใจห้อย” เน่าเหม็น...จมอยู่ในคูคลองที่มีแต่น้ำ คลำ...ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ให้กับผู้พบเห็น... แต่สิ่งหนึ่งที่ “หลายคน” คาดไม่ถึงก็คือ “รัฐบาลหล่อ หลักลอย” ถนัดในเรื่อง Divert Intention หรือ “ยุทธการเบี่ยงเบนประเด็น” จริงๆ
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือกรณีการออกมาท้วงติง และขัดขวาง “โครงการรถเมล์อเวจี” ที่ “พรรคภูมิใจห้อย” นำเสนอ...ซึ่งมีการสร้างภาพ “มหากาพย์การโกง” ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม...แต่ในช่วงเวลาเดียว กันนั้น...ครม.กลับมีมติเห็นชอบเม็ดเงิน 6.2 หมื่นล้านบาทในการพัฒนาหรือต่อเติม “การท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ” ในระยะที่ 2 โดยอ้างเรื่องการเพิ่ม ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี...ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า “เม็ดเงินมหาศาล” ที่ว่านี้...เป็น “ขนมหวาน” ที่นักการเมืองรอคอย!!!
ไม่เท่านั้น...ในกรณีการประมูลโครงการ 3G ที่หน่วยงานในสังกัดของ “ไอซีที” เจ้ากี้เจ้าการไปยื่นเรื่องให้ศาลปกครอง...คุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ระงับการประมูลของ “คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กทช.) แต่แล้วในช่วงเวลา ไล่เลี่ยกันนั้นเอง...ครม.ก็ไฟเขียวให้ “ทีโอที” ลงทุนโครงการ 3G เม็ดเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท...โดยให้ เปลี่ยนวิธีประมูลมาเป็นแบบทั่วไป...เรียกได้ว่า เป็น การเตะหมูเข้าปาก...แทนที่จะให้ “กทช.” ทำ...งานนี้ ขอให้ “รัฐบาล” ทำเอง...ดีกว่า
งานนี้จะเห็นว่า “ประชาชน” ถูกป้อนข้อมูลให้ “หลงประเด็น” กับข่าวที่นำเสนอออกมาตามสื่อมวลชน...โดย “ผู้มีอำนาจ” เป็นผู้กำหนดกลไก การป้อนข้อมูลข่าวสาร...ซึ่งทางหนึ่ง “ผู้มีอำนาจ” ก็ได้ประโยชน์เต็มๆ ในการเบี่ยงเบนประเด็น... ให้ประชาชนไปสนใจในเรื่องหนึ่ง แต่ขณะเดียว กัน “ตัวเอง” ก็ผ่านฉลุยในอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งอาจมีกลิ่นเน่าเหม็นกว่า...ก็เป็นได้...จึงเป็นเรื่อง “ประ ชาชน” ต้องตั้งสติในการรับรู้ข่าวสารให้ดีๆ
ขณะที่ “สื่อมวลชน” เอง...ก็ต้องยอมรับว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่โงหัว “เฟื่องฟู” อย่าง เต็มที่...การสรรหาโฆษณาที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิต... ในยามนี้จึงเป็นเรื่อง “ลำบากพอสมควร” ดังนั้น... “หลายสื่อ” ในเวลานี้จะเห็นทิศทางการเสนอข่าว... ที่สอดรับกับ “ความต้องการ” ของ “ผู้มีอำนาจ” และเป็นการ “ป้อนข้อมูล” ในทิศทางที่ “ผู้มีอำนาจ” ต้องการสื่อออกไปถึงประชาชน...เรียกได้ว่าเล่นกัน “เนียนๆ” แต่ winwin กันทุกฝ่าย
ยิ่งจู่ๆ มีการโหมประโคมข่าวฉาวของ “ดารา” ทั้งเรื่อง “ใครเป็นพ่อเด็กตรวจดีเอ็นเอหรือไม่” กับเรื่อง “คลิปฉาวแย่งผัว” อันเป็นการกลบข่าว “บึ้มป่วนเมือง” และความวุ่นวายในพรรคร่วมรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
เห็นอานุภาพของสื่อหรือยังว่า...จะ เชียร์ ใครก็ได้จะด่าใครก็ได้จะสร้างภาพไม่ดีให้ใครก็ได้...น่าเป็นห่วงจริงๆ กับสังคมไทยในวันนี้
ที่มา.สยามธุรกิจ
‘ผู้มีอำนาจ-สื่อ’ วินทั้งคู่
ประชาชนต้องตั้งสติดีๆ
ดูเหมือนว่า “รัฐบาลหล่อหลักลอย” ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน...ขนาดเผชิญกับศึก “แดงร้อยศพ” ที่เป็นเรื่อง “ความเป็น-ความตาย” ก็ยังไม่สามารถทำให้ “บัลลังก์ผู้นำ” สั่นสะเทือน...ไปได้ แถมมีทีท่าว่าจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ
ยิ่งหันมาดูลูกเล่น...ในการขย่ม “พรรคภูมิใจห้อย” ที่มีแต่เรื่องตุๆเหม็นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นการออกข่าวในลักษณะ “แหล่งข่าว”... ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก... ที่จะเห็น “แหล่งข่าวตัวเป็นๆ” เปิดตัว
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ “พรรคภูมิใจห้อย” เน่าเหม็น...จมอยู่ในคูคลองที่มีแต่น้ำ คลำ...ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ให้กับผู้พบเห็น... แต่สิ่งหนึ่งที่ “หลายคน” คาดไม่ถึงก็คือ “รัฐบาลหล่อ หลักลอย” ถนัดในเรื่อง Divert Intention หรือ “ยุทธการเบี่ยงเบนประเด็น” จริงๆ
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือกรณีการออกมาท้วงติง และขัดขวาง “โครงการรถเมล์อเวจี” ที่ “พรรคภูมิใจห้อย” นำเสนอ...ซึ่งมีการสร้างภาพ “มหากาพย์การโกง” ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม...แต่ในช่วงเวลาเดียว กันนั้น...ครม.กลับมีมติเห็นชอบเม็ดเงิน 6.2 หมื่นล้านบาทในการพัฒนาหรือต่อเติม “การท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ” ในระยะที่ 2 โดยอ้างเรื่องการเพิ่ม ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี...ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า “เม็ดเงินมหาศาล” ที่ว่านี้...เป็น “ขนมหวาน” ที่นักการเมืองรอคอย!!!
ไม่เท่านั้น...ในกรณีการประมูลโครงการ 3G ที่หน่วยงานในสังกัดของ “ไอซีที” เจ้ากี้เจ้าการไปยื่นเรื่องให้ศาลปกครอง...คุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ระงับการประมูลของ “คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กทช.) แต่แล้วในช่วงเวลา ไล่เลี่ยกันนั้นเอง...ครม.ก็ไฟเขียวให้ “ทีโอที” ลงทุนโครงการ 3G เม็ดเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท...โดยให้ เปลี่ยนวิธีประมูลมาเป็นแบบทั่วไป...เรียกได้ว่า เป็น การเตะหมูเข้าปาก...แทนที่จะให้ “กทช.” ทำ...งานนี้ ขอให้ “รัฐบาล” ทำเอง...ดีกว่า
งานนี้จะเห็นว่า “ประชาชน” ถูกป้อนข้อมูลให้ “หลงประเด็น” กับข่าวที่นำเสนอออกมาตามสื่อมวลชน...โดย “ผู้มีอำนาจ” เป็นผู้กำหนดกลไก การป้อนข้อมูลข่าวสาร...ซึ่งทางหนึ่ง “ผู้มีอำนาจ” ก็ได้ประโยชน์เต็มๆ ในการเบี่ยงเบนประเด็น... ให้ประชาชนไปสนใจในเรื่องหนึ่ง แต่ขณะเดียว กัน “ตัวเอง” ก็ผ่านฉลุยในอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งอาจมีกลิ่นเน่าเหม็นกว่า...ก็เป็นได้...จึงเป็นเรื่อง “ประ ชาชน” ต้องตั้งสติในการรับรู้ข่าวสารให้ดีๆ
ขณะที่ “สื่อมวลชน” เอง...ก็ต้องยอมรับว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่โงหัว “เฟื่องฟู” อย่าง เต็มที่...การสรรหาโฆษณาที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิต... ในยามนี้จึงเป็นเรื่อง “ลำบากพอสมควร” ดังนั้น... “หลายสื่อ” ในเวลานี้จะเห็นทิศทางการเสนอข่าว... ที่สอดรับกับ “ความต้องการ” ของ “ผู้มีอำนาจ” และเป็นการ “ป้อนข้อมูล” ในทิศทางที่ “ผู้มีอำนาจ” ต้องการสื่อออกไปถึงประชาชน...เรียกได้ว่าเล่นกัน “เนียนๆ” แต่ winwin กันทุกฝ่าย
ยิ่งจู่ๆ มีการโหมประโคมข่าวฉาวของ “ดารา” ทั้งเรื่อง “ใครเป็นพ่อเด็กตรวจดีเอ็นเอหรือไม่” กับเรื่อง “คลิปฉาวแย่งผัว” อันเป็นการกลบข่าว “บึ้มป่วนเมือง” และความวุ่นวายในพรรคร่วมรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
เห็นอานุภาพของสื่อหรือยังว่า...จะ เชียร์ ใครก็ได้จะด่าใครก็ได้จะสร้างภาพไม่ดีให้ใครก็ได้...น่าเป็นห่วงจริงๆ กับสังคมไทยในวันนี้
ที่มา.สยามธุรกิจ
อาเพศ
บ้านเมืองเวลานี้ประสบวิกฤตหนักหนาสาหัส hhhh ทั้งทางธรรมชาติ และฝีมือมนุษย์
น้ำท่วมหนักทั่วประเทศ ภาคเหนือภูเขาถล่ม ถนนสายหลักเสียหาย หลายหมู่บ้านตำบลถูกตัดขาด
ภาคกลางภาคตะวันออกน้ำป่าไหลทะลัก อ่างเก็บน้ำพังทลาย หลายจังหวัดจมบาดาล
ขณะที่อีสานฝนเทกระหน่ำต่อเนื่อง โคราช ปากช่องน้ำท่วมถึงคอ ถนนมิตรภาพ ทางรถไฟสัญจรไม่ได้
หนักหน่วงที่สุดในรอบ 30 ปี!
แต่ปฏิกิริยาของภาครัฐยังขยับเขยื้อนตามระบบราช การปกติ
โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่ควรทุกข์ร้อนห่วงใยมากกว่าใคร
ทว่าออกไปไกลได้แค่เพชรบุรี พื้นที่ส.ส.ลูกพรรค?
