Creative City ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์สีสันในการดึงดูด Creative Talent จากทุกซอกมุมโลกให้มาร่วมผลิตสินค้าที่เปล่งประกายเรืองรอง และนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในการพัฒนา Creative City ของประเทศชั้นนำทั้งหลาย ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ลงตัวถึงปัจจัยในการสร้างสรรค์เมืองให้เปี่ยมล้นด้วยแรงบันดาลใจ อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์นับพันปีของมวลมนุษยชาติ ได้ปรากฎต้นแบบแห่งเมืองสร้างสรรค์ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงแม้เวลาจะเนิ่นนานมาหลายรอบปีแล้วก็ตาม กาลเวลาที่ยาวไกลได้ช่วยคัดกรองและพิสูจน์ให้เราสามารถสรุปบทเรียนในการเจริญรอยตามได้อย่างมั่นใจ
Athens (500-400 ปีก่อนคริสต์กาล) มหานครแรกที่โลกต้องจดจำในฐานะมารดาแห่งการสร้างสรรค์ เริ่มจากการพัฒนาวิชาปรัชญา ที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักจัดระเบียบประสบการณ์แห่งการลองผิดลองถูกให้กลายเป็นหลักทฤษฎีทั่วไปที่สามารถทดลองซ้ำและนำไปประยุกต์ต่อยอดได้อย่างชาญฉลาด เมื่อมนุษย์
สามารถอธิบายโลกด้วยตรรกะเหตุผลของตนเอง ก็ย่อมมีความมั่นใจที่จะพัฒนาอารยธรรมยิ่งใหญ่ด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ของมนุษย์ แทนที่จะปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามสายลมแห่งโชคชะตา
ศิลปะกรีกมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากอารยธรรมเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผลงานรูปปั้นที่เน้นสัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบ มีความหนุ่มแน่นกระชุ่มกระชวยในทุกอณูสัมผัส ความงามแบบกรีกคือ ความเป็นมนุษย์ที่เจิดจ้าและมั่นใจ
ความยิ่งใหญ่ของเมืองเอเธนส์ ไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ที่พิเศษเหนือธรรมดา แต่เกิดจากบริบทแวดล้อมที่เหมาะสม นั่นคือ การเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยของสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมการค้า ในท่ามกลางความขัดแย้งของผู้คนและแนวคิด ได้กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้กับศิลปินในการเนรมิตผลงาน
แน่นอนว่า ย่อมไม่ใช่ทุกเมืองที่มีความขัดแย้งจะสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่การผลิตศิลปะสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน ความยิ่งใหญ่ของเอเธนส์ยังเกิดจากการเปิดกว้างต่อชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักพักพิงและร่วมทำงานสร้างสรรค์ เอเธนส์ได้อาศัยความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมมาเป็นส่วนผสมที่เข้มข้นในการผลักดันตนเองไปสู่ความรุ่งเรืองของยุคสมัย “คลาสสิค(Classic)” ที่โลกต้องจารึกจดจำ
Paris (ค.ศ. 1870-1910) ในปัจจุบันอาจได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองหลวง” แห่งวัฒนธรรมโลก อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของปารีสที่นับเป็นการปฏิวัติวงการศิลปะคือ ช่วงเวลาแห่งปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งศิลปินระดับโลกได้มารวมตัวกันเป็นเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network) ที่แต่ละคนต่างทุ่มเทเวลาในการผลิต วิจารณ์ ขัดเกลา และต่อยอดความรู้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเหล่าศิลปินหนุ่มแห่งลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ซึ่งแนวคิดที่กล้าหาญและปฏิวัติวงการศิลปะเช่นนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมในยุคสมัยนั้น หากทว่าพวกเขายังคงมีกำลังใจอันเด็ดเดี่ยวในการเผชิญความยากลำบากก็เพราะมีเครือข่ายศิลปินที่คอยปลอบประโลมและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
บทเรียนจากปารีสในช่วงรอยต่อที่สร้างสรรค์แห่งปลายศตวรรษที่ 19 ก็คือ เครือข่ายสร้างสรรค์ของเหล่าศิลปิน (Creative Network) แน่นอนว่า การรวมตัวของศิลปินในเมืองที่ค่าครองชีพแสนแพงอย่างปารีสนั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะรากฐานในเชิงศิลปะและวัฒนธรรมที่สะสมกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะสถาบันทางศิลปะที่เริ่มตั้งต้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1638-1715) ยังไม่นับพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซึ่งเป็นแหล่งสะสมผลงานศิลปะที่หลากหลายและรุ่มรวยที่สุดในโลก แต่ที่จะลืมไปไม่ได้ก็คือ ผู้อุปถัมภ์ศิลปะ (Patronage) ซึ่งจากการสะสมวัฒนธรรมทางศิลปะมาหลายร้อยปี ย่อมทำให้ปารีสมีระบบตลาดซื้อขายงานศิลปะที่แข็งแกร่ง ซึ่งดึงดูดทั้งผู้ชื่นชอบศิลปะเพราะใจรัก รวมทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่เข้ามาหาประโยชน์จากตลาดงานศิลปะอันคึกคักรุ่มรวยนี้
Berlin (ค.ศ. 1918-1933) นี่คือ เยอรมันที่เจ็บปวดบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองสร้างสรรค์ระดับตำนานอย่าง Athens ที่ความขัดแย้งและสงครามไม่ได้ฉุดรั้งมนุษย์ออกจากการสร้างสรรค์ ความวุ่นวายของกรุงเบอร์ลินได้เป็นวัตถุดิบชั้นดีให้กับนวนิยายเชิงการเมืองในโรงละคร(Theater) ที่กำลังเบ่งบานด้วยความหอมหวานแห่งเสรีภาพ ขณะที่หนังสือพิมพ์และนิตยสารวิจารณ์ศิลปะได้แข่งขันกันยกระดับรสนิยมของประชาชน จนกระทั่งศิลปะแนว Expressionism และอีกหลายหลายสกุลได้เบ่งบานเริงร่าในห้วงเวลาแห่งเสรีภาพที่สร้างสรรค์นี้
Berlin นับเป็นต้นแบบยิ่งใหญ่ให้กับเมืองสร้างสรรค์ในศตวรรษที่ 20 แต่ขณะเดียวกันแนวคิดสุดขั้ว (Extreme) ที่ไม่ยอมประนีประนอมระหว่างรูปแบบสังคมเก่ากับสังคมใหม่ที่เสรีชนทั้งหลายปรารถนา ก็ได้เป็นเชื้อไฟชั้นดีให้กับระบอบเผด็จการนาซีที่น่าสะพรึงกลัว ได้ฉวยโอกาสเข้ามาระงับความขัดแย้งวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากความรุ่มรวยด้วยเสรีภาพของประชาชน
แน่นอนว่า ห้วงเวลา 15 ปีแห่งความสร้างสรรค์ของ Berlin ก็เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่ช่วยให้เยอรมันฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงหลังการล่มสลายของนาซีที่พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กระนั้น ต้นทุนของชีวิตและอารยธรรมที่สูญเสียไปในสมัยนาซีเรืองอำนาจก็เจ็บปวดและรุนแรงเกินไป
แน่นอนว่า ยังมีเมืองสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงในประวัติศาสตร์อารยธรรมโลกอีกหลายแห่ง แต่กระนั้น กรณีศึกษาทั้ง 3 เมืองที่กล่าวถึงข้างต้นก็มีบทเรียนที่น่าสนใจซึ่งน่าจะนำมาเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนา Creative City ในประเทศไทยได้ดังนี้
1. ความขัดแย้งที่สร้างสรรค์
ความวุ่นวายย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาในทุกสังคม แต่ประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมีสังคมใดที่ปราศจากความขัดแย้ง และที่น่าแปลกใจก็คือ ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้น มักจะเต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้ง ดังนั้น เราจึงไม่ควรหวาดกลัวความขัดแย้งมากเกินไป จนลืมมองไปถึงพลังสร้างสรรค์ที่แฝงอยู่ในความขัดแย้งนั้น
บางทีการเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ร่วมกับความขัดแย้งอย่างมีความสุข กระทั่งแปรความขัดแย้งเป็นวัตถุดิบและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ ก็อาจช่วยทำให้ประเทศไทยพลิกฟื้นจากวิกฤตครั้งใหญ่นี้ได้
2. ศิลปะในการทำงานร่วมกับ “ผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย”
Athens มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี แต่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดมีเพียง 100 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อสังคมในห้วงเวลานั้นได้เปิดกว้างต่อการอพยพของคนต่างชาติเข้ามาทำงานอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
แน่นอนว่า เมืองไทยนั้นเปิดกว้างต่อชาวต่างชาติ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้น หากต้องการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ก็ควรที่จะวางยุทธศาสตร์ที่เฉียบแหลมในการดึงดูด Creative Talent จากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานอย่างเข้มข้นจริงจัง
ยิ่งกว่านั้น ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างเมืองและชนบทไทย ก็อาจเป็นวัตถุดิบแห่งการสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองได้นำพาชาวชนบทให้มาพบกับชาวกรุงในจุดศูนย์กลางของประเทศ ซึ่งหากประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดก็ย่อมนำพาไปสู่จุดเริ่มต้นแห่งการสร้างสรรค์ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม
3. เครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network)
Paris เป็นเมืองที่ดึงดูดศิลปินจากทั่วโลกได้ ก็เนื่องจากมีตลาดซื้อขายผลงานศิลปะที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพเพียงพอจะกระตุ้นความสนใจของตลาดศิลปะได้นั้น ก็ย่อมต้องใช้เวลานับสิบปี ดังนั้น แรงจูงใจในการสร้างสรรค์ของศิลปินจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทองและความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังหล่อเลี้ยงด้วยกำลังใจ การวิจารณ์ถกเถียง และการขัดเกลาผลงานระหว่างผู้คนในเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network)
ประเทศไทยอาจไม่มีตลาดศิลปะที่เข้มแข็งเท่าปารีส แต่กระนั้น รัฐบาลก็สามารถสนับสนุนเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network) เพื่อคอยเป็นพี่เลี้ยงและประคับประคองศิลปินรุ่นใหม่ให้มีกำลังใจและความช่วยเหลือเพียงพอที่จะออกเดินทางตามความฝันได้ยาวนานเพียงพอกระทั่งค้นพบความสำเร็จ
4. สมดุลแห่งความขัดแย้ง
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ความขัดแย้ง” เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศแห่งการสร้างสรรค์ แต่กระนั้น ความขัดแย้งที่ดีจะต้องอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นจริงของสังคม ไม่ใช่ขัดแย้งเพื่อขัดแย้ง ขัดแย้งเพื่อให้ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพ เพราะสุดท้ายแล้วความขัดแย้งที่มากเกินพอดีและไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ก็อาจนำไปสู่จุดจบแบบนครเบอร์ลินที่ได้พัฒนาความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ไปถึงจุดที่กลายเป็นความขัดแย้งเพื่อขัดแย้ง และเปิดโอกาสให้เผด็จการนาซีได้เข้ามาครอบงำสังคม
ที่น่าสนใจก็คือ ยุคทองแห่งการสร้างสรรค์ที่ถูกกล่าวขวัญและชื่นชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อารยธรรมมนุษย์ นั่นคือ Athens และ Florence (ค.ศ. 1400-1500) ล้วนแต่เป็นยุคที่สามารถรักษาสมดุลระหว่างความขัดแย้งที่รุนแรงได้อย่างงดงาม อย่างน้อยก็ภายในช่วงยุคทองนั้น
ศิลปินแห่งปารีสอาจเป็นกลุ่มที่เข้าใจกลเม็ดในการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ได้ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อผลงานของศิลปิน Impressionism และ Cubism ได้ปฏิวัติความรับรู้และโลกทัศน์ของผู้คนในยุคนั้นอย่างรุนแรง แต่กลุ่มศิลปินที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ตระหนักได้ดีถึงขอบเขตของศิลปะที่แม้จะหยิบยืมวัตถุดิบจากความขัดแย้งในสังคมและการเมือง แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของศิลปินที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัวในสาขาที่ตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
ความยิ่งใหญ่ของศิลปิน ก็คือ การปล่อยให้ผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขา ได้ปฏิวัติความรับรู้ของยุคสมัย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในหลากหลายความเชื่อได้ตีความผลงานไปตามความนึกฝันส่วนตัว นี่คือ มนต์เสน่ห์ของศิลปินและเมืองสร้างสรรค์ที่ได้เปิด “ที่ว่าง” เพื่อทุกคน
ที่มา creativethailand
…………………………..
วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553
พบปมใหม่‘สมคิด’กมธ.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์พ.ร.บ.ล้างมลทิน
จาก.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เรียกตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกฤษฎีกาเข้าชี้แจงหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พบ “สมคิด” อาจไม่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นโทษ เพราะกฎหมายกำหนดชัดผู้ที่ได้รับการยกเว้นโทษต้องถูกคำสั่งให้เป็นผู้มีความผิด หรือถูกสั่งลงโทษมาก่อน แต่ไม่พบหลักฐานยืนยัน “สมคิด” ถูกสั่งลงโทษแล้วหรือไม่ ชี้หากยังไม่เคยรับโทษต้องถูกตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัย เพราะถูกฟ้องร้องเป็นผู้ต้องหาในชั้นศาลแล้ว “สุเทพ” ชี้แจงเคยถูกตั้งกรรมการสอบแล้วแต่ไม่มีโทษ เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด ยันเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ประชุม ก.ตร. 24 ก.ย. นี้ เล็งหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการให้นั่ง ผบ.ตร. รับประกันไม่ส่งนั่งตบยุงในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวว่า การประชุม ก.ตร. เพื่อหาตำแหน่งรองรับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) ที่ประกาศไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) จะพยายามหาข้อยุติให้ได้ในการประชุมวันที่ 24 ก.ย. นี้
หาตำแหน่งผู้บัญชาการให้ “สมคิด”
“หลักการคือตำแหน่งจะลดลงกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะท่านเป็น พล.ต.ท. มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ ต้องหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการที่ใดที่หนึ่งให้ การพิจารณาของ ก.ตร. อาจรื้อโผใหม่หมด หรือเอาของเก่ามาปรับก็ได้” นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากรื้อใหม่อาจมีปัญหาตามมาอีก นายสุเทพกล่าวว่า อาจเลือกวิธีที่ไม่กระทบกับโผเดิมมากนัก เช่น กรณีของ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี ซึ่งมีอาวุโสในลำดับถัดไป หากขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ตำแหน่งเดิมจะว่างลง พล.ต.ท.สมคิดอาจได้รับการพิจารณาไปอยู่ตรงนั้น
ระดับเดียวกับของเดิมไม่ได้สูงขึ้น
เมื่อถามต่อว่าหากซาอุดีอาระเบียไม่พอใจเพราะเห็นว่าได้ตำแหน่งสูงขึ้นอีกจะทำอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้สูงขึ้น กรณีนี้เหมือนกับการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่ย้ายจากจังหวัดหนึ่งไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่งแต่ตำแหน่งเท่าเดิม ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าซาอุฯยื่นเงื่อนไขต้องไม่เลื่อนชั้นยศ พล.ต.ท.สมคิดนั้น ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อ พล.ต.ท.สมคิดเสียสละเพื่อยุติความขัดแย้งกับซาอุฯ การพิจารณาตำแหน่งใหม่จะไม่ได้ไปอยู่ในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน ส่วนจะได้อยู่ตำแหน่งไหนนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ตร.
