กล่าวกันว่า สิ่งที่คุณมองเห็น สิ่งที่คุณได้ยิน อาจไม่ใช่ความจริงเหมือนกับที่เห็นและได้ยินเสมอไป มันอาจเป็นความจริงทั้งหมด หรือเป็นเพียงความจริงเพียงครึ่งเดียวก็ได้ หรือเป็นความจริงฉาบหน้าอยู่ แต่ข้างหลังอาจเป็นสิ่งโกหกหลอกลวง
ด้วยเหตุนี้ วงการข่าวกรองจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าแหล่งข่าวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว อาทิ แหล่งข่าวเข้าถึงข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม เขาได้พบเห็นมาด้วยตนเองหรือได้ฟังมากี่ต่อ รายงานที่ผ่านมาถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือนี่เป็นรายงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่คุมข่ายจะบันทึกผลงานที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
คนไทยผู้บริโภคข่าวทุกวันนี้อยู่ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง โดยเฉพาะจากนักการเมือง เพราะฉนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างที่เราได้ยิน ข่าวนั้นอาจเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ความเท็จครึ่งหนึ่ง หรือเป็นข่าวลวง ข่าวปล่อยเพื่อให้เราหลงไปตามกระแสหรือเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีข่าวปล่อยมากมายจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล กลุ่มขัดแย้งทางการเมืองนอกสภา ฯลฯ จนทำให้คนไทยสับสนไปหมดว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ข่าวจริงกี่เปอร์เซ็นต์และข่าวลวงกี่เปอร์เซ็นต์
การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือผู้ให้ข่าวนั้น ไม่ใช่พูดวันนี้แล้วประเมินกันได้เลย แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ แหล่งข่าวบางคนพูดแล้วเชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมา คำพูดนั้นปรากฎว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ หรือพิศูจน์ในภายหลังแล้วว่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองอีกหลายคนเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ คำพูดที่ผ่านมามีทั้งโกหกหลอกลวงที่สังคมพิศูจน์ได้ ดังนั้น คำพูดของนักการเมืองประเภทนี้จึงไม่มีค่าแก่การรับฟังเลย เพราะเป็นคำพูดเท็จ หรือจริงครึ่งเท็จครึ่ง เป็นข่าวปล่อย ข่าวลวง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกเท่านั้น
แต่สื่อหลายสำนักก็ยังยินดีที่จะรายงานในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไม่มีค่าแก่การรับฟัง โดยอ้างหลักการว่าต้องมีความเป็นกลาง ด้วยการรายงานทั้งสองด้านทั้งที่สื่อควรนำเสนอความจริงเท่านั้นไปยังผู้บริโภคข่าว สิ่งหนึ่งที่สื่อควรตระหนักก็คือ สื่อไม่ใช่เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่าควรจะเชื่อใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งจึงอาจตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไปด้วย
มองอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนกับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองบางคนใช้ประโยชน์จากสื่อช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง ดังจะเห็นว่า นักการเมืองบางคนออกข่าวรายวันเพื่อแย่งพื้นที่ข่าว บางคนมีข่าวได้ทุกวันโดยขอให้เป็นข่าวแค่ย่อหน้าเดียวก็ยังดี ทั้งที่พื้นที่ข่าวบนสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ก็ดีมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ควรบรรจุข่าวที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคข่าวมากกว่า
ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องรายงานข่าวเข้าไปยังกองบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวบางรายได้รับคำสั่งว่าต้องรายงานข่าววันละกี่ชิ้น ซึ่งอาจเป็นกลยุทธหนึ่งของกองบรรณาธิการที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้สื่อข่าวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดูเหมือนว่านักข่าวจะกลัวมากที่สุดคือการตกข่าว เพราะอาจถูกตำหนิจากบรรณาธิการได้ แม้ตระหนักดีว่าข่าวนั้นอาจไม่มีคุณค่าทางการข่าวหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งแหล่งข่าวก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองไม่ส่ง เพื่อนสำนักอื่นก็ส่ง ดีไม่ดีตนเองอาจถูกตำหนิว่าตกข่าวเสียอีก จึงผลักให้เป็นภาระของกองบรรณาธิการซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกข่าวนำเสนอต่อประชาชนเอง
สื่อโทรทัศน์เสรีแห่งหนึ่งได้ปรับวิธีการนำเสนอข่าวนักการเมืองบางคนที่มีพฤติกรรมพูดจาเชื่อถือไม่ได้ พิธีกรจะสรุปคำพูดของคน ๆ นั้นแบบสั้น ๆ เช่นเดียวกับคู่กรณี และปล่อยให้มีภาพข่าวแหล่งข่าวอ้าปากพูดพะงาบ ๆ โดยไม่มีเสียง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน ขณะเดียวกันก็ไม่ตกข่าวด้วย นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการสั่งสอนหรือช่วยพัฒนานักการเมือง ถ้าใครพูดไม่ดีก็ไม่ต้องเสนอข่าว
ถ้าสื่อทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยพัฒนาแหล่งข่าวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพขึ้น โดยเลือกที่จะสัมภาษณ์บุคคลที่คิดว่ามีคุณค่าเพียงพอ มีความน่าเชื่อถือได้ ข่าวที่ออกจากปากแหล่งข่าวมีประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิเสธที่จะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางประเภทที่มุ่งแต่จะเป็นข่าวทุกวันหรือมุ่งยึดพื้นที่ข่าวเพื่อหาเสียงหรือให้ประชาชนจำชื่อได้ แต่ข่าวที่ได้นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟังเลยแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการสั่งสอนให้แหล่งข่าวตระหนักรู้ว่าต้องพัฒนาตัวอย่างไรบ้างหากต้องกาเป็นข่าว
สื่อบางรายแย้งว่า หากไม่เสนอคำพูดของแหล่งข่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งข่าวโกหก ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้า แหล่งข่าวคนนั้นสื่อนำเสนอหลายครั้งแล้วและพิศูจน์ได้ว่า เขาพูดเท็จบ้างจริงบ้างเป็นประจำ แล้วสื่อยังจะตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองแสวงประโยชน์อีกหรือ
ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มปรับบทบาทของตนในการแซงชั่นแหล่งข่าวประเภทนี้ หลายคนใช้วิธีปิดโทรทัศน์พอเห็นหน้านักการเมืองคนนี้ทางโทรทัศน์ หรือเปลี่ยนไปดูช่องอื่นทันทีเพราะทนไม่ได้กับคำพูดยะโสโอหัง หรือทนเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของแหล่งข่าวไม่ได้ บางคนใช้วิธีปิดเสียงทันที เพราะรู้แล้วว่าแหล่งข่าวจะพูดอะไรบนพฤติกรรมที่ซ้ำซาก หรือรู้ว่าจะด่าอะไรกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล บางคนยอมรับว่าไม่ค่อยได้เดูการถ่ายทอดการประชุมสภาเพราะเห็นพฤติกรรมนักการเมืองบางคนแล้วทนไม่ไหว หรือถ้าดูก็ใช้วิธีลุกเข้าห้องน้ำหรือปิดเสียงชั่วคราวแทน เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิตที่ต้องมาฟังหรือทนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน
เครือข่ายสังคมผ่านสื่ออีเล็คโทรนิกส์ได้เริ่มมีบทบาทในการแชงชั่นแหล่งข่าวการเมืองประเภทนี้มากขึ้น โดยมีการส่งข่าวถึงกันในเครือข่ายทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เอสเอ็มเอส. ดังนั้น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อพื้นฐานและเป็นสื่อตั้งต้นควรเริ่มคิดได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคม ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเอากลยุทธทุกรูปแบบมาทำ “สงครามข่าวสาร” ซึ่งกันและกันโดยมีสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สื่อที่นำเสนอข่าวและประชาชนผู้บริโภคข่าวจึงต้องตั้งสติ ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญานในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ประชาชนผู้บริโภคข่าวต้องไม่ตกเป็นเหยื่อและต้องรู้ทันเกมทางการเมืองของนักการเมือง
ที่มา.ไทยนิวส์
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คนที่ 14 รับมือค่าเงิน-โครงการร้อนและปรัชญาพอเพียง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
รัฐบาลยุคไร้ผู้จัดการ
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
ไม่ทันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะก้าวพ้นเก้าอี้รองนายกฯ ไปไหนไกล
ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขยับเล่นเกมการเมืองภายในกับพรรคร่วมทันควัน
มีการจุดพลุเรื่องความสามารถของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ว่าเหมาะสมกับมท.1 มากน้อยแค่ไหน
สมควรต้องเปลี่ยนตัวได้แล้ว?
เป็นอย่างที่มีการวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้าว่านอกเหนือจากหน้าที่เป็นผู้จัดการรัฐบาลแล้ว
นายสุเทพยังเหมือนเป็น "กันชน" ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับซีกภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ค่อยหวานชื่น เหมือนเมื่อครั้งก่อตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์-นายเนวินกอดกันกลม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
แค่เรื่องรถเมล์เช่า 4 พันคันเรื่องเดียว ระดับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังแสดงอาการฉุนขาดมาแล้ว
ในแง่ที่ครหากันว่าประชาธิปัตย์คบยาก จะเห็นว่าพฤติการณ์ต่างๆ มันก็เข้าเค้า
แต่หากมองในมุมของคนที่เป็นห่วงในเรื่องความโปร่งใสของโครงการ ก็อาจมองว่า
จะคบยากบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร
นาทีนี้ รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงสุญญากาศ ขาด "ผู้จัดการรัฐบาล"
จะหาใครมีบารมีในหมู่นักการเมืองอาชีพด้วยกัน ตลอดจนลูกล่อลูกชนแพรวพราวอย่าง "เทพเทือก" ก็นับว่ายาก
ที่ผ่านมา ท่ามกลางมรสุมการเมืองสารพัดเรื่อง
หากปล่อยแต่นายกฯ อายุน้อยอย่างอภิสิทธิ์รับมือคนเดียว จะเอาอยู่หรือเปล่า ยังน่าสงสัย?
คล้อยหลังนายสุเทพ ยังมีข่าวลือเรื่องนายกรณ์ จาติกวณิช ไปต่อสายกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
จะดึงมาเสียบแทนภูมิใจไทย
ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวที่บั่นทอนความสัมพันธ์ ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
จะเห็นว่าพอนายสุเทพขอลาชั่วคราว ไปหาตำแหน่งส.ส. แต่งตัวรอเป็นหนึ่งในกลุ่ม "นายกฯ สำรอง"
หัวหน้าพรรคเหมือนไม่ยินดียินร้ายเท่าใด
ทั้งบีบให้ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล ก่อนจะไปทำอะไร
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าตามหลักการ ถือว่าถูกต้องแล้ว
ภาพมันคงพิลึก หากคนที่ยังมีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครส.ส.
นอกจากปล่อยให้ตีนลอยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็ไม่การันตีด้วย
จะยอมให้นายสุเทพ กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่?
ทางหนึ่งอาจเหมือนนายอภิสิทธิ์พอใจ ที่นายสุเทพหลุดจากวงโคจรไปเสียที
มั่นใจว่าประคองรัฐนาวาด้วยตัวเองได้
แต่อีกทางหนึ่ง นายอภิสิทธิ์อาจยึดตามตำรานักการเมืองเขี้ยวลากดิน
ไม่ปล่อยให้คำพูดเป็นนาย
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้ ไม่แคล้วเป็นความระหองระแหง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
ขาดกันชนเก๋าเกม จะมีอะไรปะทุหรือไม่?
เหล็กใน
ไม่ทันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะก้าวพ้นเก้าอี้รองนายกฯ ไปไหนไกล
ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขยับเล่นเกมการเมืองภายในกับพรรคร่วมทันควัน
มีการจุดพลุเรื่องความสามารถของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ว่าเหมาะสมกับมท.1 มากน้อยแค่ไหน
สมควรต้องเปลี่ยนตัวได้แล้ว?
เป็นอย่างที่มีการวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้าว่านอกเหนือจากหน้าที่เป็นผู้จัดการรัฐบาลแล้ว
นายสุเทพยังเหมือนเป็น "กันชน" ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับซีกภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ค่อยหวานชื่น เหมือนเมื่อครั้งก่อตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์-นายเนวินกอดกันกลม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
แค่เรื่องรถเมล์เช่า 4 พันคันเรื่องเดียว ระดับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังแสดงอาการฉุนขาดมาแล้ว
ในแง่ที่ครหากันว่าประชาธิปัตย์คบยาก จะเห็นว่าพฤติการณ์ต่างๆ มันก็เข้าเค้า
แต่หากมองในมุมของคนที่เป็นห่วงในเรื่องความโปร่งใสของโครงการ ก็อาจมองว่า
จะคบยากบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร
นาทีนี้ รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงสุญญากาศ ขาด "ผู้จัดการรัฐบาล"
จะหาใครมีบารมีในหมู่นักการเมืองอาชีพด้วยกัน ตลอดจนลูกล่อลูกชนแพรวพราวอย่าง "เทพเทือก" ก็นับว่ายาก
ที่ผ่านมา ท่ามกลางมรสุมการเมืองสารพัดเรื่อง
หากปล่อยแต่นายกฯ อายุน้อยอย่างอภิสิทธิ์รับมือคนเดียว จะเอาอยู่หรือเปล่า ยังน่าสงสัย?
