บทเรียนความรุนแรง..อำนาจรัฐ!
วันเวลาเวียนมาบรรจบห้วงตุลาฯเดือนแห่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยประชาชน ประชาธิปไตย เผด็จการ ความรุนแรงและอำนาจรัฐถูกบรรยายผ่านภาพเหตุการณ์เดือนตุลาคมไว้ได้อย่างน่าครุ่นคิดนัก
ขอลำดับเรียบเรียงวันเวลาผ่านมุมมองของ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ที่ได้นำเสนอไว้ในงาน 34 ปี 6 ตุลาฯ เมื่อไม่นานมานี้ “ความรุนแรงและอำนาจรัฐ” นั่นคือหัวข้อที่ ถูกนำมาถ่ายทอดโดยการวิพากษ์อย่างวิพากษ์ไว้ได้อย่างแหลมคมยิ่ง
นิยามความรุนแรง
“โดยพื้นฐานแล้วเรามักเข้าใจว่าความรุนแรง คือการทำร้ายร่างกาย การฆ่าฟัน ทำลายชีวิตผู้อื่น แต่ว่าหากเรามองความรุนแรงในแง่ที่กว้างกว่านั้น นั่นก็คือการทำให้มนุษย์หมดโอกาสหรือสูญเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเขาที่จะเป็นมนุษย์ อย่างสมบูรณ์ที่สุด ความรุนแรงในแง่นี้มีความหมาย กว้างขวางกว่าการทำร้ายร่างกายกว่าการทุบตี หรือฆ่าชีวิตผู้อื่น ซึ่งอาจจะหมายถึงความรุนแรงในแง่เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร”
ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
“ประเทศเราเป็นประเทศที่มีปัญหาช่องว่าง ในเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง มีดัชนี ตัวเลขทางเศรษฐกิจมากมาย จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศช่วงทศวรรษ 1960 คนจำนวนมากมีช่องว่างทางรายได้ โดยเปรียบเทียบ กับคนที่มีฐานะดี จะไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ในช่วง 1960-2005 มีตัวเลขของสหประชาชาติที่น่าสนใจมากๆ ที่จะได้เห็นว่า เมื่อเริ่มมีการพัฒนาประเทศ ไทยในช่วงทศวรรรษ 1960 ช่องว่างทางรายได้ของ คนจนกับคนรวยในสังคมไทย ถ้าเทียบเป็นดัชนีประมาณ 0.3 เมื่อพัฒนามาถึงปี 2005 ช่องว่างห่างเพิ่มขึ้นถึง 0.4 แต่ในช่วงที่พัฒนาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งมากขึ้น ซึ่งตัวเลขสวนทางกับ การพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันของ ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่พัฒนานานขึ้น ช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยลดลง”
“ตัวเลขที่สองที่น่าสนใจ คือ รายได้ของคนภาคเกษตร มีงานศึกษาจำนวนมากที่แสดงให้เห็น ว่า รายได้ของคนในภาคเกษตรในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา เทียบเคียงแล้วจะไม่เคยเพิ่มขึ้นเลยอยู่ในอัตราที่คงตัวตลอดเวลา ผลของการที่รายได้ของคนในภาคเกษตรไม่เพิ่มขึ้นเลย ส่งผลให้คนในภาคเกษตรต้องออกมาทำงานเป็นคนงาน หรือแรงงาน รับจ้างในเขตเมือง เป็นคนงานภาคอุตสาหกรรม”
“นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขทางสถิติจำนวนมากที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งบอกถึงรายได้ของคนงานภาคอุตสาหกรรม รายได้ของคนจนในเมืองรอบ 30-40 ปี รายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น แต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่ม ขึ้นเลย หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา คนงานไทยอาจมีรายได้ขั้นต่ำสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับ อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกๆ ปี ตัวเงินที่คนงานไทยมีในรอบ 30-40 ปีไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
“ความรุนแรงทางเศรษฐกิจแบบนี้เป็นสาเหตุ ของปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ปัญหาคน ไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง กรุงเทพฯ เป็นมหานครอันดับ ต้นๆ ของโลกที่มีคนที่ไร้บ้านอยู่มากที่สุด ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโสเภณีมากที่สุดในโลก นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้ว ตัวเลขของสหประชาชาติบอกว่าประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน มีลักษณะต่างๆ อย่างที่เราเรียกว่า ไซด์ไลน์ ไม่ไซด์ไลน์ ทางตรง ทางอ้อม ทั้งหมดอะไรก็ตามแต่ทั้งหมดมี 2 ล้านคน นี่คงไม่ใช่ตัวเลขที่ปกติแน่นอน นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
ความรุนแรงทางกฎหมาย
“กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งคนไม่ ค่อยเห็นว่ากฎหมายคือความรุนแรง เรื่องนี้อาจจะ เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพราะว่าเราอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินมา ค่อนข้างจะนานแล้ว แต่หลายท่านก็เข้าใจว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติ ที่รัฐบาลออกมาเพราะว่า มีความจำเป็นต้องออก เนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีลักษณะพิเศษหลายข้อ ข้อหนึ่ง ที่สำคัญมาก คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำหลายๆ เรื่อง ซึ่งในสภาวะปกติแล้วไม่ผิด กลายเป็น การกระทำที่ผิด ลองนึกตัวอย่างของคนที่ถูกจับเนื่อง จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้ปรากฏแล้วว่ามีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวกล่องจากตลาดไทยไปให้ผู้ชุมนุม ถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังคงติดคุกอยู่ คำถามการขนข้าวกล่องเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คำตอบคือโดยตัวการกระทำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าพอเกิดการกระทำนี้ในเวลาที่กฎหมายบอกว่า กระทำแบบนี้ผิด เลยกลายเป็นความผิดขึ้นมา ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูว่า การเอาข้าวมาให้คนกินมันผิด กฎหมายตรงไหน คำตอบคือมันไม่ผิด คนจำนวนมากที่ถูกยิงตายหรือบาดเจ็บ ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นคนที่โดยปกติการกระทำของ เขาไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นคนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติ บางคนไม่มีส่วนในการชุมนุมโดยตรง ในหลายๆ พื้นที่ คนที่ถูกจับ อย่างเช่นที่อุบลฯ คนจำนวนหนึ่งถูกจับโดยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ถูกกฎหมายลงโทษว่าอยู่ผิดที่ผิดเวลา ในสถานการณ์ที่กฎหมายบอกว่าการกระทำแบบนั้นผิด ฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นตัวอย่างความรุนแรง ที่ทำให้การ กระทำโดยตัวมันเองแล้วไม่ผิดกลายเป็นผิด
และผลจากการกระทำแบบนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก ตายหรือบาดเจ็บ โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบเลยจนถึงปัจจุบัน”
ความรุนแรงทางอุดมการณ์
“ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง อย่างมาก ในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ก็จะ เห็นได้ว่าความรุนแรงทางวาทกรรม ความรุนแรงทางอุดมการณ์กลายเป็นข้อขัดแย้ง ในกลุ่มคนต่างๆ อย่างกว้างขวาง อาทิเช่น 112 กรณีโดยจับคนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อความคิดว่า การเมืองไทยหรือ การปกครองไทย คือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ การนิยามว่าประชาธิปไตยคืออะไร ซึ่งหลายๆ กรณีอาจไม่มีความผิด หลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือหลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็ได้”
“ประชาธิปไตยคือการเมืองการ ปกครองที่มีสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง นอกจากจะมีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว อาจจะต้องมี องค์ประกอบอื่นๆ เช่น เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชนขั้นพื้นฐาน เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพหรือความเท่าเทียม ทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรมต่างๆ ทางสังคมอย่างสมบูรณ์ นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมว่า ถ้าเราดูประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีวิธีการนิยามประชาธิปไตยต่างๆ มากมาย ในบ้านเราประชาธิปไตยถูกนิยามผ่านกรอบ บางเรื่อง ซึ่งในที่สุดสร้างปัญหาบางอย่าง ซึ่งทำให้คนได้รับความเดือดร้อนโดยที่อาจจะไม่มีเหตุอันควร”
ความรุนแรงยุคจอมพลสฤษดิ์
“งานวิจัยของนักวิชาการชาวต่าง ประเทศ ท่านหนึ่ง พูดถึงความรุนแรงได้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะการจับคนไปขังในบ้านเรา หรือการหน่วงเหนี่ยวสิทธิเสรีภาพของคนโดยพลการ ท่านได้ศึกษาปรากฏการณ์แบบนี้บางช่วง ช่วงแรกคือสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงที่สองคือสมัย 6 ตุลาฯ 2519 และช่วงที่สามคือเรื่องของคนที่ถูกกล่าวหาในเรื่องของการ ค้ายาเสพติดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ความรุนแรงในสามช่วงนี้มีลักษณะคล้ายๆ กันคือว่า คนจำนวนมากถูกจับกุม กักขังโดยพลการเป็นเวลายาวนานก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยว่าเขาทำผิดอะไร”
“ในกรณีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วง พ.ศ.2501 คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยสังคม ตามที่จอมพล สฤษดิ์ เห็นว่าเขาเป็น คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ คำสั่งสำนักนายกฯ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ บางฉบับ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ กักขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใน 30 วัน และการต่ออายุทำได้โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลโดยไม่มีกำหนดเวลา อันนี้ก็น่าสนใจเหมือนในกรณีที่คนเสื้อแดงโดนจับ โดยที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมหรือกักขังคน เหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในกรณีของประเทศ ไทยในปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนก็คือว่า ในการจับกุมและกักขังโดยทางการพิจารณา ของศาล ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่ว่าในยุคของจอมพล สฤษดิ์ กักขังโดยไม่ผ่านการพิจารณาของ ศาล แต่ในปัจจุบันศาลพิจารณาให้กักขังได้”
“น่าสนใจว่าคำสั่งที่ให้จับกุมคนแบบ นี้ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ถูกยกเลิกไปใน สมัยหลัง 14 ตุลาฯ 2516 ซึ่งหมายความว่า เราเป็นประเทศที่มีคนที่ถูกจับกุมกักขังโดย ไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ต้องผ่านการ พิจารณาของศาลถึง 16 ปี คำถามที่น่าจะ พิจารณาก็คือว่า ในการยกเลิกคำสั่งนี้ในปี 2516 เกิดขึ้นเพราะเห็นว่าคำสังนี้ขัดกับหลักประชาธิปไตย แล้วคนที่ถูกจับไปในช่วง ที่จอมพลสฤษดิ์ มีอำนาจเป็นเวลา 16 ปีนั้นเป็นร้อยๆ คน จนถึงบัดนี้มีใครชดเชยความสูญเสีย หรือความยุติธรรมให้พวกเขา หรือยัง อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงกฎหมาย ซึ่งถูกยกเลิกด้วยเหตุผลว่า ขัดกับหลักประชาธิปไตย แสดงว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด เมื่อเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิดคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชย ความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง”
บทเรียน 6 ตุลาฯ มหาวิปโยค
“ในกรณี 6 ตุลาฯ ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กันก็คือว่า มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุม และต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่า เพื่อให้คนเป็น พลเมืองดี คนที่มีอำนาจจับกุมมีกว้างขวาง มาก ผู้บัญชาการทหารก็จับได้ ผู้บัญชาการตำรวจก็จับได้ ผู้ว่าราชการก็จับได้ ตัวเลข คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาฯ ก็ค่อนข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2,000 บางตัวเลขบอกว่า 10,000 กอ.รมน.บอกว่า บุคคลที่ต้องการจับกุมในช่วย 6 ตุลาฯ อยู่ที่ 60,000 คน ซึ่งไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริงของคนที่ถูกจับกุมหลัง 6 ตุลาฯ เท่าไหร่แน่ แต่นี่คือ สภาพของสังคมที่รัฐให้อำนาจคนบางกลุ่ม จับกุมคนอื่นได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งเคยเกิด ขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วช่วง 6 ตุลาฯ”
“นอกจากนี้ นักวิชาการท่านดังกล่าว ได้พูดถึงการอบรมคนให้เป็นพลเมืองดีไว้น่าสนใจเหมือนกันว่า ถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี น่าสนใจตรงที่ผู้ถูกจับกุม บอกว่า เขาไม่ได้ถูกซ้อมหรือทรมาน หมาย ความว่า เขาไม่ได้มองว่าการซ้อม หรือการ ทรมานเป็นปัญหาที่คุกคามเขามากเท่ากับ การถูกอบรมในเรื่องซ้ำๆ ซากๆ คนจำนวน มากที่ถูกจับกุมในช่วงหลัง 6 ตุลาฯ เป็นแค่ครูสอนสังคมศึกษาก็มี เป็นแค่คนที่มีหนังสือบางเล่มที่ในยุคนั้นถือว่าผิดกฎหมายก็มี ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ แม้ผู้ถูกจับกุม ทั้งหมดไม่เผชิญปัญหาจากการซ้อมหรือทรมาน แต่ทุกคนกลับรู้สึกกลัวว่าอาจถูกซ้อมหรือถูกทรมานได้ทุกเมื่อ อันนี้ก็เป็นที่น่าสนใจว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร”
คุกคามทางความเชื่อ
“ในด้านหนึ่งความรุนแรงทำให้คนรู้สึกกลัวว่าจะถูกทำร้ายถึงไม่มีการทำร้าย จริงๆ แต่ความรู้สึกกลัวก็ถือเป็นการคุกคาม อยู่อย่างไม่ปกติสุข นอกจากนั้น ก็เป็น การคุกคามด้านความเชื่อ ด้านอุดมการณ์ การถ่ายทอดความเชื่อ หรือความคิดบางอย่างให้คนรู้สึกว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนเพื่อ ให้เป็นพลเมืองดีแห่งชาติอยู่ตลอดเวลา”
“เรื่องแบบนี้คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับประเทศไทยยุคปัจจุบันนี้ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนกัน ก็มีการจับคนในลักษณะแบบนี้ มีการจับคนมารับการฝึกใน ศูนย์ที่ทางราชการจัดไว้ พร้อมทั้งได้รับการ อบรม ว่าการเป็นพลเมืองดีคืออะไร ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้องคืออะไร ศาสนาอิสลามที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่จะได้รับ การอบรมเป็นเวลา 30-45 วัน จนกว่าทหารที่เป็นผู้อบรมเห็นว่าคนเหล่านี้พร้อม แล้วที่จะกลับไปสู่สังคมใหม่และใช้ชีวิตอย่างพลเมืองดีของไทยอีกครั้งหนึ่ง นี่คือวิธีการที่คล้ายๆ กับ 6 ตุลาฯ ซึ่งเรื่องแบบนี้ ยังเกิดขึ้นอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”
เผด็จการเร่งปฏิกิริยาต่อต้าน
“การปราบปรามโดยรัฐในที่สุดมัน เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันส่งผลต่อพฤติกรรม ทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ เพราะทำ ให้คนคิดมากขึ้นในการใช้สิทธิเสรีภาพ ระวังตัวมากขึ้นในการพูดและคิด ทำให้รู้สึก ว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง หรือถ้าการข่มขู่มีระดับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นความรุนแรงโดย ใช้กฎหมาย หรือไม่ใช้กฎหมายก็ได้ การข่มขู่ก็อาจทำให้คนตัดสินใจปิดปากเงียบเพื่อป้องกันความเดือดร้อน ฉะนั้น การ ข่มขู่หรือปราบปรามโดยรัฐในลักษณะแบบ นี้ ที่สุดแล้วมันคือศัตรูของสิทธิเสรีภาพโดยตรง เรื่องที่รัฐไม่ค่อยได้คิดคือการข่มขู่ หรือการปราบปรามแบบนี้ ในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง การปราบปราม หรือการข่มขู่แบบนี้จะส่งผลให้ประชาชนต่อต้านรัฐ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะอันนี้คือปัญหาใหญ่ของประเทศในปัจจุบัน ว่าเราเป็นสังคมที่รัฐมีการใช้ความรุนแรงกับ ประชาชนอย่างสูงโดยเฉพาะหลังปี 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น อย่างมากมาย ความรุนแรงทางกฎหมาย การทหาร การเมืองมีเพิ่มขึ้น และแนวโน้ม จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้โจทย์ที่รัฐควรคิดคือ รัฐต้องคิดว่าเมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ ควบคุมความ เคลื่อนไหว ควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนได้ทั้งหมด ซึ่งถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ทางการเมืองของคนใน สังคมต่างๆ เราจะเห็นว่าสิ่งที่รัฐเข้าใจในเรื่องนี้มันผิด”
“การควบคุมโดยรัฐ หรือการปราบปรามโดยรัฐ เป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจรัฐแบบเผด็จการสูงต้องหยุดคิดเพื่อพัฒนาวิธีการ แบบต่างๆ ในการตอบโต้รัฐออกมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผู้มีอำนาจไม่ค่อยคิดเรื่องดังกล่าว กลับคิดว่าการใช้อำนาจในแบบเผด็จการแล้วจะทำให้คนในสังคมเงียบหรือคนในสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น”
“ลองนึกถึงสังคมไทยช่วงหลัง 6 ตุลาฯ 2519 ซึ่งความรุนแรงทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ขยายตัว การต่อต้านอำนาจรัฐขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง สงครามใน เขตป่าเขาขยายตัวขึ้นมีความหมายครอบคลุมไปถึงการทำร้ายทางกายภาพก็โดยใช้ความรุนแรงดักใจเขา มวลชนที่ทำ งานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเมืองมีมาก ขึ้น เนื่องจากคนที่ไม่ถูกปราบ หรือผู้ที่ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อได้เห็นถึงความรุนแรงในการปราบก็เกิดต่อต้านขึ้น ฉะนั้น หลัง ความรุนแรงจึงได้มีการพื้นตัว และส่งผลถึงการเมืองและสังคมไทยอย่างรุนแรง”
“ในกรณีพฤษภาคม 2553 ก็อาจจะ คล้ายกันคือ เชื่อว่าเมื่อปราบปรามประชาชนที่ราชประสงค์ไปได้แล้ว การต่อต้าน อำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับ ตรงกันข้าม หลังการปราบปรามในช่วงพฤษภาคม 2553 มันมีระยะหนึ่งที่ฝ่ายเสื้อ แดงออกมาพูดอะไร แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็น ประสบการณ์ของฝ่ายที่ถูกปราบให้มีพัฒนาการในรูปแบบของการต่อต้านออกมา”
การฆ่าทางการเมือง
“นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความรุนแรง กับการฆ่าทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ การฆ่าทางการเมืองจะเกิดในสังคม ที่มีความเห็นแตกต่าง ฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่า มักมีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้น การฆ่า ทางการเมืองเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเป็นสังคม ซึ่งโครงสร้างอำนาจ ทางสังคมมีความไม่เข้ากันสูง ถ้าเป็นสังคม ที่มีความเท่าเทียมทางอำนาจการฆ่าจะไม่ เกิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อ ฝ่ายที่รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากๆ เห็นว่า การต่อสู้อย่างสันติไม่มี ทางทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นต่อไปได้แล้ว ก็อาจ จะเกิดการฆ่าทางการเมืองขึ้นมาได้ ทั้งนี้ การฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากหลายฝ่าย ฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าทำก็ได้ ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าทำก็ได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าเป็นคน ทำก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี”
“ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่า หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงทาง การเมืองที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำ ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มันไม่มีทาง ออกจากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขแบบนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหมายถึงว่า เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายเห็นว่า มันมีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความขัดแย้ง โดยไม่ต้องใช้กำลัง คือทำอย่างไรในสังคม ที่อาจจะเกิดการฆ่า เกิดความรุนแรงทาง การเมือง ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า การไม่ใช้พละกำลังเป็นเครื่องมือในการออกจาก โจทย์ที่เขาเผชิญหน้าได้นี่เป็นเรื่องสำคัญ”
“สุดท้าย ในขณะที่เราพูดถึงความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก เรื่องหนึ่ง ที่ต้องยอมรับคือ คนจำนวนมากพูดถึงความ รุนแรง เพื่อเป็นคู่มือในการพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่เราพูดไม่ได้ในปัจจุบัน คิดว่าเป็นปัญหาที่ท้าทายว่า ทำอย่างไรเราจะเป็น สังคมซึ่งเดินไปสู่จุดที่เห็นว่า ความรุนแรง ทางการเมืองทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับ ไม่ได้”
“ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในช่วง 10 กว่าปี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐบาล ใดก็ตาม คิดว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่า เราสามารถพูดถึงความรุนแรงโดยหลุดไปจาก กรอบทางการเมือง หลุดไปจากเหตุผลทาง การเมือง หลุดไปจากอคติทางการเมืองที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบันได้หรือเปล่า เพราะตราบใดที่เราหลุดออกจากกรอบนี้ไม่ได้ โจทย์ที่เป็นโจทย์ของสังคมไทยจะไม่ใช่โจทย์ความรุนแรงทางการเมืองเป็นเรื่องผิดถูก แต่กลายเป็นโจทย์ว่าความรุนแรงทางการเมืองถูกใช้โดยใคร ถ้าถูกใช้ในฝ่าย ที่เราเห็นด้วยความรุนแรงนั้นถูก แต่ถ้าความรุนแรงถูกใช้ในฝ่ายที่เราไม่เห็นด้วยความรุนแรงนั้นผิด ตรงนี้ผมคิดว่า มันเป็น ปัญหาที่ท้าทายไม่ใช่เรื่องทางการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องทางจริยธรรมด้วย”
จากเหตุการณ์ในอดีตจวบจนปัจจุบัน ภาพความรุนแรงและการใช้อำนาจรัฐ ยังคงเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่สังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตีความและบูรณาการปัญหา เพื่อนำไปสู่บทสรุป แห่งทางออกที่เท่าเทียม
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ผุดสถานีทีวี.แดงอีสานบุกเรือนจำเยี่ยมแกนนำชี้ขัง4เดือนไม่เป็นธรรม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
คนเสื้อแดงภาคอีสานประกาศขายหุ้นละ 100 บาท จำนวน 1 ล้านหุ้น ระดมทุนตั้งสถานีโทรทัศน์ พร้อมจัดทอดผ้าป่าทุกจังหวัดหาเงินตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมชุมนุม ขณะที่ตัวแทนจากอีสาน 20 จังหวัดบุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพเยี่ยมให้กำลังใจแกนนำ ทนายชี้ถูกขังนาน 4 เดือนไม่ให้ประกันตัวถือว่าไม่เป็นธรรม อัดระเบิดดังตูมตามยังกล่าวหาเสื้อแดงทั้งที่แกนนำอยู่ในคุก “อภิสิทธิ์” ฟุ้งยูเอ็นเข้าใจสถานการณ์ในไทยทิศทางเดียวกับรัฐบาล ไม่สนยื่นเรื่องให้บีบปล่อยตัวนักโทษการเมือง
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆิน ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร รักษาการประธานผู้ประสานงานกลุ่ม นปช. ภาคอีสาน นำแนวร่วม นปช. จาก 20 จังหวัดทั่วภาคอีสานเข้าเยี่ยมแกนนำที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ และทำกิจกรรมวางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง โดยมีตำรวจกว่า 200 นายกระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยทั่วเรือนจำ และมีการตรวจค้นทุกคนที่เข้าเยี่ยมอย่างละเอียด
นายคารมกล่าวว่า วันนี้พามวลชนกว่า 200 คน มาให้กำลังใจแกนนำที่อยู่ในเรือนจำ เพราะแกนนำเหล่านี้ถูกขังมานาน 4 เดือนแล้วยังไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งถือว่ามากเกินพอแล้ว แต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในดุลยพินิจของศาล ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นช่วงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงและบรรดาแกนนำ
“แกนนำอยู่ในคุกแต่ยังเกิดระเบิดถี่แสดงว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่จะเป็นฝีมือของใครผมไม่รู้ อยากให้ตำรวจสืบหา ใครทำผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย” นายคารมกล่าวและว่า แม้แกนนำจะอยู่ในเรือนจำมานานแล้วแต่ยังมีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีเกิดขึ้นตลอด เวลามีเรื่องอะไรก็โยนมาที่คนเสื้อแดงหมด หากเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงจริงก็คงเกิดจากความไม่พอใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ด้านนายวิเชียรชนินทร์กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงภาคอีสานกำลังจะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ นปช.ภาคอีสาน มอบหมายให้นายวรุจ สุคนธ์ เป็นผู้ควบคุมการผลิตรายการ และมีนายโกศล ปัทมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ดูแลสถานี
“จะเปิดให้คนเสื้อแดงร่วมกันเป็นเจ้าของสถานีโดยขายหุ้นละ 100 บาท จำนวน 1 ล้านหุ้น นอกจากนี้ยังเตรียมจัดสร้างอนุสาวรีย์วีรชนเพื่อจัดเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานเอาไว้เป็นรายบุคคล” นายวิเชียรชนินทร์กล่าวและว่า คนเสื้อแดงภาคอีสานกำลังจะร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเสื้อแดงที่เดือดร้อนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการร่วมชุมนุม ประมาณเดือน พ.ย. จะจัดงานระดมทุนที่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นที่แรก นอกจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมผ้าป่าสามัคคีเพื่อวีรชนคนเสื้อแดงในทุกจังหวัดทั่วภาคอีสานด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คนเสื้อแดงจะเข้ายื่นหนังสือต่อนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ช่วงที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อขอให้ช่วยกดดันปล่อยตัวนักโทษการเมืองว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ และยูเอ็นก็มีสิทธิพิจารณาข้อเรียกร้องได้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ชี้แจงเป็นระยะ เชื่อว่าระหว่างยูเอ็นกับรัฐบาลไม่มีอะไรที่เข้าใจแตกต่างกัน
**********************************************************************
คนเสื้อแดงภาคอีสานประกาศขายหุ้นละ 100 บาท จำนวน 1 ล้านหุ้น ระดมทุนตั้งสถานีโทรทัศน์ พร้อมจัดทอดผ้าป่าทุกจังหวัดหาเงินตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมชุมนุม ขณะที่ตัวแทนจากอีสาน 20 จังหวัดบุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพเยี่ยมให้กำลังใจแกนนำ ทนายชี้ถูกขังนาน 4 เดือนไม่ให้ประกันตัวถือว่าไม่เป็นธรรม อัดระเบิดดังตูมตามยังกล่าวหาเสื้อแดงทั้งที่แกนนำอยู่ในคุก “อภิสิทธิ์” ฟุ้งยูเอ็นเข้าใจสถานการณ์ในไทยทิศทางเดียวกับรัฐบาล ไม่สนยื่นเรื่องให้บีบปล่อยตัวนักโทษการเมือง
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆิน ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร รักษาการประธานผู้ประสานงานกลุ่ม นปช. ภาคอีสาน นำแนวร่วม นปช. จาก 20 จังหวัดทั่วภาคอีสานเข้าเยี่ยมแกนนำที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ และทำกิจกรรมวางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง โดยมีตำรวจกว่า 200 นายกระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยทั่วเรือนจำ และมีการตรวจค้นทุกคนที่เข้าเยี่ยมอย่างละเอียด
นายคารมกล่าวว่า วันนี้พามวลชนกว่า 200 คน มาให้กำลังใจแกนนำที่อยู่ในเรือนจำ เพราะแกนนำเหล่านี้ถูกขังมานาน 4 เดือนแล้วยังไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งถือว่ามากเกินพอแล้ว แต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในดุลยพินิจของศาล ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นช่วงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงและบรรดาแกนนำ
“แกนนำอยู่ในคุกแต่ยังเกิดระเบิดถี่แสดงว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่จะเป็นฝีมือของใครผมไม่รู้ อยากให้ตำรวจสืบหา ใครทำผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย” นายคารมกล่าวและว่า แม้แกนนำจะอยู่ในเรือนจำมานานแล้วแต่ยังมีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีเกิดขึ้นตลอด เวลามีเรื่องอะไรก็โยนมาที่คนเสื้อแดงหมด หากเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงจริงก็คงเกิดจากความไม่พอใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ด้านนายวิเชียรชนินทร์กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงภาคอีสานกำลังจะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ นปช.ภาคอีสาน มอบหมายให้นายวรุจ สุคนธ์ เป็นผู้ควบคุมการผลิตรายการ และมีนายโกศล ปัทมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ดูแลสถานี
“จะเปิดให้คนเสื้อแดงร่วมกันเป็นเจ้าของสถานีโดยขายหุ้นละ 100 บาท จำนวน 1 ล้านหุ้น นอกจากนี้ยังเตรียมจัดสร้างอนุสาวรีย์วีรชนเพื่อจัดเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานเอาไว้เป็นรายบุคคล” นายวิเชียรชนินทร์กล่าวและว่า คนเสื้อแดงภาคอีสานกำลังจะร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเสื้อแดงที่เดือดร้อนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการร่วมชุมนุม ประมาณเดือน พ.ย. จะจัดงานระดมทุนที่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นที่แรก นอกจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมผ้าป่าสามัคคีเพื่อวีรชนคนเสื้อแดงในทุกจังหวัดทั่วภาคอีสานด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คนเสื้อแดงจะเข้ายื่นหนังสือต่อนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ช่วงที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อขอให้ช่วยกดดันปล่อยตัวนักโทษการเมืองว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ และยูเอ็นก็มีสิทธิพิจารณาข้อเรียกร้องได้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ชี้แจงเป็นระยะ เชื่อว่าระหว่างยูเอ็นกับรัฐบาลไม่มีอะไรที่เข้าใจแตกต่างกัน
**********************************************************************
บทสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยในประเทศสหราชอาณาจักร
แอนดรูว์ สปูนเนอร์-Asiancorrespondent
ช่วง ต้นเดือนนี้ ผมมีโอกาสได้พบกับสตรีชาวไทยท่านหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานใน ประเทศสหราชอาณาจักรเพราะได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย เธอพำนักอยู่ในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแบบอังกฤษอันเรียบง่าย “ตาล” (นามสมมุติ เนื่องจากเหตุผลของความปลอดภัย) พยายามอดทนกับคำข่มขู่จากคนที่เธอแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่าย ขวาอย่างพันธมิตร และทำให้เธอรู้สึกจำเป็นที่จะต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยและแสวงหาสถานภาพผู้ ลี้ภัยจากประเทศอื่น เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษได้รับรองสถานภาพของเธอ (เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษจะรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยก็ต่อเมื่อมีหลักฐานชัดเจนเท่านั้น) ในปัจจุบันเธอได้รับสิทธิให้อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ 5 ปี (หลังจากนั้นสามารถยื่นขอสถานภาพพลเมืองได้)
ผู้ อ่านจะต้องไม่ลืมว่า ในขณะที่รัฐบาลไทยพยายามกำจัดคนเสื้อแดงอย่างอำมหิต แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยกลับไม่ลงโทษกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงกลุ่มพันธมิตร และผู้สนับสนุนจากการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้เลย ดูราวกับว่ากลุ่มพันธมิตรและผู้สนับสนุนสามารถก่อความรนแรงหรือขู่กรรโชกผู้ คนได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรกระทำการดังกล่าวในนามของกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจหรือ ไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนชาวไทยสามารถคาดหวังความคุ้มครองภายใต้หลักนิติรัฐจากรัฐบาลเมื่อถูกข่มขู่จากกลุ่มพันธมิตรได้หรือไม่? คำตอบเดียวในตอนนี้คือ เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษดูเหมือนจะเห็นด้วยที่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถทำได้
“ดิฉันเป็นคนไทยและจบปริญญาโทจากมหาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปี 2549 หลังจากที่จบการศึกษา ดิฉันได้ทำงานในตำแหน่งนักวิจัยให้กับองค์กรระหว่างประเทศเอ็นจีโอ ดิฉันเดินทางออกจากประเทศไทยในต้นปี 2552 เพราะ มีคนโทรศัพท์มาขู่ฆ่าดิฉันทางโทรศัพท์มือถือส่วนตัว สามีดิฉันได้รับจดหมายคุกคามที่ถูกส่งไปยังที่ทำงาน และถูกข่มขู่หลายครั้งจากผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารในปี 2549 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และมีความกังวลถึงเรื่องสภาวะที่ไร้ความยุติธรรมและระบบนิติรัฐ กลุ่มพันธมิตรกระทำการอันรุนแรงทางการเมืองทุกวัน และกฎหมายที่กดขี่ถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ดิฉันทิ้งทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดไว้ที่บ้านพักในกรุงเทพ และเดินทางมาที่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กเพียงหนึ่งใบ ดิฉันต้องลาออกจากงาน ทิ้งเพื่อนและครอบครัวไว้ข้างหลัง และในเวลานั้นดิฉันไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาก่อน
ดิฉันยื่นขอสถานภาพลี้ภัยทางการเมืองในประเทศสหราชอาณาจักรด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า หากดิฉันเดินทางกลับไปยังประเทศไทย ดิฉัน อาจจะเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะกิจกรรมทางการ เมืองของดิฉัน และความสัมพันธ์ใกล้ชิดของดิฉันกับสามี ตั้งแต่ปี 2543 เรา ได้เขียนหนังสือบทความ และดำเนินโครงการเกี่ยวกับสิืทธิมนุษยชนร่วมกันหลายโครงการ เราทั้งสองคนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำอันรุนแรงใดๆ เราเพียงแค่สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการทำรัฐประหารในปี 2549 และการทำลายระบอบประชาธิปไตยในภายหลังเท่านั้น
กลุ่ม คนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่ดิฉันกล่าวถึงคือกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มเผด็จ การฟาสซิสต์พันธมิตรที่ยึดและทำลายทำเนียบรัฐบาล ใช้ความรุนแรงและอาวุธนอกรัฐสภา และยังยึดสนามบินนานาชาติถึงสองแห่งในปี 2551 ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักกิจกรรมเอ็นจีโอ ดิฉันจึงรู้จักผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเป็นการส่วนตัว และพวกเขารู้จักดิฉันดีพอที่จะข่มขู่เอาชีวิตดิฉันทางโทรศัพท์มือถือ และยังด่าทอดิฉันต่อหน้าในขณะที่ดิฉันทำงาน เวลาที่คนเหล่านั้นโทรมาข่มขู่ดิฉัน พวกเขาจะพูดว่า “ระวังตัวให้ดี … แกจะถูกอุ้มฆ่า” .. “แกจะถูกยิง” .. “ระวังตัวไว้ให้ดีเวลาไปไหนมาไหน เพราะแกจะถูกอุ้มฆ่า” ในเวลานั้น ดิฉันพยายามไม่ใส่ใจคำข่มขู่เหล่านี้ เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขในระดับหนึ่ง
เวปไซต์กลุ่มพันธมิตร อย่างเช่น ASTV ได้ เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและปลุกระดมให้มีการใช้ความรุนแรงกับนักกิจกรรมผู้ เรียกร้องประชาธิปไตยคนเสื้อแดง การคุกคามโดยกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐนั้นรวมไปถึงประชาทัณฑ์ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต และการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้ามด้วย
ดิฉัน ต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษว่าดิฉันเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม จากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะระบบนิติรัฐถูกทำลายและความรุนแรงทางการ เมืองที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 โดยการกระทำของเจ้าหน้ารัฐไทยและรวมไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรอีกด้วย ซึ่งการกระทำนั้นรวมถึงการที่ทหารยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ จำนวนนักโทษทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดิฉันต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษเห็นว่าสิทธิมนุษยชนและระบบนิติรัฐ ในประเทศได้เสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรง โดยดิฉันสามารถพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่นี่เห็นว่าคณะรัฐบาลไทยเต็มไป ด้วยสมาชิกลุ่มพันธมิตรและมีกองทัพหนุนหลัง นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางสิทธิมนุษยชน ผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้เขียนจดหมายรับรองดิฉันในการยื่นขอสถานภาพผู้ลี้ ภัย ดิฉันยังได้ยกรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และบทความในหนังสือพิมพ์ที่น่าเชื่อถือประกอบการยื่นขอนี้ด้วย