อุปทูตซาอุฯเข้าฟังหลักเกณฑ์ล้างมลทิน
ด้านนายนาบิล เอช อัชรี อุปทูตซาอุฯประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปฟังการชี้แจงประเด็นข้อกฎหมายล้างมลทินกรณีของ พล.ต.ท.สมคิดที่ตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
นายอัชรียืนยันต่อที่ประชุมว่า ไม่ได้นำเรื่อง พล.ต.ท.สมคิดมาผูกโยงกับการออกวีซ่าให้คนไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
“สมคิด” อาจไม่เข้าเกณฑ์ล้างมลทิน
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังการประชุมว่า เท่าที่รับฟังคำชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องพบว่า พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2545 มาตรา 5 และ 6 ระบุว่าผู้ที่จะเข้าข่ายกรณีนี้ต้องเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าทำผิดทางวินัย ประเด็นนี้จึงมีปัญหาที่ต้องตั้งคำถามว่า พล.ต.ท.สมคิดมีความผิดทางวินัยหรือยัง มีการสอบเอาผิดทางวินัยหรือยัง หากมีการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนชี้โทษทางวินัยหรือยัง กรณีนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงได้มอบให้ตัวแทนของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปช่วยพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่ และมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลคดีอาญา ผลการสอบวินัย และประวัติการทำงานทั้งหมดของ พล.ต.ท.สมคิดเพื่อนำมาพิจารณาให้ชัดเจนอีกครั้ง
ไม่มีหลักฐานเคยถูกลงโทษมาก่อน
“ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า พล.ต.ท.สมคิดทำผิด ไม่ถูกไล่ออก ไม่ถูกพักราชการ ตัดเงินเดือนหรือลดขั้นเงินเดือน จึงคิดว่ายังไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ล้างมลทิน อีกทั้งล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบหลักฐานใหม่จนมีการส่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ถือว่าเป็นการนับหนึ่งใหม่ในคดีอาญาหรือไม่ และจะเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทินหรือไม่” นายประชากล่าว
“สุเทพ” แจงสอบแล้วไม่พบความผิด
กรณีเดียวกันนี้ นายสุเทพได้ตอบกระทู้ถามของ ส.ส.ฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาระบุว่า พล.ต.ท.สมคิดถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุฯเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยนั้น พล.ต.ท.สมคิดถูกตั้งข้อหา ซึ่งกรมตำรวจขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ในที่สุดการสอบสวนทางวินัยไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานมาดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนั้นได้ อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ส่วนอธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งยุติการดำเนินการทางวินัย เพราะไม่มีหลักฐานมาประกอบคดี
กฎหมายไม่ให้นำเรื่องเก่ามารื้อฟื้นอีก
ต่อมามี พ.ร.บ.ล้างมลทิน มาตรา 6 ระบุว่า ในบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัย หากผู้บังคับบัญชาสั่งยุติเรื่องแล้ว หรือได้รับโทษทางวินัยไปแล้ว ไม่ให้นำเรื่องนั้นมาดำเนินการทางวินัยอีก กรณีของ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนี้แม้ว่าดีเอสไอจะสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการและสั่งฟ้องคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถดำเนินการกับ พล.ต.ท.สมคิดได้ เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจน ซึ่งเรื่องทั้งหมดมีเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ก.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว
**********************************************************************
คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เรียกตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกฤษฎีกาเข้าชี้แจงหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พบ “สมคิด” อาจไม่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นโทษ เพราะกฎหมายกำหนดชัดผู้ที่ได้รับการยกเว้นโทษต้องถูกคำสั่งให้เป็นผู้มีความผิด หรือถูกสั่งลงโทษมาก่อน แต่ไม่พบหลักฐานยืนยัน “สมคิด” ถูกสั่งลงโทษแล้วหรือไม่ ชี้หากยังไม่เคยรับโทษต้องถูกตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัย เพราะถูกฟ้องร้องเป็นผู้ต้องหาในชั้นศาลแล้ว “สุเทพ” ชี้แจงเคยถูกตั้งกรรมการสอบแล้วแต่ไม่มีโทษ เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด ยันเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ประชุม ก.ตร. 24 ก.ย. นี้ เล็งหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการให้นั่ง ผบ.ตร. รับประกันไม่ส่งนั่งตบยุงในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวว่า การประชุม ก.ตร. เพื่อหาตำแหน่งรองรับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) ที่ประกาศไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) จะพยายามหาข้อยุติให้ได้ในการประชุมวันที่ 24 ก.ย. นี้
หาตำแหน่งผู้บัญชาการให้ “สมคิด”
“หลักการคือตำแหน่งจะลดลงกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะท่านเป็น พล.ต.ท. มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ ต้องหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการที่ใดที่หนึ่งให้ การพิจารณาของ ก.ตร. อาจรื้อโผใหม่หมด หรือเอาของเก่ามาปรับก็ได้” นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากรื้อใหม่อาจมีปัญหาตามมาอีก นายสุเทพกล่าวว่า อาจเลือกวิธีที่ไม่กระทบกับโผเดิมมากนัก เช่น กรณีของ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี ซึ่งมีอาวุโสในลำดับถัดไป หากขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ตำแหน่งเดิมจะว่างลง พล.ต.ท.สมคิดอาจได้รับการพิจารณาไปอยู่ตรงนั้น
ระดับเดียวกับของเดิมไม่ได้สูงขึ้น
เมื่อถามต่อว่าหากซาอุดีอาระเบียไม่พอใจเพราะเห็นว่าได้ตำแหน่งสูงขึ้นอีกจะทำอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้สูงขึ้น กรณีนี้เหมือนกับการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่ย้ายจากจังหวัดหนึ่งไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่งแต่ตำแหน่งเท่าเดิม ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าซาอุฯยื่นเงื่อนไขต้องไม่เลื่อนชั้นยศ พล.ต.ท.สมคิดนั้น ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อ พล.ต.ท.สมคิดเสียสละเพื่อยุติความขัดแย้งกับซาอุฯ การพิจารณาตำแหน่งใหม่จะไม่ได้ไปอยู่ในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน ส่วนจะได้อยู่ตำแหน่งไหนนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ตร.
อุปทูตซาอุฯเข้าฟังหลักเกณฑ์ล้างมลทิน
ด้านนายนาบิล เอช อัชรี อุปทูตซาอุฯประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปฟังการชี้แจงประเด็นข้อกฎหมายล้างมลทินกรณีของ พล.ต.ท.สมคิดที่ตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
นายอัชรียืนยันต่อที่ประชุมว่า ไม่ได้นำเรื่อง พล.ต.ท.สมคิดมาผูกโยงกับการออกวีซ่าให้คนไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
“สมคิด” อาจไม่เข้าเกณฑ์ล้างมลทิน
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังการประชุมว่า เท่าที่รับฟังคำชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องพบว่า พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2545 มาตรา 5 และ 6 ระบุว่าผู้ที่จะเข้าข่ายกรณีนี้ต้องเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าทำผิดทางวินัย ประเด็นนี้จึงมีปัญหาที่ต้องตั้งคำถามว่า พล.ต.ท.สมคิดมีความผิดทางวินัยหรือยัง มีการสอบเอาผิดทางวินัยหรือยัง หากมีการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนชี้โทษทางวินัยหรือยัง กรณีนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงได้มอบให้ตัวแทนของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปช่วยพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่ และมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลคดีอาญา ผลการสอบวินัย และประวัติการทำงานทั้งหมดของ พล.ต.ท.สมคิดเพื่อนำมาพิจารณาให้ชัดเจนอีกครั้ง
ไม่มีหลักฐานเคยถูกลงโทษมาก่อน
“ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า พล.ต.ท.สมคิดทำผิด ไม่ถูกไล่ออก ไม่ถูกพักราชการ ตัดเงินเดือนหรือลดขั้นเงินเดือน จึงคิดว่ายังไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ล้างมลทิน อีกทั้งล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบหลักฐานใหม่จนมีการส่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ถือว่าเป็นการนับหนึ่งใหม่ในคดีอาญาหรือไม่ และจะเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทินหรือไม่” นายประชากล่าว
“สุเทพ” แจงสอบแล้วไม่พบความผิด
กรณีเดียวกันนี้ นายสุเทพได้ตอบกระทู้ถามของ ส.ส.ฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาระบุว่า พล.ต.ท.สมคิดถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุฯเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยนั้น พล.ต.ท.สมคิดถูกตั้งข้อหา ซึ่งกรมตำรวจขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ในที่สุดการสอบสวนทางวินัยไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานมาดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนั้นได้ อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ส่วนอธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งยุติการดำเนินการทางวินัย เพราะไม่มีหลักฐานมาประกอบคดี
กฎหมายไม่ให้นำเรื่องเก่ามารื้อฟื้นอีก
ต่อมามี พ.ร.บ.ล้างมลทิน มาตรา 6 ระบุว่า ในบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัย หากผู้บังคับบัญชาสั่งยุติเรื่องแล้ว หรือได้รับโทษทางวินัยไปแล้ว ไม่ให้นำเรื่องนั้นมาดำเนินการทางวินัยอีก กรณีของ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนี้แม้ว่าดีเอสไอจะสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการและสั่งฟ้องคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถดำเนินการกับ พล.ต.ท.สมคิดได้ เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจน ซึ่งเรื่องทั้งหมดมีเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ก.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว
**********************************************************************
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
ทูตขั้นเทพ...ไม่รับประทาน!
