รายงานข่าวจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า ภายหลังจากที่มีคลิปที่มีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดคำถามจากในองค์กร ว่าการดำเนินการของนายพสิษฐ์ นั้นดำเนินการด้วยตัวเอง หรือมีใครสั่งให้ทำ และมุ่งหวังอย่างไรในการดำเนินการเช่นนี้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญเสียหายมาก จึงอยู่ที่ว่านายชัช ซึ่งถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายพสิษฐ์ จะแสดงความรับผิดชอบจากกรณีดังกล่าวอย่างไร นอกจากนี้ยังได้มีการวิเคราะห์ถึงคลิปวีดีโอชุดที่ 3- 5 ซึ่งเป็นภาพจากห้องประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องดำเนินการอย่างไรอย่างหนึ่งต่อไป
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าจากมุมกล้อง ที่อยู่ด้านหลังของนาย สุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั้นบริเวณดังกล่าวเป็นที่นั่งของคณะทำงาน ซึ่งรวมถึงคณะโฆษกของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายพสิษฐ์ ดำรงตำแหน่งโฆษกศาลรัฐธรรมนูญอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย และเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมประชุมคณะตุลาการโดยตลอด อย่างไรก็ตามทั้งนาย ชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนาย เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ชี้แจงใดๆทั้งสิ้น
ที่มา.เนชั่น
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553
‘วิรัช’อ้างถูกหลอกเฉ่ง‘พ’จัดฉากบันทึกคลิปล็อบบี้คดียุบพรรค
จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปชป. เรียงหน้าโต้คลิปลับล็อบบี้คดียุบพรรค “วิรัช” อ้างถูกหลอกให้ไปพบ เชื่อมีขบวนการสร้างเรื่อง เฉ่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญชื่อ “พ” รู้เห็นเป็นใจกับพรรคเพื่อจัดฉาก ประกาศไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร “ชวน” มั่นใจไม่กระทบคดีและไม่จำเป็นต้องปรับทีมกฎหมาย “พร้อมพงศ์” ฉายคลิปยืนยันมีการวิ่งเต้นคดียุบพรรคจริง ย้ำตรวจสอบความถูกต้องแล้วไม่กลัวการฟ้องร้อง แฉรัฐบาลสั่งบล็อกยูทูบไม่ให้คนเข้าดูคลิปแล้ว เล็งยื่นถอดถอนคนในคลิปออกจาก ส.ส.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า วันที่ 19 ต.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนพยานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของฝ่ายผู้ถูกร้องเป็นนัดสุดท้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์นำพยานสำคัญ 4 ปากเข้าเบิกความ ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งทั้งหมดจะมาตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับการทำหนังสือลงวันที่10 ม.ค. 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
จ่ายเช็ควันเดียวกับขอเปลี่ยนโครงการ
“ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือทำไมมีการออกเช็คสั่งจ่ายค่าทำโฆษณาที่ลงนามโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในขณะนั้น วันเดียวกับที่ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อ กกต. ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ซึ่งตามข้อกำหนดของ กกต. นั้นการจะเปลี่ยนแปลงโครงการใดต้องผ่านการอนุมัติเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ ที่สำคัญนายสุชาติ เกิดเมฆ หรือเป๋ โปสเตอร์ ให้การชัดเจนว่าได้รับเงินมาเพียง 500,000 กว่าบาท แต่พรรคประชาธิปัตย์ออกเช็คมาราคา 2 ล้านกว่าบาท” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าหากทำไม่ถูกต้องก็คืนเงินให้ กกต. ก็ไม่มีความผิดถือว่าเป็นการพูดเอาแต่ได้ หากพรรคการเมือง 19 พรรคที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ขอคืนเงินบ้างจะได้หรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อแก้ตัวในศาลไม่ได้จึงเกิดกระบวนการล็อบบี้ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ เพราะเข้าข่ายละเมิดกระบวนการยุติธรรม ไม่เคารพหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐของประเทศ ทำลายกระบวนการยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
แฉรัฐบาลบล็อกยูทูบไม่ให้ดูคลิป
“วันนี้มีคลิปฉาวเกี่ยวกับกระบวนการวิ่งเต้นไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ออกมา 5 ตอน แต่เผยแพร่ได้ไม่นานรัฐบาลก็ใช้วิธีการสามานย์บล็อกยูทูบที่เผยแพร่คลิปดังกล่าว ถือว่าจงใจปิดหูปิดตาประชาชน ผมรับคำท้าขอระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปคือนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีภาพและเสียงชัดเจนว่าเป็นการสมคบกันเพื่อวิ่งเต้นให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้มีเรื่องอื้อฉาวกรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ที่ไปรับเอกสารกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนอกเวลานอกที่ทำการศาลจนต้องออกจากทีมกฎหมายต่อสู้คดีไป ครั้งนี้จึงตอกย้ำว่ามีการกระบวนการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ดูคลิปแล้วรู้ทำไมดึง “อภิชาต” เป็นพยาน
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อได้ดูคลิปลับที่นายวิรัชเจรจากับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงยอมให้มีการสืบพยานบุคคลที่นายวิรัชต้องการให้สืบ และมีความพยายามนำตัวนายอภิชาต สุขคานนท์ ประธาน กกต. มาเป็นพยานเบิกความตามเสียงสนทนาในคลิปลับดังกล่าว
“มีประเด็นที่ต้องตั้งเป็นคำถามว่าอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นข้อกฎหมาย ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้เองได้ คดีทำไมจึงแตกต่างจากคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมวินิจฉัยคำว่าลูกจ้าง ทำไมจึงต้องมีความพยายามในลักษณะที่จะนำเอานายอภิชาตมาเบิกความตามที่นายวิรัชยื่นคำขอ ทำไมบังเอิญเช่นนั้น” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบว่าศาลรัฐธรรมนูญยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลพิจารณาคดีโดยถูกต้องและเที่ยงธรรมยังจะมีอยู่ในคดีนี้หรือไม่
ลั่นเช็คความถูกต้องแล้วไม่กลัวฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ได้นำคลิปที่ระบุว่าเป็นการสนทนาระหว่างนายวิรัชกับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญมาเปิดเผยพร้อมระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปชื่อ “วุฒิ” เป็นนายหัวของนักการเมืองภาคใต้ ถ้าเอ่ยชื่อคนรู้กันทั้งภาคใต้ คนทางการเมืองรู้กันหมด ไม่ต้องบอกว่าใกล้ชิดใคร อีกคนคือนายวิรัช และอีกคนคือตัวแทนของคนใหญ่คนโตในศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เช็กความถูกต้องมาหมดแล้ว ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องร้อง และสัปดาห์หน้าจะยื่นถอดถอนนายวิรัชออกจากตำแหน่ง ส.ส. และจะหารือกับฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยว่าจะดำเนินคดีอาญากับพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงปฏิเสธว่า ไม่มีการล็อบบี้เพื่อไม่ให้พรรคถูกยุบ เรื่องคลิปที่นำมาเผยแพร่มีกระบวนการสร้างเรื่อง โดยพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เขียนบทเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“วิรัช” โต้ทำกันเป็นกระบวนการ
“พรรคต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง ไม่เคยใช้วิธีการสามานย์” นายวิรัชกล่าวและว่า กระบวนการครั้งนี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และในคลิปที่ 2 ที่มีรูปผมและผู้ชายอีก 2 คน โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ที่ผมเป็นประธานนั้น ขอชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวในคลิปที่มีการระบุถึง “พ” ได้มีการติดต่อนายวรวุฒิว่าต้องการขอพบเพื่อพูดคุยและรับประทานอาหารที่ร้านอาหารกู๊ดดี้ ซอยปูนซีเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เพราะคนชื่อ “พ” เป็นคนสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จึงเดินทางไปพบตามมารยาท ซึ่งในคลิปพยายามโยงว่าเป็นการทำของทีมกฎหมาย แต่ขอยืนยันว่าไปในนามส่วนตัว
ซัด “พ” รู้เห็นเป็นใจจัดฉากถ่ายคลิป
นายวิรัชกล่าวว่า การตั้งกล้องแอบถ่ายในคลิป คนชื่อ “พ” นั่งหันหลังให้กล้องเพราะเป็นคนที่รู้มุมกล้อง จึงขยับตัวมานั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเพื่อจะได้จับภาพตนได้ชัดเจน และคนชื่อ “พ” พยายามใช้คำถามนำในการเพิ่มเติมพยาน โดยพยายามโยงไปถึงประธาน กกต. ซึ่งตามขั้นตอนประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาให้ปากคำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปบอกศาลว่าให้เอาคนนั้นคนนี้มาเบิกความ
“ใครล็อบบี้เรื่องนี้ถือว่าสิ้นคิด เพราะไม่มีใครมีอำนาจไปบอกศาลว่าให้เอาใครมาเบิกความ เรื่องนี้ทำกันเป็นกระบวนการ เหมือนที่นายทศพล เพ็งส้ม โดนมาแล้ว โดยมีคนชื่อ “พ” ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยบอกให้นายทศพลไปรับเอกสารและภาพถ่าย การกระทำของพรรคเพื่อไทยถือเป็นเรื่องชั่วช้าที่ต้องการกดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
โยนศาลพิจารณาจะทำอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวไม่คิดฟ้องร้องใคร
เมื่อถามต่อว่าการไปในนามส่วนตัวแต่กระทบต่อพรรคจะรับผิดชอบอย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดจึงไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะในคลิปก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าใครพยายามทำอะไร
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด จึงจะยังทำงานในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรคต่อไป ผมไม่หนักใจเรื่องนี้เพราะชี้แจงได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟ้องนาย “พ” หรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า นาย “พ” เป็นคนของศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องไม่ได้
งงในที่ประชุมตุลาการก็แอบอัดเสียงได้
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเผยแพร่คลิปออกมาเป็นเรื่องดี เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่ามีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ศาลต้องทบทวนเรื่องการอัดเสียงในที่ประชุม เพราะเป็นการประชุมลับ ไม่ควรให้ใครเอามาเผยแพร่ได้
นายชวน หลีกภัย ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังจากคลิปก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยืนยันว่าพรรคไม่เคยใช้วิธีการวิ่งเต้น
“ชวน” ระบุเตือนแล้วให้ระวังตัว
“ผมเคยเตือนล่วงหน้าตั้งแต่กรณีของนายทศพลแล้วว่าให้ระวัง เพราะมีขบวนการทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องคนรู้จักนัดออกไปพบจึงเกรงใจและไปตามนัด” นายชวนกล่าวและว่า เท่าที่ดูจากคลิปคิดว่ามีการวางแผนเอาไว้ แต่คงไม่มีผลอะไรต่อคดี แต่ยังงงอยู่ว่าสามารถเข้าไปบันทึกเสียงการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
นายชวนยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องปรับนายวิรัชออกจากทีมกฎหมายเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
“เทพไท” ตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกต 4 ประการว่า 1.การสร้างคลิปต้องใช้เงินจำนวนมาก มีการจัดตัวละครวางแผนกันอย่างดี 2.ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาทบทวนอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีกระบวนการละเมิดอำนาจศาล โดยเฉพาะคลิปที่ 3-5 จงใจนำการประชุมศาลรัฐธรรมนูญมาเผยแพร่ และโฟกัสไปยังนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนต้องการดิสเครดิตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน และต้องดำเนินการกับผู้ปล่อยคลิปดังกล่าว 3.เป็นกระบวนการในลักษณะตีปลาหน้าไซ เนื่องจากท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์รอดคดีนี้ จึงสร้างเรื่องว่าที่พรรคประชาธิปัตย์รอดเพราะมีกระบวนการล็อบบี้ศาล 4.มีจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อจุดกระแส ปลุกระดมกลุ่มคนให้เห็นว่ามีสองมาตรฐานจริงด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา
**********************************************************************
ปชป. เรียงหน้าโต้คลิปลับล็อบบี้คดียุบพรรค “วิรัช” อ้างถูกหลอกให้ไปพบ เชื่อมีขบวนการสร้างเรื่อง เฉ่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญชื่อ “พ” รู้เห็นเป็นใจกับพรรคเพื่อจัดฉาก ประกาศไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร “ชวน” มั่นใจไม่กระทบคดีและไม่จำเป็นต้องปรับทีมกฎหมาย “พร้อมพงศ์” ฉายคลิปยืนยันมีการวิ่งเต้นคดียุบพรรคจริง ย้ำตรวจสอบความถูกต้องแล้วไม่กลัวการฟ้องร้อง แฉรัฐบาลสั่งบล็อกยูทูบไม่ให้คนเข้าดูคลิปแล้ว เล็งยื่นถอดถอนคนในคลิปออกจาก ส.ส.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า วันที่ 19 ต.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนพยานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของฝ่ายผู้ถูกร้องเป็นนัดสุดท้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์นำพยานสำคัญ 4 ปากเข้าเบิกความ ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งทั้งหมดจะมาตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับการทำหนังสือลงวันที่10 ม.ค. 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
จ่ายเช็ควันเดียวกับขอเปลี่ยนโครงการ
“ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือทำไมมีการออกเช็คสั่งจ่ายค่าทำโฆษณาที่ลงนามโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในขณะนั้น วันเดียวกับที่ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงการต่อ กกต. ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ซึ่งตามข้อกำหนดของ กกต. นั้นการจะเปลี่ยนแปลงโครงการใดต้องผ่านการอนุมัติเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ ที่สำคัญนายสุชาติ เกิดเมฆ หรือเป๋ โปสเตอร์ ให้การชัดเจนว่าได้รับเงินมาเพียง 500,000 กว่าบาท แต่พรรคประชาธิปัตย์ออกเช็คมาราคา 2 ล้านกว่าบาท” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าหากทำไม่ถูกต้องก็คืนเงินให้ กกต. ก็ไม่มีความผิดถือว่าเป็นการพูดเอาแต่ได้ หากพรรคการเมือง 19 พรรคที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ขอคืนเงินบ้างจะได้หรือไม่
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อแก้ตัวในศาลไม่ได้จึงเกิดกระบวนการล็อบบี้ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ เพราะเข้าข่ายละเมิดกระบวนการยุติธรรม ไม่เคารพหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐของประเทศ ทำลายกระบวนการยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
แฉรัฐบาลบล็อกยูทูบไม่ให้ดูคลิป
“วันนี้มีคลิปฉาวเกี่ยวกับกระบวนการวิ่งเต้นไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ออกมา 5 ตอน แต่เผยแพร่ได้ไม่นานรัฐบาลก็ใช้วิธีการสามานย์บล็อกยูทูบที่เผยแพร่คลิปดังกล่าว ถือว่าจงใจปิดหูปิดตาประชาชน ผมรับคำท้าขอระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปคือนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีภาพและเสียงชัดเจนว่าเป็นการสมคบกันเพื่อวิ่งเต้นให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้มีเรื่องอื้อฉาวกรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ที่ไปรับเอกสารกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนอกเวลานอกที่ทำการศาลจนต้องออกจากทีมกฎหมายต่อสู้คดีไป ครั้งนี้จึงตอกย้ำว่ามีการกระบวนการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ดูคลิปแล้วรู้ทำไมดึง “อภิชาต” เป็นพยาน
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เมื่อได้ดูคลิปลับที่นายวิรัชเจรจากับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงยอมให้มีการสืบพยานบุคคลที่นายวิรัชต้องการให้สืบ และมีความพยายามนำตัวนายอภิชาต สุขคานนท์ ประธาน กกต. มาเป็นพยานเบิกความตามเสียงสนทนาในคลิปลับดังกล่าว
“มีประเด็นที่ต้องตั้งเป็นคำถามว่าอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นข้อกฎหมาย ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้เองได้ คดีทำไมจึงแตกต่างจากคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมวินิจฉัยคำว่าลูกจ้าง ทำไมจึงต้องมีความพยายามในลักษณะที่จะนำเอานายอภิชาตมาเบิกความตามที่นายวิรัชยื่นคำขอ ทำไมบังเอิญเช่นนั้น” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบว่าศาลรัฐธรรมนูญยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลพิจารณาคดีโดยถูกต้องและเที่ยงธรรมยังจะมีอยู่ในคดีนี้หรือไม่