คล้อยหลังนายสุเทพ ยังมีข่าวลือเรื่องนายกรณ์ จาติกวณิช ไปต่อสายกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
จะดึงมาเสียบแทนภูมิใจไทย
ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวที่บั่นทอนความสัมพันธ์ ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
จะเห็นว่าพอนายสุเทพขอลาชั่วคราว ไปหาตำแหน่งส.ส. แต่งตัวรอเป็นหนึ่งในกลุ่ม "นายกฯ สำรอง"
หัวหน้าพรรคเหมือนไม่ยินดียินร้ายเท่าใด
ทั้งบีบให้ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล ก่อนจะไปทำอะไร
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าตามหลักการ ถือว่าถูกต้องแล้ว
ภาพมันคงพิลึก หากคนที่ยังมีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครส.ส.
นอกจากปล่อยให้ตีนลอยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็ไม่การันตีด้วย
จะยอมให้นายสุเทพ กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่?
ทางหนึ่งอาจเหมือนนายอภิสิทธิ์พอใจ ที่นายสุเทพหลุดจากวงโคจรไปเสียที
มั่นใจว่าประคองรัฐนาวาด้วยตัวเองได้
แต่อีกทางหนึ่ง นายอภิสิทธิ์อาจยึดตามตำรานักการเมืองเขี้ยวลากดิน
ไม่ปล่อยให้คำพูดเป็นนาย
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้ ไม่แคล้วเป็นความระหองระแหง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
ขาดกันชนเก๋าเกม จะมีอะไรปะทุหรือไม่?
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553
รัสเซียงัดมะกัน ไทยเจ็บสาหัส!
คดี ‘บูท’ ทำ ‘มาร์ค’มึนตึ๊บ
ต้องถือว่าขณะนี้รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาพระหว่างเขาควายที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด
เพราะเป็นเขาควายของระดับมหาอำนาจโลก รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
จากเหตุเพียงแค่เรื่องของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กรณีของคดีนายวิคเตอร์ บูท ที่ทางรัฐบาลสหรัฐต้องการให้ประเทศไทยส่งตัวไปให้ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ในขณะที่รัฐบาลรัสเซีย ไม่ต้องการให้มีการส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกา
แต่เพราะรัฐบาลไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาล ดูเหมือนว่ากระบวนการทางการทูต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับมิตรประเทศต่างๆ นั้น
มีลักษณะขาดๆ เกินๆ มาโดยตลอด
จะเพราะความไม่ประสีประสา เพราะการทำงานไม่เป็น หรือเพราะใครบางคนมุ่งแต่จะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้บรรลุ Hidden Agenda ของตนเองก็แล้วแต่
แต่ที่แน่ๆคือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ Weak point อยู่เป็นประจำ อย่างเช่นกรณีของนายวิคเตอร์ บูท ในขณะนี้นั่นเอง
วิคเตอร์ บูท ถูกเรียกขานว่า เป็น “พ่อค้าขายความตาย” หรือ Merchant of Death ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟ่น บราวน์
บูทถูกกล่าวหาจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและยุโรปว่า เป็นผู้ขายอาวุธสงครามรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ขายอาวุธให้กับ “ลูกค้า” ที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาฟกานิสถาน โคลัมเบียหรือเลบานอน และขายอาวุธให้กับประเทศในอาฟริกาหลายประเทศ เช่น เซียร่า ลีโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก รวันดา ฯลฯ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในลักษณะของความรุนแรงและการก่อการร้าย
และเพราะนายบูทเคยเป็นเคจีบี มาก่อน จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า นี่เป็นเหตุผลลึกๆเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวนายบูท มาเป็นพิเศษใช่หรือไม่?
แม้ว่านายบูทอาจจะไม่ได้เป็นเคจีบีแล้ว เพราะหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เขาซื้อเครื่องบินแอนโตนอฟ- 8 สี่ลำ จากกองทัพ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ และตั้งบริษัท Aircess ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่อยุ่ที่ สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ หรือ ยู.เอ.อี.
แต่แน่นอนว่า ข้อมูลต่างๆที่นายบูทเคยมี ย่อมยังคงมีอยู่ในตัวของนายบูท
ที่สำคัญบริการขนส่งทางอากาศของบูทเหนือกว่า เฟดเดกซ์ ดีเอชแอล หรือยูพีเอส ตรงที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีข้อจำกัดว่าห้ามขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกที่ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะทุรกันดาร และเสี่ยงภัยแค่ไหน
และที่ไม่ธรรมดาก็คือ บริการของนายบูทไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง แม้แต่องค์กรสหประชาชาติ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐ หรือแม้แต่คนระดับรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคนก็เคยใช้บริการขนส่งทางอากาศของนายบูทมาแล้วทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนายบูทก็ยังคงถูกกล่าวหาว่า นอกจากจะรับจ้างขนสินค้าแล้ว ยังรับจัดหาสินค้าคือ อาวุธสงครามด้วย นั่นเป็นที่มาของสมญานาม พ่อค้าขายความตาย และถูกล่าตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป
ถึงขนาดที่เรื่องราวของบูทถูกฮอลลีวู้ด นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Lord of War ซึ่งนิโคลัส เคจ รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ชื่อ ยูริ โอลอฟ ออกฉายเมื่อปี 2005
และฟาราห์ ผู้เขียนหนังสือพ่อค้าขายความตาย เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่บูท สามารถขนอาวุธจำนวนมาก บินออกจารัสเซียได้ น่าจะต้องมีการรู้เห็นเป็นใจจากผู้มีอำนาจหรือ กลไกของรัฐ เพราะจะเป็นไปได้หรือที่ทางรัฐบาลรัสเซียจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับนายบูท
ในเมื่อทั่วโลกรู้เรื่องของบูทขนาดเอาไปสร้างเป็นหนังฮอลีวูดฉายไปทั่วโลกขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ victorbout.com บูทระบุว่า เขาถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งในธุรกิจขนส่งทางอากาศซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เขาบอกว่า ไม่ได้เป็นเคจีบี แต่รับราชการในกองทัพ ในฐานะล่าม และการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่อาฟริกา เพราะแองโกลา เป็นประเทศเดียวที่ยอมออกใบอนุญาตการบินพาณิชย์ให้กับเครื่องบินของเขาซึ่งเป็นเครื่องบินทหาร
ประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของนายบูท ก็เพราะว่านายบูทถูกจับที่โรงแรมโซฟีเทล สีลม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีที่แล้ว โดยถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพย์ติดของ สหรัฐฯ หรือ DEA ส่งสายลับ 2 คนอ้างตัวว่า เป็นสมาชิกขบวนการ ฟาร์กในโคลอมเบีย ซึ่งหาเงินจากการขายโคเคน แล้วเอาเงินไปซื้ออาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย ไปล่อซื้ออาวุธจากบูท
การติดต่อล่อซื้อนี้ ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านทางโทรศัพท์ สายลับทั้งสอง พยายามล่อให้บูทออกจากมอสโคว์มาพบกัน เพราะตั้งแต่สหประชาชาติเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ที่ระบุว่า เขาคือ ผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก และขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องห้ามในการเดินทางข้ามประเทศ บูทก็ระมัดระวังตัว ไม่เดินทางไปไหน จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในรัสเซีย
แต่ครั้งนี้ เหมือนจะเป็นชะตาลิจขิตเพราะบูทยอมางมาพบสายลับทั้ง 2 คนที่กรุงเทพ จนถูกจับตัวในที่สุด
ในเอกสารที่อัยการสหรัฐฯยื่นฟ้องต่อ ศาล นิวยอร์ก หลังบูทถูกจับ ระบุว่า ในระหว่างการพบกับสายลับ DEA ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิกฟาร์ก เป็นเวลา 2 ชั่วโมง บูทบอกกับสายลับทั้งสองว่า จะขายจรวดแซมให้ 700-800 ลูก กระสุนปืนอีกนับล้านๆนัด ปืน อาร์ก้า -47 เครื่องบินขนส่ง 2 ลำ และเครื่องบินที่บังคับด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้นักบิน เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรดาร์ที่สหรัฐฯสร้างไว้ในโคลอมเบีย
ซึ่งบูทต่อสู้ว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเข้าไทยเพื่อเจรจาขายเครื่องบิน และถูกเข้าหน้าที่สหรัฐฯและไทยหลายคนเข้าจับกุม และแจ้งข้อหาก่อการร้าย เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เดินทางไปขึ้นศาลที่สหรับฯ แต่ไม่ยอม ส่วนข้อหาที่ว่า เขาขายอาวุธให้กับขบวนการ ฟาร์ก ก็ไม่เป็นความจริง
ในเว็บไซต์ของเขา บูทยังอ้างว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ DEA จับตัวเขานั้น ไม่มีหมายจับมาด้วย หมายจับเพิ่งจะมาถึงหลังจากนั้น 4 วัน
ศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมปีที่แล้ว ว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการ ฟาร์ก เป็นขบวนการทางการเมือ งจึงต้องห้าม ตาม พรบ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 นอกจากนี้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยร่วมมือกับขบวนการฟาร์ก มีแต่เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ จึงยกคำร้อง
เมื่อสหรัฐฯไม่พอใจ แรงกดดันจึงเกิดขึ้นกับประเทศไทยทันที
โดยมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ ได้มีการส่งหนังสือถีงนายดอน ปรมัตถ์วินัย เอกกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำตัวนายบูทไปดำเนินคดี
ขณะที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐ ฯกลุ่มหนึ่งเตือนนายดอนว่า ถ้าไทยไม่ส่งตัวนายบูทกลับไป อาจจะกระทบกระเทือนความสมัมพัน์ของทั้งสองประเทศ
แน่นอนว่านั่นคือบุคลิกของสหรัฐฯที่ชอบแสดงท่าที่คุกคามชาติที่เล็กกว่า เพื่อปกป้องประโยชน์ของตน แต่มักจะใช้การกระทำต่อฝ่ายบริหาร โดยจะไม่ใช่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการศาลของประเทศนั้นๆโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นสู่ในชั้นของอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเห็นว่า ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เพราะนายบุทไม่ใช่สมาชิกขบวนการฟาร์ค ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย แต่นายบูทถูกตั้งข้อหาว่า ขายอาวุธให้ขบวนการฟาร์ค
นอกจากนั้น รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นผู้ขอให้สังตัว แต่เป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีของฟาร์ก จึงไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน
อารมณ์ของ 2 ประเทศพลิกกลับทันที โดยครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายรัสเซียที่ผิดหวังบ้าง และฝ่ายสหรัฐฯ กลับมาเป็นฝ่ายดีใจแทนบ้าง
แต่ประเทศไทยกลับซวย เพราะก่อนหน้าเกิดกรณีนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มุดคุกไปหานายบูท จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว
ซ้ำร้ายสหรัฐฯได้มีการส่งเครื่องบินมารอรับตัวนายบูทในวันที่จะมีการตัดสินคดี จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า สหรัฐฯรู้ได้อย่างไร จึงมีการส่งเครื่องบินมารอ
ยิ่งเมื่อศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องสำนวนคดีที่ 2 ที่พนักงานอัยการขอให้ส่งตัวนายบูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้นายบูท ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำพิพากษาของศาลอาญาในสำนวนคดีที่ 1 นั้น
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ยิ่งเข้าสู่สภาวะ Dilemma หรือเขาควายของ 2 มหาอำนาจมากขึ้นไปอีก
เพราะสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ว่า นายเซรเกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียไว้วางใจในฝ่ายตุลาการของประเทศไทยในการดูแลคดีของวิคเตอร์ บูท และไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย และเชื่อว่า จะไม่มีใครพยายามที่จะเข้าไปโน้มน้าวเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้นายลาฟรอฟ ยังหวังว่า ข้อความที่สหรัฐส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไม่ส่งผลต่อชะตากรรมของนายวิคเตอร์ บูท และนายลาฟรอฟ ยังได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียกรณีที่สหรัฐต้องการตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีก่อการร้าย โดยยืนยันว่า ความคิดที่ว่า รัสเซียและสหรัฐได้ตกลงกันบางอย่างเกี่ยวกับกรณีนี้นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเลย
ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม กล่าวว่า ได้มีโอกาสพบกับ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และได้แจ้งถึงกระบวนการพิจารณาคดีและข้อกฎหมายคดีที่สหรัฐฟ้องนายวิคเตอร์ บูท ในสำนวนคดีที่ 2 ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งศาลได้ยกคำร้อง ดังนั้นต้องดูว่ากระบวนการอุทธรณ์จะใช้เวลานานแค่ไหน หากเกินวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งครบกำหนด 3 เดือนที่จะต้องส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้สหรัฐฯ ตามคำพิพากษาของศาลในคดีแรก ก็ต้องยื่นต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
“รัสเซียไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่เกี่ยวกับประเทศไทย เพราะทราบถึงการตัดสินใจเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการบนพื้นฐานของข้อกฎหมายและคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการที่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เรื่องของวิคเตอร์ บูท ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ส่งตัวกลับไปให้ สหรัฐฯ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรข้อสังเกตที่ว่า อาจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประทเศ ที่ รัฐบาลไทยถูก รัฐบาลอเมิรกันกดดัน และทำให้รัฐบาลรัสเซียไม่พอใจ เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ
งานนี้ที่เจ็บตัวก็คือประเทศไทย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ต้องถือว่าขณะนี้รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาพระหว่างเขาควายที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด
เพราะเป็นเขาควายของระดับมหาอำนาจโลก รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
จากเหตุเพียงแค่เรื่องของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กรณีของคดีนายวิคเตอร์ บูท ที่ทางรัฐบาลสหรัฐต้องการให้ประเทศไทยส่งตัวไปให้ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ในขณะที่รัฐบาลรัสเซีย ไม่ต้องการให้มีการส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกา
แต่เพราะรัฐบาลไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาล ดูเหมือนว่ากระบวนการทางการทูต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับมิตรประเทศต่างๆ นั้น
มีลักษณะขาดๆ เกินๆ มาโดยตลอด
จะเพราะความไม่ประสีประสา เพราะการทำงานไม่เป็น หรือเพราะใครบางคนมุ่งแต่จะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้บรรลุ Hidden Agenda ของตนเองก็แล้วแต่
แต่ที่แน่ๆคือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ Weak point อยู่เป็นประจำ อย่างเช่นกรณีของนายวิคเตอร์ บูท ในขณะนี้นั่นเอง
วิคเตอร์ บูท ถูกเรียกขานว่า เป็น “พ่อค้าขายความตาย” หรือ Merchant of Death ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟ่น บราวน์
บูทถูกกล่าวหาจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและยุโรปว่า เป็นผู้ขายอาวุธสงครามรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ขายอาวุธให้กับ “ลูกค้า” ที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาฟกานิสถาน โคลัมเบียหรือเลบานอน และขายอาวุธให้กับประเทศในอาฟริกาหลายประเทศ เช่น เซียร่า ลีโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก รวันดา ฯลฯ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในลักษณะของความรุนแรงและการก่อการร้าย
และเพราะนายบูทเคยเป็นเคจีบี มาก่อน จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า นี่เป็นเหตุผลลึกๆเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวนายบูท มาเป็นพิเศษใช่หรือไม่?
