จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
พรรคเพื่อไทยส่ง “บิ๊กจิ๋ว” เป็นแม่ทัพใหญ่พา “วรวุฒิ” ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต 1 สุราษฎร์ธานี โดยเลื่อนกำหนดยื่นใบสมัครเป็นวันที่ 8 ต.ค. วันเดียวกับ “สุเทพ” เตรียมปูพรมตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ทุกอำเภอควบคู่ปราศรัยย่อยทุกชุมชน ให้ประชาธิปัตย์รักษาคำพูดไม่จัดมวลชนต่อต้าน ด้าน “เทพไท” รับประกันไม่มีเหตุรุนแรง ยอมรับเกรง “สุเทพ” ไม่ปลอดภัยแม้จะเป็นพื้นที่ตัวเองแต่ต้องเช็กให้แน่ใจก่อนลงพบประชาชน อ้อนคนในพื้นที่ช่วยเป็นเกราะป้องกัน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานภาค ใต้ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้นายพิเชษฐ สถิรชวาล เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 พร้อมเปลี่ยนกำหนดวันยื่นใบสมัครของนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ จากกำหนดเดิมวันที่ 4 ต.ค. ไปเป็นวันที่ 8 ต.ค. เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะไปยื่นใบสมัคร เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันเรื่องระยะเวลาหาเสียง
“วันสมัครนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พร้อมด้วย พล.อ.ชวลิต นายพิเชษฐ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ของพรรคทุกคนจะร่วมคณะเดินทางให้กำลังใจนายวรวุฒิด้วย หลังจากยื่นใบสมัครได้หมายเลขประจำตัวแล้วจะขึ้นรถรณรงค์ออกหาเสียงทันที” นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า การหาเสียงครั้งนี้พรรคจะตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ในทุกอำเภอควบคู่ไปกับการปราศรัยย่อยในชุมชนและการเดินเคาะประตูบ้านของผู้สมัคร พรรคไม่หวั่นว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนตอนที่ลงไปตรวจสอบที่ดินเขาแพงที่มีการเกณฑ์ประชาชนมารุมล้อมและขู่ทำร้าย พรรคเพื่อไทยเชื่อในเกียรติของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่มีการต่อต้านจากคนในพื้นที่ ดังนั้น หากเกิดการสร้างสถานการณ์รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ
“หากแข่งขันกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้วิชามาร จะทำให้ไม่มีเรื่องร้องเรียนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง” นายพร้อมพงศ์กล่าว
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยเลขาธิการพรรค ยืนยันอีกครั้งว่าการลงสมัคร ส.ส. ของนายสุเทพไม่ได้ปูทางเพื่อรอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้นายสุเทพจะมีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าอดีตนายกฯของพรรคเพื่อไทยอย่าง พล.อ.ชวลิต นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือแคนดิเดตนายกฯอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แต่นายสุเทพไม่ได้มีความปรารถนาในเรื่องนั้น ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมระบุให้ชัดเจนว่าจะให้นายสุเทพกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหรือไม่นั้น เป็นเพราะนายกฯไม่ต้องการผูกมัด เพราะเมื่อพูดไปแล้วต้องรักษาคำพูด การเมืองในอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ที่สำคัญตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จึงไม่เหมาะหากจะไปพูดถึง
นายเทพไทยืนยันด้วยว่า นายสุเทพไม่จำเป็นต้องลงสมัคร ส.ส. เพื่อสร้างหลักประกันความอิสระหากถูกดำเนินคดีจากการสลายการชุมนุม เพราะคนอย่างนายสุเทพมีความเป็นนักเลงพอที่จะต่อ สู้ทุกคดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เหมือนนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่ใช้เอกสิทธิความเป็น ส.ส. เอาตัวรอดอยู่นอกคุกเพียงคนเดียว อยากให้นายจตุพรเอาเวลาที่มาวิพากษ์ วิจารณ์รัฐบาลไปเคลียร์ปัญหาเรื่องเงินๆทองๆของกลุ่มเสื้อแดงจะดีกว่า
“ผมยืนยันได้ว่าการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 สุราษฎร์ธานี จะไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะพื้นที่นี้เพิ่งผ่านการเลือกตั้งซ่อมไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร หากทุกฝ่ายร่วม กันป้องกันไม่ให้คนเสื้อแดงไปก่อความวุ่นวายในพื้นที่ก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” นายเทพไทกล่าวพร้อมยอมรับว่า ในการหาเสียงนายสุเทพคงต้องระวังตัวมากขึ้นเพราะเป็นเป้าของการลอบทำร้าย แต่เชื่อว่าคนในพื้นที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกันให้นายสุเทพได้ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ต้องเป็นพื้นที่ที่มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่มีการเผชิญหน้า แม้พรรคเพื่อไทยเตรียมระดมพลคนเสื้อแดงในภาคใต้เข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ก็ขอยืนยันว่าจะไม่มีการจัดม็อบไปชนม็อบแน่นอน
**********************************************************************
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สังคมฮิสทีเรีย
โดย. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ไม่มีใครปฏิเสธว่าดาราสาว “แอนนี่ บรู๊ค” มีความสัมพันธ์กับ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” แต่ลูกน้อยวัย 3 เดือน “น้องฑีฆายุ” จะเป็นบุตรของทั้งสองหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้ความจริงเท่ากับคนทั้งสอง
แต่ที่น่าสลดหดหู่มากกว่าข่าวประณามกันไปประณามกันมาที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝ่าย และผู้เกี่ยวข้องที่ออกมาพูดเป็นรายวันแล้ว ก็คือสังคมไทยที่เสมือนสังคมฮิสทีเรียหรือฮิสทีเรียทางศีลธรรมไปแล้ว ซึ่งนักวิชาการด้านศิลปศาสตร์ได้ตั้งเป็นประเด็นต่อสังคมไทยที่กำลังฝังรากลึกความเสื่อมด้านศีลธรรมอย่างยิ่ง
กระแสสังคมที่เกิดขึ้นกว่า 1 สัปดาห์หลังจาก “แอนนี่” และ “ฟิล์ม” ออกมาพูดกับสาธารณชนนั้น ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าที่โผล่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นเพราะเรื่องของผลประโยชน์ของคนทั้งสอง หรือบริษัทอาร์เอส ที่มีธุรกิจนับร้อยนับพันล้านบาทเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อกระแสรอง ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการจุดประเด็นนี้ให้กลายเป็นกระแสหลักของสังคมไทยไปแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะยุติกันอย่างเงียบๆ ด้วยการพูดคุยกันระหว่าง “ฟิล์ม-แอนนี่” เช่นเดียวกับการตรวจดีเอ็นเอ
หากไม่มีสื่อไปขุดคุ้ยเพื่อให้เป็นข่าว ซึ่งไม่ใช่แค่สัมภาษณ์ “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่เรื่องยิ่งบานปลายเพราะมีการดึงผู้อื่นเข้ามาร่วม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะธุรกิจอย่างบริษัทอาร์เอส หรือในฐานะเพื่อนใกล้ชิดก็ตาม ล้วนไม่รู้ความจริงเท่า “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่กลับทำให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายอย่างดุเดือดเผ็ดมันบนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการดึงเรื่องของ “ฟิล์ม-แอนนี่” มาเป็นเรียลิตี้ให้สังคมโหวตว่าใครเลว ใครดี ใครผิด ใครถูก ทั้งที่ไม่รู้ความจริง แต่ก็ลงโทษบุคคลทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
กรณี “ฟิล์ม-แอนนี่” จึงไม่ต่างกับโศกนาฏกรรมบนความสะใจของสังคมไทยที่กำลังตกต่ำสุดขีด เป็นฮิสทีเรียทางศีลธรรมที่พร้อมจะเข่นฆ่าใครก็ได้หากมีความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม ความถูกต้อง และความยุติธรรมใดๆ ซึ่งไม่แตกต่างกับวิกฤตบ้านเมืองขณะนี้ที่สังคมไทยและสื่อแสหลักเหมือนคนหูหนวกตาบอด เพิกเฉยกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งที่มีการฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพิกเฉยที่จะขุดคุ้ยหาความจริง และเพิกเฉยที่จะนำตัว “ฆาตกร” มาลงโทษ
ไม่ใช่แค่สังคมไทย สื่อกระแสหลัก และองค์กรสื่อต่างๆจะไม่มีสำนึกทางศีลธรรมและความยุติ ธรรมเท่านั้น แต่ยังไม่มีสำนึกความเป็นคนหรือมนุษยธรรม ที่ถือเป็นภาวะความเสื่อมทางศีล ธรรมที่น่าวิตกอย่างยิ่ง หากยังปล่อยให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะฮิสทีเรียทางศีลธรรมต่อไป
**********************************************************************
ไม่มีใครปฏิเสธว่าดาราสาว “แอนนี่ บรู๊ค” มีความสัมพันธ์กับ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” แต่ลูกน้อยวัย 3 เดือน “น้องฑีฆายุ” จะเป็นบุตรของทั้งสองหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้ความจริงเท่ากับคนทั้งสอง
แต่ที่น่าสลดหดหู่มากกว่าข่าวประณามกันไปประณามกันมาที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝ่าย และผู้เกี่ยวข้องที่ออกมาพูดเป็นรายวันแล้ว ก็คือสังคมไทยที่เสมือนสังคมฮิสทีเรียหรือฮิสทีเรียทางศีลธรรมไปแล้ว ซึ่งนักวิชาการด้านศิลปศาสตร์ได้ตั้งเป็นประเด็นต่อสังคมไทยที่กำลังฝังรากลึกความเสื่อมด้านศีลธรรมอย่างยิ่ง
กระแสสังคมที่เกิดขึ้นกว่า 1 สัปดาห์หลังจาก “แอนนี่” และ “ฟิล์ม” ออกมาพูดกับสาธารณชนนั้น ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าที่โผล่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นเพราะเรื่องของผลประโยชน์ของคนทั้งสอง หรือบริษัทอาร์เอส ที่มีธุรกิจนับร้อยนับพันล้านบาทเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อกระแสรอง ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการจุดประเด็นนี้ให้กลายเป็นกระแสหลักของสังคมไทยไปแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะยุติกันอย่างเงียบๆ ด้วยการพูดคุยกันระหว่าง “ฟิล์ม-แอนนี่” เช่นเดียวกับการตรวจดีเอ็นเอ
หากไม่มีสื่อไปขุดคุ้ยเพื่อให้เป็นข่าว ซึ่งไม่ใช่แค่สัมภาษณ์ “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่เรื่องยิ่งบานปลายเพราะมีการดึงผู้อื่นเข้ามาร่วม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะธุรกิจอย่างบริษัทอาร์เอส หรือในฐานะเพื่อนใกล้ชิดก็ตาม ล้วนไม่รู้ความจริงเท่า “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่กลับทำให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายอย่างดุเดือดเผ็ดมันบนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการดึงเรื่องของ “ฟิล์ม-แอนนี่” มาเป็นเรียลิตี้ให้สังคมโหวตว่าใครเลว ใครดี ใครผิด ใครถูก ทั้งที่ไม่รู้ความจริง แต่ก็ลงโทษบุคคลทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
กรณี “ฟิล์ม-แอนนี่” จึงไม่ต่างกับโศกนาฏกรรมบนความสะใจของสังคมไทยที่กำลังตกต่ำสุดขีด เป็นฮิสทีเรียทางศีลธรรมที่พร้อมจะเข่นฆ่าใครก็ได้หากมีความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม ความถูกต้อง และความยุติธรรมใดๆ ซึ่งไม่แตกต่างกับวิกฤตบ้านเมืองขณะนี้ที่สังคมไทยและสื่อแสหลักเหมือนคนหูหนวกตาบอด เพิกเฉยกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งที่มีการฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพิกเฉยที่จะขุดคุ้ยหาความจริง และเพิกเฉยที่จะนำตัว “ฆาตกร” มาลงโทษ
ไม่ใช่แค่สังคมไทย สื่อกระแสหลัก และองค์กรสื่อต่างๆจะไม่มีสำนึกทางศีลธรรมและความยุติ ธรรมเท่านั้น แต่ยังไม่มีสำนึกความเป็นคนหรือมนุษยธรรม ที่ถือเป็นภาวะความเสื่อมทางศีล ธรรมที่น่าวิตกอย่างยิ่ง หากยังปล่อยให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะฮิสทีเรียทางศีลธรรมต่อไป
**********************************************************************
บูรพาพยัคฆ์ กับงูเห่า!
ดูเหมือนจะรอมชอมกันผิดหูผิดตา สำหรับท่าทีการพบปะกันระหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นายกฯ ฮุนเซน” แถมยังมีการแจงคิวจับเข่าคุยล่วงหน้าถึง 3 นัด ผ่านวาระบรัสเซลส์ ฮานอย และพนมเปญ ส่งซิกสมานฉันท์ไทย-กัมพูชา ชื่นมื่น
อานิสงส์ส่งให้การค้าขายช่วงรอยต่อช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ได้อึกทึกครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง นี่แหละที่เขาว่า “การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจย่อมแล่นฉิว”
ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นบนชายขอบ มันช่างแตกต่าง กันอย่างยิ่ง สำหรับสถานการณ์ภายในของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ที่เชื่อเหลือเกินว่าแม้แต่ “นายกฯ ฮุนเซน” ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน ก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางการเมืองในลักษณะนี้ได้เป็นอย่างดี
ขวากหนามใหญ่ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มันไม่ต่างจากภูเขาไฟลูกใหญ่ที่กำลังปะทุอยู่เบื้องล่างแห่ง เก้าอี้ท่านผู้นำของ “อภิสิทธิ์” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า...
แม้แต่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ผู้เรียบเฉย ยังไม่สามารถสะกดอาการประหวั่นพรั่นพรึงให้พ้นไปจาก สีหน้าและแววตาได้อย่างดั่งใจนึกคิด
ว่ากันว่า ปลายตุลาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนศาลมีคำพิพากษา หรือแม้กระทั่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา สถานการณ์การเมืองไทยล้วนสามารถ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกได้ทุกหน้า
วาระจุดพลุนิรโทษกรรมรอบที่ร้อยแปดของ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” ถือว่าไม่ธรรมดา
วาทกรรมพลิกขั้วสวมกอดเพื่อไทยหากประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคของ “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญ-วีรกูล” ย่อมทะลุกลางปล้องได้น่าสนใจยิ่ง
มหกรรมปล่อยคาราวานปลาไหลเดินสาย ปรองดองฉบับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” นั้นล้วนขับเคลื่อนไปอย่างมีนัย
ปฏิบัติการรับลูกโรดแมป “เสธ.หนั่น” เหมือนนัดกันไว้ล่วงหน้าของ “ทีมงาน 3 พี” มันย่อมบ่งบอกให้เห็นถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
หรือแม้กระทั่ง ลีลาการกอดเก้าอี้รองนายกฯ โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ ของ “เทพเทือก-สุเทพ เทือกสุบรรณ” มันก็น่าจะอรรถาธิบายถึงทิศทางการเมืองว่าสุ่มเสี่ยงจะบังเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้นในอนาคต
นักเลือกตั้งสลับหน้าเล่น ต่างคนต่างแสดงกันคนละบทบาท แต่ในแต่ละความเคลื่อนไหว ล้วนพุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่านการวางหมากกลทางการเมืองใน “คัมภีร์อวิชชางูเห่า” ไว้อย่าง แยบคาย
ไม่ว่าเดิมพันล็อตโต้รอบนี้จะหมุนไปตกที่ฝั่งใด..ยุบสภา ยุบพรรค หรือ พลิกขั้วทางการเมือง???
“นักการเมืองสปีชี่ส์อนาคอนดา” ฝูงนี้ ก็จะยังสามารถ อยู่ยั้งยืนยงในนามฝ่ายกุมอำนาจประเทศอีกต่อไปได้อย่าง “วิน วิน”
จะเห็นได้ว่า ในรูปแบบการเมือง “สเปกรัฐบาลผสม” ท้ายที่สุดแล้ว..“ชาวนา” ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด ก็มิอาจว่างเว้น จากการถูก “งูเห่าใจคด” แว้งฉกกัดอยู่ร่ำไป!!!