ทั้งๆที่สภาพความเสียหายเทียบไม่ได้เลยกับจังหวัดอื่นๆ
เป็นผู้นำประเทศแต่ไปไหนมาไหนได้แค่รอบๆ เมืองหลวง
ไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ??
ท่ามกลางภัยธรรมชาติถาโถม ประชาชนเดือดร้อนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้
'เจ้านาย' ในส่วนกลางกลับกระหน่ำซ้ำเติมวิกฤตประเทศไม่หยุดหย่อน
ทั้งเรื่องความล้มเหลวการบริหารราชการ อ่อนด้อยความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะ
จนถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกินกันน่าเกลียด น่ากลัว หน้าด้านๆ
ภาคธุรกิจเอกชนแฉเองแบบสุดทน ยุคนี้เรียกเปอร์ เซ็นต์ กินหัวคิว ยิ่งกว่ายุคไหนๆ
อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต้องลุกออกมาเปิดโปง ซื้อขายตำแหน่งแม้กระทั่งเก้าอี้เล็กๆ เลวร้ายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด
ระบบราชการ คุณธรรม ความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม พังพินาศป่นปี้
ไม่กี่วันก่อนนายตำรวจใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาเลื่อนชั้นให้สูงขึ้น
ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ล่าสุดอธิบดีใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งปลัดกระ ทรวงมหาดไทย ซึ่งผ่านการตัดสินใจของเจ้าของกระทรวง และเคยผ่านการพิจารณาของครม.ไปแล้ว
ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน
ทั้ง 2 กรณีล้วนมาจากความล้มเหลว อ่อนด้อย ไร้คุณธรรม จริยธรรมของผู้บังคับบัญชา
โอหัง อหังการ เหมือนประเทศเป็นของข้า บ้านเมืองเป็นของกู
แผ่นดินเลยอาเพศอย่างนี้!?
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
น้ำท่วมหนักทั่วประเทศ ภาคเหนือภูเขาถล่ม ถนนสายหลักเสียหาย หลายหมู่บ้านตำบลถูกตัดขาด
ภาคกลางภาคตะวันออกน้ำป่าไหลทะลัก อ่างเก็บน้ำพังทลาย หลายจังหวัดจมบาดาล
ขณะที่อีสานฝนเทกระหน่ำต่อเนื่อง โคราช ปากช่องน้ำท่วมถึงคอ ถนนมิตรภาพ ทางรถไฟสัญจรไม่ได้
หนักหน่วงที่สุดในรอบ 30 ปี!
แต่ปฏิกิริยาของภาครัฐยังขยับเขยื้อนตามระบบราช การปกติ
โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่ควรทุกข์ร้อนห่วงใยมากกว่าใคร
ทว่าออกไปไกลได้แค่เพชรบุรี พื้นที่ส.ส.ลูกพรรค?
ทั้งๆที่สภาพความเสียหายเทียบไม่ได้เลยกับจังหวัดอื่นๆ
เป็นผู้นำประเทศแต่ไปไหนมาไหนได้แค่รอบๆ เมืองหลวง
ไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ??
ท่ามกลางภัยธรรมชาติถาโถม ประชาชนเดือดร้อนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้
'เจ้านาย' ในส่วนกลางกลับกระหน่ำซ้ำเติมวิกฤตประเทศไม่หยุดหย่อน
ทั้งเรื่องความล้มเหลวการบริหารราชการ อ่อนด้อยความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะ
จนถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกินกันน่าเกลียด น่ากลัว หน้าด้านๆ
ภาคธุรกิจเอกชนแฉเองแบบสุดทน ยุคนี้เรียกเปอร์ เซ็นต์ กินหัวคิว ยิ่งกว่ายุคไหนๆ
อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต้องลุกออกมาเปิดโปง ซื้อขายตำแหน่งแม้กระทั่งเก้าอี้เล็กๆ เลวร้ายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด
ระบบราชการ คุณธรรม ความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม พังพินาศป่นปี้
ไม่กี่วันก่อนนายตำรวจใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาเลื่อนชั้นให้สูงขึ้น
ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ล่าสุดอธิบดีใหญ่ไม่ขอรับตำแหน่งปลัดกระ ทรวงมหาดไทย ซึ่งผ่านการตัดสินใจของเจ้าของกระทรวง และเคยผ่านการพิจารณาของครม.ไปแล้ว
ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน
ทั้ง 2 กรณีล้วนมาจากความล้มเหลว อ่อนด้อย ไร้คุณธรรม จริยธรรมของผู้บังคับบัญชา
โอหัง อหังการ เหมือนประเทศเป็นของข้า บ้านเมืองเป็นของกู
แผ่นดินเลยอาเพศอย่างนี้!?
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
'วิวาทะ' 2 แนวคิดกู้วิกฤต 'ค่าบาท' ดร.โกร่ง ประชัน 'หม่อมเต่า-ประสาร'
ในงานสัมมนา "ตั้งรับยุคค่าเงินบาทแข็งตัว โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจไทย" เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจน พร้อมข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็ว และกำหนดเป้าหมายการแทรกแซงค่าเงินบาทว่าควรจะอยู่ในระดับใด
เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเท่าไร ธปท.ก็จะต้องเข้าไปรับซื้อให้หมดโดยไม่ต้องไปกลัวจะมีต้นทุนจากการออกพันธบัตรเข้ามาดูดซับสภาพคล่องเพิ่ม หาก กนง.มีการปรับลด ดอกเบี้ยลงมา หรือจะกลับไปใช้นโยบายบริหารอัตราแลกเปลี่ยน คงที่ก็ได้ เพราะขณะนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองอยู่ในระดับสูง เกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ไม่มีอันตรายเหมือนในอดีต
"หากจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าให้ได้ผลเร็วที่สุดนั้น ในการประชุม กนง.วันที่ 20 ต.ค.นี้ ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทีเดียว 0.75% เลย เพื่อให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐลดลง"
ส่วนกรณีที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา เครือสหกรุ๊ปออกมา พูดว่ามีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตรอบ 2 ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้หาก ธปท.ยังปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด หรือปล่อยตามยถากรรม ตลาดเงินเมืองไทยเป็นตลาดเล็ก สถานการณ์ตอนนี้มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นไปเรื่อย ๆ พอไปถึงจุดที่ไม่สะท้อนกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ค่าเงินบาทก็แข็งต่อไปไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นนักเก็งกำไรก็อาจจะเข้ามาทุบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เสมือนปั่นให้เงินบาทขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็ปล่อยให้กลิ้งลงมา นี่คือสิ่งที่น่ากลัว ถือเป็นความโง่เขลาของ ธปท. หากยังปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป เรื่อย ๆ ถึงระดับ 25 บาท/ดอลลาร์เมื่อไรก็ตัวใครตัวมัน เพราะอาจจะเกิดวิกฤตรอบ 2 ได้
และสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่อง คือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นได้ โดยเฉพาะ ภาคอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่า สูง ๆ อย่างธุรกิจพลังงานตอนนี้ราคาหุ้นถีบตัวสูงขึ้นมามาก ไม่ได้มาจากการประกอบธุรกิจตามปกติ ส่วนในปีหน้าถ้าไม่มีกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยราคาหุ้นก็อาจจะมีปัญหา
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการแทรกแซงค่าเงินบาทคงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ธปท. ในส่วนของคลังจะทำได้แค่การออกมาตรการไปช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและตอนนี้ก็ยังคงมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทางการจะพยายามไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปกว่านี้ แต่จะทำให้อ่อนค่าลงคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย
นายกรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า วิกฤตค่าเงินบาทครั้งนี้คงจะไม่ เหมือนกับเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นไปตรึงค่าเงินบาทไว้ แทนที่จะปล่อยให้อ่อนค่าลง ซึ่งในปัจจุบัน ธปท.ได้ปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดแล้ว
ต่อกรณีนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ดังนั้น หากไปดำเนินนโยบายสร้างดุลยภาพเทียมแล้ว นักลงทุน ไม่เชื่อ จะทำให้มีความเสี่ยง และมีต้นทุนสูงในการทำนโยบาย
"ถ้าผู้ลงทุนในตลาดไม่เชื่อดุลยภาพเทียมที่เราประกาศ เราก็ต้องใช้เงินของประเทศรองรับจำนวนสูงแล้ว ถ้าทนไม่ได้อย่าง ต่างประเทศเวลานี้ ที่ต้องขยายแบรนด์ อันนี้จะสร้างความเสียหายค่อนข้างสูง นี่คือสาเหตุอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ค่อนข้างอันตราย"
นายประสารกล่าวว่า ประสบการณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บอกให้รู้ว่า ธปท.ไม่สามารถทำ 3 เรื่องไปพร้อมกันได้ คือ 1.การดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา 2.การปล่อยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรีในระดับหนึ่ง และ 3.การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน จะทำได้เพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ต้องเลือกใช้นโยบายแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การไหลเข้าของเงินทุนครั้งนี้ จะทำให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งรอบ 2 นั้น นายประสาร กล่าวว่า ก็ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ข้อมูลทางเศษฐกิจก็ชี้ให้เห็นว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายตอนนี้เคลื่อนจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตน้อยมาสู่ภูมิภาคที่เติบโตสูงอย่างเอเชีย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นการไหลเข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวเท่าเทียมกัน จะน่ากังวลมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ธปท.มีความกังวลต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทขณะนี้ ซึ่งได้กระทบผู้ประกอบการกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว แต่ที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เข้าไปซื้อขายเพื่อดูแลตลาดอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลความผันผวนในระยะสั้น
"ผมเองก็มีความเป็นห่วง เพราะประเทศเราไม่ใช่เป็นประเทศ ที่ใหญ่ และเปิดประเทศ มันก็เหมือนช้างสารเขาชนกัน ก็กระทบหญ้าแพรกกันถ้วนหน้า เราก็พยายามคิดอ่านอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ สิ่งที่ห่วงอีกประเด็น คือถ้ายังหาข้อสรุปกันไม่ได้ ห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะชะงักงัน"