แม้ว่านายบูทอาจจะไม่ได้เป็นเคจีบีแล้ว เพราะหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เขาซื้อเครื่องบินแอนโตนอฟ- 8 สี่ลำ จากกองทัพ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ และตั้งบริษัท Aircess ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่อยุ่ที่ สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ หรือ ยู.เอ.อี.
แต่แน่นอนว่า ข้อมูลต่างๆที่นายบูทเคยมี ย่อมยังคงมีอยู่ในตัวของนายบูท
ที่สำคัญบริการขนส่งทางอากาศของบูทเหนือกว่า เฟดเดกซ์ ดีเอชแอล หรือยูพีเอส ตรงที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีข้อจำกัดว่าห้ามขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกที่ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะทุรกันดาร และเสี่ยงภัยแค่ไหน
และที่ไม่ธรรมดาก็คือ บริการของนายบูทไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง แม้แต่องค์กรสหประชาชาติ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐ หรือแม้แต่คนระดับรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคนก็เคยใช้บริการขนส่งทางอากาศของนายบูทมาแล้วทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนายบูทก็ยังคงถูกกล่าวหาว่า นอกจากจะรับจ้างขนสินค้าแล้ว ยังรับจัดหาสินค้าคือ อาวุธสงครามด้วย นั่นเป็นที่มาของสมญานาม พ่อค้าขายความตาย และถูกล่าตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป
ถึงขนาดที่เรื่องราวของบูทถูกฮอลลีวู้ด นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Lord of War ซึ่งนิโคลัส เคจ รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ชื่อ ยูริ โอลอฟ ออกฉายเมื่อปี 2005
และฟาราห์ ผู้เขียนหนังสือพ่อค้าขายความตาย เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่บูท สามารถขนอาวุธจำนวนมาก บินออกจารัสเซียได้ น่าจะต้องมีการรู้เห็นเป็นใจจากผู้มีอำนาจหรือ กลไกของรัฐ เพราะจะเป็นไปได้หรือที่ทางรัฐบาลรัสเซียจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับนายบูท
ในเมื่อทั่วโลกรู้เรื่องของบูทขนาดเอาไปสร้างเป็นหนังฮอลีวูดฉายไปทั่วโลกขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ victorbout.com บูทระบุว่า เขาถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งในธุรกิจขนส่งทางอากาศซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เขาบอกว่า ไม่ได้เป็นเคจีบี แต่รับราชการในกองทัพ ในฐานะล่าม และการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่อาฟริกา เพราะแองโกลา เป็นประเทศเดียวที่ยอมออกใบอนุญาตการบินพาณิชย์ให้กับเครื่องบินของเขาซึ่งเป็นเครื่องบินทหาร
ประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของนายบูท ก็เพราะว่านายบูทถูกจับที่โรงแรมโซฟีเทล สีลม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีที่แล้ว โดยถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพย์ติดของ สหรัฐฯ หรือ DEA ส่งสายลับ 2 คนอ้างตัวว่า เป็นสมาชิกขบวนการ ฟาร์กในโคลอมเบีย ซึ่งหาเงินจากการขายโคเคน แล้วเอาเงินไปซื้ออาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย ไปล่อซื้ออาวุธจากบูท
การติดต่อล่อซื้อนี้ ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านทางโทรศัพท์ สายลับทั้งสอง พยายามล่อให้บูทออกจากมอสโคว์มาพบกัน เพราะตั้งแต่สหประชาชาติเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ที่ระบุว่า เขาคือ ผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก และขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องห้ามในการเดินทางข้ามประเทศ บูทก็ระมัดระวังตัว ไม่เดินทางไปไหน จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในรัสเซีย
แต่ครั้งนี้ เหมือนจะเป็นชะตาลิจขิตเพราะบูทยอมางมาพบสายลับทั้ง 2 คนที่กรุงเทพ จนถูกจับตัวในที่สุด
ในเอกสารที่อัยการสหรัฐฯยื่นฟ้องต่อ ศาล นิวยอร์ก หลังบูทถูกจับ ระบุว่า ในระหว่างการพบกับสายลับ DEA ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิกฟาร์ก เป็นเวลา 2 ชั่วโมง บูทบอกกับสายลับทั้งสองว่า จะขายจรวดแซมให้ 700-800 ลูก กระสุนปืนอีกนับล้านๆนัด ปืน อาร์ก้า -47 เครื่องบินขนส่ง 2 ลำ และเครื่องบินที่บังคับด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้นักบิน เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรดาร์ที่สหรัฐฯสร้างไว้ในโคลอมเบีย
ซึ่งบูทต่อสู้ว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเข้าไทยเพื่อเจรจาขายเครื่องบิน และถูกเข้าหน้าที่สหรัฐฯและไทยหลายคนเข้าจับกุม และแจ้งข้อหาก่อการร้าย เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เดินทางไปขึ้นศาลที่สหรับฯ แต่ไม่ยอม ส่วนข้อหาที่ว่า เขาขายอาวุธให้กับขบวนการ ฟาร์ก ก็ไม่เป็นความจริง
ในเว็บไซต์ของเขา บูทยังอ้างว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ DEA จับตัวเขานั้น ไม่มีหมายจับมาด้วย หมายจับเพิ่งจะมาถึงหลังจากนั้น 4 วัน
ศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมปีที่แล้ว ว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการ ฟาร์ก เป็นขบวนการทางการเมือ งจึงต้องห้าม ตาม พรบ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 นอกจากนี้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยร่วมมือกับขบวนการฟาร์ก มีแต่เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ จึงยกคำร้อง
เมื่อสหรัฐฯไม่พอใจ แรงกดดันจึงเกิดขึ้นกับประเทศไทยทันที
โดยมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ ได้มีการส่งหนังสือถีงนายดอน ปรมัตถ์วินัย เอกกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำตัวนายบูทไปดำเนินคดี
ขณะที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐ ฯกลุ่มหนึ่งเตือนนายดอนว่า ถ้าไทยไม่ส่งตัวนายบูทกลับไป อาจจะกระทบกระเทือนความสมัมพัน์ของทั้งสองประเทศ
แน่นอนว่านั่นคือบุคลิกของสหรัฐฯที่ชอบแสดงท่าที่คุกคามชาติที่เล็กกว่า เพื่อปกป้องประโยชน์ของตน แต่มักจะใช้การกระทำต่อฝ่ายบริหาร โดยจะไม่ใช่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการศาลของประเทศนั้นๆโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นสู่ในชั้นของอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเห็นว่า ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เพราะนายบุทไม่ใช่สมาชิกขบวนการฟาร์ค ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย แต่นายบูทถูกตั้งข้อหาว่า ขายอาวุธให้ขบวนการฟาร์ค
นอกจากนั้น รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นผู้ขอให้สังตัว แต่เป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีของฟาร์ก จึงไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน
อารมณ์ของ 2 ประเทศพลิกกลับทันที โดยครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายรัสเซียที่ผิดหวังบ้าง และฝ่ายสหรัฐฯ กลับมาเป็นฝ่ายดีใจแทนบ้าง
แต่ประเทศไทยกลับซวย เพราะก่อนหน้าเกิดกรณีนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มุดคุกไปหานายบูท จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว
ซ้ำร้ายสหรัฐฯได้มีการส่งเครื่องบินมารอรับตัวนายบูทในวันที่จะมีการตัดสินคดี จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า สหรัฐฯรู้ได้อย่างไร จึงมีการส่งเครื่องบินมารอ
ยิ่งเมื่อศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องสำนวนคดีที่ 2 ที่พนักงานอัยการขอให้ส่งตัวนายบูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้นายบูท ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำพิพากษาของศาลอาญาในสำนวนคดีที่ 1 นั้น
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ยิ่งเข้าสู่สภาวะ Dilemma หรือเขาควายของ 2 มหาอำนาจมากขึ้นไปอีก
เพราะสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ว่า นายเซรเกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียไว้วางใจในฝ่ายตุลาการของประเทศไทยในการดูแลคดีของวิคเตอร์ บูท และไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย และเชื่อว่า จะไม่มีใครพยายามที่จะเข้าไปโน้มน้าวเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้นายลาฟรอฟ ยังหวังว่า ข้อความที่สหรัฐส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไม่ส่งผลต่อชะตากรรมของนายวิคเตอร์ บูท และนายลาฟรอฟ ยังได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียกรณีที่สหรัฐต้องการตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีก่อการร้าย โดยยืนยันว่า ความคิดที่ว่า รัสเซียและสหรัฐได้ตกลงกันบางอย่างเกี่ยวกับกรณีนี้นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเลย
ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม กล่าวว่า ได้มีโอกาสพบกับ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และได้แจ้งถึงกระบวนการพิจารณาคดีและข้อกฎหมายคดีที่สหรัฐฟ้องนายวิคเตอร์ บูท ในสำนวนคดีที่ 2 ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งศาลได้ยกคำร้อง ดังนั้นต้องดูว่ากระบวนการอุทธรณ์จะใช้เวลานานแค่ไหน หากเกินวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งครบกำหนด 3 เดือนที่จะต้องส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้สหรัฐฯ ตามคำพิพากษาของศาลในคดีแรก ก็ต้องยื่นต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
“รัสเซียไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่เกี่ยวกับประเทศไทย เพราะทราบถึงการตัดสินใจเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการบนพื้นฐานของข้อกฎหมายและคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการที่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เรื่องของวิคเตอร์ บูท ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ส่งตัวกลับไปให้ สหรัฐฯ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรข้อสังเกตที่ว่า อาจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประทเศ ที่ รัฐบาลไทยถูก รัฐบาลอเมิรกันกดดัน และทำให้รัฐบาลรัสเซียไม่พอใจ เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ
งานนี้ที่เจ็บตัวก็คือประเทศไทย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553
นอก – ใน แยกกันไม่ออก
ในสัปดาห์นี้ มีสองเรื่องที่ต้องนำมาวิเคราะห์เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติ เรื่องหนึ่งคือกรณีศาลอุทรณ์มีคำพิพากษาสุดท้ายให้ส่ง นายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซีย นักค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ หรือ “นายหน้าค้าความตาย” ให้สหรัฐตามที่ร้องขอ ในฐานะเป็นคดีอาชญากรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องการเมือง กับเรื่องที่สองคือ กรณีฮุนเซนประกาศว่า ทักษิณถอนตัวออกจากการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุนเซน ทำให้บรรยากาศทางการเมืองระหว่างสองประเทศดีขึ้น บางคนอาจมองว่า สองเหตุการณ์เป็นคนละเรื่อง แต่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีอะไรที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ได้
ในกรณีของนายวิคเตอร์ บูทนั้น แม้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ แต่กลายเป็นเกมศักดิ์ศรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่ระหว่างเขาควายซี่งถูกกดดันจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง ไทยจะทำอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนคดีสิ้นสุด แน่นอน ไม่ว่าศาลจะตัดสินสุดท้ายออกมาอย่างไร ย่อมมีฝ่ายหนึ่งพอใจและอีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ทุกฝายต้องเคารพคำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรมของไทยซึ่งมีมาตรฐานสากลที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซง หรือกดดันได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังนี้ รัสเซียค่อนข้างเอาใจประเทศไทยและมีความใกล้ชิดกับไทยมาก เพราะรัสเซียต้องการมี “ที่ยืน” ในภูมิภาคนี้ รัสเซียต้องการกลับมามีบทบาทในภูมิภาคนี้อีกครั้งหลังจัดการปัญหาภายในประเทศได้เรียบร้อยพอสมควรแล้ว รัสเซียแสวงหาการสนับสนุนจากไทยโดยเฉพาะช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน นี่เป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งกว่ากรณีของนายบูท แต่ สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ เมื่อรัสเซียเสียหน้าเช่นนี้ รัสเซียจะทำอะไรกับไทยหรือไม่อย่างไร