ลั่นเช็คความถูกต้องแล้วไม่กลัวฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ได้นำคลิปที่ระบุว่าเป็นการสนทนาระหว่างนายวิรัชกับคนสนิทของศาลรัฐธรรมนูญมาเปิดเผยพร้อมระบุว่าคนที่อยู่ในคลิปชื่อ “วุฒิ” เป็นนายหัวของนักการเมืองภาคใต้ ถ้าเอ่ยชื่อคนรู้กันทั้งภาคใต้ คนทางการเมืองรู้กันหมด ไม่ต้องบอกว่าใกล้ชิดใคร อีกคนคือนายวิรัช และอีกคนคือตัวแทนของคนใหญ่คนโตในศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เช็กความถูกต้องมาหมดแล้ว ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องร้อง และสัปดาห์หน้าจะยื่นถอดถอนนายวิรัชออกจากตำแหน่ง ส.ส. และจะหารือกับฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยว่าจะดำเนินคดีอาญากับพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงปฏิเสธว่า ไม่มีการล็อบบี้เพื่อไม่ให้พรรคถูกยุบ เรื่องคลิปที่นำมาเผยแพร่มีกระบวนการสร้างเรื่อง โดยพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เขียนบทเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“วิรัช” โต้ทำกันเป็นกระบวนการ
“พรรคต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง ไม่เคยใช้วิธีการสามานย์” นายวิรัชกล่าวและว่า กระบวนการครั้งนี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และในคลิปที่ 2 ที่มีรูปผมและผู้ชายอีก 2 คน โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ที่ผมเป็นประธานนั้น ขอชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวในคลิปที่มีการระบุถึง “พ” ได้มีการติดต่อนายวรวุฒิว่าต้องการขอพบเพื่อพูดคุยและรับประทานอาหารที่ร้านอาหารกู๊ดดี้ ซอยปูนซีเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เพราะคนชื่อ “พ” เป็นคนสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จึงเดินทางไปพบตามมารยาท ซึ่งในคลิปพยายามโยงว่าเป็นการทำของทีมกฎหมาย แต่ขอยืนยันว่าไปในนามส่วนตัว
ซัด “พ” รู้เห็นเป็นใจจัดฉากถ่ายคลิป
นายวิรัชกล่าวว่า การตั้งกล้องแอบถ่ายในคลิป คนชื่อ “พ” นั่งหันหลังให้กล้องเพราะเป็นคนที่รู้มุมกล้อง จึงขยับตัวมานั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเพื่อจะได้จับภาพตนได้ชัดเจน และคนชื่อ “พ” พยายามใช้คำถามนำในการเพิ่มเติมพยาน โดยพยายามโยงไปถึงประธาน กกต. ซึ่งตามขั้นตอนประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาให้ปากคำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปบอกศาลว่าให้เอาคนนั้นคนนี้มาเบิกความ
“ใครล็อบบี้เรื่องนี้ถือว่าสิ้นคิด เพราะไม่มีใครมีอำนาจไปบอกศาลว่าให้เอาใครมาเบิกความ เรื่องนี้ทำกันเป็นกระบวนการ เหมือนที่นายทศพล เพ็งส้ม โดนมาแล้ว โดยมีคนชื่อ “พ” ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยบอกให้นายทศพลไปรับเอกสารและภาพถ่าย การกระทำของพรรคเพื่อไทยถือเป็นเรื่องชั่วช้าที่ต้องการกดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
โยนศาลพิจารณาจะทำอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวไม่คิดฟ้องร้องใคร
เมื่อถามต่อว่าการไปในนามส่วนตัวแต่กระทบต่อพรรคจะรับผิดชอบอย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดจึงไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะในคลิปก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าใครพยายามทำอะไร
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด จึงจะยังทำงานในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรคต่อไป ผมไม่หนักใจเรื่องนี้เพราะชี้แจงได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟ้องนาย “พ” หรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า นาย “พ” เป็นคนของศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องไม่ได้
งงในที่ประชุมตุลาการก็แอบอัดเสียงได้
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเผยแพร่คลิปออกมาเป็นเรื่องดี เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่ามีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ศาลต้องทบทวนเรื่องการอัดเสียงในที่ประชุม เพราะเป็นการประชุมลับ ไม่ควรให้ใครเอามาเผยแพร่ได้
นายชวน หลีกภัย ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังจากคลิปก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยืนยันว่าพรรคไม่เคยใช้วิธีการวิ่งเต้น
“ชวน” ระบุเตือนแล้วให้ระวังตัว
“ผมเคยเตือนล่วงหน้าตั้งแต่กรณีของนายทศพลแล้วว่าให้ระวัง เพราะมีขบวนการทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องคนรู้จักนัดออกไปพบจึงเกรงใจและไปตามนัด” นายชวนกล่าวและว่า เท่าที่ดูจากคลิปคิดว่ามีการวางแผนเอาไว้ แต่คงไม่มีผลอะไรต่อคดี แต่ยังงงอยู่ว่าสามารถเข้าไปบันทึกเสียงการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
นายชวนยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องปรับนายวิรัชออกจากทีมกฎหมายเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
“เทพไท” ตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกต 4 ประการว่า 1.การสร้างคลิปต้องใช้เงินจำนวนมาก มีการจัดตัวละครวางแผนกันอย่างดี 2.ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาทบทวนอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีกระบวนการละเมิดอำนาจศาล โดยเฉพาะคลิปที่ 3-5 จงใจนำการประชุมศาลรัฐธรรมนูญมาเผยแพร่ และโฟกัสไปยังนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนต้องการดิสเครดิตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน และต้องดำเนินการกับผู้ปล่อยคลิปดังกล่าว 3.เป็นกระบวนการในลักษณะตีปลาหน้าไซ เนื่องจากท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์รอดคดีนี้ จึงสร้างเรื่องว่าที่พรรคประชาธิปัตย์รอดเพราะมีกระบวนการล็อบบี้ศาล 4.มีจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อจุดกระแส ปลุกระดมกลุ่มคนให้เห็นว่ามีสองมาตรฐานจริงด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา
**********************************************************************
เครื่องบินฝึกF16Aขึ้นจากตาคลี ตก!ที่ตาก นักบินดับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อ 12.00น.เครื่องบิน ฝึกบิน F16A ของทอ. บินจากกองบินที่4 นครสวรรค์ ไปกองบินที่ 41 เชียงใหม่ หายไปจากจอเรดาร์จำนวน1 ลำตั้งแต่เมื่อ 10.00 น. โดยมีเรืออากาศ เอกฐานิกร เหลืองรุ่งวารี นักบินกองบิน4 เป็นผู้ขับ ขณะนี้กำลังตรวจสอบมี ก่อนหน้านี้ มีการฝึกบินเครื่อง F16A จำนวน 3 ลำที่ลงที่กองบิน 41 แล้วอย่างปลอดภัย ล่าสุดมีรายนงานว่า เครื่องบินลำที่หายไปได้ตกที่จังหวัดตาก เครื่องแหลกทั้งลำ ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกไหม้ก่อนที่เครื่องบินจะตกที่ บริเวณบ้านเด่นไม้ซุง หมู่ 9 ต.แม่สลิด อ.บ้านตาก จ.ตาก จนท.เร่งค้นหานักบิน
ล่าสุด ปลัด อบต.บ้านตาก เปิดเผยว่า พบศพนักบินF 16 แล้ว สภาพศพร่างกายแหลกเหลว พบป้ายชื่อ เรืออากาศเอก ฐานิกรณ์ เหลืองรุ่งวารีย์
ที่มา.เนชั่น
ล่าสุด ปลัด อบต.บ้านตาก เปิดเผยว่า พบศพนักบินF 16 แล้ว สภาพศพร่างกายแหลกเหลว พบป้ายชื่อ เรืออากาศเอก ฐานิกรณ์ เหลืองรุ่งวารีย์
ที่มา.เนชั่น
"คลิปลับ"ต่อรอง ต่อชีวิต ปชป.ระทึกพยานสุดท้าย"อภิสิทธิ์" ยุบ-ไม่ยุบ? "ชวน-บัญญัติ-บัณฑิต"กอดคอสู้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลิปลับที่ว่อนผ่าน"ยูทูป" กลายเป็นคลิปร้อน ที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน นั่งไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญ ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงผู้ใหญ่สุดที่ถูกอ้างว่า ล็อบบี้อุ้มพรรคเก่าแก่เต็มตัว
วิรัช ร่มเย็น คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้ว่า "คลิปดังกล่าวเป็นการขบวนการสร้าง กล่าวหาอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมต่อพรรคประชาธิปัตย์"
นาทีนี้ ความพยายามกู้ชีพพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ดำเนินการเต็มสูบ ไม่มีวันหยุด ทุกนาทีคือชีวิต
อย่างช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 อาจจะมีการแถลงปิดคดี แม้ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องแนวโน้มคดี แต่ทุกคนในประชาธิปัตย์ต่างมีความหวัง
เพราะทีมหน่วยกู้ภัย วิศวกรการเมืองระดับพระกาฬ ทั้ง ชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค และบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรคและคณะนักการเมือง ทนายประจำพรรค ต่างระดมทุกสรรพกำลัง ทุ่มเทเต็มที่กับภาระกิจสำคัญที่สุดในรอบ 64 ปี
ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎร และที่ห้องประชุมพรรค ถูกจัดตารางทำงาน ตารางตรวจตราเอกสาร อย่างขนัดแน่น
โปรแกรมของคณะทำงานคดียุบพรรค และทนายเทวดาหน้าหยก "บัณฑิต ศิริพันธ์" ถูกจัดประชุม-ซักซ้อม 4 วันต่อสัปดาห์ โดยก่อนขึ้นศาลในเช้าวันจันทร์ จะมีการซักซ้อมถาม-ตอบ พลิกเอกสาร ทุกหน้า ในบ่ายวันอาทิตย์
เมื่อขึ้นศาลเสร็จในวันจันทร์ วันอังคารจะหยุดพักการพิจารณา 1 วัน จากนั้นวันพุธ-วันพฤหัสบดี มีประชุมเต็มคณะที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้ง ของฝ่ายตรงข้าม
วันศุกร์ มีการประชุมเต็มคณะอีกครั้ง ที่พรรค เพื่อพิจารณาประเด็นที่รวบรวมในรอบสัปดาห์ ตรวจตราเอกสาร ระเบียบ ข้อบังคับ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม อีกรอบ
ข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งประเด็นว่า มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่หรือพยาน แทนการต่อสู้แบบตรงไปตรงมาด้วยเนื้อหาคดี และการหาพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหา
โดยข้อต่อสู้นี้ มาจากการค้นคว้า เทคนิคเงื่อนไขของกฎหมาย ระเบียบ และการทำการบ้านอย่างหนักของ "ทนายเทวดา" ด้วยการหาพยานแวดล้อม
ดังนั้น หลักฐาน ที่จะถูกเปิดในศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีทั้ง ข้อโต้แย้ง พยานบุคคล เอกสารการเงิน ที่ส่อ-แสดง ให้น้ำหนัก ทั้งบี้-ขยี้-ขยาย ประเด็น ความเกี่ยวโยงระหว่างพยานฝ่ายผู้ร้อง
การพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า พยานฝ่ายผู้ร้องอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องหลัง ที่ผลักดันให้เกิดนำสืบคดีโค่นประชาธิปัตย์
เอกสารลับที่สุด ที่ถูกอ้างทั้งใน-นอกศาล จึงล่อแหลม ที่จะถูกพิจารณา-ตีความ
อย่างน้อยเรื่องการซื้อบ้าน โอนบ้าน ชื่อเจ้าของบ้าน เจ้าหนี้ เงินงานศพ คอนเนกชั่นพิเศษของของฝ่ายพยานผู้ร้อง ต่างถูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
ทุกความเคลื่อนไหว ของฝ่ายพยานผู้ร้อง ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรื่องคดีโค่นพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดเป็นตารางข้อมูล และเชื่อมโชง ต่อจิกซอว์ ให้เห็นภาพที่สนับสนุนแนวทางการต่อสู้
ประเด็นที่ถูกรวบรวม เรียบเรียง ครอบคลุม เรื่องราวของพยานฝ่ายผู้ร้อง ทั้งเรื่อง พยานบุคคลแต่ละคนมีอคติ, ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ, พนักงานสอบสวนปั้นพยานเท็จ ,พยานบางคนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มนปช ,แกนนำพรรคและผู้มีกำลังทรัพย์-มีบารมีในพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ที่จะชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินการคดีนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีข้อกฏหมาย ระเบียบ ที่เป็นข้อโต้แย้งได้ว่า การเสนอยุบพรรคเป็นอำนาจนายทะเบียน และนายทะเบียนเคยมีความเห็น "ไม่ยุบ" ไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนเห็นควร "ไม่ยุบ" ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก
นอกจากนี้ยังมีประเด็น ที่ว่าด้วยการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ชอบด้วยกฎหมายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
ข้อต้อสู้ยังปิดช่องยุบ และปิดช่องตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร ด้วยการเปิดประเด็นแย้ง นัยยะว่า การดำเนินการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่ได้รับมอบหมาย ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหาร
เทคนิคทางกฏหมายเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ยังมีประเด็นให้ลื่น-ดิ้น ว่าการใช้เงินเจ้าปัญหา 29 ล้าน เป็นการดำเนินการบางส่วนไปก่อนที่จะได้เงิน แต่การจ่ายเงิน ได้จ่ายหลังจากที่ได้รับเงินอนุมัติแล้ว
หมัดที่ประชาธิปัตย์คิดว่าเด็ด และมีน้ำหนัก คือเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนพรรคการเมือง ที่เคยมี "ประกาศ" เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินที่จัดสรรให้เป็นรายปีตามโครงการและแผนงาน ในการดำเนินกิจการของแต่ละพรรคการเมืองจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
ประกาศ ที่ลงนามโดย " พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ระบุไว้ใน ข้อ 10/1 ว่า "พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามโครงการและแผนงานที่ได้รับอนุมัติ หากใช้จ่ายไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าว "คืน" แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง"
โดยอ้างความตาม "ประกาศ" ดังกล่าวนี้ คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความหวัง ว่าหากเห็นว่า พรรคทำความผิดในการใช้กองทุนพรรคการเมือง ก็ควรมีความผิดเพียง "คืนเงิน" แต่ไม่มีโทษ "ยุบพรรค"
สำหรับวงเงินที่พรรคต้องคืนให้กองทุนพรรคการเมือง ที่ประชาธิปัตยคำนวณไว้ประมาณ 7 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับในช่วงปี 2547 ที่พรรคเคยจ่ายเงินผิดประเภทและต้องจ่ายคืนกองทุนไปแล้ว 3 แสนบาท
และข้อต่อสู้แนบท้าย เพื่อกันทนายนักการเมืองให้พ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ คือ การให้การต่อศาล ว่า คณะกรรมการบริหาร ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องการใช้จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งนี้
ข้อต่อสู้-ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงทุกข้อ จะถูกรวบรวมเรียบเรียง อธิบายต่อสาธารณะ
พร้อมกับสืบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้ายวันที่ 18 ต.ค. 53 ที่จะมีพยานคนสำคัญของประเทศ 1 ใน 4 ปาก คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.กทม. อดีตรองหัวหน้าพรรค และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย
ก่อนถึงวันขึ้นศาลของนายกรัฐมนตรี "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สนทนากับ "ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ดร.สุรพล" วิเคราะห์-ฟันธงว่า คดียุบพรรคโดยกติการัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริตเลือกตั้ง"
"ผมพูดมาก่อน แล้วก็ถูกใครต่อใครด่าเยอะ ว่าปกป้องประชาธิปัตย์ แต่ผมบอกว่า มันไม่ได้มีผลอะไรในทางการเมืองมากนัก เพราะเกิดขึ้นในบริบทของรัฐธรรมนูญ 2540"
"ผมมีความเชื่อของผมนะ เพราะผมดูแล้วในเชิงข้อเท็จจริง ไม่มีเหตุที่จะบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิดในกรณีนี้ เท่าที่ผมตามมาทั้งหมด ผมยังไม่เห็นคนไหนที่บอกว่ามันมีความผิดเกิดขึ้น"
"ความผิดฐานนี้ก็คือ ใช้จ่ายเงินผิดไปจากที่ กรรมการกองทุนพรรคการเมืองให้เงินไป เช่น เอาเงินไปเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ได้เอาไปพิมพ์โปสเตอร์ หรือเอาไปพิมพ์ครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าครึ่งหนึ่ง หรือพิมพ์ผิดไปจากขนาดที่ขออนุมัติหรืออะไร นั่นในส่วนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายว่าผิดแล้วจะยุบพรรคได้ไหม ยุบแล้วจะตัดสิทธิ์ไหม เพราะเท่าที่ผมฟังข้อเท็จจริง ก็ยังไม่เห็นเหตุที่จะยุบพรรค นี่เป็นทัศนคติของผม" ดร.สุรพลกล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกเชื่อมโยงไปถึงการโอนเงินเข้ากระเป๋า ของกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคนในช่วงเวลานั้น
"ดร.สุรพล" แยกแยะให้เห็นว่า "นั้นเป็นกรณี 258 ล้าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"แต่คดีตอนนี้ที่อยู่ในศาล เป็นคดี 29 ล้าน คือเงินของกองทุนพรรคการเมือง ส่วนเงินของทีพีไอ คดีนั้นยังไม่ฟ้องคดี ช่วยไปถามหน่อยคนที่บอกว่าจะมียุบพรรคใน 2 เดือนนี้ แล้วการเมืองจะเปลี่ยนยังไม่ต้องถามว่า การเมืองจะเปลี่ยนยังไง แต่ลองถามว่า จะยุบพรรคเพราะอะไร"