ถึงบรรทัดนี้คงได้แต่ภาวนาว่า “จ่าฝูงบูรภาพยัคฆ์คนใหม่” ผู้มีอำนาจพิเศษเหนืออสรพิษร้าย จะไม่เลือกกระทำการ ใดการหนึ่งอันไม่เป็นคุณต่อประชาธิปไตยไทย เพราะในห้วง 1 ปีกว่าแห่งเทอมการเมืองที่เหลือนั้น ยังปรากฏทางเลือกทาง ออกอีกมากมายหลายวิถีทาง
แต่หากอำนาจแห่ง “บูรพาพยัคฆ์” เลือกที่จะรั้นด้วยการเผาป่าล่า “งูเห่า” จุดจบแห่งนิทานการเมืองในเบื้องสุดท้าย ไม่ว่า “ชาวนา” กับ “งูเห่า” หรือ “งูเห่า” กับ “บูรพาพยัคฆ์” ท้ายที่สุดแล้ว คงไม่รอดพ้นเสียงสาปแช่ง เพราะพฤติกรรมซ้ำซากที่เคยดำเนินมาตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน
มันไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยววินาที ที่สร้างคุณูปการให้ชาติและประชาชน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อานิสงส์ส่งให้การค้าขายช่วงรอยต่อช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ได้อึกทึกครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง นี่แหละที่เขาว่า “การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจย่อมแล่นฉิว”
ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นบนชายขอบ มันช่างแตกต่าง กันอย่างยิ่ง สำหรับสถานการณ์ภายในของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ที่เชื่อเหลือเกินว่าแม้แต่ “นายกฯ ฮุนเซน” ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน ก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางการเมืองในลักษณะนี้ได้เป็นอย่างดี
ขวากหนามใหญ่ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มันไม่ต่างจากภูเขาไฟลูกใหญ่ที่กำลังปะทุอยู่เบื้องล่างแห่ง เก้าอี้ท่านผู้นำของ “อภิสิทธิ์” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า...
แม้แต่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ผู้เรียบเฉย ยังไม่สามารถสะกดอาการประหวั่นพรั่นพรึงให้พ้นไปจาก สีหน้าและแววตาได้อย่างดั่งใจนึกคิด
ว่ากันว่า ปลายตุลาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนศาลมีคำพิพากษา หรือแม้กระทั่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา สถานการณ์การเมืองไทยล้วนสามารถ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกได้ทุกหน้า
วาระจุดพลุนิรโทษกรรมรอบที่ร้อยแปดของ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” ถือว่าไม่ธรรมดา
วาทกรรมพลิกขั้วสวมกอดเพื่อไทยหากประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคของ “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญ-วีรกูล” ย่อมทะลุกลางปล้องได้น่าสนใจยิ่ง
มหกรรมปล่อยคาราวานปลาไหลเดินสาย ปรองดองฉบับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” นั้นล้วนขับเคลื่อนไปอย่างมีนัย
ปฏิบัติการรับลูกโรดแมป “เสธ.หนั่น” เหมือนนัดกันไว้ล่วงหน้าของ “ทีมงาน 3 พี” มันย่อมบ่งบอกให้เห็นถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
หรือแม้กระทั่ง ลีลาการกอดเก้าอี้รองนายกฯ โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ ของ “เทพเทือก-สุเทพ เทือกสุบรรณ” มันก็น่าจะอรรถาธิบายถึงทิศทางการเมืองว่าสุ่มเสี่ยงจะบังเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้นในอนาคต
นักเลือกตั้งสลับหน้าเล่น ต่างคนต่างแสดงกันคนละบทบาท แต่ในแต่ละความเคลื่อนไหว ล้วนพุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่านการวางหมากกลทางการเมืองใน “คัมภีร์อวิชชางูเห่า” ไว้อย่าง แยบคาย
ไม่ว่าเดิมพันล็อตโต้รอบนี้จะหมุนไปตกที่ฝั่งใด..ยุบสภา ยุบพรรค หรือ พลิกขั้วทางการเมือง???
“นักการเมืองสปีชี่ส์อนาคอนดา” ฝูงนี้ ก็จะยังสามารถ อยู่ยั้งยืนยงในนามฝ่ายกุมอำนาจประเทศอีกต่อไปได้อย่าง “วิน วิน”
จะเห็นได้ว่า ในรูปแบบการเมือง “สเปกรัฐบาลผสม” ท้ายที่สุดแล้ว..“ชาวนา” ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด ก็มิอาจว่างเว้น จากการถูก “งูเห่าใจคด” แว้งฉกกัดอยู่ร่ำไป!!!
ถึงบรรทัดนี้คงได้แต่ภาวนาว่า “จ่าฝูงบูรภาพยัคฆ์คนใหม่” ผู้มีอำนาจพิเศษเหนืออสรพิษร้าย จะไม่เลือกกระทำการ ใดการหนึ่งอันไม่เป็นคุณต่อประชาธิปไตยไทย เพราะในห้วง 1 ปีกว่าแห่งเทอมการเมืองที่เหลือนั้น ยังปรากฏทางเลือกทาง ออกอีกมากมายหลายวิถีทาง
แต่หากอำนาจแห่ง “บูรพาพยัคฆ์” เลือกที่จะรั้นด้วยการเผาป่าล่า “งูเห่า” จุดจบแห่งนิทานการเมืองในเบื้องสุดท้าย ไม่ว่า “ชาวนา” กับ “งูเห่า” หรือ “งูเห่า” กับ “บูรพาพยัคฆ์” ท้ายที่สุดแล้ว คงไม่รอดพ้นเสียงสาปแช่ง เพราะพฤติกรรมซ้ำซากที่เคยดำเนินมาตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน
มันไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยววินาที ที่สร้างคุณูปการให้ชาติและประชาชน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553
นี่เขาถึงจะเรียกว่าคนของประชาชน??
ตำรวจเขาชื่นชม “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในวันที่ไปเป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้กับตำรวจตั้งแต่รอง ผบ.ตร.ถึงผู้กำกับการที่เกษียณอายุราชการประจำปี 2553 จำนวน 193 คนที่สโมสรตำรวจเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แทน “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกันถ้วนหน้า
ก็ “เทพเทือก” นั้นเขานักการเมืองที่ปากกัดตีนถีบดั้นด้นมาจากกำนันลูกกำนันกว่าจะได้มาเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส ไม่ใช่พวกเทพอุ้มสมบุญหล่นทับจนมองไม่เห็นหัวคนเหมือนบางคนซะที่ไหน
เจอหน้านายตำรวจที่จะมอบประกาศเกียรติคุณให้เป็นต้องยกมือไหว้ก่อน
ผิดกับบางคน ที่เห็นหัวข้าราชการเหมือนหัวหลักหัวตอ
ช่างใหญ่คับฟ้าจริงๆ นะพ่อเจ้าประคุณ!!
....................................................................................
จากรุกมาเป็นรับ??
จากปฏิบัติการเชิงรุกไม่ว่าจะเป็นการขอคืนพื้นที่หรือการกระชับพื้นที่
ช่วงนี้ ศอฉ.อันโด่งดังต้องกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง
โดนรุกหนักจากคณะกรรมการตรวจสอบชุดต่างๆ จนวันๆ แทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากมาคอยชี้แจง
ฝึกๆ ชี้แจงไว้บ้างก็ดี ชี้แจงยามบุญมามีบุญบังอะไรๆ ก็สะดวก
ยามหมดบุญ บุญไม่คอยมาบังชี้แจงไม่ดีมีหวังพังได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ???
........................................................................
ไอ้ปรื๊ดทำเหตุ??
ไม่กี่วันก่อนผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลก็ไปตรวจพบอาวุธมากมายใต้ฐานพระในวัดปทุมวนาราม
เหมาะเหม็งกับช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมพอดิบพอดี
การชุมนุมก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุ
ตามแผนประทุษกรรม..น่าจะเป็น “ไอ้ปรื๊ด” แน่ที่นำอาวุธมาซุกซ่อนไว้
ทำนองเดียวกับพวกเล่นไพ่รอตำรวจอย่างนั้นแหละ
นอกจากจะไม่ได้ใช้อาวุธทำอะไรแล้ว ยังมาเสียอาวุธให้ถูกยึดไปเปล่าๆ เสียอีก
ไอ้ปรื๊ดหนอไอ้ปรื๊ด!! เห็นทีความปรองดองของคนในชาติ...จะเป็นชาติหน้าเสียแล้วกระมัง!!
..............................................................................................................................................
ระวังเก้าอี้ ส.ร.1 หล่นทับ??
ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ตัดสินใจส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี
แถมให้สละเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่ให้ติดก้นตอนไปหาเสียงให้คนเขาครหาว่าเอาเปรียบอีกต่างหาก
สละเก้าอี้หรือไม่สละเก้าอี้ยังไงๆ “เทพเทือก” ก็นอนมาแน่
เป็น ส.ส.งวดนี้ดีไม่ดีบุญอาจหล่นทับจนขาเท้าบวมก็ได้
ก็เป็น ส.ส.พอเหมาะพอเจาะกับช่วงจะมีการตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์พอดิบพอดี
หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์มีหวัง “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นเทวดาตกสวรรค์แน่
คนจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต้องมาจาก ส.ส.
มากบารมีแถมคอนเน็กชั่นเยอะแบบ “เทพเทือก” ดีไม่ดีขาเท้าอาจบวมเอาดื้อๆ
ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เก้าอี้ ส.ร. 1 มันหล่นทับเท่านั้นแหละ??
................................................................................
ปากกล้าขาสั่น??
แค่พญาชาละวันเมืองพิจิตร พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีมือประสานสิบทิศขยับหางแค่นั้นแหละ...เสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางก็ดังกระหึ่ม
เพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยมคครูทางการเมืองคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนพากันชู นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ่วงด้วย นายหัวชวน หลีกภัย ให้ลอยเด่นเป็นอะไหล่ของ “มาร์คไขสือ” ขึ้นมาเป็นทางเลือก
แถมพรรคประชาธิปัตย์ยังมีมติส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คนมากบารมีลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อให้ได้เป็น ส.ส.ซึ่งเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้ที่จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่างหาก
ที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบนั้นก็คงเป็นเรื่องของคนปากกล้าขาสั่น
เห็นทีฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมืดมนเสียแล้วล่ะ??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ก็ “เทพเทือก” นั้นเขานักการเมืองที่ปากกัดตีนถีบดั้นด้นมาจากกำนันลูกกำนันกว่าจะได้มาเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส ไม่ใช่พวกเทพอุ้มสมบุญหล่นทับจนมองไม่เห็นหัวคนเหมือนบางคนซะที่ไหน
เจอหน้านายตำรวจที่จะมอบประกาศเกียรติคุณให้เป็นต้องยกมือไหว้ก่อน
ผิดกับบางคน ที่เห็นหัวข้าราชการเหมือนหัวหลักหัวตอ
ช่างใหญ่คับฟ้าจริงๆ นะพ่อเจ้าประคุณ!!
....................................................................................
จากรุกมาเป็นรับ??
จากปฏิบัติการเชิงรุกไม่ว่าจะเป็นการขอคืนพื้นที่หรือการกระชับพื้นที่
ช่วงนี้ ศอฉ.อันโด่งดังต้องกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง
โดนรุกหนักจากคณะกรรมการตรวจสอบชุดต่างๆ จนวันๆ แทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากมาคอยชี้แจง
ฝึกๆ ชี้แจงไว้บ้างก็ดี ชี้แจงยามบุญมามีบุญบังอะไรๆ ก็สะดวก
ยามหมดบุญ บุญไม่คอยมาบังชี้แจงไม่ดีมีหวังพังได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ???
........................................................................
ไอ้ปรื๊ดทำเหตุ??
ไม่กี่วันก่อนผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลก็ไปตรวจพบอาวุธมากมายใต้ฐานพระในวัดปทุมวนาราม
เหมาะเหม็งกับช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมพอดิบพอดี
การชุมนุมก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุ
ตามแผนประทุษกรรม..น่าจะเป็น “ไอ้ปรื๊ด” แน่ที่นำอาวุธมาซุกซ่อนไว้
ทำนองเดียวกับพวกเล่นไพ่รอตำรวจอย่างนั้นแหละ
นอกจากจะไม่ได้ใช้อาวุธทำอะไรแล้ว ยังมาเสียอาวุธให้ถูกยึดไปเปล่าๆ เสียอีก
ไอ้ปรื๊ดหนอไอ้ปรื๊ด!! เห็นทีความปรองดองของคนในชาติ...จะเป็นชาติหน้าเสียแล้วกระมัง!!
..............................................................................................................................................
ระวังเก้าอี้ ส.ร.1 หล่นทับ??
ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ตัดสินใจส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี
แถมให้สละเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่ให้ติดก้นตอนไปหาเสียงให้คนเขาครหาว่าเอาเปรียบอีกต่างหาก
สละเก้าอี้หรือไม่สละเก้าอี้ยังไงๆ “เทพเทือก” ก็นอนมาแน่
เป็น ส.ส.งวดนี้ดีไม่ดีบุญอาจหล่นทับจนขาเท้าบวมก็ได้
ก็เป็น ส.ส.พอเหมาะพอเจาะกับช่วงจะมีการตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์พอดิบพอดี
หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์มีหวัง “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นเทวดาตกสวรรค์แน่
คนจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต้องมาจาก ส.ส.
มากบารมีแถมคอนเน็กชั่นเยอะแบบ “เทพเทือก” ดีไม่ดีขาเท้าอาจบวมเอาดื้อๆ
ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เก้าอี้ ส.ร. 1 มันหล่นทับเท่านั้นแหละ??
................................................................................
ปากกล้าขาสั่น??