บางคนอาจตั้งคำถามว่า รัสเซียจะใช้คุณทักษิณซึ่งบินไปรัสเซียบ่อยครั้งและมีความใกล้ชิดกับรัสเซียระดับหนึ่ง เป็นเบี้ยกดดันรัฐบาลไทยได้หรือไม่ วิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัสเซียไม่น่าทำเพราะรัสเซียน่าจะให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยมากกว่าคุณทักษิณที่โอกาสจะกลับมายิ่งใหญ่ในไทยนั้นน้อยมาก ดีไม่ดีถ้ารัสเซียดีดลูกคิดแล้วตกลงใจว่า ต้องเอารัฐบาลอภิสิทธิ์มากกว่าคุณทักษิณ รัสเซียอาจกดดันไม่ให้คุณทักษิณก่อกวนรัฐบาลไทยต่อไปหากยังคิดทำธุรกิจหรือไปรักษาตัวในรัสเซียด้วยซ้ำ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศรวมทั้งรัสเซียมีทางเลือกหลายทาง ผู้นำจะคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้มากกว่า และผลเสียที่น้อยกว่า ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น มีสองเรื่องหลัก คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา (2) ปัญหาปราสาทพระวิหาร ในเรื่องแรกนั้น ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อฮุนเซนแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาและไม่ยอมส่งตัวคุณทักษิณตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งรัฐบาลไทยถือว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญกลับกรุงเทพ รัฐบาลไทยได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากต้องการให้ไทยส่งทูตกลับพนมเปญ ฮุนเซนต้องเลิกการแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษา การที่คุณทักษิณไม่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและฮุนเซนอีกต่อไปจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มโดยฮุนเซนหรือคุณทักษิณก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็เห็นพ้องกัน เท่ากับทำให้เงื่อนไขของรัฐบาลไทยหมดไป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังได้รับการฟื้นฟูเข้าสู่ระดับปกติ
มีความเป็นไปได้มากว่า ฮุนเซนน่าจะถูกกดดันจากชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาไม่มากก็น้อย และเป็นมหาอำนาจที่ฮุนเซนหรือคุณทักษิณ หรือทั้งสองคนต้องให้ความเกรงใจ เพราะการที่คุณทักษิณเงียบหายไปเป็นเวลานานซึ่งผิดปกติ กับการที่ฮุนเซนประกาศให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษา เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มหาอำนาจที่ว่านั้นอาจเป็นชาติเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชาติ และอาจเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคหรือนอกภูมิภาคที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือของรัฐบาลไทยในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมของประเทศนั้นที่มาใช้ไทยเป็นฐานและสร้างความเสียหายให้กับประเทศของเขา ย่อมคิดช่วยเหลือไทยไม่มากก็น้อยในประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยหรือที่ไทยร้องขอเป็นการตอบแทน
ดังนั้น ปัญหาระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์และฮุนเซนจึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ปัญหาปราสาทพระวิหาร หากคุณอภิสิทธิ์และฮุนเซนซึ่งจะไปประชุมสุดยอดอาเซมที่กรุงบรัสเซล มีโอกาสที่จะพบปะเจรจากันสองต่อสอง เราหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศน่าจะดีขึ้นอีก หากฮุนเซนมีความจริงใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจริง ฮุนเซนต้องเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่ถูกออกหมายจับโดยศาลไทยและหลบหนีไปอยู่กัมพูชากลับมาดำเนินคดีในไทย หรือผลักดันให้ออกจากเขมร
สำหรับเขาพระวิหารนั้น รัฐบาลและคนไทยต้องมีจุดยืนเดียวกัน เขาพระวิหารเป็น “มรดกบาป” ที่ตกทอดมาจากยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดยืนของรัฐบาลไทยและคนไทย คือ (1) ประเทศไทยและประชาชนไม่เคยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยเพียงยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติเท่านั้น (2) ไทยต้องไม่ละทิ้งข้อสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมในเรื่องนี้ ที่จะดำเนินการตามกฎหมายที่จำเป็นที่อาจจะมีขึ้นในภายหน้าเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ตัวปราสาทกลับมาอีกในโอกาสอันควร (3) ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนเพราะไม่มีการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย ไทยยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (4) หาทางผลักดันชุมชนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. (5) ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเขตแดนทางบกอื่น ๆ และเขตแดนทางทะเล (6) ยืนยันการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีในรูปแบบทวิภาคี (6) เผยแพร่ข้อเท็จจริงและจุดยืนให้คนไทยได้รับทราบ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงฝรั่งเศสคุกคามประเทศไทยแบบหมาป่ากับลูกแกะ อันส่งผลมายังความอยุติธรรมที่ตามมาหลายประการ
คนไทยควรตระหนักว่า ไทยไม่ได้สู้กับเขมร แต่เราสู้กับฝรั่งเศส และเจ้าลัทธิอาณานิคมทั้งหลายตั้งแต่ปี 2505 และปี 2553 ที่ศาลโลกตัดสินในทางที่เป็นประโยชน์แก่เขมรก็เป็นฝีมือของฝรั่งเศสและนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย ภาคประชาชนต้องเปิดโปงพฤติกรรมของฝรั่งเศสซึ่งรังแกไทย ข่มขู่ไทยชนิดที่มหาอำนาจยุโรปอื่นในขณะนั้นยังรับไม่ได้ ให้โลกได้รับรู้ และเรียกร้องให้ฝรั่งเศสขอโทษคนไทย เหมือนที่ญี่ปุ่นขอโทษประชาชนเกาหลีใต้และจีน ที่ได้ฆ่า ข่มขืนคนเกาหลีและคนจีนอย่างเหี้ยมโหดระหว่างสงคราม หรือคล้ายกับออสเตรเลียขอโทษพวกอะบอริจิน แม้ฝรั่งเศสไม่ได้ฆ่าคนไทยอย่างเหี้ยมโหด แต่ฝรั่งเศสข่มขืนใจคนไทยอย่างเหี้ยมโหดโดยเอาดินแดนไปจากคนไทยตามอำเภอใจ
ที่มา.ไทยนิวส์
ในกรณีของนายวิคเตอร์ บูทนั้น แม้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ แต่กลายเป็นเกมศักดิ์ศรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่ระหว่างเขาควายซี่งถูกกดดันจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง ไทยจะทำอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนคดีสิ้นสุด แน่นอน ไม่ว่าศาลจะตัดสินสุดท้ายออกมาอย่างไร ย่อมมีฝ่ายหนึ่งพอใจและอีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ทุกฝายต้องเคารพคำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรมของไทยซึ่งมีมาตรฐานสากลที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซง หรือกดดันได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังนี้ รัสเซียค่อนข้างเอาใจประเทศไทยและมีความใกล้ชิดกับไทยมาก เพราะรัสเซียต้องการมี “ที่ยืน” ในภูมิภาคนี้ รัสเซียต้องการกลับมามีบทบาทในภูมิภาคนี้อีกครั้งหลังจัดการปัญหาภายในประเทศได้เรียบร้อยพอสมควรแล้ว รัสเซียแสวงหาการสนับสนุนจากไทยโดยเฉพาะช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน นี่เป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งกว่ากรณีของนายบูท แต่ สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ เมื่อรัสเซียเสียหน้าเช่นนี้ รัสเซียจะทำอะไรกับไทยหรือไม่อย่างไร
บางคนอาจตั้งคำถามว่า รัสเซียจะใช้คุณทักษิณซึ่งบินไปรัสเซียบ่อยครั้งและมีความใกล้ชิดกับรัสเซียระดับหนึ่ง เป็นเบี้ยกดดันรัฐบาลไทยได้หรือไม่ วิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัสเซียไม่น่าทำเพราะรัสเซียน่าจะให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยมากกว่าคุณทักษิณที่โอกาสจะกลับมายิ่งใหญ่ในไทยนั้นน้อยมาก ดีไม่ดีถ้ารัสเซียดีดลูกคิดแล้วตกลงใจว่า ต้องเอารัฐบาลอภิสิทธิ์มากกว่าคุณทักษิณ รัสเซียอาจกดดันไม่ให้คุณทักษิณก่อกวนรัฐบาลไทยต่อไปหากยังคิดทำธุรกิจหรือไปรักษาตัวในรัสเซียด้วยซ้ำ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศรวมทั้งรัสเซียมีทางเลือกหลายทาง ผู้นำจะคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้มากกว่า และผลเสียที่น้อยกว่า ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น มีสองเรื่องหลัก คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา (2) ปัญหาปราสาทพระวิหาร ในเรื่องแรกนั้น ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อฮุนเซนแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาและไม่ยอมส่งตัวคุณทักษิณตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งรัฐบาลไทยถือว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญกลับกรุงเทพ รัฐบาลไทยได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากต้องการให้ไทยส่งทูตกลับพนมเปญ ฮุนเซนต้องเลิกการแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษา การที่คุณทักษิณไม่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและฮุนเซนอีกต่อไปจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มโดยฮุนเซนหรือคุณทักษิณก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็เห็นพ้องกัน เท่ากับทำให้เงื่อนไขของรัฐบาลไทยหมดไป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังได้รับการฟื้นฟูเข้าสู่ระดับปกติ
มีความเป็นไปได้มากว่า ฮุนเซนน่าจะถูกกดดันจากชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาไม่มากก็น้อย และเป็นมหาอำนาจที่ฮุนเซนหรือคุณทักษิณ หรือทั้งสองคนต้องให้ความเกรงใจ เพราะการที่คุณทักษิณเงียบหายไปเป็นเวลานานซึ่งผิดปกติ กับการที่ฮุนเซนประกาศให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษา เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มหาอำนาจที่ว่านั้นอาจเป็นชาติเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชาติ และอาจเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคหรือนอกภูมิภาคที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือของรัฐบาลไทยในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมของประเทศนั้นที่มาใช้ไทยเป็นฐานและสร้างความเสียหายให้กับประเทศของเขา ย่อมคิดช่วยเหลือไทยไม่มากก็น้อยในประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยหรือที่ไทยร้องขอเป็นการตอบแทน
ดังนั้น ปัญหาระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์และฮุนเซนจึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ปัญหาปราสาทพระวิหาร หากคุณอภิสิทธิ์และฮุนเซนซึ่งจะไปประชุมสุดยอดอาเซมที่กรุงบรัสเซล มีโอกาสที่จะพบปะเจรจากันสองต่อสอง เราหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศน่าจะดีขึ้นอีก หากฮุนเซนมีความจริงใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจริง ฮุนเซนต้องเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่ถูกออกหมายจับโดยศาลไทยและหลบหนีไปอยู่กัมพูชากลับมาดำเนินคดีในไทย หรือผลักดันให้ออกจากเขมร
สำหรับเขาพระวิหารนั้น รัฐบาลและคนไทยต้องมีจุดยืนเดียวกัน เขาพระวิหารเป็น “มรดกบาป” ที่ตกทอดมาจากยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดยืนของรัฐบาลไทยและคนไทย คือ (1) ประเทศไทยและประชาชนไม่เคยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยเพียงยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติเท่านั้น (2) ไทยต้องไม่ละทิ้งข้อสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมในเรื่องนี้ ที่จะดำเนินการตามกฎหมายที่จำเป็นที่อาจจะมีขึ้นในภายหน้าเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ตัวปราสาทกลับมาอีกในโอกาสอันควร (3) ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนเพราะไม่มีการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย ไทยยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (4) หาทางผลักดันชุมชนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. (5) ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเขตแดนทางบกอื่น ๆ และเขตแดนทางทะเล (6) ยืนยันการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีในรูปแบบทวิภาคี (6) เผยแพร่ข้อเท็จจริงและจุดยืนให้คนไทยได้รับทราบ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงฝรั่งเศสคุกคามประเทศไทยแบบหมาป่ากับลูกแกะ อันส่งผลมายังความอยุติธรรมที่ตามมาหลายประการ
คนไทยควรตระหนักว่า ไทยไม่ได้สู้กับเขมร แต่เราสู้กับฝรั่งเศส และเจ้าลัทธิอาณานิคมทั้งหลายตั้งแต่ปี 2505 และปี 2553 ที่ศาลโลกตัดสินในทางที่เป็นประโยชน์แก่เขมรก็เป็นฝีมือของฝรั่งเศสและนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย ภาคประชาชนต้องเปิดโปงพฤติกรรมของฝรั่งเศสซึ่งรังแกไทย ข่มขู่ไทยชนิดที่มหาอำนาจยุโรปอื่นในขณะนั้นยังรับไม่ได้ ให้โลกได้รับรู้ และเรียกร้องให้ฝรั่งเศสขอโทษคนไทย เหมือนที่ญี่ปุ่นขอโทษประชาชนเกาหลีใต้และจีน ที่ได้ฆ่า ข่มขืนคนเกาหลีและคนจีนอย่างเหี้ยมโหดระหว่างสงคราม หรือคล้ายกับออสเตรเลียขอโทษพวกอะบอริจิน แม้ฝรั่งเศสไม่ได้ฆ่าคนไทยอย่างเหี้ยมโหด แต่ฝรั่งเศสข่มขืนใจคนไทยอย่างเหี้ยมโหดโดยเอาดินแดนไปจากคนไทยตามอำเภอใจ
ที่มา.ไทยนิวส์
ฆาตกรรมอำพราง.....สมัย...วงศ์สุวรรน....เสื้อแดงต้องระวัง..
ที่มา.DemocraticThai News

เหตุเกิดที่....สมานเมตตาแมนชั่น.....บางบัวทอง....5 ตค 53 ประมาณ 18.00น
ชั้น2....ห้อง 201 มีชายชาวไทย-มุสลิม อาศัยอยู่ เข้าออกเป็นประจำ
ชั้น2....ห้อง 202...ติดกับ 201 มีนายสมัย วงศ์สุวรรน เป็นผู้เช่าอาศัย
ชั้น2....ห้อง 203...ติดกับห้อง 202...ไม่มีการพูดถึงและรายงานความเสียหาย............