ในปัจจุบันดิฉันได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยและมีสิทธิพำนักในประเทศสหราชอาณาจักรได้ 5ปี และขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ
Robert Amsterdam
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ครม.ชื่นชม‘กษิต’กดดันนานาชาติจำกัดพื้นที่‘แม้ว’
จาก.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“กษิต” รายงานคณะรัฐมนตรีมอนเตเนโกรพร้อมให้ความร่วมมือไทยจัดการกับ “ทักษิณ” หากพบใช้พื้นที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ระบุต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย โฆษกรัฐบาลยันไม่ได้ไล่ล่า แต่ชื่นชมรัฐมนตรีต่างประเทศทำงานประสบความสำเร็จ สามารถจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวของอดีตนายกฯได้
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศมอนเตเนโกรให้ที่ประชุมรับทราบ โดยระบุว่า จากการหารือกับนายฟิลลิป วูจาโนวิก ประธานาธิบดีมอนเตเนโกร และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี ได้รับคำชี้แจงว่าการให้สัญชาติและหนังสือเดินทางเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด คือต้องเป็นผู้ลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 500,000 ยูโร จึงได้รับสถานะพลเมืองทางเศรษฐกิจ (Economic Citizenship Programme) ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง และไม่ได้เป็นการแทรกแซงกิจการในประเทศไทย ซึ่งทางมอนเตเนโกรได้กำชับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วว่าห้ามใช้ดินแดนดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หรือเพื่อให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวในประเทศไทย หากพบว่าผิดข้อตกลงจะพิจารณาทันที จึงแจ้งต่อมอนเตเนโกรว่าประเด็นของ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมอนเตเนโกร
อย่างไรก็ตาม มอนเตเนโกรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเกี่ยวกับกรณียกเลิกหรือต่ออายุหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ผู้นำระดับสูงของมอนเตเนโกรแสดงความจริงจังที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าว และพร้อมจะเจรจาเปิดเผยกับไทยในเรื่องนี้ เพราะต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศ
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า รัฐบาลไม่เคยมีนโยบายไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงตอบไม่ได้ว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณพำนักอยู่ที่ใด อย่างไรก็ดี ถือว่ากระทรวงการต่างประเทศทำงานประสบความสำเร็จในการปิดล้อมพื้นที่และกดดัน ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ประเทศต่างๆโจมตีไทยได้น้อยลง
**********************************************************************
“กษิต” รายงานคณะรัฐมนตรีมอนเตเนโกรพร้อมให้ความร่วมมือไทยจัดการกับ “ทักษิณ” หากพบใช้พื้นที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ระบุต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย โฆษกรัฐบาลยันไม่ได้ไล่ล่า แต่ชื่นชมรัฐมนตรีต่างประเทศทำงานประสบความสำเร็จ สามารถจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวของอดีตนายกฯได้
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศมอนเตเนโกรให้ที่ประชุมรับทราบ โดยระบุว่า จากการหารือกับนายฟิลลิป วูจาโนวิก ประธานาธิบดีมอนเตเนโกร และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี ได้รับคำชี้แจงว่าการให้สัญชาติและหนังสือเดินทางเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด คือต้องเป็นผู้ลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 500,000 ยูโร จึงได้รับสถานะพลเมืองทางเศรษฐกิจ (Economic Citizenship Programme) ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง และไม่ได้เป็นการแทรกแซงกิจการในประเทศไทย ซึ่งทางมอนเตเนโกรได้กำชับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วว่าห้ามใช้ดินแดนดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หรือเพื่อให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวในประเทศไทย หากพบว่าผิดข้อตกลงจะพิจารณาทันที จึงแจ้งต่อมอนเตเนโกรว่าประเด็นของ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมอนเตเนโกร
อย่างไรก็ตาม มอนเตเนโกรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเกี่ยวกับกรณียกเลิกหรือต่ออายุหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ผู้นำระดับสูงของมอนเตเนโกรแสดงความจริงจังที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าว และพร้อมจะเจรจาเปิดเผยกับไทยในเรื่องนี้ เพราะต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศ
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า รัฐบาลไม่เคยมีนโยบายไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงตอบไม่ได้ว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณพำนักอยู่ที่ใด อย่างไรก็ดี ถือว่ากระทรวงการต่างประเทศทำงานประสบความสำเร็จในการปิดล้อมพื้นที่และกดดัน ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ประเทศต่างๆโจมตีไทยได้น้อยลง
**********************************************************************
แดงฮาร์ดควาย แฉทำลาย เพื่อนร่วมอุดมการณ์
"เมธี VS ตู่ จตุพร" จับคู่ซดกันเอง สาวไส้มันหยด "เมธี" โวยถูกโทร.ขู่ฆ่า แค้นถูกหาทรยศเสื้อแดง แฉตั้งแต่ 3 เกลองุบงิบเงินบริจาค 68 ล้านยันเรื่องในมุ้ง ลั่นอยู่เคียงข้างปกป้อง "เสธ.แดง" ตลอด วันที่ 10 เม.ย.มีสุนัขตัวหนึ่งโทร.อ้อน ขอร้องโหยหวนให้พี่แดงช่วยเพราะกลัวทหารเอาจริง ท้าเจอกันต่อให้ 2 คนจะขยี้ให้เละ ด้าน "จตุพร" ควันออกหู โต้ดุ "ฮาร์ดควาย" ขู่ใครให้ดูหน้าบ้าง ยันเสธ.ตาย-เสื้อแดงถูกจับเพราะ "นู้ดถ่อย" เผยเงินบริจาคมีแค่ 37 ล้าน ใช้หมดแล้ว ไม่มีสู้แล้วรวย "สุรชัย" ประจานซ้ำ เคยมีแดงมาติดต่อให้สนับสนุนฝึกอาวุธ แต่ปฏิเสธ ไม่ชอบรุนแรง
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นายเมธี อมรวุฒิกุล แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ในฐานะพยานในคดีก่อการร้ายที่อยู่ในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ ได้เดินทางเข้ามาร้องต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้โทร.มาข่มขู่ปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต
จากนั้นนายเมธีได้สร้างความประหลาดใจด้วยการนั่งแถลงข่าวในห้องแถลงดีเอสไอ "ผมมาพบอธิบดีดีเอสไอเพื่อรายงานเรื่องที่นายจตุพรได้โทร.ข่มขู่ผมว่าจะตามล่า ตามฆ่า"
นายเมธีแถลงว่า ขอเปิดเผยในหลายประเด็นของพฤติกรรมนายจตุพร เช่นกล่าวให้ร้ายตนเองว่าเป็นคนทรยศคนเสื้อแดง โดยขอพูดประเด็นที่นายจตุพรออกมากล่าวหาตนว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไปว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่มีข่าวกับฟิล์ม จึงได้อธิบายไปแล้วว่าในเรื่องนี้ตนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะเคยคบหากับผู้หญิงคนนี้ และผู้หญิงคนนี้เคยอ้างว่าท้องกับตน ซึ่งคล้ายกันกับฟิล์ม และทราบมาว่าผู้หญิงคนนี้ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ ตนไม่ได้ออกมาพูดว่าผู้หญิงคนนี้เลวชั่วยังไง แค่เอาความจริงมาเปิดเผยให้ประชาชนได้ตัดสินใจเอาเอง
"ที่บอกว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย เอาความลับมาไขในที่แจ้ง ผมไม่ได้บอกเลยว่าผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ในท่าไหน ผมแค่บอกว่าเคยคบกับผู้หญิงคนนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่เชื่อไปฟังเทปหรือคลิปที่ไหนก็ได้"
จากนั้นนายเมธีได้วกกลับมาที่เรื่องคนเสื้อแดงว่า ที่กล่าวหาว่าทรยศต่อคนเสื้อแดง ขอถามกลับนายจตุพรว่า ตั้งแต่ตนโดนควบคุมตัว เคยได้ยินคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองบ้างไหม เคยได้ยินว่าจากปากว่าให้การอะไรกับดีเอสไอไหม กรณีนายหรั่งกับนายพล ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเกมการเมือง
"ผมเป็นแค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ ไม่ได้เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเลย"
นายเมธียังบอกว่า นายณัฐวุติ ใสยเกื้อ เคยพูดไว้ว่าตนไม่ใช่แกนนำ เคยระบุว่าอยากจะมาก็มา ขนาดขึ้นเวทีวันที่ 11-13 เมษายนยังมีการตัดไฟบนเวทีไม่ให้ขึ้นปราศรัย ต้องขอขอบคุณกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เข้ามาช่วย อะไรที่เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เห็นด้วยตนจึงไม่ไปร่วม เช่น การปิดแยกราชประสงค์หรือไปเทเลือด
เขาบอกว่า ส่วนตัวมีจุดยืนของตนเอง พฤติกรรมของนายจตุพรที่บอกว่าจะให้ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของเสธ.แดงฟ้องตน ฟังแล้วขำ เพราะไปนอนบังกระสุนให้เสธ.แดงทุกคืน อยู่กับเสธ.แดงตลอด การ์ดเสื้อแดงรู้ดีว่าตนนิสัยยังไง กรณีที่ไทยคมและผ่านฟ้าฯ หรือที่อื่นๆ ซึ่งตนไปเป็นคนแรกๆ และอยู่ที่นั่นจนจบ
"เมื่อวันที่ 10 เมษา.ตอนกลางวันผมอยู่กับเสธ.แดง มีสุนัขตัวหนึ่งโทร.มาอ้อนวอน ขอร้องโหยหวนให้พี่แดงช่วย กลัวใช่ไหมว่าทหารเขาจะเอาจริง ความตายใกล้เข้ามาแล้วจตุพร ก่อนหน้านี้เคยด่าพี่แดง ด่าพัลลภสาดเสียเทเสีย นี่ละเบื้องหลังแม่ทัพคนเสื้อแดง ด่าเขาเป็นหมูเป็นหมา เป็นของปลอมเป็นหมาเน่า นึกหรือว่าลูกสาวเขาไม่รู้ไม่เห็นหรือได้ยินอะไร ขอบอกว่าคนเสื้อแดงเขาไม่เอาแกนนำแล้ว เขารู้แล้วว่าแกนนำนั้นสู้แล้วรวย"
นายเมธีแฉต่อว่า นายจตุพรมีแผลเยอะมากมาย อยากเล่าสัก 2 เรื่อง อยากให้นายจตุพรกลับไปดูแลเมียหลวงให้ดี ไปทำอะไรไว้ที่ชายหาดที่ไม่ใช่เมียนายจตุพรเอง คนเสื้อแดงเป็นร้อยเป็นพันเขาเห็น และกรณีเงินบริจาคของคนเสื้อแดง เป็นเงินบริสุทธิ์ทั้งนั้น ตนไปเวที ไปร้องเพลง มีคนเอาเงินมาให้ไม่เคยรับ ส่งไปให้ช่วยเวที แล้วมาโกงเงินแบบนี้ได้ไง
"อย่าบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเงินบริจาคคนเสื้อแดง 68 ล้าน มีแกนนำ 3 คนที่รู้ดีที่สุด ส่วนจะโกงแบบไหนนั้นรายละเอียดผมไม่ขอพูด แต่คนเสื้อแดงไม่น้อย และคนที่รู้เรื่องภายในลึกๆ จะรู้ดีว่าเงินหายไปไหน ควรทำบัญชีให้โปร่งใส เช่น มีการตั้งกรรมการขึ้นมา ไม่ใช่ไปงุบงิบทำกันเอง ถ้าแน่จริงเอาหลักฐานบัญชีมาเปิดเผยให้คนเสื้อแดงได้รับรู้ว่าไม่ได้งุบงิบจริง แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะได้ข่าวว่าคนที่เกี่ยวข้องหนีไปมาเลเซียแล้ว"
ซักว่าแกนนำคนเสื้อแดงโกงเงินบริจาคด้วยวิธีใด นายเมธีอ้างว่า เรื่องรายละเอียดไม่ขอพูดถึง แต่มีคนหลายคนรู้เรื่องดี
ถามอีกว่า คนที่งุบงิบเงินไปเป็นญาติของนายวีระ มุสิกพงศ์ ใช่หรือไม่ นายเมธีลุกขึ้นชี้นิ้วด้วยความโมโหก่อนพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า ถูก พวกคุณก็รู้ดี เขากำลังตรวจสอบกันอยู่ว่าเงินมันหายไปไหน
"อยากให้นายจตุพรหุบปาก และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด มาข่มขู่ว่าจะฆ่าอย่างโน้นอย่านี้ นึกหรือว่าจะกลัว จึงขอท้านายจตุพรเลยว่า ถ้ากล้าตามที่พูดจริงๆ มาตัวต่อตัวกับผมเลยหรือไม่ อย่ามาลอบกัด แล้วที่มาข่มขู่เพื่อนผมนั้น เพื่อนกลัวแต่ผมไม่กลัว ถ้าเมื่อไหร่นายจตุพรรู้สึกว่าเป็นผู้ชายมารับคำท้าผมได้เลย ผมจะตามไปจัดการทันที แต่อย่าหมาลอบกัด หรือถ้ากลัว ผมต่อให้สองคน ผมจะขยี้ให้เละ"
นายเมธีแถลงว่า ขอให้คนเสื้อแดงแยกแยะ นี่มันไม่ใช่การแตกแยกของคนเสื้อแดง ตนแดงกว่าเยอะ การ์ด นปช.เขารู้นิสัยดี ตนนอนกับเสธ.แดงทุกคืน กันกระสุนให้ ทำจนสุดความสามารถ แต่ได้เท่านี้ ตนจะเอาความลับอะไรไปเปิดเผย แกนนำก็ไม่ได้เป็น พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เข้า ไปก็ไม่ได้เข้าประชุม
"ส่วนบรรดาแม่ยกทั้งหลายตาสว่างได้แล้ว ไปหลงงมงาย อะไรก็ดีไปหมด ตอนนี้ไม่มีแกนนำแล้ว นายจตุพรอย่ามาสร้างราคาตัวเอง เขาไม่เอาคุณแล้ว ไปเกาะเวทีหากินอย่างนี้" นายเมธีกล่าว
ขณะที่นายธาริตแถลงว่า นายเมธีเป็นผู้ต้องหาคดีความไม่สงบ และเป็นพยานในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอได้เข้ามาพบ โดยอ้างว่าถูกนายจตุพรมาข่มขู่ ตนจึงได้ซักถามว่าเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเสียงของนายจตุพร ซึ่งนายเมธีก็ยืนยันว่าเป็นเบอร์และเสียงของนายจตุพรแน่นอน จึงรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตามได้ให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบันทึกปากคำของการสนทนาเพื่อที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไป
ต่อมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. แถลงข่าวตอบโต้นายเมธีในทันทีด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโมโหสุดขีดว่า นายเมธีเดินทางไปดีเอสไอร้องขอให้ดีเอสไอยื่นต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนประกัน อ้างว่าได้โทรศัพท์ไปขู่เอาชีวิต ขณะที่นายธาริตก็โง่ซ้ำซาก ไปเชื่อนายเมธี ไม่ตรวจข้อมูลก่อน ที่อ้างว่าโทรศัพท์ไปขู่ฆ่า ขอบอกว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยโทรศัพท์ไป ที่ไปป้วนเปี้ยนหลังเวทีมาขอขึ้นเวทีก็ให้ขึ้น
"คนอย่างผมไม่เคยคุยกับคนอย่างมันแม้แต่ครั้งเดียว มีแค่วันที่ 10 ตุลาคม เวลาประมาณ 13.00 น. มีผู้หญิงชื่อจ๊าบ อ้างว่าสนิทกับนายเมธี โทร.มาหาถามไปด่านายเมธีทำไมที่ไปต่อว่าเรื่องนักแสดงหญิงคนหนึ่ง บอกว่าเรื่องอย่างนี้อย่าว่าแต่เสื้อแดง เป็นผู้ชายหรือเป็นคนยังไม่ได้เลย ไปกินในที่ลับแล้วมาไขในที่แจ้ง ผู้หญิงคนนั้นยังบอกถ้าไม่หยุด เดี๋ยวจะแฉ เลยตอบโต้ไปตามสไตล์ บอกเชิญเลย แต่จะขู่ใครให้ดูหน้าซะบ้าง"
นายจตุพรกล่าวว่า นายเมธีออกมาท้าตีท้าต่อย นี่อยากบอกว่ากลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว "จะขู่ใครให้ดูหน้าคนซะบ้าง เดี๋ยวนี้ฮาร์ดคอร์ไม่น่ากลัวเท่าฮาร์ดควาย เคยบอกนายอริสมันต์เห็นเป็นเพื่อนนักแสดงด้วยกัน ฝากไปบอกจะมาแสดงพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ได้ ไปต่อยคนหน้าพรรค แล้วดีเอสไอมาปล่อยให้คนอย่างนี้มาท้าตีท้าต่อยได้ยังไง ยังมาแถลงข่าวใช้ห้องเดียวกับนายธาริตอีก"
นายจตุพรกล่าวว่า มีสำนวนของนายเมธีที่เคยให้การต่อเจ้าหน้าที่กรณีถูกจับปล้นปืน กำลังศึกษาทีมทนายว่าสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ เชื่อว่าหากเปิดเผยออกมานายเมธีจะเดินถนนไม่ได้
"การที่เสธ.แดงโดนยิง ลูกน้องเสธ.แดงและแกนนำเสื้อแดงถูกจับ เป็นเพราะการให้การของนายเมธีทั้งสิ้น คนเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญเสียดวงตา ยังไม่เคยมายัดเยียดข้อกล่าวหา รักษาหายแล้วก็มาสู้ต่อ แต่นายเมธีเพียงแลกกับตัวเองไม่ถูกดำเนินคดี ก็มากล่าวหาคนเคยร่วมต่อสู้ แล้วดีเอสไอก็มาใช้วิธีสามานย์แบบนี้ บอกอยู่ในฐานะคุ้มครองพยานให้นายเมธีออกมากล่าวหา"
นายจตุพรยังพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า แล้วไอ้เรื่องเงินบริจาค ใครไปโกง อย่าว่าเป็นมนุษย์เลย เป็นหมายังไม่ได้ บอกคนใกล้ชิดแกนนำ นปช.โกงเงิน 68 ล้านบาท บอกว่านายจตุพรรู้เห็นด้วย อยากให้พูดมาให้ชัด เงินก็ไม่ได้มี 68 ล้านบาทอย่างที่อ้าง มีแค่ 37 ล้านบาท แต่เป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องเสียง ค่าช่วยเหลือเรื่องต่างๆ และก็ใช้หมดแล้วช่วงชุมนุม คนไปทำสัญญาณเช่าห้องน้ำ วันนี้ยังถูกฟ้องอยู่เลย การใช้จ่ายช่วงชุมนุม 68 วัน ทำบันทึกไว้หมด บริจาคมาก็ประกาศให้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่อง 68 ล้านบาท
เขากล่าวว่า ที่มาบอกญาติแกนนำไปประเทศมาเลเซียก็อยากให้ประกาศมาเลยใครเดินทางไป ใครทุจริต จะบอกสื่อมวลชนให้รู้ ที่ว่าแกนนำสู้แล้วรวยไม่มีจริง มีแต่พวกทรยศหักหลัง ทั้งคนย้ายออกจากพรรค คนทรยศคนเสื้อแดงแล้วรวยมีจริง เมธีไปร่วมดีเอสไอเป็นพฤติการณ์เลวทรามต่ำช้า ทำไมวันนี้ยังปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่าน
นายจตุพรยังท้าให้เปิดคลิปเสียงสนทนาที่นายเมธีอ้างว่าเคยโทร.ไปข่มขู่ ก็อยากให้เปิดมา ผมจะได้แข่งกับธัญญ่าบ้าง จะบอกให้ชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยโทร.ไปหามันแม้แต่ครั้งเดียว แล้วนายธาริตยังแสดงความโง่ออกมา บอกเบอร์ที่โทร.มาเป็นเบอร์ประจำที่นายจตุพรมักใช้ติดต่อกันอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่
"ที่บอกว่าผมไปมีอะไรกับใครที่ชายหาด ใครทำอะไรเลวทรามต่ำช้าก็พูดมาสิ คนอย่างผมไม่กล้าทำบัดสีบัดเถลิง ไอ้ปัญญาอ่อน อีกสักพักเดี๋ยวก็ออกมาบอกว่าผมไปมีอะไรกับใครบนต้นมะพร้าว แต่คนอย่างมันที่ทรยศ ขายเพื่อนพี่น้อง ไม่รู้อยู่เป็นคนได้อย่างไร เป็นคนประสาอะไร ก็ดีอีกอย่างเวลาผ่านไปพวกเราจะได้รู้อะไรเป็นอะไร เชื่อว่าคนที่ทรยศคนต่อสู้ ทรยศคนตาย ถ้าคนอื่นเห็นคำให้การ ไม่รู้นายเมธีจะเดินถนนได้อย่างไร"
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม เปิดเผยว่า เคยได้รับการติดต่อมาจากคนนั้นคนนี้ว่ามีการฝึกคนฝึกอาวุธกันที่นั่นที่นี่ ขอการสนับสนุนหน่อย แต่ตนปฏิเสธ ไม่ชอบแนวทางที่ใช้ความรุนแรง ต้องทำตามกฎหมาย แนวทางโค่นล้มกันแบบนี้มันไม่ใช่ ตนไม่ต้องการ
ส่วนนายสมัย วงศ์สุวรรณ์ มือระเบิดที่เสียชีวิตนั้น นายสุรชัยเผยว่า เคยพบที่เชียงใหม่ อยู่ในกลุ่ม 51 รู้สึกว่าจะจำหน้าค่าตากันได้ แต่ไม่รู้จักกันแบบสนิทสนม.