แค่พญาชาละวันเมืองพิจิตร พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีมือประสานสิบทิศขยับหางแค่นั้นแหละ...เสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางก็ดังกระหึ่ม
เพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยมคครูทางการเมืองคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนพากันชู นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ่วงด้วย นายหัวชวน หลีกภัย ให้ลอยเด่นเป็นอะไหล่ของ “มาร์คไขสือ” ขึ้นมาเป็นทางเลือก
แถมพรรคประชาธิปัตย์ยังมีมติส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คนมากบารมีลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อให้ได้เป็น ส.ส.ซึ่งเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้ที่จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่างหาก
ที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบนั้นก็คงเป็นเรื่องของคนปากกล้าขาสั่น
เห็นทีฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมืดมนเสียแล้วล่ะ??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ
รู้ทัน ‘เอฟทีเอ’พลิกวิกฤติโกยหมื่นล้านบาท
“FTA” หรือ “FREE TRADE AREA” หรือที่ในภาษาไทยนิยามว่า “การเปิดการค้าเสรี” ซึ่งศัพท์คำนี้เป็นที่รู้จักในสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนานมาก แล้ว แต่ที่ผ่านมามักจะบังเกิดมุมมองใน ทางลบกับเงื่อนไขในการเปิดเอฟทีเอ “หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ ประเทศ” ฉบับนี้ จึงขออนุญาตนำเสนอ มุมมองในด้านสว่างของการเปิดเอฟทีเอ
อันเป็นมุมมองของนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ซึ่งได้ให้ความเห็นผ่านผลการศึกษาเรื่อง “การเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีฉบับต่างๆ : โอกาสหมื่นล้านของผู้ประกอบการ” ในระหว่างการสัมมนาหัวข้อ “อุตสาหกรรมไทย ได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีหรือไม่? เพียงไร?” โดยทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และสถาบัน วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยร่วมกันจัด เมื่อไม่นานมานี้
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันทีดีอาร์ไอ
“ในปี 2552 FTA ต่างๆ ที่มีผลบังคับ ใช้แล้วจำนวน 5 ฉบับ อันได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และโครงการเก็บเกี่ยว ล่วงหน้าภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) ทำให้ภาคส่งออก ไทยและภาคนำเข้าไทยประหยัดภาษีศุลกากร ได้ 7.2 หมื่นล้านบาท และ 3.3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยความตกลง AFTA เป็นความตกลงที่ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ ได้มากที่สุด”
“เมื่อพิจารณาในรายสาขาทั้งในภาค ส่งออกและภาคนำเข้า ผู้ประกอบการในกลุ่มยานยนต์และกลุ่มอาหารเป็นผู้ประกอบการที่ได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงสูงที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พบว่า ยังมีผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากพบปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อย่างน้อย 2 ด้าน”
“ด้านแรกคือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการเจรจา FTA เช่น สินค้าอยู่นอกรายการลดภาษีหรืออยู่ในรายการสินค้าที่มีความอ่อนไหว สินค้าได้รับแต้มต่อ ด้านภาษีศุลกากรไม่จูงใจพอเมื่อเทียบกับต้นทุนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้ FTA สินค้าไม่ผ่านกฎว่าด้วยแหล่ง กำเนิดสินค้า และด้านที่สองคือปัญหาและ อุปสรรคที่เกิดจากการดำเนินการตาม FTA เช่น ผู้ประกอบการขาดความตระหนักถึงประโยชน์ที่ควรจะได้รับ ผู้ประกอบการไม่ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอัตราภาษีภายใต้ FTA และกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ผู้ประกอบการขาด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการขอ ใช้ประโยชน์ ผู้ประกอบการเข้าใจผิดหรือเกิดความสับสนเกี่ยวกับการเปิดเผยต้นทุน การผลิตสินค้า”
“หากปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้รับการแก้ไข ผลประโยชน์ที่ภาคเอกชนไทยจะได้รับจาก FTA จะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก มาก โดยหากทำให้อัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงขึ้นเต็มร้อยละ 100 โดยที่ยังไม่ได้ เจรจาเพื่อขยายความครอบคลุมและแต้ม ต่อ ประโยชน์ที่ภาคส่งออกไทยและภาคนำเข้าไทยจะได้รับจากการประหยัดภาษีศุลกากรจะเพิ่มขึ้นอีก 5.9 หมื่นล้านบาท และ 2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ”
สุนทร ตันมันทอง นักวิจัยสถาบันทีดีอาร์ไอ
“นอกเหนือจากการลดภาษีศุลกากร แล้ว FTA ที่ผ่านมาของไทยที่บรรจุโครงการความร่วมมือไว้ด้วยก็คือ JTEPA ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่นให้ใกล้ชิดมากขึ้นอีกทางหนึ่ง หลังจาก JTEPA มีผลใช้บังคับมากว่าสามปี โครงการความร่วมมือหลายโครงการมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมทุกปี เช่น โครงการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเพื่อ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” โครงการความร่วมมืออุตสาหกรรมเหล็กไทย-ญี่ปุ่น โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น”
“จากการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการ สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เช่น การส่งเสริมการตลาด ของสินค้าอาหาร สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ไทยในญี่ปุ่น และการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโครงการที่ยังไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เช่น โครงการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ (AHRDIP) ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้จะทำให้ไทยมีระบบการฝึกอบรมบุคลากรด้านยานยนต์ ที่ได้มาตรฐานเพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคง สำหรับเป้าหมายการเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย”
เชษฐา อินทรวิทักษ์ นักวิชาการสถาบันทีดีอาร์ไอ
“จากผลการศึกษาที่ได้จากแบบจำลองทางเศรษฐมิติ FTA ทุกฉบับมีผลต่อการเพิ่มการส่งออกและการนำเข้าของ ไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาพรวมและในรายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ เช่น การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งการนำเข้าอาหาร เคมีภัณฑ์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น”
และนี่คือมุมมองในอีกมิติอันเกี่ยว เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรี ที่ถึง ณ บรรทัดนี้ ก็พอจะสรุปได้สั้นๆ คือ หากปรับตัวได้อย่างรู้เท่าทันเอฟทีเอ ข้อกังวล ต่างๆ นานา ที่มีการตั้งสมมติฐานอย่าง กว้างขวาง ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน เข้าสู่ประเทศและกระเป๋าผู้ประกอบการ
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************
“FTA” หรือ “FREE TRADE AREA” หรือที่ในภาษาไทยนิยามว่า “การเปิดการค้าเสรี” ซึ่งศัพท์คำนี้เป็นที่รู้จักในสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนานมาก แล้ว แต่ที่ผ่านมามักจะบังเกิดมุมมองใน ทางลบกับเงื่อนไขในการเปิดเอฟทีเอ “หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ ประเทศ” ฉบับนี้ จึงขออนุญาตนำเสนอ มุมมองในด้านสว่างของการเปิดเอฟทีเอ
อันเป็นมุมมองของนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ซึ่งได้ให้ความเห็นผ่านผลการศึกษาเรื่อง “การเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีฉบับต่างๆ : โอกาสหมื่นล้านของผู้ประกอบการ” ในระหว่างการสัมมนาหัวข้อ “อุตสาหกรรมไทย ได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีหรือไม่? เพียงไร?” โดยทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และสถาบัน วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยร่วมกันจัด เมื่อไม่นานมานี้
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันทีดีอาร์ไอ
“ในปี 2552 FTA ต่างๆ ที่มีผลบังคับ ใช้แล้วจำนวน 5 ฉบับ อันได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และโครงการเก็บเกี่ยว ล่วงหน้าภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) ทำให้ภาคส่งออก ไทยและภาคนำเข้าไทยประหยัดภาษีศุลกากร ได้ 7.2 หมื่นล้านบาท และ 3.3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยความตกลง AFTA เป็นความตกลงที่ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ ได้มากที่สุด”
“เมื่อพิจารณาในรายสาขาทั้งในภาค ส่งออกและภาคนำเข้า ผู้ประกอบการในกลุ่มยานยนต์และกลุ่มอาหารเป็นผู้ประกอบการที่ได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงสูงที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พบว่า ยังมีผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากพบปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อย่างน้อย 2 ด้าน”
“ด้านแรกคือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการเจรจา FTA เช่น สินค้าอยู่นอกรายการลดภาษีหรืออยู่ในรายการสินค้าที่มีความอ่อนไหว สินค้าได้รับแต้มต่อ ด้านภาษีศุลกากรไม่จูงใจพอเมื่อเทียบกับต้นทุนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้ FTA สินค้าไม่ผ่านกฎว่าด้วยแหล่ง กำเนิดสินค้า และด้านที่สองคือปัญหาและ อุปสรรคที่เกิดจากการดำเนินการตาม FTA เช่น ผู้ประกอบการขาดความตระหนักถึงประโยชน์ที่ควรจะได้รับ ผู้ประกอบการไม่ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอัตราภาษีภายใต้ FTA และกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ผู้ประกอบการขาด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการขอ ใช้ประโยชน์ ผู้ประกอบการเข้าใจผิดหรือเกิดความสับสนเกี่ยวกับการเปิดเผยต้นทุน การผลิตสินค้า”
“หากปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้รับการแก้ไข ผลประโยชน์ที่ภาคเอกชนไทยจะได้รับจาก FTA จะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก มาก โดยหากทำให้อัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงขึ้นเต็มร้อยละ 100 โดยที่ยังไม่ได้ เจรจาเพื่อขยายความครอบคลุมและแต้ม ต่อ ประโยชน์ที่ภาคส่งออกไทยและภาคนำเข้าไทยจะได้รับจากการประหยัดภาษีศุลกากรจะเพิ่มขึ้นอีก 5.9 หมื่นล้านบาท และ 2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ”
สุนทร ตันมันทอง นักวิจัยสถาบันทีดีอาร์ไอ
“นอกเหนือจากการลดภาษีศุลกากร แล้ว FTA ที่ผ่านมาของไทยที่บรรจุโครงการความร่วมมือไว้ด้วยก็คือ JTEPA ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่นให้ใกล้ชิดมากขึ้นอีกทางหนึ่ง หลังจาก JTEPA มีผลใช้บังคับมากว่าสามปี โครงการความร่วมมือหลายโครงการมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมทุกปี เช่น โครงการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเพื่อ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” โครงการความร่วมมืออุตสาหกรรมเหล็กไทย-ญี่ปุ่น โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น”
“จากการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการ สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เช่น การส่งเสริมการตลาด ของสินค้าอาหาร สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ไทยในญี่ปุ่น และการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโครงการที่ยังไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เช่น โครงการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ (AHRDIP) ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้จะทำให้ไทยมีระบบการฝึกอบรมบุคลากรด้านยานยนต์ ที่ได้มาตรฐานเพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคง สำหรับเป้าหมายการเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย”
เชษฐา อินทรวิทักษ์ นักวิชาการสถาบันทีดีอาร์ไอ
“จากผลการศึกษาที่ได้จากแบบจำลองทางเศรษฐมิติ FTA ทุกฉบับมีผลต่อการเพิ่มการส่งออกและการนำเข้าของ ไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาพรวมและในรายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ เช่น การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งการนำเข้าอาหาร เคมีภัณฑ์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น”
และนี่คือมุมมองในอีกมิติอันเกี่ยว เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรี ที่ถึง ณ บรรทัดนี้ ก็พอจะสรุปได้สั้นๆ คือ หากปรับตัวได้อย่างรู้เท่าทันเอฟทีเอ ข้อกังวล ต่างๆ นานา ที่มีการตั้งสมมติฐานอย่าง กว้างขวาง ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน เข้าสู่ประเทศและกระเป๋าผู้ประกอบการ
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************
งมเจอ RPG ที่สระบุรี13ลูก-พลเรือนมอบตัว 1
"อัศวิน"ร่วมสอบปากคำ"จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี"สารภาพทิ้งRPG13ลูกที่สวนพฤษศาสตร์สระบุรี ตำรวจงมได้ครบ "ถาวร รักบุญ"เข้ามอบตัวสภ.บรรพตพิสัย
พล.ต.ท..อัศวิน ขวญเมือง ผช.ผบ.ตร. ได้ส่งทีมงานนำโดย พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภงคล หัวทีมสอบสวนลงพื้นที่สอบสวน จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี สังกัดศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธจังหวัดลพบุรี ผู้ต้องหาร่วมกันขโมยอาวุธสงคราม ประกอบด้วย กระสุนเอ็ม 60 จำนวนมาก และจรวดอาร์พีจี 39 ลูก ออกจากแผนก 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธทหารบกจังหวัดลพบุรี
พ.ต.อ.นันทชาติ กล่าวว่าหลังจากวันนี้ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี เข้ามอบตัวกับ สภ.เมืองลพบุรี และทีมสอบสวนได้สอบสวนหลายชั่วโมง ผู้ต้องหารับสารภาพนำระเบิดอาร์พีจีจำนวน 13 ลูกทิ้งในน้ำสวนพฤษศาสตร์ ต.พุแค อ.หน้าพระลาน จ.สระบุรี ริมถนนสายลพบุรี-สระบุรี ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 123 ทางตำรวจจึงลงไปค้นหากู้ระเบิดอาร์พีจีในน้ำใต้โพรงกอไผ่ขึ้นมาพร้อมตรวจสอบหมายเลขการผลิต ซึ่งปรากฏเป็นชุดเดียวกับที่ยึดได้ก่อนนี้ และเป็นลูกระเบิดอาร์พีจีชุดเดียวกับหายจากคลังแสงลพบุรี
"จากการสอบสวนและติดตามของกลางหายไปจากคลังแสงลพบุรี สามารถยึดคืนลูกระเบิดอาร์พีจีแล้ว 29 ลูกจากทั้งหมด 39 ลูก คาดว่าน่าจะติดตามของกลางทั้งหมดคืนมาได้ในเร็ว ๆ นี้" พ.ต.อ.นันทชาติ ระบุ
งมเจอลูกระเบิด RPG ทิ้งสระบุรี 13 ลูก
ด้าน พล.ต.ต.กิตติ รุ่งเรืองวงษ์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี เปิดเผยจากการสอบปากคำ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี ทราบว่าได้นำลูกระเบิดยิง PG2 จำนวน 13 ลูก ซื้อจาก จ.ส.อ.เสมา คชเพต เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2553 ทิ้งบริเวณร่องน้ำสวนพฤกษศาสตร์(ภาคกลาง) สวนสวรรค์พุแค หมู่ 1 ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงให้คนงมหาจนพบ 13 นัดดังกล่าว ประกอบด้วย ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 38-74-22 จำนวน 11 ลูก ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 39-74-22 จำนวน 2 ลูก รวมเป็น 13 ลูกดังกล่าว จึงได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี
"ถาวร รักบุญ"มอบตัว รับหาคีมตัดเหล็ก-ขนอาวุธ
รายงานระบุว่า ความคืบหน้าคดีขโมยอาวุธสงครามหลายรายการออกจากแผนกที่ 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธ กองทัพบก ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี และสามารถจับกุมผู้ต้องหาไปแล้ว 4 คน อีก 1 คนยังหลบหนีคือ นายถาวร หรือโก้ รักบุญ อายุ 35 ปี อยู่ตำบลเขาพระงาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี
ล่าสุด พลตำรวจโทสุรสีห์ สุนทรสารฑูล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้แถลงข่าวว่านายถาวร ได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจ สภ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ พร้อมกับรับสารภาพว่า ถูกชักชวนให้มาขโมยอาวุธในกองคลังแสง ครั้งแรกได้ค่าจ้าง 5 พันบาท ครั้งที่สองล่าสุดได้ค่าจ้าง 1,000 บาท โดยเป็นคนจัดหาคีมตัดเหล็กให้นายเอก(ไม่ทราบชื่อจริง) ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้า โดยไปยืมคีมจากนายเป็ด(ไม่ทราบชื่อจริง)
นายถาวรมีหน้าที่ขนอาวุธออกมาขึ้นรถ ส่วนอาวุธนำออกมาแล้วไม่รู้ไปไว้ที่ไหน หลังจากรับเงินค่าจ้างก็กลับบ้านตามปกติ ต่อมาดูข่าวรู้ว่านายเอกกับพวกถูกจับกุมได้ จึงหนีออกมาจากจังหวัดลพบุรีและมาหลบซ่อนตัวที่หอพัก ยิ้มเจริญ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. และติดตามข่าวตลอดเวลาจนเกิดอาการเครียด กลัวจะถูกวิสามัญฆาตกรรม ประกอบกับเป็นห่วงครอบครัวลูกยังเล็กอยู่ จึงตัดสินใจเข้ามอบตัว จากนั้น สภ.เมืองลพบุรี มารับตัวไปดำเนินคดี
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**************************************************************
พล.ต.ท..อัศวิน ขวญเมือง ผช.ผบ.ตร. ได้ส่งทีมงานนำโดย พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภงคล หัวทีมสอบสวนลงพื้นที่สอบสวน จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี สังกัดศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธจังหวัดลพบุรี ผู้ต้องหาร่วมกันขโมยอาวุธสงคราม ประกอบด้วย กระสุนเอ็ม 60 จำนวนมาก และจรวดอาร์พีจี 39 ลูก ออกจากแผนก 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธทหารบกจังหวัดลพบุรี
พ.ต.อ.นันทชาติ กล่าวว่าหลังจากวันนี้ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี เข้ามอบตัวกับ สภ.เมืองลพบุรี และทีมสอบสวนได้สอบสวนหลายชั่วโมง ผู้ต้องหารับสารภาพนำระเบิดอาร์พีจีจำนวน 13 ลูกทิ้งในน้ำสวนพฤษศาสตร์ ต.พุแค อ.หน้าพระลาน จ.สระบุรี ริมถนนสายลพบุรี-สระบุรี ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 123 ทางตำรวจจึงลงไปค้นหากู้ระเบิดอาร์พีจีในน้ำใต้โพรงกอไผ่ขึ้นมาพร้อมตรวจสอบหมายเลขการผลิต ซึ่งปรากฏเป็นชุดเดียวกับที่ยึดได้ก่อนนี้ และเป็นลูกระเบิดอาร์พีจีชุดเดียวกับหายจากคลังแสงลพบุรี
"จากการสอบสวนและติดตามของกลางหายไปจากคลังแสงลพบุรี สามารถยึดคืนลูกระเบิดอาร์พีจีแล้ว 29 ลูกจากทั้งหมด 39 ลูก คาดว่าน่าจะติดตามของกลางทั้งหมดคืนมาได้ในเร็ว ๆ นี้" พ.ต.อ.นันทชาติ ระบุ
งมเจอลูกระเบิด RPG ทิ้งสระบุรี 13 ลูก
ด้าน พล.ต.ต.กิตติ รุ่งเรืองวงษ์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี เปิดเผยจากการสอบปากคำ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี ทราบว่าได้นำลูกระเบิดยิง PG2 จำนวน 13 ลูก ซื้อจาก จ.ส.อ.เสมา คชเพต เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2553 ทิ้งบริเวณร่องน้ำสวนพฤกษศาสตร์(ภาคกลาง) สวนสวรรค์พุแค หมู่ 1 ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงให้คนงมหาจนพบ 13 นัดดังกล่าว ประกอบด้วย ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 38-74-22 จำนวน 11 ลูก ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 39-74-22 จำนวน 2 ลูก รวมเป็น 13 ลูกดังกล่าว จึงได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี
"ถาวร รักบุญ"มอบตัว รับหาคีมตัดเหล็ก-ขนอาวุธ
รายงานระบุว่า ความคืบหน้าคดีขโมยอาวุธสงครามหลายรายการออกจากแผนกที่ 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธ กองทัพบก ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี และสามารถจับกุมผู้ต้องหาไปแล้ว 4 คน อีก 1 คนยังหลบหนีคือ นายถาวร หรือโก้ รักบุญ อายุ 35 ปี อยู่ตำบลเขาพระงาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี
ล่าสุด พลตำรวจโทสุรสีห์ สุนทรสารฑูล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้แถลงข่าวว่านายถาวร ได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจ สภ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ พร้อมกับรับสารภาพว่า ถูกชักชวนให้มาขโมยอาวุธในกองคลังแสง ครั้งแรกได้ค่าจ้าง 5 พันบาท ครั้งที่สองล่าสุดได้ค่าจ้าง 1,000 บาท โดยเป็นคนจัดหาคีมตัดเหล็กให้นายเอก(ไม่ทราบชื่อจริง) ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้า โดยไปยืมคีมจากนายเป็ด(ไม่ทราบชื่อจริง)
นายถาวรมีหน้าที่ขนอาวุธออกมาขึ้นรถ ส่วนอาวุธนำออกมาแล้วไม่รู้ไปไว้ที่ไหน หลังจากรับเงินค่าจ้างก็กลับบ้านตามปกติ ต่อมาดูข่าวรู้ว่านายเอกกับพวกถูกจับกุมได้ จึงหนีออกมาจากจังหวัดลพบุรีและมาหลบซ่อนตัวที่หอพัก ยิ้มเจริญ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. และติดตามข่าวตลอดเวลาจนเกิดอาการเครียด กลัวจะถูกวิสามัญฆาตกรรม ประกอบกับเป็นห่วงครอบครัวลูกยังเล็กอยู่ จึงตัดสินใจเข้ามอบตัว จากนั้น สภ.เมืองลพบุรี มารับตัวไปดำเนินคดี
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**************************************************************
“สรรเสริญ” โต้ ตาย 91 ศพ เป็นการบิดเบือน
ฟังคลิปเสียง วินาที ที่19-21. และนาที ที่ 1.14-1.25 .