ห้อง 202...ของนายสมัย...ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้ารัฐและสื่อต่างๆว่าเป็นต้นเหตุ
ของการระเบิดอย่างรุนแรง...บ้างบอกว่าเป็น ทีเอ็นที 10 กก...หรือซีโฟร...ซี่งมีอานุภาค
ร้ายแรงอย่างที่เห็น...ยังมีหลักฐาน ซีดี รัฐไทยใหม่ และหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเสื้อแดง
พูดง่ายๆโยนความผิดให้คุณสมัยเสื้อแดง...........ทั้งหมดเร็วปานจรวด
จับโกหกได้เต็มๆ.....ระเบิดเทวดาหรือบังคับทิศทางได้....ดันจากห้อง 202 ไป 201 และ
ต่อออกไปถึงภายนอกอาคาร...ทำให้แพปลา ทาวน์เฮ้าส์ และรถยนต์เสียหายยับเยิน..........
แต่ห้องติดกัน 203 กลับไม่เป็นไร.....??? ดูหลักฐานจากรูปจากคลิป...ห้องต้นเหตุเป็นอื่นไม่ได้
คือ ห้อง 201...มีชายชาวไทย-มุสลิม อาศัยแน่น่อน...เพราะจะมีแรงดันทำลายห้อง 202
ส่วนอีกด้านออกไปทำลายด้านนอกเสียหายยับเยิน....โง่เสียอย่างนี้จึงโอนคดีไปให้ DSI ว่าต่อ
จึงวิเคราะห์ได้ว่า..........น่าจะเป็นฆาตกรรมอำพราง.............ดังนี้
1..ได้มีการสะกดรอยติดตามนายสมัย ซื่งเป็นฮาร์ดคอร์เสื้อแดงและยังมีคดีติดตัวอยู่
2. เพื่อให้เนียนน่าจะมีการว่าจ้างนักฆ่ามืออาชีพมือระเบิดโจรใต้ ซึ่งมีความชำนาญใน
การใช้ระเบิดเป็นอย่างดี
3.เป็นการจุดชนวนด้วย รีโมทมือถือ...กำหนดเวลาตายได้แน่นอน ต่างจากระเบิดเวลา
อาจพลาดได้เพราะความไม่แน่นอนของคน
4.เป็นการฆาตกรรมตามเก็บคนเสื้อแดงแบบเทคนิคชั่วชั้นสูง ให้สิ้นซาก
5.ปรองดองเป็นภาพหลอกเพื่อดูดีชอบธรรม.....แต่ตามเก็บลูกเดียว
6.เพื่ออ้างขยาย..พรก...เลยไปถึงรัฐประหาร...ปิดประเทศ...เพราะสถานการณ์ปกติ
เอาเสื้อแดงไว้ไม่อยู่แล้ว
7.แผนปิดประเทศคือ กวาดล้างเสื้อแดงให้สิ้นซาก จัดระเบียบประเทศใหม่ เมื่อทุกอย่าง
นิ่งตามเป้าหมาย.....แล้วเปิดประเทศ.......เริ่มต้นระบอบอำมาตย์ใหม่อีกครั้ง
สรุป...1 กวาดล้างเสื้อแดง...2. ใส่ร้ายร้ายเสื้อแดง 3.ทำลายเครือข่ายทักษิณ
เพราะฉะนั้นเครือข่ายเสื้อแดงที่อ่อนแอมาก...ไม่มีการจัดตั้งที่ดี...ไร้ผู้นำ..ไม่มีทุนสนับ
สนุน...ก็ขอให้ทุกท่านระวังตัว ประคองตัวให้ปลอดภัยจากการตามล่า และรักษาแนวทางไว้
ขยายแนวร่วมให้เร็วและมากที่สุด...และเมื่อถึงเวลาระบอบอำมาตย์จะล่มสลาย
โดยน้ำมือของประชาชนคนเสื้อแดงเอง......ระยะทางยังเหลืออีก 50 % อดทนไว้...
โดย. คุณอบอริจิ้น
เรื่องฉาวโฉ่สนามบินสุวรรณภูมิ ผลประโยชน์อยู่ไหน ทุจริตอยู่ที่นั่น
ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ในการจัดเก็บค่าจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินแห่งชาติของประเทศไทย ที่มีผลประโยชน์เฉลี่ยวันละเกือบ 5 แสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเกือบ 25 ล้านบาท อันถือเป็นผลประโยชน์จำนวนมาก จึงไม่แปลกที่ผลประโยชน์ดังกล่าวจะทำให้เกิดภาพชายฉกรรจ์จำนวนมากพร้อมอาวุธบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณลานจอดรถเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อันถือเป็นเรื่องฉาวโฉ่อย่างมากที่เกิดภาพเช่นนี้ขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นด่านแรกในการเข้าสู่ประเทศไทย
โดยล่าสุด มีคำให้สัมภาษณ์ของนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาบอกว่า รู้สึกไม่พอใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในการแย่งชิงผลประโยชน์ของการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะเป็น รมว.คมนาคม กำกับดูแล บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กลับไม่เคยรู้เรื่อง และไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น จนถึงกับมีการแจ้งความ-ฟ้องร้องกันไปมาของบริษัทเอกชนกับทาง ทอท. แต่นายโสภณก็ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยให้นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความบกพร่องของนายโสภณอย่างเห็นได้ชัด และไม่ควรออกมาปัดเรื่องนี้พ้นตัวง่ายๆ ว่าไม่เคยได้รับรายงาน ยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลจากคนในบริษัท ทอท.ออกมาว่า นับแต่มีการให้บริษัทเอกชนรับสัมปทาน ปรากฏว่ามีการจัดเก็บเงินได้น้อยกว่าตอนที่ทาง ทอท.เป็นผู้จัดเก็บเอง จึงจะมีการเสนอให้ ทอท.เป็นผู้บริหารการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถเสียเอง โดยใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท และคาดว่าเพียงแค่หนึ่งปีก็สามารถคุ้มทุนได้แล้ว
สิ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิมีมากมายมหาศาล จึงไม่แปลกที่นับแต่มีการคิดโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หรือหนองงูเห่า ในตอนแรกจนกระทั่งถึงเริ่มมีการก่อสร้าง การประมูลงานโครงการต่างๆ จนมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิมาหลายปี ก็มีแต่ข่าวในทางลบ การทุจริตคอรัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการหลายต่อหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถมทรายสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โครงการท่อร้อยสายภายในสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาการให้บริการของแท็กซี่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ และยังมีอีกหลายสิบเรื่องที่ล้วนแต่มีเรื่องในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นความอื้อฉาวที่มีทั้งนักการเมือง บริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติ ข้าราชการ รวมถึงพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งทหาร ตำรวจ เข้ามามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาผิดหรือจัดการกับคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิได้ โดยการตักตวงเอาผลประโยชน็ในทางมิชอบดังกล่าวจากโครงการสนามบินสุวรรณภูมิโครงการแล้วโครงการเล่า ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การก่อสร้างและเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึงหลายปี
ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรื่องการเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเป็นบทสะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ยังคงมีกลุ่มจ้องเอาผลประโยชน์จากโครงการและการบริหารงานต่างๆ ในสนามบินอยู่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่ายังมีอีกหลายโครงการที่คงต้องมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพียงแต่มันได้ถูกปกปิดไว้ จึงควรที่ทางกระทรวงคมนาคม ทอท. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการ ป.ป.ช.จะต้องมีการจับตาและเข้าตรวจสอบเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติไปเข้ากระเป๋าเงินคนไม่กี่คนที่จ้องจะกินทุกอย่างที่กินได้ในสนามบินแห่งนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
โดยล่าสุด มีคำให้สัมภาษณ์ของนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาบอกว่า รู้สึกไม่พอใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในการแย่งชิงผลประโยชน์ของการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะเป็น รมว.คมนาคม กำกับดูแล บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กลับไม่เคยรู้เรื่อง และไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น จนถึงกับมีการแจ้งความ-ฟ้องร้องกันไปมาของบริษัทเอกชนกับทาง ทอท. แต่นายโสภณก็ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยให้นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความบกพร่องของนายโสภณอย่างเห็นได้ชัด และไม่ควรออกมาปัดเรื่องนี้พ้นตัวง่ายๆ ว่าไม่เคยได้รับรายงาน ยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลจากคนในบริษัท ทอท.ออกมาว่า นับแต่มีการให้บริษัทเอกชนรับสัมปทาน ปรากฏว่ามีการจัดเก็บเงินได้น้อยกว่าตอนที่ทาง ทอท.เป็นผู้จัดเก็บเอง จึงจะมีการเสนอให้ ทอท.เป็นผู้บริหารการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถเสียเอง โดยใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท และคาดว่าเพียงแค่หนึ่งปีก็สามารถคุ้มทุนได้แล้ว
สิ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิมีมากมายมหาศาล จึงไม่แปลกที่นับแต่มีการคิดโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หรือหนองงูเห่า ในตอนแรกจนกระทั่งถึงเริ่มมีการก่อสร้าง การประมูลงานโครงการต่างๆ จนมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิมาหลายปี ก็มีแต่ข่าวในทางลบ การทุจริตคอรัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการหลายต่อหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถมทรายสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โครงการท่อร้อยสายภายในสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาการให้บริการของแท็กซี่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ และยังมีอีกหลายสิบเรื่องที่ล้วนแต่มีเรื่องในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นความอื้อฉาวที่มีทั้งนักการเมือง บริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติ ข้าราชการ รวมถึงพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งทหาร ตำรวจ เข้ามามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาผิดหรือจัดการกับคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิได้ โดยการตักตวงเอาผลประโยชน็ในทางมิชอบดังกล่าวจากโครงการสนามบินสุวรรณภูมิโครงการแล้วโครงการเล่า ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การก่อสร้างและเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึงหลายปี
ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรื่องการเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเป็นบทสะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ยังคงมีกลุ่มจ้องเอาผลประโยชน์จากโครงการและการบริหารงานต่างๆ ในสนามบินอยู่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่ายังมีอีกหลายโครงการที่คงต้องมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพียงแต่มันได้ถูกปกปิดไว้ จึงควรที่ทางกระทรวงคมนาคม ทอท. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการ ป.ป.ช.จะต้องมีการจับตาและเข้าตรวจสอบเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติไปเข้ากระเป๋าเงินคนไม่กี่คนที่จ้องจะกินทุกอย่างที่กินได้ในสนามบินแห่งนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ชัดเจนแล้วว่า บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดราคาเพื่อทำสัญญาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเกือบ 2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นข้าวในโกดังขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) จำนวน 1,024,403 ตัน ข้าวในโกดังขององค์การคลังสินค้า(อคส.)จำนวน 845,873 ตัน
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการแถลงของนายจุ้งเชียง เฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553(ขณะที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร นางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่างปกปิดข้อมูลตัวเลขกันสุดฤทธิ์โดยอ้างว่า จะกระทบกับราคาข้าวในตลาด) หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่า น.ส.ภาวินี จารุมนต์ หนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม พรรคภูมิใจไทย ต้นสังกัดของนางพรทิวา นาคาสัย
กล่าวคือ น.ส.ภาวินี และครอบครัว"จารุมนต์"เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทของครอบครัว"เทพสุทิน" อย่างน้อย 2 แห่ง คือ บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟค และบริษัท เมก้า แลนด์
ดังนั้น บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ซึ่งเป็นบริษัทโนเนม จึงถูกมองจากวงการค้าข้าวว่า น่าจะเป็น"ร่างทรง"ของนักการเมือง ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)และอาจมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองทำให้บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดกวาดข้าวสารในสต็อกของรัฐไปถึง 35% (จากที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5.6 ล้านตัน)
คาดกันว่า ถ้าปฏิบัติการปิดประตูตีแมวของกระทรวงพาณิชย์สำเร็จ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด(และเครือข่าย)จะฟาดกำไรไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการส่งออกข้าว 3 บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเพียง 4-5 แสนตันเท่านั้น
ความจริงเหตุการณ์ที่มีการปล่อยให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวคือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ผูกขาดการซื้อข้าวสารของรัฐเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการค้าข้าวอย่างหนัก และยังมีการใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าวอย่างมากมาย
แต่ในที่สุด บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯก็ถึงกาลอวสาน ต้องล้มละลาย และถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงธนาคารพาณิชย์กว่า 12,000 ล้านบาทและยังพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกด้วย
คำถามคือ เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดซ้ำรอยกับกรณีบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดหรือไม่
ตามเงื่อนไขการขายข้าวสารในสต็อกของรัฐ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ต้องวางเงินค้ำประกัน 5% หรือกว่า 1,000 ล้านบาท ขนข้าวออกจากโกดังและส่งไปจำหน่ายต่างประเทศภายใน 5 เดือน
แต่เมื่อถึงเวล าทางบริษัทยังไม่ยอมวางเงินค้ำประกันในการทำสัญญาตามเงื่อนไขโดยอ้างว่า ข้าวสารที่ประมูลได้มีปริมาณมากไม่สามารถดำเนินการได้ทันและทำหนังสือขอขยายระเวลาออกไปเป็น 18 เดือน
การไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการประมูลดังกล่าว ทั้งๆที่กำหนดไว้ก่อนการประมูลแล้ว ส่อพิรุธอย่างชัดเจน จึงต้องจับตาดูว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวที่มีนางพรทิวา นาคาสัย เป็นประธานและคณะกรรมการนโยบายข้าว(กขช.)ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะยอมตามข้อต่อรองอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท หรือไม่
เพราะถ้ายอมเท่ากับเป็นการเอาเปรียบบริษัทผู้ส่งออกรายอื่นที่เข้าร่วมประมูลที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว
แม้จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนและข้อพิรุธในการประมูลข้าวสารครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่า ทั้งกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลทำเป็นไขสือเหมือนต้องการปล่อยมีการทำหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไป
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า มีการกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนโดยด่วนแล้ว
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรม ของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเห็นว่า เข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งขัดต่อจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงรับที่จะตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วเช่นกัน
จริงอยู่ บรรดานักการเมืองอาจไม่เห็นการตรวจสอบของทั้งสององค์กรอิสระอยู่ในสายตา
แต่อย่าลืมว่า นักการเมืองที่เคยคิดแบบเดียวกันนี้จำนวนมาก(ไม่ว่าหญิงหรือชาย) ต้องพบจุดจบที่น่าอเนจอนาถมาแล้ว
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ชัดเจนแล้วว่า บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดราคาเพื่อทำสัญญาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเกือบ 2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นข้าวในโกดังขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) จำนวน 1,024,403 ตัน ข้าวในโกดังขององค์การคลังสินค้า(อคส.)จำนวน 845,873 ตัน
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการแถลงของนายจุ้งเชียง เฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553(ขณะที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร นางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่างปกปิดข้อมูลตัวเลขกันสุดฤทธิ์โดยอ้างว่า จะกระทบกับราคาข้าวในตลาด) หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่า น.ส.ภาวินี จารุมนต์ หนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม พรรคภูมิใจไทย ต้นสังกัดของนางพรทิวา นาคาสัย