ที่มา.ไทยโพสต์
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นายเมธี อมรวุฒิกุล แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ในฐานะพยานในคดีก่อการร้ายที่อยู่ในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ ได้เดินทางเข้ามาร้องต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้โทร.มาข่มขู่ปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต
จากนั้นนายเมธีได้สร้างความประหลาดใจด้วยการนั่งแถลงข่าวในห้องแถลงดีเอสไอ "ผมมาพบอธิบดีดีเอสไอเพื่อรายงานเรื่องที่นายจตุพรได้โทร.ข่มขู่ผมว่าจะตามล่า ตามฆ่า"
นายเมธีแถลงว่า ขอเปิดเผยในหลายประเด็นของพฤติกรรมนายจตุพร เช่นกล่าวให้ร้ายตนเองว่าเป็นคนทรยศคนเสื้อแดง โดยขอพูดประเด็นที่นายจตุพรออกมากล่าวหาตนว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไปว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่มีข่าวกับฟิล์ม จึงได้อธิบายไปแล้วว่าในเรื่องนี้ตนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะเคยคบหากับผู้หญิงคนนี้ และผู้หญิงคนนี้เคยอ้างว่าท้องกับตน ซึ่งคล้ายกันกับฟิล์ม และทราบมาว่าผู้หญิงคนนี้ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ ตนไม่ได้ออกมาพูดว่าผู้หญิงคนนี้เลวชั่วยังไง แค่เอาความจริงมาเปิดเผยให้ประชาชนได้ตัดสินใจเอาเอง
"ที่บอกว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย เอาความลับมาไขในที่แจ้ง ผมไม่ได้บอกเลยว่าผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ในท่าไหน ผมแค่บอกว่าเคยคบกับผู้หญิงคนนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่เชื่อไปฟังเทปหรือคลิปที่ไหนก็ได้"
จากนั้นนายเมธีได้วกกลับมาที่เรื่องคนเสื้อแดงว่า ที่กล่าวหาว่าทรยศต่อคนเสื้อแดง ขอถามกลับนายจตุพรว่า ตั้งแต่ตนโดนควบคุมตัว เคยได้ยินคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองบ้างไหม เคยได้ยินว่าจากปากว่าให้การอะไรกับดีเอสไอไหม กรณีนายหรั่งกับนายพล ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเกมการเมือง
"ผมเป็นแค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ ไม่ได้เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเลย"
นายเมธียังบอกว่า นายณัฐวุติ ใสยเกื้อ เคยพูดไว้ว่าตนไม่ใช่แกนนำ เคยระบุว่าอยากจะมาก็มา ขนาดขึ้นเวทีวันที่ 11-13 เมษายนยังมีการตัดไฟบนเวทีไม่ให้ขึ้นปราศรัย ต้องขอขอบคุณกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เข้ามาช่วย อะไรที่เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เห็นด้วยตนจึงไม่ไปร่วม เช่น การปิดแยกราชประสงค์หรือไปเทเลือด
เขาบอกว่า ส่วนตัวมีจุดยืนของตนเอง พฤติกรรมของนายจตุพรที่บอกว่าจะให้ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของเสธ.แดงฟ้องตน ฟังแล้วขำ เพราะไปนอนบังกระสุนให้เสธ.แดงทุกคืน อยู่กับเสธ.แดงตลอด การ์ดเสื้อแดงรู้ดีว่าตนนิสัยยังไง กรณีที่ไทยคมและผ่านฟ้าฯ หรือที่อื่นๆ ซึ่งตนไปเป็นคนแรกๆ และอยู่ที่นั่นจนจบ
"เมื่อวันที่ 10 เมษา.ตอนกลางวันผมอยู่กับเสธ.แดง มีสุนัขตัวหนึ่งโทร.มาอ้อนวอน ขอร้องโหยหวนให้พี่แดงช่วย กลัวใช่ไหมว่าทหารเขาจะเอาจริง ความตายใกล้เข้ามาแล้วจตุพร ก่อนหน้านี้เคยด่าพี่แดง ด่าพัลลภสาดเสียเทเสีย นี่ละเบื้องหลังแม่ทัพคนเสื้อแดง ด่าเขาเป็นหมูเป็นหมา เป็นของปลอมเป็นหมาเน่า นึกหรือว่าลูกสาวเขาไม่รู้ไม่เห็นหรือได้ยินอะไร ขอบอกว่าคนเสื้อแดงเขาไม่เอาแกนนำแล้ว เขารู้แล้วว่าแกนนำนั้นสู้แล้วรวย"
นายเมธีแฉต่อว่า นายจตุพรมีแผลเยอะมากมาย อยากเล่าสัก 2 เรื่อง อยากให้นายจตุพรกลับไปดูแลเมียหลวงให้ดี ไปทำอะไรไว้ที่ชายหาดที่ไม่ใช่เมียนายจตุพรเอง คนเสื้อแดงเป็นร้อยเป็นพันเขาเห็น และกรณีเงินบริจาคของคนเสื้อแดง เป็นเงินบริสุทธิ์ทั้งนั้น ตนไปเวที ไปร้องเพลง มีคนเอาเงินมาให้ไม่เคยรับ ส่งไปให้ช่วยเวที แล้วมาโกงเงินแบบนี้ได้ไง
"อย่าบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเงินบริจาคคนเสื้อแดง 68 ล้าน มีแกนนำ 3 คนที่รู้ดีที่สุด ส่วนจะโกงแบบไหนนั้นรายละเอียดผมไม่ขอพูด แต่คนเสื้อแดงไม่น้อย และคนที่รู้เรื่องภายในลึกๆ จะรู้ดีว่าเงินหายไปไหน ควรทำบัญชีให้โปร่งใส เช่น มีการตั้งกรรมการขึ้นมา ไม่ใช่ไปงุบงิบทำกันเอง ถ้าแน่จริงเอาหลักฐานบัญชีมาเปิดเผยให้คนเสื้อแดงได้รับรู้ว่าไม่ได้งุบงิบจริง แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะได้ข่าวว่าคนที่เกี่ยวข้องหนีไปมาเลเซียแล้ว"
ซักว่าแกนนำคนเสื้อแดงโกงเงินบริจาคด้วยวิธีใด นายเมธีอ้างว่า เรื่องรายละเอียดไม่ขอพูดถึง แต่มีคนหลายคนรู้เรื่องดี
ถามอีกว่า คนที่งุบงิบเงินไปเป็นญาติของนายวีระ มุสิกพงศ์ ใช่หรือไม่ นายเมธีลุกขึ้นชี้นิ้วด้วยความโมโหก่อนพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า ถูก พวกคุณก็รู้ดี เขากำลังตรวจสอบกันอยู่ว่าเงินมันหายไปไหน
"อยากให้นายจตุพรหุบปาก และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด มาข่มขู่ว่าจะฆ่าอย่างโน้นอย่านี้ นึกหรือว่าจะกลัว จึงขอท้านายจตุพรเลยว่า ถ้ากล้าตามที่พูดจริงๆ มาตัวต่อตัวกับผมเลยหรือไม่ อย่ามาลอบกัด แล้วที่มาข่มขู่เพื่อนผมนั้น เพื่อนกลัวแต่ผมไม่กลัว ถ้าเมื่อไหร่นายจตุพรรู้สึกว่าเป็นผู้ชายมารับคำท้าผมได้เลย ผมจะตามไปจัดการทันที แต่อย่าหมาลอบกัด หรือถ้ากลัว ผมต่อให้สองคน ผมจะขยี้ให้เละ"
นายเมธีแถลงว่า ขอให้คนเสื้อแดงแยกแยะ นี่มันไม่ใช่การแตกแยกของคนเสื้อแดง ตนแดงกว่าเยอะ การ์ด นปช.เขารู้นิสัยดี ตนนอนกับเสธ.แดงทุกคืน กันกระสุนให้ ทำจนสุดความสามารถ แต่ได้เท่านี้ ตนจะเอาความลับอะไรไปเปิดเผย แกนนำก็ไม่ได้เป็น พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เข้า ไปก็ไม่ได้เข้าประชุม
"ส่วนบรรดาแม่ยกทั้งหลายตาสว่างได้แล้ว ไปหลงงมงาย อะไรก็ดีไปหมด ตอนนี้ไม่มีแกนนำแล้ว นายจตุพรอย่ามาสร้างราคาตัวเอง เขาไม่เอาคุณแล้ว ไปเกาะเวทีหากินอย่างนี้" นายเมธีกล่าว
ขณะที่นายธาริตแถลงว่า นายเมธีเป็นผู้ต้องหาคดีความไม่สงบ และเป็นพยานในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอได้เข้ามาพบ โดยอ้างว่าถูกนายจตุพรมาข่มขู่ ตนจึงได้ซักถามว่าเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเสียงของนายจตุพร ซึ่งนายเมธีก็ยืนยันว่าเป็นเบอร์และเสียงของนายจตุพรแน่นอน จึงรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตามได้ให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบันทึกปากคำของการสนทนาเพื่อที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไป
ต่อมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. แถลงข่าวตอบโต้นายเมธีในทันทีด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโมโหสุดขีดว่า นายเมธีเดินทางไปดีเอสไอร้องขอให้ดีเอสไอยื่นต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนประกัน อ้างว่าได้โทรศัพท์ไปขู่เอาชีวิต ขณะที่นายธาริตก็โง่ซ้ำซาก ไปเชื่อนายเมธี ไม่ตรวจข้อมูลก่อน ที่อ้างว่าโทรศัพท์ไปขู่ฆ่า ขอบอกว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยโทรศัพท์ไป ที่ไปป้วนเปี้ยนหลังเวทีมาขอขึ้นเวทีก็ให้ขึ้น
"คนอย่างผมไม่เคยคุยกับคนอย่างมันแม้แต่ครั้งเดียว มีแค่วันที่ 10 ตุลาคม เวลาประมาณ 13.00 น. มีผู้หญิงชื่อจ๊าบ อ้างว่าสนิทกับนายเมธี โทร.มาหาถามไปด่านายเมธีทำไมที่ไปต่อว่าเรื่องนักแสดงหญิงคนหนึ่ง บอกว่าเรื่องอย่างนี้อย่าว่าแต่เสื้อแดง เป็นผู้ชายหรือเป็นคนยังไม่ได้เลย ไปกินในที่ลับแล้วมาไขในที่แจ้ง ผู้หญิงคนนั้นยังบอกถ้าไม่หยุด เดี๋ยวจะแฉ เลยตอบโต้ไปตามสไตล์ บอกเชิญเลย แต่จะขู่ใครให้ดูหน้าซะบ้าง"
นายจตุพรกล่าวว่า นายเมธีออกมาท้าตีท้าต่อย นี่อยากบอกว่ากลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว "จะขู่ใครให้ดูหน้าคนซะบ้าง เดี๋ยวนี้ฮาร์ดคอร์ไม่น่ากลัวเท่าฮาร์ดควาย เคยบอกนายอริสมันต์เห็นเป็นเพื่อนนักแสดงด้วยกัน ฝากไปบอกจะมาแสดงพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ได้ ไปต่อยคนหน้าพรรค แล้วดีเอสไอมาปล่อยให้คนอย่างนี้มาท้าตีท้าต่อยได้ยังไง ยังมาแถลงข่าวใช้ห้องเดียวกับนายธาริตอีก"
นายจตุพรกล่าวว่า มีสำนวนของนายเมธีที่เคยให้การต่อเจ้าหน้าที่กรณีถูกจับปล้นปืน กำลังศึกษาทีมทนายว่าสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ เชื่อว่าหากเปิดเผยออกมานายเมธีจะเดินถนนไม่ได้
"การที่เสธ.แดงโดนยิง ลูกน้องเสธ.แดงและแกนนำเสื้อแดงถูกจับ เป็นเพราะการให้การของนายเมธีทั้งสิ้น คนเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญเสียดวงตา ยังไม่เคยมายัดเยียดข้อกล่าวหา รักษาหายแล้วก็มาสู้ต่อ แต่นายเมธีเพียงแลกกับตัวเองไม่ถูกดำเนินคดี ก็มากล่าวหาคนเคยร่วมต่อสู้ แล้วดีเอสไอก็มาใช้วิธีสามานย์แบบนี้ บอกอยู่ในฐานะคุ้มครองพยานให้นายเมธีออกมากล่าวหา"
นายจตุพรยังพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า แล้วไอ้เรื่องเงินบริจาค ใครไปโกง อย่าว่าเป็นมนุษย์เลย เป็นหมายังไม่ได้ บอกคนใกล้ชิดแกนนำ นปช.โกงเงิน 68 ล้านบาท บอกว่านายจตุพรรู้เห็นด้วย อยากให้พูดมาให้ชัด เงินก็ไม่ได้มี 68 ล้านบาทอย่างที่อ้าง มีแค่ 37 ล้านบาท แต่เป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องเสียง ค่าช่วยเหลือเรื่องต่างๆ และก็ใช้หมดแล้วช่วงชุมนุม คนไปทำสัญญาณเช่าห้องน้ำ วันนี้ยังถูกฟ้องอยู่เลย การใช้จ่ายช่วงชุมนุม 68 วัน ทำบันทึกไว้หมด บริจาคมาก็ประกาศให้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่อง 68 ล้านบาท
เขากล่าวว่า ที่มาบอกญาติแกนนำไปประเทศมาเลเซียก็อยากให้ประกาศมาเลยใครเดินทางไป ใครทุจริต จะบอกสื่อมวลชนให้รู้ ที่ว่าแกนนำสู้แล้วรวยไม่มีจริง มีแต่พวกทรยศหักหลัง ทั้งคนย้ายออกจากพรรค คนทรยศคนเสื้อแดงแล้วรวยมีจริง เมธีไปร่วมดีเอสไอเป็นพฤติการณ์เลวทรามต่ำช้า ทำไมวันนี้ยังปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่าน
นายจตุพรยังท้าให้เปิดคลิปเสียงสนทนาที่นายเมธีอ้างว่าเคยโทร.ไปข่มขู่ ก็อยากให้เปิดมา ผมจะได้แข่งกับธัญญ่าบ้าง จะบอกให้ชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยโทร.ไปหามันแม้แต่ครั้งเดียว แล้วนายธาริตยังแสดงความโง่ออกมา บอกเบอร์ที่โทร.มาเป็นเบอร์ประจำที่นายจตุพรมักใช้ติดต่อกันอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่
"ที่บอกว่าผมไปมีอะไรกับใครที่ชายหาด ใครทำอะไรเลวทรามต่ำช้าก็พูดมาสิ คนอย่างผมไม่กล้าทำบัดสีบัดเถลิง ไอ้ปัญญาอ่อน อีกสักพักเดี๋ยวก็ออกมาบอกว่าผมไปมีอะไรกับใครบนต้นมะพร้าว แต่คนอย่างมันที่ทรยศ ขายเพื่อนพี่น้อง ไม่รู้อยู่เป็นคนได้อย่างไร เป็นคนประสาอะไร ก็ดีอีกอย่างเวลาผ่านไปพวกเราจะได้รู้อะไรเป็นอะไร เชื่อว่าคนที่ทรยศคนต่อสู้ ทรยศคนตาย ถ้าคนอื่นเห็นคำให้การ ไม่รู้นายเมธีจะเดินถนนได้อย่างไร"
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม เปิดเผยว่า เคยได้รับการติดต่อมาจากคนนั้นคนนี้ว่ามีการฝึกคนฝึกอาวุธกันที่นั่นที่นี่ ขอการสนับสนุนหน่อย แต่ตนปฏิเสธ ไม่ชอบแนวทางที่ใช้ความรุนแรง ต้องทำตามกฎหมาย แนวทางโค่นล้มกันแบบนี้มันไม่ใช่ ตนไม่ต้องการ
ส่วนนายสมัย วงศ์สุวรรณ์ มือระเบิดที่เสียชีวิตนั้น นายสุรชัยเผยว่า เคยพบที่เชียงใหม่ อยู่ในกลุ่ม 51 รู้สึกว่าจะจำหน้าค่าตากันได้ แต่ไม่รู้จักกันแบบสนิทสนม.
ที่มา.ไทยโพสต์
เสถียรภาพทางการเมือง
มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสองประเทศ คือ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งนับว่าน่าสนใจ เพราะสะท้อนให้เห็นว่าแม้มีการเปลี่ยนรัฐบาล หรือมีความวุ่นวายทางการเมืองภายใน แต่ประเทศทั้งสองก็ยังมีเสถียรภาพทางการเมืองอยู่ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใด ๆ หากเกิดขึ้นก็เป็นไปตามระบบและกระบวนการ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงนอกระบบ
นางจูเลีย กิลลาร์ด เพิ่งเข้าถวายสัตย์ปฏิญญานต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เธอเป็นผู้นำรัฐบาลหญิงคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป นั่นคือ นางจูเลีย กิลลาร์ด ซึ่งยึดตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจากนายเควิน รัดด์ แบบสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ยุบสภาและมีการเลือกตั้งทั่วไป โดยที่พรรคแรงงงานชนะแบบเฉียดฉิวเท่านั้น จึงต้องมีการล็อบบี้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคอีก 2 คน จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้แม้ว่าก่อนหน้านี้ นางจะเคยปฏิเสธรัฐบาลผสมหลายพรรคว่าไม่ได้รัฐบาลที่ดี แต่เมื่อเข้าตาจนก็ต้องทำ แต่ที่นั่งของพรรครัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้านแบบเฉียดฉิวชนิดที่เวลาประชุมสภา นายกรัฐมนตรีคง ต้องห้ามไม่ให้ ส.ส.พรรครัฐบาลขาดประชุม มิฉนั้น อาจแพ้เสียงโหวตพรรคฝ่ายค้านได้ ส่วนนายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีพรรคเดียวกันก็ยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลชุดนี้ ที่อาจถือว่าเป็นการปรองดองสมานฉันท์ระหว่างนางกิลลาร์ดและนายรัดด์ก็คงจะได้
ในคำปฎิญญานต่อหน้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางประกาศว่า จะรับใช้ออสเตรเลียอย่างจงรักภักดีในฐานะนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า นางคงจะทำตามคำปฏิญญานอย่างเต็มที่ ส่วนจะได้มากน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผู้นำออสเตรเลียทุกคนที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องอื้อฉาวเรื่องคอรัปชั่น
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในออสเตรเลียเป็นไปตามระบบประชาธิปไตยทางรัฐสภา ครั้งหนึ่ง นายจอห์น โฮเวิร์ด ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้นาน 4 สมัยรวม 12 ปี แต่พอคนออสเตรเลียเบื่อเข้าก็เปลี่ยนให้พรรคแรงงานเข้ามาบริหารประเทศบ้างผ่านการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นไปตามระบบรัฐสภา การเมืองในออสเตรเลียจึงมีเสถียรภาพตลอดมา
สำหรับญี่ปุ่นนั้น มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคล้ายกับเด็กเปลี่ยนของเล่น เพราะเปลี่ยนกันว่าเป็นว่าเล่น ล่าสุด เมื่อพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ได้โอกาสมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพรรคเสรีประชาธิปไตยที่ครองแชมป์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่พอนายกรัฐมนตรีจากพรรค ดีพีเจ.คนแรกบริหารประเทศได้เพียงปีเดียวก็ต้องลาออก ผ่องถ่ายให้นายนาโอโตะ คัง ขึ้นมาเป็นแทน แต่นายคังเป็นได้เพียง 3 เดือนก็เจอการท้าทายจากนายอิจิโร โอซาวา ผู้ทรงอิทธิพลในพรรคซึ่งได้ฉายาว่า “โชกุนเงา” เสนอตัวเป็นคู่ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งหมายถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั่นเอง แต่ในที่สุด นายคังก็ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกในพรรคให้บริหารประเทศต่อไป
สิ่งที่ท้าทายนายคังอย่างมากมีสองประการ คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ และการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนซึ่งขณะนี้ก็เจอปัญหาเรือลาดตะเวนญี่ปุ่นจับเรือประมงจีนที่รุกล้ำน่านน้ำบริเวณเกาะเซนกากุ หรือเตียวหยู ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นดังที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว
ส่วนนายโอซาวา นั้น แม้เคยประกาศว่า จะสนับสนุนนายคังต่อไปหากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในพรรค แต่หลายคนรู้นิสัยนายคังดีว่าไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ยิ่งเสียหน้าแบบนี้ นายคังอาจแยกไปตั้งพรรคใหม่ หรือหันไปซบพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นฝ่ายค้านก็ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าญี่ปุ่นจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีบ่อยเพียงใด แต่การเมืองของญี่ปุ่นก็ยังมีเสถียรภาพ ไม่เคยมีต่างชาติกล่าวหาว่าญี่ปุ่นไร้เสถียรภาพทางการเมือง เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งเป็นไปในระบบ ผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารเหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาในหลายทวีป
เสถียรภาพทางการเมืองไม่ได้หมายถึงว่ารัฐบาลจะต้องอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หากรัฐบาลอยู่ได้นานก็หมายถึงการต่อเนื่องของนโยบาย แต่ในหลายประเทศที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลเสมอ เช่น ฝรั่งเศสในครั้งหนึ่ง หรือที่เห็นง่าย ๆ คือ ญี่ปุ่น แต่การเมืองของเขาก็มีเสถียรภาพเพราะการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเป็นไปตามระบบ อีกทั้งระบบราชการในญี่ปุ่นแข็งแกร่งมาก ใครจะไปใครจะมา งานการของประเทศชาติก็ก้าวหน้าไปด้วยดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นางจูเลีย กิลลาร์ด เพิ่งเข้าถวายสัตย์ปฏิญญานต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เธอเป็นผู้นำรัฐบาลหญิงคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป นั่นคือ นางจูเลีย กิลลาร์ด ซึ่งยึดตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจากนายเควิน รัดด์ แบบสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ยุบสภาและมีการเลือกตั้งทั่วไป โดยที่พรรคแรงงงานชนะแบบเฉียดฉิวเท่านั้น จึงต้องมีการล็อบบี้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคอีก 2 คน จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้แม้ว่าก่อนหน้านี้ นางจะเคยปฏิเสธรัฐบาลผสมหลายพรรคว่าไม่ได้รัฐบาลที่ดี แต่เมื่อเข้าตาจนก็ต้องทำ แต่ที่นั่งของพรรครัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้านแบบเฉียดฉิวชนิดที่เวลาประชุมสภา นายกรัฐมนตรีคง ต้องห้ามไม่ให้ ส.ส.พรรครัฐบาลขาดประชุม มิฉนั้น อาจแพ้เสียงโหวตพรรคฝ่ายค้านได้ ส่วนนายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีพรรคเดียวกันก็ยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลชุดนี้ ที่อาจถือว่าเป็นการปรองดองสมานฉันท์ระหว่างนางกิลลาร์ดและนายรัดด์ก็คงจะได้
ในคำปฎิญญานต่อหน้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางประกาศว่า จะรับใช้ออสเตรเลียอย่างจงรักภักดีในฐานะนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า นางคงจะทำตามคำปฏิญญานอย่างเต็มที่ ส่วนจะได้มากน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผู้นำออสเตรเลียทุกคนที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องอื้อฉาวเรื่องคอรัปชั่น
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในออสเตรเลียเป็นไปตามระบบประชาธิปไตยทางรัฐสภา ครั้งหนึ่ง นายจอห์น โฮเวิร์ด ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้นาน 4 สมัยรวม 12 ปี แต่พอคนออสเตรเลียเบื่อเข้าก็เปลี่ยนให้พรรคแรงงานเข้ามาบริหารประเทศบ้างผ่านการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นไปตามระบบรัฐสภา การเมืองในออสเตรเลียจึงมีเสถียรภาพตลอดมา
สำหรับญี่ปุ่นนั้น มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคล้ายกับเด็กเปลี่ยนของเล่น เพราะเปลี่ยนกันว่าเป็นว่าเล่น ล่าสุด เมื่อพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ได้โอกาสมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพรรคเสรีประชาธิปไตยที่ครองแชมป์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่พอนายกรัฐมนตรีจากพรรค ดีพีเจ.คนแรกบริหารประเทศได้เพียงปีเดียวก็ต้องลาออก ผ่องถ่ายให้นายนาโอโตะ คัง ขึ้นมาเป็นแทน แต่นายคังเป็นได้เพียง 3 เดือนก็เจอการท้าทายจากนายอิจิโร โอซาวา ผู้ทรงอิทธิพลในพรรคซึ่งได้ฉายาว่า “โชกุนเงา” เสนอตัวเป็นคู่ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งหมายถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั่นเอง แต่ในที่สุด นายคังก็ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกในพรรคให้บริหารประเทศต่อไป
สิ่งที่ท้าทายนายคังอย่างมากมีสองประการ คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ และการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนซึ่งขณะนี้ก็เจอปัญหาเรือลาดตะเวนญี่ปุ่นจับเรือประมงจีนที่รุกล้ำน่านน้ำบริเวณเกาะเซนกากุ หรือเตียวหยู ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นดังที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว
ส่วนนายโอซาวา นั้น แม้เคยประกาศว่า จะสนับสนุนนายคังต่อไปหากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในพรรค แต่หลายคนรู้นิสัยนายคังดีว่าไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ยิ่งเสียหน้าแบบนี้ นายคังอาจแยกไปตั้งพรรคใหม่ หรือหันไปซบพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นฝ่ายค้านก็ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าญี่ปุ่นจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีบ่อยเพียงใด แต่การเมืองของญี่ปุ่นก็ยังมีเสถียรภาพ ไม่เคยมีต่างชาติกล่าวหาว่าญี่ปุ่นไร้เสถียรภาพทางการเมือง เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งเป็นไปในระบบ ผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารเหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาในหลายทวีป
เสถียรภาพทางการเมืองไม่ได้หมายถึงว่ารัฐบาลจะต้องอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หากรัฐบาลอยู่ได้นานก็หมายถึงการต่อเนื่องของนโยบาย แต่ในหลายประเทศที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลเสมอ เช่น ฝรั่งเศสในครั้งหนึ่ง หรือที่เห็นง่าย ๆ คือ ญี่ปุ่น แต่การเมืองของเขาก็มีเสถียรภาพเพราะการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเป็นไปตามระบบ อีกทั้งระบบราชการในญี่ปุ่นแข็งแกร่งมาก ใครจะไปใครจะมา งานการของประเทศชาติก็ก้าวหน้าไปด้วยดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทักษิณ"ชู3นโยบายประชานิยมค่าแรง300บ/วัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์มายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเปิด 3 นโยบายหาเสียง ค่าแรงขั้นต่ำ 300บาท/วัน ป.ตรีเริ่มต้น15,000บาท หาเสียงชาวนา จำนำข้าวผูกราคาน้ำมัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์มายังที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อพิจารณาวาระที่ ส.ส.กลุ่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน เสนอให้พรรคเปิดโหวตชื่อผู้ที่จะชูเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ขอเปิด 3 นโยบายหาเสียง "ประชานิยม" ก่อน 3 ข้อคือ 1.ค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่ำวันละ 300 บาท 2.บุคคลที่จบปริญญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท รวมไปถึงการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการ และ 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจำนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน โดยนโยบายในขณะนี้กำลังเขียนอยู่ แต่จะไม่เปิดเผยหมด เพราะกลัวเขาลอกการบ้าน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์มายังที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อพิจารณาวาระที่ ส.ส.กลุ่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน เสนอให้พรรคเปิดโหวตชื่อผู้ที่จะชูเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ขอเปิด 3 นโยบายหาเสียง "ประชานิยม" ก่อน 3 ข้อคือ 1.ค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่ำวันละ 300 บาท 2.บุคคลที่จบปริญญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท รวมไปถึงการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการ และ 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจำนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน โดยนโยบายในขณะนี้กำลังเขียนอยู่ แต่จะไม่เปิดเผยหมด เพราะกลัวเขาลอกการบ้าน
เผลอแป๊บๆ...สนามบินสุวรรณภูมิ
ของเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาว... ล้มลุกคลุกคลาน...มาจนครบ 4 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่วายที่จะยังคงเหลือปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่อีกเพียบ! ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมาเฟีย ไกด์ผี แท็กซี่เถื่อนอยู่เต็มสนามบิน และที่สำคัญถูกตราหน้าว่า เป็นสถานที่ของชุมทางโจรเสื้อสูท?