แจงมีผู้เสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระ แต่มีความพยายามนำมาผูกเป็นประโยคให้สั้น เพื่อให้เกิดความสนใจ ปัดเรื่องมีสไนเปอร์ แจงพื้นที่พบศพทั้งหมดอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ชุมนุม ฟังแค่บางกลุ่มจะสับสน ยัน ศอฉ. ยึดหลักกฎหมาย หลักสากล ปฏิบัติตามคำสั่งศาล มีความเหมาะสม หลีกเลี่ยงความรุนแรง คิดเสมอว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแต่เห็นต่างทางการเมือง ด้าน “พล.ท.ดาวพงษ์” เข้าพบ “สมชาย หอมละออ” แจงข้อมูลสลายชุมนุม
“พล.ท.ดาวพงษ์” เข้าพบอนุกรรมการสอบฯ “สมชาย หอมละออ”
หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 28 ก.ย. 53 รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสมชาย หอมละออ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ .ค.2553 พร้อมด้วย พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการอยู่ในชุดของนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เดินทางเข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อนุพงษ์ ติดภารกิจไปอำลาหน่วยในกองทัพภาคที่ 4 โดยลงไปตรวจเยี่ยมและอำลาตำแหน่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผบ.ทบ. ร่วมคณะไปด้วย จึงมอบหมายให้ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ. ทบ. เป็นผู้ชี้แจงแทน ขณะเดียวกัน ยังมี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. และพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมชี้แจงด้วย

นายสมชาย เปิดเผยภายหลังเข้ารับฟังข้อมูลว่า ผลการประชุมน่าพอใจ แต่การหารือมีเวลาน้อย โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อธิบายภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ และหน่วยงาน ศอฉ.ว่าดำเนินการอย่างไร และข้อมูลที่ศอฉ.รับรู้มีอะไรบ้าง ในช่วงชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยข้อมูลที่ ศอฉ.นำมาเปิดเผย เป็นข้อมูลที่เคยถูกสื่อนำเสนอมาแล้ว แต่เรียบเรียงให้เกิดความเข้าใจ และการหารือจะมีอีกครั้งในช่วงกลางเดือนต.ค. แต่ครั้งหน้าคณะกรรมการจะขอเวลาหารือมากขึ้น เพราะศอฉ.ยังไม่ได้ตอบคำถาม และยังมีข้อมูลจำนวนมากที่สลับซับซ้อน จึงยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ ยังต้องหารือมากกว่า 1 ครั้ง รวมถึงการขอข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ เพื่อมาประกอบด้วย

ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า พล.ท.ดาว์พงษ์ พูดถึงนโยบายชี้แจงการปฏิบัติกำลังพลเจ้าหน้าที่ช่วงกระชับพื้นที่ และอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณสี่แยกคอกวัว และแยกราชประสงค์ อย่าง ไรก็ตาม คณะกรรมการส่งเจ้าหน้าที่ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องช่วงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. เพื่อเก็บข้อมูลอีกทางหนึ่ง และประมวลเป็นข้อมูล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่สามารถรับฟังความข้างเดียวได้ โดยวันที่ 30 ก.ย.นี้ คณะกรรมการเชิญแกนนำนปช.เข้าให้ข้อมูลที่ศูนย์ราชการ แจ้ง วัฒนะ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจะนำข้อมูลรายงานฉบับเฉพาะกาลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าในเดือนม.ค.ต่อไป คาดว่าไม่น่ามีปัญหารวบรวมข้อมูลแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า เป็นการเข้ารับฟังข้อมูลครั้งแรกจากศอฉ. โดยพล.ท.ดาว์พงษ์ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในภาพรวม บรรยากาศเป็นไปด้วยดี เน้นรับฟังข้อมูลวิธีคิด การวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์แก้ไขเหตุการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งรับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังชี้แจงถึงนโยบายการปฏิบัติงาน การจัดกำลัง ตั้งแต่ช่วงไม่มีเหตุรุนแรง จนถึงการกระชับพื้นที่ โดยศอฉ.พร้อมตอบทุกคำถามและข้อสงสัย ไม่ได้ปิดบังข้อมูล ทำให้คณะอนุกรรมการทราบว่า การทำงานของศอฉ.ยึดหลักกฎหมาย และตั้งใจแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลาย

หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวต่อว่า ศอฉ.มีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมามาก จึงประ สานขอรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ด้วย ทั้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจ เบื้องต้นจะนัดกันอีกครั้งวัน ที่ 14-15 ต.ค.นี้ การชี้แจงของศอฉ.ให้คณะอนุกรรมการทราบในวันนี้ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยคณะอนุกรรมการจะนำข้อมูลที่ได้ ไปตั้งคำถามในประเด็นอื่นๆ กับ ศอฉ.ในครั้งต่อไป รวมทั้งจะรับฟังข้อมูลจากหลายฝ่ายที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม และสื่อมวลชนด้วย

สรรเสริญแุถลง คนตาย 91 ศพเป็นการบิดเบือน เพราะเสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระ
ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ.ได้ชี้แจงกับคณะอนุกรรมการได้ทราบข้อเท็จทั้งหมด สิ่งที่เราได้ตรวจสอบหน่วยกำลัง ฝ่ายอำนวยการ และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ อย่างไร และไล่ลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างไรก็ตาม มีความพยายามของคนบางกลุ่มนำเสนอให้สังคมได้เห็นว่า จำนวนคนตายทั้ง 91 ศพ อยู่ในห้วงและเวลาที่มีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเหตุการณ์กระชับวงล้อมในวันที่ 19 พ.ค. ที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ในวันกระชับวงล้อม 19 พ.ค.ที่ผ่านมา มีคนตายไม่เยอะ การไปบิดเบือนว่ามีคนตายถึง 91 ศพ เป็นสิ่งที่ไม่จริง เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ต่างกรรมต่างวาระกัน เพียงแต่เวลานี้มีความพยายามนำมาผูกเป็นประโยคให้สั้น เพื่อให้เกิดความสนใจ

โฆษกศอฉ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ศอฉ.ยังชี้แจงกรณีที่มีคนบางกลุ่มบิดเบือนข้อมูล ว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารแอบยิงประชาชนที่มาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะการใช้อาวุธสงคราม และสไนเปอร์ แต่ ศอฉ.ชี้แจงให้เห็นรายละเอียดรวมถึงสถานที่พบศพว่าอยู่ตรงไหนบ้าง อีกทั้งพื้นที่ที่พบศพ เกือบทั้งหมดก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเราพยายามให้ข้อมูลข้อเท็จจริง หากไปฟังแค่บางกลุ่มจะเกิดความสับสนได้ ยืนยันว่า ศอฉ. ปฏิบัติงานโดยยึดหลักตามกฎหมายและหลักสากล การปฏิบัติไปตามข้อกฎหมาย ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล บนพื้นที่ความเหมาะสม หลีกเลี่ยงความรุนแรง คิดเสมอว่าประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแค่คิดเห็นแตกต่างกันทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีทหารคนไหนคิดทำลายประชาชน
(ใครกันแน่ที่บิดเบือนความจริง เพราะที่นี่มีคนตาย)
ที่มา Unrest in Bangkok
*************************************************************************
“พล.ท.ดาวพงษ์” เข้าพบอนุกรรมการสอบฯ “สมชาย หอมละออ”
หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 28 ก.ย. 53 รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสมชาย หอมละออ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ .ค.2553 พร้อมด้วย พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการอยู่ในชุดของนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เดินทางเข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อนุพงษ์ ติดภารกิจไปอำลาหน่วยในกองทัพภาคที่ 4 โดยลงไปตรวจเยี่ยมและอำลาตำแหน่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผบ.ทบ. ร่วมคณะไปด้วย จึงมอบหมายให้ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ. ทบ. เป็นผู้ชี้แจงแทน ขณะเดียวกัน ยังมี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. และพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมชี้แจงด้วย
นายสมชาย เปิดเผยภายหลังเข้ารับฟังข้อมูลว่า ผลการประชุมน่าพอใจ แต่การหารือมีเวลาน้อย โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อธิบายภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ และหน่วยงาน ศอฉ.ว่าดำเนินการอย่างไร และข้อมูลที่ศอฉ.รับรู้มีอะไรบ้าง ในช่วงชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยข้อมูลที่ ศอฉ.นำมาเปิดเผย เป็นข้อมูลที่เคยถูกสื่อนำเสนอมาแล้ว แต่เรียบเรียงให้เกิดความเข้าใจ และการหารือจะมีอีกครั้งในช่วงกลางเดือนต.ค. แต่ครั้งหน้าคณะกรรมการจะขอเวลาหารือมากขึ้น เพราะศอฉ.ยังไม่ได้ตอบคำถาม และยังมีข้อมูลจำนวนมากที่สลับซับซ้อน จึงยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ ยังต้องหารือมากกว่า 1 ครั้ง รวมถึงการขอข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ เพื่อมาประกอบด้วย
ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า พล.ท.ดาว์พงษ์ พูดถึงนโยบายชี้แจงการปฏิบัติกำลังพลเจ้าหน้าที่ช่วงกระชับพื้นที่ และอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณสี่แยกคอกวัว และแยกราชประสงค์ อย่าง ไรก็ตาม คณะกรรมการส่งเจ้าหน้าที่ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องช่วงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. เพื่อเก็บข้อมูลอีกทางหนึ่ง และประมวลเป็นข้อมูล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่สามารถรับฟังความข้างเดียวได้ โดยวันที่ 30 ก.ย.นี้ คณะกรรมการเชิญแกนนำนปช.เข้าให้ข้อมูลที่ศูนย์ราชการ แจ้ง วัฒนะ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจะนำข้อมูลรายงานฉบับเฉพาะกาลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าในเดือนม.ค.ต่อไป คาดว่าไม่น่ามีปัญหารวบรวมข้อมูลแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า เป็นการเข้ารับฟังข้อมูลครั้งแรกจากศอฉ. โดยพล.ท.ดาว์พงษ์ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในภาพรวม บรรยากาศเป็นไปด้วยดี เน้นรับฟังข้อมูลวิธีคิด การวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์แก้ไขเหตุการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งรับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังชี้แจงถึงนโยบายการปฏิบัติงาน การจัดกำลัง ตั้งแต่ช่วงไม่มีเหตุรุนแรง จนถึงการกระชับพื้นที่ โดยศอฉ.พร้อมตอบทุกคำถามและข้อสงสัย ไม่ได้ปิดบังข้อมูล ทำให้คณะอนุกรรมการทราบว่า การทำงานของศอฉ.ยึดหลักกฎหมาย และตั้งใจแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลาย
หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวต่อว่า ศอฉ.มีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมามาก จึงประ สานขอรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ด้วย ทั้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจ เบื้องต้นจะนัดกันอีกครั้งวัน ที่ 14-15 ต.ค.นี้ การชี้แจงของศอฉ.ให้คณะอนุกรรมการทราบในวันนี้ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยคณะอนุกรรมการจะนำข้อมูลที่ได้ ไปตั้งคำถามในประเด็นอื่นๆ กับ ศอฉ.ในครั้งต่อไป รวมทั้งจะรับฟังข้อมูลจากหลายฝ่ายที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม และสื่อมวลชนด้วย
สรรเสริญแุถลง คนตาย 91 ศพเป็นการบิดเบือน เพราะเสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระ
ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ.ได้ชี้แจงกับคณะอนุกรรมการได้ทราบข้อเท็จทั้งหมด สิ่งที่เราได้ตรวจสอบหน่วยกำลัง ฝ่ายอำนวยการ และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ อย่างไร และไล่ลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างไรก็ตาม มีความพยายามของคนบางกลุ่มนำเสนอให้สังคมได้เห็นว่า จำนวนคนตายทั้ง 91 ศพ อยู่ในห้วงและเวลาที่มีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเหตุการณ์กระชับวงล้อมในวันที่ 19 พ.ค. ที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ในวันกระชับวงล้อม 19 พ.ค.ที่ผ่านมา มีคนตายไม่เยอะ การไปบิดเบือนว่ามีคนตายถึง 91 ศพ เป็นสิ่งที่ไม่จริง เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ต่างกรรมต่างวาระกัน เพียงแต่เวลานี้มีความพยายามนำมาผูกเป็นประโยคให้สั้น เพื่อให้เกิดความสนใจ
โฆษกศอฉ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ศอฉ.ยังชี้แจงกรณีที่มีคนบางกลุ่มบิดเบือนข้อมูล ว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารแอบยิงประชาชนที่มาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะการใช้อาวุธสงคราม และสไนเปอร์ แต่ ศอฉ.ชี้แจงให้เห็นรายละเอียดรวมถึงสถานที่พบศพว่าอยู่ตรงไหนบ้าง อีกทั้งพื้นที่ที่พบศพ เกือบทั้งหมดก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเราพยายามให้ข้อมูลข้อเท็จจริง หากไปฟังแค่บางกลุ่มจะเกิดความสับสนได้ ยืนยันว่า ศอฉ. ปฏิบัติงานโดยยึดหลักตามกฎหมายและหลักสากล การปฏิบัติไปตามข้อกฎหมาย ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล บนพื้นที่ความเหมาะสม หลีกเลี่ยงความรุนแรง คิดเสมอว่าประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแค่คิดเห็นแตกต่างกันทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีทหารคนไหนคิดทำลายประชาชน