นายประสารกล่าวว่า ในส่วนของมาตรการดูแล ธปท.มีการวางแผนและมีมาตรการอยู่ในมือ แต่จะหยิบออกมาใช้เมื่อใด ธปท.ในฐานะผู้รับผิดชอบ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อมูลเศรษฐกิจ จังหวะ ผลดี ผลเสียอย่างรอบครอบ เพราะประสบการณ์การมี นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ผ่านมา บอกให้รู้ว่าทุกนโยบายมีข้อดี ข้อเสีย หากมีนโยบายใดที่ให้ผลดี 100% ธปท.คงหยิบมาใช้นานแล้ว
กรณีที่มีความเห็นว่า ธปท.ควรมีนโยบายที่แรงกว่าที่ออกมาก่อนหน้านี้ ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้วย เช่น กรณีของญี่ปุ่นและบราซิลที่ออกมาก่อนหน้านี้ หลังจากออกนโยบายได้ไม่กี่วัน ค่าเงินของทั้งสองประเทศก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การออกนโยบายเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นประเด็นที่อยู่ในความกังวลของหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าในการประชุม G 20 ที่จะเริ่มในปลายเดือน ต.ค.นี้จะมีการพูดคุยถึงประเด็นนี้ ในส่วนของประเทศไทยคงต้องอาศัยทั้งนโยบายการเงิน การคลัง และนโยบายอื่น ๆ ดูแลควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศน้อยที่สุด แต่ล่าสุดก็ยอมรับว่า ธปท.ได้มีการหารือกับธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด
"โดยภาพรวมการแข็งค่าของเงินบาท มีทั้งผู้ที่ได้และเสียประโยชน์ ภาคการส่งออกก็มีความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ก็ต้องเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในประเทศด้วย ถ้าเราไปแทรกแซง และฝืนตลาดมากเกินไป ก็กระทบส่วนอื่นได้"
สำหรับกรณีที่มีการเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง 0.75% นั้น นายประสารกล่าวว่า ต้องให้เป็นการตัดสินใจของ กนง. ที่จะประชุมในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีการนำประเด็นการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ ที่มีการวิจารณ์นโยบายของ ธปท.อย่างมาก นายประสารกล่าวว่า ไม่หนักใจอะไร เพราะเป็นธรรมดาของการดำเนินนโยบายของ ธปท.ที่ต้องดูแลเสถียรภาพของประเทศ จะทำอะไรให้ถูกใจทุกฝ่าย คงเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ การทำงานของ ธปท.ก็ไม่ได้ตัดสินใจเพียงลำพัง เพราะ ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์การเงินปี 2540 ธปท.ได้ปรับกระบวนการ ดำเนินนโยบายใหม่ใน 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1.กระบวนการตัดสินใจต้องมาจากคณะบุคคล ซึ่งก็คือคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนไม่กี่คนเหมือนอดีต และ 2.กระบวนการกำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ย หรืออัตราแลกเปลี่ยน ก็มีกรอบที่สามารถอธิบายกับสังคมได้
"เมื่อมีกรอบนโยบายที่อธิบายกับสังคมได้ จึงไม่มีอะไรต้องหนักใจ" นายประสารกล่าว
ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการ ธปท. และอดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ประเทศไทยเคยประสบวิกฤตมาแล้วในปี 2540 จากการไปตั้งเป้าหมายค่าเงินไว้ที่ 26-27 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถ้าจะทำอีก คงทำได้ยาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเปิด และทำการค้ากับทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีการซื้อขายเงินตราอยู่กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
"ถ้าไปตั้งเป้าอัตราแลกเปลี่ยน คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำ เขาก็ เอาเงินเข้ามา ถ้าจะทำให้มันได้ตามเป้าหมาย ก็ต้องทำนโยบาย อื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย แต่ก็ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน"
กรณีที่มีข้อเสนอว่าให้ลดดอกเบี้ยนั้น คงทำไม่ได้ เพราะเราใช้นโยบายดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา กนง.ขึ้นดอกเบี้ยไป เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีประเด็นการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ย ก็มีน้อยลง
สำหรับท่าทีของกระทรวงการคลังต่อบทบาท ธปท.ในปัจจุบัน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การดูแล ค่าเงินบาท เป็นหน้าที่ของ ธปท. ซึ่งวันนี้ ธปท.ได้รับฟังจากภาคเอกชนมากมาย ธปท.ก็ดูแลอยู่ "ผมเชื่อว่า ผู้ว่าการคนใหม่ ซึ่งเคยทำงานอยู่ภาครัฐ และไปอยู่ภาคเอกชน คงมองเห็นภาพชัดเจน ผมก็มีความมั่นใจในตัวท่าน"
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเท่าไร ธปท.ก็จะต้องเข้าไปรับซื้อให้หมดโดยไม่ต้องไปกลัวจะมีต้นทุนจากการออกพันธบัตรเข้ามาดูดซับสภาพคล่องเพิ่ม หาก กนง.มีการปรับลด ดอกเบี้ยลงมา หรือจะกลับไปใช้นโยบายบริหารอัตราแลกเปลี่ยน คงที่ก็ได้ เพราะขณะนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองอยู่ในระดับสูง เกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ไม่มีอันตรายเหมือนในอดีต
"หากจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าให้ได้ผลเร็วที่สุดนั้น ในการประชุม กนง.วันที่ 20 ต.ค.นี้ ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทีเดียว 0.75% เลย เพื่อให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐลดลง"
ส่วนกรณีที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา เครือสหกรุ๊ปออกมา พูดว่ามีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตรอบ 2 ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้หาก ธปท.ยังปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด หรือปล่อยตามยถากรรม ตลาดเงินเมืองไทยเป็นตลาดเล็ก สถานการณ์ตอนนี้มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นไปเรื่อย ๆ พอไปถึงจุดที่ไม่สะท้อนกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ค่าเงินบาทก็แข็งต่อไปไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นนักเก็งกำไรก็อาจจะเข้ามาทุบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เสมือนปั่นให้เงินบาทขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็ปล่อยให้กลิ้งลงมา นี่คือสิ่งที่น่ากลัว ถือเป็นความโง่เขลาของ ธปท. หากยังปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป เรื่อย ๆ ถึงระดับ 25 บาท/ดอลลาร์เมื่อไรก็ตัวใครตัวมัน เพราะอาจจะเกิดวิกฤตรอบ 2 ได้
และสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่อง คือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นได้ โดยเฉพาะ ภาคอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่า สูง ๆ อย่างธุรกิจพลังงานตอนนี้ราคาหุ้นถีบตัวสูงขึ้นมามาก ไม่ได้มาจากการประกอบธุรกิจตามปกติ ส่วนในปีหน้าถ้าไม่มีกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยราคาหุ้นก็อาจจะมีปัญหา
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการแทรกแซงค่าเงินบาทคงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ธปท. ในส่วนของคลังจะทำได้แค่การออกมาตรการไปช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและตอนนี้ก็ยังคงมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทางการจะพยายามไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปกว่านี้ แต่จะทำให้อ่อนค่าลงคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย
นายกรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า วิกฤตค่าเงินบาทครั้งนี้คงจะไม่ เหมือนกับเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นไปตรึงค่าเงินบาทไว้ แทนที่จะปล่อยให้อ่อนค่าลง ซึ่งในปัจจุบัน ธปท.ได้ปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดแล้ว
ต่อกรณีนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ดังนั้น หากไปดำเนินนโยบายสร้างดุลยภาพเทียมแล้ว นักลงทุน ไม่เชื่อ จะทำให้มีความเสี่ยง และมีต้นทุนสูงในการทำนโยบาย
"ถ้าผู้ลงทุนในตลาดไม่เชื่อดุลยภาพเทียมที่เราประกาศ เราก็ต้องใช้เงินของประเทศรองรับจำนวนสูงแล้ว ถ้าทนไม่ได้อย่าง ต่างประเทศเวลานี้ ที่ต้องขยายแบรนด์ อันนี้จะสร้างความเสียหายค่อนข้างสูง นี่คือสาเหตุอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ค่อนข้างอันตราย"
นายประสารกล่าวว่า ประสบการณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บอกให้รู้ว่า ธปท.ไม่สามารถทำ 3 เรื่องไปพร้อมกันได้ คือ 1.การดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา 2.การปล่อยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรีในระดับหนึ่ง และ 3.การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน จะทำได้เพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ต้องเลือกใช้นโยบายแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การไหลเข้าของเงินทุนครั้งนี้ จะทำให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งรอบ 2 นั้น นายประสาร กล่าวว่า ก็ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ข้อมูลทางเศษฐกิจก็ชี้ให้เห็นว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายตอนนี้เคลื่อนจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตน้อยมาสู่ภูมิภาคที่เติบโตสูงอย่างเอเชีย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นการไหลเข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวเท่าเทียมกัน จะน่ากังวลมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ธปท.มีความกังวลต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทขณะนี้ ซึ่งได้กระทบผู้ประกอบการกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว แต่ที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เข้าไปซื้อขายเพื่อดูแลตลาดอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลความผันผวนในระยะสั้น
"ผมเองก็มีความเป็นห่วง เพราะประเทศเราไม่ใช่เป็นประเทศ ที่ใหญ่ และเปิดประเทศ มันก็เหมือนช้างสารเขาชนกัน ก็กระทบหญ้าแพรกกันถ้วนหน้า เราก็พยายามคิดอ่านอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ สิ่งที่ห่วงอีกประเด็น คือถ้ายังหาข้อสรุปกันไม่ได้ ห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะชะงักงัน"
นายประสารกล่าวว่า ในส่วนของมาตรการดูแล ธปท.มีการวางแผนและมีมาตรการอยู่ในมือ แต่จะหยิบออกมาใช้เมื่อใด ธปท.ในฐานะผู้รับผิดชอบ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อมูลเศรษฐกิจ จังหวะ ผลดี ผลเสียอย่างรอบครอบ เพราะประสบการณ์การมี นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ผ่านมา บอกให้รู้ว่าทุกนโยบายมีข้อดี ข้อเสีย หากมีนโยบายใดที่ให้ผลดี 100% ธปท.คงหยิบมาใช้นานแล้ว