หากมีการจัดอันดับคดีที่อยู่มีในชั้นศาลมากที่สุด คดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิอาจจะอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศก็เป็นไปได้ไล่มาตั้งแต่การก่อสร้าง ที่มีการทุจริตกันตั้งแต่การถมหิน ดิน ทราย จนส่งผลให้รันเวย์ร้าว และที่เป็นข่าวใหญ่โตคือ การจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 และระบบสายพานลำเลียง เรียกได้ว่าการจัดซื้อจัดจ้างสารพัดโปรเจกต์นั้น มีความไม่ชอบมาพากลแทบจะทุกเม็ด จึงไม่แปลกใจที่สนามบินสุวรรณภูมิจะกลายเป็นแหล่ง ขุมทรัพย์ของพวกแสวงหาผลประโยชน์ไปเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีการตามล้างตามเช็ด แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สะอาดได้ล่าสุดก็มีปัญหามาให้ปวดหัวอีก ไม่ว่าจะเป็นกรณีการให้สัมปทานบริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด บริหารพื้นที่ลานจอดรถระยะยาวของโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการสุวรรณภูมิสแควร์) เรื่องนี้เริ่มปูดขึ้นมาหลังจากที่คณะกรรมการรายได้ ซึ่งมี “เสรีรัตน์ ประสุตานนท์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นประธาน ไม่รู้ระเบียบของบอร์ดทอท. ไปอนุมัติให้บริษัท แป้งร่ำฯ ได้งานสัมปทานลานจอดรถระยะยาวกว่า 62,000 ตารางเมตร อายุสัมปทาน 15 ปี จากที่มีอำนาจอนุมัติแค่ 5 ปี
งานนี้ต้องมีผู้บริหารระดับบิ๊กโดนสังเวยไปหลายรายทีเดียว ยกเว้น “เสรีรัตน์” ที่รอดมาได้ รวมทั้งยังลอยตัวผ่านการประเมินการทำงานจากบอร์ดอีกอย่างสวยหรู จนสหภาพฯ ทอท.ต้องยื่นหนังสือร้องเรียนความไม่เป็นธรรมต่อบอร์ด โดยให้ปลด “เสรีรัตน์” ออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ สิ่งที่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายที่เกาะกินสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่เปิดให้บริการมา ที่เห็นชัดๆ คือ ไกด์ผีแท็กซี่เถื่อน ที่ยังสามารถมายืนตะโกน โหวกเหวกโวยวายเรียกลูกค้า และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อย่างเปิดเผย ที่สำคัญ มีการโขกราคาค่าโดยสารนักท่องเที่ยวในราคาที่ไม่เป็นธรรม จนชาวต่างชาติคิดว่า นี่หรือวัฒนธรรมไทย
ยิ่งกว่านี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2553 ที่ผ่านมา มีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 100 คน ที่มาปิดล้อมอาคารจอดรถ A และ B ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น “ณรงค์ชัย ถนัดช่างแสง” รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ) บอกว่า บริษัท ปาร์คกิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบ กิจการอาคารจอดรถและลานจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2553 ถึง 31 มี.ค.2558 โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหุ้นส่วนในบริษัทเดียวกันเกิดขัดแย้งกันเองเรื่องผลประโยชน์จึงเกิดปัญหากันขึ้น
เดือดร้อนทั้งประชาชนผู้ใช้บริการ และภาพลักษณ์ของสนามบินเสียหาย จน “ปิยะพันธ์ จัมปาสุต” ประธานบอร์ดทอท.ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญากับ บริษัท ปาร์คกิ้งฯ และให้มีผลทันที เนื่องจากการกระทำที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก และจะมีความผิดอย่างชัดเจนด้วย คาดว่าอีก 3 เดือนทอท.พร้อมเปิดประมูลหาบริษัทรายใหม่มาทำแทน
ไม่จบเพียงเท่านั้น ล่าสุด “ธรรศ พจนประพันธ์” และ “สุภชัย สถิตวิมล” ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ ในนามผู้เสียหายจากกรณีการร่วมกันทุจริตอาคารจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นการจุดพลุอีกครั้งว่า ตั้งแต่มีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นมีมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันนักการเมืองยังคงฉกฉวยเพื่อหาผลประโยชน์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“เหลือบในคราบนักการเมืองยังคงเกาะกินผลประโยชน์จากการเก็บค่าจอดรถในลานจอดรถสุวรรณภูมิ โดยให้สิทธิแก่นักการเมืองนำโครงการไปเร่ขาย ในเงื่อนไขให้แบ่งผลประโยชน์ 75% และ 25% ทำไมค่าจอดรถ ทอท. จึงไม่เก็บเอง แต่กลับไปให้นักการเมือง เอาโครงการไปเร่ขาย และต้องเสียเงิน 25% เป็นส่วนแบ่งให้กับเอกชน นักการเมืองที่เป็นเหลือบนี้ไม่ต้องพูดก็ควรจะต้องรู้ว่าเป็นพรรคการเมืองใด ซึ่งโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยข้ามหัวข้าราชการคนอื่น ก็เป็นฝีมือของนักการเมืองพรรคนี้ทั้งสิ้น”
พฤติกรรมคือ นักการเมืองใช้ลูกมือ คนหนึ่ง ให้เข้ามาตั้งบริษัทเพื่อรับทำหน้าที่เก็บค่าจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่การทำสัญญากับบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด (บอท.) จะต้องทำในรูปแบบของนิติบุคคล จำต้องจดทะเบียนตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ลูกมือของนักการเมืองที่ไม่มีความ สามารถในการหาหนังสือค้ำประกันในการลงนามสัญญาได้ และไม่มีเงินในการลงทุนด้วย จึงนำโครงการไปเร่ขายนายทุน โดยหลอกให้เข้ามาลงทุน และงานชิ้นเดียวกันได้นำไปขายซ้ำให้กับนักธุรกิจ 2 ราย โดยพวกเขาไม่ได้รู้จักกัน ต่างได้หลวมตัวหลงซื้อหุ้นเพราะได้รับการสัญญา ว่าจะเข้ามาเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ได้โครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ต้องจ่ายเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าวิ่งงานเพื่อยุติปัญหาทั้งปวงและให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องจึงไม่ยินยอมจ่ายเงินให้กับนักการเมืองคนดังกล่าว
งามหน้ากันหล่ะทีนี้ แต่ถ้าจะให้ดีบอกชื่อมาเลยว่าใครทุจริตอย่างไร พร้อม หลักฐานด้วยนะคะ จะได้เอาผิดกันได้!ซึ่งการออกแถลงการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้มองเห็นภาพความเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยกลุ่มอิทธิพลและมาเฟียที่ไม่สามารถกำจัดให้พ้นจากสุวรรณภูมิ เพราะ พวกเหลือบที่ไม่รู้จักพอ
ที่มา.สยามธุรกิจ
หากมีการจัดอันดับคดีที่อยู่มีในชั้นศาลมากที่สุด คดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิอาจจะอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศก็เป็นไปได้ไล่มาตั้งแต่การก่อสร้าง ที่มีการทุจริตกันตั้งแต่การถมหิน ดิน ทราย จนส่งผลให้รันเวย์ร้าว และที่เป็นข่าวใหญ่โตคือ การจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 และระบบสายพานลำเลียง เรียกได้ว่าการจัดซื้อจัดจ้างสารพัดโปรเจกต์นั้น มีความไม่ชอบมาพากลแทบจะทุกเม็ด จึงไม่แปลกใจที่สนามบินสุวรรณภูมิจะกลายเป็นแหล่ง ขุมทรัพย์ของพวกแสวงหาผลประโยชน์ไปเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีการตามล้างตามเช็ด แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สะอาดได้ล่าสุดก็มีปัญหามาให้ปวดหัวอีก ไม่ว่าจะเป็นกรณีการให้สัมปทานบริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด บริหารพื้นที่ลานจอดรถระยะยาวของโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการสุวรรณภูมิสแควร์) เรื่องนี้เริ่มปูดขึ้นมาหลังจากที่คณะกรรมการรายได้ ซึ่งมี “เสรีรัตน์ ประสุตานนท์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นประธาน ไม่รู้ระเบียบของบอร์ดทอท. ไปอนุมัติให้บริษัท แป้งร่ำฯ ได้งานสัมปทานลานจอดรถระยะยาวกว่า 62,000 ตารางเมตร อายุสัมปทาน 15 ปี จากที่มีอำนาจอนุมัติแค่ 5 ปี
งานนี้ต้องมีผู้บริหารระดับบิ๊กโดนสังเวยไปหลายรายทีเดียว ยกเว้น “เสรีรัตน์” ที่รอดมาได้ รวมทั้งยังลอยตัวผ่านการประเมินการทำงานจากบอร์ดอีกอย่างสวยหรู จนสหภาพฯ ทอท.ต้องยื่นหนังสือร้องเรียนความไม่เป็นธรรมต่อบอร์ด โดยให้ปลด “เสรีรัตน์” ออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ สิ่งที่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายที่เกาะกินสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่เปิดให้บริการมา ที่เห็นชัดๆ คือ ไกด์ผีแท็กซี่เถื่อน ที่ยังสามารถมายืนตะโกน โหวกเหวกโวยวายเรียกลูกค้า และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อย่างเปิดเผย ที่สำคัญ มีการโขกราคาค่าโดยสารนักท่องเที่ยวในราคาที่ไม่เป็นธรรม จนชาวต่างชาติคิดว่า นี่หรือวัฒนธรรมไทย
ยิ่งกว่านี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2553 ที่ผ่านมา มีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 100 คน ที่มาปิดล้อมอาคารจอดรถ A และ B ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น “ณรงค์ชัย ถนัดช่างแสง” รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ) บอกว่า บริษัท ปาร์คกิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบ กิจการอาคารจอดรถและลานจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2553 ถึง 31 มี.ค.2558 โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหุ้นส่วนในบริษัทเดียวกันเกิดขัดแย้งกันเองเรื่องผลประโยชน์จึงเกิดปัญหากันขึ้น
เดือดร้อนทั้งประชาชนผู้ใช้บริการ และภาพลักษณ์ของสนามบินเสียหาย จน “ปิยะพันธ์ จัมปาสุต” ประธานบอร์ดทอท.ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญากับ บริษัท ปาร์คกิ้งฯ และให้มีผลทันที เนื่องจากการกระทำที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก และจะมีความผิดอย่างชัดเจนด้วย คาดว่าอีก 3 เดือนทอท.พร้อมเปิดประมูลหาบริษัทรายใหม่มาทำแทน
ไม่จบเพียงเท่านั้น ล่าสุด “ธรรศ พจนประพันธ์” และ “สุภชัย สถิตวิมล” ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ ในนามผู้เสียหายจากกรณีการร่วมกันทุจริตอาคารจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นการจุดพลุอีกครั้งว่า ตั้งแต่มีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นมีมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันนักการเมืองยังคงฉกฉวยเพื่อหาผลประโยชน์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“เหลือบในคราบนักการเมืองยังคงเกาะกินผลประโยชน์จากการเก็บค่าจอดรถในลานจอดรถสุวรรณภูมิ โดยให้สิทธิแก่นักการเมืองนำโครงการไปเร่ขาย ในเงื่อนไขให้แบ่งผลประโยชน์ 75% และ 25% ทำไมค่าจอดรถ ทอท. จึงไม่เก็บเอง แต่กลับไปให้นักการเมือง เอาโครงการไปเร่ขาย และต้องเสียเงิน 25% เป็นส่วนแบ่งให้กับเอกชน นักการเมืองที่เป็นเหลือบนี้ไม่ต้องพูดก็ควรจะต้องรู้ว่าเป็นพรรคการเมืองใด ซึ่งโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยข้ามหัวข้าราชการคนอื่น ก็เป็นฝีมือของนักการเมืองพรรคนี้ทั้งสิ้น”
พฤติกรรมคือ นักการเมืองใช้ลูกมือ คนหนึ่ง ให้เข้ามาตั้งบริษัทเพื่อรับทำหน้าที่เก็บค่าจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่การทำสัญญากับบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด (บอท.) จะต้องทำในรูปแบบของนิติบุคคล จำต้องจดทะเบียนตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ลูกมือของนักการเมืองที่ไม่มีความ สามารถในการหาหนังสือค้ำประกันในการลงนามสัญญาได้ และไม่มีเงินในการลงทุนด้วย จึงนำโครงการไปเร่ขายนายทุน โดยหลอกให้เข้ามาลงทุน และงานชิ้นเดียวกันได้นำไปขายซ้ำให้กับนักธุรกิจ 2 ราย โดยพวกเขาไม่ได้รู้จักกัน ต่างได้หลวมตัวหลงซื้อหุ้นเพราะได้รับการสัญญา ว่าจะเข้ามาเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ได้โครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ต้องจ่ายเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าวิ่งงานเพื่อยุติปัญหาทั้งปวงและให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องจึงไม่ยินยอมจ่ายเงินให้กับนักการเมืองคนดังกล่าว
งามหน้ากันหล่ะทีนี้ แต่ถ้าจะให้ดีบอกชื่อมาเลยว่าใครทุจริตอย่างไร พร้อม หลักฐานด้วยนะคะ จะได้เอาผิดกันได้!ซึ่งการออกแถลงการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้มองเห็นภาพความเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยกลุ่มอิทธิพลและมาเฟียที่ไม่สามารถกำจัดให้พ้นจากสุวรรณภูมิ เพราะ พวกเหลือบที่ไม่รู้จักพอ
ที่มา.สยามธุรกิจ
วิกฤตบาท 2553...ทุกข์ของส่งออก จริงหรือที่แบงก์ชาติลอยแพตามยถากรรม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ปัญหาบาทแข็งในปี 2553 ครอบครองพื้นที่ข่าวได้อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากวาทกรรมอันเผ็ดร้อนของภาคเอกชนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กางโพยแจกแจงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาทต่อการส่งออก โดยสำรวจ 39 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากและรุนแรงที่สุดสัดส่วนถึง 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เซรามิก แปรรูปสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตร และผู้ส่งออกข้าว
ส่วนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีสัดส่วน 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงเลื่อยไม้และอบไม้ ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ อาหารสำเร็จรูป ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ยา และไม้อัด ไม้ยางและวัสดุแผ่น
ส่งผลให้ผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ต้องชะลอการรับคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ล่วงหน้า เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เงินบาทจากนี้ไปจะผันผวนแข็งค่ามากขึ้นไปเท่าใด อีกทั้งไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ เพราะหากตั้งราคาขายที่ 28 หรือ 29 บาทต่อดอลลาร์ ตามแนวโน้ม ค่าเงินบาท ลูกค้าไม่รับออร์เดอร์
ในแง่ผลกระทบต่อกำไร ข้อมูลของ ส.อ.ท.ชี้ว่า กำไรปกติของ ผู้ส่งออกเฉลี่ยที่ 5-10% อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปี 2553 จนถึงต้นเดือนกันยายน บาทแข็งจาก 33.15 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งค่าเฉลี่ยในช่วงต้นปี ขึ้นมาที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นไปมากกว่า 8% นั่นหมายความว่า ผู้ส่งออกหลายรายเริ่มมีปัญหาขาดทุน
ขณะที่ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ออกบทวิเคราะห์ "บาทแข็งค่า : แต่ละอุตสาหกรรมมีแรงต้านทานแค่ไหน" ประเมินว่า หากเงินบาทแข็งค่าเร็ว และทะลุไปถึงระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ (จาก 30.67 บาทต่อดอลลาร์ ถึง 29.94 บาทต่อดอลลาร์) อุตสาหกรรมรายแรกที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ แป้งแปรรูป ต่อจากนั้นจะเป็นข้าว ไก่แปรรูป ยางแปรรูป กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ถุงมือยาง รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้
อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ ล่าสุด (7 ต.ค. 2553) เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปีครั้งใหม่ ทะลุระดับ 29 บาท มาอยู่ที่ 29.85 บาทต่อดอลลาร์ ลองนึกดูว่า หากหลาย ๆ อย่างเป็นไปตามการคาดการณ์นี้ ย่อมจะมีอุตสาหกรรมหลายประเภท บาทเจ็บจากค่าเงินบาทแล้ว
ทุกข์ของผู้ส่งออก อาจเป็นแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้หอการค้าไทย โดยเฉพาะ "ดุสิต นนทะนาคร" ประธานกรรมการ ออกหน้า วิพากษ์บทบาทของ ธปท.หลายครั้ง และครั้งที่ถือเป็นการวิพากษ์ที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน โดยนอกจากเขาจะเรียกร้องให้ ธปท. "แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาค่าเงินบาท เหมือนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นดูแลเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ ไม่เป็นภาวะปกติ แต่เป็นเพราะการไหลเข้าของเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้น..."
ยังตำหนิตรง ๆ ว่า "ถ้ามีหน้าที่ที่จะทำแล้ว ไม่ทำตามหน้าที่ เป็นผมก็ต้องพิจารณาตัวเอง อยากให้กล้าตัดสินใจมากกว่านี้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ควรจะบริหารจัดการแบบผู้บริหาร ไม่ใช่แบบเสมียน เพราะถ้าบริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "แบงก์ชาติ บริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม หรือไม่"
ย้อนไปในอดีต ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนมาหลายครั้ง หากตั้งต้นที่ปี 2521 ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการนำระบบตะกร้าเงินมาใช้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าสุดที่ 21 บาทต่อดอลลาร์ ปี 2524 ธนาคารแห่งประเทศไทยลดค่าเงิน จาก 21 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 23 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้เอง ธปท.เริ่มนำสัญญา สวอป มาเป็นมาตรการประกันความเสี่ยงให้กับผู้กู้ต่างประเทศ และลดค่าเงินอีกครั้ง ในปี 2527 มาอยู่ที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ ตามด้วยการเปิดเสรีการเงิน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการควบคุมดอกเบี้ย และการไหลของทุนนอก
แต่เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2539 เศรษฐกิจที่เคยขยายตัวสูง มีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก พลิกผันเป็นการส่งออกชะลอลงอย่างฮวบฮาบ มีการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเผชิญปัญหาฟองสบู่แตก (ในช่วงนั้น มีการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อย่างมโหฬาร) ที่สุด 2 กรกฎาคม 2540 ทางการตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ต่ำสุดที่ 56 บาทต่อดอลลาร์ เกิดวิกฤตตามมา และส่งผลกระทบลุกลามไปยังบางประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้
อีก 2 ปีต่อมา ค่าเงินจึงได้คืนกลับสู่เสถียรภาพ โดยอยู่ที่ 36-39 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหลังวิกฤตคลายตัวลงแล้ว ธปท.ประกาศจุดยืนชัดว่า จะแทรกแซงค่าเงินเฉพาะเพื่อลดความผันผวนระยะสั้น ไม่ฝืนแนวโน้มตลาด
อย่างไรก็ตาม เงินบาทเผชิญปัญหาแข็งค่ามากอีกครั้ง ในช่วง ปี 2549 โดยแข็งค่าสุดที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากเคยอ่อนค่าไปที่ 43-44 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปี 2544-2545 ส่งผลให้ ธปท.ตัดสินใช้มาตรการควบคุมการเข้าระยะสั้น โดยให้มีการกันสำรอง 30% ซึ่งมาตรการหลังสุด ทำให้ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ในช่วงนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ก่อนเกษียณอำลาตำแหน่งใหญ่ในวังบางขุนพรหม ธาริษายืนยันผ่านสื่อเสมอมาว่า ยังไม่มีแนวคิดที่จะออกมาตรการควบคุมเงินทุน เหมือนในปี 2549 และแบงก์ชาติดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดเสมอมา
อะไรคือ ดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดของ ธปท.