"ดร.สุรพล" สรุปว่า "ยังไม่เห็นข้อเท็จจริง ที่บอกว่าไม่ได้ใช้เงิน" และยังไม่เห็น "เหตุ" ที่ต้องยุบพรรค
คลิปลับที่ว่อนผ่าน"ยูทูป" กลายเป็นคลิปร้อน ที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน นั่งไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญ ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงผู้ใหญ่สุดที่ถูกอ้างว่า ล็อบบี้อุ้มพรรคเก่าแก่เต็มตัว
วิรัช ร่มเย็น คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้ว่า "คลิปดังกล่าวเป็นการขบวนการสร้าง กล่าวหาอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมต่อพรรคประชาธิปัตย์"
นาทีนี้ ความพยายามกู้ชีพพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ดำเนินการเต็มสูบ ไม่มีวันหยุด ทุกนาทีคือชีวิต
อย่างช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 อาจจะมีการแถลงปิดคดี แม้ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องแนวโน้มคดี แต่ทุกคนในประชาธิปัตย์ต่างมีความหวัง
เพราะทีมหน่วยกู้ภัย วิศวกรการเมืองระดับพระกาฬ ทั้ง ชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค และบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรคและคณะนักการเมือง ทนายประจำพรรค ต่างระดมทุกสรรพกำลัง ทุ่มเทเต็มที่กับภาระกิจสำคัญที่สุดในรอบ 64 ปี
ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎร และที่ห้องประชุมพรรค ถูกจัดตารางทำงาน ตารางตรวจตราเอกสาร อย่างขนัดแน่น
โปรแกรมของคณะทำงานคดียุบพรรค และทนายเทวดาหน้าหยก "บัณฑิต ศิริพันธ์" ถูกจัดประชุม-ซักซ้อม 4 วันต่อสัปดาห์ โดยก่อนขึ้นศาลในเช้าวันจันทร์ จะมีการซักซ้อมถาม-ตอบ พลิกเอกสาร ทุกหน้า ในบ่ายวันอาทิตย์
เมื่อขึ้นศาลเสร็จในวันจันทร์ วันอังคารจะหยุดพักการพิจารณา 1 วัน จากนั้นวันพุธ-วันพฤหัสบดี มีประชุมเต็มคณะที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้ง ของฝ่ายตรงข้าม
วันศุกร์ มีการประชุมเต็มคณะอีกครั้ง ที่พรรค เพื่อพิจารณาประเด็นที่รวบรวมในรอบสัปดาห์ ตรวจตราเอกสาร ระเบียบ ข้อบังคับ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม อีกรอบ
ข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งประเด็นว่า มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่หรือพยาน แทนการต่อสู้แบบตรงไปตรงมาด้วยเนื้อหาคดี และการหาพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหา
โดยข้อต่อสู้นี้ มาจากการค้นคว้า เทคนิคเงื่อนไขของกฎหมาย ระเบียบ และการทำการบ้านอย่างหนักของ "ทนายเทวดา" ด้วยการหาพยานแวดล้อม
ดังนั้น หลักฐาน ที่จะถูกเปิดในศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีทั้ง ข้อโต้แย้ง พยานบุคคล เอกสารการเงิน ที่ส่อ-แสดง ให้น้ำหนัก ทั้งบี้-ขยี้-ขยาย ประเด็น ความเกี่ยวโยงระหว่างพยานฝ่ายผู้ร้อง
การพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า พยานฝ่ายผู้ร้องอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องหลัง ที่ผลักดันให้เกิดนำสืบคดีโค่นประชาธิปัตย์
เอกสารลับที่สุด ที่ถูกอ้างทั้งใน-นอกศาล จึงล่อแหลม ที่จะถูกพิจารณา-ตีความ
อย่างน้อยเรื่องการซื้อบ้าน โอนบ้าน ชื่อเจ้าของบ้าน เจ้าหนี้ เงินงานศพ คอนเนกชั่นพิเศษของของฝ่ายพยานผู้ร้อง ต่างถูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
ทุกความเคลื่อนไหว ของฝ่ายพยานผู้ร้อง ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรื่องคดีโค่นพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดเป็นตารางข้อมูล และเชื่อมโชง ต่อจิกซอว์ ให้เห็นภาพที่สนับสนุนแนวทางการต่อสู้
ประเด็นที่ถูกรวบรวม เรียบเรียง ครอบคลุม เรื่องราวของพยานฝ่ายผู้ร้อง ทั้งเรื่อง พยานบุคคลแต่ละคนมีอคติ, ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ, พนักงานสอบสวนปั้นพยานเท็จ ,พยานบางคนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มนปช ,แกนนำพรรคและผู้มีกำลังทรัพย์-มีบารมีในพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ที่จะชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินการคดีนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีข้อกฏหมาย ระเบียบ ที่เป็นข้อโต้แย้งได้ว่า การเสนอยุบพรรคเป็นอำนาจนายทะเบียน และนายทะเบียนเคยมีความเห็น "ไม่ยุบ" ไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนเห็นควร "ไม่ยุบ" ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก
นอกจากนี้ยังมีประเด็น ที่ว่าด้วยการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ชอบด้วยกฎหมายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
ข้อต้อสู้ยังปิดช่องยุบ และปิดช่องตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร ด้วยการเปิดประเด็นแย้ง นัยยะว่า การดำเนินการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่ได้รับมอบหมาย ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหาร
เทคนิคทางกฏหมายเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ยังมีประเด็นให้ลื่น-ดิ้น ว่าการใช้เงินเจ้าปัญหา 29 ล้าน เป็นการดำเนินการบางส่วนไปก่อนที่จะได้เงิน แต่การจ่ายเงิน ได้จ่ายหลังจากที่ได้รับเงินอนุมัติแล้ว
หมัดที่ประชาธิปัตย์คิดว่าเด็ด และมีน้ำหนัก คือเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนพรรคการเมือง ที่เคยมี "ประกาศ" เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินที่จัดสรรให้เป็นรายปีตามโครงการและแผนงาน ในการดำเนินกิจการของแต่ละพรรคการเมืองจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
ประกาศ ที่ลงนามโดย " พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ระบุไว้ใน ข้อ 10/1 ว่า "พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามโครงการและแผนงานที่ได้รับอนุมัติ หากใช้จ่ายไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าว "คืน" แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง"
โดยอ้างความตาม "ประกาศ" ดังกล่าวนี้ คณะทำงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความหวัง ว่าหากเห็นว่า พรรคทำความผิดในการใช้กองทุนพรรคการเมือง ก็ควรมีความผิดเพียง "คืนเงิน" แต่ไม่มีโทษ "ยุบพรรค"
สำหรับวงเงินที่พรรคต้องคืนให้กองทุนพรรคการเมือง ที่ประชาธิปัตยคำนวณไว้ประมาณ 7 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับในช่วงปี 2547 ที่พรรคเคยจ่ายเงินผิดประเภทและต้องจ่ายคืนกองทุนไปแล้ว 3 แสนบาท
และข้อต่อสู้แนบท้าย เพื่อกันทนายนักการเมืองให้พ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ คือ การให้การต่อศาล ว่า คณะกรรมการบริหาร ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องการใช้จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งนี้
ข้อต่อสู้-ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงทุกข้อ จะถูกรวบรวมเรียบเรียง อธิบายต่อสาธารณะ
พร้อมกับสืบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้ายวันที่ 18 ต.ค. 53 ที่จะมีพยานคนสำคัญของประเทศ 1 ใน 4 ปาก คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.กทม. อดีตรองหัวหน้าพรรค และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย
ก่อนถึงวันขึ้นศาลของนายกรัฐมนตรี "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สนทนากับ "ดร.สุรพล นิติไกรพจน์" อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ดร.สุรพล" วิเคราะห์-ฟันธงว่า คดียุบพรรคโดยกติการัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริตเลือกตั้ง"
"ผมพูดมาก่อน แล้วก็ถูกใครต่อใครด่าเยอะ ว่าปกป้องประชาธิปัตย์ แต่ผมบอกว่า มันไม่ได้มีผลอะไรในทางการเมืองมากนัก เพราะเกิดขึ้นในบริบทของรัฐธรรมนูญ 2540"
"ผมมีความเชื่อของผมนะ เพราะผมดูแล้วในเชิงข้อเท็จจริง ไม่มีเหตุที่จะบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิดในกรณีนี้ เท่าที่ผมตามมาทั้งหมด ผมยังไม่เห็นคนไหนที่บอกว่ามันมีความผิดเกิดขึ้น"
"ความผิดฐานนี้ก็คือ ใช้จ่ายเงินผิดไปจากที่ กรรมการกองทุนพรรคการเมืองให้เงินไป เช่น เอาเงินไปเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ได้เอาไปพิมพ์โปสเตอร์ หรือเอาไปพิมพ์ครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าครึ่งหนึ่ง หรือพิมพ์ผิดไปจากขนาดที่ขออนุมัติหรืออะไร นั่นในส่วนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายว่าผิดแล้วจะยุบพรรคได้ไหม ยุบแล้วจะตัดสิทธิ์ไหม เพราะเท่าที่ผมฟังข้อเท็จจริง ก็ยังไม่เห็นเหตุที่จะยุบพรรค นี่เป็นทัศนคติของผม" ดร.สุรพลกล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกเชื่อมโยงไปถึงการโอนเงินเข้ากระเป๋า ของกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคนในช่วงเวลานั้น
"ดร.สุรพล" แยกแยะให้เห็นว่า "นั้นเป็นกรณี 258 ล้าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"แต่คดีตอนนี้ที่อยู่ในศาล เป็นคดี 29 ล้าน คือเงินของกองทุนพรรคการเมือง ส่วนเงินของทีพีไอ คดีนั้นยังไม่ฟ้องคดี ช่วยไปถามหน่อยคนที่บอกว่าจะมียุบพรรคใน 2 เดือนนี้ แล้วการเมืองจะเปลี่ยนยังไม่ต้องถามว่า การเมืองจะเปลี่ยนยังไง แต่ลองถามว่า จะยุบพรรคเพราะอะไร"
"ดร.สุรพล" สรุปว่า "ยังไม่เห็นข้อเท็จจริง ที่บอกว่าไม่ได้ใช้เงิน" และยังไม่เห็น "เหตุ" ที่ต้องยุบพรรค
"สายลับ2หน้า"เจาะยาง-ล้วงตับศาลรัฐธรรมนูญคดียุบ ปชป. ตุลาการผวาไม่กล้ากินน้ำ-อาหารหวั่นถูกวางยา
ที่มา.มติชนออนไลน์
ถ้าตัดประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ว่าคลิป 5 ตอนที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และอ้างว่า เป็นการต่อรองในเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
การที่คลิปในที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรึกษาหารือในคดีความต่างๆถูกนำออกมาจากที่ประชุมมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ในลักษณะเช่นนี้ได้สร้างความวิกตกังวลและหวาดผวาแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน
เพราะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในศาลรัฐธรรมนูญ มี"หนอนบ่อนไส้"ที่นำเอาความเคลื่อนไหวและความลับของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการปรึกษาหารือเรื่องคดีความซึ่งถือเป็น"ความลับสุดยอด" ของตุลาการไม่ว่า ศาลใดๆออกมารายงานให้บุคคลภายนอกรู้ซึ่งจะเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นคดีและทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบศาล
จากคลิปที่มีการนำมาเผยแพร่ในYoutubeนั้น ตอนที่ 1 เป็นเพียงภาพนิ่งของกลุ่มบุคคลที่นั่งคุยกันในห้องรับแขกประมาณ 6 คน ขณะที่มีเจ้าหน้าที่สาวรายหนึ่งกำลังเสิร์ฟน้ำและ/น้ำชา กาแฟ บุคคลที่รู้จักกันดีและผู้เผยแพร่ต้องการให้เห็นมากที่สุดคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด(ดูคลิปตอนที่ 1 ในYoutube)
แต่มิได้มีหลักฐานว่า คุยกันเรื่องอะไร เหตุเกิดที่ไหน และเมื่อไหร่
ตอนที่ 2 เป็นภาพเคลื่อนไหวของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รับประทานและพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ณ ร้านอาหารฟู้ดดี้ หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านถนนประชาชื่น
จากภาพเห็นชัดว่า ผู้ถ่ายภาพซ่อนกล้องไว้ข้างกระเป๋าใบหนึ่ง ในช่วงแรกนายพสิษฐ์นั่งหันให้กล้อง และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนายวิรัชซึ่งการพูดคุยก็สะดวกอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆกลับลุกขึ้นออกมานั่งด้านข้างเหมือนจงใจให้กล้องถ่ายเห็นหน้านายวิรัช(คำชี้แจงของนายวิรัช ร่มเย็น)
นอกจากนั้นในคลิป นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเพื่อนกับนายวิรัชนั่งอยู่ด้วย(ดูคลิปตอนที่ 2 ในYoutube)
ตอนที่ 3-5 เป็นการถ่ายในห้องประชุมตุลาการที่มีการปรึกษาหารือเรื่องคดี โดยมีเจ้าหน้าที่หลายคนนั่งอยู่ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตุว่า มุมกล้องในคลิปตอนที่ 3 และตอนที่ 4 และ 5 แตกต่างกันเล็กน้อย โดยคลิปตอนแรกเห็นหน้านายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเห็นด้านข้างของนายสุพจน์ ไขมุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่ง
แต่คลิปตอนที่ 4และ 5 เห็น นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่สตรีอีกคนหนึ่ง(ดูคลิป ตอน3 )(ดูลิป ตอนที่ 4 )(ดูคลิปตอนที่5)
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อดูภาพจากคลิปที่ถ่ายในห้องประชุมแล้วเห็นชัดว่า เป็นการแอบถ่ายโดยคลิปตอนที่ 3 กับตอนที่ 4และ 5 เป็นการถ่ายคนละวัน
คลิปตอนที่ 3 นั้น เป็นการประชุมในวันจันทร์ที่ 4 หรือ 11 ตุลาคม จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขอตรวจสอบอีกครั้ง ในวันดังกล่าว เป็นการหารือกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า ถ้าไม่มีใบสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปนานแล้วว่า เข้าข่ายหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะดำเนินคดีกับนายจตุพรหรือไม่ มิได้มีการหารือเกี่ยวกับคดียุบพรรคโดยตรง เพราะในคลิปจะได้ยินเสียงของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถอนตัวจากการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี แสดงความเห็นว่า เป็นอำนาจของเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่
จากนั้นนายวสันต์ได้ออกจากที่ประชุมไปพร้อมนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถอนตัวจากคดีเช่นเดียวกัน
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ส่วนคลิปตอนที่ 4 หรือ 5 น่าจะเป็นการประชุมวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม ซึ่งในการประชุมมีการรายงานความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับนายจตุพร ไม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคเช่นเดียวกัน
" ถ้าตรวจสอบจริงๆก็คงรู้ว่า ใครนั่งตรงจุดที่มีการแอบถ่ายคลิปและคงรู้ว่า เป็นใคร ขึ้นอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญและเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงว่า ไม่สามารถไว้ใใจใครได้แล้ว เพราะมีหนอนบ่อนไส้ในศาลรัฐธรรมนูญคอยรายงานความเคลื่อนไว้ให้คนภายนอกรู้บอกตรงๆว่า ผมไม่ยอมกินน้ำ กาแฟ หรืออาหารที่ศาลจัดไว้ให้ ผมต้องเอากินเองเพราะกลัวโดนวางยา"ตุลาการรายเดิมกล่าว
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีคนบางคน คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ฝ่ายค้านรู้ ขณะเดียวกันใช้วิธีการทำเป็นพวกเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วล่อซื้อให้ติดกับเพื่อเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพฤติกรรมคล้าย"สายลับ 2 หน้า" และส่งผลเสียต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย
สำหรับนายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นข่าวว่าไปพูดคุยกับนายวิรัช ร่มเย็นนั้น ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ที่ทราบประธานไปชวนมาเป็นเลขานุการ จบทางด้ายกายภาพบำบัด เดิมทำงานที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(กำลังเรียนปริญญญาเอก สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น)
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า การที่มีหลักฐานว่า นายพสิษฐ์ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวไปพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะดังกล่าว ทำให้คนตั้งข้อสงสัยและเสียหายถึงตัวประธานและศาลรัฐธรรมนูญด้วย
------------------------------
หมายเหตุ-ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายบุญส่ง กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
ถ้าตัดประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ว่าคลิป 5 ตอนที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และอ้างว่า เป็นการต่อรองในเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
การที่คลิปในที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรึกษาหารือในคดีความต่างๆถูกนำออกมาจากที่ประชุมมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ในลักษณะเช่นนี้ได้สร้างความวิกตกังวลและหวาดผวาแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน
เพราะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในศาลรัฐธรรมนูญ มี"หนอนบ่อนไส้"ที่นำเอาความเคลื่อนไหวและความลับของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการปรึกษาหารือเรื่องคดีความซึ่งถือเป็น"ความลับสุดยอด" ของตุลาการไม่ว่า ศาลใดๆออกมารายงานให้บุคคลภายนอกรู้ซึ่งจะเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นคดีและทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบศาล
จากคลิปที่มีการนำมาเผยแพร่ในYoutubeนั้น ตอนที่ 1 เป็นเพียงภาพนิ่งของกลุ่มบุคคลที่นั่งคุยกันในห้องรับแขกประมาณ 6 คน ขณะที่มีเจ้าหน้าที่สาวรายหนึ่งกำลังเสิร์ฟน้ำและ/น้ำชา กาแฟ บุคคลที่รู้จักกันดีและผู้เผยแพร่ต้องการให้เห็นมากที่สุดคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด(ดูคลิปตอนที่ 1 ในYoutube)
แต่มิได้มีหลักฐานว่า คุยกันเรื่องอะไร เหตุเกิดที่ไหน และเมื่อไหร่
ตอนที่ 2 เป็นภาพเคลื่อนไหวของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รับประทานและพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ณ ร้านอาหารฟู้ดดี้ หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านถนนประชาชื่น
จากภาพเห็นชัดว่า ผู้ถ่ายภาพซ่อนกล้องไว้ข้างกระเป๋าใบหนึ่ง ในช่วงแรกนายพสิษฐ์นั่งหันให้กล้อง และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนายวิรัชซึ่งการพูดคุยก็สะดวกอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆกลับลุกขึ้นออกมานั่งด้านข้างเหมือนจงใจให้กล้องถ่ายเห็นหน้านายวิรัช(คำชี้แจงของนายวิรัช ร่มเย็น)
นอกจากนั้นในคลิป นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเพื่อนกับนายวิรัชนั่งอยู่ด้วย(ดูคลิปตอนที่ 2 ในYoutube)
ตอนที่ 3-5 เป็นการถ่ายในห้องประชุมตุลาการที่มีการปรึกษาหารือเรื่องคดี โดยมีเจ้าหน้าที่หลายคนนั่งอยู่ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตุว่า มุมกล้องในคลิปตอนที่ 3 และตอนที่ 4 และ 5 แตกต่างกันเล็กน้อย โดยคลิปตอนแรกเห็นหน้านายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเห็นด้านข้างของนายสุพจน์ ไขมุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่ง
แต่คลิปตอนที่ 4และ 5 เห็น นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่สตรีอีกคนหนึ่ง(ดูคลิป ตอน3 )(ดูลิป ตอนที่ 4 )(ดูคลิปตอนที่5)
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อดูภาพจากคลิปที่ถ่ายในห้องประชุมแล้วเห็นชัดว่า เป็นการแอบถ่ายโดยคลิปตอนที่ 3 กับตอนที่ 4และ 5 เป็นการถ่ายคนละวัน
คลิปตอนที่ 3 นั้น เป็นการประชุมในวันจันทร์ที่ 4 หรือ 11 ตุลาคม จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขอตรวจสอบอีกครั้ง ในวันดังกล่าว เป็นการหารือกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า ถ้าไม่มีใบสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปนานแล้วว่า เข้าข่ายหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะดำเนินคดีกับนายจตุพรหรือไม่ มิได้มีการหารือเกี่ยวกับคดียุบพรรคโดยตรง เพราะในคลิปจะได้ยินเสียงของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถอนตัวจากการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี แสดงความเห็นว่า เป็นอำนาจของเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่
จากนั้นนายวสันต์ได้ออกจากที่ประชุมไปพร้อมนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถอนตัวจากคดีเช่นเดียวกัน
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ส่วนคลิปตอนที่ 4 หรือ 5 น่าจะเป็นการประชุมวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม ซึ่งในการประชุมมีการรายงานความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับนายจตุพร ไม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคเช่นเดียวกัน
" ถ้าตรวจสอบจริงๆก็คงรู้ว่า ใครนั่งตรงจุดที่มีการแอบถ่ายคลิปและคงรู้ว่า เป็นใคร ขึ้นอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญและเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงว่า ไม่สามารถไว้ใใจใครได้แล้ว เพราะมีหนอนบ่อนไส้ในศาลรัฐธรรมนูญคอยรายงานความเคลื่อนไว้ให้คนภายนอกรู้บอกตรงๆว่า ผมไม่ยอมกินน้ำ กาแฟ หรืออาหารที่ศาลจัดไว้ให้ ผมต้องเอากินเองเพราะกลัวโดนวางยา"ตุลาการรายเดิมกล่าว
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีคนบางคน คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ฝ่ายค้านรู้ ขณะเดียวกันใช้วิธีการทำเป็นพวกเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วล่อซื้อให้ติดกับเพื่อเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพฤติกรรมคล้าย"สายลับ 2 หน้า" และส่งผลเสียต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย
สำหรับนายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นข่าวว่าไปพูดคุยกับนายวิรัช ร่มเย็นนั้น ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ที่ทราบประธานไปชวนมาเป็นเลขานุการ จบทางด้ายกายภาพบำบัด เดิมทำงานที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(กำลังเรียนปริญญญาเอก สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น)
ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า การที่มีหลักฐานว่า นายพสิษฐ์ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวไปพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะดังกล่าว ทำให้คนตั้งข้อสงสัยและเสียหายถึงตัวประธานและศาลรัฐธรรมนูญด้วย
------------------------------
หมายเหตุ-ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายบุญส่ง กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เตีย บัน: อย่าดึงกัมพูชาเกี่ยวข้องให้พื้นที่ฝึกกำลังติดอาวุธ
"พล.อ.เตีย บัน"งงกับคำกล่าวของ"ธาริต"เอาข้อมูลมาจากไหนถึงได้กล่าวหาว่ากัมพูชาให้ใช้พื้นที่ฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทย
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงข้อมูลจากการสืบสวนขยายผลจากการให้ปากคำของ 11 นักรบแดง อ้างว่าแกนนำ นปช. ชักชวนชายฉกรรจ์จำนวน 39 คน หลบหนีไปฝึกอาวุธในค่ายทหารประเทศกัมพูชา แล้วเข้ามาก่อเหตุในเมืองไทย
พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์พิเศษ หลังจากการกลับประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมจากประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 1 (ADMM-Plus 1st) ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม ที่ผ่านมา
พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า กัมพูชางงกับคำแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหนถึงได้กล่าวหาว่ากัมพูชาว่าให้ใช้พื้นที่ฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทย และไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนให้ข้อมูล หรือข้อมูลหลุดมาจากที่ไหน
@ กัมพูชายืนยันได้หรือไม่ว่า กัมพูชาจะไม่ยอมให้ใช้แผ่นดินกัมพูชาในการซ่องสุ่มฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อโจมตีประเทศไทย
เรื่องนี้ทำไมผมจะต้องไปยืนยัน เพราะกัมพูชาไม่ได้มีการฝึกกองกำลังติดอาวุธอะไรทั้งสิ้น และในฐานะที่ดูแลงานด้านความมั่นคงในกัมพูชา ผมก็อยากยืนยันให้ชัดเจนว่า ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ในกัมพูชา ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะมีจุดประสงค์อันใดอันหนึ่งเท่านั้น อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
"ดีเอสไอ ไม่น่าจะเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของประเทศไทย ส่วนดีเอสไอ หรือประเทศไทย จะดำเนินการจัดการเรื่องนี้อย่างไรก็แล้วแต่ อย่านำกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาทางประเทศจะต้องแก้ไขปัญหาหรือจัดการกันไปเอง ทำไมถึงต้องเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมอยากรู้อยากทราบเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย"
@ หลังจากที่มีข่าวในลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นทางกัมพูชา หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของกัมพูชา ได้มีการตรวจสอบว่ามีการฝึกกองกำลังติดอาวุธหรือไม่
ทำไมจะต้องไปตรวจสอบ เพราะกัมพูชาไม่ได้ให้ใครมาใช้พื้นที่ในการฝึกกองกำลังติดอาวุธ
@ จะมีการลักลอบในการฝึกหรือไม่
กล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า จะต้องไปตรวจสอบอะไร เพียงแต่ผมแปลกใจว่าข่าวในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่แปลก และประหลาดใจมาก ดีเอสไอจะแก้ไขปัญหาหรือสะสางปัญหาเรื่องนี้อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ทำไมถึงเอากัมพูชาไปเชื่อมโยงด้วย ผมประหลาดใจมาก
@ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่
เรื่องนี้ไม่เป็นไร แต่ความสัมพันธ์ทางด้านทหารระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพไทย โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรพูดคุยกันมาตลอด ด้านการทหารมีความเข้าใจกันดี ทุกอย่างพยายามยับยั้งไม่ให้เรื่องบานปลายกลายเป็นเรื่องเป็นราว เราเข้าใจกัน และคุยกันตลอด ไม่มีปัญหาอะไร
@ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
จะไม่เข้าใจอย่างไร เพราะเรื่องทั้งหมดมันไม่มี และไม่เคยเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ดีเอสไอคงจัดฉากขึ้นมา และพูดกันขึ้นมาเอง ไม่อยากจะไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับกัมพูชา ขออย่างเดียวขออย่าได้เอากัมพูชา หรือคนของกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย เป็นเรื่องภายในของประเทศที่จะต้องสะสางกันเอง อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะมันจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น และจะมองภาพไม่สวย ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
"สิ่งที่เกิดขึ้นทางกัมพูชาคงไม่ต้องเรียกร้องอะไร แต่สิ่งที่กัมพูชาพยายามทำตลอดคืออยากให้กัมพูชา และประเทศไทย เข้าคืนสู่สภาพดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนในอดีต สามารถเดินทางเข้าออกของทั้งสองประเทศได้เหมือนเดิม พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้รักกันเหมือนเดิม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะมาทะเลาะกัน และให้คนใดคนหนึ่งมาได้ผลประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศทะเลาะกัน หรือมาจับผิด กระทบกระทั่งกัน มันจะทำให้เกิดความเสียหาย"
ดังนั้นมีสิ่งเดียวคือจะต้องคืนดีกัน และทำมาหากิน และแก้ไขปัญหาร่วมกันที่ทั่วโลกได้รับอยู่ในขณะนี้ การที่บ้านใกล้เรือนเคียงกันไม่มีอะไรที่จะสามารถแยกออกจากกันได้ แต่หนทางที่ดีคือพูดคุยกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะบานปลายทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่
ผมว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น และเหตุการณ์คงไม่บานปลายไปถึงเหนือถึงใต้ได้ เพราะเรื่องมันไม่เป็นเรื่อง เรื่องปากท้องของทั้งสองประเทศสำคัญกว่า
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงข้อมูลจากการสืบสวนขยายผลจากการให้ปากคำของ 11 นักรบแดง อ้างว่าแกนนำ นปช. ชักชวนชายฉกรรจ์จำนวน 39 คน หลบหนีไปฝึกอาวุธในค่ายทหารประเทศกัมพูชา แล้วเข้ามาก่อเหตุในเมืองไทย
พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์พิเศษ หลังจากการกลับประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมจากประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 1 (ADMM-Plus 1st) ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม ที่ผ่านมา
พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า กัมพูชางงกับคำแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหนถึงได้กล่าวหาว่ากัมพูชาว่าให้ใช้พื้นที่ฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทย และไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนให้ข้อมูล หรือข้อมูลหลุดมาจากที่ไหน
@ กัมพูชายืนยันได้หรือไม่ว่า กัมพูชาจะไม่ยอมให้ใช้แผ่นดินกัมพูชาในการซ่องสุ่มฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อโจมตีประเทศไทย
เรื่องนี้ทำไมผมจะต้องไปยืนยัน เพราะกัมพูชาไม่ได้มีการฝึกกองกำลังติดอาวุธอะไรทั้งสิ้น และในฐานะที่ดูแลงานด้านความมั่นคงในกัมพูชา ผมก็อยากยืนยันให้ชัดเจนว่า ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ในกัมพูชา ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะมีจุดประสงค์อันใดอันหนึ่งเท่านั้น อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
"ดีเอสไอ ไม่น่าจะเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของประเทศไทย ส่วนดีเอสไอ หรือประเทศไทย จะดำเนินการจัดการเรื่องนี้อย่างไรก็แล้วแต่ อย่านำกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาทางประเทศจะต้องแก้ไขปัญหาหรือจัดการกันไปเอง ทำไมถึงต้องเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมอยากรู้อยากทราบเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย"
@ หลังจากที่มีข่าวในลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นทางกัมพูชา หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของกัมพูชา ได้มีการตรวจสอบว่ามีการฝึกกองกำลังติดอาวุธหรือไม่
ทำไมจะต้องไปตรวจสอบ เพราะกัมพูชาไม่ได้ให้ใครมาใช้พื้นที่ในการฝึกกองกำลังติดอาวุธ
@ จะมีการลักลอบในการฝึกหรือไม่
กล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า จะต้องไปตรวจสอบอะไร เพียงแต่ผมแปลกใจว่าข่าวในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่แปลก และประหลาดใจมาก ดีเอสไอจะแก้ไขปัญหาหรือสะสางปัญหาเรื่องนี้อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ทำไมถึงเอากัมพูชาไปเชื่อมโยงด้วย ผมประหลาดใจมาก
@ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่
เรื่องนี้ไม่เป็นไร แต่ความสัมพันธ์ทางด้านทหารระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพไทย โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรพูดคุยกันมาตลอด ด้านการทหารมีความเข้าใจกันดี ทุกอย่างพยายามยับยั้งไม่ให้เรื่องบานปลายกลายเป็นเรื่องเป็นราว เราเข้าใจกัน และคุยกันตลอด ไม่มีปัญหาอะไร
@ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
จะไม่เข้าใจอย่างไร เพราะเรื่องทั้งหมดมันไม่มี และไม่เคยเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ดีเอสไอคงจัดฉากขึ้นมา และพูดกันขึ้นมาเอง ไม่อยากจะไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับกัมพูชา ขออย่างเดียวขออย่าได้เอากัมพูชา หรือคนของกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย เป็นเรื่องภายในของประเทศที่จะต้องสะสางกันเอง อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะมันจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น และจะมองภาพไม่สวย ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
"สิ่งที่เกิดขึ้นทางกัมพูชาคงไม่ต้องเรียกร้องอะไร แต่สิ่งที่กัมพูชาพยายามทำตลอดคืออยากให้กัมพูชา และประเทศไทย เข้าคืนสู่สภาพดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนในอดีต สามารถเดินทางเข้าออกของทั้งสองประเทศได้เหมือนเดิม พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้รักกันเหมือนเดิม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะมาทะเลาะกัน และให้คนใดคนหนึ่งมาได้ผลประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศทะเลาะกัน หรือมาจับผิด กระทบกระทั่งกัน มันจะทำให้เกิดความเสียหาย"
ดังนั้นมีสิ่งเดียวคือจะต้องคืนดีกัน และทำมาหากิน และแก้ไขปัญหาร่วมกันที่ทั่วโลกได้รับอยู่ในขณะนี้ การที่บ้านใกล้เรือนเคียงกันไม่มีอะไรที่จะสามารถแยกออกจากกันได้ แต่หนทางที่ดีคือพูดคุยกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะบานปลายทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่
ผมว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น และเหตุการณ์คงไม่บานปลายไปถึงเหนือถึงใต้ได้ เพราะเรื่องมันไม่เป็นเรื่อง เรื่องปากท้องของทั้งสองประเทศสำคัญกว่า
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
'แม้ว'ทุ่มสุดตัว สงครามสุดท้าย
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์งวดเข้ามาทุกขณะ
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคิวขึ้นเบิกความวันจันทร์นี้ ในการไต่ สวนพยานนัดสุดท้าย
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้เวลาพิจารณาและเขียนคำวินิจฉัยประมาณ 1 เดือน กว่าจะรู้ผลคงเป็นช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน พ.ย.