ตลอดห้วงการบริหารประเทศของ “รัฐบาลเทพประทาน” ภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดนี้จะกระหยิ่มยิ้มย่องกับผลงาน ชิ้นโบแดงของกระทรวงการ ต่างประเทศเป็นยิ่งนัก แต่ในความภาคภูมิใจนักภูมิใจหนาในผลงานกระทรวงบัวแก้ว
ความเป็นจริงนั้น มันได้สร้างปรากฏการณ์หัวกลับ ผูกโบดำทางการทูตของไทย อย่างไม่เคยปรากฏในรัฐบาลชุดใดมาก่อน นับตั้งแต่บ้านเมืองนี้ประทับตรารับรองตัวเองในฐานะชาติ ผู้เจริญแล้ว
ปฏิบัติการไล่ล่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ภายใต้บัญชาของ “กษิต ภิรมย์” เจ้ากระทรวงบัวแก้ว แม้จะยังไม่สามารถจับให้มั่น คั้นให้ตาย แต่นักโทษหนีคดีอาญา ผู้นี้ก็แทบเข้าตาจนบนมิติโลกกว้างทางแคบที่กำลังเผชิญอยู่เท่าทุกวันนี้
ชูมือตบ ตีนตบ กราวใหญ่ให้กับผลงาน การไล่ล่า แต่พอเหลียวหลังกลับมา พับผ่า ผลผลิต คอร์รัปชั่น ถ่ายเอกสาร “ระบอบทักษิณ” เบ่งบาน เต็มบ้านเต็มเมือง
งานบ้าน งานเมือง ที่ควรจะทำกลับไม่ยอม ทำ วันๆ เอาแต่เล่นเอาล่อเอาเถิดเปิดสงครามน้ำลายกับเขมรเจ้าเล่ห์อย่าง “ฮุนเซน” ส่งผลให้ประชาชนเริ่มเอือมระอา แนวร่วมหัวกลับ แดง-เหลือง รุมสหบาทารัฐบาลโดยไม่ได้นัดหมาย
ส่วนที่ไปบ้าจี้แลกหมัดกับเขมร บวก ลบ คูณ หาร ในยามสงครามน้ำลายสงบ “นายกฯ อภิสิทธิ์” โดนชั้นเชิงทางการทูตของ “ฮุนเซน” ตีกินจนแทบไม่เหลือหล่อ คนที่ซวยก็เป็นประชาชนชาวไทย ชาวเขมร ที่ริมขอบ ต้องตกอยู่ในอาการประหวั่นพรั่นพรึงทุกครั้งใน ยามท่านผู้นำพ่นน้ำลาย
และแล้วสัมพันธ์ไทย-เขมร ก็เป็นไป อย่างทุลักทุเล!!!พักรบ “ฮุนเซน” ก็ถึงคิว “วิคเตอร์ บูท” งานนี้ “วอลล์เปเปอร์” สวมบทล็อบบี้ยิสต์เดินเข้าออกคุก โดยไม่ยำเกรงต่ออาชญากร โชว์สายล่อฟ้าล่อเป้าทีมงานเชลียร์ “นายใหญ่” เดินเข้าคุก จับเข่าคุยพ่อค้าความตาย จนเรื่องราวบานปลายถึงขั้นพญา อินทรีและพญาหมี เกิดอาการ โกรธกริ้ว
จับประเทศไทยตรึงไว้ตรงกลางระหว่างเขาควาย ขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้ เหตุด้วย 2 มหาอำนาจตั้งท่าไล่ขย้ำ หาก 2 มาตรฐานทำให้ไม่ปลื้มมีหวังงอมพระรามเป็นแน่แท้ สุดท้ายเรื่องคาราคาซัง “วิคเตอร์ บูท” อยู่โยงกินข้าวแดงในคุกไทยต่อไป บนความหวาดระแวง ของ 2 ชาติมหาอำนาจที่มีให้ไทย
ประติมากรรมสีเทาชิ้นล่าสุดฉบับเทพประทาน นั่นคือการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” นั่งแท่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. บนความอิดแหนงแคลงใจของรัฐบาล ซาอุดีอาระเบีย เหตุของเหตุคือนายตำรวจใหญ่ท่านนี้ดันมีชื่อไปพัวพัน กับคดีอุ้มฆ่า “อัล รูไวรี่” นักธุรกิจชาวซาอุฯ
ส่งผลให้ “นาบิล อัล อัชลี่” อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ออกแถลงการณ์แสดงความ ไม่พอใจถึง 3 ฉบับติดๆ ในเวลาใกล้เคียงกัน หากจำกันได้ก็คงทราบกันดีว่า ก็เป็น “รัฐบาลเทพประทาน” นี่แหละที่รื้อคดีนี้ขึ้นมา และหากรีรันกลับไปในอดีต จะพบว่า ทุกครั้งที่มี การโหมโรงเกี่ยวกับการรื้อฟื้นคดี ชื่อของ “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” จะถูกทางรัฐบาล ซาอุดีอาระเบียกล่าวขวัญถึงอย่างจดจ่อ
งานนี้ “เทพประทาน” เขี่ยลูกเล่นเอง แต่ทำไปทำมากลับเตะลูกบอลเข้าประตูตัวเอง ซะงั้น สรุปคือ “รัฐบาลเขียนด้วยมือ แต่กลับลบด้วยเท้า”
สุดท้ายเรื่องจะไปจบลงตรงที่ไหน คงต้องรอวันที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ จะให้คำตอบกับอุปทูตซาอุดีอาระเบีย แต่ระหว่างรอมันก็ได้นำพามาซึ่งสารพัดแห่ง ความหวาดระแวง
แน่นอนหากผลสรุปสุดท้ายออกมาในทางที่ไม่เป็นคุณ ที่กระทบแน่ๆ 5 ข้อคงไม่พ้น 1.ธุรกิจอาหารฮาลาล 2.ธุรกิจการค้าระหว่าง ประเทศ 3.ธุรกิจทางด้านพลังงาน น้ำมัน 4. ธุรกิจทางด้านแรงงานในตะวันออกกลาง และ 5.มุสลิมไทยที่ประสงค์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์
แถมล่าสุด 8 องค์กรอิสลาม ก็รวมตัวกดดันรัฐบาลให้รีบสางปัญหานี้โดยด่วน ส่วนรัฐบาลซาอุฯ ก็ประกาศถอนวีซ่ามุสลิมไทยที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ล็อจแรกแล้ว 400 คน และมีแนวโน้มว่า หากไม่มีความคืบหน้าจะมีการถอนวีซ่าสูงถึง 15,000 คน
หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย อาจบังเกิดการชุมนุมในรูปแบบใหม่ท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ก็อาจจะเป็นได้ นี่แหละหนาผลงานที่ภูมิใจกันหนักหนา ผ่านการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศยุคนี้
อนิจจา “เทพประทาน” โชว์โบดำการทูตขั้นเทพ แต่...ไม่รับประทาน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเป็นจริงนั้น มันได้สร้างปรากฏการณ์หัวกลับ ผูกโบดำทางการทูตของไทย อย่างไม่เคยปรากฏในรัฐบาลชุดใดมาก่อน นับตั้งแต่บ้านเมืองนี้ประทับตรารับรองตัวเองในฐานะชาติ ผู้เจริญแล้ว
ปฏิบัติการไล่ล่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ภายใต้บัญชาของ “กษิต ภิรมย์” เจ้ากระทรวงบัวแก้ว แม้จะยังไม่สามารถจับให้มั่น คั้นให้ตาย แต่นักโทษหนีคดีอาญา ผู้นี้ก็แทบเข้าตาจนบนมิติโลกกว้างทางแคบที่กำลังเผชิญอยู่เท่าทุกวันนี้
ชูมือตบ ตีนตบ กราวใหญ่ให้กับผลงาน การไล่ล่า แต่พอเหลียวหลังกลับมา พับผ่า ผลผลิต คอร์รัปชั่น ถ่ายเอกสาร “ระบอบทักษิณ” เบ่งบาน เต็มบ้านเต็มเมือง
งานบ้าน งานเมือง ที่ควรจะทำกลับไม่ยอม ทำ วันๆ เอาแต่เล่นเอาล่อเอาเถิดเปิดสงครามน้ำลายกับเขมรเจ้าเล่ห์อย่าง “ฮุนเซน” ส่งผลให้ประชาชนเริ่มเอือมระอา แนวร่วมหัวกลับ แดง-เหลือง รุมสหบาทารัฐบาลโดยไม่ได้นัดหมาย
ส่วนที่ไปบ้าจี้แลกหมัดกับเขมร บวก ลบ คูณ หาร ในยามสงครามน้ำลายสงบ “นายกฯ อภิสิทธิ์” โดนชั้นเชิงทางการทูตของ “ฮุนเซน” ตีกินจนแทบไม่เหลือหล่อ คนที่ซวยก็เป็นประชาชนชาวไทย ชาวเขมร ที่ริมขอบ ต้องตกอยู่ในอาการประหวั่นพรั่นพรึงทุกครั้งใน ยามท่านผู้นำพ่นน้ำลาย
และแล้วสัมพันธ์ไทย-เขมร ก็เป็นไป อย่างทุลักทุเล!!!พักรบ “ฮุนเซน” ก็ถึงคิว “วิคเตอร์ บูท” งานนี้ “วอลล์เปเปอร์” สวมบทล็อบบี้ยิสต์เดินเข้าออกคุก โดยไม่ยำเกรงต่ออาชญากร โชว์สายล่อฟ้าล่อเป้าทีมงานเชลียร์ “นายใหญ่” เดินเข้าคุก จับเข่าคุยพ่อค้าความตาย จนเรื่องราวบานปลายถึงขั้นพญา อินทรีและพญาหมี เกิดอาการ โกรธกริ้ว
จับประเทศไทยตรึงไว้ตรงกลางระหว่างเขาควาย ขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้ เหตุด้วย 2 มหาอำนาจตั้งท่าไล่ขย้ำ หาก 2 มาตรฐานทำให้ไม่ปลื้มมีหวังงอมพระรามเป็นแน่แท้ สุดท้ายเรื่องคาราคาซัง “วิคเตอร์ บูท” อยู่โยงกินข้าวแดงในคุกไทยต่อไป บนความหวาดระแวง ของ 2 ชาติมหาอำนาจที่มีให้ไทย
ประติมากรรมสีเทาชิ้นล่าสุดฉบับเทพประทาน นั่นคือการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” นั่งแท่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. บนความอิดแหนงแคลงใจของรัฐบาล ซาอุดีอาระเบีย เหตุของเหตุคือนายตำรวจใหญ่ท่านนี้ดันมีชื่อไปพัวพัน กับคดีอุ้มฆ่า “อัล รูไวรี่” นักธุรกิจชาวซาอุฯ
ส่งผลให้ “นาบิล อัล อัชลี่” อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ออกแถลงการณ์แสดงความ ไม่พอใจถึง 3 ฉบับติดๆ ในเวลาใกล้เคียงกัน หากจำกันได้ก็คงทราบกันดีว่า ก็เป็น “รัฐบาลเทพประทาน” นี่แหละที่รื้อคดีนี้ขึ้นมา และหากรีรันกลับไปในอดีต จะพบว่า ทุกครั้งที่มี การโหมโรงเกี่ยวกับการรื้อฟื้นคดี ชื่อของ “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” จะถูกทางรัฐบาล ซาอุดีอาระเบียกล่าวขวัญถึงอย่างจดจ่อ
งานนี้ “เทพประทาน” เขี่ยลูกเล่นเอง แต่ทำไปทำมากลับเตะลูกบอลเข้าประตูตัวเอง ซะงั้น สรุปคือ “รัฐบาลเขียนด้วยมือ แต่กลับลบด้วยเท้า”
สุดท้ายเรื่องจะไปจบลงตรงที่ไหน คงต้องรอวันที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ จะให้คำตอบกับอุปทูตซาอุดีอาระเบีย แต่ระหว่างรอมันก็ได้นำพามาซึ่งสารพัดแห่ง ความหวาดระแวง
แน่นอนหากผลสรุปสุดท้ายออกมาในทางที่ไม่เป็นคุณ ที่กระทบแน่ๆ 5 ข้อคงไม่พ้น 1.ธุรกิจอาหารฮาลาล 2.ธุรกิจการค้าระหว่าง ประเทศ 3.ธุรกิจทางด้านพลังงาน น้ำมัน 4. ธุรกิจทางด้านแรงงานในตะวันออกกลาง และ 5.มุสลิมไทยที่ประสงค์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์
แถมล่าสุด 8 องค์กรอิสลาม ก็รวมตัวกดดันรัฐบาลให้รีบสางปัญหานี้โดยด่วน ส่วนรัฐบาลซาอุฯ ก็ประกาศถอนวีซ่ามุสลิมไทยที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ล็อจแรกแล้ว 400 คน และมีแนวโน้มว่า หากไม่มีความคืบหน้าจะมีการถอนวีซ่าสูงถึง 15,000 คน
หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย อาจบังเกิดการชุมนุมในรูปแบบใหม่ท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ก็อาจจะเป็นได้ นี่แหละหนาผลงานที่ภูมิใจกันหนักหนา ผ่านการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศยุคนี้
อนิจจา “เทพประทาน” โชว์โบดำการทูตขั้นเทพ แต่...ไม่รับประทาน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดร.โกร่งดับเครื่องชน "ธปท.-ปธ.แบงก์ชาติ-รมว.คลัง" แก้บาทแข็งเวอร์ชั่นคนเดินตรอก เตือนระวังพัง
บุกรางรถไฟฟ้า เจอทีเด็ด คลี่ยิง6ศพวัดปทุม
ทีมดีเอสไอพบ ปลอกกระสุน! 'เลเซอร์'ยันวิถี เด็ดหัวเสื้อแดง ไม่มีรอยยิงต่อสู้
ผบ.สำนักคดีเทคโน โลยีดีเอสไอนำทีมขนอุปกรณ์ไฮเทคขึ้นตรวจสถานีรถไฟฟ้าสยาม และวัดปทุมวนาราม ไขปริศนาคดีการเสียชีวิต 6 ศพในเขตอภัยทานวัดปทุมฯ พบหลักฐานสำคัญเป็นปลอกกระสุนปืน 'เอชเค' กระ จายตกอยู่ใต้ราง อีกทั้งเลเซอร์ตรวจวิถีกระสุนชี้ชัด มีการยิงกระสุนปืนจากตำแหน่งที่ 'กลุ่มชายแต่งกายคล้ายทหาร' ยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าเข้าไปในวัดปทุมฯ จริง และตรงจุดเดียวกันนี้ยังสาดกระสุนไปสู่จุดที่มีผู้เสียชีวิต 6 ศพได้เช่นกัน แต่ไม่พบร่องรอยยิงปืนจากในวัดเข้าใส่กลุ่มชายคล้ายทหาร ส่วนดีเอสไออีกทีมลุยเก็บหลักฐานย่านบ่อนไก่-พระราม 4-ศาลาแดง เพื่อคลี่คลาย คดียิงเสื้อแดง ตะลึง! เจอรูกระสุนจริงนับร้อยรู ทั้งเอ็ม-16 และ 9 ม.ม. ทนายทักษิณยื่นร้อง 'ยูเอ็น' รบ.ไทยละเมิดกฎหมายอาญาระหว่างประเทศและสิทธิสากล ด้าน 'มาร์ค' โผล่จ้อ ซีเอ็นเอ็น ลั่นไม่ยุบสภาถ้าเสื้อแดงไม่ยอมสงบ
-ตรวจรถไฟฟ้า-วัดปทุมฯ
เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 24 ก.ย. พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ประมาณ 20 นาย พร้อมอุปกรณ์การตรวจสอบที่เกิดเหตุ เดินทางมาเก็บหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยาม และภายในวัดปทุมวนาราม ตรงจุดที่น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ "น้องเกด" พยาบาลอาสา ถูกยิงเสียชีวิต พร้อมเพื่อนอาสากู้ชีพกู้ภัยและประชาชน รวม 6 ศพ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553
ก่อนเริ่มกระบวนการตรวจสอบ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ เรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมาประชุมวางแผนการค้นหาหลักฐานในครั้งนี้บริเวณด้านหน้าทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าว โดยนำแผนที่มาประกอบคำอธิบายประมาณ 10 นาที ก่อนเจ้าหน้าที่จะแยกย้ายกันปฏิบัติงาน โดยแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก ขึ้นไปตรวจบนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ตั้งแต่แยกเฉลิมเผ่าจนถึงหน้าวัดปทุมฯ ชุดที่ 2 ตรวจสอบบริเวณแนวกำแพงและภายในวัดปทุมฯ
ทั้งนี้ ระหว่างปฏิบัติงานโดยรอบพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า และหน้าวัดปทุมฯ มีกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอติดปืนกลประมาณ 5 นาย เข้าประจำจุดเพื่อคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับทีมค้นหาหลักฐานตลอดทั้งคืน
-ยิง'เลเซอร์'หาวิถีกระสุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการตรวจสอบ ทีมช่างของบีทีเอสได้เข้ามาตัดกระแสไฟบนรางทั้งหมด ก่อนจะอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและนิติ วิทยาศาสตร์ขึ้นไปเท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้สื่อ มวลชนร่วมสังเกตการณ์
สำหรับการตรวจวิถีกระสุน เจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าด้านหน้าวัดปทุมวนาราม พร้อมใช้เครื่องมือยิงแสงเลเซอร์ลงมายังพื้นดินตรงจุดที่พบหลุมลักษณะคล้ายกระสุนปืน ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร จำนวน 3 รอย บริเวณประตูทาง ออก ภายในวัดปทุมฯ โดยมีเจ้าหน้าที่อีกชุดอยู่ภายในวัดด้วย พร้อมกับใช้เครื่องมือยิงเลเซอร์ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพื่อตรวจหาวิถีที่ชัดเจน และเดินตรวจหาปลอกกระสุนและหลักฐานอื่นๆ ที่อาจยังหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะกระสุนปืนและปลอกกระสุน ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำมา ตรวจสอบเปรียบเทียบกับหลักฐานที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ ใช้เวลาค้นหาหลักฐานตั้งแต่ 01.00-05.00 น.