ประชาชาติธุรกิจได้รวบรวมสถิติค่าเงินบาท ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และตัวเลขสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณาพบว่า ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นมาตลอด ยกเว้นปีเดียวคือ 2551 ที่อ่อนค่าลง 3.33% โดยเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปัจจุบันนี้สอดคล้องกับทิศทางเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และยังสัมพันธ์กับยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นเป็น จำนวนมาก
ขณะที่ทุนสำรองย้อนหลังไป 5 ปี มีจำนวนเพียง 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2548 แต่ล่าสุด เงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด 24 ก.ย. 2553 อยู่ที่ 163.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 159.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ฐานะสุทธิซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (ฐานะสิทธิ Forward) อยู่ที่ 11.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จะเห็นว่า เพียง 5 ปี ตัวเลขทุนสำรองของ ธปท.พุ่งขึ้นกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับค่าเงินบาทที่ ณ สิ้น ปี 2548 อยู่ที่ 41.07 บาท/ดอลลาร์ แต่ล่าสุดเงินบาทเคลื่อนไหวเหนือระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 บาท/ดอลลาร์
เมื่อเข้าไปดูในองค์ประกอบของทุนสำรองจะพบว่า การเพิ่มขึ้นของทุนสำรอง หลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งมีที่มาทั้งจากเงินทุนไหลเข้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการซื้อดอลลาร์ของ ธปท.เพื่อดูแลค่าเงินบาท โดยเฉพาะเหตุผลข้อหลังเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากหากไปดูการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดพบว่า ในปีนี้เริ่มเกินดุลลดลง โดยปี 2552 มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ครึ่งแรกของปี 2553 เกินดุลบัญชี เดินสะพัดเพียง 6.5 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขล่าสุดในเดือน มิ.ย. เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพียง 700 ล้านดอลลาร์ ส่วนเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.1 พันล้านดอลลาร์
จากข้อมูลดังกล่าว ตั้งข้อสังเกตได้ว่า ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในปีนี้ น่าจะมาจากการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงเป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ได้จากยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน กล่าวคือ เมื่อ ธปท.เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทต้องนำเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ เข้ามาเก็บ ทำให้สภาพคล่องเงินบาทเพิ่มขึ้น แต่เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ 1.75% ทำให้ ธปท.ต้องดูดซับสภาพคล่องเงินบาทส่วนเกินออกไป ทางหนึ่งคือการออกพันธบัตร ธปท. ทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.สูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า พันธบัตร ธปท.มียอดคงค้างสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2548 มียอดคงค้างเพียง 6.01 แสนล้านบาท แต่ล่าสุด ณ ส.ค. 2553 พบว่ายอดคงค้างถึง 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเข้าแทรกแซงดูแลค่าเงินบาท และนี่คือภาระต้นทุนของการเข้าไปดูแลเงินบาท เนื่องจากพันธบัตรที่ ธปท.ออกมาดูดซับสภาพคล่องจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ดังนั้น หากคำนวณแบบคร่าว ๆ จากยอดคงค้างพันธบัตรที่มีอยู่ 2.2 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% เพราะฉะนั้น ธปท.มีภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยเฉลี่ยน่าจะตกอยู่ประมาณ 3.79 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้ บอกอะไร
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. เคยอธิบายการทำงานของแบงก์ชาติไว้ก่อนหน้านี้ว่า ธปท. ไม่ได้ปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวเสรี หากดูงบดุลของ ธปท.ปีที่แล้วจะเห็นว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้นถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 7-8 แสนล้านบาท นั่นคือ วิธีที่เราพยายามช่วยเหลือให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้
และในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้ช่วยผู้ว่าการท่านนี้ได้สร้างความกระจ่างในบทบาทของ ธปท.อีกครั้ง ด้วยการเปรียบเปรยบทบาทแบงก์ชาติว่า เป็นเสมือนทัพหลังที่ต้องทำงานคู่ขนานไปกับ ทัพหน้าและทัพหลวง ซึ่งหมายถึงภาคธุรกิจเอกชนและรัฐบาล
"ทัพหลังนี่อย่าไปคิดเลยว่า ธปท.จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เป็นประเทศมีรายได้สูง นโยบายการเงินมันน่าเบื่อจริง ๆ มีหน้าที่เพียงแค่สร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินให้มั่นคง มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพ เพื่อให้ทัพหน้าเดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อให้ทัพหน้าสามารถทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตยั่งยืนและนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ยั่งยืนต่อเนื่อง"
ปัญหาบาทแข็งในปี 2553 ครอบครองพื้นที่ข่าวได้อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากวาทกรรมอันเผ็ดร้อนของภาคเอกชนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กางโพยแจกแจงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาทต่อการส่งออก โดยสำรวจ 39 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากและรุนแรงที่สุดสัดส่วนถึง 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เซรามิก แปรรูปสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตร และผู้ส่งออกข้าว
ส่วนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีสัดส่วน 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงเลื่อยไม้และอบไม้ ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ อาหารสำเร็จรูป ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ยา และไม้อัด ไม้ยางและวัสดุแผ่น
ส่งผลให้ผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ต้องชะลอการรับคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ล่วงหน้า เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เงินบาทจากนี้ไปจะผันผวนแข็งค่ามากขึ้นไปเท่าใด อีกทั้งไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ เพราะหากตั้งราคาขายที่ 28 หรือ 29 บาทต่อดอลลาร์ ตามแนวโน้ม ค่าเงินบาท ลูกค้าไม่รับออร์เดอร์
ในแง่ผลกระทบต่อกำไร ข้อมูลของ ส.อ.ท.ชี้ว่า กำไรปกติของ ผู้ส่งออกเฉลี่ยที่ 5-10% อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปี 2553 จนถึงต้นเดือนกันยายน บาทแข็งจาก 33.15 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งค่าเฉลี่ยในช่วงต้นปี ขึ้นมาที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นไปมากกว่า 8% นั่นหมายความว่า ผู้ส่งออกหลายรายเริ่มมีปัญหาขาดทุน
ขณะที่ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ออกบทวิเคราะห์ "บาทแข็งค่า : แต่ละอุตสาหกรรมมีแรงต้านทานแค่ไหน" ประเมินว่า หากเงินบาทแข็งค่าเร็ว และทะลุไปถึงระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ (จาก 30.67 บาทต่อดอลลาร์ ถึง 29.94 บาทต่อดอลลาร์) อุตสาหกรรมรายแรกที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ แป้งแปรรูป ต่อจากนั้นจะเป็นข้าว ไก่แปรรูป ยางแปรรูป กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ถุงมือยาง รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้
อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ ล่าสุด (7 ต.ค. 2553) เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปีครั้งใหม่ ทะลุระดับ 29 บาท มาอยู่ที่ 29.85 บาทต่อดอลลาร์ ลองนึกดูว่า หากหลาย ๆ อย่างเป็นไปตามการคาดการณ์นี้ ย่อมจะมีอุตสาหกรรมหลายประเภท บาทเจ็บจากค่าเงินบาทแล้ว
ทุกข์ของผู้ส่งออก อาจเป็นแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้หอการค้าไทย โดยเฉพาะ "ดุสิต นนทะนาคร" ประธานกรรมการ ออกหน้า วิพากษ์บทบาทของ ธปท.หลายครั้ง และครั้งที่ถือเป็นการวิพากษ์ที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน โดยนอกจากเขาจะเรียกร้องให้ ธปท. "แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาค่าเงินบาท เหมือนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นดูแลเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ ไม่เป็นภาวะปกติ แต่เป็นเพราะการไหลเข้าของเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้น..."
ยังตำหนิตรง ๆ ว่า "ถ้ามีหน้าที่ที่จะทำแล้ว ไม่ทำตามหน้าที่ เป็นผมก็ต้องพิจารณาตัวเอง อยากให้กล้าตัดสินใจมากกว่านี้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ควรจะบริหารจัดการแบบผู้บริหาร ไม่ใช่แบบเสมียน เพราะถ้าบริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "แบงก์ชาติ บริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม หรือไม่"
ย้อนไปในอดีต ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนมาหลายครั้ง หากตั้งต้นที่ปี 2521 ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการนำระบบตะกร้าเงินมาใช้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าสุดที่ 21 บาทต่อดอลลาร์ ปี 2524 ธนาคารแห่งประเทศไทยลดค่าเงิน จาก 21 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 23 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้เอง ธปท.เริ่มนำสัญญา สวอป มาเป็นมาตรการประกันความเสี่ยงให้กับผู้กู้ต่างประเทศ และลดค่าเงินอีกครั้ง ในปี 2527 มาอยู่ที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ ตามด้วยการเปิดเสรีการเงิน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการควบคุมดอกเบี้ย และการไหลของทุนนอก
แต่เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2539 เศรษฐกิจที่เคยขยายตัวสูง มีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก พลิกผันเป็นการส่งออกชะลอลงอย่างฮวบฮาบ มีการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเผชิญปัญหาฟองสบู่แตก (ในช่วงนั้น มีการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อย่างมโหฬาร) ที่สุด 2 กรกฎาคม 2540 ทางการตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ต่ำสุดที่ 56 บาทต่อดอลลาร์ เกิดวิกฤตตามมา และส่งผลกระทบลุกลามไปยังบางประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้
อีก 2 ปีต่อมา ค่าเงินจึงได้คืนกลับสู่เสถียรภาพ โดยอยู่ที่ 36-39 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหลังวิกฤตคลายตัวลงแล้ว ธปท.ประกาศจุดยืนชัดว่า จะแทรกแซงค่าเงินเฉพาะเพื่อลดความผันผวนระยะสั้น ไม่ฝืนแนวโน้มตลาด
อย่างไรก็ตาม เงินบาทเผชิญปัญหาแข็งค่ามากอีกครั้ง ในช่วง ปี 2549 โดยแข็งค่าสุดที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากเคยอ่อนค่าไปที่ 43-44 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปี 2544-2545 ส่งผลให้ ธปท.ตัดสินใช้มาตรการควบคุมการเข้าระยะสั้น โดยให้มีการกันสำรอง 30% ซึ่งมาตรการหลังสุด ทำให้ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ในช่วงนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ก่อนเกษียณอำลาตำแหน่งใหญ่ในวังบางขุนพรหม ธาริษายืนยันผ่านสื่อเสมอมาว่า ยังไม่มีแนวคิดที่จะออกมาตรการควบคุมเงินทุน เหมือนในปี 2549 และแบงก์ชาติดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดเสมอมา
อะไรคือ ดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดของ ธปท.
ประชาชาติธุรกิจได้รวบรวมสถิติค่าเงินบาท ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และตัวเลขสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณาพบว่า ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นมาตลอด ยกเว้นปีเดียวคือ 2551 ที่อ่อนค่าลง 3.33% โดยเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปัจจุบันนี้สอดคล้องกับทิศทางเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และยังสัมพันธ์กับยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นเป็น จำนวนมาก
ขณะที่ทุนสำรองย้อนหลังไป 5 ปี มีจำนวนเพียง 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2548 แต่ล่าสุด เงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด 24 ก.ย. 2553 อยู่ที่ 163.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 159.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ฐานะสุทธิซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (ฐานะสิทธิ Forward) อยู่ที่ 11.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จะเห็นว่า เพียง 5 ปี ตัวเลขทุนสำรองของ ธปท.พุ่งขึ้นกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับค่าเงินบาทที่ ณ สิ้น ปี 2548 อยู่ที่ 41.07 บาท/ดอลลาร์ แต่ล่าสุดเงินบาทเคลื่อนไหวเหนือระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 บาท/ดอลลาร์
เมื่อเข้าไปดูในองค์ประกอบของทุนสำรองจะพบว่า การเพิ่มขึ้นของทุนสำรอง หลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งมีที่มาทั้งจากเงินทุนไหลเข้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการซื้อดอลลาร์ของ ธปท.เพื่อดูแลค่าเงินบาท โดยเฉพาะเหตุผลข้อหลังเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากหากไปดูการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดพบว่า ในปีนี้เริ่มเกินดุลลดลง โดยปี 2552 มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ครึ่งแรกของปี 2553 เกินดุลบัญชี เดินสะพัดเพียง 6.5 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขล่าสุดในเดือน มิ.ย. เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพียง 700 ล้านดอลลาร์ ส่วนเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.1 พันล้านดอลลาร์
จากข้อมูลดังกล่าว ตั้งข้อสังเกตได้ว่า ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในปีนี้ น่าจะมาจากการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงเป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ได้จากยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน กล่าวคือ เมื่อ ธปท.เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทต้องนำเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ เข้ามาเก็บ ทำให้สภาพคล่องเงินบาทเพิ่มขึ้น แต่เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ 1.75% ทำให้ ธปท.ต้องดูดซับสภาพคล่องเงินบาทส่วนเกินออกไป ทางหนึ่งคือการออกพันธบัตร ธปท. ทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.สูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า พันธบัตร ธปท.มียอดคงค้างสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2548 มียอดคงค้างเพียง 6.01 แสนล้านบาท แต่ล่าสุด ณ ส.ค. 2553 พบว่ายอดคงค้างถึง 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเข้าแทรกแซงดูแลค่าเงินบาท และนี่คือภาระต้นทุนของการเข้าไปดูแลเงินบาท เนื่องจากพันธบัตรที่ ธปท.ออกมาดูดซับสภาพคล่องจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ดังนั้น หากคำนวณแบบคร่าว ๆ จากยอดคงค้างพันธบัตรที่มีอยู่ 2.2 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% เพราะฉะนั้น ธปท.มีภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยเฉลี่ยน่าจะตกอยู่ประมาณ 3.79 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้ บอกอะไร
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. เคยอธิบายการทำงานของแบงก์ชาติไว้ก่อนหน้านี้ว่า ธปท. ไม่ได้ปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวเสรี หากดูงบดุลของ ธปท.ปีที่แล้วจะเห็นว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้นถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 7-8 แสนล้านบาท นั่นคือ วิธีที่เราพยายามช่วยเหลือให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้
และในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้ช่วยผู้ว่าการท่านนี้ได้สร้างความกระจ่างในบทบาทของ ธปท.อีกครั้ง ด้วยการเปรียบเปรยบทบาทแบงก์ชาติว่า เป็นเสมือนทัพหลังที่ต้องทำงานคู่ขนานไปกับ ทัพหน้าและทัพหลวง ซึ่งหมายถึงภาคธุรกิจเอกชนและรัฐบาล
"ทัพหลังนี่อย่าไปคิดเลยว่า ธปท.จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เป็นประเทศมีรายได้สูง นโยบายการเงินมันน่าเบื่อจริง ๆ มีหน้าที่เพียงแค่สร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินให้มั่นคง มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพ เพื่อให้ทัพหน้าเดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อให้ทัพหน้าสามารถทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตยั่งยืนและนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ยั่งยืนต่อเนื่อง"
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553
มือสมัครเล่น?
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุ่งบางบัวทอง พลันที่กัมปนาทแห่งเสียงระเบิดดังอื้ออึงออกมาจาก “สมานเมตตาแมนชั่น” สรุปความเสียหายโดยประมาณ ตาย 4 เจ็บเพียบ ตัวอาคารทรุด กำแพงผนังตึกกระจุยกระจาย ไร้ชิ้นดี รถราที่จอดอยู่ละแวกนั้น พังเสียหายแตกต่างกันไปตามระยะห่างจากจุดระเบิด
ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน สันนิษฐานตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมีปริมาณทีเอ็นที ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม เมื่อนำ มาบวกรวมกับสารประกอบระเบิดที่เก็บกวาดได้จากหลักฐานพยานแวดล้อม ณ จุดเกิด เหตุ มันไม่ต่างจากคลังแสงย่อยๆ ดีๆ นี่เอง
อนุมานต่อยอดล่วงหน้า หากมีการนำวัตถุระเบิดเหล่านี้ ออกไปใช้ก่อการ ค่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินคงยากที่จะประเมินได้ยิ่งสืบสาวราวเรื่องลงไป ให้ลึกจากพยานบุคคล หนึ่งบุรุษผู้เช่าห้อง 202 ซึ่งเป็นจุด เกิดเหตุ เผอิญเป็นคนเสื้อแดง ที่กำลังหลบหนีหมายจับจากเมืองเชียงใหม่เข้ามากบดานใน เมืองกรุง ส่วนอีก 1 บุรุษ และ 1 สุภาพสตรี รูปพรรณสัณฐาน และลักษณะการแต่งตัว ดูมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า จะเป็น ชาวมุสลิม ขยายภาพจากทะเบียน รถที่บ่งบอกถึงสัญชาตินราธิวาส
มันก็น่าเชื่อได้ว่า แต่ละจิ๊กซอว์ที่นำมาประกอบกัน ถือเป็นมิติอำมหิตหน้าใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในห้วงที่ไซเรน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังหวีด ร้องทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หรือระเบิดเคโมและระเบิดซีโฟร์กำลังจะย้ายฐานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้า สู่กรุง???เหตุบึ้มรายวัน ที่ยิ่งดังอึกทึกครึกโครมถี่ขึ้น ล้วนไม่ต่าง จากภาพในกระจกเงา ที่สะท้อน ให้เห็นความไม่ปกติสุขด้าน สวัสดิภาพซึ่งมีความเหมือนกัน โดยบังเอิญของชีวิตคนกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่เรดโซนภาคใต้
กระนั้นก็ตาม คงจะไปตี ขลุมตีความล่วงหน้าไปไม่ได้ว่า ภาพการแบ่งแยกดินแดนในสุด เขตด้ามขวานทองจะลุกลามบานปลายเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ยิ่งหากมองตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า สมมติฐาน ดังกล่าวนั้นผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่หากมองในมุมกลับใน ด้านยุทธวิธี เชื่อมโยงกับแนว คิด “รัฐไทยใหม่” หรือแม้กระทั่ง “วิทยานิพนธ์ฉบับสี แดง” ที่กำลังตกเป็นข้อบริภาษ ร่อนตะแกรงผ่านยุทธศาสตร์รบแบบกองโจร ซุ่มซ่อนอย่างยาวนาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค่าสรรพสิทธิมันย่อม บ่งชี้ว่า ทั้ง 2 ตำรา ล้วนถอดบล็อกออกมาจากพิมพ์เขียวเดียวกัน อันมีสารตั้งต้นมาจาก “คัมภีร์จรยุทธ์” ฉบับ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” หรือ พคท. ที่ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้เคลื่อนไหวอย่างแพร่หลายผ่านขบวนการนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แม้วันนั้นและวันนี้ สมการในการเคลื่อนตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะมีที่มาที่ไปและมีเงื่อนไข สุดท้ายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์อำนาจและผลประโยชน์ ทับซ้อนการเมือง
กระนั้น ภาพระเบิดรายวันที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรง มากขึ้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยัง ไม่สามารถจับมือใครดมได้..ไม่ ว่าจะด้วยเหตุจงใจละเลยหรือจนด้วยเกล้าก็ตาม???