กล่าวคือ น.ส.ภาวินี และครอบครัว"จารุมนต์"เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทของครอบครัว"เทพสุทิน" อย่างน้อย 2 แห่ง คือ บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟค และบริษัท เมก้า แลนด์
ดังนั้น บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ซึ่งเป็นบริษัทโนเนม จึงถูกมองจากวงการค้าข้าวว่า น่าจะเป็น"ร่างทรง"ของนักการเมือง ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)และอาจมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองทำให้บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดกวาดข้าวสารในสต็อกของรัฐไปถึง 35% (จากที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5.6 ล้านตัน)
คาดกันว่า ถ้าปฏิบัติการปิดประตูตีแมวของกระทรวงพาณิชย์สำเร็จ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด(และเครือข่าย)จะฟาดกำไรไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการส่งออกข้าว 3 บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเพียง 4-5 แสนตันเท่านั้น
ความจริงเหตุการณ์ที่มีการปล่อยให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวคือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ผูกขาดการซื้อข้าวสารของรัฐเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการค้าข้าวอย่างหนัก และยังมีการใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าวอย่างมากมาย
แต่ในที่สุด บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯก็ถึงกาลอวสาน ต้องล้มละลาย และถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงธนาคารพาณิชย์กว่า 12,000 ล้านบาทและยังพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกด้วย
คำถามคือ เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดซ้ำรอยกับกรณีบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดหรือไม่
ตามเงื่อนไขการขายข้าวสารในสต็อกของรัฐ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ต้องวางเงินค้ำประกัน 5% หรือกว่า 1,000 ล้านบาท ขนข้าวออกจากโกดังและส่งไปจำหน่ายต่างประเทศภายใน 5 เดือน
แต่เมื่อถึงเวล าทางบริษัทยังไม่ยอมวางเงินค้ำประกันในการทำสัญญาตามเงื่อนไขโดยอ้างว่า ข้าวสารที่ประมูลได้มีปริมาณมากไม่สามารถดำเนินการได้ทันและทำหนังสือขอขยายระเวลาออกไปเป็น 18 เดือน
การไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการประมูลดังกล่าว ทั้งๆที่กำหนดไว้ก่อนการประมูลแล้ว ส่อพิรุธอย่างชัดเจน จึงต้องจับตาดูว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวที่มีนางพรทิวา นาคาสัย เป็นประธานและคณะกรรมการนโยบายข้าว(กขช.)ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะยอมตามข้อต่อรองอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท หรือไม่
เพราะถ้ายอมเท่ากับเป็นการเอาเปรียบบริษัทผู้ส่งออกรายอื่นที่เข้าร่วมประมูลที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว
แม้จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนและข้อพิรุธในการประมูลข้าวสารครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่า ทั้งกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลทำเป็นไขสือเหมือนต้องการปล่อยมีการทำหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไป
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า มีการกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนโดยด่วนแล้ว
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรม ของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเห็นว่า เข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งขัดต่อจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงรับที่จะตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วเช่นกัน
จริงอยู่ บรรดานักการเมืองอาจไม่เห็นการตรวจสอบของทั้งสององค์กรอิสระอยู่ในสายตา
แต่อย่าลืมว่า นักการเมืองที่เคยคิดแบบเดียวกันนี้จำนวนมาก(ไม่ว่าหญิงหรือชาย) ต้องพบจุดจบที่น่าอเนจอนาถมาแล้ว
ปิดฉากลานจอดฉาวสุวรรณภูมิ กู้วิกฤต ทอท.รักษารายได้กว่าพันล.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ผลจากการที่ เปิดประเด็นชำแหละสัมปทานโครงการ "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" 2 โปรเจ็กต์ใหญ่ มูลค่ารายได้รวมกันตลอดอายุสัมปทานเกือบ 1,200 ล้านบาท ตามที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." อนุมัติให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ 2 กลุ่ม
สัมปทานฉาวจากแป้งร่ำถึงปาร์คกิ้ง
กลุ่มแรก บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด กำลังจะได้สัมปทานพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) ขนาด 62,380.50 ตารางเมตร สัญญา 15 ปี พ.ศ. 2553-2568 กำลังจะเริ่มเข้าพื้นที่ 1 กันยายน 2553 แต่ถูกตรวจสอบภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ชุด นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธาน ต้องเปิดประชุมด่วน
พร้อมมีมติยกเลิกฟ้าผ่าเมื่อ 6 กันยายน 2553 และสั่งย้ายผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง คือ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณา รายได้ ทอท.ลดตำแหน่งเหลือแค่กรรมการคนหนึ่งเท่านั้น ย้ายนายนิรันดรา ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ กับนางดวงใจ คอนดี ผู้ช่วย ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ออกจากพื้นที่ แต่งตั้งนายอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการดอนเมืองไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553
ระหว่างนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" เดินหน้าตรวจสอบสัมปทานโครงการลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ พื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ซึ่งเดิม ทอท.เคยบริหารจัดการเก็บรายได้เองเป็นเวลา 3 ปีเศษ ระหว่างปี 2549-มีนาคม 2553 ภายหลังเปลี่ยนนโยบายเมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2553 เปิดให้เอกชนยื่นประมูล โดยมีผู้ชนะคือ กลุ่มร่วมทุน 2 บริษัท คือบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด ดีพรอมพ์ จำกัด สัญญา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ตามข้อตกลงจะต้องจ่ายรายได้ขั้นต่ำค่าบริการรับจอดรถเดือนละ 17.5 ล้านบาท ค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 4.5-5 ล้านบาท และค่าเช่าพื้นที่อีกประมาณเดือนละ 3-5 ล้านบาท
ช่วงก่อนผู้ชนะประมูลเข้าทำสัญญากับ ทอท.เกิดปมขัดแย้งกันภายในระหว่างกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม (ผู้ถือหุ้น) 3 คน ได้แก่ นายธนกฤต เจตกิตติโชค จับคู่กับนายจุมพล ญาณวินิจฉัย มีปัญหากับนายธรรศน์ พจนประพันธ์ ผู้ที่ทำหนังสือแจ้งความตำรวจราชาเทวะกล่าวหานายธนกฤตปลอมแปลงลายมือชื่อตอน นำบริษัทไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพื่อนำมาทำสัญญากับ ทอท. เมื่อ 30 เมษายน 2553 แต่นายธรรศน์ทำหนังสือคัดค้านมายัง ทอท.และขอให้สำนักทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบพร้อมมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทดังกล่าว
บทเรียนล้ำค่า ทอท.สูญรายได้นับ 100 ล.
ขณะที่มีปมปัญหาขัดแย้งกันภายในบริษัทของกรรมการ 3 คน ทอท.ได้เซ็นสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด นำคนเข้ามาบริหารลานจอดรถสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดการแบ่งขั้วปาร์คกิ้งฯเป็น 2 ทีม ทีมแรก นายธนกฤตนำคนเข้าไปเก็บเงินสดจากลูกค้าที่นำรถเข้ามาจอดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท ทีมสอง นายธรรศน์เป็นเจ้าของเงินที่นำไปค้ำประกันไว้กับธนาคารกสิกรไทย มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท (ตามข้อตกลงปาร์คกิ้งฯ จะต้องนำเงินไปค้ำประกันสัญญารายได้ 105,930,000 บาท พร้อมหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่อีก 13,568,880 บาท) แต่กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้รายได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินงาน
เป็นชนวนให้นายธรรศน์ยกพวกเข้าไปค้นสำนักงานปาร์คกิ้งฯซึ่งตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ เปิดช่องให้นายธนกฤตไปแจ้งความที่สถานีตำรวจราชาเทวะ อ้างถูกชายฉกรรจ์บุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน จึงถือโอกาสนี้ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนายธรรศน์พ่วงเข้าไปด้วยเป็นเงิน 55 ล้านบาท จากนั้นปัญหาความขัดแย้งยิ่งปะทุแรงขึ้น ทุกวัน และถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินรายได้รายเดือนให้ ทอท.ตามสัญญา แถมยังระงับไม่ให้ ทอท.คืนเงินค่ามัดจำแก่นายธรรศน์ 20 ล้านบาท แต่นายธรรศน์มอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายอรุณอมรินทร์ทำหนังสือขอเงินดังกล่าวคืน หากไม่คืนจะดำเนินคดีกับ ทอท. ขณะนั้น ผอ.นิรันดร์เองโดนหางเลขถูกนายธนกฤตฟ้องด้วยเช่นกัน
ในอีกทางหนึ่งก็มีกลุ่มบริษัท ซันไชน์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจะซื้อหุ้นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มาตั้งแต่ช่วงเมษายนและพร้อมจ่ายเงินในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยนำบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด เข้ามาซื้อด้วยเงินประมาณ 40 ล้านบาท โดยรวมแล้วกลุ่มนี้นำเงินมาลงในปาร์คกิ้งเกือบ 200 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีรายงานว่า ได้รับผลตอบแทนกลับคืนหรือไม่
กระทั่งเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ผอ.นิรันดร์นำมติของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ซึ่งเสนอให้ส่งหนังสือถึงธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินที่โอนมาทั้งหมดนี้ก็ครอบคลุมเฉพาะเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายเดือนสิงหาคม-กันยายน 2553
ตั้งแต่เริ่มให้เอกชนรับสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคาร ผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ ปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างกรรมการ 2 คน คือ นายธนกฤตกับนายธรรศน์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ ทอท.มาตลอดทุกเดือน เพราะคู่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงแม้สักข้อเดียว
แต่นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ยังยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 มาจนถึงกลางเดือนกันยายน 2553 เป็นเรื่องภายในของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทอท. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
บอร์ดเจอต้นตอสั่งเลิกสัมปทาน
ต่อมาในการประชุมบอร์ดเมื่อ 23 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์ ประธานบอร์ด แถลงข้อมูลด้วยท่าทีดุดันถึงนโยบายของบอร์ดที่มีต่อสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิที่ให้แก่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังคงเป็นเรื่องถูกต้องตามระเบียบ เพราะเอกชนได้ทำตามข้อตกลง อาทิ จ่ายรายได้คืนมาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 เริ่มติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบรายงานยอด รายได้ลานจอดรายวันบ้างแล้ว ยกเว้นการนำเงินค้ำประกันไปใส่ในธนาคารให้ครบตามสัญญา หลังจากถูกหักบางส่วนไป (จาก 105 ล้านบาท โดนหักไป 66 ล้านบาท)
เหตุการณ์มาลุกลามใหญ่โต เริ่มจากวันที่ 24 กันยายน 2553 มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาล้อมลานจอดสุวรรณภูมิจำนวนนับ 100 คน ซึ่งถูกระบุว่า เป็นทีมของเสธ.ทหารค่ายใหญ่อย่างน้อย 2 ขั้ว คือ เสธ.ห.กับ เสธ.ย.ได้รับคำสั่งจากกรรมการคนละข้างเข้ามายึดกิจการซึ่งกันและกัน และทีมชายฉกรรจ์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ ทุกวัน
รวมถึงมีตัวละครกลุ่มใหม่ของเสธ.อีก 3 กลุ่ม (ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ 2 กลุ่มแรก) คือ เสธ.ข, เสธ.ฮ.และ เสธ.ต.ในจำนวนนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่อ้างว่า ได้ซื้อหุ้นปาร์คกิ้งจากกรรมการคนหนึ่งไปหมดแล้ว แถมสูญเงินไปเกือบ 200 ล้านบาท โดยไม่ได้อะไรกลับคืน จึงเข้ามาทวงสิทธิ์ด้วยการยึดเคาน์เตอร์เก็บเงินรายวันเสียเองแทนพนักงานปาร์คกิ้งฯของนายธนกฤต
ช่วงวันที่ 28 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ทำหนังสือเชิญนายธนกฤตกับนายธรรศน์มาชี้แจงพร้อมกัน แต่ทั้งคู่ไม่มา นายธรรศน์ส่งนางแพรว พจนประพันธ์ มารดา มาเป็นตัวแทนเจรจา จากนั้นวันที่ 29 กันยายน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต นำคณะเดินทางไปเชียงรายได้เจอกับเหล่าชายฉกรรจ์ในลานจอดด้วยตนเอง
จึงเป็นเหตุให้ต้องมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ประชุมด่วนเพื่อสรุปการยกเลิกสัมปทานลานจอดของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีผล 11 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
ผลจากการที่ เปิดประเด็นชำแหละสัมปทานโครงการ "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" 2 โปรเจ็กต์ใหญ่ มูลค่ารายได้รวมกันตลอดอายุสัมปทานเกือบ 1,200 ล้านบาท ตามที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." อนุมัติให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ 2 กลุ่ม
สัมปทานฉาวจากแป้งร่ำถึงปาร์คกิ้ง
กลุ่มแรก บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด กำลังจะได้สัมปทานพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) ขนาด 62,380.50 ตารางเมตร สัญญา 15 ปี พ.ศ. 2553-2568 กำลังจะเริ่มเข้าพื้นที่ 1 กันยายน 2553 แต่ถูกตรวจสอบภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ชุด นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธาน ต้องเปิดประชุมด่วน
พร้อมมีมติยกเลิกฟ้าผ่าเมื่อ 6 กันยายน 2553 และสั่งย้ายผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง คือ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณา รายได้ ทอท.ลดตำแหน่งเหลือแค่กรรมการคนหนึ่งเท่านั้น ย้ายนายนิรันดรา ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ กับนางดวงใจ คอนดี ผู้ช่วย ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ออกจากพื้นที่ แต่งตั้งนายอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการดอนเมืองไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553
ระหว่างนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" เดินหน้าตรวจสอบสัมปทานโครงการลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ พื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ซึ่งเดิม ทอท.เคยบริหารจัดการเก็บรายได้เองเป็นเวลา 3 ปีเศษ ระหว่างปี 2549-มีนาคม 2553 ภายหลังเปลี่ยนนโยบายเมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2553 เปิดให้เอกชนยื่นประมูล โดยมีผู้ชนะคือ กลุ่มร่วมทุน 2 บริษัท คือบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด ดีพรอมพ์ จำกัด สัญญา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ตามข้อตกลงจะต้องจ่ายรายได้ขั้นต่ำค่าบริการรับจอดรถเดือนละ 17.5 ล้านบาท ค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 4.5-5 ล้านบาท และค่าเช่าพื้นที่อีกประมาณเดือนละ 3-5 ล้านบาท
ช่วงก่อนผู้ชนะประมูลเข้าทำสัญญากับ ทอท.เกิดปมขัดแย้งกันภายในระหว่างกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม (ผู้ถือหุ้น) 3 คน ได้แก่ นายธนกฤต เจตกิตติโชค จับคู่กับนายจุมพล ญาณวินิจฉัย มีปัญหากับนายธรรศน์ พจนประพันธ์ ผู้ที่ทำหนังสือแจ้งความตำรวจราชาเทวะกล่าวหานายธนกฤตปลอมแปลงลายมือชื่อตอน นำบริษัทไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพื่อนำมาทำสัญญากับ ทอท. เมื่อ 30 เมษายน 2553 แต่นายธรรศน์ทำหนังสือคัดค้านมายัง ทอท.และขอให้สำนักทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบพร้อมมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทดังกล่าว
บทเรียนล้ำค่า ทอท.สูญรายได้นับ 100 ล.