กรณีที่มีความเห็นว่า ธปท.ควรมีนโยบายที่แรงกว่าที่ออกมาก่อนหน้านี้ ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้วย เช่น กรณีของญี่ปุ่นและบราซิลที่ออกมาก่อนหน้านี้ หลังจากออกนโยบายได้ไม่กี่วัน ค่าเงินของทั้งสองประเทศก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การออกนโยบายเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นประเด็นที่อยู่ในความกังวลของหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าในการประชุม G 20 ที่จะเริ่มในปลายเดือน ต.ค.นี้จะมีการพูดคุยถึงประเด็นนี้ ในส่วนของประเทศไทยคงต้องอาศัยทั้งนโยบายการเงิน การคลัง และนโยบายอื่น ๆ ดูแลควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศน้อยที่สุด แต่ล่าสุดก็ยอมรับว่า ธปท.ได้มีการหารือกับธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด
"โดยภาพรวมการแข็งค่าของเงินบาท มีทั้งผู้ที่ได้และเสียประโยชน์ ภาคการส่งออกก็มีความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ก็ต้องเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในประเทศด้วย ถ้าเราไปแทรกแซง และฝืนตลาดมากเกินไป ก็กระทบส่วนอื่นได้"
สำหรับกรณีที่มีการเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง 0.75% นั้น นายประสารกล่าวว่า ต้องให้เป็นการตัดสินใจของ กนง. ที่จะประชุมในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีการนำประเด็นการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ ที่มีการวิจารณ์นโยบายของ ธปท.อย่างมาก นายประสารกล่าวว่า ไม่หนักใจอะไร เพราะเป็นธรรมดาของการดำเนินนโยบายของ ธปท.ที่ต้องดูแลเสถียรภาพของประเทศ จะทำอะไรให้ถูกใจทุกฝ่าย คงเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ การทำงานของ ธปท.ก็ไม่ได้ตัดสินใจเพียงลำพัง เพราะ ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์การเงินปี 2540 ธปท.ได้ปรับกระบวนการ ดำเนินนโยบายใหม่ใน 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1.กระบวนการตัดสินใจต้องมาจากคณะบุคคล ซึ่งก็คือคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนไม่กี่คนเหมือนอดีต และ 2.กระบวนการกำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ย หรืออัตราแลกเปลี่ยน ก็มีกรอบที่สามารถอธิบายกับสังคมได้
"เมื่อมีกรอบนโยบายที่อธิบายกับสังคมได้ จึงไม่มีอะไรต้องหนักใจ" นายประสารกล่าว
ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการ ธปท. และอดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ประเทศไทยเคยประสบวิกฤตมาแล้วในปี 2540 จากการไปตั้งเป้าหมายค่าเงินไว้ที่ 26-27 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถ้าจะทำอีก คงทำได้ยาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเปิด และทำการค้ากับทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีการซื้อขายเงินตราอยู่กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
"ถ้าไปตั้งเป้าอัตราแลกเปลี่ยน คนอื่นเขาเห็นว่าเราทำ เขาก็ เอาเงินเข้ามา ถ้าจะทำให้มันได้ตามเป้าหมาย ก็ต้องทำนโยบาย อื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย แต่ก็ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน"
กรณีที่มีข้อเสนอว่าให้ลดดอกเบี้ยนั้น คงทำไม่ได้ เพราะเราใช้นโยบายดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา กนง.ขึ้นดอกเบี้ยไป เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีประเด็นการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ย ก็มีน้อยลง
สำหรับท่าทีของกระทรวงการคลังต่อบทบาท ธปท.ในปัจจุบัน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การดูแล ค่าเงินบาท เป็นหน้าที่ของ ธปท. ซึ่งวันนี้ ธปท.ได้รับฟังจากภาคเอกชนมากมาย ธปท.ก็ดูแลอยู่ "ผมเชื่อว่า ผู้ว่าการคนใหม่ ซึ่งเคยทำงานอยู่ภาครัฐ และไปอยู่ภาคเอกชน คงมองเห็นภาพชัดเจน ผมก็มีความมั่นใจในตัวท่าน"
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
คนสนิท"เปรม"ซัดมือแพร่คลิปเจตนาแย่ หวังโยงใยคดียุบพรรค เลขาฯประธานศาล รธน.เผ่นนอกแล้ว
กรณีพรรคเพื่อไทย(พท.) เผยแพร่คลิปวิดีโอหลายชุด โดยกล่าวอ้าง เป็นขบวนการโยงใยล็อบบี้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในคดีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งในคลิปชิ้นหนึ่งปรากฏภาพของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษด้วยนั้น
แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ชี้แจงว่า ภาพ พล.อ.เปรมที่ปรากฏ เป็นช่วงเดือนเมษายนเมื่อปีที่แล้ว(ปี2552) โดยพล.อ.เปรม ไปในงานมูลนิธิศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อให้รางวัลบุคคลต่างๆ ภายในคลิปที่ปรากฏช่วงระหว่างนั่งรอการมอบรางวัล ซึ่งพล.อ.เปรม ได้นั่งคุยกับนายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด
“ยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏในเว็บไม่ใช่ปีนี้แน่นอน และคนที่ทำมีเจตนาแย่มากที่นำภาพมาเผยแพร่เพื่อให้คนคิดว่า พล.อ.เปรม เข้าไปแทรกแซงศาล ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันไม่น่าทำแบบนี้ บ้านเมืองจะแย่ สื่อโดยเฉพาะ เว็บไซด์โอมายก็อดไม่ทราบว่า ของใคร แต่ก่อนที่ลงภาพหรือลงเนื้อหาควรตรวจสอบให้ดีก่อน หากมีผลกระทบต่อบุคคลก็มีผลส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญหากกระทบต่อชาติบ้านเมืองนั้นจะแย่ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่าจริงไม่จริงอย่างไร หากไม่จริงบ้านเมืองจะเสียหาย ตอนนี้บ้านเมืองก็แย่อยู่แล้ว ขอให้ช่วยกันทุกฝ่าย ให้นึกถึงบ้านเมืองกับความสงบเรียบร้อย อย่าไปนึกถึงคะแนนเสียง” แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรมระบุ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เวลา 17.46 นาที ด้วยสายการบินคาร์เธย์แปซิฟิก เที่ยวบิน Cx 070 ใช้หนังสือเดินทางราชการเลขที่ F502554 จนถึงขณะนี้ยังไม่เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย
ที่มา.มติชนออนไลน์
แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ชี้แจงว่า ภาพ พล.อ.เปรมที่ปรากฏ เป็นช่วงเดือนเมษายนเมื่อปีที่แล้ว(ปี2552) โดยพล.อ.เปรม ไปในงานมูลนิธิศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อให้รางวัลบุคคลต่างๆ ภายในคลิปที่ปรากฏช่วงระหว่างนั่งรอการมอบรางวัล ซึ่งพล.อ.เปรม ได้นั่งคุยกับนายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด
“ยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏในเว็บไม่ใช่ปีนี้แน่นอน และคนที่ทำมีเจตนาแย่มากที่นำภาพมาเผยแพร่เพื่อให้คนคิดว่า พล.อ.เปรม เข้าไปแทรกแซงศาล ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันไม่น่าทำแบบนี้ บ้านเมืองจะแย่ สื่อโดยเฉพาะ เว็บไซด์โอมายก็อดไม่ทราบว่า ของใคร แต่ก่อนที่ลงภาพหรือลงเนื้อหาควรตรวจสอบให้ดีก่อน หากมีผลกระทบต่อบุคคลก็มีผลส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญหากกระทบต่อชาติบ้านเมืองนั้นจะแย่ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่าจริงไม่จริงอย่างไร หากไม่จริงบ้านเมืองจะเสียหาย ตอนนี้บ้านเมืองก็แย่อยู่แล้ว ขอให้ช่วยกันทุกฝ่าย ให้นึกถึงบ้านเมืองกับความสงบเรียบร้อย อย่าไปนึกถึงคะแนนเสียง” แหล่งข่าวใกล้ชิดพล.อ.เปรมระบุ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เวลา 17.46 นาที ด้วยสายการบินคาร์เธย์แปซิฟิก เที่ยวบิน Cx 070 ใช้หนังสือเดินทางราชการเลขที่ F502554 จนถึงขณะนี้ยังไม่เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย
ที่มา.มติชนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ตำแหน่งตั้งกล้องคลิปฉาว เป็นที่นั่งคณะโฆษกศาลฯ
รายงานข่าวจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า ภายหลังจากที่มีคลิปที่มีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดคำถามจากในองค์กร ว่าการดำเนินการของนายพสิษฐ์ นั้นดำเนินการด้วยตัวเอง หรือมีใครสั่งให้ทำ และมุ่งหวังอย่างไรในการดำเนินการเช่นนี้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญเสียหายมาก จึงอยู่ที่ว่านายชัช ซึ่งถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายพสิษฐ์ จะแสดงความรับผิดชอบจากกรณีดังกล่าวอย่างไร นอกจากนี้ยังได้มีการวิเคราะห์ถึงคลิปวีดีโอชุดที่ 3- 5 ซึ่งเป็นภาพจากห้องประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องดำเนินการอย่างไรอย่างหนึ่งต่อไป
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าจากมุมกล้อง ที่อยู่ด้านหลังของนาย สุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั้นบริเวณดังกล่าวเป็นที่นั่งของคณะทำงาน ซึ่งรวมถึงคณะโฆษกของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายพสิษฐ์ ดำรงตำแหน่งโฆษกศาลรัฐธรรมนูญอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย และเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมประชุมคณะตุลาการโดยตลอด อย่างไรก็ตามทั้งนาย ชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนาย เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ชี้แจงใดๆทั้งสิ้น
ที่มา.เนชั่น
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าจากมุมกล้อง ที่อยู่ด้านหลังของนาย สุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั้นบริเวณดังกล่าวเป็นที่นั่งของคณะทำงาน ซึ่งรวมถึงคณะโฆษกของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายพสิษฐ์ ดำรงตำแหน่งโฆษกศาลรัฐธรรมนูญอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย และเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมประชุมคณะตุลาการโดยตลอด อย่างไรก็ตามทั้งนาย ชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนาย เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ชี้แจงใดๆทั้งสิ้น
ที่มา.เนชั่น
‘วิรัช’อ้างถูกหลอกเฉ่ง‘พ’จัดฉากบันทึกคลิปล็อบบี้คดียุบพรรค
จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปชป. เรียงหน้าโต้คลิปลับล็อบบี้คดียุบพรรค “วิรัช” อ้างถูกหลอกให้ไปพบ เชื่อมีขบวนการสร้างเรื่อง เฉ่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญชื่อ “พ” รู้เห็นเป็นใจกับพรรคเพื่อจัดฉาก ประกาศไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร “ชวน” มั่นใจไม่กระทบคดีและไม่จำเป็นต้องปรับทีมกฎหมาย “พร้อมพงศ์” ฉายคลิปยืนยันมีการวิ่งเต้นคดียุบพรรคจริง ย้ำตรวจสอบความถูกต้องแล้วไม่กลัวการฟ้องร้อง แฉรัฐบาลสั่งบล็อกยูทูบไม่ให้คนเข้าดูคลิปแล้ว เล็งยื่นถอดถอนคนในคลิปออกจาก ส.ส.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า วันที่ 19 ต.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนพยานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของฝ่ายผู้ถูกร้องเป็นนัดสุดท้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์นำพยานสำคัญ 4 ปากเข้าเบิกความ ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งทั้งหมดจะมาตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับการทำหนังสือลงวันที่10 ม.ค. 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
จ่ายเช็ควันเดียวกับขอเปลี่ยนโครงการ
“ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือทำไมมีการออกเช็คสั่งจ่ายค่าทำโฆษณาที่ลงนามโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในขณะนั้น วันเดียวกับที่ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อ กกต. ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ซึ่งตามข้อกำหนดของ กกต. นั้นการจะเปลี่ยนแปลงโครงการใดต้องผ่านการอนุมัติเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ ที่สำคัญนายสุชาติ เกิดเมฆ หรือเป๋ โปสเตอร์ ให้การชัดเจนว่าได้รับเงินมาเพียง 500,000 กว่าบาท แต่พรรคประชาธิปัตย์ออกเช็คมาราคา 2 ล้านกว่าบาท” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าหากทำไม่ถูกต้องก็คืนเงินให้ กกต. ก็ไม่มีความผิดถือว่าเป็นการพูดเอาแต่ได้ หากพรรคการเมือง 19 พรรคที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ขอคืนเงินบ้างจะได้หรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อแก้ตัวในศาลไม่ได้จึงเกิดกระบวนการล็อบบี้ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ เพราะเข้าข่ายละเมิดกระบวนการยุติธรรม ไม่เคารพหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐของประเทศ ทำลายกระบวนการยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
แฉรัฐบาลบล็อกยูทูบไม่ให้ดูคลิป
“วันนี้มีคลิปฉาวเกี่ยวกับกระบวนการวิ่งเต้นไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ออกมา 5 ตอน แต่เผยแพร่ได้ไม่นานรัฐบาลก็ใช้วิธีการสามานย์บล็อกยูทูบที่เผยแพร่คลิปดังกล่าว ถือว่าจงใจปิดหูปิดตาประชาชน ผมรับคำท้าขอระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปคือนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีภาพและเสียงชัดเจนว่าเป็นการสมคบกันเพื่อวิ่งเต้นให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้มีเรื่องอื้อฉาวกรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ที่ไปรับเอกสารกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนอกเวลานอกที่ทำการศาลจนต้องออกจากทีมกฎหมายต่อสู้คดีไป ครั้งนี้จึงตอกย้ำว่ามีการกระบวนการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ดูคลิปแล้วรู้ทำไมดึง “อภิชาต” เป็นพยาน
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อได้ดูคลิปลับที่นายวิรัชเจรจากับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงยอมให้มีการสืบพยานบุคคลที่นายวิรัชต้องการให้สืบ และมีความพยายามนำตัวนายอภิชาต สุขคานนท์ ประธาน กกต. มาเป็นพยานเบิกความตามเสียงสนทนาในคลิปลับดังกล่าว
“มีประเด็นที่ต้องตั้งเป็นคำถามว่าอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นข้อกฎหมาย ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้เองได้ คดีทำไมจึงแตกต่างจากคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมวินิจฉัยคำว่าลูกจ้าง ทำไมจึงต้องมีความพยายามในลักษณะที่จะนำเอานายอภิชาตมาเบิกความตามที่นายวิรัชยื่นคำขอ ทำไมบังเอิญเช่นนั้น” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบว่าศาลรัฐธรรมนูญยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลพิจารณาคดีโดยถูกต้องและเที่ยงธรรมยังจะมีอยู่ในคดีนี้หรือไม่
ลั่นเช็คความถูกต้องแล้วไม่กลัวฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ได้นำคลิปที่ระบุว่าเป็นการสนทนาระหว่างนายวิรัชกับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญมาเปิดเผยพร้อมระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปชื่อ “วุฒิ” เป็นนายหัวของนักการเมืองภาคใต้ ถ้าเอ่ยชื่อคนรู้กันทั้งภาคใต้ คนทางการเมืองรู้กันหมด ไม่ต้องบอกว่าใกล้ชิดใคร อีกคนคือนายวิรัช และอีกคนคือตัวแทนของคนใหญ่คนโตในศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เช็กความถูกต้องมาหมดแล้ว ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องร้อง และสัปดาห์หน้าจะยื่นถอดถอนนายวิรัชออกจากตำแหน่ง ส.ส. และจะหารือกับฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยว่าจะดำเนินคดีอาญากับพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงปฏิเสธว่า ไม่มีการล็อบบี้เพื่อไม่ให้พรรคถูกยุบ เรื่องคลิปที่นำมาเผยแพร่มีกระบวนการสร้างเรื่อง โดยพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เขียนบทเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“วิรัช” โต้ทำกันเป็นกระบวนการ
“พรรคต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง ไม่เคยใช้วิธีการสามานย์” นายวิรัชกล่าวและว่า กระบวนการครั้งนี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และในคลิปที่ 2 ที่มีรูปผมและผู้ชายอีก 2 คน โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ที่ผมเป็นประธานนั้น ขอชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวในคลิปที่มีการระบุถึง “พ” ได้มีการติดต่อนายวรวุฒิว่าต้องการขอพบเพื่อพูดคุยและรับประทานอาหารที่ร้านอาหารกู๊ดดี้ ซอยปูนซีเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เพราะคนชื่อ “พ” เป็นคนสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จึงเดินทางไปพบตามมารยาท ซึ่งในคลิปพยายามโยงว่าเป็นการทำของทีมกฎหมาย แต่ขอยืนยันว่าไปในนามส่วนตัว
ซัด “พ” รู้เห็นเป็นใจจัดฉากถ่ายคลิป
นายวิรัชกล่าวว่า การตั้งกล้องแอบถ่ายในคลิป คนชื่อ “พ” นั่งหันหลังให้กล้องเพราะเป็นคนที่รู้มุมกล้อง จึงขยับตัวมานั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเพื่อจะได้จับภาพตนได้ชัดเจน และคนชื่อ “พ” พยายามใช้คำถามนำในการเพิ่มเติมพยาน โดยพยายามโยงไปถึงประธาน กกต. ซึ่งตามขั้นตอนประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาให้ปากคำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปบอกศาลว่าให้เอาคนนั้นคนนี้มาเบิกความ
“ใครล็อบบี้เรื่องนี้ถือว่าสิ้นคิด เพราะไม่มีใครมีอำนาจไปบอกศาลว่าให้เอาใครมาเบิกความ เรื่องนี้ทำกันเป็นกระบวนการ เหมือนที่นายทศพล เพ็งส้ม โดนมาแล้ว โดยมีคนชื่อ “พ” ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยบอกให้นายทศพลไปรับเอกสารและภาพถ่าย การกระทำของพรรคเพื่อไทยถือเป็นเรื่องชั่วช้าที่ต้องการกดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
โยนศาลพิจารณาจะทำอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวไม่คิดฟ้องร้องใคร
เมื่อถามต่อว่าการไปในนามส่วนตัวแต่กระทบต่อพรรคจะรับผิดชอบอย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดจึงไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะในคลิปก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าใครพยายามทำอะไร
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด จึงจะยังทำงานในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรคต่อไป ผมไม่หนักใจเรื่องนี้เพราะชี้แจงได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟ้องนาย “พ” หรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า นาย “พ” เป็นคนของศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องไม่ได้
งงในที่ประชุมตุลาการก็แอบอัดเสียงได้
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเผยแพร่คลิปออกมาเป็นเรื่องดี เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่ามีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ศาลต้องทบทวนเรื่องการอัดเสียงในที่ประชุม เพราะเป็นการประชุมลับ ไม่ควรให้ใครเอามาเผยแพร่ได้
นายชวน หลีกภัย ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังจากคลิปก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยืนยันว่าพรรคไม่เคยใช้วิธีการวิ่งเต้น
“ชวน” ระบุเตือนแล้วให้ระวังตัว
“ผมเคยเตือนล่วงหน้าตั้งแต่กรณีของนายทศพลแล้วว่าให้ระวัง เพราะมีขบวนการทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องคนรู้จักนัดออกไปพบจึงเกรงใจและไปตามนัด” นายชวนกล่าวและว่า เท่าที่ดูจากคลิปคิดว่ามีการวางแผนเอาไว้ แต่คงไม่มีผลอะไรต่อคดี แต่ยังงงอยู่ว่าสามารถเข้าไปบันทึกเสียงการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
นายชวนยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องปรับนายวิรัชออกจากทีมกฎหมายเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
“เทพไท” ตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกต 4 ประการว่า 1.การสร้างคลิปต้องใช้เงินจำนวนมาก มีการจัดตัวละครวางแผนกันอย่างดี 2.ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาทบทวนอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีกระบวนการละเมิดอำนาจศาล โดยเฉพาะคลิปที่ 3-5 จงใจนำการประชุมศาลรัฐธรรมนูญมาเผยแพร่ และโฟกัสไปยังนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนต้องการดิสเครดิตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน และต้องดำเนินการกับผู้ปล่อยคลิปดังกล่าว 3.เป็นกระบวนการในลักษณะตีปลาหน้าไซ เนื่องจากท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์รอดคดีนี้ จึงสร้างเรื่องว่าที่พรรคประชาธิปัตย์รอดเพราะมีกระบวนการล็อบบี้ศาล 4.มีจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อจุดกระแส ปลุกระดมกลุ่มคนให้เห็นว่ามีสองมาตรฐานจริงด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา
**********************************************************************
ปชป. เรียงหน้าโต้คลิปลับล็อบบี้คดียุบพรรค “วิรัช” อ้างถูกหลอกให้ไปพบ เชื่อมีขบวนการสร้างเรื่อง เฉ่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญชื่อ “พ” รู้เห็นเป็นใจกับพรรคเพื่อจัดฉาก ประกาศไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร “ชวน” มั่นใจไม่กระทบคดีและไม่จำเป็นต้องปรับทีมกฎหมาย “พร้อมพงศ์” ฉายคลิปยืนยันมีการวิ่งเต้นคดียุบพรรคจริง ย้ำตรวจสอบความถูกต้องแล้วไม่กลัวการฟ้องร้อง แฉรัฐบาลสั่งบล็อกยูทูบไม่ให้คนเข้าดูคลิปแล้ว เล็งยื่นถอดถอนคนในคลิปออกจาก ส.ส.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า วันที่ 19 ต.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนพยานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของฝ่ายผู้ถูกร้องเป็นนัดสุดท้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์นำพยานสำคัญ 4 ปากเข้าเบิกความ ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งทั้งหมดจะมาตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับการทำหนังสือลงวันที่10 ม.ค. 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
จ่ายเช็ควันเดียวกับขอเปลี่ยนโครงการ
“ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือทำไมมีการออกเช็คสั่งจ่ายค่าทำโฆษณาที่ลงนามโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในขณะนั้น วันเดียวกับที่ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อ กกต. ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ซึ่งตามข้อกำหนดของ กกต. นั้นการจะเปลี่ยนแปลงโครงการใดต้องผ่านการอนุมัติเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ ที่สำคัญนายสุชาติ เกิดเมฆ หรือเป๋ โปสเตอร์ ให้การชัดเจนว่าได้รับเงินมาเพียง 500,000 กว่าบาท แต่พรรคประชาธิปัตย์ออกเช็คมาราคา 2 ล้านกว่าบาท” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าหากทำไม่ถูกต้องก็คืนเงินให้ กกต. ก็ไม่มีความผิดถือว่าเป็นการพูดเอาแต่ได้ หากพรรคการเมือง 19 พรรคที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ขอคืนเงินบ้างจะได้หรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อแก้ตัวในศาลไม่ได้จึงเกิดกระบวนการล็อบบี้ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ เพราะเข้าข่ายละเมิดกระบวนการยุติธรรม ไม่เคารพหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐของประเทศ ทำลายกระบวนการยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
แฉรัฐบาลบล็อกยูทูบไม่ให้ดูคลิป
“วันนี้มีคลิปฉาวเกี่ยวกับกระบวนการวิ่งเต้นไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ออกมา 5 ตอน แต่เผยแพร่ได้ไม่นานรัฐบาลก็ใช้วิธีการสามานย์บล็อกยูทูบที่เผยแพร่คลิปดังกล่าว ถือว่าจงใจปิดหูปิดตาประชาชน ผมรับคำท้าขอระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปคือนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีภาพและเสียงชัดเจนว่าเป็นการสมคบกันเพื่อวิ่งเต้นให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้มีเรื่องอื้อฉาวกรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ที่ไปรับเอกสารกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนอกเวลานอกที่ทำการศาลจนต้องออกจากทีมกฎหมายต่อสู้คดีไป ครั้งนี้จึงตอกย้ำว่ามีการกระบวนการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ดูคลิปแล้วรู้ทำไมดึง “อภิชาต” เป็นพยาน
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อได้ดูคลิปลับที่นายวิรัชเจรจากับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงยอมให้มีการสืบพยานบุคคลที่นายวิรัชต้องการให้สืบ และมีความพยายามนำตัวนายอภิชาต สุขคานนท์ ประธาน กกต. มาเป็นพยานเบิกความตามเสียงสนทนาในคลิปลับดังกล่าว
“มีประเด็นที่ต้องตั้งเป็นคำถามว่าอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นข้อกฎหมาย ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้เองได้ คดีทำไมจึงแตกต่างจากคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมวินิจฉัยคำว่าลูกจ้าง ทำไมจึงต้องมีความพยายามในลักษณะที่จะนำเอานายอภิชาตมาเบิกความตามที่นายวิรัชยื่นคำขอ ทำไมบังเอิญเช่นนั้น” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบว่าศาลรัฐธรรมนูญยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลพิจารณาคดีโดยถูกต้องและเที่ยงธรรมยังจะมีอยู่ในคดีนี้หรือไม่
ลั่นเช็คความถูกต้องแล้วไม่กลัวฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ได้นำคลิปที่ระบุว่าเป็นการสนทนาระหว่างนายวิรัชกับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญมาเปิดเผยพร้อมระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปชื่อ “วุฒิ” เป็นนายหัวของนักการเมืองภาคใต้ ถ้าเอ่ยชื่อคนรู้กันทั้งภาคใต้ คนทางการเมืองรู้กันหมด ไม่ต้องบอกว่าใกล้ชิดใคร อีกคนคือนายวิรัช และอีกคนคือตัวแทนของคนใหญ่คนโตในศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เช็กความถูกต้องมาหมดแล้ว ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องร้อง และสัปดาห์หน้าจะยื่นถอดถอนนายวิรัชออกจากตำแหน่ง ส.ส. และจะหารือกับฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยว่าจะดำเนินคดีอาญากับพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงปฏิเสธว่า ไม่มีการล็อบบี้เพื่อไม่ให้พรรคถูกยุบ เรื่องคลิปที่นำมาเผยแพร่มีกระบวนการสร้างเรื่อง โดยพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เขียนบทเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“วิรัช” โต้ทำกันเป็นกระบวนการ
“พรรคต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง ไม่เคยใช้วิธีการสามานย์” นายวิรัชกล่าวและว่า กระบวนการครั้งนี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และในคลิปที่ 2 ที่มีรูปผมและผู้ชายอีก 2 คน โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ที่ผมเป็นประธานนั้น ขอชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวในคลิปที่มีการระบุถึง “พ” ได้มีการติดต่อนายวรวุฒิว่าต้องการขอพบเพื่อพูดคุยและรับประทานอาหารที่ร้านอาหารกู๊ดดี้ ซอยปูนซีเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เพราะคนชื่อ “พ” เป็นคนสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จึงเดินทางไปพบตามมารยาท ซึ่งในคลิปพยายามโยงว่าเป็นการทำของทีมกฎหมาย แต่ขอยืนยันว่าไปในนามส่วนตัว
ซัด “พ” รู้เห็นเป็นใจจัดฉากถ่ายคลิป
นายวิรัชกล่าวว่า การตั้งกล้องแอบถ่ายในคลิป คนชื่อ “พ” นั่งหันหลังให้กล้องเพราะเป็นคนที่รู้มุมกล้อง จึงขยับตัวมานั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเพื่อจะได้จับภาพตนได้ชัดเจน และคนชื่อ “พ” พยายามใช้คำถามนำในการเพิ่มเติมพยาน โดยพยายามโยงไปถึงประธาน กกต. ซึ่งตามขั้นตอนประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาให้ปากคำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปบอกศาลว่าให้เอาคนนั้นคนนี้มาเบิกความ
“ใครล็อบบี้เรื่องนี้ถือว่าสิ้นคิด เพราะไม่มีใครมีอำนาจไปบอกศาลว่าให้เอาใครมาเบิกความ เรื่องนี้ทำกันเป็นกระบวนการ เหมือนที่นายทศพล เพ็งส้ม โดนมาแล้ว โดยมีคนชื่อ “พ” ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยบอกให้นายทศพลไปรับเอกสารและภาพถ่าย การกระทำของพรรคเพื่อไทยถือเป็นเรื่องชั่วช้าที่ต้องการกดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
โยนศาลพิจารณาจะทำอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวไม่คิดฟ้องร้องใคร
เมื่อถามต่อว่าการไปในนามส่วนตัวแต่กระทบต่อพรรคจะรับผิดชอบอย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดจึงไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะในคลิปก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าใครพยายามทำอะไร
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด จึงจะยังทำงานในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรคต่อไป ผมไม่หนักใจเรื่องนี้เพราะชี้แจงได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟ้องนาย “พ” หรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า นาย “พ” เป็นคนของศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องไม่ได้
งงในที่ประชุมตุลาการก็แอบอัดเสียงได้
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเผยแพร่คลิปออกมาเป็นเรื่องดี เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่ามีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ศาลต้องทบทวนเรื่องการอัดเสียงในที่ประชุม เพราะเป็นการประชุมลับ ไม่ควรให้ใครเอามาเผยแพร่ได้
นายชวน หลีกภัย ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังจากคลิปก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยืนยันว่าพรรคไม่เคยใช้วิธีการวิ่งเต้น
“ชวน” ระบุเตือนแล้วให้ระวังตัว
“ผมเคยเตือนล่วงหน้าตั้งแต่กรณีของนายทศพลแล้วว่าให้ระวัง เพราะมีขบวนการทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องคนรู้จักนัดออกไปพบจึงเกรงใจและไปตามนัด” นายชวนกล่าวและว่า เท่าที่ดูจากคลิปคิดว่ามีการวางแผนเอาไว้ แต่คงไม่มีผลอะไรต่อคดี แต่ยังงงอยู่ว่าสามารถเข้าไปบันทึกเสียงการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
นายชวนยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องปรับนายวิรัชออกจากทีมกฎหมายเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