แต่ด้วยความถี่แห่งเสียง กัมปนาทที่ดังอื้ออึงหนาหูขึ้นทุกวัน ไม่ว่าผู้ก่อการเหล่านั้นจะเป็นตัวจริงหรือมือใหม่หัดป่วน แต่กระบวนการจัดวางที่เกิดขึ้น มันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า มันล้วนผ่านการวางแผนมา อย่างเป็นระบบและไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอนสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นมือสมัครเล่นจริง ฝ่ายความมั่นคงก็ควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นระเบิด ต่อให้เป็น มือสมัครเล่น ท้ายที่สุดใครโดน เข้าไปก็ตายเหมือนกัน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน สันนิษฐานตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมีปริมาณทีเอ็นที ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม เมื่อนำ มาบวกรวมกับสารประกอบระเบิดที่เก็บกวาดได้จากหลักฐานพยานแวดล้อม ณ จุดเกิด เหตุ มันไม่ต่างจากคลังแสงย่อยๆ ดีๆ นี่เอง
อนุมานต่อยอดล่วงหน้า หากมีการนำวัตถุระเบิดเหล่านี้ ออกไปใช้ก่อการ ค่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินคงยากที่จะประเมินได้ยิ่งสืบสาวราวเรื่องลงไป ให้ลึกจากพยานบุคคล หนึ่งบุรุษผู้เช่าห้อง 202 ซึ่งเป็นจุด เกิดเหตุ เผอิญเป็นคนเสื้อแดง ที่กำลังหลบหนีหมายจับจากเมืองเชียงใหม่เข้ามากบดานใน เมืองกรุง ส่วนอีก 1 บุรุษ และ 1 สุภาพสตรี รูปพรรณสัณฐาน และลักษณะการแต่งตัว ดูมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า จะเป็น ชาวมุสลิม ขยายภาพจากทะเบียน รถที่บ่งบอกถึงสัญชาตินราธิวาส
มันก็น่าเชื่อได้ว่า แต่ละจิ๊กซอว์ที่นำมาประกอบกัน ถือเป็นมิติอำมหิตหน้าใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในห้วงที่ไซเรน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังหวีด ร้องทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หรือระเบิดเคโมและระเบิดซีโฟร์กำลังจะย้ายฐานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้า สู่กรุง???เหตุบึ้มรายวัน ที่ยิ่งดังอึกทึกครึกโครมถี่ขึ้น ล้วนไม่ต่าง จากภาพในกระจกเงา ที่สะท้อน ให้เห็นความไม่ปกติสุขด้าน สวัสดิภาพซึ่งมีความเหมือนกัน โดยบังเอิญของชีวิตคนกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่เรดโซนภาคใต้
กระนั้นก็ตาม คงจะไปตี ขลุมตีความล่วงหน้าไปไม่ได้ว่า ภาพการแบ่งแยกดินแดนในสุด เขตด้ามขวานทองจะลุกลามบานปลายเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ยิ่งหากมองตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า สมมติฐาน ดังกล่าวนั้นผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่หากมองในมุมกลับใน ด้านยุทธวิธี เชื่อมโยงกับแนว คิด “รัฐไทยใหม่” หรือแม้กระทั่ง “วิทยานิพนธ์ฉบับสี แดง” ที่กำลังตกเป็นข้อบริภาษ ร่อนตะแกรงผ่านยุทธศาสตร์รบแบบกองโจร ซุ่มซ่อนอย่างยาวนาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค่าสรรพสิทธิมันย่อม บ่งชี้ว่า ทั้ง 2 ตำรา ล้วนถอดบล็อกออกมาจากพิมพ์เขียวเดียวกัน อันมีสารตั้งต้นมาจาก “คัมภีร์จรยุทธ์” ฉบับ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” หรือ พคท. ที่ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้เคลื่อนไหวอย่างแพร่หลายผ่านขบวนการนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แม้วันนั้นและวันนี้ สมการในการเคลื่อนตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะมีที่มาที่ไปและมีเงื่อนไข สุดท้ายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์อำนาจและผลประโยชน์ ทับซ้อนการเมือง
กระนั้น ภาพระเบิดรายวันที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรง มากขึ้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยัง ไม่สามารถจับมือใครดมได้..ไม่ ว่าจะด้วยเหตุจงใจละเลยหรือจนด้วยเกล้าก็ตาม???
แต่ด้วยความถี่แห่งเสียง กัมปนาทที่ดังอื้ออึงหนาหูขึ้นทุกวัน ไม่ว่าผู้ก่อการเหล่านั้นจะเป็นตัวจริงหรือมือใหม่หัดป่วน แต่กระบวนการจัดวางที่เกิดขึ้น มันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า มันล้วนผ่านการวางแผนมา อย่างเป็นระบบและไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอนสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นมือสมัครเล่นจริง ฝ่ายความมั่นคงก็ควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นระเบิด ต่อให้เป็น มือสมัครเล่น ท้ายที่สุดใครโดน เข้าไปก็ตายเหมือนกัน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
‘กรรม’ เป็นเครื่อง‘ชี้เจตนา’!!
กลุ่ม นายพลห้อย “เนวิน ชิดชอบ” ก็อดฟาเธอร์แห่งพรรคภูมิใจไทย พล่ามไป ก็ไร้คุณค่า
หาก “พรรคพลังสีน้ำเงิน” ไม่กระฉ่อน ด้วยเรื่อง ประมูลคอมฯ ฉาว ๓.๕ พันล้าน, ตั้งปลัดมหาดไทยโฉ่, สอบนายอำเภอมีกลิ่นฉุน, และประมูลสต๊อกข้าว และสต๊อกมันเส้นส่งกลิ่นฉุยแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือจะเขี่ย จากรัฐบาล
งามลออกันถึงขนาดนี้... ยังชิ่งแคนนอน ไปโทษคนอื่น อีกหรือนั่น
การที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จับ “ภูมิใจไทย” ใส่หม้อถ่วงน้ำ เพราะอยู่ด้วย มีแต่ “หมองราศี” ลงทุกวัน...อีกทั้งการส่งเสลี่ยงหาม นำ “กลุ่ม ๓ พี” ของ “พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมรัฐบาล เพราะเขาทำแต่สิ่งดีๆ
ที่ “ภูมิใจไทย” ต้องโดนโละทิ้ง....ก็เพราะในสิ่งที่เป็นเรื่องจริงเหล่านี้???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนปะทะกับ ‘๒ แรงบวก’!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไสช้างไล่ ขี่ม้าตามกระจวก??
“พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ห้อยบุรีรัมย์” ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันมาน้อย..จึงน่า เป็นรัฐบาลเท่านี้
ด้านฝ่าย นายใหญ่แดนไกล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” นั้น..ก็กรวดน้ำคว่ำขัน ไม่เอากับคนๆ นี้
นัยว่า, สูตรลับผสม “รัฐบาลมาร์คใหม่” นั้น...ทาง “พรรคเพื่อไทย” ของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ได้สัญญาณผ่านดาวเทียมจากแดนไกล ให้หนุนและโหวตเติมเต็มแก่การจัดตั้งรัฐบาล จำนวน ๕๐ เสียง..ด้วยความหวังดี โดยไม่ประสงค์ตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงไหน” ทั้งนั้น!!
ส่วน “เนวิน ชิดชอบ”...ต้องกระหืดกระหอบ?...กลับไปรับจ๊อบ เป็นฝ่ายค้าน???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พี่คนนี้มีแต่ให้!!
ใจกว้างกว่าลำตะคอง สำหรับ “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” หลานย่าโม ผู้มากน้ำใจ??
ได้รับการร้องขอเป็นทอดๆ ..โดยเริ่มจาก “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ร้องกระจองอแง ให้ “เนวิน ชิดชอบ” พูดกับ “อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” ที
“เนวิน” ก็ขี่ม้าสามศอก มาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก “หัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำ” สุชาติ ตันเจริญ ถึง “ท่านไพโรจน์” อย่างด่วนจี๋
โดยที่ “ท่านสุชาติ” เอง.. เมื่อเข้าพบ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ครั้นต่อสายได้..ก็ให้ “ท่านทักษิณ” พูดกับ“อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” เพื่อกระเตงอุ้ม “บุญจง” เข้ามาเป็นผู้แทน..และพลันทันที “บุญจง” ได้ป็น “รมช. มหาดไทย” แล้ว..ก็สนองคุณ “ท่านไพโรจน์” เสียจั๋งหนับ!
ถ้าไม่มี “ท่านไพโรจน์”... “บุญจง” ก็คงจะอด?..หมดอนาคต ไปนานแล้วล่ะครับ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น ‘ไก่รองบอน’ สำหรับ..‘บริษัทขายตรง ของคนไทย’
ถูกประดา ยักษ์ใหญ่บริษัทขายตรงต่างชาติ...ที่ใช้อำนาจเงิน และ “คนของรัฐ” รุมรังแกสร้างความเสียหาย??
ด้วยการงัดกฎหมายแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน ให้กู้ยืมเงินเกินอัตราดอกเบี้ย ขึ้นฟัน
บางหน่วยงานของรัฐฯ..ยังสร้างกระแสป่วน ปลุกเร้าให้ประชาชนคล้อยตาม ว่าถูก “บริษัทขายตรงคนไทย” หลอกลวง อีกด้วยขอรับท่าน
หากบริษัทขายตรงคนไทย เจอข้อหาเหล่านี้เข้าไป.. “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้บ้างไหม!... บริษัทก็พังพินาศ กลายเป็น “มหาโจร” ...เหมือนกับ ๔ บริษัทขายตรงที่ถูกจับ แต่ศาลไม่รับฟ้อง เนื่องจากเขาทำธุรกิจชัดเจน มีสมาชิกประทับใจ ใช้บริการ..แต่เมื่อโดนถูกจับ ก็กลายเป็นโจร ฉับพลันทันทีเลยหละ!!
อยากบอก “นายกฯ อภิสิทธิ์” คนเก่ง..ว่า เรื่องนี้ เป็นการเสิร์ฟเอง กินเอง?...ของบริษัทฝรั่งเส็งเคร็ง กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไงล่ะฮะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘กม.ฉ้อโกงประชาชน’ เป็นแกะดำ!!
ปรากฏว่า, หน่วยงานของรัฐบางแห่ง เอาไปหาเงิน เข้าพกเข้าห่อ กันเป็นประจำ??
ยิ่งการตั้งข้อหา “แชร์ลูกโซ่” ให้กับ “บริษัทขายตรงดีๆ”.. มันเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กับ “นักธุรกิจคนไทย” จนเขาพากันร้องจ๊าก..จ๊าก
ถึงเวลาแล้ว ที่ “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว. ยุติธรรม และ “ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ ...ควรจะสังคายนากันเสียที เพื่อให้เกิด “การทุจริต” ได้ยากส์ส์
หาทางยับยั้ง ไม่ให้หน่วยงานของรัฐ ใช้กฎหมายฉ้อโกงประชาชนอย่างพร่ำเพรื่อ..เพราะนี่คือ ภัยร้ายที่ทำลายบริษัทคนไทย ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด!!
“บริษัทขายตรงคนไทย” โดนรังแก..เพราะเจ้าหน้าที่รัฐแท้ๆ ..ฉะนั้น, ช่วยแก้เรื่องนี้ให้ด้วยเถิด???
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
____________________________________________________________
หาก “พรรคพลังสีน้ำเงิน” ไม่กระฉ่อน ด้วยเรื่อง ประมูลคอมฯ ฉาว ๓.๕ พันล้าน, ตั้งปลัดมหาดไทยโฉ่, สอบนายอำเภอมีกลิ่นฉุน, และประมูลสต๊อกข้าว และสต๊อกมันเส้นส่งกลิ่นฉุยแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือจะเขี่ย จากรัฐบาล
งามลออกันถึงขนาดนี้... ยังชิ่งแคนนอน ไปโทษคนอื่น อีกหรือนั่น
การที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จับ “ภูมิใจไทย” ใส่หม้อถ่วงน้ำ เพราะอยู่ด้วย มีแต่ “หมองราศี” ลงทุกวัน...อีกทั้งการส่งเสลี่ยงหาม นำ “กลุ่ม ๓ พี” ของ “พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมรัฐบาล เพราะเขาทำแต่สิ่งดีๆ
ที่ “ภูมิใจไทย” ต้องโดนโละทิ้ง....ก็เพราะในสิ่งที่เป็นเรื่องจริงเหล่านี้???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนปะทะกับ ‘๒ แรงบวก’!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไสช้างไล่ ขี่ม้าตามกระจวก??
“พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ห้อยบุรีรัมย์” ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันมาน้อย..จึงน่า เป็นรัฐบาลเท่านี้
ด้านฝ่าย นายใหญ่แดนไกล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” นั้น..ก็กรวดน้ำคว่ำขัน ไม่เอากับคนๆ นี้
นัยว่า, สูตรลับผสม “รัฐบาลมาร์คใหม่” นั้น...ทาง “พรรคเพื่อไทย” ของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ได้สัญญาณผ่านดาวเทียมจากแดนไกล ให้หนุนและโหวตเติมเต็มแก่การจัดตั้งรัฐบาล จำนวน ๕๐ เสียง..ด้วยความหวังดี โดยไม่ประสงค์ตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงไหน” ทั้งนั้น!!
ส่วน “เนวิน ชิดชอบ”...ต้องกระหืดกระหอบ?...กลับไปรับจ๊อบ เป็นฝ่ายค้าน???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พี่คนนี้มีแต่ให้!!
ใจกว้างกว่าลำตะคอง สำหรับ “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” หลานย่าโม ผู้มากน้ำใจ??
ได้รับการร้องขอเป็นทอดๆ ..โดยเริ่มจาก “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ร้องกระจองอแง ให้ “เนวิน ชิดชอบ” พูดกับ “อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” ที
“เนวิน” ก็ขี่ม้าสามศอก มาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก “หัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำ” สุชาติ ตันเจริญ ถึง “ท่านไพโรจน์” อย่างด่วนจี๋
โดยที่ “ท่านสุชาติ” เอง.. เมื่อเข้าพบ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ครั้นต่อสายได้..ก็ให้ “ท่านทักษิณ” พูดกับ“อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” เพื่อกระเตงอุ้ม “บุญจง” เข้ามาเป็นผู้แทน..และพลันทันที “บุญจง” ได้ป็น “รมช. มหาดไทย” แล้ว..ก็สนองคุณ “ท่านไพโรจน์” เสียจั๋งหนับ!
ถ้าไม่มี “ท่านไพโรจน์”... “บุญจง” ก็คงจะอด?..หมดอนาคต ไปนานแล้วล่ะครับ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น ‘ไก่รองบอน’ สำหรับ..‘บริษัทขายตรง ของคนไทย’
ถูกประดา ยักษ์ใหญ่บริษัทขายตรงต่างชาติ...ที่ใช้อำนาจเงิน และ “คนของรัฐ” รุมรังแกสร้างความเสียหาย??
ด้วยการงัดกฎหมายแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน ให้กู้ยืมเงินเกินอัตราดอกเบี้ย ขึ้นฟัน
บางหน่วยงานของรัฐฯ..ยังสร้างกระแสป่วน ปลุกเร้าให้ประชาชนคล้อยตาม ว่าถูก “บริษัทขายตรงคนไทย” หลอกลวง อีกด้วยขอรับท่าน
หากบริษัทขายตรงคนไทย เจอข้อหาเหล่านี้เข้าไป.. “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้บ้างไหม!... บริษัทก็พังพินาศ กลายเป็น “มหาโจร” ...เหมือนกับ ๔ บริษัทขายตรงที่ถูกจับ แต่ศาลไม่รับฟ้อง เนื่องจากเขาทำธุรกิจชัดเจน มีสมาชิกประทับใจ ใช้บริการ..แต่เมื่อโดนถูกจับ ก็กลายเป็นโจร ฉับพลันทันทีเลยหละ!!
อยากบอก “นายกฯ อภิสิทธิ์” คนเก่ง..ว่า เรื่องนี้ เป็นการเสิร์ฟเอง กินเอง?...ของบริษัทฝรั่งเส็งเคร็ง กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไงล่ะฮะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘กม.ฉ้อโกงประชาชน’ เป็นแกะดำ!!
ปรากฏว่า, หน่วยงานของรัฐบางแห่ง เอาไปหาเงิน เข้าพกเข้าห่อ กันเป็นประจำ??
ยิ่งการตั้งข้อหา “แชร์ลูกโซ่” ให้กับ “บริษัทขายตรงดีๆ”.. มันเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กับ “นักธุรกิจคนไทย” จนเขาพากันร้องจ๊าก..จ๊าก
ถึงเวลาแล้ว ที่ “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว. ยุติธรรม และ “ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ ...ควรจะสังคายนากันเสียที เพื่อให้เกิด “การทุจริต” ได้ยากส์ส์
หาทางยับยั้ง ไม่ให้หน่วยงานของรัฐ ใช้กฎหมายฉ้อโกงประชาชนอย่างพร่ำเพรื่อ..เพราะนี่คือ ภัยร้ายที่ทำลายบริษัทคนไทย ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด!!
“บริษัทขายตรงคนไทย” โดนรังแก..เพราะเจ้าหน้าที่รัฐแท้ๆ ..ฉะนั้น, ช่วยแก้เรื่องนี้ให้ด้วยเถิด???
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
____________________________________________________________
จากวิกฤตแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม สู่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน อย่าแค่เงียบ...ล้มระบบอุปถัมภ์!!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ข่าวอื้อฉาว การทุจริตโรงเรียนนายอำเภอ ซึ่ง"บิ๊กข้าราชการ" รับใบสั่งจากผู้มีอำนาจการเมือง เป็นข่าวที่ตอกย้ำความเสื่อมในระบบราชการ ที่ตกต่ำถึงขีดสุด
ไม่นับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ เด็กนักการเมือง ต่างได้ดีกันทั่วหน้า !!!
กล่าวกันว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม เป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การทุจริต คอร์รัปชั่น
ล่าสุด ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บก.เว๊บไซต์ http://www.pub-law.net/ ได้เขียนบท
บรรณาธิการ เรื่อง "ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก" เป็นคำถามที่น่าสนใจและยังมีข้อเสนอที่ท้าทาย เป็นอย่างยิ่ง
....เมื่อสองสามวันก่อน ได้เห็นภาพของเพื่อนกลุ่มหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพจึงทราบว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจและเป็นเศรษฐี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงแสดงความยินดีกับเพื่อนตำรวจ เพื่อนทหาร และเพื่อนข้าราชการพลเรือน ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา
ข่าวสังคมลักษณะนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะต้องมีข่าว “โฆษณา” ให้คนทั่วไปทราบถึง “ความใกล้ชิด” ของผู้จัดเลี้ยงและ “ความก้าวหน้า” ของผู้ได้รับเลี้ยง แต่ไม่เห็นมีใครพูดกันเลยว่า คนเหล่านั้น “ก้าวหน้า” ขึ้นมาถึงจุดนั้นได้อย่างไร
เป็นคนมีความรู้ความสามารถหรือไม่ โชคช่วยหรือไม่ หรือวิ่งเต้นจนได้ดิบได้ดี และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีบางคนที่ขึ้นมาถึงระดับนั้นได้ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็หมายความว่าในขณะเดียวกันต้องมีคนอื่นที่ดีกว่า เก่งกว่า เหมาะสมกว่า แต่ถูก “ข้ามหัว” ไปด้วยความไม่ถูกต้องเช่นกัน
คนประเภทหลังนี้ไม่เห็นมีใครเลี้ยงปลอบใจให้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่น่าจะได้รับเลี้ยงมากที่สุด และคนประเภทนี้ก็มีจำนวนมากเสียด้วย ยิ่งบางรายที่กระโดด “ข้ามหัว” คนอื่นด้วยพลังแรงสูง ก็หมายความว่า 1 ตำแหน่งของตนเองที่ได้ไปกระทบกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันก็มีคนที่ถูกข้ามหัวไปก็จะมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คือสภาพของสังคมไทย สภาพของสังคมอุปถัมภ์ที่เรารับทราบกันอยู่ คนมีตำแหน่งและมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้รับความสนใจ ได้รับการยอมรับและได้รับการยกย่องจากสังคมครับ !!!