(ใครกันแน่ที่บิดเบือนความจริง เพราะที่นี่มีคนตาย)
ที่มา Unrest in Bangkok
*************************************************************************
รัฐประหาร = อัตวินิบาตกรรม
นิธิ เอียวศรีวงศ์
การชุมนุม "ฟ้องฟ้า" ของคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นเรื่องที่น่าสำเหนียกแก่กลุ่มชนชั้นนำที่ร่วมกันชักใยการเมืองไทยอยู่ใน เวลานี้
จำนวนของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากเกินคาดของทุกฝ่าย แม้แต่ของผู้จัดการชุมนุมเอง การจราจรถูกปิดไป "โดยปริยาย" โดยไม่มีใครเจตนา แต่เกิดขึ้นจากจำนวนคนที่เข้าร่วมมากเกินคาด
คุณฌอน บุญประคอง ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นโฆษกยืนยันว่า คนจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุมโดยสมัครใจและเกิดขึ้นอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อน ทั้งไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ ทั้งทางลับหรือเปิดเผยจากคุณทักษิณ ชินวัตร โดยสิ้นเชิง คุณฌอนประเมินว่าเกือบทั้งหมดของผู้ชุมนุมคือคนชั้นกลางในกรุงเทพฯภาพข่าวใน ทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ดูจะส่อไปในทางเดียวกับการประเมินของคุณฌอน คำให้การของผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่นก็ตรงกัน
ทั้งหมดนี้เกิด ขึ้นท่ามกลางการใช้ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลได้ตัดสินใจมาแต่ต้นแล้วว่า จะปล่อยให้มีการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ "ไม่นำไปสู่การจลาจล หรือการละเมิดกฎหมาย" แปลว่า จะใช้อำนาจตามตัวอักษรในพ.ร.บ.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมทางการเมืองนั้นอยู่ในวิสัยที่ผู้มีอำนาจ "คุม" อยู่หรือไม่ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือสะเทือนอำนาจของตนเองมากน้อยเพียงไร
ท่าทีอย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในบรรดาผู้ถืออำนาจของบ้านเมืองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในเวลานี้ (อันมิได้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่แยกออกเป็นหลายกลุ่มมาก) ยอมรับว่า จะต้องประคองตัวอยู่ท่ามกลางพลังสองชนิด คือพลังของอำนาจดิบอันมี พ.ร.บ.ฉุกเฉินและกองทัพเป็นฐาน กับพลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน (ซึ่งมักเรียกกันว่า "ประชาธิปไตย") ระหว่างพลังทั้งสองนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดล้มอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างราบคาบ จะประคองโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันให้อยู่รอดต่อไปได้ก็ต้องสร้าง สมดุลให้ดีระหว่างอำนาจทั้งสอง
แต่เรื่องนี้พูดง่ายทำยาก เพราะสังคมไทยไม่ได้หยุดนิ่งกับที่ หากเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา และเปลี่ยนเร็วในบางมิติด้วย จนบางครั้งอำนาจที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังเวลานี้คาดไปไม่ถึง
เช่นการชุมนุมของชาวเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ดังที่กล่าวมา เป็นต้น
การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอย่างเหี้ยมโหดในเดือนพฤษภาคม ตามมาด้วยการไล่ล่าและปิดปากกลุ่มเสื้อแดง คือการใช้พลังของอำนาจดิบเพื่อลดทอนกำลังของพลัง "ประชาธิปไตย"ลง ด้วยความหวังว่าอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบในช่วงนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ ผู้ถืออำนาจพอที่จะเผชิญกับการเลือกตั้ง และการกลับมาของบรรยากาศประชาธิปไตยได้ใหม่ สมดุลก็จะกลับมาเอง
แต่ผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมชุมนุม โดยไม่มีการจัดตั้งกันอย่างรัดกุมนัก บวกกับท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของผู้คนในภาคเหนือ-อีสาน ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่า การเลือกตั้งจะส่งนักการเมืองกลุ่มเก่ากลับคืนสู่ตำแหน่งได้อีก ไม่ว่าการเลือกตั้งจะมาเมื่อไร จากนี้ไปจนถึงปลายปีหน้า
อันที่จริง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ขาดไม่ได้ของชนชั้นนำ ไทย ว่ากันไปแล้วโครงสร้างอำนาจเคยดำรงรักษาตนเองไว้ได้อย่างราบรื่นภายใต้ รัฐบาลหลายแบบ และพรรคการเมืองที่เป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาลได้หลายพรรค พรรคการเมืองต่างๆ นั้นก็หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสมาชิกในกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันเอง พรรค ทรท.เองก็เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ เพียงแต่เป็นกลุ่มของชนชั้นนำที่กำลังจะใช้ความสำเร็จทางการเมืองไปรวบอำนาจ ทั้งหมดไว้ภายใต้การนำของตนแต่ผู้เดียว ผิดกติกาของการต่อรองอำนาจในหมู่ชนชั้นนำไทย ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง และไม่มีกลุ่มใดได้อำนาจนำไปอย่างเด็ดขาด แม้แต่กลุ่มที่มีโอกาสสร้างเครือข่ายได้กว้างขวางก็ยังต้องยืดหยุ่นให้แก่ กลุ่มอื่นบ้างเป็นครั้งคราว
พรรคทายาทของ ทรท.ต่างหากที่เป็นปัญหามากกว่า ไม่ใช่เพราะกลุ่มนี้เป็นคนหน้าใหม่จากที่อื่นและปราศจากโครงข่ายโยงใยกับชน ชั้นนำกลุ่มอื่นเสียเลย(คุณสมัคร, คุณสมชาย, คุณยงยุทธ, คุณปลอดประสพ, พลเอกชวลิต ฯลฯ เป็นใคร? ก็คนหน้าเก่าในแวดวงทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?) แต่เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมต่างหาก ที่ทำให้พรรคทายาทต้องไปเกาะเกี่ยวกับฐานมวลชน
ทั้งๆ ที่พรรคเหล่านี้หาได้มีความพร้อมจะเล่นการเมืองที่มีฐานมวลชนแม้แต่น้อย
และเพราะไปเกาะเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่มีฐานมวลชน ทำให้พรรคทายาททั้งหลาย โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่อาจยืดหยุ่นในการต่อรองกับชนชั้นนำกลุ่มอื่นได้ ดังเช่นที่พรรคการเมืองไทยมักทำได้เสมอมา ยิ่งพรรคเพื่อไทยขาดการนำที่ชัดเจนก็ยิ่งทำให้ยากที่จะผนวกพรรคเพื่อไทยเข้า มาในโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำ และด้วยเหตุดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างอำนาจได้มาก
ทุกกลุ่มชนชั้นนำ เวลานี้ ดูเหมือนได้ตัดสินใจไปแล้วว่า อย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
ผบ.ทบ.คนใหม่ซึ่งสามารถอยู่ ในตำแหน่งได้ต่อเนื่องถึง 4 ปี คงจะหวั่นไหวต่อการมี รมว.กลาโหมที่ไม่ได้เป็นมิตรต่อตน อย่าลืมว่าการปราบปรามประชาชนในเดือนพฤษภาคมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก นั้น ยังไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจังและเที่ยงธรรมใดๆ แม้นายทหารผู้สั่งการอาจไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพราะกระทำอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฉุกเฉินแต่ยังมีความรับผิดชอบทางการเมืองและสังคมซึ่งไม่มีกฎหมายใดๆ คุ้มครอง ด้วยการยกเหตุเพียงเท่านี้ก็สามารถ "แขวน" ผบ.ทบ.เสียได้ไม่ยากนัก
สายที่วางกันเอาไว้ตลอดเส้นในกองทัพจะขาดรุ่งริ่งอย่างไร กองทัพทั้งกองทัพนั่นแหละที่ไม่อาจรับพรรคเพื่อไทยเป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาล ได้
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยรู้จักการเมืองไทยดีพอที่ทำให้ ไม่อยากไปยุ่งกับกองทัพ แต่พรรคเพื่อไทยจะมีทางเลือกอื่นหรือ มวลชนจำนวนมากที่เผชิญการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดจะยอมให้พรรคเพื่อไทยขาย ทิ้งกระนั้นหรือ
ฉะนั้นถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ต้องเข้ามาจัดการกับกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปีกว่าในตำแหน่ง ไม่ได้ทำให้โอกาสทางการเมืองของประชาธิปัตย์ดีขึ้นมากนัก แม้เศรษฐกิจของทุนระดับใหญ่ (ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นของต่างชาติเสียมากมาย) ส่งสัญญาณเงยหัวเพราะการส่งออกที่ดีขึ้น แต่เงินไม่ได้กระจายไปถึงผู้คนมากนักนอกจากข้าราชการซึ่งจะได้ปรับเงินเดือน ยิ่งกว่านี้ความแตกร้าวในสังคมยิ่งหนักมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลงแต่อย่างใด คาถาล้มเจ้านั้นปลุกไม่ขึ้น ทำให้ต้องใช้มาตรการปิดหูปิดปากประชาชนอย่างหนาแน่นเหมือนเดิม (ทั้งโดยเปิดเผยและโดยลับ) ทำให้ประชาชนที่เชิดชูเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วยและเริ่มวิตกว่าการนำเอา สถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้ ผลเสียย่อมตกอยู่แก่ตัวสถาบันเองมากกว่า
นายทุนเดือดร้อนกับ การชะลอตัวของการลงทุนเพราะนโยบายที่ไม่ชัดเจน และบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่สงบ นับวันก็เห็นได้ชัดขึ้นว่าไม่สามารถฝากผลประโยชน์และอนาคตของตนไว้กับพรรค ประชาธิปัตย์ได้
ฝ่ายนิยมเจ้าอย่างสุดขั้วมองเห็นแต่ความ อ่อนแอของประชาธิปัตย์ เพราะไม่อาจปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างได้ผล ไม่ว่าในทางเทคโนโลยีหรือในทางกฎหมาย (หรือนอกกฎหมาย)
ท่ามกลางสภาวการณ์เช่นนี้ นักการเมืองประชาธิปัตย์ก็รู้ดีว่าไม่ว่าพรรคจะถูกยุบหรือไม่ หากหลุดจากรัฐบาลในครั้งนี้ โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งอีกคงริบหรี่ไปอีกนาน
ควรกล่าวด้วยว่า ในท่ามกลางอนาคตที่ดูไม่ราบเรียบของชนชั้นนำนี้ ชนชั้นนำก็แตกแยกกันเองอย่างหนักด้วย ตามปกติชนชั้นนำก็ประกอบขึ้นจากหลายกลุ่มอยู่แล้ว แต่เวลานี้แม้ในกลุ่มเดียวกันก็แตกแยกกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพ, ฝ่ายนิยมเจ้า,ตำรวจ, นักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล, นักวิชาการ,คนในวงการตุลาการ ฯลฯ จึงยิ่งทำให้ชนชั้นนำไทยในขณะนี้ไม่พร้อมจะผนึกกำลังกันเข้ามาต่อรองความ เปลี่ยนแปลงของสังคมได้ดีนัก
และนี่คือที่มาของข่าวการรัฐประหาร
เพราะดูเหมือนเป็นคำตอบเดียวที่ชนชั้นนำบางกลุ่มมีอยู่ในกระเป๋า เพราะไปคิดว่ารัฐประหารจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง นับตั้งแต่ความแตกร้าวภายในของชนชั้นนำเอง, การดำเนินนโยบายที่ทันท่วงทีต่อความเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอก,ฟื้นฟูสมดุล ทางการเมืองระหว่างพลังดิบและพลัง"ประชาธิปไตย" กลับคืนมาได้อย่างมั่นคง, ให้อำนาจที่ค่อนข้างเด็ดขาดมากขึ้นแก่ชนชั้นนำที่จะประคับประคองการเปลี่ยน ผ่านของสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมทุกสถาบัน ฯลฯ
รัฐประหารอาจเคยทำอย่างนั้นได้สำเร็จ แต่รัฐประหารครั้งสุดท้ายทำไม่สำเร็จ ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลที่เข้ามาเป็นรัฐบาล เท่ากับว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว รัฐประหารไม่สามารถผนวกพลังใหม่ของประชาชนระดับล่างให้เข้ามาร่วมอยู่บนเวที การเมืองอย่างเสมอภาคได้ รัฐประหารทำให้เกิดความแตกร้าวในสังคมหนักขึ้น รัฐประหารทำให้ชนชั้นนำที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังถูกดึงมาร่วมในการปะทะขัด แย้งกันเบื้องหน้ารัฐประหารไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจำเริญมากขึ้น หรือการแบ่งปันทรัพย์สินดีขึ้น ฯลฯ
รัฐประหารครั้งใหม่ก็จะให้ ผลอย่างเดียวกัน และอาจเลวร้ายกว่า เช่นความแตกร้าวในกองทัพซึ่งแสดงออกให้เห็นได้แต่เพียงระเบิดไม่กี่ลูก ก็จะกลายเป็นระเบิดกันทุกวัน และวันละหลายครั้ง อำนาจรัฐอาจไม่ถูกท้าทายที่ราชประสงค์ แต่อาจถูกท้าทายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ ฉะนั้นแม้ไม่มีศาลากลางใดถูกเผา แต่ศาลากลางอาจกลายเป็นศาลาวัด คือไม่มีอำนาจเหลือให้ทำอะไรได้สักอย่างเดียว พลังใดจะแพ้หรือชนะเดาไม่ถูก แต่จะไม่เหลือระเบียบทางการเมืองและสังคมใดๆ ไว้ให้ใครนำมาปะติดปะต่อกลับขึ้นมาใหม่ได้อีกเลย
ฉะนั้น ถ้าคิดผิด ก็คิดใหม่ได้ เพราะรถถังยังไม่ได้เติมน้ำมัน
ที่มา.มติชน
****************************************************************
การชุมนุม "ฟ้องฟ้า" ของคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นเรื่องที่น่าสำเหนียกแก่กลุ่มชนชั้นนำที่ร่วมกันชักใยการเมืองไทยอยู่ใน เวลานี้
จำนวนของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากเกินคาดของทุกฝ่าย แม้แต่ของผู้จัดการชุมนุมเอง การจราจรถูกปิดไป "โดยปริยาย" โดยไม่มีใครเจตนา แต่เกิดขึ้นจากจำนวนคนที่เข้าร่วมมากเกินคาด
คุณฌอน บุญประคอง ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นโฆษกยืนยันว่า คนจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุมโดยสมัครใจและเกิดขึ้นอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อน ทั้งไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ ทั้งทางลับหรือเปิดเผยจากคุณทักษิณ ชินวัตร โดยสิ้นเชิง คุณฌอนประเมินว่าเกือบทั้งหมดของผู้ชุมนุมคือคนชั้นกลางในกรุงเทพฯภาพข่าวใน ทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ดูจะส่อไปในทางเดียวกับการประเมินของคุณฌอน คำให้การของผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่นก็ตรงกัน
ทั้งหมดนี้เกิด ขึ้นท่ามกลางการใช้ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลได้ตัดสินใจมาแต่ต้นแล้วว่า จะปล่อยให้มีการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ "ไม่นำไปสู่การจลาจล หรือการละเมิดกฎหมาย" แปลว่า จะใช้อำนาจตามตัวอักษรในพ.ร.บ.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมทางการเมืองนั้นอยู่ในวิสัยที่ผู้มีอำนาจ "คุม" อยู่หรือไม่ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือสะเทือนอำนาจของตนเองมากน้อยเพียงไร