เป็นที่จับตาของทุกฝ่ายเนื่องจากผลของคดีนี้จะมีผลต่อโฉมหน้าการ เมืองไทยอย่างใหญ่หลวง
ถ้าศาลตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เบาะๆ ก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯจากนายอภิสิทธิ์ ไปเป็นคนอื่นในพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นใครระหว่าง 'ชวน-กรณ์-สุเทพ' ต้องไปว่ากันเมื่อถึงเวลา
หรือถ้ากระทบรุนแรงขึ้นมาอีกหน่อยคือเกิดการ'เปลี่ยนขั้ว'การ เมืองกันอีกตลบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร
และทางเลือกที่สาม คือนายกฯ ชิงตัดตอนปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ทั้งสามทางเลือกอยู่บนเงื่อนไขว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและกรรม การบริหารถูกตัดสิทธิ์เท่านั้น
เพราะหากคดี'พลิกล็อก'อย่างที่ฝ่ายค้านระบุว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังคิดหาทางช่วยเหลือประชาธิปัตย์ให้พ้นผิด ความวุ่นวายที่ตามมาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามไม่เพียงคดียุบพรรคที่ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
สถานการณ์อื่นโดยรอบรัฐบาลทั้งเรื่องทุจริตภายในพรรคร่วม ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมความเชื่อที่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจอยู่ไม่ครบเทอมปลายปีหน้าอย่างที่ตั้งใจ
ตรงนี้เองทำให้บรรยากาศพรรคเพื่อไทยที่ซบเซามานาน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา โดยเฉพาะหลังการวิดีโอลิงก์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เจ้าของพรรคตัวจริงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากประกาศให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
พ.ต.ท.ทักษิณยังจะนำทัพเพื่อไทยเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเอง เป้าหมายคือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ด้วยเสียงเกินครึ่ง
จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม และอภัยโทษให้กับทุกฝ่าย เดินหน้าสู่การ ปรองดองทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเดินทางกลับบ้านเกิด
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำหน้าที่คิดค้นนโยบายหาเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว 3 เรื่อง
1.ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท 2.คนที่จบปริญ ญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจะนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน
ยังเป็นแค่นโยบายลอยๆ ที่ขาดรายละเอียดให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง
แต่อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้ชื่อเป็นต้นตำรับ'เจ้าพ่อประชานิยม'ตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังมีผลงานสมัยเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 ถึง 2549 เป็นเครื่องรับประกัน
ส่วนเรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่มีปัญหาไหลๆ หยุดๆ
จนกลายเป็นช่องโหว่ให้แกนนำบางคนในพรรคฉวยโอกาสเปิดท่อใหม่ สร้างกลุ่มก้อนของตนเองขึ้นมา กลายเป็นเรื่องหวาดระแวงกันเองในหมู่แกนนำอยู่พักใหญ่
พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดชัดเจนให้ลูกพรรคอุ่นใจว่า ใกล้เลือกตั้งพรรคจะทำหน้าที่ดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ใครกังวลเรื่องที่ตนเองโดนยึดทรัพย์ไปเป็นหมื่นๆ ล้าน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเทียบกับเงินที่นำไปหมุนลงทุนทำธุรกิจในเมืองนอกแล้ว ที่โดนยึดไปแค่เศษสตางค์
สรุปคือไม่ว่านโยบายประชานิยม 3 เรื่องที่ปล่อยออกมา พร้อมกับคำยืนยันเรื่องการเปิดวาล์วท่อน้ำเลี้ยงแบบสุดเกลียว ไม่เพียงลูกพรรคเพื่อไทยที่หูผึ่ง
พรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์หรือแม้แต่ภูมิใจไทยก็ยังหูผึ่งตาม
แต่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
มีการอ่านเกมว่าการที่พ.ต.ท. ทักษิณ เปลี่ยนแนวเคลื่อนไหวแสดงความพร้อมกลับสู่เกมเลือกตั้ง
ก็เพราะการเคลื่อนไหวผ่านการชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่ประสบผลตามต้องการ
เหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ คนเสื้อแดงพ่ายแพ้ยับเยิน ทั้งนำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย
ซึ่งสังคมของคนที่เป็นกลางมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
กระนั้นก็ตามสิ่งที่เห็นได้ขณะนี้ก็คือการกลับสู่กติกาของพ.ต.ท. ทักษิณ สร้างบรรยากาศความ หวาด หวั่นให้กลุ่มอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย
พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเปิดตัวชัดผ่านการกำหนดนโยบายหาเสียง ทุน รอนในการเลือกตั้ง หรือแม้แต่อาคารสถานที่ทำการพรรค ว่าตน เองคือเจ้าของพรรคตัวจริง
แต่จุดอ่อนของพ.ต.ท.ทักษิณ คือยังมีความหวาดระแวงต่อคนในพรรค ทำให้ไม่กล้าประกาศชัดว่าจะให้ใครเป็น 'นอมินี' ถือธงนำพรรคกลับสู่อำนาจ
ท่ามกลางกระแสความแตกแยกของสมาชิกพรรคซึ่งพยายามผลักดันหัวหน้ากลุ่มตนเองเข้าประกวด เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น
เพราะทักษิณ พรรคเพื่อไทยเลยยังติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ คือหา'หัว'ไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณประกาศนำทัพเองก็จริง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อถึงเวลาตะลุมบอนกันในสนามเลือกตั้ง แค่การหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์อาจยังไม่พอต่อเป้าหมายในการกวาดส.ส.ให้ได้เกินครึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะวางใจได้
สิ่งที่ต้องจำเป็นบทเรียนคือการเลือกตั้งเดือน ธ.ค.2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ แต่ก็แสดงศักยภาพผ่านนอมินีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
จนพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกน นำจัดตั้งรัฐบาล
ผลที่ตามมาคือ'กลุ่มอำนาจพิเศษ'ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะช่วยให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ได้
การกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้
จึงต้องดูว่าจะทำให้ฝ่ายที่คอยอุ้มชูรัฐบาล ต้องออกแรงหนักกว่าเดิมหรือไม่
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคิวขึ้นเบิกความวันจันทร์นี้ ในการไต่ สวนพยานนัดสุดท้าย
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้เวลาพิจารณาและเขียนคำวินิจฉัยประมาณ 1 เดือน กว่าจะรู้ผลคงเป็นช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน พ.ย.
เป็นที่จับตาของทุกฝ่ายเนื่องจากผลของคดีนี้จะมีผลต่อโฉมหน้าการ เมืองไทยอย่างใหญ่หลวง
ถ้าศาลตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เบาะๆ ก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯจากนายอภิสิทธิ์ ไปเป็นคนอื่นในพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นใครระหว่าง 'ชวน-กรณ์-สุเทพ' ต้องไปว่ากันเมื่อถึงเวลา
หรือถ้ากระทบรุนแรงขึ้นมาอีกหน่อยคือเกิดการ'เปลี่ยนขั้ว'การ เมืองกันอีกตลบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร
และทางเลือกที่สาม คือนายกฯ ชิงตัดตอนปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ทั้งสามทางเลือกอยู่บนเงื่อนไขว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและกรรม การบริหารถูกตัดสิทธิ์เท่านั้น
เพราะหากคดี'พลิกล็อก'อย่างที่ฝ่ายค้านระบุว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังคิดหาทางช่วยเหลือประชาธิปัตย์ให้พ้นผิด ความวุ่นวายที่ตามมาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามไม่เพียงคดียุบพรรคที่ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
สถานการณ์อื่นโดยรอบรัฐบาลทั้งเรื่องทุจริตภายในพรรคร่วม ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมความเชื่อที่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจอยู่ไม่ครบเทอมปลายปีหน้าอย่างที่ตั้งใจ
ตรงนี้เองทำให้บรรยากาศพรรคเพื่อไทยที่ซบเซามานาน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา โดยเฉพาะหลังการวิดีโอลิงก์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เจ้าของพรรคตัวจริงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากประกาศให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
พ.ต.ท.ทักษิณยังจะนำทัพเพื่อไทยเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเอง เป้าหมายคือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ด้วยเสียงเกินครึ่ง
จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม และอภัยโทษให้กับทุกฝ่าย เดินหน้าสู่การ ปรองดองทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเดินทางกลับบ้านเกิด
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำหน้าที่คิดค้นนโยบายหาเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว 3 เรื่อง
1.ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท 2.คนที่จบปริญ ญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจะนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน
ยังเป็นแค่นโยบายลอยๆ ที่ขาดรายละเอียดให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง
แต่อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้ชื่อเป็นต้นตำรับ'เจ้าพ่อประชานิยม'ตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังมีผลงานสมัยเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 ถึง 2549 เป็นเครื่องรับประกัน
ส่วนเรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่มีปัญหาไหลๆ หยุดๆ
จนกลายเป็นช่องโหว่ให้แกนนำบางคนในพรรคฉวยโอกาสเปิดท่อใหม่ สร้างกลุ่มก้อนของตนเองขึ้นมา กลายเป็นเรื่องหวาดระแวงกันเองในหมู่แกนนำอยู่พักใหญ่
พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดชัดเจนให้ลูกพรรคอุ่นใจว่า ใกล้เลือกตั้งพรรคจะทำหน้าที่ดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ใครกังวลเรื่องที่ตนเองโดนยึดทรัพย์ไปเป็นหมื่นๆ ล้าน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเทียบกับเงินที่นำไปหมุนลงทุนทำธุรกิจในเมืองนอกแล้ว ที่โดนยึดไปแค่เศษสตางค์
สรุปคือไม่ว่านโยบายประชานิยม 3 เรื่องที่ปล่อยออกมา พร้อมกับคำยืนยันเรื่องการเปิดวาล์วท่อน้ำเลี้ยงแบบสุดเกลียว ไม่เพียงลูกพรรคเพื่อไทยที่หูผึ่ง
พรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์หรือแม้แต่ภูมิใจไทยก็ยังหูผึ่งตาม
แต่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
มีการอ่านเกมว่าการที่พ.ต.ท. ทักษิณ เปลี่ยนแนวเคลื่อนไหวแสดงความพร้อมกลับสู่เกมเลือกตั้ง
ก็เพราะการเคลื่อนไหวผ่านการชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่ประสบผลตามต้องการ
เหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ คนเสื้อแดงพ่ายแพ้ยับเยิน ทั้งนำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย
ซึ่งสังคมของคนที่เป็นกลางมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
กระนั้นก็ตามสิ่งที่เห็นได้ขณะนี้ก็คือการกลับสู่กติกาของพ.ต.ท. ทักษิณ สร้างบรรยากาศความ หวาด หวั่นให้กลุ่มอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย
พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเปิดตัวชัดผ่านการกำหนดนโยบายหาเสียง ทุน รอนในการเลือกตั้ง หรือแม้แต่อาคารสถานที่ทำการพรรค ว่าตน เองคือเจ้าของพรรคตัวจริง
แต่จุดอ่อนของพ.ต.ท.ทักษิณ คือยังมีความหวาดระแวงต่อคนในพรรค ทำให้ไม่กล้าประกาศชัดว่าจะให้ใครเป็น 'นอมินี' ถือธงนำพรรคกลับสู่อำนาจ
ท่ามกลางกระแสความแตกแยกของสมาชิกพรรคซึ่งพยายามผลักดันหัวหน้ากลุ่มตนเองเข้าประกวด เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น
เพราะทักษิณ พรรคเพื่อไทยเลยยังติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ คือหา'หัว'ไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณประกาศนำทัพเองก็จริง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อถึงเวลาตะลุมบอนกันในสนามเลือกตั้ง แค่การหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์อาจยังไม่พอต่อเป้าหมายในการกวาดส.ส.ให้ได้เกินครึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะวางใจได้
สิ่งที่ต้องจำเป็นบทเรียนคือการเลือกตั้งเดือน ธ.ค.2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ แต่ก็แสดงศักยภาพผ่านนอมินีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
จนพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกน นำจัดตั้งรัฐบาล
ผลที่ตามมาคือ'กลุ่มอำนาจพิเศษ'ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะช่วยให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ได้
การกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้
จึงต้องดูว่าจะทำให้ฝ่ายที่คอยอุ้มชูรัฐบาล ต้องออกแรงหนักกว่าเดิมหรือไม่
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เสนอรื้อโควตายี่ปั๊วสังคายนาบอร์ดกองสลาก
นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ได้ประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ผลจากการติดตามปรากฏว่าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอบางส่วนแล้ว ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 32 วรรคแรก และ 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 เสนอแนะให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการ ดังนี้ 1.ขอให้แก้ปัญหาสลากเกินราคาตามแนวทางที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเคยเสนอแนะไปแล้ว คือ สำนักงานสลากฯ ทำความตกลงกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก่อน ว่าเมื่อมีการแจ้งความเกี่ยวกับการจำหน่ายสลากเกินราคาแล้ว ขอให้สถานีตำรวจที่รับแจ้งความส่งเรื่องที่รับแจ้งความดังกล่าวไปยังสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมๆ กัน เพื่อทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้ตรวจสอบการดำเนินการของสำนักงานสลากฯ ว่าได้ทำตามกฎ ระเบียบ กติกา หรือไม่ เพื่อที่จะพิจารณายกเลิกโควตาต้นตอของผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาทั้งสาย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วนั้น ยืนยันไม่ใช่เป็นการดำเนินการตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนะไป แต่เป็นเพียงการตักเตือนผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาเสมือนหนึ่งว่าได้จัดการกับผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาไปแล้ว ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ต่อไปเท่านั้น
2.การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาที่จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง คือ การได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งควรจะมาจากบุคคลภายนอกที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ประจักษ์ มากไปกว่าคนของราชการที่ถูกนักการเมืองครอบงำ หรือคนที่นักการเมืองส่งมาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยตรง ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติในเรื่ององค์ประกอบและวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า 3.เห็นควรให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของสำนักงานสลากกินแบ่งรฐบาลที่ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดจำหน่ายสลากโดยประสานประโยชน์ ด้วยการแก้ไขระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินการของบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อการจัดสรรโควตาในการจัดจำหน่าย และ 4.เห็นควรทบทวนสัดส่วนการจำหน่ายสลาก เช่น โควตาจังหวัด เป็นต้น โดยให้จัดสรรใหม่ให้เหมาะสมและพิจารณาให้โควตาในส่วนที่จะช่วยตรึงราคาให้แก่หน่วยงานของรัฐ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นต้น หรือควรเปิดโอกาสให้คนชราที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพมีโอกาสที่จะมีรายได้เพื่อยังชีพเพิ่มมากขึ้น โดยการดำเนินการผ่านทางหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กระจายโอกาสและรายได้ในการจำหน่ายสลากไปทุกอำเภอทั่วประเทศ ซึ่งก็น่าจะเป็นการช่วยให้มีสวัสดิการแก่คนชราที่มีรายได้น้อยไม่พอเพียงแก่การยังชีพได้ด้วย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า หากมีการดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะ ก็จะทำให้มีการกระจายโควตาการจำหน่ายสลากออกไปยังประชาชน อันจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสที่จะขจัดความยากแค้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีกว่าการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนที่เป็นผู้ผูกขาดผลประโยชน์มาเป็นเวลานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ทั้งวิธีการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนยังเป็นวิธีการที่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองบางคนที่ต้องการใช้อำนาจมาแสวงหาผลประโยชน์จากโควตาดังกล่าว ซึ่งในแต่ละเดือนคาดว่าจะได้ผลประโยชน์เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา โดยได้ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม
ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะทำให้ปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคายังคงมีอยู่หรืออาจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรีบดำเนินการตามคำเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบโดยเร็ว ตามความในมาตรา 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
ที่มา.เนชั่น
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วนั้น ยืนยันไม่ใช่เป็นการดำเนินการตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนะไป แต่เป็นเพียงการตักเตือนผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาเสมือนหนึ่งว่าได้จัดการกับผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาไปแล้ว ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ต่อไปเท่านั้น
2.การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาที่จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง คือ การได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งควรจะมาจากบุคคลภายนอกที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ประจักษ์ มากไปกว่าคนของราชการที่ถูกนักการเมืองครอบงำ หรือคนที่นักการเมืองส่งมาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยตรง ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติในเรื่ององค์ประกอบและวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า 3.เห็นควรให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของสำนักงานสลากกินแบ่งรฐบาลที่ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดจำหน่ายสลากโดยประสานประโยชน์ ด้วยการแก้ไขระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินการของบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อการจัดสรรโควตาในการจัดจำหน่าย และ 4.เห็นควรทบทวนสัดส่วนการจำหน่ายสลาก เช่น โควตาจังหวัด เป็นต้น โดยให้จัดสรรใหม่ให้เหมาะสมและพิจารณาให้โควตาในส่วนที่จะช่วยตรึงราคาให้แก่หน่วยงานของรัฐ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นต้น หรือควรเปิดโอกาสให้คนชราที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพมีโอกาสที่จะมีรายได้เพื่อยังชีพเพิ่มมากขึ้น โดยการดำเนินการผ่านทางหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กระจายโอกาสและรายได้ในการจำหน่ายสลากไปทุกอำเภอทั่วประเทศ ซึ่งก็น่าจะเป็นการช่วยให้มีสวัสดิการแก่คนชราที่มีรายได้น้อยไม่พอเพียงแก่การยังชีพได้ด้วย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า หากมีการดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะ ก็จะทำให้มีการกระจายโควตาการจำหน่ายสลากออกไปยังประชาชน อันจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสที่จะขจัดความยากแค้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีกว่าการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนที่เป็นผู้ผูกขาดผลประโยชน์มาเป็นเวลานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ทั้งวิธีการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนยังเป็นวิธีการที่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองบางคนที่ต้องการใช้อำนาจมาแสวงหาผลประโยชน์จากโควตาดังกล่าว ซึ่งในแต่ละเดือนคาดว่าจะได้ผลประโยชน์เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา โดยได้ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม
ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะทำให้ปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคายังคงมีอยู่หรืออาจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรีบดำเนินการตามคำเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบโดยเร็ว ตามความในมาตรา 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
ที่มา.เนชั่น
“โกร่ง”อัดแบงก์ชาติ จี้”มาร์ค”ลาออก!!