ข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายในมหาดไทย
ในช่วงเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการโยกย้ายข้าราชการทุกประเภท ที่เป็นข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจและข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่มีทั้งข่าวออกมาในเชิงลบและมีการร้องเรียนโดยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย
ข่าวที่ออกมามีลักษณะคล้าย ๆ กันคือ ข้าราชการที่ได้รับการ “อุ้มชู” จากนักการเมืองก็จะ “ได้ดี” กันเป็นแถว แม้บางคนจะมีชนักติดหลังอยู่ก็ยังได้ดี บางคนถึงขนาดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแย่ลงก็ยังได้ดี บางคนอาจทำให้พรรคการเมืองแตกได้ก็ยังได้ดี รวมความแล้วการ “ได้ดี” ของคน “บางคน” เป็นการ “ได้ดี” เฉพาะตัวเองและผู้แต่งตั้ง แต่อาจไม่เกิด “ผลดี” อะไรต่อประเทศชาติและสังคมเลยก็เป็นได้หากคนที่ได้ดีเหล่านั้นต้อง “ตอบสนอง” ผู้แต่งตั้งอันเนื่องมาจาก “บุญคุณ” ที่ทำให้ตนเองได้รับตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควร ก็เป็นไปได้
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องประเภทดังกล่าวมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแสนนาน การรัฐประหารหลาย ๆ ครั้งก็เกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายหรือที่เกิดจากการกลัวการแต่งตั้งโยกย้ายก็เคยมีมาแล้ว มีข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัยซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป สภาพสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
ตราบใดก็ตามที่ระบบข้าราชการยังเป็นระบบ “ปิรามิด” และตราบใดก็ตามที่นักการเมืองยังเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ยอดปิรามิดด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
นอกเหนือจากข่าวของความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีข่าว “อดีตข้าราชการ” บางคนที่แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วแต่ก็ยังให้ความ “สนใจ” ในปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกับชักชวนให้ข้าราชการและทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันต่อต้านการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมือง
ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีปัญหาประเภทนี้เกิดขึ้นหลายครั้งและทุก ๆ ครั้งก็จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็น “อำนาจบังคับบัญชา” ของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของหน่วยงาน แม้จะมีความพยายามในการวางเกณฑ์กันในบางกระทรวงโดยหวังที่จะเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่ผ่านมามีข่าวว่า กระทรวงหนึ่งต้องการได้ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดด้วยวิธีการที่ดี โปร่งใส เป็นธรรม อุตส่าห์ตั้งคณะกรรมการสรรหาซึ่งประกอบด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศ เมื่อคณะกรรมการสรรหาได้คนที่ดีที่สุดมาแล้วก็เสนอให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง แต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งกลับแต่งตั้งอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการสรรหา แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรกันดีครับ ก็ต้องขอแสดงความ “สงสาร” และ“เห็นใจ” คณะกรรมการสรรหาที่อุตส่าห์ทำงานกันแทบตาย แต่ในที่สุด “นักการเมือง” ก็คือ “นักการเมือง” มองคนที่ตัวเองต้องการว่าเป็นคนที่ดีที่สุด !!!
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
สภาพปัญหาการโยกย้ายข้าราชการในปัจจุบันคงไม่แตกต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมานัก ในวันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศได้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาลและจากทหาร “ผู้พิทักษ์” แม้ว่าจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการบางคน “พัวพัน” กับการทุจริตดังที่มีข่าวออกมาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เราได้รับทราบจากปากของนายกรัฐมนตรีก็คือ “เรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ” แค่นั้นเองที่เราได้ยินจากปากของนายกรัฐมนตรีของเรา ไม่เคยมีการพบคนรับผิดชอบ ไม่มีการลงโทษ รวมทั้งไม่มีการปลดออกใด ๆ ทั้งนั้นตามมาครับ
“บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุด
ทำไมการแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีความสำคัญกับนักการเมืองมากมายนัก คงเป็นเรื่องผลที่จะตามมามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ฐานเสียง” ในอนาคต หรืออาจเป็น “กระเป๋าสตางค์” ก็ได้ ผมไม่ได้มองนักการเมืองในแง่ร้าย แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา นักการเมืองพยายามที่จะ “วาง” คนของตนเองเอาไว้ในที่ ๆ ตนเอง “ได้ประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม การวางคนของตนเองในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่นักการเมืองทุกคน “ต้องทำ” และก็ส่งผลทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่ง “เข้าหา” นักการเมืองโดยมุ่งหวังที่จะ “ถีบตัวเอง” ให้เข้าไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการได้ง่าย ๆ โดยอาศัยมือของนักการเมือง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีก็คือการตักตวงครับ !!!
ข้าราชการกับนักการเมืองสามารถ “ร่วมงาน” กันได้เป็นอย่างดี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีจำนวนมากมายมหาศาล การจัดซื้อจัดจ้างเป็น “บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ในเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของข้าราชการ นักการเมืองจึงต้องหาทาง “ดูแล” หรือ “เป็นเจ้าของ” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อ “หาประโยชน์” ให้กับตนเอง
กระบวนการสำคัญจึงเริ่มจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องเอาคนของตัวเองเข้าไปสู่ตำแหน่งก่อน จากนั้นคนของตัวเองก็จะเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งของตนเองและของ “เจ้านาย”
ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบและต้องมีการแก้ไข เป็นปัญหาสำคัญเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ แต่ก็อย่างที่ทราบ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็น “จุดจบ” ของเรื่อง ซึ่งการแก้ปัญหาตรงจุดจบก็สามารถทำได้ แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ที่ดีและถูกต้องควรแก้ตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” มากกว่า
จุดเริ่มต้นที่ว่านี้คือการเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากเรายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ การทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนการเข้าสู่ตำแหน่งก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ข้อเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา
ผมเข้าใจว่า มีความพยายามอย่างมากจากหลายภาคส่วนที่จะแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน แต่ยังไม่ตรงจุดเสียทีเดียวก็เลยยังแก้ไม่ได้ ผมจะขอลองเสนอเล่น ๆ ดูสัก 3 มาตรการด้วยกันโดยมุ่งหวังว่า หากมาตรการของผมน่าสนใจหรือพอมีทางเป็นไปได้ ก็ขอให้ผู้อ่านที่มีบุญญาบารมีช่วยกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมต่อไปครับ
มาตรการแรกที่จะเข้าไปแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้คือ การล้มระบบอุปถัมภ์ ทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็ทราบกันดีว่า ก็เพราะระบบอุปถัมภ์นี่เองที่ทำลายประเทศไทย ระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของสังคมไทยที่มีมานานถูกนำมา “บิดเบือน” ใช้จนกลายเป็น “สิ่งชั่วร้าย” ของสังคม
สิ่งหนึ่งที่ผมพบและเข้าใจว่าเป็นโรคระบาดในหมู่ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจก็คือการเข้าอบรมหรือเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐจำนวนมากจัดขึ้น หลักสูตรสำหรับผู้บริหารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างระบบอุปถัมภ์ขึ้นในสังคมไทยเรา เข้าหลักสูตรเดียวกันเป็นพวกเดียวกันต้องช่วยเหลือกันกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนระดับหนึ่งในสังคมพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ภาครัฐภาคเอกชนเข้าไปอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง สร้างความคุ้นเคยกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูง่ายดายและเป็นไปได้อย่างดี ราบรื่น ระบบอุปถัมภ์ลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้อง “กำจัด” ออกไปจากสังคมไทยครับเพราะนอกจากผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้าเรียนจะไม่ได้รับความรู้อะไรมากมายนักเพราะส่วนใหญ่จ้องจะเข้ามาหา “เพื่อน” ร่วมรุ่นแล้ว ยังเป็นการสูญเสียงบประมาณบางส่วนของประเทศชาติอีกด้วย
มาตรการต่อมาคือมาตรการทางกฎหมาย อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในแต่ละปีมีจำนวนมาก การจัดซื้อจัดจ้างเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับล่าง เงินจำนวนน้อย ๆ ไปจนถึงระดับสูง เงินจำนวนมหาศาล
ทุกวันนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอยู่ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535” ระเบียบนี้เก่าและมีช่องโหว่มาก มีปัญหามาก การทุจริตคอร์รัปชันส่วนมากก็เป็นเพราะช่องโหว่ของระเบียบนี้
ผมแปลกใจมากที่ไม่ว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมายเพียงใดก็ตาม แต่กลับไม่มีใครพูดถึง “เครื่องมือ” ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทุจริตคอร์รัปชัน จริง ๆ แล้วกติกาของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐควรเป็นกฎหมายระดับสูงและควรแก้ไขปรับปรุงได้ตลอดเวลาให้ทันกับวิธีการในการทุจริตคอร์รัปชันที่พัฒนาไปมากในแต่ละวัน ระเบียบที่ออกในปี พ.ศ. 2535 เกือบ 20 ปีมาแล้วคงไม่สามารถป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้เต็มร้อยอย่างแน่นอนครับ
สมควรที่จะมีการสังคายนาระเบียบฉบับนี้เสียใหม่และทำเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ วางกลไกในการจัดซื้อจัดจ้างเสียใหม่ให้เป็นระบบ มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงอยู่ในกฎหมายและถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานของรัฐทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ก็ควรใช้เกณฑ์เดียวกัน หากเรามี “เครื่องมือ” ที่ดี การทุจริตคอร์รัปชันก็คงลดลงไปเองครับ
มาตรการสุดท้าย คือ การ “ต่อต้าน” การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องเอาไว้แล้วให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่งในบทบรรณาธิการ ครั้งที่ 182 ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องรวมตัวกันต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ต่อสู้กับนักการเมืองที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ต่อสู้กับข้าราชการที่ชอบวิ่งเต้น
หากเราได้ข้าราชการที่ดี เข้าสู่ตำแหน่งด้วยความสามารถของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบที่ไม่มีบุญคุณต่อกัน เมื่อไม่มีบุญคุณ การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันก็ลดลงไปเอง.
ไม่นับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ เด็กนักการเมือง ต่างได้ดีกันทั่วหน้า !!!
กล่าวกันว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม เป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การทุจริต คอร์รัปชั่น
ล่าสุด ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บก.เว๊บไซต์ http://www.pub-law.net/ ได้เขียนบท
บรรณาธิการ เรื่อง "ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก" เป็นคำถามที่น่าสนใจและยังมีข้อเสนอที่ท้าทาย เป็นอย่างยิ่ง
....เมื่อสองสามวันก่อน ได้เห็นภาพของเพื่อนกลุ่มหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพจึงทราบว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจและเป็นเศรษฐี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงแสดงความยินดีกับเพื่อนตำรวจ เพื่อนทหาร และเพื่อนข้าราชการพลเรือน ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา
ข่าวสังคมลักษณะนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะต้องมีข่าว “โฆษณา” ให้คนทั่วไปทราบถึง “ความใกล้ชิด” ของผู้จัดเลี้ยงและ “ความก้าวหน้า” ของผู้ได้รับเลี้ยง แต่ไม่เห็นมีใครพูดกันเลยว่า คนเหล่านั้น “ก้าวหน้า” ขึ้นมาถึงจุดนั้นได้อย่างไร
เป็นคนมีความรู้ความสามารถหรือไม่ โชคช่วยหรือไม่ หรือวิ่งเต้นจนได้ดิบได้ดี และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีบางคนที่ขึ้นมาถึงระดับนั้นได้ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็หมายความว่าในขณะเดียวกันต้องมีคนอื่นที่ดีกว่า เก่งกว่า เหมาะสมกว่า แต่ถูก “ข้ามหัว” ไปด้วยความไม่ถูกต้องเช่นกัน
คนประเภทหลังนี้ไม่เห็นมีใครเลี้ยงปลอบใจให้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่น่าจะได้รับเลี้ยงมากที่สุด และคนประเภทนี้ก็มีจำนวนมากเสียด้วย ยิ่งบางรายที่กระโดด “ข้ามหัว” คนอื่นด้วยพลังแรงสูง ก็หมายความว่า 1 ตำแหน่งของตนเองที่ได้ไปกระทบกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันก็มีคนที่ถูกข้ามหัวไปก็จะมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คือสภาพของสังคมไทย สภาพของสังคมอุปถัมภ์ที่เรารับทราบกันอยู่ คนมีตำแหน่งและมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้รับความสนใจ ได้รับการยอมรับและได้รับการยกย่องจากสังคมครับ !!!
ข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายในมหาดไทย
ในช่วงเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการโยกย้ายข้าราชการทุกประเภท ที่เป็นข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจและข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่มีทั้งข่าวออกมาในเชิงลบและมีการร้องเรียนโดยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย
ข่าวที่ออกมามีลักษณะคล้าย ๆ กันคือ ข้าราชการที่ได้รับการ “อุ้มชู” จากนักการเมืองก็จะ “ได้ดี” กันเป็นแถว แม้บางคนจะมีชนักติดหลังอยู่ก็ยังได้ดี บางคนถึงขนาดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแย่ลงก็ยังได้ดี บางคนอาจทำให้พรรคการเมืองแตกได้ก็ยังได้ดี รวมความแล้วการ “ได้ดี” ของคน “บางคน” เป็นการ “ได้ดี” เฉพาะตัวเองและผู้แต่งตั้ง แต่อาจไม่เกิด “ผลดี” อะไรต่อประเทศชาติและสังคมเลยก็เป็นได้หากคนที่ได้ดีเหล่านั้นต้อง “ตอบสนอง” ผู้แต่งตั้งอันเนื่องมาจาก “บุญคุณ” ที่ทำให้ตนเองได้รับตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควร ก็เป็นไปได้
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องประเภทดังกล่าวมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแสนนาน การรัฐประหารหลาย ๆ ครั้งก็เกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายหรือที่เกิดจากการกลัวการแต่งตั้งโยกย้ายก็เคยมีมาแล้ว มีข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัยซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป สภาพสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
ตราบใดก็ตามที่ระบบข้าราชการยังเป็นระบบ “ปิรามิด” และตราบใดก็ตามที่นักการเมืองยังเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ยอดปิรามิดด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
นอกเหนือจากข่าวของความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีข่าว “อดีตข้าราชการ” บางคนที่แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วแต่ก็ยังให้ความ “สนใจ” ในปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกับชักชวนให้ข้าราชการและทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันต่อต้านการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมือง
ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีปัญหาประเภทนี้เกิดขึ้นหลายครั้งและทุก ๆ ครั้งก็จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็น “อำนาจบังคับบัญชา” ของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของหน่วยงาน แม้จะมีความพยายามในการวางเกณฑ์กันในบางกระทรวงโดยหวังที่จะเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่ผ่านมามีข่าวว่า กระทรวงหนึ่งต้องการได้ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดด้วยวิธีการที่ดี โปร่งใส เป็นธรรม อุตส่าห์ตั้งคณะกรรมการสรรหาซึ่งประกอบด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศ เมื่อคณะกรรมการสรรหาได้คนที่ดีที่สุดมาแล้วก็เสนอให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง แต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งกลับแต่งตั้งอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการสรรหา แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรกันดีครับ ก็ต้องขอแสดงความ “สงสาร” และ“เห็นใจ” คณะกรรมการสรรหาที่อุตส่าห์ทำงานกันแทบตาย แต่ในที่สุด “นักการเมือง” ก็คือ “นักการเมือง” มองคนที่ตัวเองต้องการว่าเป็นคนที่ดีที่สุด !!!
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
สภาพปัญหาการโยกย้ายข้าราชการในปัจจุบันคงไม่แตกต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมานัก ในวันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศได้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาลและจากทหาร “ผู้พิทักษ์” แม้ว่าจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการบางคน “พัวพัน” กับการทุจริตดังที่มีข่าวออกมาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เราได้รับทราบจากปากของนายกรัฐมนตรีก็คือ “เรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ” แค่นั้นเองที่เราได้ยินจากปากของนายกรัฐมนตรีของเรา ไม่เคยมีการพบคนรับผิดชอบ ไม่มีการลงโทษ รวมทั้งไม่มีการปลดออกใด ๆ ทั้งนั้นตามมาครับ
“บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุด
ทำไมการแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีความสำคัญกับนักการเมืองมากมายนัก คงเป็นเรื่องผลที่จะตามมามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ฐานเสียง” ในอนาคต หรืออาจเป็น “กระเป๋าสตางค์” ก็ได้ ผมไม่ได้มองนักการเมืองในแง่ร้าย แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา นักการเมืองพยายามที่จะ “วาง” คนของตนเองเอาไว้ในที่ ๆ ตนเอง “ได้ประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม การวางคนของตนเองในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่นักการเมืองทุกคน “ต้องทำ” และก็ส่งผลทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่ง “เข้าหา” นักการเมืองโดยมุ่งหวังที่จะ “ถีบตัวเอง” ให้เข้าไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการได้ง่าย ๆ โดยอาศัยมือของนักการเมือง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีก็คือการตักตวงครับ !!!
ข้าราชการกับนักการเมืองสามารถ “ร่วมงาน” กันได้เป็นอย่างดี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีจำนวนมากมายมหาศาล การจัดซื้อจัดจ้างเป็น “บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ในเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของข้าราชการ นักการเมืองจึงต้องหาทาง “ดูแล” หรือ “เป็นเจ้าของ” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อ “หาประโยชน์” ให้กับตนเอง
กระบวนการสำคัญจึงเริ่มจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องเอาคนของตัวเองเข้าไปสู่ตำแหน่งก่อน จากนั้นคนของตัวเองก็จะเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งของตนเองและของ “เจ้านาย”
ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบและต้องมีการแก้ไข เป็นปัญหาสำคัญเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ แต่ก็อย่างที่ทราบ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็น “จุดจบ” ของเรื่อง ซึ่งการแก้ปัญหาตรงจุดจบก็สามารถทำได้ แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ที่ดีและถูกต้องควรแก้ตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” มากกว่า
จุดเริ่มต้นที่ว่านี้คือการเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากเรายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ การทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนการเข้าสู่ตำแหน่งก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ข้อเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา
ผมเข้าใจว่า มีความพยายามอย่างมากจากหลายภาคส่วนที่จะแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน แต่ยังไม่ตรงจุดเสียทีเดียวก็เลยยังแก้ไม่ได้ ผมจะขอลองเสนอเล่น ๆ ดูสัก 3 มาตรการด้วยกันโดยมุ่งหวังว่า หากมาตรการของผมน่าสนใจหรือพอมีทางเป็นไปได้ ก็ขอให้ผู้อ่านที่มีบุญญาบารมีช่วยกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมต่อไปครับ
มาตรการแรกที่จะเข้าไปแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้คือ การล้มระบบอุปถัมภ์ ทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็ทราบกันดีว่า ก็เพราะระบบอุปถัมภ์นี่เองที่ทำลายประเทศไทย ระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของสังคมไทยที่มีมานานถูกนำมา “บิดเบือน” ใช้จนกลายเป็น “สิ่งชั่วร้าย” ของสังคม
สิ่งหนึ่งที่ผมพบและเข้าใจว่าเป็นโรคระบาดในหมู่ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจก็คือการเข้าอบรมหรือเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐจำนวนมากจัดขึ้น หลักสูตรสำหรับผู้บริหารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างระบบอุปถัมภ์ขึ้นในสังคมไทยเรา เข้าหลักสูตรเดียวกันเป็นพวกเดียวกันต้องช่วยเหลือกันกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนระดับหนึ่งในสังคมพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ภาครัฐภาคเอกชนเข้าไปอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง สร้างความคุ้นเคยกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูง่ายดายและเป็นไปได้อย่างดี ราบรื่น ระบบอุปถัมภ์ลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้อง “กำจัด” ออกไปจากสังคมไทยครับเพราะนอกจากผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้าเรียนจะไม่ได้รับความรู้อะไรมากมายนักเพราะส่วนใหญ่จ้องจะเข้ามาหา “เพื่อน” ร่วมรุ่นแล้ว ยังเป็นการสูญเสียงบประมาณบางส่วนของประเทศชาติอีกด้วย
มาตรการต่อมาคือมาตรการทางกฎหมาย อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในแต่ละปีมีจำนวนมาก การจัดซื้อจัดจ้างเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับล่าง เงินจำนวนน้อย ๆ ไปจนถึงระดับสูง เงินจำนวนมหาศาล
ทุกวันนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอยู่ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535” ระเบียบนี้เก่าและมีช่องโหว่มาก มีปัญหามาก การทุจริตคอร์รัปชันส่วนมากก็เป็นเพราะช่องโหว่ของระเบียบนี้
ผมแปลกใจมากที่ไม่ว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมายเพียงใดก็ตาม แต่กลับไม่มีใครพูดถึง “เครื่องมือ” ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทุจริตคอร์รัปชัน จริง ๆ แล้วกติกาของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐควรเป็นกฎหมายระดับสูงและควรแก้ไขปรับปรุงได้ตลอดเวลาให้ทันกับวิธีการในการทุจริตคอร์รัปชันที่พัฒนาไปมากในแต่ละวัน ระเบียบที่ออกในปี พ.ศ. 2535 เกือบ 20 ปีมาแล้วคงไม่สามารถป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้เต็มร้อยอย่างแน่นอนครับ
สมควรที่จะมีการสังคายนาระเบียบฉบับนี้เสียใหม่และทำเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ วางกลไกในการจัดซื้อจัดจ้างเสียใหม่ให้เป็นระบบ มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงอยู่ในกฎหมายและถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานของรัฐทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ก็ควรใช้เกณฑ์เดียวกัน หากเรามี “เครื่องมือ” ที่ดี การทุจริตคอร์รัปชันก็คงลดลงไปเองครับ
มาตรการสุดท้าย คือ การ “ต่อต้าน” การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องเอาไว้แล้วให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่งในบทบรรณาธิการ ครั้งที่ 182 ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องรวมตัวกันต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ต่อสู้กับนักการเมืองที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ต่อสู้กับข้าราชการที่ชอบวิ่งเต้น
หากเราได้ข้าราชการที่ดี เข้าสู่ตำแหน่งด้วยความสามารถของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบที่ไม่มีบุญคุณต่อกัน เมื่อไม่มีบุญคุณ การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันก็ลดลงไปเอง.
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