ขณะที่มีปมปัญหาขัดแย้งกันภายในบริษัทของกรรมการ 3 คน ทอท.ได้เซ็นสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด นำคนเข้ามาบริหารลานจอดรถสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดการแบ่งขั้วปาร์คกิ้งฯเป็น 2 ทีม ทีมแรก นายธนกฤตนำคนเข้าไปเก็บเงินสดจากลูกค้าที่นำรถเข้ามาจอดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท ทีมสอง นายธรรศน์เป็นเจ้าของเงินที่นำไปค้ำประกันไว้กับธนาคารกสิกรไทย มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท (ตามข้อตกลงปาร์คกิ้งฯ จะต้องนำเงินไปค้ำประกันสัญญารายได้ 105,930,000 บาท พร้อมหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่อีก 13,568,880 บาท) แต่กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้รายได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินงาน
เป็นชนวนให้นายธรรศน์ยกพวกเข้าไปค้นสำนักงานปาร์คกิ้งฯซึ่งตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ เปิดช่องให้นายธนกฤตไปแจ้งความที่สถานีตำรวจราชาเทวะ อ้างถูกชายฉกรรจ์บุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน จึงถือโอกาสนี้ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนายธรรศน์พ่วงเข้าไปด้วยเป็นเงิน 55 ล้านบาท จากนั้นปัญหาความขัดแย้งยิ่งปะทุแรงขึ้น ทุกวัน และถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินรายได้รายเดือนให้ ทอท.ตามสัญญา แถมยังระงับไม่ให้ ทอท.คืนเงินค่ามัดจำแก่นายธรรศน์ 20 ล้านบาท แต่นายธรรศน์มอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายอรุณอมรินทร์ทำหนังสือขอเงินดังกล่าวคืน หากไม่คืนจะดำเนินคดีกับ ทอท. ขณะนั้น ผอ.นิรันดร์เองโดนหางเลขถูกนายธนกฤตฟ้องด้วยเช่นกัน
ในอีกทางหนึ่งก็มีกลุ่มบริษัท ซันไชน์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจะซื้อหุ้นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มาตั้งแต่ช่วงเมษายนและพร้อมจ่ายเงินในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยนำบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด เข้ามาซื้อด้วยเงินประมาณ 40 ล้านบาท โดยรวมแล้วกลุ่มนี้นำเงินมาลงในปาร์คกิ้งเกือบ 200 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีรายงานว่า ได้รับผลตอบแทนกลับคืนหรือไม่
กระทั่งเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ผอ.นิรันดร์นำมติของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ซึ่งเสนอให้ส่งหนังสือถึงธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินที่โอนมาทั้งหมดนี้ก็ครอบคลุมเฉพาะเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายเดือนสิงหาคม-กันยายน 2553
ตั้งแต่เริ่มให้เอกชนรับสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคาร ผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ ปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างกรรมการ 2 คน คือ นายธนกฤตกับนายธรรศน์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ ทอท.มาตลอดทุกเดือน เพราะคู่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงแม้สักข้อเดียว
แต่นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ยังยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 มาจนถึงกลางเดือนกันยายน 2553 เป็นเรื่องภายในของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทอท. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
บอร์ดเจอต้นตอสั่งเลิกสัมปทาน
ต่อมาในการประชุมบอร์ดเมื่อ 23 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์ ประธานบอร์ด แถลงข้อมูลด้วยท่าทีดุดันถึงนโยบายของบอร์ดที่มีต่อสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิที่ให้แก่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังคงเป็นเรื่องถูกต้องตามระเบียบ เพราะเอกชนได้ทำตามข้อตกลง อาทิ จ่ายรายได้คืนมาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 เริ่มติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบรายงานยอด รายได้ลานจอดรายวันบ้างแล้ว ยกเว้นการนำเงินค้ำประกันไปใส่ในธนาคารให้ครบตามสัญญา หลังจากถูกหักบางส่วนไป (จาก 105 ล้านบาท โดนหักไป 66 ล้านบาท)
เหตุการณ์มาลุกลามใหญ่โต เริ่มจากวันที่ 24 กันยายน 2553 มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาล้อมลานจอดสุวรรณภูมิจำนวนนับ 100 คน ซึ่งถูกระบุว่า เป็นทีมของเสธ.ทหารค่ายใหญ่อย่างน้อย 2 ขั้ว คือ เสธ.ห.กับ เสธ.ย.ได้รับคำสั่งจากกรรมการคนละข้างเข้ามายึดกิจการซึ่งกันและกัน และทีมชายฉกรรจ์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ ทุกวัน
รวมถึงมีตัวละครกลุ่มใหม่ของเสธ.อีก 3 กลุ่ม (ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ 2 กลุ่มแรก) คือ เสธ.ข, เสธ.ฮ.และ เสธ.ต.ในจำนวนนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่อ้างว่า ได้ซื้อหุ้นปาร์คกิ้งจากกรรมการคนหนึ่งไปหมดแล้ว แถมสูญเงินไปเกือบ 200 ล้านบาท โดยไม่ได้อะไรกลับคืน จึงเข้ามาทวงสิทธิ์ด้วยการยึดเคาน์เตอร์เก็บเงินรายวันเสียเองแทนพนักงานปาร์คกิ้งฯของนายธนกฤต
ช่วงวันที่ 28 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ทำหนังสือเชิญนายธนกฤตกับนายธรรศน์มาชี้แจงพร้อมกัน แต่ทั้งคู่ไม่มา นายธรรศน์ส่งนางแพรว พจนประพันธ์ มารดา มาเป็นตัวแทนเจรจา จากนั้นวันที่ 29 กันยายน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต นำคณะเดินทางไปเชียงรายได้เจอกับเหล่าชายฉกรรจ์ในลานจอดด้วยตนเอง
จึงเป็นเหตุให้ต้องมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ประชุมด่วนเพื่อสรุปการยกเลิกสัมปทานลานจอดของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีผล 11 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
รัฐไทยใหม่
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เหตุระเบิดแมนชั่นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สร้างความหวาดผวาแก่ประชาชนอย่างมาก
เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดพลาดมือระเบิดเอง
นั่นคือ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ชาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นศพเละคาที่
จากการสืบสวนทราบว่า นายสมัยเคยร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดง และมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี
หลังสิ้นเสียงกัมปนาทของระเบิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
พบหลักฐานจำนวนมาก ทั้งอุปกรณ์ประกอบระเบิด อาวุธปืน
รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายสมัยผู้ตายด้วย
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวเชื่อมที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีแล้ว ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังได้พบแผ่นซีดี 1 แผ่นตกอยู่ หน้าแผ่นเขียนด้วยปากกาหมึกน้ำเงินว่า "รัฐไทยใหม่"
จนทำให้มีการโยงไปถึงแผนการเคลื่อนไหวของการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก่อนหน้านี้
แต่จากการตรวจสอบ พบว่าซีดีแผ่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นหลักฐานอะไรมาก และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดด้วยซ้ำ
คำว่า "รัฐไทยใหม่" เป็นคำที่น่ากลัว และถูกนำมาขยายผลทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างได้ผล
และใช้ทิ่มแทงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชะงัด
มีการนำสติ๊กเกอร์ระบุว่าเป็นประมุขรัฐไทยใหม่ติดทั่วพื้นที่สีลม รอบราชประสงค์ ในช่วงก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลาย
การขยายผลจากวาทกรรมรัฐไทยใหม่ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขออนุญาตฆ่าผู้ชุมนุมด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ก็ยังมีพรรคการเมืองใช้วาทกรรมนี้นำไปขึ้นป้ายทั่วประเทศ
"เทิดทูนสถาบัน ต้านรัฐไทยใหม่ พรรคภูมิใจไทย"
ถ้าไม่ใช่มันสมองก้อนโตของนายเนวิน ชิดชอบ แล้วจะเป็นใครได้
จริงๆ แล้วคำว่า "รัฐไทยใหม่" ดูเหมือนว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.เป็นคนเสนอขึ้นมา
เป็นการเสนอขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบกับ "การเมืองใหม่" ของกลุ่มพันธมิตร
นายณัฐวุฒิเคยให้สัมภาษณ์อธิบายข้อเสนอใหม่ดังกล่าวนี้ว่า
"พันธมิตรเสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยกว่ากัน"
ต่อมาคำๆ นี้ เป็นคำที่ถูกขยายความเพื่อหวังผลทางการเมือง
จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและน่ากลัว
คอลัมน์ เหล็กใน
เหตุระเบิดแมนชั่นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สร้างความหวาดผวาแก่ประชาชนอย่างมาก
เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดพลาดมือระเบิดเอง
นั่นคือ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ชาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นศพเละคาที่
จากการสืบสวนทราบว่า นายสมัยเคยร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดง และมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี
หลังสิ้นเสียงกัมปนาทของระเบิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
พบหลักฐานจำนวนมาก ทั้งอุปกรณ์ประกอบระเบิด อาวุธปืน
รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายสมัยผู้ตายด้วย
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวเชื่อมที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีแล้ว ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังได้พบแผ่นซีดี 1 แผ่นตกอยู่ หน้าแผ่นเขียนด้วยปากกาหมึกน้ำเงินว่า "รัฐไทยใหม่"
จนทำให้มีการโยงไปถึงแผนการเคลื่อนไหวของการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก่อนหน้านี้
แต่จากการตรวจสอบ พบว่าซีดีแผ่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นหลักฐานอะไรมาก และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดด้วยซ้ำ
คำว่า "รัฐไทยใหม่" เป็นคำที่น่ากลัว และถูกนำมาขยายผลทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างได้ผล
และใช้ทิ่มแทงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชะงัด
มีการนำสติ๊กเกอร์ระบุว่าเป็นประมุขรัฐไทยใหม่ติดทั่วพื้นที่สีลม รอบราชประสงค์ ในช่วงก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลาย
การขยายผลจากวาทกรรมรัฐไทยใหม่ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขออนุญาตฆ่าผู้ชุมนุมด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ก็ยังมีพรรคการเมืองใช้วาทกรรมนี้นำไปขึ้นป้ายทั่วประเทศ
"เทิดทูนสถาบัน ต้านรัฐไทยใหม่ พรรคภูมิใจไทย"
ถ้าไม่ใช่มันสมองก้อนโตของนายเนวิน ชิดชอบ แล้วจะเป็นใครได้
จริงๆ แล้วคำว่า "รัฐไทยใหม่" ดูเหมือนว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.เป็นคนเสนอขึ้นมา
เป็นการเสนอขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบกับ "การเมืองใหม่" ของกลุ่มพันธมิตร
นายณัฐวุฒิเคยให้สัมภาษณ์อธิบายข้อเสนอใหม่ดังกล่าวนี้ว่า
"พันธมิตรเสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยกว่ากัน"
ต่อมาคำๆ นี้ เป็นคำที่ถูกขยายความเพื่อหวังผลทางการเมือง
จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและน่ากลัว
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อัดนโยบายรัฐทำสสว.สับสน
มึนหน้าที่ตัวเอง‘ที่ปรึกษา’หรือ‘สถาบันการเงิน’กันแน่