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร - กรณ์ จาติกวณิช
เงินบาทแข็งพ่นพิษ
เศรษฐกิจไทยวินาศ!
ในโลกประชาธิปไตย การมีความเห็นต่างไม่ใช่รื่องแปลก และเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้
เช่นกันกับในโลกเศรษฐศาสตร์ ที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก จะถูกสั่งสอนมาเหมือนๆกันว่า เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดังนั้นเศรษฐศาสตร์ก็มี 2 ด้านให้มองต่างมุมได้เช่นกัน
แต่หากการเมืองที่แบ่งแยกแตกต่างสีกันอย่างเข้มข้น จนยากที่จะปรองดอง แล้วดันลากเอาการมองต่างมุมทางด้านเศรษฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย... จึงกลายเป็นเรื่องที่ดูไม่จืด
เป็นที่น่าสังเกคุว่าในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะบอกว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคก็ตาม แต่ก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ซึ่งเป้นการบริหารประเทศสไตล์ถนัดของพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่มี 2 เกลอ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการประทรวงการคลัง จับมือเข้าขากันตลอด
แม้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ส่งออก จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาผลกระทบค่าเงินบาทแข็งอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ไม่มีรายการตีแสกหน้าตรงๆให้รัฐบาลต้องหงุดหงิดอย่างหนัก
เหมือนกับกรณีที่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นการเตือนว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.75 %เพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ไม่ใช่คงอัตราดอกเบี้ย
“ต้องลดอย่างรวดเร็ว อย่ากลัวเสียหน้า แม้จะมีคนได้คนเสียแต่ให้นึกถึงประเทศชาติไว้ก่อน”
ขณะเดียวกันธปท.ต้องประกาศกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าแข็งกว่าระดับนี้ประกาศไปเลยว่าจะซื้อหมด อย่าไปกลัวสหรัฐฯเพราะอยากเป็นเด็กดีขององค์การระหว่างประเทศ ธปท.ต้องลดมิจฉาทิฐิ ลดความอวดดี เลิกหลอกลวงประชาชน อย่าแล้งน้ำใจกับประเทศชาติ
“อาจจะเกิดวิกฤตรอบสองได้ เพราะความโง่เขลาของธปท.เพราะขณะนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไม่ได้เป็นไปตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การส่งออกที่ดีขึ้นก็ไม่ได้ดีจริง 3-6 เดือนข้างหน้าก็เห็นว่าเป็นอย่างไร เมื่อถึงจุดหนึ่งนักลงทุนต่างชาติรู้ว่าค่าเงินบาทแข็งเกินพื้นฐานของประเทศ แต่พวกเราไม่รู้ ถึงจุดนั้นนักลงทุนเหล่านั้นก็จะทุ่มโจมตีค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง อาจจะกลับมาถึงระดับ 35บาทต่อดอลลาร์ก็ได้ ค่าเงินบาทกำลังจะถูกปั่น ถ้าหากบาทแข็งไปถึง 25 บาทต่อดอลลาร์อาจจะไปถึงวิกฤตต้มยำกุ้งได้”
มุมมองของนายวีระพงษ์ กรณีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ถือเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของธปท.ที่ใจดำ รู้ทั้งรู้ว่ากระแสโลกถูกสหรัฐฯบีบคั้นให้เงินหลายสกุลแข็งค่า เพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ฉนั้นองค์กรระหว่างประเทศทั้ง ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกต่างอยู่ภายใต้สหรัฐฯทั้งสิ้น ธนาคารกลางใดที่ปฏิบัติตามองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ ก็จะได้รับการสรรเสริญเยินยอว่าเป็นธนาคารกลางที่ดี เป็นผู้ว่าการที่ดี ธปท.ก็คงอยากเป็นอย่างนั้น แทนที่จะให้ประชาชนคนไทยสรรเสริญ
ดังนั้นจึงได้บอกว่าธปท.เห็นแก่ตัวและใจดำกับประชาชนคนไทยและประเทศชาติ เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาทกำลังส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจ แม้แต่ภาคอุตสาหกรรมเพราะไม่มีอุตสาหกรรมใดที่จะไม่ผลิตเพื่อการส่งออก เพราะส่งออกที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศถึง 90% ก็ยังได้รับผลกระทบ ขณะที่ธปท.ก็เสนอให้ซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ไม่ใช่เอกชนไม่รู้ แต่ราคาถูกกำหนดโดยต่างประเทศ
ที่หนักคือภาคการเกษตร ไม่เฉพาะอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากภาคเกษตรเท่านั้นยังส่งผลกระทบไปถึงภาคท่องเที่ยวและบริการ วิกฤตครั้งนี้อาจจะหนักกว่าต้มยำกุ้งด้วยซ้ำ เพราะครั้งนี้ลำบากกันท้วนหน้า และเชื่อว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ หรือแม้ว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์กัน แต่เชื่อว่าปี 2554 จะเจอปัญหาหนักกว่านี้แน่ เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดทันที แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า แม้แต่ผู้นำเข้าก็อาจจะได้รับผลกระทบด้วย
ทุกคนรู้ ยกเว้นพวกธปท.ที่ไม่รู้
“เมื่อเป็นอย่างนี้คนขายมากก็เจ๊งมาก ขายน้อยเจ๊งน้อย ก็คงจะต้องชะลอการผลิตลงในที่สุดก็จะกระทบต่อแรงงานและจ้างงาน เงินปันผล และค่าแรงที่จะปรับขึ้นก็มีปัญหา”
ปัญหาที่น่าห่วงอีกประการหนึ่งในมุมมองของนายวีรพงษ์ก็คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วอาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ตลาดทุนและตลาดหุ้น เพราะจะเห็นว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งสูงขึ้น ประเด็นนี้ต้องระวังเพราะราคาหุ้นที่มีกำไรทางบัญชีมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นจึงเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ใช่ของจริง ขณะที่ราคาตราสารหนี้ก็ถูกบิดเบือนไป การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. 2 ครั้งที่ผ่านมา คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเพราะสหรัฐยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
การที่ ธปท.ต้องการจะปัดความรับผิดชอบ ที่จริงไม่ทำอะไรยังจะเสียหายยิ่งกว่าทำผิดเสียอีก ที่สุดเราคงคงต้องระวังตัวเอง เพราะว่าธปท.พูดไม่รู้เรื่องแล้วมีมิจฉาทิฐิ มีอวิชาเข้าสิงการที่ ธปท.ส่งสัญญาณ
ดอกเบี้ยขาขึ้นคงเพราะต้องการรักษาหน้าของตัวเองมากกกว่าประเทศชาติ จะคอยดูหน้าของธปท.กับความฉิบหายยับเยินของประเทศธปท.จะเลือกอย่างไหน เท่าที่ดูผู้ว่าการฯคนใหม่ยิ่งหนักกว่าผู้ว่าฯคนเก่าอีก หยุดพูดได้แล้วว่าค่าเงินบาทเป็นไปตามภูมิภาค แต่ทำไมสิงคโปร์ และอินโดนีเซียเข้าแทรกแซงอย่างหนัก ความจริงคือ เงินบาทแข็งค่าเร็วมากกว่าคนอื่น ไม่ควรจะไปอ้างใครควรจะดูตัวเอง ดูว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเราเป็นอย่างไร และทำไมจะต้องเป็นไปตามภูมิภาคยกเว้น จีนกับฮ่องกงหรือยังไง ธปท.บอกว่าบาทแข็งแล้วจะดี จะได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น ไม่จริงเลยเพราะคนกำลังจะเจ๊งจะไปขยายการลงทุนอะไรได้
“5-6 มาตรการที่ธปท.ออกมายังเกาไม่ถูกที่คัน ที่เจ็บใจคือ ธปท.บอกว่า บาทแข็งค่าไม่กระทบส่งออก มีผู้ได้ประโยชน์ ถ้าไม่ต้องการเป็นผู้ว่าดีเด่น ธนาคารกลางดีเด่นขอให้เป็นรางวัลที่คนไทยให้ไม่ได้รางวัลจากต่างชาติ ถ้าคิดได้ ปัญญาก็จะเกิด อวิชชาก็จะหายไป คนไทยไม่ได้กินหญ้าที่ธปท.แนะให้คนไทยเอาเงินไปซื้อดอลลาร์ไปลงทุนในสหรัฐ ขณะที่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดจะให้ไปลงทุนที่ไหน”
อะไรไม่สำคัญเท่ากับการทิ้งท้ายของนายวีรพงษ์ที่ว่า
“ผมขอให้ทุกคนเตรียมตัว ถ้าเปลี่ยนผู้ว่าฯไม่ได้ก็ควรจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี”
เล่นตอกกันตรงๆขนาดนี้ โดนกันเป็นลูกระนาดตั้งแต่นายกรัฐมนตรี มารัฐมนตรีคลัง ไปจนถึงแบงก์ชาติ จะไม่สะดุ้งกันอย่างไรไหว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง และนายกรัฐมนตรี จะดาหน้ากันออกมารุมนายวีรพงษ์ พร้อมๆกัน
อย่าง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงถึงข้อเสนอที่ให้ธปท.ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ว่าคงทำไม่ได้เหมือนปี2540
ส่วนเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นมา2ครั้งก่อนหน้านี้เพื่อดูแลตัวเลขเงินเฟ้อตามเศรษฐกิจที่ขยายตัว แต่ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในสัปดาห์หน้ามีเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉนั้นการขึ้นดอกเบี้ยจะมีความจำเป็นน้อยลง แต่คงไม่สามารถลดได้ หรือไม่ก็คงไว้ ไม่ขึ้น
“สำหรับข้อเสนอของ ดร.โกร่ง นั้น ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องพิจารณาดูว่าผิดหรือถูกด้วย”
เช่นกันกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงงกรณีที่นายวีรพงษ์ตำหนิการทำงานของรัฐบาลว่า ยินดีรับทุกความคิดเห็นของนายวีรพงษ์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีมาตรการใดๆ ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนว่ายังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มเงินดอลลาร์ในตลาด และจะไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ย่อมอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทุกสกุล ดังนั้น ค่าเงินบาทต้องแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ในเมื่อเราไม่สามารถฝืนที่จะให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้มากกว่านี้ สิ่งที่ทำได้คือเราต้องปรับตัว”
ส่วนนายประสาร ไตรรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้เงินบางยังคงแข็งค่าขึ้น และไม่มีจุดดุลยภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปยังมีปัญหา ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ในขณะนี้ต่อเงินบาทอาจเป็นการสุ่มเสี่ยงและอันตราย โดยเฉพาะข้อเสนอการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะจะเป็นการไปสร้างสมดุลที่เป็นดุลยภาพเทียม ซึ่งธปท.คงทำไม่ได้ทั้ง 3 เรื่อง ทั้ง1.ดูแลเสถียรภาพด้านราคา 2.การเคลื่อนย้ายเงินทุน และ3.ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
“ปัญหาใหญ่มาจากอเมริกาและยุโรปเศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดี ซึ่งไม่รู้ว่าจุดดุลยภาพอยู่ตรงไหน การใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จะสร้างปัญหา ตลาดไม่ได้เชื่อดุลยภาพเทียมที่เกิดขึ้นมา และทำให้มีต้นทุนสูง และอาจจะมีความเสียหาย ซึ่งเรามีบทเรียนในปี 40”
ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า สำหรับเงินบาทแข็งค่าเร็ว ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้นำเข้าที่ได้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ธปท.ก็ดูแลอยู่ โดยเงินบาทยังเกาะกลุ่มภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นมา 11% ถือว่าเป็นระดับกลาง ๆ และธปท.ยังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับเศรษฐกิจ
และแน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ระบุว่าจะใช้เวทีการหารือในระดับอาเซียนหรือกลุ่มประเทศ จี 20 จะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่
“ข้อสำคัญที่สุดที่คิดว่าไม่น่าจะมีใครปฏิเสธได้ คือสภาพพื้นฐานของเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศในเอเชียภูมิภาคนี้และของไทย อย่างไรก็ยากที่จะอ่อนตัวลงในขณะนี้ อันนี้คือความเป็นจริงที่ฝืนยาก”
นั่นคงจะหมายความว่าให้ผู้ส่งออก และบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหลาย ต้องอดทนและปรับตัวเอาเอง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบรรดาผู้ประกอบการจะอดทนได้นานแค่ไหน
เพราะแม้แต่นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) อดีตมือเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ยังยอมรับว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญด้วย
และยังยอมรับว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียยังแข็งแกร่ง ก็ไม่สามารถสกัดเงินไหลเข้าได้ แน่นอนว่าจะทำให้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าต่อไป วิธีการที่ดีที่สุด คือการบริหารค่าเงินให้มีเสถียรภาพ
“การแข็งค่าของเงินบาทเป็นการแข็งค่าตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะต้องจับตาดู และไม่ควรปล่อยให้ค่าบาทแข็งค่ามากเกินไป”นายศุภชัยระบุ
ก็คงต้องจับตาดูว่า ระหว่างค่าเงินบาทแข็งขึ้น กับ ผู้ส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยว สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะเลือกดูแลด้านไหนมากกว่ากัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
"จารุวรรณ"เดี้ยง!รีบขนของกลับบ้าน ศาลปค.สั่งชั่วคราวให้"พิศิษฐ์"รักษาการผู้ว่า สตง.ก่อนตัดสิน19ต.ค.