ท่าทีอย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในบรรดาผู้ถืออำนาจของบ้านเมืองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในเวลานี้ (อันมิได้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่แยกออกเป็นหลายกลุ่มมาก) ยอมรับว่า จะต้องประคองตัวอยู่ท่ามกลางพลังสองชนิด คือพลังของอำนาจดิบอันมี พ.ร.บ.ฉุกเฉินและกองทัพเป็นฐาน กับพลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน (ซึ่งมักเรียกกันว่า "ประชาธิปไตย") ระหว่างพลังทั้งสองนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดล้มอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างราบคาบ จะประคองโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันให้อยู่รอดต่อไปได้ก็ต้องสร้าง สมดุลให้ดีระหว่างอำนาจทั้งสอง
แต่เรื่องนี้พูดง่ายทำยาก เพราะสังคมไทยไม่ได้หยุดนิ่งกับที่ หากเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา และเปลี่ยนเร็วในบางมิติด้วย จนบางครั้งอำนาจที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังเวลานี้คาดไปไม่ถึง
เช่นการชุมนุมของชาวเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ดังที่กล่าวมา เป็นต้น
การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอย่างเหี้ยมโหดในเดือนพฤษภาคม ตามมาด้วยการไล่ล่าและปิดปากกลุ่มเสื้อแดง คือการใช้พลังของอำนาจดิบเพื่อลดทอนกำลังของพลัง "ประชาธิปไตย"ลง ด้วยความหวังว่าอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบในช่วงนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ ผู้ถืออำนาจพอที่จะเผชิญกับการเลือกตั้ง และการกลับมาของบรรยากาศประชาธิปไตยได้ใหม่ สมดุลก็จะกลับมาเอง
แต่ผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมชุมนุม โดยไม่มีการจัดตั้งกันอย่างรัดกุมนัก บวกกับท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของผู้คนในภาคเหนือ-อีสาน ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่า การเลือกตั้งจะส่งนักการเมืองกลุ่มเก่ากลับคืนสู่ตำแหน่งได้อีก ไม่ว่าการเลือกตั้งจะมาเมื่อไร จากนี้ไปจนถึงปลายปีหน้า
อันที่จริง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ขาดไม่ได้ของชนชั้นนำ ไทย ว่ากันไปแล้วโครงสร้างอำนาจเคยดำรงรักษาตนเองไว้ได้อย่างราบรื่นภายใต้ รัฐบาลหลายแบบ และพรรคการเมืองที่เป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาลได้หลายพรรค พรรคการเมืองต่างๆ นั้นก็หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสมาชิกในกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันเอง พรรค ทรท.เองก็เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ เพียงแต่เป็นกลุ่มของชนชั้นนำที่กำลังจะใช้ความสำเร็จทางการเมืองไปรวบอำนาจ ทั้งหมดไว้ภายใต้การนำของตนแต่ผู้เดียว ผิดกติกาของการต่อรองอำนาจในหมู่ชนชั้นนำไทย ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง และไม่มีกลุ่มใดได้อำนาจนำไปอย่างเด็ดขาด แม้แต่กลุ่มที่มีโอกาสสร้างเครือข่ายได้กว้างขวางก็ยังต้องยืดหยุ่นให้แก่ กลุ่มอื่นบ้างเป็นครั้งคราว
พรรคทายาทของ ทรท.ต่างหากที่เป็นปัญหามากกว่า ไม่ใช่เพราะกลุ่มนี้เป็นคนหน้าใหม่จากที่อื่นและปราศจากโครงข่ายโยงใยกับชน ชั้นนำกลุ่มอื่นเสียเลย(คุณสมัคร, คุณสมชาย, คุณยงยุทธ, คุณปลอดประสพ, พลเอกชวลิต ฯลฯ เป็นใคร? ก็คนหน้าเก่าในแวดวงทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?) แต่เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมต่างหาก ที่ทำให้พรรคทายาทต้องไปเกาะเกี่ยวกับฐานมวลชน
ทั้งๆ ที่พรรคเหล่านี้หาได้มีความพร้อมจะเล่นการเมืองที่มีฐานมวลชนแม้แต่น้อย
และเพราะไปเกาะเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่มีฐานมวลชน ทำให้พรรคทายาททั้งหลาย โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่อาจยืดหยุ่นในการต่อรองกับชนชั้นนำกลุ่มอื่นได้ ดังเช่นที่พรรคการเมืองไทยมักทำได้เสมอมา ยิ่งพรรคเพื่อไทยขาดการนำที่ชัดเจนก็ยิ่งทำให้ยากที่จะผนวกพรรคเพื่อไทยเข้า มาในโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำ และด้วยเหตุดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างอำนาจได้มาก
ทุกกลุ่มชนชั้นนำ เวลานี้ ดูเหมือนได้ตัดสินใจไปแล้วว่า อย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
ผบ.ทบ.คนใหม่ซึ่งสามารถอยู่ ในตำแหน่งได้ต่อเนื่องถึง 4 ปี คงจะหวั่นไหวต่อการมี รมว.กลาโหมที่ไม่ได้เป็นมิตรต่อตน อย่าลืมว่าการปราบปรามประชาชนในเดือนพฤษภาคมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก นั้น ยังไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจังและเที่ยงธรรมใดๆ แม้นายทหารผู้สั่งการอาจไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพราะกระทำอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฉุกเฉินแต่ยังมีความรับผิดชอบทางการเมืองและสังคมซึ่งไม่มีกฎหมายใดๆ คุ้มครอง ด้วยการยกเหตุเพียงเท่านี้ก็สามารถ "แขวน" ผบ.ทบ.เสียได้ไม่ยากนัก
สายที่วางกันเอาไว้ตลอดเส้นในกองทัพจะขาดรุ่งริ่งอย่างไร กองทัพทั้งกองทัพนั่นแหละที่ไม่อาจรับพรรคเพื่อไทยเป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาล ได้
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยรู้จักการเมืองไทยดีพอที่ทำให้ ไม่อยากไปยุ่งกับกองทัพ แต่พรรคเพื่อไทยจะมีทางเลือกอื่นหรือ มวลชนจำนวนมากที่เผชิญการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดจะยอมให้พรรคเพื่อไทยขาย ทิ้งกระนั้นหรือ
ฉะนั้นถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ต้องเข้ามาจัดการกับกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปีกว่าในตำแหน่ง ไม่ได้ทำให้โอกาสทางการเมืองของประชาธิปัตย์ดีขึ้นมากนัก แม้เศรษฐกิจของทุนระดับใหญ่ (ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นของต่างชาติเสียมากมาย) ส่งสัญญาณเงยหัวเพราะการส่งออกที่ดีขึ้น แต่เงินไม่ได้กระจายไปถึงผู้คนมากนักนอกจากข้าราชการซึ่งจะได้ปรับเงินเดือน ยิ่งกว่านี้ความแตกร้าวในสังคมยิ่งหนักมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลงแต่อย่างใด คาถาล้มเจ้านั้นปลุกไม่ขึ้น ทำให้ต้องใช้มาตรการปิดหูปิดปากประชาชนอย่างหนาแน่นเหมือนเดิม (ทั้งโดยเปิดเผยและโดยลับ) ทำให้ประชาชนที่เชิดชูเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วยและเริ่มวิตกว่าการนำเอา สถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้ ผลเสียย่อมตกอยู่แก่ตัวสถาบันเองมากกว่า
นายทุนเดือดร้อนกับ การชะลอตัวของการลงทุนเพราะนโยบายที่ไม่ชัดเจน และบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่สงบ นับวันก็เห็นได้ชัดขึ้นว่าไม่สามารถฝากผลประโยชน์และอนาคตของตนไว้กับพรรค ประชาธิปัตย์ได้
ฝ่ายนิยมเจ้าอย่างสุดขั้วมองเห็นแต่ความ อ่อนแอของประชาธิปัตย์ เพราะไม่อาจปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างได้ผล ไม่ว่าในทางเทคโนโลยีหรือในทางกฎหมาย (หรือนอกกฎหมาย)
ท่ามกลางสภาวการณ์เช่นนี้ นักการเมืองประชาธิปัตย์ก็รู้ดีว่าไม่ว่าพรรคจะถูกยุบหรือไม่ หากหลุดจากรัฐบาลในครั้งนี้ โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งอีกคงริบหรี่ไปอีกนาน
ควรกล่าวด้วยว่า ในท่ามกลางอนาคตที่ดูไม่ราบเรียบของชนชั้นนำนี้ ชนชั้นนำก็แตกแยกกันเองอย่างหนักด้วย ตามปกติชนชั้นนำก็ประกอบขึ้นจากหลายกลุ่มอยู่แล้ว แต่เวลานี้แม้ในกลุ่มเดียวกันก็แตกแยกกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพ, ฝ่ายนิยมเจ้า,ตำรวจ, นักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล, นักวิชาการ,คนในวงการตุลาการ ฯลฯ จึงยิ่งทำให้ชนชั้นนำไทยในขณะนี้ไม่พร้อมจะผนึกกำลังกันเข้ามาต่อรองความ เปลี่ยนแปลงของสังคมได้ดีนัก
และนี่คือที่มาของข่าวการรัฐประหาร
เพราะดูเหมือนเป็นคำตอบเดียวที่ชนชั้นนำบางกลุ่มมีอยู่ในกระเป๋า เพราะไปคิดว่ารัฐประหารจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง นับตั้งแต่ความแตกร้าวภายในของชนชั้นนำเอง, การดำเนินนโยบายที่ทันท่วงทีต่อความเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอก,ฟื้นฟูสมดุล ทางการเมืองระหว่างพลังดิบและพลัง"ประชาธิปไตย" กลับคืนมาได้อย่างมั่นคง, ให้อำนาจที่ค่อนข้างเด็ดขาดมากขึ้นแก่ชนชั้นนำที่จะประคับประคองการเปลี่ยน ผ่านของสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมทุกสถาบัน ฯลฯ
รัฐประหารอาจเคยทำอย่างนั้นได้สำเร็จ แต่รัฐประหารครั้งสุดท้ายทำไม่สำเร็จ ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลที่เข้ามาเป็นรัฐบาล เท่ากับว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว รัฐประหารไม่สามารถผนวกพลังใหม่ของประชาชนระดับล่างให้เข้ามาร่วมอยู่บนเวที การเมืองอย่างเสมอภาคได้ รัฐประหารทำให้เกิดความแตกร้าวในสังคมหนักขึ้น รัฐประหารทำให้ชนชั้นนำที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังถูกดึงมาร่วมในการปะทะขัด แย้งกันเบื้องหน้ารัฐประหารไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจำเริญมากขึ้น หรือการแบ่งปันทรัพย์สินดีขึ้น ฯลฯ
รัฐประหารครั้งใหม่ก็จะให้ ผลอย่างเดียวกัน และอาจเลวร้ายกว่า เช่นความแตกร้าวในกองทัพซึ่งแสดงออกให้เห็นได้แต่เพียงระเบิดไม่กี่ลูก ก็จะกลายเป็นระเบิดกันทุกวัน และวันละหลายครั้ง อำนาจรัฐอาจไม่ถูกท้าทายที่ราชประสงค์ แต่อาจถูกท้าทายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ ฉะนั้นแม้ไม่มีศาลากลางใดถูกเผา แต่ศาลากลางอาจกลายเป็นศาลาวัด คือไม่มีอำนาจเหลือให้ทำอะไรได้สักอย่างเดียว พลังใดจะแพ้หรือชนะเดาไม่ถูก แต่จะไม่เหลือระเบียบทางการเมืองและสังคมใดๆ ไว้ให้ใครนำมาปะติดปะต่อกลับขึ้นมาใหม่ได้อีกเลย
ฉะนั้น ถ้าคิดผิด ก็คิดใหม่ได้ เพราะรถถังยังไม่ได้เติมน้ำมัน
ที่มา.มติชน
****************************************************************
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
สิบปี ‘แก้แค้น’ ก็ไม่สาย!!
เมื่อรับใบสั่ง ออเดอร์ พิมพ์เขียว จาก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ..ให้ยกมือชูรักแร้โหวตไม่เอา “รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย” ที่ถูกซักฟอก.. “ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” แกนนำโคราชย่าโม พรรคเพื่อแผ่นดิน ก็ทำให้ อย่างเต็มใจ??
แต่พอ “เนวิน ชิดชอบ”, “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล”, “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ๓ ทหารเสือ เรียกร้องให้ขับ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ... “อภิสิทธิ์” ก็ขานรับ ทั้งชิงรับลูกเสร็จสรรพ
มองเหลี่ยมไหน “อภิสิทธิ์” ทำไม่ถูกต้อง ทั้งนั้นแหละครับ
ฉะนั้น, อย่าแปลกใจ ที่ “คุณพี่ไพโรจน์” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในการคลุมถุงชน เชิด “ชาละวันพิจิตร” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขงเบ้งใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา เป็น “นายกรัฐมนตรี”!
โถ, เป็นใครก็ต้องแค้น...เพราะสู้ขับไล่พรรคภูมิใจไทยแทน?.. “อภิสิทธิ์” กลับแจ้น ไล่ออกจากรัฐบาล เสียนี่????
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ได้‘ผูกเสี่ยว’เป็นพันธมิตรรักกัน จนวันตาย!!
“ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กับ “ภูมิใจไทย” ของ “เล่าฮูชวรัตน์ ชาญวีรกูล” นับวัน จะเหยียบตาปลา มีแต่ความกินแหนงแคลงใจ??
การออกมาลูบคม ขย่ม “ประชาธิปัตย์” ..ด้วยการที่ “ลุงจิ้น” คิดลอยแพ “อภิสิทธิ์” โดยจับมือกับ “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชาและ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ตั้งรัฐบาลขึ้นมา..
โดย “เนวิน ชิดชอบ” และ “ลุงจิ้น” เบื่อเป็นนั่งร้าน ให้ “ประชาธิปัตย์” เหยียบบ่า
เพราะไม่ว่า, “พรรคภูมิใจไทย” เสนอไอเดียปิ๊ง เลิศหรูอลังการงานสร้าง แค่ไหน “อภิสิทธิ์” มักขวางลำ หักดิบ จน “เนวิน-ลุงจิ้น” เสียศูนย์!!
เมื่อ “อภิสิทธิ์” คิดว่าแน่..ภูมิใจไทยเขาก็ไม่แคร์..โดยจะไม่ขอแชร์ เป็นรัฐบาลต่อไปสิคุณ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คิดเป็นใหญ่ ต้อง‘ใจกว้าง’!!
จะขึ้นลิฟท์แก้ว ตีตั๋วเป็น “นายกรัฐมนตรี” ...ใจแคบเป็นรูเข็ม “คุณพี่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” คงไม่ถูกกระมัง??
อาทิตย์ก่อน ท่านเปิดคฤหาสน์หลังโตระโหฐาน เลี้ยง ส.ส.เพื่อไทย อย่างอิ่มหมีพีมัน
เหมือนจะ “ตกเขียว” จองคิวเพื่อเป็น “นายกฯ” ในวันหน้า ..อันนี้ไม่ว่ากัน
แต่ดูท่านจะใจจืด.. หนืดสุดๆ เพราะเลี้ยงดูปูเสื่อ ส.ส.อย่างเปรมปรีดิ์..แต่ไม่มีน้ำใจเจือจาน ไปถึง พลขับโชเฟอร์คนรถของส.ส.เลย?.. น้ำไม่มีให้ดื่ม! อาหารไม่มีให้ยากระเพาะ!
รวยจนเงินจะทับบ้าน..อย่าขี้เหนียวเลยนะท่าน?...ช่วยแบ่งปันกัน มันถึงจะเหมาะ??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผักชีโรยหน้า!!
วันใดที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ฤกษ์ยามงามดี มาประชุมสภาผู้แทนราษฎร.. “ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์” ก็มากันคึกคัก! ให้ครื้นเครง! คลาคล่ำ! จนพรึ่บเชียว ล่ะคุณน้า??