-เจอปลอก'เอชเค'ใต้ราง
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบหาหลักฐานครั้งนี้ เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ตลอดจนใช้เครื่องมือตรวจหาแนววิถีกระสุนเพื่อคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมกลุ่มนปช. ภายในวัดปทุมวนา ราม ในช่วงที่มีการชุมนุมเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังประสานขอความร่วมมือจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ "บีทีเอส" เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบนแนวรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่วงตั้งแต่สถานีสยามจนถึงวัดปทุมฯ
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบหาหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้น 2 บริเวณด้านหน้าวัดปทุมฯ เจ้าหน้าที่ตรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะเป็นกุญแจไขปริศนาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุยิงประชาชนในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง-นปช. โดยพบปลอกกระสุนปืน "เอชเค" ใช้แล้ว ตกกระจายอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าประมาณ 3-4 ปลอก เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์จึงเก็บไว้ตรวจสอบเปรียบเทียบกับหลักฐานหัวกระสุนปืนที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ว่าตรงกันหรือไม่
-ชี้คนบนรางยิงใส่วัดปทุมฯจริง
รายงานข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยด้วยว่า เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่เคยเป็นข่าวใหญ่ กรณีมีกลุ่มชายแต่งกายคล้ายทหารยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้า ตรงข้ามทางเข้าวัดปทุมฯ พร้อมกับเล็งปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ ช่วงเวลาประมาณ 18.00-18.30 น. วันที่ 19 พ.ค.2553 และเทียบกับผลตรวจวิถีกระสุนด้วยเลเซอร์ ทั้งยังพบปลอกกระสุนปืนบนรางรถไฟฟ้าด้วยนั้น แนวทางการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า กลุ่มชายคล้ายทหารดังกล่าวได้ยิงกระสุนปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ จริง
นอกจากนั้น ตำแหน่งที่กลุ่มชายคล้ายทหารยืนอยู่ยังสามารถเล็งยิงเข้าไปได้ทุกจุดในวัดปทุมฯ รวมถึงจุดที่พบศพผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพในวัดปทุมฯ เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่พบร่องรอยการยิงกระสุนปืนตอบโต้จากพื้นราบในวัดปทุมฯ ขึ้นมาใส่กลุ่มชายคล้ายทหารบนรางรถไฟฟ้าดังกล่าว
-ลงพื้นที่'บ่อนไก่-ศาลาแดง'
ต่อมาเวลา 10.00 น. บริเวณหน้าสนามมวยเวทีลุมพินี ถ.พระราม 4 กทม. พ.ต.ท.บัณฑิต ประดับสุข เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษดีเอสไอ พร้อมเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กว่า 30 นาย ลงพื้นที่เดินทางตรวจสอบหาหลักฐานแนววิถีกระสุนที่กลุ่มคนเสื้อแดงถูกยิงได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2553
ขั้นตอนการปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกตรวจสอบบริเวณหน้าสนามมวยเวทีลุมพินี ชุมชนบ่อนไก่ จนถึงบริเวณใต้ทางด่วนพระราม 4 ระยะทางกว่า 3 ก.ม. และชุดที่ 2 ตรวจสอบบริเวณแยกศาลาแดงและซอยปลูกจิต ระยะทางประมาณ 3 ก.ม. โดยใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง
สำหรับการตรวจหาหลักฐานวิถีกระสุนนี้ เจ้าหน้าที่จะตรวจทั้งหมด 8 จุด ประกอบด้วย หน้าร้านระเบียงทอง จุดพบศพนายบุญมี เริ่มสุข, หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาบ่อนไก่ จุดพบศพนาย สุพรรณ ทุมทอง, บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. จุดพบศพนายวารินทร์ วงศ์สนิท, หน้าร้านเซเว่นฯ จุดพบศพนายสมชาย พรสุวรรณ ส่วนจุดบริเวณหน้าสำนักงานไทยประกันชีวิต สาขาลุมพินี และ ริมถนนพระราม 4 เป็นจุดที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เสียชีวิต และจุดที่อยู่ใต้ทางด่วนพระราม 4 พบศพนายเกียรติคุณ ฉัตรวีระสกุล และนายประจวบ ประจวบสุข
ทั้งนี้ กรณีของนายบุญมี เริ่มสุข หรือลุงบุญมี นั้นเป็นประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ผู้ร่วมชุมนุม แต่ถูกลูกหลงกระสุนยิงทะลุช่องท้องขณะเดินออกมากินก๋วยเตี๋ยว
-เจอรูกระสุนปืนนับ 100 นัด
พ.ต.ท.บัณฑิตเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพื้นที่ในวันนี้เป็นการตรวจหาวิถีกระสุนและทิศทางการยิง เพื่อนำไปประกอบสำนวนในคดี โดยหลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทันที จึงทำให้การตรวจหาวิถีกระ สุนและหลักฐานต่างๆ ล่าช้าไปมาก แต่จะเร่งรวบรวมหลักฐานให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสถานที่ต่างๆ และตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ตั้งอยู่ริมทางเท้า ถ.พระราม 4 พบมีรอยรูกระ สุนปืนจำนวนมากนับ 100 นัด มีทั้งรูกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5.56 มิลลิเมตร และกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม. การตรวจสอบเจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องวัดระยะและอุปกรณ์ของทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์ จากนั้นจะนำไปประมวลผลการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
พ.ต.ท.บัณฑิตกล่าวอีกว่า เบื้องต้นเท่าที่ตรวจสอบรอยวิถีกระสุนปืนพบว่า มีการยิงมาจาก 2 ทิศทาง เป็นการยิงมาจากทางด้านสะพานไทย-เบลเยียม ข้ามแยกถนนวิทยุ นอกจากนั้น จากการสอบปากคำพยานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุทราบว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายเป็นชายวัยรุ่น อายุ 17 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนฟุตปาธหน้าร้านอันซีน ทราเวล สาขาลุมพินี เลขที่ 1881/9 ซึ่งผู้เสียชีวิตดังกล่าวไม่มีอยู่ในสำนวนของดีเอสไอ แต่อาจจะอยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวนชุดอื่น ซึ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
เวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยา ศาสตร์เดินทางไปตรวจสอบบริเวณซอยปลูกจิต ถ.พระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นจุดที่นายสมัย ทัดแก้ว อายุ 35 ปี ถูกยิงแผ่นหลัง 1 นัด ล้มลงอยู่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ก่อนจะมีผู้นำส่งร.พ.กล้วยน้ำไท 1 ในวันที่ 19 พ.ค. เข้าพักรักษาตัวที่ร.พ.ประมาณ 14 วัน ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 31 พ.ค. และมีพยานให้ข้อมูลว่าเห็นผู้เสียชีวิตเดินอยู่บนถนนพระราม 4 ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงรีบวิ่งเข้ามาในซอยประมาณ 50 เมตร ก่อนถูกยิงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยา ศาสตร์ได้ถ่ายรูปที่เกิดเหตุและบริเวณอาคารสูง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจจุดต่อไป คือ บริเวณ ซอยศาลาแดง 1 หน้าบริษัท กฤษณา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 1010/16 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. เป็นจุดที่ 2 ที่นายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี ถูกยิงศีรษะ 1 นัดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ทางเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ตรวจวิถีกระสุน บริเวณประตูเหล็กเลื่อนหน้าบริษัทที่มีรอยกระสุนเฉี่ยวบริเวณประตูเหล็ก และเสาปูน โดยใช้เครื่องเลเซอร์วัดระยะและตรวจวิถีกระสุน ก่อนจะถ่ายภาพร่องรอยในที่เกิดเหตุใช้เวลาตรวจราว 30 นาที จึงแล้วเสร็จ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการเข้าตรวจหาร่องรอยบริเวณแยกบ่อนไก่ เจ้าหน้าที่ตรวจจากร่องรอยรูกระสุนปืนจากบริเวณตามบ้านเรือน ราวบันไดสะพานลอย ป้ายโฆษณา หน้าตึกแถวร้านขายสินค้าและตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งพบว่ายังมีร่องรอยรูกระสุนปืนอยู่เป็นจำนวนมาก
-'ตู่'เปิดศูนย์เยียวยาเสื้อแดง
เวลา 13.00 น. ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว กทม. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช. แถลงข่าวการเปิดศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม (นปช.) ที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ว่า นับแต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงได้ให้เงินบริจาคช่วยเหลือจำนวนมาก แต่ถูกตรวจสอบจากรัฐบาลและไม่ให้นำเงินออกมาใช้ เมื่อถึงช่วงเวลานี้ได้พูดคุยกันในหมู่ผู้ใหญ่คนเสื้อแดงและคนที่เสื้อแดงคิดถึงว่า ถึงเวลาต้องช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ได้รับความเดือดร้อน จึงตั้งศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม เพื่อช่วยเหลือในด้านต่างๆ โดยมีคณะกรรมการหลักๆ ที่จะร่วมประชุมกันทุกวันพฤหัสบดี อาทิ น.ส.สุนีย์ เหลืองวิจิตร อดีตเลขาธิการพรรค นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าอิมพี เรียล ลาดพร้าว โดยกองทุนช่วยเหลือเยียวยามีเงินหมุนเวียนประมาณ 1,500,000 บาท
"ถ้าวันนี้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาเป็นพรรคเพื่อไทย จะดูแลผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยครอบ ครัวผู้เสียชีวิตรับครอบครัวละ 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับการที่รัฐบาลโกงกินภาษีประชาชน" นายจตุพรระบุ
-ดีเอสไอขอข้อมูล'เพื่อไทย'
เวลา 13.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดี ดีเอสไอ ซึ่งได้รับการมอบหมายจากอธิบดี ดีเอสไอ เดินทางเข้าพบพล.ต.ท.วิโรจน์ เปา อินทร์ ประธานกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย.-17 พ.ค.2553 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อรับทราบข้อมูลสาเหตุการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 89 ศพ หลังจากพล.ต.ท. วิโรจน์ได้เข้าให้ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากับ ดีเอสไอ โดยมีคณะกรรมการพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมประชุมหารือ ประกอบด้วยพล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง ใช้เวลาการประชุมนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
พ.ต.อ.ณรัชต์ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมว่า การเข้าพบพล.ต.ท.วิโรจน์เพื่อแสดงความจริงจังในการหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทั้ง 89 ศพจากพรรคเพื่อไทย เพื่อหาหลักฐานให้ครบถ้วนและหาสาเหตุการเสียชีวิตของทั้ง 89 ศพ จากการพูดคุยเบื้องต้น พล.ต.ท.วิโรจน์แสดงความห่วงใยต่อพยานที่จะเข้าให้ปากคำ เนื่องจากพยานบางส่วนกังวลว่าจะมีการปองร้าย และไม่สะดวกเข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอโดยตรง เรื่องดังกล่าวดีเอสไอมีโครงการคุ้มครองพยาน จัดเจ้าหน้าที่ดูแลคุ้มครองความปลอดภัยอยู่แล้ว ส่วนกรณีไม่สะดวกเข้าให้ข้อมูลที่ดีเอสไอ จะส่งเจ้าหน้าที่มารับทราบข้อมูลที่พรรคเพื่อไทยก็ได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน
-นัดสืบพยานฝ่ายกองทัพต.ค.นี้
"ดีเอสไอทราบข้อมูลเบื้องต้นของทั้ง 89 ศพบ้างแล้วว่าเป็นใคร เสียชีวิตจากสาเหตุอะไร เหลือเพียงว่าใครทำให้ตาย ผู้เกี่ยวข้องมีใครบ้างและมีพยานหลักฐานใดที่จะสามารถเอาผิดได้ ส่วนระยะเวลายังบอกไม่ได้แน่นอน เนื่องจากต้องดูพยานหลักฐานก่อน แต่จะทำให้เร็วและถูกต้องที่สุด" พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าว
รายงานข่าวพรรคพื่อไทยแจ้งด้วยว่า ระหว่างการประชุม พ.ต.อ.ณรัชต์ชี้แจงถึงกระบวนการดำเนินการของดีเอสไอว่า การสอบสวนการเสียชีวิต 89 ศพ จะแยกการสอบสวนเป็น 25 คดี ส่วนการเข้ารับฟังข้อมูลของดีเอสไอในวันนี้ เป็นการฟังความของ 2 ฝ่าย เนื่องจากตอนนี้ทางดีเอสไอมีข้อมูลจากศอฉ. เพียงด้านเดียวเท่านั้น และจะนัดสืบพยานทางกองทัพในช่วงเดือนต.ค. และทางดีเอสไอยืนยันว่ากระบวนการสอบสวนต้องการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิด ไม่ใช่เพียงขอข้อเท็จจริงให้กับสาธารณชนเท่านั้น โดยพรรคเพื่อไทยจะใช้เวลา 1 สัปดาห์เพื่อรวบรวมเรื่องที่มีอยู่ส่งต่อไปที่ดีเอสไอ และทางพรรคจะดูว่าดีเอสไอมีความจริงใจเพียงใดในการสอบสวนคดีนี้ ขณะที่พ.ต.อ.ณรัชต์ได้ชี้แจงว่า กระบวน การสอบสวนจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามกรอบเวลา 45 วัน แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะยืดเวลาออกไป
-'คอป.'ชี้ตาย92ศพ-พบ'ป๊อก'
น.พ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการเยียวยา ในกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและรับผลกระทบอย่างเป็นทางการ พบว่าผู้เสียชีวิตจากเหตุไม่สงบทางการเมืองทั้งหมดมี 92 คน ไม่ใช่ 91 คน ซึ่งตนได้ไปพบปะพูดคุยกับญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ทั้ง จ.ลำพูน จ.เชียงใหม่ และยังมีเป้าหมายอีกหลายจังหวัด เป็นการดำเนินการภายใต้ 10 มาตรการประกอบด้วย 1.เยียวยาผู้ถูกกระทำ เยียวยาชุมชน และสังคม 2.จัดเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบได้พูด ซึ่งจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ 3.พบปะแลกเปลี่ยนผู้นำศาสนาและผู้นำทางสังคม 4.ประสานหน่วยงานราชการให้ความช่วยเหลือทรัพย์สินเงินทองผู้ได้รับผลกระทบ 5.เปิดศูนย์รับร้องทุกข์ 6.พบปะกับผู้ที่มีจิตใจอยากจะสร้างความสมานฉันท์ 7.สร้างจุดศูนย์กลางของจังหวัด 8.หาทางป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 9.ทำสารคดีเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบได้แสดงออกและ 10.พบปะหาทางเยียวยาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 27 ก.ย. กรรมการคอป.จะเดินทางเข้าพบพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เพื่อขอทราบข้อมูล โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการใช้กำลังในช่วงเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.2553
-ทนายทักษิณฟ้อง'ยูเอ็น'
วันเดียวกัน นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย ความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า วัตถุประสงค์การออกจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 3 ส่งไปถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชัดเจนตามถ้อยความในจดหมาย เพราะโลกเห็นว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขัดขวางและไม่เต็มใจที่จะสอบสวนสาเหตุที่พลเรือนถูกสังหารในช่วงการชุมนุมเสื้อแดง เท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎ หมายอาญาระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล จดหมายฉบับนี้ต้องการบอกว่า เราจะไม่หยุดดำเนินการเรียกร้องให้มีการสอบ สวนที่เป็นอิสระ
เมื่อถามว่าคาดหวังอะไรจากรัฐบาลไทยในการออกจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ นายอัมสเตอร์ ดัม กล่าวว่า ตนดำเนินการเรื่องนี้ด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง อย่างแรก คือเป็นตัวแทนพลเรือนที่สูญเสียญาติพี่น้อง แต่กลับไม่ได้รับการดูแล ไม่มีการสอบสวนสาเหตุการตายใดๆ ที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นศูนย์ อย่างที่สอง ต้องการบอกว่าสมาชิกคนเสื้อแดงถูกข่มขู่คุกคามด้วยวิธีการต่างๆ สิ่งที่น่าตกใจก็คือ สมาชิกของรัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลและสนับสนุนคนที่ทำอันตรายต่อพลเรือนให้ได้ดี
นายอัมสเตอร์ดัมระบุว่า ในฐานะทนาย ตนไม่ได้ข่มขู่ แต่ขอเรียกจดหมายฉบับนี้ว่าเป็น Wake up letter (จดหมายปลุกให้ตื่น) เพื่อเรียกสติให้รัฐบาลรู้ว่า ขณะนี้มีกฎหมายระหว่างประ เทศอยู่ มีกฎหมายอาญาระหว่างประเทศอยู่ ให้ตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร ขอย้ำว่าความไม่รู้กฎหมายไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวและไม่มีอะไรที่ปกปิดความจริงได้
-'เทือก'ปัดเสนอเลิกพ.ร.ก.