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 15 ตุลาคม 2553ให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่ 184/2553 ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินผู้ถูกฟ้องคดี เรื่องยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส)ให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นซึ่งทำให้นายพิศิษฐ์ มีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไป
คดีดังกล่าวนายพิศิษฐ์ ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯว่า ออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณออกคำสั่งดังกล่าวภายหลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีต้องพ้นจากตำแหน่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลเห็นว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนั้นคถุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดได้ออกคำสั่งต่างๆออกมาหลายคำสั่งซึ่งจากการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดดังกล่าวย่อมสร้างความสับสนทั้งแก้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง.และทำให้หน่วยงานรับตรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความสับสนในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานใน สตง.ไปด้วย อันเป็นอุปสรรคทำให้ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้จ่ายของแผ่นดินขาดประสิทธิภาพเพราะข้าราชการ ใน สตง.ตลอกดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ทราบว่า จะต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคนใด หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงต่อไปย่อมทำให้การตรวจสอบการมใช้จ่ายเงินของแผ่นดินต้องเนิ่นช้าส่งผลกระทบหรือเกิดความเสียหายที่จะตามอีกนานับประการอาจร้ายแรงมากยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งการทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าว ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานรัฐหรือแก่สาธารณแต่อย่างใด
จึงควรมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.เรื่องแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯให้รักษาราชการแทน
เมื่อศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)ย่อมมีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการฯที่จะมีคำสั่งตามอำนาจในฐานะผู้รักาารากชารแทนที่จะมีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการฯเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีมาตลอดจนปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เองโดยศาลไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งตามคำขอของผู้ร้องสอด จึงยกคำสั่งขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของผู้ร้องสอด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งๆที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 ตุลาคมนี้ เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้คุณหญิงจารุวรรณเข้าไปใช้อำนาจในการบริหารงาน สตง. ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณแพ้คดี คำพิพากษาจะมีผลบังคับหลังจาก 30 วันล่วงพ้นไปแล้วกรณีที่คุณหญิงจารุวรรณไม่อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด
แต่ถ้าคุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นการชั่วคราว จะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เว้นแต่คุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำสั่งและศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ด้านคุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า "ได้รับทราบคำสั่งของศาลแล้วค่ะ"
เมื่อถามว่า จะมีการยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อหรือไม่ นั้น คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า "คงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนายความส่วนตัวจัดการ"
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้จะยังเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ สตง.ต่อไปหรือไม่ คุณหญิงจารุวรรณ อ้างว่า "ติดสายโทรศัพท์อื่นอยู่" แล้วรีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว สำนักงานศาลปกครองได้ส่งให้คู่กรณีในช่วงบ่ายซึ่งหลังจากที่นายพิศิษฐ์ได้รับคำสั่งของศาล ได้รีบทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังทุกหน่วยงานใน สตง.และยังนำคำสั่งของศาลไปติดไว้ที่หน้าอาคารสำนักงานของ สตง.ด้วย
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ก่อนที่ศาลจะส่งคำสั่งดังกล่าวมาให้ตนทางโทรสารในช่วงบ่าย คุณหญิงจารุวรรณพร้อมกับลูกๆได้เข้ามาขนของใช้ส่วนตัวออกจากออกทำงานเป็นจำนวนมากไม่น้อยกว่า 2 เที่ยว อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในห้องทำงานของคุณหญิงจารุวรรณว่า มีอะไรเสียหายหรือไม่
ที่มา.มติชนออนไลน์
คดีดังกล่าวนายพิศิษฐ์ ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯว่า ออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณออกคำสั่งดังกล่าวภายหลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีต้องพ้นจากตำแหน่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลเห็นว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนั้นคถุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดได้ออกคำสั่งต่างๆออกมาหลายคำสั่งซึ่งจากการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดดังกล่าวย่อมสร้างความสับสนทั้งแก้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง.และทำให้หน่วยงานรับตรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความสับสนในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานใน สตง.ไปด้วย อันเป็นอุปสรรคทำให้ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้จ่ายของแผ่นดินขาดประสิทธิภาพเพราะข้าราชการ ใน สตง.ตลอกดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ทราบว่า จะต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคนใด หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงต่อไปย่อมทำให้การตรวจสอบการมใช้จ่ายเงินของแผ่นดินต้องเนิ่นช้าส่งผลกระทบหรือเกิดความเสียหายที่จะตามอีกนานับประการอาจร้ายแรงมากยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งการทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าว ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานรัฐหรือแก่สาธารณแต่อย่างใด
จึงควรมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.เรื่องแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯให้รักษาราชการแทน
เมื่อศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)ย่อมมีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการฯที่จะมีคำสั่งตามอำนาจในฐานะผู้รักาารากชารแทนที่จะมีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการฯเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีมาตลอดจนปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เองโดยศาลไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งตามคำขอของผู้ร้องสอด จึงยกคำสั่งขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของผู้ร้องสอด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งๆที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 ตุลาคมนี้ เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้คุณหญิงจารุวรรณเข้าไปใช้อำนาจในการบริหารงาน สตง. ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณแพ้คดี คำพิพากษาจะมีผลบังคับหลังจาก 30 วันล่วงพ้นไปแล้วกรณีที่คุณหญิงจารุวรรณไม่อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด
แต่ถ้าคุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นการชั่วคราว จะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เว้นแต่คุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำสั่งและศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ด้านคุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า "ได้รับทราบคำสั่งของศาลแล้วค่ะ"
เมื่อถามว่า จะมีการยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อหรือไม่ นั้น คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า "คงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนายความส่วนตัวจัดการ"
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้จะยังเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ สตง.ต่อไปหรือไม่ คุณหญิงจารุวรรณ อ้างว่า "ติดสายโทรศัพท์อื่นอยู่" แล้วรีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว สำนักงานศาลปกครองได้ส่งให้คู่กรณีในช่วงบ่ายซึ่งหลังจากที่นายพิศิษฐ์ได้รับคำสั่งของศาล ได้รีบทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังทุกหน่วยงานใน สตง.และยังนำคำสั่งของศาลไปติดไว้ที่หน้าอาคารสำนักงานของ สตง.ด้วย
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ก่อนที่ศาลจะส่งคำสั่งดังกล่าวมาให้ตนทางโทรสารในช่วงบ่าย คุณหญิงจารุวรรณพร้อมกับลูกๆได้เข้ามาขนของใช้ส่วนตัวออกจากออกทำงานเป็นจำนวนมากไม่น้อยกว่า 2 เที่ยว อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในห้องทำงานของคุณหญิงจารุวรรณว่า มีอะไรเสียหายหรือไม่
ที่มา.มติชนออนไลน์
ข้อโต้แย้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ : ความรับผิดของเจ้าของปั๊มน้ำมัน ต่อข้อความหมิ่นกษัตริย์ตามผนังห้องน้ำ
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เดิมผู้เขียนไม่เห็นว่า ปัญหานี้ยุ่งยากเกินสติปัญญาของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ จะใช้ความสามารถวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ภายหลังพบว่า การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยการสอบปลายภาคที่จะผ่านพ้นไป และเป็นประเด็นที่สังคมควรกระจ่างชัดในความมั่นคงแน่นอนแห่งกฎหมายในแต่ละคน และเกิดเป็นข้อเขียนโต้แย้งความคลาดเคลื่อนดังกล่าวไว้บ้าง จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้น
ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อความเห็นเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ [1] ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอาจารย์สอนกฎหมายและนิติกร เป็นที่แพร่หลายกันมาก เริ่มเรื่องนายไกรวัลย์ เกษมศิลป์ โพสต์ถามในเว็บไซต์ของนายมีชัย ว่า “ ผมได้เข้าไปใช้ห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน พบเห็นการเขียนข้อความให้ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ อยากจะถามว่าเจ้าของสถานที่จะมีความผิดไหมครับที่ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้ ถ้าหากจะเอาผิดกับเจ้าของสถานที่หรือให้เจ้าของสถานที่เขาลบข้อความเหล่านี้เสีย จะทำอย่างไรครับ ถ้าหากว่าเจ้าของสถานที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้อยู่ต่อไป จะไปแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของสถานที่ได้ไหมครับ”
ตามข่าว นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามว่า “ ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้ ถ้าใครพบเห็นก็ควรช่วยกันแจ้งให้เจ้าของเขาลบทิ้ง หรือแจ้งกับตำรวจให้ไปดู”
การวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ในเบื้องต้นสามารถแยก “โครงสร้าง” เพื่อสามารถใช้ความคิดได้อย่างเป็นระเบียบ ในการให้เหตุผลหรือตรรกะทางกฎหมาย เราเรียกบรรทัดฐานดังกล่าวว่า “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย”[2] จำแนกได้ดังนี้
นักกฎหมายและนักนิติศาสตร์ จะใช้ “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เป็นฐานคิดในทุกกรณี ปรับวินิจฉัยปัญหาทางกฎหมาย สำหรับกรณีคำถามของนายไกรวัลย์ฯ ในเว็บไซต์ของนายมีชัยฯ เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ผู้เขียนจะเริ่มพิเคราะห์ ดังนี้
ประเด็นที่1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย
เมื่อชัดแจ้งแล้วว่า วัตถุแห่งการพิจารณา คือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ตามบทบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษร บัญญัติไว้อย่างไร เพื่อพิจารณาประเด็นที่1 ให้ได้ยุติ
ประมวลกฎหมายอาญา แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาค1.เป็น “บทบัญญัติทั่วไป” (มาตรา1 ถึง มาตรา106) ที่จะนำไปใช้เป็น “พื้นฐาน” เพื่อพิจารณา “ องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” แก่ ภาค2และภาค3 รวมถึงกฎหมายอาญาที่ปรากฎในกฎหมายฉบับอื่นๆทั้งปวง ตราบที่กฎหมายฉบับอื่นๆนั้นไม่บัญญัติกฎเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ตามนิตินโยบายขององค์กรนิติบัญญัติ , ภาค2.เป็น “ความผิด” ในทางอาญา (มาตรา 107 ถึง มาตรา 366) , ภาค3.เป็น “ความผิดลหุโทษ” ความผิดที่บัญญัติโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 พันบาท (มาตรา 367 ถึง มาตรา 398)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ใน “ภาค2”ว่าด้วยความผิด บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” เมื่อบทบัญญัติมาตรา112 มิใช่ “บทบัญญัติทั่วไป” (หลักเกณฑ์ในการใช้กฎหมายอาญา)ในประมวลกฎหมายอาญา โดยบัญญัติไว้ใน “ภาค2” เราจึงต้องนำหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่บัญญัติไว้ใน “ภาค1” (มาตรา 1 ถึง มาตรา106) มาพิจารณา “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ตามมาตรา 112 ด้วย
อาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะนำมาประกอบการกระจาย “องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” มาตรา 112 (อธิบายถึงเฉพาะส่วนที่ทำให้องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมายได้ขาดตอนลง) ได้ดังนี้
“การกระทำ” เป็นถ้อยคำทางกฎหมาย และเป็นประเด็นสำคัญทางกฎหมายต่อกรณีความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่า “ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้” จึงต้องพิจารณาว่า “อย่างไรคือ การกระทำ”
ในระบบกฎหมาย ได้ปรากฎถ้อยคำว่า “การกระทำ” , “กระทำการ” , “ทำ” อยู่ทั่วไปในปริมาณฑลแห่งบทบัญญัติกฎหมาย ทั้งกฎหมายแพ่ง , กฎหมายอาญา , หรือในแดนกฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายปกครอง ก็ล้วนใช้ในความหมายอย่างเดียวกันเป็นที่ยุติว่า หมายถึง การเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สึกนึกในขณะเคลื่อนไหวและผู้เคลื่อนไหวสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ด้วย [5] หากพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา อาจปรากฎทำนองเดียวกันนี้ในมาตรา59 วรรค2 “กระทำ...ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ” นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึง การงดเว้นการที่จะต้องกระทำด้วย[6] ซึ่งมีลักษณะของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และเรื่องนี้เป็น “ประเด็นสำคัญ” จุดประกายความคลาดเคลื่อนทางกฎหมายของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต่อกรณีตีความมาตรา112
โดยเหตุที่ “การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย” ก็ยังสามารถถูกจัดเป็น “การกระทำ” ได้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น”ของ “การกระทำ” ดังนั้น ในระบบกฎหมาย จึงจัด “ประเภท” ของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งส่งผลในทางกฎหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเภทที่1.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งถือว่าเป็นความผิด ตามถ้อยคำในมาตรา 59 วรรคท้ายที่ว่า “งดเว้นที่จักต้องกระทำ” หมายความว่า งดเว้นกระทำในสิ่งที่ตนมีหน้าที่ต้องกระทำ โดยรู้สึกนึกในการไม่เคลื่อนไหวร่างกายของ “ผู้มีหน้าที่ต้องกระทำ” แต่งดเว้นเสีย จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า “หน้าที่ นั้น เกิดขึ้นโดยเหตุใดได้บ้าง” เพราะหากไม่มี “หน้าที่” ในอันจักต้อง “กระทำ” ก็ย่อมเข้าลักษณะ “หลักทั่วไป” ที่ว่า การ “ไม่กระทำ” ไม่ถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ “หน้าที่”อาจเกิดได้หลายกรณีสามารถสกัดบรรดากรณีที่ปรากฎอยู่ มีดังนี้
ประการที่2.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด ในทางกฎหมายเรียก “ละเว้น” เป็นเรื่องการละเว้นกระทำการซึ่งกฎหมายบังคับให้กระทำในฐานะพลเมืองดี เช่น เห็นเด็กกำลังจะจมน้ำตายโห่ร้องให้ตนช่วย ทั้งที่ตนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ เห็นผู้อื่นประสบภยันตรายแห่งชีวิต แต่กลับไม่ช่วยตามความสามารถของตน เป็นการละเว้นการกระทำในฐานะพลเมืองดี ตามมาตรา 374
เห็นได้ว่า “หน้าที่” อันจะต้องกระทำแต่ไม่กระทำ ที่เรียก “งดเว้น” นั้น ต้องมิใช่หน้าที่โดยทั่วๆ ไป แต่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเช่นที่เกิดนั้น[8] แต่ถ้าเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วๆไป ทางศีลธรรมหรือในฐานะพลเมืองดี ย่อมไม่ใช่ “งดเว้น”แต่จะเป็น “ละเว้น”การกระทำ
เมื่อพิเคราะห์องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย “การกระทำ” ทั้ง “งดเว้น”และ “ละเว้น” แล้ว การตามมาตรา59 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติให้การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย นั้นรวมถึง “การงดเว้น” ด้วย โดยเหตุนี้หากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะในกฎหมายเป็นการเฉพาะ “การละเว้นการกระทำ” ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ประเด็นที่2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
[8] จิตติ ติงศภัทิย์ , กฎหมายอาญาภาค 1 , (กรุงเทพฯ : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา , 2546) หน้า 175-176
เดิมผู้เขียนไม่เห็นว่า ปัญหานี้ยุ่งยากเกินสติปัญญาของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ จะใช้ความสามารถวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ภายหลังพบว่า การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยการสอบปลายภาคที่จะผ่านพ้นไป และเป็นประเด็นที่สังคมควรกระจ่างชัดในความมั่นคงแน่นอนแห่งกฎหมายในแต่ละคน และเกิดเป็นข้อเขียนโต้แย้งความคลาดเคลื่อนดังกล่าวไว้บ้าง จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้น
ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อความเห็นเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ [1] ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอาจารย์สอนกฎหมายและนิติกร เป็นที่แพร่หลายกันมาก เริ่มเรื่องนายไกรวัลย์ เกษมศิลป์ โพสต์ถามในเว็บไซต์ของนายมีชัย ว่า “ ผมได้เข้าไปใช้ห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน พบเห็นการเขียนข้อความให้ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ อยากจะถามว่าเจ้าของสถานที่จะมีความผิดไหมครับที่ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้ ถ้าหากจะเอาผิดกับเจ้าของสถานที่หรือให้เจ้าของสถานที่เขาลบข้อความเหล่านี้เสีย จะทำอย่างไรครับ ถ้าหากว่าเจ้าของสถานที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้อยู่ต่อไป จะไปแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของสถานที่ได้ไหมครับ”
ตามข่าว นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามว่า “ ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้ ถ้าใครพบเห็นก็ควรช่วยกันแจ้งให้เจ้าของเขาลบทิ้ง หรือแจ้งกับตำรวจให้ไปดู”
การวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ในเบื้องต้นสามารถแยก “โครงสร้าง” เพื่อสามารถใช้ความคิดได้อย่างเป็นระเบียบ ในการให้เหตุผลหรือตรรกะทางกฎหมาย เราเรียกบรรทัดฐานดังกล่าวว่า “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย”[2] จำแนกได้ดังนี้