หากว่า, “อภิสิทธิ์” ติดราชการ โดดร่มมาไม่ได้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ชักแถว หายเข้ากลีบเมฆ
ทำให้องค์ประชุม เหลือคนหรอมแหรม ร่อยหรอ มองไปแล้ว น้อยนิด เพียงโหวกเหวก
“คุณพี่วิทยา แก้วภราดัย” ประธานวิป แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเหมือนเสาหลักปักเลนที่ไร้น้ำยา?.. ส.ส.พรรคแม่ธรณี ไม่เห็นความสำคัญ แม้แต่ ใบหน้าเสื้อผ้าและเส้นผม!!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์” รู้ไว้.....ท่านกระโดดร่มวันใด?....ส.ส.ก็พาลหายหน้า กันให้จม???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่ามองข้ามช็อต!!
ต้องยอมรับ “ปู่ชัย” ชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็น หงส์เหนือมังกรที่สุดยอด
เป็นหนึ่ง นักการเมืองแถวหน้า ที่มีคุณภาพคับแก้ว
ถ้าจะโหนเถาวัลย์ ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” ก็เรี่ยมเร้เรไร ไม่น่าจะกินแห้ว
ยิ่งตอนนี้มีเสียงรอดไรฟัน ว่า “คุณหนูเนวิน ชิดชอบ” บุตรยอดกตัญญู มีความประสงค์ส่ง “ลุงชัย” ขึ้นเป็นกระบี่มือหนึ่งเดี่ยว เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกัน!!!
เพราะบุรุษ “ช.ช้าง บุรีรัมย์”...ที่ “เนวิน” คิดให้เป็นผู้นำ...มีแต่ “คุณพ่อชัย” ผู้เลิศล้ำเท่านั้น????
***********************************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
แต่พอ “เนวิน ชิดชอบ”, “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล”, “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ๓ ทหารเสือ เรียกร้องให้ขับ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ... “อภิสิทธิ์” ก็ขานรับ ทั้งชิงรับลูกเสร็จสรรพ
มองเหลี่ยมไหน “อภิสิทธิ์” ทำไม่ถูกต้อง ทั้งนั้นแหละครับ
ฉะนั้น, อย่าแปลกใจ ที่ “คุณพี่ไพโรจน์” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในการคลุมถุงชน เชิด “ชาละวันพิจิตร” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขงเบ้งใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา เป็น “นายกรัฐมนตรี”!
โถ, เป็นใครก็ต้องแค้น...เพราะสู้ขับไล่พรรคภูมิใจไทยแทน?.. “อภิสิทธิ์” กลับแจ้น ไล่ออกจากรัฐบาล เสียนี่????
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ได้‘ผูกเสี่ยว’เป็นพันธมิตรรักกัน จนวันตาย!!
“ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กับ “ภูมิใจไทย” ของ “เล่าฮูชวรัตน์ ชาญวีรกูล” นับวัน จะเหยียบตาปลา มีแต่ความกินแหนงแคลงใจ??
การออกมาลูบคม ขย่ม “ประชาธิปัตย์” ..ด้วยการที่ “ลุงจิ้น” คิดลอยแพ “อภิสิทธิ์” โดยจับมือกับ “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชาและ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ตั้งรัฐบาลขึ้นมา..
โดย “เนวิน ชิดชอบ” และ “ลุงจิ้น” เบื่อเป็นนั่งร้าน ให้ “ประชาธิปัตย์” เหยียบบ่า
เพราะไม่ว่า, “พรรคภูมิใจไทย” เสนอไอเดียปิ๊ง เลิศหรูอลังการงานสร้าง แค่ไหน “อภิสิทธิ์” มักขวางลำ หักดิบ จน “เนวิน-ลุงจิ้น” เสียศูนย์!!
เมื่อ “อภิสิทธิ์” คิดว่าแน่..ภูมิใจไทยเขาก็ไม่แคร์..โดยจะไม่ขอแชร์ เป็นรัฐบาลต่อไปสิคุณ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คิดเป็นใหญ่ ต้อง‘ใจกว้าง’!!
จะขึ้นลิฟท์แก้ว ตีตั๋วเป็น “นายกรัฐมนตรี” ...ใจแคบเป็นรูเข็ม “คุณพี่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” คงไม่ถูกกระมัง??
อาทิตย์ก่อน ท่านเปิดคฤหาสน์หลังโตระโหฐาน เลี้ยง ส.ส.เพื่อไทย อย่างอิ่มหมีพีมัน
เหมือนจะ “ตกเขียว” จองคิวเพื่อเป็น “นายกฯ” ในวันหน้า ..อันนี้ไม่ว่ากัน
แต่ดูท่านจะใจจืด.. หนืดสุดๆ เพราะเลี้ยงดูปูเสื่อ ส.ส.อย่างเปรมปรีดิ์..แต่ไม่มีน้ำใจเจือจาน ไปถึง พลขับโชเฟอร์คนรถของส.ส.เลย?.. น้ำไม่มีให้ดื่ม! อาหารไม่มีให้ยากระเพาะ!
รวยจนเงินจะทับบ้าน..อย่าขี้เหนียวเลยนะท่าน?...ช่วยแบ่งปันกัน มันถึงจะเหมาะ??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผักชีโรยหน้า!!
วันใดที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ฤกษ์ยามงามดี มาประชุมสภาผู้แทนราษฎร.. “ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์” ก็มากันคึกคัก! ให้ครื้นเครง! คลาคล่ำ! จนพรึ่บเชียว ล่ะคุณน้า??
หากว่า, “อภิสิทธิ์” ติดราชการ โดดร่มมาไม่ได้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ชักแถว หายเข้ากลีบเมฆ
ทำให้องค์ประชุม เหลือคนหรอมแหรม ร่อยหรอ มองไปแล้ว น้อยนิด เพียงโหวกเหวก
“คุณพี่วิทยา แก้วภราดัย” ประธานวิป แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเหมือนเสาหลักปักเลนที่ไร้น้ำยา?.. ส.ส.พรรคแม่ธรณี ไม่เห็นความสำคัญ แม้แต่ ใบหน้าเสื้อผ้าและเส้นผม!!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์” รู้ไว้.....ท่านกระโดดร่มวันใด?....ส.ส.ก็พาลหายหน้า กันให้จม???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่ามองข้ามช็อต!!
ต้องยอมรับ “ปู่ชัย” ชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็น หงส์เหนือมังกรที่สุดยอด
เป็นหนึ่ง นักการเมืองแถวหน้า ที่มีคุณภาพคับแก้ว
ถ้าจะโหนเถาวัลย์ ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” ก็เรี่ยมเร้เรไร ไม่น่าจะกินแห้ว
ยิ่งตอนนี้มีเสียงรอดไรฟัน ว่า “คุณหนูเนวิน ชิดชอบ” บุตรยอดกตัญญู มีความประสงค์ส่ง “ลุงชัย” ขึ้นเป็นกระบี่มือหนึ่งเดี่ยว เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกัน!!!
เพราะบุรุษ “ช.ช้าง บุรีรัมย์”...ที่ “เนวิน” คิดให้เป็นผู้นำ...มีแต่ “คุณพ่อชัย” ผู้เลิศล้ำเท่านั้น????
***********************************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ยิ่งปิดยิ่งพัง
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
การออกมาแถลงข่าวของนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจมาจากเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ระบุว่า เหตุการณ์ระเบิดจะมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนั้น จะเกี่ยวข้องกับการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ก็ตาม ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน และนักลงทุนไม่น้อย เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้เลย
รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจึงต้องยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุระเบิดอาจเกิดจากคนของรัฐเอง เพราะไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่รัฐก็น่าจะต้องจับผู้กระทำผิดได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐมักออกมาแถลงว่ารู้เบาะแสผู้กระทำผิดบ้าง หรือระบุเป็นกลุ่มเดียวกันบ้าง แม้แต่กรณีที่ระบุว่าการระเบิดป่วนเมืองจะมีต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนั้น เท่ากับเจ้าหน้าที่มีความบกพร่องในการทำงานอย่างร้ายแรงเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานด้านข่าวกรอง หรือหน่วยงานด้านความมั่นคง รวมทั้ง ศอฉ. ที่มีอำนาจมากมาย
ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องมาแสดงความรับผิดชอบเท่านั้น แม้แต่นายกรัฐมนตรีและรองนากยรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ต้องรับผิดชอบด้วย หากไม่สามารถควบคุมให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะปรกติได้ ทั้งที่ยังบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิก
ถ้าจะมีการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐว่าบกพร่อง รัฐบาลก็ควรจะต้องพิจารณาตัวเองด้วย เพราะที่ผ่านมาสังคมต้องการเห็นความสามัคคีปรองดอง แต่รัฐบาลกลับเหมือนเอาน้ำมันราดไปบนกองไฟมากกว่า โดยเฉพาะการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามาจนทุกวันนี้ ซึ่งไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองได้แล้ว ยังยิ่งสร้างความแตกแยกให้ลุกลามบานปลายมากขึ้น
ดังนั้น การสร้างความปรองดองเพื่อนำบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข จึงต้องคืนความยุติธรรมและอำนาจให้ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยภายใต้อำนาจเผด็จการซ่อนรูป
รวมทั้งต้องมีคำตอบที่ชัดเจนและโปร่งใสกับ 91 ศพที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยเร็วที่สุดด้วย ไม่ใช่ตั้งคณะกรรมการต่างๆมาบิดเบือนประเด็น ซึ่งเหมือนการเล่นละครจำอวดมากกว่า
เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ว่าจะมีการบิดเบือนอย่างไรก็ตาม
**********************************************************************
การออกมาแถลงข่าวของนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจมาจากเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ระบุว่า เหตุการณ์ระเบิดจะมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนั้น จะเกี่ยวข้องกับการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ก็ตาม ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน และนักลงทุนไม่น้อย เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้เลย
รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจึงต้องยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุระเบิดอาจเกิดจากคนของรัฐเอง เพราะไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่รัฐก็น่าจะต้องจับผู้กระทำผิดได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐมักออกมาแถลงว่ารู้เบาะแสผู้กระทำผิดบ้าง หรือระบุเป็นกลุ่มเดียวกันบ้าง แม้แต่กรณีที่ระบุว่าการระเบิดป่วนเมืองจะมีต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนั้น เท่ากับเจ้าหน้าที่มีความบกพร่องในการทำงานอย่างร้ายแรงเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานด้านข่าวกรอง หรือหน่วยงานด้านความมั่นคง รวมทั้ง ศอฉ. ที่มีอำนาจมากมาย
ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องมาแสดงความรับผิดชอบเท่านั้น แม้แต่นายกรัฐมนตรีและรองนากยรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ต้องรับผิดชอบด้วย หากไม่สามารถควบคุมให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะปรกติได้ ทั้งที่ยังบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิก
ถ้าจะมีการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐว่าบกพร่อง รัฐบาลก็ควรจะต้องพิจารณาตัวเองด้วย เพราะที่ผ่านมาสังคมต้องการเห็นความสามัคคีปรองดอง แต่รัฐบาลกลับเหมือนเอาน้ำมันราดไปบนกองไฟมากกว่า โดยเฉพาะการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามาจนทุกวันนี้ ซึ่งไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองได้แล้ว ยังยิ่งสร้างความแตกแยกให้ลุกลามบานปลายมากขึ้น
ดังนั้น การสร้างความปรองดองเพื่อนำบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข จึงต้องคืนความยุติธรรมและอำนาจให้ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยภายใต้อำนาจเผด็จการซ่อนรูป
รวมทั้งต้องมีคำตอบที่ชัดเจนและโปร่งใสกับ 91 ศพที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยเร็วที่สุดด้วย ไม่ใช่ตั้งคณะกรรมการต่างๆมาบิดเบือนประเด็น ซึ่งเหมือนการเล่นละครจำอวดมากกว่า
เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ว่าจะมีการบิดเบือนอย่างไรก็ตาม
**********************************************************************
แถลงการณ์ของจักรภพ เพ็ญแข ในเหตุไฟไหม้บ้าน
แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข ในเหตุไฟไหม้บ้าน
วันพุธที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
ผมได้ทราบข่าวไฟไหม้บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมในช่วงสายของวันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ไฟได้ทำลายบ้านและทรัพย์สินในบ้านที่สะสมไว้ตลอดชีวิตของพวกเราเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะชั้นบนของบ้าน
ถึงคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของผมจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากเหตุร้ายนี้ แต่ก็ได้รับความกระเทือนใจอย่างสูงเมื่อบ้านที่คุณพ่อคุณแม่สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงและมีอายุถึง ๔๔ ปีแล้ว มีอันต้องถูกทำลายลง โดยเฉพาะเมื่อคุณพ่อคุณแม่ของผมสูงวัยถึง ๘๓ ปี และ ๗๓ ปีแล้วอย่างนี้ ตัวผมเองอยู่ไกลบ้าน ไม่อาจเดินทางไปร่วมทุกข์กับคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวได้ ก็รู้สึกเศร้าใจและหาทางบรรเทาความทุกข์ร้อนของท่านตามประสาที่คนลี้ภัยการเมืองจะทำได้
สาเหตุของไฟไหม้ยังคงไม่แน่ชัด อาจเป็นอุบัติเหตุ หรือการวางเพลิงโดยเจตนาก็ได้ หลายท่านมีความเห็นว่า วิกฤติการเมืองที่ระอุขึ้นทุกทีในขณะนี้ อาจเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง ผมเองยังไม่อาจสรุปได้ และขอรอดูหลักฐานการสอบสวนตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และอื่นๆ ก่อน
แต่ขอใช้โอกาสนี้เตือนพวกเราที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้ระมัดระวังตนเอง ครอบครัว คนที่รัก และทรัพย์สินไว้ให้ดี สถานการณ์เช่นนี้เปราะบาง และอาจมีผู้คิดร้ายกระทำการทำร้ายและทำลายเราด้วยวิธีการต่างๆ ได้ โปรดถือเหตุการณ์บ้านคุณพ่อคุณแม่ผมเป็นตัวอย่าง และขออย่าได้ประมาทเลยแม้แต่น้อย
ผมขอขอบคุณมวลชนชาวประชาธิปไตยทุกท่านที่มีน้ำใจไมตรีต่อครอบครัวของผม เมตตากรุณาในเรื่องต่างๆ มากมายนับตั้งแต่รู้ข่าว บางท่านอุตส่าห์เดินทางมาจากต่างจังหวัดกันเป็นกลุ่ม เสนอตัวช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่งเสื้อผ้าและอาหาร ทำให้ผู้ชราทั้งสองท่านมีกำลังใจดีขึ้น
ขอขอบคุณเช่นกันต่อพี่น้องสื่อมวลชนที่เสนอข่าวนี้อย่างกว้างขวาง โดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และช่วยตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องจริงอาจจะซับซ้อนกว่านั้น
ผมขอให้พวกเราชาวประชาธิปไตยทุกๆ คนมีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง พร้อมรับมือกับความท้าทายทุกอย่างจากฝ่ายผู้มุ่งทำลายประชาธิปไตย เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราไปสู่ความตาสว่างทั้งแผ่นดินด้วยเทอญ
ด้วยความเคารพรักมวลมหาประชาชนและชาติบ้านเมืองเป็นอย่างสูง
จักรภพ เพ็ญแข
********
Statement of Mr. Jakrapob Penkair On the Fire Incident at His Bangkok Home
Wednesday, September 29, 2010
I was kept informed, as it happened concerning the disastrous fire that consumed my parent’s home in Bangkok late morning of Tuesday, September 28, 2010. The fire completely destroyed the house and most of my all family’s life-long possessions. The entire upper floor of the structure is completely gone. Though my parents and sister were not harmed, they are greatly disheartened to realize that the house they built and lived in for over 44 years is now gone. It was quite a blow for a 83 and 73 year-old couple like my parents. Away from Thailand and unable to be with them during this time of great distress, I am deeply saddened and am trying to do my utmost in assisting them any way I can.
The exact source of the fire is not yet clear. It could have been an accident or perhaps sabotage. The ever-heating political situation may have been a contributing factor. I will not rush into any conclusion, but rather follow up on the forensic investigative procedures. Nevertheless, let me take this opportunity to warn all of us who fight for democracy to be extra careful in regards to yourself, your family, your loved ones, and your property. The overall political situation is quite fragile. We can be vulnerable to danger and risk at any turn. Please learn from this tragic incident which affect me and my parents’ home.