ส่วนสถานการณ์บังคับใช้พ.ร.ก.บริหารราช การในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้สัม ภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย เสนอยกเลิกพ.ร.ก.ฉุก เฉินในพื้นที่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี และนคร ราชสีมา ว่า กระทรวงมหาดไทยเสนอมาได้ แต่ต้องดำเนินการตามที่ตนเคยสั่งการ คือให้ประ เมินสถานการณ์จนถึงวันที่ 4 ต.ค. ต้องประเมินทุกจังหวัด ส่วนจะยกเลิกจังหวัดใดนั้นต้องให้คณะกรรมการ ศอฉ.ร่วมพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนนายอภิสิทธิ์ นายกฯ จะไปร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระหว่าง 3-6 ต.ค. นายสุเทพกล่าวว่า อาจมีความเป็นไปได้
เมื่อถามว่าเหตุที่ไม่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะอะไร นายสุเทพกล่าวว่า เพราะสถาน การณ์ไม่น่าไว้วางใจ หรืออาจเป็นต้นเหตุและช่องโหว่ให้เกิดความวุ่นวาย ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติสุขของประชาชน เสียหายต่อเศรษฐกิจและภาพพจน์ประเทศ ต่อข้อถามว่าหากเปรียบเทียบระหว่างการประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินกับการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้านเศรษฐ กิจและการท่องเที่ยวเสียหายแตกต่างกันอย่างไร นายสุเทพตอบว่า ไม่ค่อยแน่นอน เพราะตนดูจากกรณีที่ จ.เชียงใหม่ ตอนแรกมีการเรียกร้องให้ยกเลิก เพราะหวังว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ปรากฏว่าพอยกเลิกแล้วกลายเป็นสถานที่ที่คนเคลื่อนไหวชุมนุมกันและมาเรียกร้องให้ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกครั้ง ซึ่งเราไม่ประกาศแล้ว
-'ไก่อู'โต้ฮิวแมนไรต์วอตช์
ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสุเทพทำหน้าที่ประธานการประชุมศอฉ. มีนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการศอฉ. และผู้แทนเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุม ใช้เวลาหารือสั้นๆ 45 นาที
จากนั้นพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. แถลงว่า ที่ประชุมรับฟังรายงานสถาน การณ์ ตามปกติ และหารือกรณีกลุ่มสิทธิมนุษยชน "ฮิวแมนไรต์วอตช์" ระบุว่าการใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนทั่วไป และขณะนี้ยังมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ ซึ่งในที่ประชุมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นายสุเทพจึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และเลขาธิการศอฉ.รวบรวมข้อมูลเพื่อแถลงชี้แจงต่อไป
"ความจริงการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นำเรียนต่อที่ประชุมให้ได้รับทราบมาหลายครั้งว่าปัจจุบันไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยตามหมาย ฉฉ. แต่เป็นการควบคุมตัวในความผิดอาญาที่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว การควบคุมอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราช ทัณฑ์กับสถานพินิจรวม 13 แห่ง จำนวน 185 คน อยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางอีก 5 คน และอยู่ที่กรมพินิจคุ้มครองเด็กอีก 3 แห่ง คือ กทม. อยุธยา และอุบลราชธานี แห่งละ 1 คน ดังนั้น สิ่งที่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ฮิวแมนไรต์วอตช์เสนอไปนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง" พ.อ. สรรเสริญกล่าว
เมื่อถามถึงการพิจารณาว่าจะต่ออายุพ.ร.ก. ฉุกเฉินที่จะครบกำหนดในวันที่ 7 ต.ค.นี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้ลงในรายละเอียด เพราะยังมีเวลาพิจารณาถึงวันที่ 4 ต.ค.
-'มาร์ค'โผล่แจงซีเอ็นเอ็น
ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ระหว่างร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากทุกฝ่ายของประเทศเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ให้ย้อนไปดูข้อเสนอ 3 ข้อที่รัฐบาลยื่นให้และกลุ่มเสื้อแดงปฏิเสธตลอด หนึ่งในนั้นคือการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมนำไปสู่การเลือกตั้งที่สันติและทุกฝ่ายต้องเห็นพ้องในกฎต่างๆ เช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า เมื่อไหร่สภาพแวดล้อมเช่นนั้นจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งทำงานเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ ถ้าหากกลุ่มเสื้อแดงหยุดทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และเปิดให้นักการเมืองและทุกพรรคทำงานกันอย่างมีอิสระ นักการเมืองเดินทางไปไหนต่อไหนได้อย่างเสรี อาจนำไปสู่การเลือกตั้งที่สันติได้ ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายเสื้อแดง รัฐบาลพูดมาตลอดว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้ฟื้นแล้ว เมื่อทุกฝ่ายยอมรับในกฎเกณฑ์และเงื่อนไขก็กลับมาดูถึงความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
-แขวะ'แม้ว'จอมบงการ
สำหรับการประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงที่ยังดำเนินอยู่ และมีบทบาทสำคัญตลอดที่รัฐบาลชุดนี้อยู่ในอำนาจนั้น นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยมีปัญหากับการชุมนุมประท้วงสันติ ถือเป็น การแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่รัฐบาลเน้นคือการดำเนินนโยบายเพื่อคนส่วนใหญ่ รัฐบาลแยกปัญหาการเมืองออกจากเศรษฐกิจ แม้แต่กระทั่งเศรษฐกิจโลก "สิ่งที่ผมทำมาตลอด คือ การสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า สำหรับการเลือกตั้งรัฐบาลยื่นข้อเสนอไปแล้ว ขึ้นอยู่กับกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้นว่าจะรับเงื่อนไขหรือไม่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นักข่าวซีเอ็นเอ็นถามว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงยังสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ และพ.ต.ท.ทักษิณเอ่ยปากแล้วว่าจะไม่แทรกแซงการเมืองไทย ส่วนตัวมีความเชื่อถือคำพูดนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะทำให้ได้เหมือนที่พูด เพราะเห็นอยู่ชัดเจนว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไปมาหาสู่กับพ.ต.ท. ทักษิณตลอดเวลา และเห็นชัดว่าอดีตนายกฯ ยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอยู่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
***********************************************************
ผบ.สำนักคดีเทคโน โลยีดีเอสไอนำทีมขนอุปกรณ์ไฮเทคขึ้นตรวจสถานีรถไฟฟ้าสยาม และวัดปทุมวนาราม ไขปริศนาคดีการเสียชีวิต 6 ศพในเขตอภัยทานวัดปทุมฯ พบหลักฐานสำคัญเป็นปลอกกระสุนปืน 'เอชเค' กระ จายตกอยู่ใต้ราง อีกทั้งเลเซอร์ตรวจวิถีกระสุนชี้ชัด มีการยิงกระสุนปืนจากตำแหน่งที่ 'กลุ่มชายแต่งกายคล้ายทหาร' ยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าเข้าไปในวัดปทุมฯ จริง และตรงจุดเดียวกันนี้ยังสาดกระสุนไปสู่จุดที่มีผู้เสียชีวิต 6 ศพได้เช่นกัน แต่ไม่พบร่องรอยยิงปืนจากในวัดเข้าใส่กลุ่มชายคล้ายทหาร ส่วนดีเอสไออีกทีมลุยเก็บหลักฐานย่านบ่อนไก่-พระราม 4-ศาลาแดง เพื่อคลี่คลาย คดียิงเสื้อแดง ตะลึง! เจอรูกระสุนจริงนับร้อยรู ทั้งเอ็ม-16 และ 9 ม.ม. ทนายทักษิณยื่นร้อง 'ยูเอ็น' รบ.ไทยละเมิดกฎหมายอาญาระหว่างประเทศและสิทธิสากล ด้าน 'มาร์ค' โผล่จ้อ ซีเอ็นเอ็น ลั่นไม่ยุบสภาถ้าเสื้อแดงไม่ยอมสงบ
-ตรวจรถไฟฟ้า-วัดปทุมฯ
เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 24 ก.ย. พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ประมาณ 20 นาย พร้อมอุปกรณ์การตรวจสอบที่เกิดเหตุ เดินทางมาเก็บหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยาม และภายในวัดปทุมวนาราม ตรงจุดที่น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ "น้องเกด" พยาบาลอาสา ถูกยิงเสียชีวิต พร้อมเพื่อนอาสากู้ชีพกู้ภัยและประชาชน รวม 6 ศพ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553
ก่อนเริ่มกระบวนการตรวจสอบ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ เรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมาประชุมวางแผนการค้นหาหลักฐานในครั้งนี้บริเวณด้านหน้าทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าว โดยนำแผนที่มาประกอบคำอธิบายประมาณ 10 นาที ก่อนเจ้าหน้าที่จะแยกย้ายกันปฏิบัติงาน โดยแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก ขึ้นไปตรวจบนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ตั้งแต่แยกเฉลิมเผ่าจนถึงหน้าวัดปทุมฯ ชุดที่ 2 ตรวจสอบบริเวณแนวกำแพงและภายในวัดปทุมฯ
ทั้งนี้ ระหว่างปฏิบัติงานโดยรอบพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า และหน้าวัดปทุมฯ มีกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอติดปืนกลประมาณ 5 นาย เข้าประจำจุดเพื่อคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับทีมค้นหาหลักฐานตลอดทั้งคืน
-ยิง'เลเซอร์'หาวิถีกระสุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการตรวจสอบ ทีมช่างของบีทีเอสได้เข้ามาตัดกระแสไฟบนรางทั้งหมด ก่อนจะอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและนิติ วิทยาศาสตร์ขึ้นไปเท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้สื่อ มวลชนร่วมสังเกตการณ์
สำหรับการตรวจวิถีกระสุน เจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าด้านหน้าวัดปทุมวนาราม พร้อมใช้เครื่องมือยิงแสงเลเซอร์ลงมายังพื้นดินตรงจุดที่พบหลุมลักษณะคล้ายกระสุนปืน ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร จำนวน 3 รอย บริเวณประตูทาง ออก ภายในวัดปทุมฯ โดยมีเจ้าหน้าที่อีกชุดอยู่ภายในวัดด้วย พร้อมกับใช้เครื่องมือยิงเลเซอร์ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพื่อตรวจหาวิถีที่ชัดเจน และเดินตรวจหาปลอกกระสุนและหลักฐานอื่นๆ ที่อาจยังหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะกระสุนปืนและปลอกกระสุน ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำมา ตรวจสอบเปรียบเทียบกับหลักฐานที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ ใช้เวลาค้นหาหลักฐานตั้งแต่ 01.00-05.00 น.