“เทพไท” ตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกต 4 ประการว่า 1.การสร้างคลิปต้องใช้เงินจำนวนมาก มีการจัดตัวละครวางแผนกันอย่างดี 2.ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาทบทวนอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีกระบวนการละเมิดอำนาจศาล โดยเฉพาะคลิปที่ 3-5 จงใจนำการประชุมศาลรัฐธรรมนูญมาเผยแพร่ และโฟกัสไปยังนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนต้องการดิสเครดิตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน และต้องดำเนินการกับผู้ปล่อยคลิปดังกล่าว 3.เป็นกระบวนการในลักษณะตีปลาหน้าไซ เนื่องจากท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์รอดคดีนี้ จึงสร้างเรื่องว่าที่พรรคประชาธิปัตย์รอดเพราะมีกระบวนการล็อบบี้ศาล 4.มีจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อจุดกระแส ปลุกระดมกลุ่มคนให้เห็นว่ามีสองมาตรฐานจริงด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา
**********************************************************************
เครื่องบินฝึกF16Aขึ้นจากตาคลี ตก!ที่ตาก นักบินดับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อ 12.00น.เครื่องบิน ฝึกบิน F16A ของทอ. บินจากกองบินที่4 นครสวรรค์ ไปกองบินที่ 41 เชียงใหม่ หายไปจากจอเรดาร์จำนวน1 ลำตั้งแต่เมื่อ 10.00 น. โดยมีเรืออากาศ เอกฐานิกร เหลืองรุ่งวารี นักบินกองบิน4 เป็นผู้ขับ ขณะนี้กำลังตรวจสอบมี ก่อนหน้านี้ มีการฝึกบินเครื่อง F16A จำนวน 3 ลำที่ลงที่กองบิน 41 แล้วอย่างปลอดภัย ล่าสุดมีรายนงานว่า เครื่องบินลำที่หายไปได้ตกที่จังหวัดตาก เครื่องแหลกทั้งลำ ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกไหม้ก่อนที่เครื่องบินจะตกที่ บริเวณบ้านเด่นไม้ซุง หมู่ 9 ต.แม่สลิด อ.บ้านตาก จ.ตาก จนท.เร่งค้นหานักบิน
ล่าสุด ปลัด อบต.บ้านตาก เปิดเผยว่า พบศพนักบินF 16 แล้ว สภาพศพร่างกายแหลกเหลว พบป้ายชื่อ เรืออากาศเอก ฐานิกรณ์ เหลืองรุ่งวารีย์
ที่มา.เนชั่น
ล่าสุด ปลัด อบต.บ้านตาก เปิดเผยว่า พบศพนักบินF 16 แล้ว สภาพศพร่างกายแหลกเหลว พบป้ายชื่อ เรืออากาศเอก ฐานิกรณ์ เหลืองรุ่งวารีย์
ที่มา.เนชั่น
"คลิปลับ"ต่อรอง ต่อชีวิต ปชป.ระทึกพยานสุดท้าย"อภิสิทธิ์" ยุบ-ไม่ยุบ? "ชวน-บัญญัติ-บัณฑิต"กอดคอสู้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลิปลับที่ว่อนผ่าน"ยูทูป" กลายเป็นคลิปร้อน ที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน นั่งไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญ ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงผู้ใหญ่สุดที่ถูกอ้างว่า ล็อบบี้อุ้มพรรคเก่าแก่เต็มตัว
วิรัช ร่มเย็น คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้ว่า "คลิปดังกล่าวเป็นการขบวนการสร้าง กล่าวหาอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมต่อพรรคประชาธิปัตย์"
นาทีนี้ ความพยายามกู้ชีพพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ดำเนินการเต็มสูบ ไม่มีวันหยุด ทุกนาทีคือชีวิต
อย่างช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 อาจจะมีการแถลงปิดคดี แม้ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องแนวโน้มคดี แต่ทุกคนในประชาธิปัตย์ต่างมีความหวัง
เพราะทีมหน่วยกู้ภัย วิศวกรการเมืองระดับพระกาฬ ทั้ง ชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค และบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรคและคณะนักการเมือง ทนายประจำพรรค ต่างระดมทุกสรรพกำลัง ทุ่มเทเต็มที่กับภาระกิจสำคัญที่สุดในรอบ 64 ปี
ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎร และที่ห้องประชุมพรรค ถูกจัดตารางทำงาน ตารางตรวจตราเอกสาร อย่างขนัดแน่น
โปรแกรมของคณะทำงานคดียุบพรรค และทนายเทวดาหน้าหยก "บัณฑิต ศิริพันธ์" ถูกจัดประชุม-ซักซ้อม 4 วันต่อสัปดาห์ โดยก่อนขึ้นศาลในเช้าวันจันทร์ จะมีการซักซ้อมถาม-ตอบ พลิกเอกสาร ทุกหน้า ในบ่ายวันอาทิตย์
เมื่อขึ้นศาลเสร็จในวันจันทร์ วันอังคารจะหยุดพักการพิจารณา 1 วัน จากนั้นวันพุธ-วันพฤหัสบดี มีประชุมเต็มคณะที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้ง ของฝ่ายตรงข้าม
วันศุกร์ มีการประชุมเต็มคณะอีกครั้ง ที่พรรค เพื่อพิจารณาประเด็นที่รวบรวมในรอบสัปดาห์ ตรวจตราเอกสาร ระเบียบ ข้อบังคับ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม อีกรอบ
ข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งประเด็นว่า มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่หรือพยาน แทนการต่อสู้แบบตรงไปตรงมาด้วยเนื้อหาคดี และการหาพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหา
โดยข้อต่อสู้นี้ มาจากการค้นคว้า เทคนิคเงื่อนไขของกฎหมาย ระเบียบ และการทำการบ้านอย่างหนักของ "ทนายเทวดา" ด้วยการหาพยานแวดล้อม
ดังนั้น หลักฐาน ที่จะถูกเปิดในศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีทั้ง ข้อโต้แย้ง พยานบุคคล เอกสารการเงิน ที่ส่อ-แสดง ให้น้ำหนัก ทั้งบี้-ขยี้-ขยาย ประเด็น ความเกี่ยวโยงระหว่างพยานฝ่ายผู้ร้อง
การพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า พยานฝ่ายผู้ร้องอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องหลัง ที่ผลักดันให้เกิดนำสืบคดีโค่นประชาธิปัตย์
เอกสารลับที่สุด ที่ถูกอ้างทั้งใน-นอกศาล จึงล่อแหลม ที่จะถูกพิจารณา-ตีความ
อย่างน้อยเรื่องการซื้อบ้าน โอนบ้าน ชื่อเจ้าของบ้าน เจ้าหนี้ เงินงานศพ คอนเนกชั่นพิเศษของของฝ่ายพยานผู้ร้อง ต่างถูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
ทุกความเคลื่อนไหว ของฝ่ายพยานผู้ร้อง ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรื่องคดีโค่นพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดเป็นตารางข้อมูล และเชื่อมโชง ต่อจิกซอว์ ให้เห็นภาพที่สนับสนุนแนวทางการต่อสู้
ประเด็นที่ถูกรวบรวม เรียบเรียง ครอบคลุม เรื่องราวของพยานฝ่ายผู้ร้อง ทั้งเรื่อง พยานบุคคลแต่ละคนมีอคติ, ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ, พนักงานสอบสวนปั้นพยานเท็จ ,พยานบางคนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มนปช ,แกนนำพรรคและผู้มีกำลังทรัพย์-มีบารมีในพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ที่จะชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินการคดีนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีข้อกฏหมาย ระเบียบ ที่เป็นข้อโต้แย้งได้ว่า การเสนอยุบพรรคเป็นอำนาจนายทะเบียน และนายทะเบียนเคยมีความเห็น "ไม่ยุบ" ไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนเห็นควร "ไม่ยุบ" ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก
นอกจากนี้ยังมีประเด็น ที่ว่าด้วยการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ชอบด้วยกฎหมายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
ข้อต้อสู้ยังปิดช่องยุบ และปิดช่องตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร ด้วยการเปิดประเด็นแย้ง นัยยะว่า การดำเนินการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่ได้รับมอบหมาย ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหาร
เทคนิคทางกฏหมายเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ยังมีประเด็นให้ลื่น-ดิ้น ว่าการใช้เงินเจ้าปัญหา 29 ล้าน เป็นการดำเนินการบางส่วนไปก่อนที่จะได้เงิน แต่การจ่ายเงิน ได้จ่ายหลังจากที่ได้รับเงินอนุมัติแล้ว
หมัดที่ประชาธิปัตย์คิดว่าเด็ด และมีน้ำหนัก คือเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนพรรคการเมือง ที่เคยมี "ประกาศ" เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินที่จัดสรรให้เป็นรายปีตามโครงการและแผนงาน ในการดำเนินกิจการของแต่ละพรรคการเมืองจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
ประกาศ ที่ลงนามโดย " พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ระบุไว้ใน ข้อ 10/1 ว่า "พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามโครงการและแผนงานที่ได้รับอนุมัติ หากใช้จ่ายไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าว "คืน" แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง"
โดยอ้างความตาม "ประกาศ" ดังกล่าวนี้ คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความหวัง ว่าหากเห็นว่า พรรคทำความผิดในการใช้กองทุนพรรคการเมือง ก็ควรมีความผิดเพียง "คืนเงิน" แต่ไม่มีโทษ "ยุบพรรค"
สำหรับวงเงินที่พรรคต้องคืนให้กองทุนพรรคการเมือง ที่ประชาธิปัตยคำนวณไว้ประมาณ 7 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับในช่วงปี 2547 ที่พรรคเคยจ่ายเงินผิดประเภทและต้องจ่ายคืนกองทุนไปแล้ว 3 แสนบาท
และข้อต่อสู้แนบท้าย เพื่อกันทนายนักการเมืองให้พ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ คือ การให้การต่อศาล ว่า คณะกรรมการบริหาร ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องการใช้จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งนี้
ข้อต่อสู้-ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงทุกข้อ จะถูกรวบรวมเรียบเรียง อธิบายต่อสาธารณะ
พร้อมกับสืบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้ายวันที่ 18 ต.ค. 53 ที่จะมีพยานคนสำคัญของประเทศ 1 ใน 4 ปาก คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.กทม. อดีตรองหัวหน้าพรรค และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย
ก่อนถึงวันขึ้นศาลของนายกรัฐมนตรี "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สนทนากับ "ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ดร.สุรพล" วิเคราะห์-ฟันธงว่า คดียุบพรรคโดยกติการัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริตเลือกตั้ง"
"ผมพูดมาก่อน แล้วก็ถูกใครต่อใครด่าเยอะ ว่าปกป้องประชาธิปัตย์ แต่ผมบอกว่า มันไม่ได้มีผลอะไรในทางการเมืองมากนัก เพราะเกิดขึ้นในบริบทของรัฐธรรมนูญ 2540"
"ผมมีความเชื่อของผมนะ เพราะผมดูแล้วในเชิงข้อเท็จจริง ไม่มีเหตุที่จะบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิดในกรณีนี้ เท่าที่ผมตามมาทั้งหมด ผมยังไม่เห็นคนไหนที่บอกว่ามันมีความผิดเกิดขึ้น"