I would like to express my deep appreciation for the generosity expressed so overwhelmingly by the supporters of our democratic movement. Many have offered help in various ways since the news broke. Some groups took an extra effort travelling from their hometowns to support my parents and my sister, offering everything from clothes to food products, boosting the morale of two elderly persons whom are cherished in my heart.
Let me thank the media for distributing the news without prejudging this personal issue, and for an observation that there could have been something more sinister.
May I wish all of us in the democratic movement a strong and stable mind, ready to accept all kinds of challenges now and ahead, in order to lead this country to true democracy.
With respect to the will of the people and with deep love of my country,
Jakrapob Penkair
ที่มา.ไทยอีนิวส์
**********************************************************************
วันพุธที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
ผมได้ทราบข่าวไฟไหม้บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมในช่วงสายของวันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ไฟได้ทำลายบ้านและทรัพย์สินในบ้านที่สะสมไว้ตลอดชีวิตของพวกเราเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะชั้นบนของบ้าน
ถึงคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของผมจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากเหตุร้ายนี้ แต่ก็ได้รับความกระเทือนใจอย่างสูงเมื่อบ้านที่คุณพ่อคุณแม่สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงและมีอายุถึง ๔๔ ปีแล้ว มีอันต้องถูกทำลายลง โดยเฉพาะเมื่อคุณพ่อคุณแม่ของผมสูงวัยถึง ๘๓ ปี และ ๗๓ ปีแล้วอย่างนี้ ตัวผมเองอยู่ไกลบ้าน ไม่อาจเดินทางไปร่วมทุกข์กับคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวได้ ก็รู้สึกเศร้าใจและหาทางบรรเทาความทุกข์ร้อนของท่านตามประสาที่คนลี้ภัยการเมืองจะทำได้
สาเหตุของไฟไหม้ยังคงไม่แน่ชัด อาจเป็นอุบัติเหตุ หรือการวางเพลิงโดยเจตนาก็ได้ หลายท่านมีความเห็นว่า วิกฤติการเมืองที่ระอุขึ้นทุกทีในขณะนี้ อาจเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง ผมเองยังไม่อาจสรุปได้ และขอรอดูหลักฐานการสอบสวนตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และอื่นๆ ก่อน
แต่ขอใช้โอกาสนี้เตือนพวกเราที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้ระมัดระวังตนเอง ครอบครัว คนที่รัก และทรัพย์สินไว้ให้ดี สถานการณ์เช่นนี้เปราะบาง และอาจมีผู้คิดร้ายกระทำการทำร้ายและทำลายเราด้วยวิธีการต่างๆ ได้ โปรดถือเหตุการณ์บ้านคุณพ่อคุณแม่ผมเป็นตัวอย่าง และขออย่าได้ประมาทเลยแม้แต่น้อย
ผมขอขอบคุณมวลชนชาวประชาธิปไตยทุกท่านที่มีน้ำใจไมตรีต่อครอบครัวของผม เมตตากรุณาในเรื่องต่างๆ มากมายนับตั้งแต่รู้ข่าว บางท่านอุตส่าห์เดินทางมาจากต่างจังหวัดกันเป็นกลุ่ม เสนอตัวช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่งเสื้อผ้าและอาหาร ทำให้ผู้ชราทั้งสองท่านมีกำลังใจดีขึ้น
ขอขอบคุณเช่นกันต่อพี่น้องสื่อมวลชนที่เสนอข่าวนี้อย่างกว้างขวาง โดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และช่วยตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องจริงอาจจะซับซ้อนกว่านั้น
ผมขอให้พวกเราชาวประชาธิปไตยทุกๆ คนมีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง พร้อมรับมือกับความท้าทายทุกอย่างจากฝ่ายผู้มุ่งทำลายประชาธิปไตย เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราไปสู่ความตาสว่างทั้งแผ่นดินด้วยเทอญ
ด้วยความเคารพรักมวลมหาประชาชนและชาติบ้านเมืองเป็นอย่างสูง
จักรภพ เพ็ญแข
********
Statement of Mr. Jakrapob Penkair On the Fire Incident at His Bangkok Home
Wednesday, September 29, 2010
I was kept informed, as it happened concerning the disastrous fire that consumed my parent’s home in Bangkok late morning of Tuesday, September 28, 2010. The fire completely destroyed the house and most of my all family’s life-long possessions. The entire upper floor of the structure is completely gone. Though my parents and sister were not harmed, they are greatly disheartened to realize that the house they built and lived in for over 44 years is now gone. It was quite a blow for a 83 and 73 year-old couple like my parents. Away from Thailand and unable to be with them during this time of great distress, I am deeply saddened and am trying to do my utmost in assisting them any way I can.
The exact source of the fire is not yet clear. It could have been an accident or perhaps sabotage. The ever-heating political situation may have been a contributing factor. I will not rush into any conclusion, but rather follow up on the forensic investigative procedures. Nevertheless, let me take this opportunity to warn all of us who fight for democracy to be extra careful in regards to yourself, your family, your loved ones, and your property. The overall political situation is quite fragile. We can be vulnerable to danger and risk at any turn. Please learn from this tragic incident which affect me and my parents’ home.
I would like to express my deep appreciation for the generosity expressed so overwhelmingly by the supporters of our democratic movement. Many have offered help in various ways since the news broke. Some groups took an extra effort travelling from their hometowns to support my parents and my sister, offering everything from clothes to food products, boosting the morale of two elderly persons whom are cherished in my heart.
Let me thank the media for distributing the news without prejudging this personal issue, and for an observation that there could have been something more sinister.
May I wish all of us in the democratic movement a strong and stable mind, ready to accept all kinds of challenges now and ahead, in order to lead this country to true democracy.
With respect to the will of the people and with deep love of my country,
Jakrapob Penkair
ที่มา.ไทยอีนิวส์
**********************************************************************
นักบุญ (คนบาป)เร่ขาย ‘ปรองดอง’
น้ำตาที่หลั่งรินของบุรุษชื่อพม่า นัยตาแขมร์ นามว่า “เนวิน ชิดชอบ” เมื่อครั้งที่เขาหลุดพ้นจากพันธนาการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ต้องตกทุกข์ได้ยากเพราะ “นาย” นามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนวินร่ำไห้ถึงความยากลำบากขณะที่เขาถูกกักกันบริเวณอยู่ภายใต้ท็อปบูธ คมช. ถูกทารุน ทางจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยการจับนุ่งลม ห่มฟ้า ถูกจี้ของรักของหวง รวมถึงเมนู อาหารการกินแต่ละมื้อก็สุดฝืนกลืนกินรับประทาน
ความยากลำบากของอดีตลูกน้อง คนสนิททักษิณบรรยายไว้อย่างนั้น...!!!ถัดมาไม่กี่เดือน เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน น้ำตาลูกผู้ชายก็หลั่งรินอีกคำรบ เมื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ออกมาประกาศต่อประชาชนทั้งประเทศว่า จะนำพากลุ่มเพื่อนเนวินออกจากขั้วไทยรักไทย เพื่อสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้ประเทศชาติสามารถขับเคลื่อน เดินต่อไปได้
เนวินบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ต้องเสียทั้ง “นาย” เสียทั้ง “เพื่อน” แต่เพื่อประเทศชาติ และสถาบันอันที่รักเคารพ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น เนวินแถลงข่าวด้วย น้ำเสียงที่สั่นเครือนัยตามีน้ำตาคลอ เบ้าอยู่ตลอดเวลา บ้างเหน็บแนมว่า “น้ำตาจระเข้”
ในขณะที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า “เอ็งจะไปไหนก็ไป เถอะ ไม่ต้องมาบีบน้ำตาร่ำลาให้เสีย เวลา จะไปหาสตังค์ก็ไป และถ้าไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
ตลอดระยะเวลาในการรวมรัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวที่มีปัญหาแสดงพลังภายในกับพรรคแกนนำรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการระบายข้าวในสต็อก หรือโครงการรถเมล์เช่า 4 พันคัน และล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อนสั่นไหวกรณีนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ตั้งกรรมการตรวจสอบโครงการเช่าคอมพิวเตอร์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาทของกรมการ ปกครอง กระทรวงมหาดไทย พร้อมชะลอการทูลเกล้าแต่งตั้งปลัดกระทรวง มหาดไทย
ในขณะที่ซีกประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลายเป็นตำบลกระสุนตกที่หลายฝ่ายจับจ้องว่า อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเนวินด้วย บุญและคุณแห่งการค้ำจุนจัดตั้งรัฐบาล และจำต้องตอบแทนบุญคุณหรือประคับประคองให้รัฐบาลมีอายุยืนยาวต่อไป
แม้สิ่งที่นายกฯ อภิสิทธิ์ดำเนินการต่อพรรคภูมิใจไทยครั้งล่าสุดนี้จะเป็นการเดิมพันที่สูง แต่หากมองเหลียวหน้าแลหลังแล้ว ประชาธิปัตย์ เองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะ เสถียรภาพชะตากรรมของพรรคที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายสุ่มเสี่ยงที่จะถูก “ยุบพรรค” ในคดีเงินบริจาคทีพีไอ
มองข้ามช็อตไปถึงการยุบสภากันเสียแล้ว...!
การออกมาปลุกกระแสเร่ขาย “ปรองดอง” ของเนวิน ชิดชอบ ที่เหน็บเอา “มังกรเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อผลักดันร่างพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนที่ร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยไม่มีสีเสื้อกลาย เป็นประเด็นร้อนที่ทิ่มแทงพรรคประชาธิปัตย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
แม้ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะยืนยันว่า “คนเสื้อเหลือง” ไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวที่ผ่านมามีความบริสุทธิ์ใจ จึงเชื่อมั่นว่าศาลสถิตยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาได้
ส่วนอีกฟากฝั่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และแกนนำพรรคเพื่อไทยยืนยันเช่นกันว่า “คนเสื้อแดง” ไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเนวิน ชิดชอบ ที่มีวาระซ่อนเร้นต้องการหาเสียงคะแนน นิยมจากคนเสื้อแดง เพราะในพื้นที่อีสานพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถลง พื้นที่ได้
ปลดล็อกวาระซ้อนเร้น การออก มาจุดกระแสล่าชื่อประชาชนแสนชื่อเพื่อผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ของพรรคภูมิใจไทย และภาพการเปิด ตัวหนังสือพอกเก็ตบุ๊กที่พรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ ที่นำคนสวมใส่เสื้อสีแดง สีเหลือง สีชมพู และน้ำเงินมาแต่งแต้มสีสันเมื่อต้นสัปดาห์ ที่ผ่านมา จึงเป็นแค่การทำงานของบริษัทประชาสัมพันธ์มืออาชีพที่เก่งใน การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยมีสินค้าแบรนด์ “ปรองดอง” เร่ขายให้กับคนรากหญ้า
อีกนัยก็คือหนังสือเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทภูมิใจไทย ที่ประกาศว่าจะยึดหัวหาดภาคอีสาน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักบุญคนบาปเร่ขายฝัน “ปรองดอง” บทเรียนแห่งสัจวาจาต้องจดจำ บุรุษห้าสั้น เบ๊เต็กเชียง บรรหาร ศิลปอาชา ลืมเลือนไปแล้วนะหรือ จึงออกมาคลุกผสมน้ำยาอย่างนี้
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------------
ความยากลำบากของอดีตลูกน้อง คนสนิททักษิณบรรยายไว้อย่างนั้น...!!!ถัดมาไม่กี่เดือน เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน น้ำตาลูกผู้ชายก็หลั่งรินอีกคำรบ เมื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ออกมาประกาศต่อประชาชนทั้งประเทศว่า จะนำพากลุ่มเพื่อนเนวินออกจากขั้วไทยรักไทย เพื่อสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้ประเทศชาติสามารถขับเคลื่อน เดินต่อไปได้
เนวินบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ต้องเสียทั้ง “นาย” เสียทั้ง “เพื่อน” แต่เพื่อประเทศชาติ และสถาบันอันที่รักเคารพ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น เนวินแถลงข่าวด้วย น้ำเสียงที่สั่นเครือนัยตามีน้ำตาคลอ เบ้าอยู่ตลอดเวลา บ้างเหน็บแนมว่า “น้ำตาจระเข้”
ในขณะที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า “เอ็งจะไปไหนก็ไป เถอะ ไม่ต้องมาบีบน้ำตาร่ำลาให้เสีย เวลา จะไปหาสตังค์ก็ไป และถ้าไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
ตลอดระยะเวลาในการรวมรัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวที่มีปัญหาแสดงพลังภายในกับพรรคแกนนำรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการระบายข้าวในสต็อก หรือโครงการรถเมล์เช่า 4 พันคัน และล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อนสั่นไหวกรณีนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ตั้งกรรมการตรวจสอบโครงการเช่าคอมพิวเตอร์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาทของกรมการ ปกครอง กระทรวงมหาดไทย พร้อมชะลอการทูลเกล้าแต่งตั้งปลัดกระทรวง มหาดไทย
ในขณะที่ซีกประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลายเป็นตำบลกระสุนตกที่หลายฝ่ายจับจ้องว่า อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเนวินด้วย บุญและคุณแห่งการค้ำจุนจัดตั้งรัฐบาล และจำต้องตอบแทนบุญคุณหรือประคับประคองให้รัฐบาลมีอายุยืนยาวต่อไป
แม้สิ่งที่นายกฯ อภิสิทธิ์ดำเนินการต่อพรรคภูมิใจไทยครั้งล่าสุดนี้จะเป็นการเดิมพันที่สูง แต่หากมองเหลียวหน้าแลหลังแล้ว ประชาธิปัตย์ เองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะ เสถียรภาพชะตากรรมของพรรคที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายสุ่มเสี่ยงที่จะถูก “ยุบพรรค” ในคดีเงินบริจาคทีพีไอ
มองข้ามช็อตไปถึงการยุบสภากันเสียแล้ว...!
การออกมาปลุกกระแสเร่ขาย “ปรองดอง” ของเนวิน ชิดชอบ ที่เหน็บเอา “มังกรเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อผลักดันร่างพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนที่ร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยไม่มีสีเสื้อกลาย เป็นประเด็นร้อนที่ทิ่มแทงพรรคประชาธิปัตย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
แม้ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะยืนยันว่า “คนเสื้อเหลือง” ไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวที่ผ่านมามีความบริสุทธิ์ใจ จึงเชื่อมั่นว่าศาลสถิตยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาได้
ส่วนอีกฟากฝั่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และแกนนำพรรคเพื่อไทยยืนยันเช่นกันว่า “คนเสื้อแดง” ไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเนวิน ชิดชอบ ที่มีวาระซ่อนเร้นต้องการหาเสียงคะแนน นิยมจากคนเสื้อแดง เพราะในพื้นที่อีสานพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถลง พื้นที่ได้
ปลดล็อกวาระซ้อนเร้น การออก มาจุดกระแสล่าชื่อประชาชนแสนชื่อเพื่อผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ของพรรคภูมิใจไทย และภาพการเปิด ตัวหนังสือพอกเก็ตบุ๊กที่พรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ ที่นำคนสวมใส่เสื้อสีแดง สีเหลือง สีชมพู และน้ำเงินมาแต่งแต้มสีสันเมื่อต้นสัปดาห์ ที่ผ่านมา จึงเป็นแค่การทำงานของบริษัทประชาสัมพันธ์มืออาชีพที่เก่งใน การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยมีสินค้าแบรนด์ “ปรองดอง” เร่ขายให้กับคนรากหญ้า
อีกนัยก็คือหนังสือเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทภูมิใจไทย ที่ประกาศว่าจะยึดหัวหาดภาคอีสาน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักบุญคนบาปเร่ขายฝัน “ปรองดอง” บทเรียนแห่งสัจวาจาต้องจดจำ บุรุษห้าสั้น เบ๊เต็กเชียง บรรหาร ศิลปอาชา ลืมเลือนไปแล้วนะหรือ จึงออกมาคลุกผสมน้ำยาอย่างนี้
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)