-เจอปลอก'เอชเค'ใต้ราง
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบหาหลักฐานครั้งนี้ เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ตลอดจนใช้เครื่องมือตรวจหาแนววิถีกระสุนเพื่อคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมกลุ่มนปช. ภายในวัดปทุมวนา ราม ในช่วงที่มีการชุมนุมเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังประสานขอความร่วมมือจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ "บีทีเอส" เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบนแนวรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่วงตั้งแต่สถานีสยามจนถึงวัดปทุมฯ
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบหาหลักฐานบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้น 2 บริเวณด้านหน้าวัดปทุมฯ เจ้าหน้าที่ตรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะเป็นกุญแจไขปริศนาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุยิงประชาชนในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง-นปช. โดยพบปลอกกระสุนปืน "เอชเค" ใช้แล้ว ตกกระจายอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าประมาณ 3-4 ปลอก เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์จึงเก็บไว้ตรวจสอบเปรียบเทียบกับหลักฐานหัวกระสุนปืนที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ว่าตรงกันหรือไม่
-ชี้คนบนรางยิงใส่วัดปทุมฯจริง
รายงานข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยด้วยว่า เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่เคยเป็นข่าวใหญ่ กรณีมีกลุ่มชายแต่งกายคล้ายทหารยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้า ตรงข้ามทางเข้าวัดปทุมฯ พร้อมกับเล็งปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ ช่วงเวลาประมาณ 18.00-18.30 น. วันที่ 19 พ.ค.2553 และเทียบกับผลตรวจวิถีกระสุนด้วยเลเซอร์ ทั้งยังพบปลอกกระสุนปืนบนรางรถไฟฟ้าด้วยนั้น แนวทางการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า กลุ่มชายคล้ายทหารดังกล่าวได้ยิงกระสุนปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ จริง
นอกจากนั้น ตำแหน่งที่กลุ่มชายคล้ายทหารยืนอยู่ยังสามารถเล็งยิงเข้าไปได้ทุกจุดในวัดปทุมฯ รวมถึงจุดที่พบศพผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพในวัดปทุมฯ เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่พบร่องรอยการยิงกระสุนปืนตอบโต้จากพื้นราบในวัดปทุมฯ ขึ้นมาใส่กลุ่มชายคล้ายทหารบนรางรถไฟฟ้าดังกล่าว
-ลงพื้นที่'บ่อนไก่-ศาลาแดง'
ต่อมาเวลา 10.00 น. บริเวณหน้าสนามมวยเวทีลุมพินี ถ.พระราม 4 กทม. พ.ต.ท.บัณฑิต ประดับสุข เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษดีเอสไอ พร้อมเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กว่า 30 นาย ลงพื้นที่เดินทางตรวจสอบหาหลักฐานแนววิถีกระสุนที่กลุ่มคนเสื้อแดงถูกยิงได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2553
ขั้นตอนการปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกตรวจสอบบริเวณหน้าสนามมวยเวทีลุมพินี ชุมชนบ่อนไก่ จนถึงบริเวณใต้ทางด่วนพระราม 4 ระยะทางกว่า 3 ก.ม. และชุดที่ 2 ตรวจสอบบริเวณแยกศาลาแดงและซอยปลูกจิต ระยะทางประมาณ 3 ก.ม. โดยใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง
สำหรับการตรวจหาหลักฐานวิถีกระสุนนี้ เจ้าหน้าที่จะตรวจทั้งหมด 8 จุด ประกอบด้วย หน้าร้านระเบียงทอง จุดพบศพนายบุญมี เริ่มสุข, หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาบ่อนไก่ จุดพบศพนาย สุพรรณ ทุมทอง, บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. จุดพบศพนายวารินทร์ วงศ์สนิท, หน้าร้านเซเว่นฯ จุดพบศพนายสมชาย พรสุวรรณ ส่วนจุดบริเวณหน้าสำนักงานไทยประกันชีวิต สาขาลุมพินี และ ริมถนนพระราม 4 เป็นจุดที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เสียชีวิต และจุดที่อยู่ใต้ทางด่วนพระราม 4 พบศพนายเกียรติคุณ ฉัตรวีระสกุล และนายประจวบ ประจวบสุข
ทั้งนี้ กรณีของนายบุญมี เริ่มสุข หรือลุงบุญมี นั้นเป็นประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ผู้ร่วมชุมนุม แต่ถูกลูกหลงกระสุนยิงทะลุช่องท้องขณะเดินออกมากินก๋วยเตี๋ยว
-เจอรูกระสุนปืนนับ 100 นัด
พ.ต.ท.บัณฑิตเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพื้นที่ในวันนี้เป็นการตรวจหาวิถีกระสุนและทิศทางการยิง เพื่อนำไปประกอบสำนวนในคดี โดยหลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทันที จึงทำให้การตรวจหาวิถีกระ สุนและหลักฐานต่างๆ ล่าช้าไปมาก แต่จะเร่งรวบรวมหลักฐานให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสถานที่ต่างๆ และตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ตั้งอยู่ริมทางเท้า ถ.พระราม 4 พบมีรอยรูกระ สุนปืนจำนวนมากนับ 100 นัด มีทั้งรูกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5.56 มิลลิเมตร และกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม. การตรวจสอบเจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องวัดระยะและอุปกรณ์ของทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์ จากนั้นจะนำไปประมวลผลการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
พ.ต.ท.บัณฑิตกล่าวอีกว่า เบื้องต้นเท่าที่ตรวจสอบรอยวิถีกระสุนปืนพบว่า มีการยิงมาจาก 2 ทิศทาง เป็นการยิงมาจากทางด้านสะพานไทย-เบลเยียม ข้ามแยกถนนวิทยุ นอกจากนั้น จากการสอบปากคำพยานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุทราบว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายเป็นชายวัยรุ่น อายุ 17 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนฟุตปาธหน้าร้านอันซีน ทราเวล สาขาลุมพินี เลขที่ 1881/9 ซึ่งผู้เสียชีวิตดังกล่าวไม่มีอยู่ในสำนวนของดีเอสไอ แต่อาจจะอยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวนชุดอื่น ซึ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
เวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยา ศาสตร์เดินทางไปตรวจสอบบริเวณซอยปลูกจิต ถ.พระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นจุดที่นายสมัย ทัดแก้ว อายุ 35 ปี ถูกยิงแผ่นหลัง 1 นัด ล้มลงอยู่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ก่อนจะมีผู้นำส่งร.พ.กล้วยน้ำไท 1 ในวันที่ 19 พ.ค. เข้าพักรักษาตัวที่ร.พ.ประมาณ 14 วัน ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 31 พ.ค. และมีพยานให้ข้อมูลว่าเห็นผู้เสียชีวิตเดินอยู่บนถนนพระราม 4 ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงรีบวิ่งเข้ามาในซอยประมาณ 50 เมตร ก่อนถูกยิงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยา ศาสตร์ได้ถ่ายรูปที่เกิดเหตุและบริเวณอาคารสูง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจจุดต่อไป คือ บริเวณ ซอยศาลาแดง 1 หน้าบริษัท กฤษณา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 1010/16 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. เป็นจุดที่ 2 ที่นายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี ถูกยิงศีรษะ 1 นัดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ทางเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ตรวจวิถีกระสุน บริเวณประตูเหล็กเลื่อนหน้าบริษัทที่มีรอยกระสุนเฉี่ยวบริเวณประตูเหล็ก และเสาปูน โดยใช้เครื่องเลเซอร์วัดระยะและตรวจวิถีกระสุน ก่อนจะถ่ายภาพร่องรอยในที่เกิดเหตุใช้เวลาตรวจราว 30 นาที จึงแล้วเสร็จ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการเข้าตรวจหาร่องรอยบริเวณแยกบ่อนไก่ เจ้าหน้าที่ตรวจจากร่องรอยรูกระสุนปืนจากบริเวณตามบ้านเรือน ราวบันไดสะพานลอย ป้ายโฆษณา หน้าตึกแถวร้านขายสินค้าและตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งพบว่ายังมีร่องรอยรูกระสุนปืนอยู่เป็นจำนวนมาก
-'ตู่'เปิดศูนย์เยียวยาเสื้อแดง
เวลา 13.00 น. ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว กทม. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช. แถลงข่าวการเปิดศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม (นปช.) ที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ว่า นับแต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงได้ให้เงินบริจาคช่วยเหลือจำนวนมาก แต่ถูกตรวจสอบจากรัฐบาลและไม่ให้นำเงินออกมาใช้ เมื่อถึงช่วงเวลานี้ได้พูดคุยกันในหมู่ผู้ใหญ่คนเสื้อแดงและคนที่เสื้อแดงคิดถึงว่า ถึงเวลาต้องช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ได้รับความเดือดร้อน จึงตั้งศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม เพื่อช่วยเหลือในด้านต่างๆ โดยมีคณะกรรมการหลักๆ ที่จะร่วมประชุมกันทุกวันพฤหัสบดี อาทิ น.ส.สุนีย์ เหลืองวิจิตร อดีตเลขาธิการพรรค นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าอิมพี เรียล ลาดพร้าว โดยกองทุนช่วยเหลือเยียวยามีเงินหมุนเวียนประมาณ 1,500,000 บาท
"ถ้าวันนี้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาเป็นพรรคเพื่อไทย จะดูแลผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยครอบ ครัวผู้เสียชีวิตรับครอบครัวละ 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับการที่รัฐบาลโกงกินภาษีประชาชน" นายจตุพรระบุ
-ดีเอสไอขอข้อมูล'เพื่อไทย'
เวลา 13.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดี ดีเอสไอ ซึ่งได้รับการมอบหมายจากอธิบดี ดีเอสไอ เดินทางเข้าพบพล.ต.ท.วิโรจน์ เปา อินทร์ ประธานกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย.-17 พ.ค.2553 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อรับทราบข้อมูลสาเหตุการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 89 ศพ หลังจากพล.ต.ท. วิโรจน์ได้เข้าให้ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากับ ดีเอสไอ โดยมีคณะกรรมการพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมประชุมหารือ ประกอบด้วยพล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง ใช้เวลาการประชุมนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
พ.ต.อ.ณรัชต์ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมว่า การเข้าพบพล.ต.ท.วิโรจน์เพื่อแสดงความจริงจังในการหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทั้ง 89 ศพจากพรรคเพื่อไทย เพื่อหาหลักฐานให้ครบถ้วนและหาสาเหตุการเสียชีวิตของทั้ง 89 ศพ จากการพูดคุยเบื้องต้น พล.ต.ท.วิโรจน์แสดงความห่วงใยต่อพยานที่จะเข้าให้ปากคำ เนื่องจากพยานบางส่วนกังวลว่าจะมีการปองร้าย และไม่สะดวกเข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอโดยตรง เรื่องดังกล่าวดีเอสไอมีโครงการคุ้มครองพยาน จัดเจ้าหน้าที่ดูแลคุ้มครองความปลอดภัยอยู่แล้ว ส่วนกรณีไม่สะดวกเข้าให้ข้อมูลที่ดีเอสไอ จะส่งเจ้าหน้าที่มารับทราบข้อมูลที่พรรคเพื่อไทยก็ได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน
-นัดสืบพยานฝ่ายกองทัพต.ค.นี้
"ดีเอสไอทราบข้อมูลเบื้องต้นของทั้ง 89 ศพบ้างแล้วว่าเป็นใคร เสียชีวิตจากสาเหตุอะไร เหลือเพียงว่าใครทำให้ตาย ผู้เกี่ยวข้องมีใครบ้างและมีพยานหลักฐานใดที่จะสามารถเอาผิดได้ ส่วนระยะเวลายังบอกไม่ได้แน่นอน เนื่องจากต้องดูพยานหลักฐานก่อน แต่จะทำให้เร็วและถูกต้องที่สุด" พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าว
รายงานข่าวพรรคพื่อไทยแจ้งด้วยว่า ระหว่างการประชุม พ.ต.อ.ณรัชต์ชี้แจงถึงกระบวนการดำเนินการของดีเอสไอว่า การสอบสวนการเสียชีวิต 89 ศพ จะแยกการสอบสวนเป็น 25 คดี ส่วนการเข้ารับฟังข้อมูลของดีเอสไอในวันนี้ เป็นการฟังความของ 2 ฝ่าย เนื่องจากตอนนี้ทางดีเอสไอมีข้อมูลจากศอฉ. เพียงด้านเดียวเท่านั้น และจะนัดสืบพยานทางกองทัพในช่วงเดือนต.ค. และทางดีเอสไอยืนยันว่ากระบวนการสอบสวนต้องการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิด ไม่ใช่เพียงขอข้อเท็จจริงให้กับสาธารณชนเท่านั้น โดยพรรคเพื่อไทยจะใช้เวลา 1 สัปดาห์เพื่อรวบรวมเรื่องที่มีอยู่ส่งต่อไปที่ดีเอสไอ และทางพรรคจะดูว่าดีเอสไอมีความจริงใจเพียงใดในการสอบสวนคดีนี้ ขณะที่พ.ต.อ.ณรัชต์ได้ชี้แจงว่า กระบวน การสอบสวนจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามกรอบเวลา 45 วัน แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะยืดเวลาออกไป
-'คอป.'ชี้ตาย92ศพ-พบ'ป๊อก'
น.พ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการเยียวยา ในกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและรับผลกระทบอย่างเป็นทางการ พบว่าผู้เสียชีวิตจากเหตุไม่สงบทางการเมืองทั้งหมดมี 92 คน ไม่ใช่ 91 คน ซึ่งตนได้ไปพบปะพูดคุยกับญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ทั้ง จ.ลำพูน จ.เชียงใหม่ และยังมีเป้าหมายอีกหลายจังหวัด เป็นการดำเนินการภายใต้ 10 มาตรการประกอบด้วย 1.เยียวยาผู้ถูกกระทำ เยียวยาชุมชน และสังคม 2.จัดเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบได้พูด ซึ่งจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ 3.พบปะแลกเปลี่ยนผู้นำศาสนาและผู้นำทางสังคม 4.ประสานหน่วยงานราชการให้ความช่วยเหลือทรัพย์สินเงินทองผู้ได้รับผลกระทบ 5.เปิดศูนย์รับร้องทุกข์ 6.พบปะกับผู้ที่มีจิตใจอยากจะสร้างความสมานฉันท์ 7.สร้างจุดศูนย์กลางของจังหวัด 8.หาทางป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 9.ทำสารคดีเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบได้แสดงออกและ 10.พบปะหาทางเยียวยาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 27 ก.ย. กรรมการคอป.จะเดินทางเข้าพบพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เพื่อขอทราบข้อมูล โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการใช้กำลังในช่วงเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.2553
-ทนายทักษิณฟ้อง'ยูเอ็น'
วันเดียวกัน นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย ความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า วัตถุประสงค์การออกจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 3 ส่งไปถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชัดเจนตามถ้อยความในจดหมาย เพราะโลกเห็นว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขัดขวางและไม่เต็มใจที่จะสอบสวนสาเหตุที่พลเรือนถูกสังหารในช่วงการชุมนุมเสื้อแดง เท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎ หมายอาญาระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล จดหมายฉบับนี้ต้องการบอกว่า เราจะไม่หยุดดำเนินการเรียกร้องให้มีการสอบ สวนที่เป็นอิสระ
เมื่อถามว่าคาดหวังอะไรจากรัฐบาลไทยในการออกจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ นายอัมสเตอร์ ดัม กล่าวว่า ตนดำเนินการเรื่องนี้ด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง อย่างแรก คือเป็นตัวแทนพลเรือนที่สูญเสียญาติพี่น้อง แต่กลับไม่ได้รับการดูแล ไม่มีการสอบสวนสาเหตุการตายใดๆ ที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นศูนย์ อย่างที่สอง ต้องการบอกว่าสมาชิกคนเสื้อแดงถูกข่มขู่คุกคามด้วยวิธีการต่างๆ สิ่งที่น่าตกใจก็คือ สมาชิกของรัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลและสนับสนุนคนที่ทำอันตรายต่อพลเรือนให้ได้ดี
นายอัมสเตอร์ดัมระบุว่า ในฐานะทนาย ตนไม่ได้ข่มขู่ แต่ขอเรียกจดหมายฉบับนี้ว่าเป็น Wake up letter (จดหมายปลุกให้ตื่น) เพื่อเรียกสติให้รัฐบาลรู้ว่า ขณะนี้มีกฎหมายระหว่างประ เทศอยู่ มีกฎหมายอาญาระหว่างประเทศอยู่ ให้ตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร ขอย้ำว่าความไม่รู้กฎหมายไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวและไม่มีอะไรที่ปกปิดความจริงได้
-'เทือก'ปัดเสนอเลิกพ.ร.ก.