สสว.ล้มกระดาน 4 บริษัทลูก อ้างบริหารงานล้มเหลว ล่าสุด เตรียมปิดฉากอุตสาหกรรมขนมไทยหลังมีหนี้ผูกพันกว่า 100 ล้าน ทั้งที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลคาดหวัง ปั้นแบรนด์ “สวัสดี” ตีตลาดทั่วโลก ระบุที่ผ่านมาสับสนหน้าที่จะเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “สถาบันการเงิน” สนับสนุนผู้ประกอบการ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี หรือ สสว. เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าที่ผ่านมา สสว.พยายาม เป็นแกนกลางเข้าไปช่วยเหลือขับเคลื่อนธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ทั้งระบบ ทั้งการให้ความรู้ด้านวิชาการ การสนับสนุนด้านการเงิน รวมถึงการเข้าไปร่วมทุนทำธุรกิจในรูปแบบจอยต์เวนเจอร์ในธุรกิจที่ควรสนับสนุน เมื่อธุรกิจนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สสว.ก็จะถอนหุ้นออกมาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจดำเนินการด้วยตัวเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากการจอยต์เวนเจอร์กับธุรกิจภาคเอกชนแล้ว ยังมีธุรกิจบางเซ็กเตอร์ที่ สสว.จัดตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทลูก แต่ถ้าผลการดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จก็จะอาจจะปิดตัว ซึ่งที่ผ่านมาปิดไปแล้ว 2 บริษัท และกำลังจะปิดอีก 2 บริษัท คือบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด และ บริษัท ส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด โดย 2 บริษัทดังกล่าวมีปัญหาขาดทุนมานาน รวมถึงมีภาระหนี้ผูกพันที่รอการชดเชยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาผลงานการทำงานของ สสว.ไม่เข้าเป้า ทำให้การประเมินผลงานที่จัดประเมินโดยทริสได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในฐานะที่ตนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลจะพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกให้ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ทิศทางการทำงานของ สสว.วันนี้ยังค่อนข้างขาดความชัดเจนว่าจะเดินทางไปในทิศทางไหน จะเข้าไปช่วยเหลือ SMEs ในรูปแบบการผลักดันแบบเต็มตัวกึ่งๆสถาบันการเงินหรือจะเป็นองค์กรให้ความเห็นด้านข้อมูล คำแนะนำ วิธีการแก้ไขปัญหาธุรกิจ SMEs แก่รัฐบาล เหมือนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“นโยบายของ สสว.เวลานี้เหมือนกับขาดความเป็นเอกภาพ ขาดแรงขับเคลื่อน โครงการอะไรที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการไว้ถูกโละทิ้งหมด อย่างเช่นบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทยซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในตลาดโลก เพราะขนมไทยมีจุดเด่นมากมาย แต่กลับต้องโดนปิดตัวเพราะผลประกอบการขาดทุน” แหล่งข่าวแสดงความเห็น
สำหรับบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่เล็งเห็นถึงการส่งเสริมการผลิตขนมไทยทุกประเภท เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และเพื่อยกระดับขนมไทยให้มีศักยภาพในการส่งออก เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิตในทุกระดับชั้น เป็นการหารายได้เข้าประเทศ ภายใต้แบรนด์ “สวัสดี” อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลตกต่ำได้อีกทางหนึ่ง นำมาซึ่งการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
ดังนั้นทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จึงได้จัดตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาทและได้มีการจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 3 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546 รวมเป็น ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในวันนี้มีราคาดีขึ้นเพราะอ้อยถูกนำไปผลิตเป็นเอธานอลมากขึ้นหรือเปล่าทำให้รัฐบาลไม่ต้องเข้าแบกรับเรื่องราคา เลย นำมาสู่การปิดบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทย ในขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่รู้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สสว.ล้มกระดาน 4 บริษัทลูก อ้างบริหารงานล้มเหลว ล่าสุด เตรียมปิดฉากอุตสาหกรรมขนมไทยหลังมีหนี้ผูกพันกว่า 100 ล้าน ทั้งที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลคาดหวัง ปั้นแบรนด์ “สวัสดี” ตีตลาดทั่วโลก ระบุที่ผ่านมาสับสนหน้าที่จะเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “สถาบันการเงิน” สนับสนุนผู้ประกอบการ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี หรือ สสว. เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าที่ผ่านมา สสว.พยายาม เป็นแกนกลางเข้าไปช่วยเหลือขับเคลื่อนธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ทั้งระบบ ทั้งการให้ความรู้ด้านวิชาการ การสนับสนุนด้านการเงิน รวมถึงการเข้าไปร่วมทุนทำธุรกิจในรูปแบบจอยต์เวนเจอร์ในธุรกิจที่ควรสนับสนุน เมื่อธุรกิจนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สสว.ก็จะถอนหุ้นออกมาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจดำเนินการด้วยตัวเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากการจอยต์เวนเจอร์กับธุรกิจภาคเอกชนแล้ว ยังมีธุรกิจบางเซ็กเตอร์ที่ สสว.จัดตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทลูก แต่ถ้าผลการดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จก็จะอาจจะปิดตัว ซึ่งที่ผ่านมาปิดไปแล้ว 2 บริษัท และกำลังจะปิดอีก 2 บริษัท คือบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด และ บริษัท ส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด โดย 2 บริษัทดังกล่าวมีปัญหาขาดทุนมานาน รวมถึงมีภาระหนี้ผูกพันที่รอการชดเชยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาผลงานการทำงานของ สสว.ไม่เข้าเป้า ทำให้การประเมินผลงานที่จัดประเมินโดยทริสได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในฐานะที่ตนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลจะพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกให้ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ทิศทางการทำงานของ สสว.วันนี้ยังค่อนข้างขาดความชัดเจนว่าจะเดินทางไปในทิศทางไหน จะเข้าไปช่วยเหลือ SMEs ในรูปแบบการผลักดันแบบเต็มตัวกึ่งๆสถาบันการเงินหรือจะเป็นองค์กรให้ความเห็นด้านข้อมูล คำแนะนำ วิธีการแก้ไขปัญหาธุรกิจ SMEs แก่รัฐบาล เหมือนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“นโยบายของ สสว.เวลานี้เหมือนกับขาดความเป็นเอกภาพ ขาดแรงขับเคลื่อน โครงการอะไรที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการไว้ถูกโละทิ้งหมด อย่างเช่นบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทยซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในตลาดโลก เพราะขนมไทยมีจุดเด่นมากมาย แต่กลับต้องโดนปิดตัวเพราะผลประกอบการขาดทุน” แหล่งข่าวแสดงความเห็น
สำหรับบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่เล็งเห็นถึงการส่งเสริมการผลิตขนมไทยทุกประเภท เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และเพื่อยกระดับขนมไทยให้มีศักยภาพในการส่งออก เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิตในทุกระดับชั้น เป็นการหารายได้เข้าประเทศ ภายใต้แบรนด์ “สวัสดี” อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลตกต่ำได้อีกทางหนึ่ง นำมาซึ่งการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
ดังนั้นทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จึงได้จัดตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาทและได้มีการจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 3 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546 รวมเป็น ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในวันนี้มีราคาดีขึ้นเพราะอ้อยถูกนำไปผลิตเป็นเอธานอลมากขึ้นหรือเปล่าทำให้รัฐบาลไม่ต้องเข้าแบกรับเรื่องราคา เลย นำมาสู่การปิดบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทย ในขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่รู้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ทนายวิคเตอร์ บูท" ยื่นอุทธรณ์ ค้านคำสั่งศาลชั้นต้น
เมื่อเวลา 13.00 น. นายลักษณ์ นิติวัฒนวิจารณ์ ทนายความของนายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท สัญชาติรัสเซีย อดีตสายลับเคจีบี และนักค้าอาวุธชื่อดังที่ถูกทางการสหรัฐอเมริกา ร้องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เดินทางมายื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งงดสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่าย และยกคำร้องของอัยการคดีหมายเลขดำ อผ.4/2553 ที่ร้องขอส่งผู้ร้ายแดนนายวิคเตอร์ กลับสหรัฐ ฯ สำนวนที่ 2 ฐานฉ้อโกงทางอิเล็คทรอนิคส์ และฟอกเงิน รวม 6 ข้อหา
โดยคำร้องของนายวิคเตอร์ ระบุว่า จำเลยต่อสู้เสมอมาว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐผู้ร้องขอ และพนักงานอัยการ ดำเนินคดีโดยละเมิดประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เพราะไม่ได้มีการสอบสวนความผิดที่ได้ยื่นฟ้องคดีอาญามาก่อน จึงเท่ากับว่าไม่มีคำขอหรือคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้น ซึ่งแม้จะคำขอโดยผ่านวิถีทางการทูตก็ไม่มีผลให้เกิดการยกเว้นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ขณะที่คดีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มผลประโยชน์ของนักการเมืองกลุ่มใหญ่ ในประเทศสหรัฐ ฯ ต่อสู้ช่วงชิงและแข่งขันทางผลประโยชน์ที่จะบริหารประเทศ จึงเป็นการทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่มีลักษณะเป็นทางการเมือง โดยการต่อสู้คดีจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของส่งตัว และบัญชีพยานจำนวน 17 ปาก อาทิ จำเลย นางอัลลา บูท ภรรยา กงสุลสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายว่าใครทำความผิด หรือไม่ได้ทำความผิดตามคำกล่าวหาของทางการสหรัฐ ฯ เพื่อนำเข้าไต่สวน รวมทั้งเอกสารที่นางอัลลา ได้ยื่นถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย.53 ให้เข้าใจความจริงในการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วย
ขณะที่นายลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน ศาลจะพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ไว้หรือไม่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะรับอุทธรณ์ เพราะเราพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าอัยการไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้อง เนื่องจากคดีไม่มีการสอบสวนความผิดมาก่อนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คำขอต่างๆ ของอัยการจึงถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่เราแสดงให้เห็นว่าก็มีพยานที่จะไต่สวนในการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่แต่ศาลได้สั่งงดไปเพราะไม่มีการไต่สวนอัยการโจทก์ อย่างไรก็ดีตามขั้นตอนถ้าศาลรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาก็ต้องส่งสำเนาคำอุทธรณ์ให้ฝ่ายพนักงานอัยการ ทราบเพื่อแก้อุทธรณ์ต่อไป
ที่มา.เนชั่น
โดยคำร้องของนายวิคเตอร์ ระบุว่า จำเลยต่อสู้เสมอมาว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐผู้ร้องขอ และพนักงานอัยการ ดำเนินคดีโดยละเมิดประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เพราะไม่ได้มีการสอบสวนความผิดที่ได้ยื่นฟ้องคดีอาญามาก่อน จึงเท่ากับว่าไม่มีคำขอหรือคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้น ซึ่งแม้จะคำขอโดยผ่านวิถีทางการทูตก็ไม่มีผลให้เกิดการยกเว้นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ขณะที่คดีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มผลประโยชน์ของนักการเมืองกลุ่มใหญ่ ในประเทศสหรัฐ ฯ ต่อสู้ช่วงชิงและแข่งขันทางผลประโยชน์ที่จะบริหารประเทศ จึงเป็นการทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่มีลักษณะเป็นทางการเมือง โดยการต่อสู้คดีจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของส่งตัว และบัญชีพยานจำนวน 17 ปาก อาทิ จำเลย นางอัลลา บูท ภรรยา กงสุลสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายว่าใครทำความผิด หรือไม่ได้ทำความผิดตามคำกล่าวหาของทางการสหรัฐ ฯ เพื่อนำเข้าไต่สวน รวมทั้งเอกสารที่นางอัลลา ได้ยื่นถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย.53 ให้เข้าใจความจริงในการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วย
ขณะที่นายลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน ศาลจะพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ไว้หรือไม่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะรับอุทธรณ์ เพราะเราพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าอัยการไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้อง เนื่องจากคดีไม่มีการสอบสวนความผิดมาก่อนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คำขอต่างๆ ของอัยการจึงถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่เราแสดงให้เห็นว่าก็มีพยานที่จะไต่สวนในการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่แต่ศาลได้สั่งงดไปเพราะไม่มีการไต่สวนอัยการโจทก์ อย่างไรก็ดีตามขั้นตอนถ้าศาลรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาก็ต้องส่งสำเนาคำอุทธรณ์ให้ฝ่ายพนักงานอัยการ ทราบเพื่อแก้อุทธรณ์ต่อไป
ที่มา.เนชั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)