1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย คืออะไร
2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เป็นอย่างไร
3.ผลในทางกฎหมาย เป็นเช่นไร
นักกฎหมายและนักนิติศาสตร์ จะใช้ “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เป็นฐานคิดในทุกกรณี ปรับวินิจฉัยปัญหาทางกฎหมาย สำหรับกรณีคำถามของนายไกรวัลย์ฯ ในเว็บไซต์ของนายมีชัยฯ เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ผู้เขียนจะเริ่มพิเคราะห์ ดังนี้
ประเด็นที่1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย
เราทำความเข้าใจก่อนว่า องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย จะหมายถึงเฉพาะ “กฎหมาย(ที่บัญญัติเป็น)ลายลักษณ์อักษร” เท่านั้น เราจะไม่ใช้ประเพณีวัฒนธรรมจารีตหรือค่านิยมทางสังคมพระไตรปิฎกหรือกฎเกณ์อื่น มาเป็นมาตรวัดในฐานะ “บ่อเกิดแห่งกฎหมาย” เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษในทางอาญา [3] จะต้องตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า กฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจนแน่นอน (nullum poeana sine lege stricta) ทั้งนี้รวมถึงบทบัญญัติที่ไม่ใช่โทษทางอาญาแต่อาจก่อผลในทางกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย
เมื่อชัดแจ้งแล้วว่า วัตถุแห่งการพิจารณา คือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ตามบทบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษร บัญญัติไว้อย่างไร เพื่อพิจารณาประเด็นที่1 ให้ได้ยุติ
ประมวลกฎหมายอาญา แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาค1.เป็น “บทบัญญัติทั่วไป” (มาตรา1 ถึง มาตรา106) ที่จะนำไปใช้เป็น “พื้นฐาน” เพื่อพิจารณา “ องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” แก่ ภาค2และภาค3 รวมถึงกฎหมายอาญาที่ปรากฎในกฎหมายฉบับอื่นๆทั้งปวง ตราบที่กฎหมายฉบับอื่นๆนั้นไม่บัญญัติกฎเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ตามนิตินโยบายขององค์กรนิติบัญญัติ , ภาค2.เป็น “ความผิด” ในทางอาญา (มาตรา 107 ถึง มาตรา 366) , ภาค3.เป็น “ความผิดลหุโทษ” ความผิดที่บัญญัติโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 พันบาท (มาตรา 367 ถึง มาตรา 398)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ใน “ภาค2”ว่าด้วยความผิด บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” เมื่อบทบัญญัติมาตรา112 มิใช่ “บทบัญญัติทั่วไป” (หลักเกณฑ์ในการใช้กฎหมายอาญา)ในประมวลกฎหมายอาญา โดยบัญญัติไว้ใน “ภาค2” เราจึงต้องนำหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่บัญญัติไว้ใน “ภาค1” (มาตรา 1 ถึง มาตรา106) มาพิจารณา “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ตามมาตรา 112 ด้วย
อาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะนำมาประกอบการกระจาย “องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” มาตรา 112 (อธิบายถึงเฉพาะส่วนที่ทำให้องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมายได้ขาดตอนลง) ได้ดังนี้
1.ผู้ใด หมายถึง จะต้องเป็น “บุคคล” ซึ่งในระบบกฎหมายได้รับรองสถานภาพของความเป็น “บุคคล” ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ก.บุคคลธรรมดาได้แก่ สิ่งมีชีวิตซึ่งตามหลักชีววิทยาหรือชัดแจ้งโดยกายภาพก็ดี เป็น “มนุษย์” ซึ่งตามมาตรา15 เริ่มแต่เมื่อคลอดแล้ว อยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ข.นิติบุคคล ได้แก่ บุคคลที่เกิดโดยกฎหมายสมมติขึ้นให้มีเป็น “บุคคล” เพื่อสะดวกแก่การฟ้องร้องคดีแพ่ง,อาญา หรือคดีปกครอง เช่น บริษัท , ห้างหุ้นส่วนต่างๆ รวมถึงนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติอื่น
2.มีการกระทำ แม้ว่าตามมาตรา 112 มิได้บัญญัติถ้อยคำนี้ แต่ตามมาตรา 59 วรรค1 “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำ...” อันบัญญัติไว้ในภาค1 บทบัญญัติทั่วไป ซึ่งจะต้องนำมาบังคับใช้แก่ บทบัญญัติใน ภาค2 ,ภาค3 และกฎหมายอาญาอื่น ด้วย[4] กล่าวได้ว่า หากไม่มี “การกระทำ” แล้ว ย่อมส่งผลให้ ไม่จำต้องพิเคราะห์ “องค์ประกอบส่วนเหตุประการอื่นๆ” อีกเลย ในทาง “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เมื่อขาด “องค์ประกอบส่วนเหตุทางกฎหมาย”เพียงประการใดประการหนึ่ง ย่อมบังคับ “ผลในทางกฎหมาย”มิได้ หลักการนี้สืบสาวมาจากหลัก “ไม่มีโทษ โดยปราศจากกฎหมาย” (nulla poena sine lege) ในนิติรัฐ
“การกระทำ” เป็นถ้อยคำทางกฎหมาย และเป็นประเด็นสำคัญทางกฎหมายต่อกรณีความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่า “ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้” จึงต้องพิจารณาว่า “อย่างไรคือ การกระทำ”
ในระบบกฎหมาย ได้ปรากฎถ้อยคำว่า “การกระทำ” , “กระทำการ” , “ทำ” อยู่ทั่วไปในปริมาณฑลแห่งบทบัญญัติกฎหมาย ทั้งกฎหมายแพ่ง , กฎหมายอาญา , หรือในแดนกฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายปกครอง ก็ล้วนใช้ในความหมายอย่างเดียวกันเป็นที่ยุติว่า หมายถึง การเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สึกนึกในขณะเคลื่อนไหวและผู้เคลื่อนไหวสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ด้วย [5] หากพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา อาจปรากฎทำนองเดียวกันนี้ในมาตรา59 วรรค2 “กระทำ...ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ” นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึง การงดเว้นการที่จะต้องกระทำด้วย[6] ซึ่งมีลักษณะของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และเรื่องนี้เป็น “ประเด็นสำคัญ” จุดประกายความคลาดเคลื่อนทางกฎหมายของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต่อกรณีตีความมาตรา112
โดยเหตุที่ “การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย” ก็ยังสามารถถูกจัดเป็น “การกระทำ” ได้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น”ของ “การกระทำ” ดังนั้น ในระบบกฎหมาย จึงจัด “ประเภท” ของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งส่งผลในทางกฎหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเภทที่1.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งถือว่าเป็นความผิด ตามถ้อยคำในมาตรา 59 วรรคท้ายที่ว่า “งดเว้นที่จักต้องกระทำ” หมายความว่า งดเว้นกระทำในสิ่งที่ตนมีหน้าที่ต้องกระทำ โดยรู้สึกนึกในการไม่เคลื่อนไหวร่างกายของ “ผู้มีหน้าที่ต้องกระทำ” แต่งดเว้นเสีย จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า “หน้าที่ นั้น เกิดขึ้นโดยเหตุใดได้บ้าง” เพราะหากไม่มี “หน้าที่” ในอันจักต้อง “กระทำ” ก็ย่อมเข้าลักษณะ “หลักทั่วไป” ที่ว่า การ “ไม่กระทำ” ไม่ถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ “หน้าที่”อาจเกิดได้หลายกรณีสามารถสกัดบรรดากรณีที่ปรากฎอยู่ มีดังนี้
1.หน้าที่อันเกิดจากรัฐธรรมนูญกำหนดโดยตรงในฐานะที่เป็นองค์กรของรัฐ เช่น พระมหากษัตริย์ทรงมีหน้าที่เคารพและพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญ [7] ตัวอย่าง -
2.หน้าที่อันเกิดจากกฎหมายกำหนดโดยตรง เช่น บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1564) ตัวอย่าง นางแดง ไม่ยอมให้ลูกทารกกินนม จนลูกอดนมตาย เป็นการ “งดเว้น”กระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ผิดฐานฆ่าผู้อื่น
3.หน้าที่ที่เกิดจากการยอมรับภาระบางประการ ได้แก่
3.1.หน้าที่โดยสัญญา เช่น รับจ้างคอยช่วยเหลือผู้ที่หัดว่ายน้ำแต่งดเว้นไม่ช่วยเหลือเมื่อมีคนจมน้ำในสระตามหน้าที่นั้น , เป็นลูกจ้างของการรถไฟมีหน้าที่ควบคุมสัญญาณห้ามรถผ่าน แต่เผลองีบหลับไป จนรถไฟชนคนตาย เช่นนี้ ลูกจ้างคนนั้นมีการกระทำโดยงดเว้น ผิดฐานฆ่า ส่วนจะเจตนาหรือประมาท ต้องพิจารณาเป็นคนละส่วน เป็นต้น
3.2โดยอัชฌาศัย เช่น อาสาดูแลลูกของเพื่อนบ้าน เป็นต้น
4.หน้าที่จากการกระทำก่อนๆของตน เช่น จูงคนตาบอดข้ามถนน ก็ต้องพาข้ามให้พ้นถนน ถ้าจูงมาถึงกลางถนนแล้วทิ้งคนตาบอดไว้กลางถนน เพราะกลัวไปทำงานไม่ทัน รีบข้ามถนนไปก่อน เช่นนี้เป็นการ“งดเว้น” ไม่กระทำเพื่อป้องกันผลร้ายอันจะเกิดแก่คนตาบอด(ช่วยไม่ตลอดรอดฝั่ง)
ประการที่2.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด ในทางกฎหมายเรียก “ละเว้น” เป็นเรื่องการละเว้นกระทำการซึ่งกฎหมายบังคับให้กระทำในฐานะพลเมืองดี เช่น เห็นเด็กกำลังจะจมน้ำตายโห่ร้องให้ตนช่วย ทั้งที่ตนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ เห็นผู้อื่นประสบภยันตรายแห่งชีวิต แต่กลับไม่ช่วยตามความสามารถของตน เป็นการละเว้นการกระทำในฐานะพลเมืองดี ตามมาตรา 374
เห็นได้ว่า “หน้าที่” อันจะต้องกระทำแต่ไม่กระทำ ที่เรียก “งดเว้น” นั้น ต้องมิใช่หน้าที่โดยทั่วๆ ไป แต่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเช่นที่เกิดนั้น[8] แต่ถ้าเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วๆไป ทางศีลธรรมหรือในฐานะพลเมืองดี ย่อมไม่ใช่ “งดเว้น”แต่จะเป็น “ละเว้น”การกระทำ
เมื่อพิเคราะห์องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย “การกระทำ” ทั้ง “งดเว้น”และ “ละเว้น” แล้ว การตามมาตรา59 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติให้การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย นั้นรวมถึง “การงดเว้น” ด้วย โดยเหตุนี้หากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะในกฎหมายเป็นการเฉพาะ “การละเว้นการกระทำ” ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ประเด็นที่2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
กรณีที่ห้องน้ำปั้มน้ำมัน มีคนเขียนข้อความซึ่งนายไกรวัลย์ฯ อ้างว่า เป็นข้อความ“ให้ร้ายพระมหากษัตริย์” แล้วเจ้าของปั๊มน้ำมัน “เห็น” แต่ไม่ได้ “ลบทิ้ง” ก็ต้องพิจารณาว่า การ “ไม่กระทำการ” ของ เจ้าของปั้มน้ำมันแห่งนั้น มี “หน้าที่” จำต้องกระทำ(ลบข้อความดังกล่าว)หรือไม่ หากว่า “มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ดังกล่าวให้กระทำการเช่นนั้น” แต่ไม่กระทำ ย่อมเป็นการงดเว้น เป็นความผิดมาตรา112ได้
ประเด็นที่3.ผลในทางกฎหมาย
ตามที่ปรากฎเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรขณะนี้ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใด กำหนดหน้าที่ให้บุคคลกระทำการขจัด “สิ่งอื่นใด” ที่ “ผู้อื่นกระทำ” ขึ้นโดยผิดกฎหมายกระทบกระเทือนความเลื่อมใสในสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นหน้าที่ทางศีลธรรมหรือหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีหรือหน้าที่ทางการเมือง เช่นเดียวกับ หน้าที่รักษาโบราณวัตถุ , หน้าที่ไปเลือกตั้ง , หน้าที่ป้องกันประเทศ , หน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นต้น การไม่ลบข้อความดังกล่าวของ “เจ้าของปั้มน้ำมัน” เป็นการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึก ปราศจากหน้าที่บังคับ จึงเป็น “ละเว้นการกระทำ” ซึ่งไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด ไม่เป็นผิดมาตรา112 โดยมิพักต้องพิจารณาต่อไปว่าข้อความนั้นๆเข้าองค์ประกอบอื่นๆอีกหรือไม่ เพราะตราบเมื่อ “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ได้ “สะดุดขาดตอนลง” ผลในทางกฎหมายย่อมไม่เกิดขึ้นดุจกัน
----------------------
เชิงอรรถ
[1] มติชน [ออนไลน์],“หมิ่นสถาบันกษัตริย์ ในห้องน้ำปั๊มน้ำมัน “มีชัย ฤชุพันธุ์” เตือน ถ้าเจ้าของไม่ลบทิ้งอาจมีความผิดเสียเอง แนะแจ้งตำรวจ”ใน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1285774283&catid=no [เข้าถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2553] และโปรดดูสิ่งพิมพ์อื่น.
[2] โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน วรเจตน์ ภาคีรัตน์ , รพี’42 [วารสาร] , “ระบบแห่งบรรทัดฐานทางกฎหมาย” , (กรุงเทพ : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) หน้า 35 – 44.
[3] โทษในทางอาญา บัญญัติไว้ใน ภาค1 บทบัญญัติทั่วไป มาตรา 18 มีดังนี้ 1.ประหารชีวิต , 2.จำคุก , 3.กักขัง , 4.ปรับ , 5.ริบทรัพย์สิน หาก “ผลในทางกฎหมาย” ตาม “องค์ประกอบส่วนเหตุทางกฎหมาย” ใด มีสภาพบังคับ (sanction) อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมาในมาตรา 18 นี้ ย่อมเป็นความผิดทางอาญาทั้งสิ้น ไม่ว่าบทบัญญัติดังกล่าว จะปรากฎตัวในประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ก็ตาม.
[4] ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา17 บัญญัติว่า “บทบัญญัติในภาค1แห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย”.
[5] ไพจิตร ปุญญพันธุ์ , คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด , พิมพ์ครั้งที่ 12 , (กรุงเทพฯ : นิติบรรณการ , 2551) หน้า 6-8.
[6] ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา59 วรรคท้าย บัญญัติว่า “การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”
[7] ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของรัฐที่มีอารยะ โดยบังคับแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริมีพันธะให้มีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องหรือเคารพรัฐธรรมนูญ ทั้งในรูปของคำสาบาน(Oath) เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม มาตรา91(2) บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์จะขึ้นครองราชบัลลังค์ได้ต่อเมื่อได้สาบานตนต่อสภา ว่า “ข้าพเจ้าสาบานว่า จะเคารพรักษารัฐธรรมนูญและกฎหมายของประชาชนชาวเบลเยี่ยม จะปกป้องอิสรภาพของชาติ และบูรณภาพแห่งอาณาเขตของผองเรา” , ทั้งในรูปของข้อบังคับโดยตรง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรบาร์เรน มาตรา 33 ข้อบี บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์(มีหน้าที่)พิทักษ์รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และพิทักษ์ความสูงสุดแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย...” ฯลฯ “การไม่กระทำ”ตามหน้าที่ดังกล่าวของพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นการ “งดเว้นการกระทำ” ผลคือ การนั้นๆ มิได้ทรงกระทำในฐานะพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
[8] จิตติ ติงศภัทิย์ , กฎหมายอาญาภาค 1 , (กรุงเทพฯ : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา , 2546) หน้า 175-176
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
"คอป."พบ"ศอฉ."แจงเหตุพฤษภาเลือด รอบ2
นายสมชาย หอมละออ ประธานกรรมการสิทธิมนุษย์ชน สภาทนายความ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่เกิดขึ้นช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าพบพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้แทนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อขอรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเป็นครั้งที่สอง หลังจากเคยเดินทางเข้าพบแล้ว 1 ครั้งเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาในการหารือ 3 ชั่วโมง
จากนั้นนายสมชาย กล่าวถึงผลการหารือว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ได้ชี้แจงตอบคำถามจากหนังสือที่คณะอนุกรรมการได้ส่งแนวทางและประเด็นการสอบถามเหตุการณ์ความไม่สงบรวม 17 คำถาม จากการเข้าพบสองครั้งได้รับความร่วมมือจากศอฉ.เป็นอย่างดีในการให้ข้อมูล แต่ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ศอฉ.จะต้องตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น นโยบาย การปฏิบัติการ การจำกัดสิทธิ การปิดสื่อว่า มีหลักการการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงผู้ที่ถูกจับกุมที่ดีเอสไอไม่ได้รับผิดชอบ เราจะได้ติดตามตามว่า มีการดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านี้โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยให้บุคคลเหล่านี้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งจากการที่พล.ท.พีระพงษ์ได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนเสื้อในต่างจังหวัด และเยี่ยมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมชุมนุมแล้วถูกดำเนินคดีที่จ.อุดรธานี และจ.ขอนแก่นด้วย ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารพอสมควรเพื่อจะได้ดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป
“จากเหตุการณ์ช่วงเดือนเม.ย.ที่มีความซับซ้อน มีระยะเวลายาวนาน ซึ่งการเข้าพบครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลกว้างๆ จึงได้ตกลงกับศอฉ.ในการแสวงหาข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นกรณีเฉพาะในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จำนวน 10 กรณี อาทิ เหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เหตุการณ์กระชับพื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เหตุการณ์นักข่าวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิต เหตุการณ์ที่บ่อนไก่ ซอยรางน้ำ ราชปรารภ วัดปทุมวนาราม และสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจะมีคณะกรรมการแต่ละชุดลงไปสอบแต่ละเหตุการณ์ คาดว่า จะใช้เวลา 1 - 2 เดือน โดยจะเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และจะมีคำถามมายังศอฉ.เป็นระยะๆต่อไป เพื่อให้ศอฉ.ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งภายในปีนี้คอป.จะเข้าพบศอฉ.อีก 1 - 2 ครั้ง”นายสมชายกล่าว
ที่มา.เนชั่น
จากนั้นนายสมชาย กล่าวถึงผลการหารือว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ได้ชี้แจงตอบคำถามจากหนังสือที่คณะอนุกรรมการได้ส่งแนวทางและประเด็นการสอบถามเหตุการณ์ความไม่สงบรวม 17 คำถาม จากการเข้าพบสองครั้งได้รับความร่วมมือจากศอฉ.เป็นอย่างดีในการให้ข้อมูล แต่ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ศอฉ.จะต้องตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น นโยบาย การปฏิบัติการ การจำกัดสิทธิ การปิดสื่อว่า มีหลักการการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงผู้ที่ถูกจับกุมที่ดีเอสไอไม่ได้รับผิดชอบ เราจะได้ติดตามตามว่า มีการดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านี้โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยให้บุคคลเหล่านี้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งจากการที่พล.ท.พีระพงษ์ได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนเสื้อในต่างจังหวัด และเยี่ยมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมชุมนุมแล้วถูกดำเนินคดีที่จ.อุดรธานี และจ.ขอนแก่นด้วย ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารพอสมควรเพื่อจะได้ดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป
“จากเหตุการณ์ช่วงเดือนเม.ย.ที่มีความซับซ้อน มีระยะเวลายาวนาน ซึ่งการเข้าพบครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลกว้างๆ จึงได้ตกลงกับศอฉ.ในการแสวงหาข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นกรณีเฉพาะในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จำนวน 10 กรณี อาทิ เหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เหตุการณ์กระชับพื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เหตุการณ์นักข่าวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิต เหตุการณ์ที่บ่อนไก่ ซอยรางน้ำ ราชปรารภ วัดปทุมวนาราม และสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจะมีคณะกรรมการแต่ละชุดลงไปสอบแต่ละเหตุการณ์ คาดว่า จะใช้เวลา 1 - 2 เดือน โดยจะเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และจะมีคำถามมายังศอฉ.เป็นระยะๆต่อไป เพื่อให้ศอฉ.ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งภายในปีนี้คอป.จะเข้าพบศอฉ.อีก 1 - 2 ครั้ง”นายสมชายกล่าว
ที่มา.เนชั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)