ส่วนสถานการณ์บังคับใช้พ.ร.ก.บริหารราช การในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้สัม ภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย เสนอยกเลิกพ.ร.ก.ฉุก เฉินในพื้นที่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี และนคร ราชสีมา ว่า กระทรวงมหาดไทยเสนอมาได้ แต่ต้องดำเนินการตามที่ตนเคยสั่งการ คือให้ประ เมินสถานการณ์จนถึงวันที่ 4 ต.ค. ต้องประเมินทุกจังหวัด ส่วนจะยกเลิกจังหวัดใดนั้นต้องให้คณะกรรมการ ศอฉ.ร่วมพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนนายอภิสิทธิ์ นายกฯ จะไปร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระหว่าง 3-6 ต.ค. นายสุเทพกล่าวว่า อาจมีความเป็นไปได้
เมื่อถามว่าเหตุที่ไม่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะอะไร นายสุเทพกล่าวว่า เพราะสถาน การณ์ไม่น่าไว้วางใจ หรืออาจเป็นต้นเหตุและช่องโหว่ให้เกิดความวุ่นวาย ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติสุขของประชาชน เสียหายต่อเศรษฐกิจและภาพพจน์ประเทศ ต่อข้อถามว่าหากเปรียบเทียบระหว่างการประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินกับการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้านเศรษฐ กิจและการท่องเที่ยวเสียหายแตกต่างกันอย่างไร นายสุเทพตอบว่า ไม่ค่อยแน่นอน เพราะตนดูจากกรณีที่ จ.เชียงใหม่ ตอนแรกมีการเรียกร้องให้ยกเลิก เพราะหวังว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ปรากฏว่าพอยกเลิกแล้วกลายเป็นสถานที่ที่คนเคลื่อนไหวชุมนุมกันและมาเรียกร้องให้ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกครั้ง ซึ่งเราไม่ประกาศแล้ว
-'ไก่อู'โต้ฮิวแมนไรต์วอตช์
ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสุเทพทำหน้าที่ประธานการประชุมศอฉ. มีนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการศอฉ. และผู้แทนเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุม ใช้เวลาหารือสั้นๆ 45 นาที
จากนั้นพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. แถลงว่า ที่ประชุมรับฟังรายงานสถาน การณ์ ตามปกติ และหารือกรณีกลุ่มสิทธิมนุษยชน "ฮิวแมนไรต์วอตช์" ระบุว่าการใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนทั่วไป และขณะนี้ยังมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ ซึ่งในที่ประชุมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นายสุเทพจึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และเลขาธิการศอฉ.รวบรวมข้อมูลเพื่อแถลงชี้แจงต่อไป
"ความจริงการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นำเรียนต่อที่ประชุมให้ได้รับทราบมาหลายครั้งว่าปัจจุบันไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยตามหมาย ฉฉ. แต่เป็นการควบคุมตัวในความผิดอาญาที่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว การควบคุมอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราช ทัณฑ์กับสถานพินิจรวม 13 แห่ง จำนวน 185 คน อยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางอีก 5 คน และอยู่ที่กรมพินิจคุ้มครองเด็กอีก 3 แห่ง คือ กทม. อยุธยา และอุบลราชธานี แห่งละ 1 คน ดังนั้น สิ่งที่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ฮิวแมนไรต์วอตช์เสนอไปนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง" พ.อ. สรรเสริญกล่าว
เมื่อถามถึงการพิจารณาว่าจะต่ออายุพ.ร.ก. ฉุกเฉินที่จะครบกำหนดในวันที่ 7 ต.ค.นี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้ลงในรายละเอียด เพราะยังมีเวลาพิจารณาถึงวันที่ 4 ต.ค.
-'มาร์ค'โผล่แจงซีเอ็นเอ็น
ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ระหว่างร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากทุกฝ่ายของประเทศเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ให้ย้อนไปดูข้อเสนอ 3 ข้อที่รัฐบาลยื่นให้และกลุ่มเสื้อแดงปฏิเสธตลอด หนึ่งในนั้นคือการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมนำไปสู่การเลือกตั้งที่สันติและทุกฝ่ายต้องเห็นพ้องในกฎต่างๆ เช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า เมื่อไหร่สภาพแวดล้อมเช่นนั้นจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งทำงานเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ ถ้าหากกลุ่มเสื้อแดงหยุดทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และเปิดให้นักการเมืองและทุกพรรคทำงานกันอย่างมีอิสระ นักการเมืองเดินทางไปไหนต่อไหนได้อย่างเสรี อาจนำไปสู่การเลือกตั้งที่สันติได้ ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายเสื้อแดง รัฐบาลพูดมาตลอดว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้ฟื้นแล้ว เมื่อทุกฝ่ายยอมรับในกฎเกณฑ์และเงื่อนไขก็กลับมาดูถึงความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
-แขวะ'แม้ว'จอมบงการ
สำหรับการประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงที่ยังดำเนินอยู่ และมีบทบาทสำคัญตลอดที่รัฐบาลชุดนี้อยู่ในอำนาจนั้น นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยมีปัญหากับการชุมนุมประท้วงสันติ ถือเป็น การแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่รัฐบาลเน้นคือการดำเนินนโยบายเพื่อคนส่วนใหญ่ รัฐบาลแยกปัญหาการเมืองออกจากเศรษฐกิจ แม้แต่กระทั่งเศรษฐกิจโลก "สิ่งที่ผมทำมาตลอด คือ การสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า สำหรับการเลือกตั้งรัฐบาลยื่นข้อเสนอไปแล้ว ขึ้นอยู่กับกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้นว่าจะรับเงื่อนไขหรือไม่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นักข่าวซีเอ็นเอ็นถามว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงยังสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ และพ.ต.ท.ทักษิณเอ่ยปากแล้วว่าจะไม่แทรกแซงการเมืองไทย ส่วนตัวมีความเชื่อถือคำพูดนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะทำให้ได้เหมือนที่พูด เพราะเห็นอยู่ชัดเจนว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไปมาหาสู่กับพ.ต.ท. ทักษิณตลอดเวลา และเห็นชัดว่าอดีตนายกฯ ยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอยู่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
***********************************************************
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
ช้อนทองตักขี้
ใกล้จะลาโรงเต็มที่ สำหรับรัฐนาวาประชาธิปัตย์ ของ กัปตันมาร์ค...นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..หมายกำหนดณาปนกิจแรก...ก็คือ...ข้อหาใช้เงินหลวง
หากว่า..รอดจากณาปนกิจครั้งนี้ได้...ก็ใช่ว่าจะหายใจคล่อง..เพราะ..การพายเรือกันคนละทิศละทาง..ที่เป็นมากว่า 1 ปีที่ผ่าน..คงจะพายกันไปได้อีกไม่นาน..ในปีกับเศษเดือนที่เหลือ
แน่นอนว่า..พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย..ถึงวันนี้ต่างก็มั่นใจกันแล้วว่า..ถึงวันเลือกตั้งใหญ่..พรรคที่จะมีผู้แทนแห่แหนกันเข้ามาในสภา..น่าจะเป็นพรรคใหญ่ที่ได้ดินดีน้ำหนุนในภาคเหนือและภาคอิสาน
อาการเตรียมผละเตรียมผลัก..ก็ต้องซักซ้อมกันไว้ก่อน
ที่เคยยืนชิดขวา..ก็เบี่ยงเข้ามาหาเส้นกลาง..เวลาเที่ยวซ้ายจะได้ง่ายขึ้น..เพราะถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็จะต้องหาพันธมิตรให้มากเข้าไว้..หากได้เป็นรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์เอง..หากปล่อยให้ลอยไปถึงวันเลือกตั้งตามหมายกำหนดการ...อาการตกต่ำในปัจจุบันก็จะยิ่งดิ่งตรงเหมือนโจนลงเหว..
หนุ่มหล่อความรู้ดี..อาจจะเล่นเป็นพระเอกในละคอนทีวีได้...แต่ในรัฐสภาและถนนของคนแย่งอำนาจ..ความสามารถกับบารมีต้องมาก่อน..
หนุ่มหล่อความรู้ดี..อาจจะเป็นคน”มือสะอาด”แต่ถ้า..แวดวงคนล้อมข้างหรือนั่งร้านสนับสนุน..กลายเป้นพวกตะกรุ่มตะกราม..แล้วห้ามแล้วบังคับเขาไม่ได้..,มันก็ไม่ต่างอะไรกับช้อนทองที่ตักขี้
กัปตันของรัฐนาวาปัจจุบัน..ฉลาดและเรียนรู้...ย่อมรู้ว่า..การสละปัจจุบันเพื่อรักษาอนาคตนั้น..ก็เท่ากับการตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต..
หากเอาขี้ออกจากช้อนทองคำไม่ได้....เลือกตั้งใหญ่มันก็วันแห่งความพินาศ..เหมือนกับพายุยักษ์..สปก.4-01 ทำรัฐนาวาอัปปางมาแล้ว..
โดยสรุปจึงน่าจะพยากรณ์ได้ว่า..เรื่องยุบสภาใหเร็วขึ้นจะเป็นประโยชน์กับพรรคมากกว่า..แต่จะต้องปรับปรุงคณะรัฐมนตรี เอาขี้ออกจากช้อนเสียก่อน...
ปรับคณะรัฐมนตรี...ซื้อเวลา...ถ้ายังรับไม่อยู่ก็ยุบสภา..เป็นรัฐบาลรักษาการณ์..หลังเลือกตั้งว่ากันใหม่..
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หากว่า..รอดจากณาปนกิจครั้งนี้ได้...ก็ใช่ว่าจะหายใจคล่อง..เพราะ..การพายเรือกันคนละทิศละทาง..ที่เป็นมากว่า 1 ปีที่ผ่าน..คงจะพายกันไปได้อีกไม่นาน..ในปีกับเศษเดือนที่เหลือ
แน่นอนว่า..พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย..ถึงวันนี้ต่างก็มั่นใจกันแล้วว่า..ถึงวันเลือกตั้งใหญ่..พรรคที่จะมีผู้แทนแห่แหนกันเข้ามาในสภา..น่าจะเป็นพรรคใหญ่ที่ได้ดินดีน้ำหนุนในภาคเหนือและภาคอิสาน
อาการเตรียมผละเตรียมผลัก..ก็ต้องซักซ้อมกันไว้ก่อน
ที่เคยยืนชิดขวา..ก็เบี่ยงเข้ามาหาเส้นกลาง..เวลาเที่ยวซ้ายจะได้ง่ายขึ้น..เพราะถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็จะต้องหาพันธมิตรให้มากเข้าไว้..หากได้เป็นรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์เอง..หากปล่อยให้ลอยไปถึงวันเลือกตั้งตามหมายกำหนดการ...อาการตกต่ำในปัจจุบันก็จะยิ่งดิ่งตรงเหมือนโจนลงเหว..
หนุ่มหล่อความรู้ดี..อาจจะเล่นเป็นพระเอกในละคอนทีวีได้...แต่ในรัฐสภาและถนนของคนแย่งอำนาจ..ความสามารถกับบารมีต้องมาก่อน..
หนุ่มหล่อความรู้ดี..อาจจะเป็นคน”มือสะอาด”แต่ถ้า..แวดวงคนล้อมข้างหรือนั่งร้านสนับสนุน..กลายเป้นพวกตะกรุ่มตะกราม..แล้วห้ามแล้วบังคับเขาไม่ได้..,มันก็ไม่ต่างอะไรกับช้อนทองที่ตักขี้
กัปตันของรัฐนาวาปัจจุบัน..ฉลาดและเรียนรู้...ย่อมรู้ว่า..การสละปัจจุบันเพื่อรักษาอนาคตนั้น..ก็เท่ากับการตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต..
หากเอาขี้ออกจากช้อนทองคำไม่ได้....เลือกตั้งใหญ่มันก็วันแห่งความพินาศ..เหมือนกับพายุยักษ์..สปก.4-01 ทำรัฐนาวาอัปปางมาแล้ว..
โดยสรุปจึงน่าจะพยากรณ์ได้ว่า..เรื่องยุบสภาใหเร็วขึ้นจะเป็นประโยชน์กับพรรคมากกว่า..แต่จะต้องปรับปรุงคณะรัฐมนตรี เอาขี้ออกจากช้อนเสียก่อน...
ปรับคณะรัฐมนตรี...ซื้อเวลา...ถ้ายังรับไม่อยู่ก็ยุบสภา..เป็นรัฐบาลรักษาการณ์..หลังเลือกตั้งว่ากันใหม่..
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นักปรัชญาชายขอบ: ตาสว่างและเดินทางต่อ
นักปรัชญาชายขอบ

ผมรู้สึกชื่นชมไอเดีย “เขียนจดหมายถึงฟ้า” กับ “ตาสว่างทั้งแผ่นดิน” มาก ในขณะที่ขำเกือบตกเก้าอี้เมื่อเห็นท่าน “อภิสิทธัตถะ”เทศนาอัปปมาทกถา (ถ้อยแถลงว่าด้วยความไม่ประมาท) ทางทีวีว่า ให้ระมัดระวัง “ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์”
แสดงว่า ในสายตาของเขาไม่ว่าคนเสื้อแดงจะขยับทำอะไร ก็ต้องรุนแรงเสมอ ไม่รุนแรงทางกายภาพก็ต้องรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ แต่โทษทีครับ สติปัญญาระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากอ๊อกฟอร์ดคิดไม่ออกเลยหรือไงว่า เป็นนายกฯ แล้วออกมาปรามประชาชนโดยอ้าง “ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์” ในสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยถูกใช้สัญลักษณ์กดทับไว้เช่นทุกวันนี้ มันเป็น “ทัศนะอำมหิต” ต่อการใช้เสรีภาพทางการเมืองของประชาชนที่จะบอกเล่าความจริงและทวงคืนประชาธิปไตยมากเกินไป!