"ความผิดฐานนี้ก็คือ ใช้จ่ายเงินผิดไปจากที่ กรรมการกองทุนพรรคการเมืองให้เงินไป เช่น เอาเงินไปเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ได้เอาไปพิมพ์โปสเตอร์ หรือเอาไปพิมพ์ครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าครึ่งหนึ่ง หรือพิมพ์ผิดไปจากขนาดที่ขออนุมัติหรืออะไร นั่นในส่วนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายว่าผิดแล้วจะยุบพรรคได้ไหม ยุบแล้วจะตัดสิทธิ์ไหม เพราะเท่าที่ผมฟังข้อเท็จจริง ก็ยังไม่เห็นเหตุที่จะยุบพรรค นี่เป็นทัศนคติของผม" ดร.สุรพลกล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกเชื่อมโยงไปถึงการโอนเงินเข้ากระเป๋า ของกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคนในช่วงเวลานั้น
"ดร.สุรพล" แยกแยะให้เห็นว่า "นั้นเป็นกรณี 258 ล้าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"แต่คดีตอนนี้ที่อยู่ในศาล เป็นคดี 29 ล้าน คือเงินของกองทุนพรรคการเมือง ส่วนเงินของทีพีไอ คดีนั้นยังไม่ฟ้องคดี ช่วยไปถามหน่อยคนที่บอกว่าจะมียุบพรรคใน 2 เดือนนี้ แล้วการเมืองจะเปลี่ยนยังไม่ต้องถามว่า การเมืองจะเปลี่ยนยังไง แต่ลองถามว่า จะยุบพรรคเพราะอะไร"
"ดร.สุรพล" สรุปว่า "ยังไม่เห็นข้อเท็จจริง ที่บอกว่าไม่ได้ใช้เงิน" และยังไม่เห็น "เหตุ" ที่ต้องยุบพรรค
คลิปลับที่ว่อนผ่าน"ยูทูป" กลายเป็นคลิปร้อน ที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน นั่งไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญ ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงผู้ใหญ่สุดที่ถูกอ้างว่า ล็อบบี้อุ้มพรรคเก่าแก่เต็มตัว
วิรัช ร่มเย็น คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้ว่า "คลิปดังกล่าวเป็นการขบวนการสร้าง กล่าวหาอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมต่อพรรคประชาธิปัตย์"
นาทีนี้ ความพยายามกู้ชีพพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ดำเนินการเต็มสูบ ไม่มีวันหยุด ทุกนาทีคือชีวิต
อย่างช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 อาจจะมีการแถลงปิดคดี แม้ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องแนวโน้มคดี แต่ทุกคนในประชาธิปัตย์ต่างมีความหวัง
เพราะทีมหน่วยกู้ภัย วิศวกรการเมืองระดับพระกาฬ ทั้ง ชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค และบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรคและคณะนักการเมือง ทนายประจำพรรค ต่างระดมทุกสรรพกำลัง ทุ่มเทเต็มที่กับภาระกิจสำคัญที่สุดในรอบ 64 ปี
ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎร และที่ห้องประชุมพรรค ถูกจัดตารางทำงาน ตารางตรวจตราเอกสาร อย่างขนัดแน่น
โปรแกรมของคณะทำงานคดียุบพรรค และทนายเทวดาหน้าหยก "บัณฑิต ศิริพันธ์" ถูกจัดประชุม-ซักซ้อม 4 วันต่อสัปดาห์ โดยก่อนขึ้นศาลในเช้าวันจันทร์ จะมีการซักซ้อมถาม-ตอบ พลิกเอกสาร ทุกหน้า ในบ่ายวันอาทิตย์
เมื่อขึ้นศาลเสร็จในวันจันทร์ วันอังคารจะหยุดพักการพิจารณา 1 วัน จากนั้นวันพุธ-วันพฤหัสบดี มีประชุมเต็มคณะที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้ง ของฝ่ายตรงข้าม
วันศุกร์ มีการประชุมเต็มคณะอีกครั้ง ที่พรรค เพื่อพิจารณาประเด็นที่รวบรวมในรอบสัปดาห์ ตรวจตราเอกสาร ระเบียบ ข้อบังคับ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม อีกรอบ
ข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งประเด็นว่า มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่หรือพยาน แทนการต่อสู้แบบตรงไปตรงมาด้วยเนื้อหาคดี และการหาพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหา
โดยข้อต่อสู้นี้ มาจากการค้นคว้า เทคนิคเงื่อนไขของกฎหมาย ระเบียบ และการทำการบ้านอย่างหนักของ "ทนายเทวดา" ด้วยการหาพยานแวดล้อม
ดังนั้น หลักฐาน ที่จะถูกเปิดในศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีทั้ง ข้อโต้แย้ง พยานบุคคล เอกสารการเงิน ที่ส่อ-แสดง ให้น้ำหนัก ทั้งบี้-ขยี้-ขยาย ประเด็น ความเกี่ยวโยงระหว่างพยานฝ่ายผู้ร้อง
การพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า พยานฝ่ายผู้ร้องอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องหลัง ที่ผลักดันให้เกิดนำสืบคดีโค่นประชาธิปัตย์
เอกสารลับที่สุด ที่ถูกอ้างทั้งใน-นอกศาล จึงล่อแหลม ที่จะถูกพิจารณา-ตีความ
อย่างน้อยเรื่องการซื้อบ้าน โอนบ้าน ชื่อเจ้าของบ้าน เจ้าหนี้ เงินงานศพ คอนเนกชั่นพิเศษของของฝ่ายพยานผู้ร้อง ต่างถูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
ทุกความเคลื่อนไหว ของฝ่ายพยานผู้ร้อง ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรื่องคดีโค่นพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดเป็นตารางข้อมูล และเชื่อมโชง ต่อจิกซอว์ ให้เห็นภาพที่สนับสนุนแนวทางการต่อสู้
ประเด็นที่ถูกรวบรวม เรียบเรียง ครอบคลุม เรื่องราวของพยานฝ่ายผู้ร้อง ทั้งเรื่อง พยานบุคคลแต่ละคนมีอคติ, ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ, พนักงานสอบสวนปั้นพยานเท็จ ,พยานบางคนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มนปช ,แกนนำพรรคและผู้มีกำลังทรัพย์-มีบารมีในพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ที่จะชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินการคดีนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีข้อกฏหมาย ระเบียบ ที่เป็นข้อโต้แย้งได้ว่า การเสนอยุบพรรคเป็นอำนาจนายทะเบียน และนายทะเบียนเคยมีความเห็น "ไม่ยุบ" ไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนเห็นควร "ไม่ยุบ" ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก
นอกจากนี้ยังมีประเด็น ที่ว่าด้วยการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ชอบด้วยกฎหมายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
ข้อต้อสู้ยังปิดช่องยุบ และปิดช่องตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร ด้วยการเปิดประเด็นแย้ง นัยยะว่า การดำเนินการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่ได้รับมอบหมาย ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหาร
เทคนิคทางกฏหมายเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ยังมีประเด็นให้ลื่น-ดิ้น ว่าการใช้เงินเจ้าปัญหา 29 ล้าน เป็นการดำเนินการบางส่วนไปก่อนที่จะได้เงิน แต่การจ่ายเงิน ได้จ่ายหลังจากที่ได้รับเงินอนุมัติแล้ว
หมัดที่ประชาธิปัตย์คิดว่าเด็ด และมีน้ำหนัก คือเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนพรรคการเมือง ที่เคยมี "ประกาศ" เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินที่จัดสรรให้เป็นรายปีตามโครงการและแผนงาน ในการดำเนินกิจการของแต่ละพรรคการเมืองจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
ประกาศ ที่ลงนามโดย " พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ระบุไว้ใน ข้อ 10/1 ว่า "พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามโครงการและแผนงานที่ได้รับอนุมัติ หากใช้จ่ายไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าว "คืน" แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง"
โดยอ้างความตาม "ประกาศ" ดังกล่าวนี้ คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความหวัง ว่าหากเห็นว่า พรรคทำความผิดในการใช้กองทุนพรรคการเมือง ก็ควรมีความผิดเพียง "คืนเงิน" แต่ไม่มีโทษ "ยุบพรรค"
สำหรับวงเงินที่พรรคต้องคืนให้กองทุนพรรคการเมือง ที่ประชาธิปัตยคำนวณไว้ประมาณ 7 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับในช่วงปี 2547 ที่พรรคเคยจ่ายเงินผิดประเภทและต้องจ่ายคืนกองทุนไปแล้ว 3 แสนบาท
และข้อต่อสู้แนบท้าย เพื่อกันทนายนักการเมืองให้พ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ คือ การให้การต่อศาล ว่า คณะกรรมการบริหาร ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องการใช้จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งนี้
ข้อต่อสู้-ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงทุกข้อ จะถูกรวบรวมเรียบเรียง อธิบายต่อสาธารณะ
พร้อมกับสืบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้ายวันที่ 18 ต.ค. 53 ที่จะมีพยานคนสำคัญของประเทศ 1 ใน 4 ปาก คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.กทม. อดีตรองหัวหน้าพรรค และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย
ก่อนถึงวันขึ้นศาลของนายกรัฐมนตรี "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สนทนากับ "ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ดร.สุรพล" วิเคราะห์-ฟันธงว่า คดียุบพรรคโดยกติการัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริตเลือกตั้ง"
"ผมพูดมาก่อน แล้วก็ถูกใครต่อใครด่าเยอะ ว่าปกป้องประชาธิปัตย์ แต่ผมบอกว่า มันไม่ได้มีผลอะไรในทางการเมืองมากนัก เพราะเกิดขึ้นในบริบทของรัฐธรรมนูญ 2540"
"ผมมีความเชื่อของผมนะ เพราะผมดูแล้วในเชิงข้อเท็จจริง ไม่มีเหตุที่จะบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิดในกรณีนี้ เท่าที่ผมตามมาทั้งหมด ผมยังไม่เห็นคนไหนที่บอกว่ามันมีความผิดเกิดขึ้น"
"ความผิดฐานนี้ก็คือ ใช้จ่ายเงินผิดไปจากที่ กรรมการกองทุนพรรคการเมืองให้เงินไป เช่น เอาเงินไปเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ได้เอาไปพิมพ์โปสเตอร์ หรือเอาไปพิมพ์ครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าครึ่งหนึ่ง หรือพิมพ์ผิดไปจากขนาดที่ขออนุมัติหรืออะไร นั่นในส่วนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายว่าผิดแล้วจะยุบพรรคได้ไหม ยุบแล้วจะตัดสิทธิ์ไหม เพราะเท่าที่ผมฟังข้อเท็จจริง ก็ยังไม่เห็นเหตุที่จะยุบพรรค นี่เป็นทัศนคติของผม" ดร.สุรพลกล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกเชื่อมโยงไปถึงการโอนเงินเข้ากระเป๋า ของกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคนในช่วงเวลานั้น
"ดร.สุรพล" แยกแยะให้เห็นว่า "นั้นเป็นกรณี 258 ล้าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"แต่คดีตอนนี้ที่อยู่ในศาล เป็นคดี 29 ล้าน คือเงินของกองทุนพรรคการเมือง ส่วนเงินของทีพีไอ คดีนั้นยังไม่ฟ้องคดี ช่วยไปถามหน่อยคนที่บอกว่าจะมียุบพรรคใน 2 เดือนนี้ แล้วการเมืองจะเปลี่ยนยังไม่ต้องถามว่า การเมืองจะเปลี่ยนยังไง แต่ลองถามว่า จะยุบพรรคเพราะอะไร"
"ดร.สุรพล" สรุปว่า "ยังไม่เห็นข้อเท็จจริง ที่บอกว่าไม่ได้ใช้เงิน" และยังไม่เห็น "เหตุ" ที่ต้องยุบพรรค
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)