นึกถึงประโยคสรุปในหนังสือ “สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย” ของ อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ว่า “ถึงเวลาที่ต้องให้การศึกษาแก่ชนชั้นนำให้เข้าใจและรู้คุณค่าประชาธิปไตย” มันเป็นข้อสรุปที่สวนทางกับทัศนะของชนชั้นนำที่พูดซ้ำๆ ซากๆ ว่า ประชาชนโง่ ไม่รู้ประชาธิปไตย จะต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตย แต่ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ “อุปสรรค” ที่เด่นชัดของพัฒนาการประชาธิปไตยก็คือ “ชนชั้นนำ”
จดหมายถึงฟ้า มันจึงมีความหมายสำคัญว่า ประชาชน เช่น คนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กรรมกร ชาวนา แม่ค้าขายส้มตำ ลูกชิ้น ฯลฯ เขาตาสว่างแล้ว เขาเกิดปัญญารู้แจ้ง (Enlightenment) แล้วว่าประชาธิปไตยคืออะไร และเขาต้องการสอนบรรดาชนชั้นนำ โดยเฉพาะ “คนอย่างอภิสิทธัตถะ” ซึ่งถูกยกให้มีอภิสิทธิ์ทางศีลธรรมให้รู้ว่าคุณไม่สามารถต้านกระแสประชาธิปไตยได้ คนที่ต้านกระแสประชาธิปไตยคือคนที่ต้านกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
พูดอย่างถึงที่สุด ต้านกระแสเรียกร้องประชาธิปไตย คือ ต้านกระแสเรียกร้องความเป็นคน ซึ่ง “ความเป็นคน” นั้นโดยพื้นฐาน หรือโดย essence เลย คือ freedom หรือเสรีภาพ รูปแบบการปกครองของรัฐที่จำกัดเสรีภาพก็เท่ากับจำกัดความเป็นคน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่นี่ไง เพราะเราถูกจำกัดความเป็นคนจนเคยชิน เราจึงไม่รู้ว่าความเป็นคนของตัวเองและเพื่อนมนุษย์คืออะไร เราจึงเรียกร้องอำนาจพิเศษ อำนาจเบ็ดเสร็จของกองทัพ การใช้ พรก.ฉุกเฉิน ฯลฯ มาจำกัดความเป็นคนของตัวเองและเพื่อนมนุษย์ ไม่ให้เขา (และเรา) สามรถใช้เสรีภาพตามที่ควรจะเป็น
โดยเฉพาะพวกใช้เจ้าเป็นอาวุธเพื่อทำลายคนที่เห็นต่าง หรือศัตรูทางการเมืองของตนเอง ยิ่งชัดเจนว่าคุณกำลังทำลายความเป็นคนของตนเองและเพื่อนมนุษย์อย่างโง่เขลาและเลือดเย็น เพราะโดย “อาวุธ” ที่คุณใช้กับคนอื่น เขาก็จะใช้อาวุธเดียวกันกับคุณ สังคมเราจึงพยายามจำกัด หรือริบสิทธิในการใช้เสรีภาพของกันและกันไปด้วยการใช้อาวุธเช่นนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่ไม่มีใครสามารถห้ามคนไม่ให้มีเสรีภาพได้ คุณอาจจำกัดการใช้เสรีภาพของคนได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่คุณไม่อาจเอาเสรีภาพออกไปจากความเป็นคนได้ ถ้าประชาชนตระหนักถึงคุณค่าความเป็นคนที่ต้องมีเสรีภาพ อำนาจที่จำกัดเสรีภาพย่อมถูกท้าทาย และไม่อาจคงอยู่ต่อไปได้!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องเสรีภาพที่จะเป็นคนอย่างสมบูรณ์ ก็คือโดยพื้นฐานที่สุดคนต้องมีเสรีภาพที่จะพูด จะคิด แสดงออกซึ่งความคิดเห็นได้ โดยเฉพาะการพูดความจริง การเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง คนมันต้องมี “อิสระทางศีลธรรม” หรือมีอิสระในการวินิจฉัยถูกผิดในเรื่องคุณค่าเชิงบรรทัดฐานหลักๆ ของสังคม ไม่ใช่ต้องคอยแต่เชื่อฟังและทำตาม ถ้าคนชั้นนำคิดผิด ทำผิดในทางศีลธรรม ประชาชนที่มีความเป็น “คน” จะต้องตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ เรียกร้องให้เขารับผิดชอบในทางศีลธรรม และทางกฎหมายได้ ถ้าเสรีภาพดังกล่าวนี้มีไม่ได้ ถูกกดทับหรือถูกจำกัดก็หมายความว่าความเป็นคนของประชาชนถูก จำกัด
คุณอยากมีชีวิตอยู่ในประเทศที่ความเป็นคนของคุณถูกจำกัดหรือครับ คุณไม่อยากให้ศักยภาพที่จะเป็นคนอย่างเต็มที่ของคุณได้แสดงตัวออกมาหรือครับ ศักยภาพความเป็นคนมันเป็น “สภาพแฝง” (potentiality) มันจะแสดงออกมาหรือกลายเป็น “สภาพจริง”(actuality) ได้ ก็ต่อเมื่อเรามีเสรีภาพ เราไม่ถูกจำกัดหรือถูกกดทับเสรีภาพเอาไว้ด้วยเหตุผลเรื่องความไม่เท่าเทียมของมนุษย์
แน่นอนว่า ในสังคมประชาธิปไตย การใช้เสรีภาพอาจถูกจำกัดหากมันไปละเมิดความเท่าเทียมในความเป็นคน เช่น เราไม่มีเสรีภาพที่จะประณามคนอื่นด้วยเหตุผลว่า เรามีสถานะความเป็นคนสูงส่งกว่าคนอื่น แต่การจำกัดเสรีภาพเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล เพราะเป็นการปกป้องความเท่าเทียมของคนซึ่งเป็นรากฐานในการปกป้องเสรีภาพที่เท่าเทียม
มันต่างกับการอ้างว่า “ทุกคนมีเสรีภาพได้เต็มที่นะตราบเท่าที่ไม่ไปพูดความจริงเกี่ยวกับคนที่มีความเป็นคนเหนือกว่าทุกคน” เพราะข้ออ้างเช่นนี้มันหมายความว่า มนุษย์จำเป็นต้องมีเสรีภาพไม่เท่ากัน (ระหว่างทุกคนกับคนที่เหนือกว่าทุกคน) และจำเป็นต้องถูกจำกัดเสรีภาพในการพูดความจริงเกี่ยวกับการกระทำของคนที่เหนือกว่าทุกคน ซึ่งเป็นไปได้ว่าการกระทำนั้นอาจส่งผลด้านลบต่อทุกคน และหรือกล่าวอย่างรวบยอด ทุกคนย่อมไม่มีอิสระทางศีลธรรมหากคนที่เหนือกว่าทุกคนเป็นผู้กำหนดถูก-ผิด ในเรื่องศีลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง การมีชีวิตที่ดี ฯลฯ แทนประชาชน และประชาชนก็ไม่สามารถตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ได้
ฉะนั้น จดหมายถึงฟ้า/ตาสว่างทั้งแผ่นดิน จึงเป็นก้าวย่างทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่มีความหมายสำคัญยิ่ง ก้าวต่อไปก็คือเราต้องทวงเสรีภาพเพื่อให้ทุกคนภายใต้ผืนฟ้า (จริงๆ) นี้ มีความเป็นคนที่เท่าเทียม!
ที่มา. Unrest in Bangkok
ผมรู้สึกชื่นชมไอเดีย “เขียนจดหมายถึงฟ้า” กับ “ตาสว่างทั้งแผ่นดิน” มาก ในขณะที่ขำเกือบตกเก้าอี้เมื่อเห็นท่าน “อภิสิทธัตถะ”เทศนาอัปปมาทกถา (ถ้อยแถลงว่าด้วยความไม่ประมาท) ทางทีวีว่า ให้ระมัดระวัง “ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์”
แสดงว่า ในสายตาของเขาไม่ว่าคนเสื้อแดงจะขยับทำอะไร ก็ต้องรุนแรงเสมอ ไม่รุนแรงทางกายภาพก็ต้องรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ แต่โทษทีครับ สติปัญญาระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากอ๊อกฟอร์ดคิดไม่ออกเลยหรือไงว่า เป็นนายกฯ แล้วออกมาปรามประชาชนโดยอ้าง “ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์” ในสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยถูกใช้สัญลักษณ์กดทับไว้เช่นทุกวันนี้ มันเป็น “ทัศนะอำมหิต” ต่อการใช้เสรีภาพทางการเมืองของประชาชนที่จะบอกเล่าความจริงและทวงคืนประชาธิปไตยมากเกินไป!
นึกถึงประโยคสรุปในหนังสือ “สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย” ของ อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ว่า “ถึงเวลาที่ต้องให้การศึกษาแก่ชนชั้นนำให้เข้าใจและรู้คุณค่าประชาธิปไตย” มันเป็นข้อสรุปที่สวนทางกับทัศนะของชนชั้นนำที่พูดซ้ำๆ ซากๆ ว่า ประชาชนโง่ ไม่รู้ประชาธิปไตย จะต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตย แต่ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ “อุปสรรค” ที่เด่นชัดของพัฒนาการประชาธิปไตยก็คือ “ชนชั้นนำ”
จดหมายถึงฟ้า มันจึงมีความหมายสำคัญว่า ประชาชน เช่น คนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กรรมกร ชาวนา แม่ค้าขายส้มตำ ลูกชิ้น ฯลฯ เขาตาสว่างแล้ว เขาเกิดปัญญารู้แจ้ง (Enlightenment) แล้วว่าประชาธิปไตยคืออะไร และเขาต้องการสอนบรรดาชนชั้นนำ โดยเฉพาะ “คนอย่างอภิสิทธัตถะ” ซึ่งถูกยกให้มีอภิสิทธิ์ทางศีลธรรมให้รู้ว่าคุณไม่สามารถต้านกระแสประชาธิปไตยได้ คนที่ต้านกระแสประชาธิปไตยคือคนที่ต้านกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
พูดอย่างถึงที่สุด ต้านกระแสเรียกร้องประชาธิปไตย คือ ต้านกระแสเรียกร้องความเป็นคน ซึ่ง “ความเป็นคน” นั้นโดยพื้นฐาน หรือโดย essence เลย คือ freedom หรือเสรีภาพ รูปแบบการปกครองของรัฐที่จำกัดเสรีภาพก็เท่ากับจำกัดความเป็นคน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่นี่ไง เพราะเราถูกจำกัดความเป็นคนจนเคยชิน เราจึงไม่รู้ว่าความเป็นคนของตัวเองและเพื่อนมนุษย์คืออะไร เราจึงเรียกร้องอำนาจพิเศษ อำนาจเบ็ดเสร็จของกองทัพ การใช้ พรก.ฉุกเฉิน ฯลฯ มาจำกัดความเป็นคนของตัวเองและเพื่อนมนุษย์ ไม่ให้เขา (และเรา) สามรถใช้เสรีภาพตามที่ควรจะเป็น
โดยเฉพาะพวกใช้เจ้าเป็นอาวุธเพื่อทำลายคนที่เห็นต่าง หรือศัตรูทางการเมืองของตนเอง ยิ่งชัดเจนว่าคุณกำลังทำลายความเป็นคนของตนเองและเพื่อนมนุษย์อย่างโง่เขลาและเลือดเย็น เพราะโดย “อาวุธ” ที่คุณใช้กับคนอื่น เขาก็จะใช้อาวุธเดียวกันกับคุณ สังคมเราจึงพยายามจำกัด หรือริบสิทธิในการใช้เสรีภาพของกันและกันไปด้วยการใช้อาวุธเช่นนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่ไม่มีใครสามารถห้ามคนไม่ให้มีเสรีภาพได้ คุณอาจจำกัดการใช้เสรีภาพของคนได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่คุณไม่อาจเอาเสรีภาพออกไปจากความเป็นคนได้ ถ้าประชาชนตระหนักถึงคุณค่าความเป็นคนที่ต้องมีเสรีภาพ อำนาจที่จำกัดเสรีภาพย่อมถูกท้าทาย และไม่อาจคงอยู่ต่อไปได้!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องเสรีภาพที่จะเป็นคนอย่างสมบูรณ์ ก็คือโดยพื้นฐานที่สุดคนต้องมีเสรีภาพที่จะพูด จะคิด แสดงออกซึ่งความคิดเห็นได้ โดยเฉพาะการพูดความจริง การเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง คนมันต้องมี “อิสระทางศีลธรรม” หรือมีอิสระในการวินิจฉัยถูกผิดในเรื่องคุณค่าเชิงบรรทัดฐานหลักๆ ของสังคม ไม่ใช่ต้องคอยแต่เชื่อฟังและทำตาม ถ้าคนชั้นนำคิดผิด ทำผิดในทางศีลธรรม ประชาชนที่มีความเป็น “คน” จะต้องตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ เรียกร้องให้เขารับผิดชอบในทางศีลธรรม และทางกฎหมายได้ ถ้าเสรีภาพดังกล่าวนี้มีไม่ได้ ถูกกดทับหรือถูกจำกัดก็หมายความว่าความเป็นคนของประชาชนถูก จำกัด
คุณอยากมีชีวิตอยู่ในประเทศที่ความเป็นคนของคุณถูกจำกัดหรือครับ คุณไม่อยากให้ศักยภาพที่จะเป็นคนอย่างเต็มที่ของคุณได้แสดงตัวออกมาหรือครับ ศักยภาพความเป็นคนมันเป็น “สภาพแฝง” (potentiality) มันจะแสดงออกมาหรือกลายเป็น “สภาพจริง”(actuality) ได้ ก็ต่อเมื่อเรามีเสรีภาพ เราไม่ถูกจำกัดหรือถูกกดทับเสรีภาพเอาไว้ด้วยเหตุผลเรื่องความไม่เท่าเทียมของมนุษย์
แน่นอนว่า ในสังคมประชาธิปไตย การใช้เสรีภาพอาจถูกจำกัดหากมันไปละเมิดความเท่าเทียมในความเป็นคน เช่น เราไม่มีเสรีภาพที่จะประณามคนอื่นด้วยเหตุผลว่า เรามีสถานะความเป็นคนสูงส่งกว่าคนอื่น แต่การจำกัดเสรีภาพเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล เพราะเป็นการปกป้องความเท่าเทียมของคนซึ่งเป็นรากฐานในการปกป้องเสรีภาพที่เท่าเทียม
มันต่างกับการอ้างว่า “ทุกคนมีเสรีภาพได้เต็มที่นะตราบเท่าที่ไม่ไปพูดความจริงเกี่ยวกับคนที่มีความเป็นคนเหนือกว่าทุกคน” เพราะข้ออ้างเช่นนี้มันหมายความว่า มนุษย์จำเป็นต้องมีเสรีภาพไม่เท่ากัน (ระหว่างทุกคนกับคนที่เหนือกว่าทุกคน) และจำเป็นต้องถูกจำกัดเสรีภาพในการพูดความจริงเกี่ยวกับการกระทำของคนที่เหนือกว่าทุกคน ซึ่งเป็นไปได้ว่าการกระทำนั้นอาจส่งผลด้านลบต่อทุกคน และหรือกล่าวอย่างรวบยอด ทุกคนย่อมไม่มีอิสระทางศีลธรรมหากคนที่เหนือกว่าทุกคนเป็นผู้กำหนดถูก-ผิด ในเรื่องศีลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง การมีชีวิตที่ดี ฯลฯ แทนประชาชน และประชาชนก็ไม่สามารถตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ได้
ฉะนั้น จดหมายถึงฟ้า/ตาสว่างทั้งแผ่นดิน จึงเป็นก้าวย่างทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่มีความหมายสำคัญยิ่ง ก้าวต่อไปก็คือเราต้องทวงเสรีภาพเพื่อให้ทุกคนภายใต้ผืนฟ้า (จริงๆ) นี้ มีความเป็นคนที่เท่าเทียม!
ที่มา. Unrest in Bangkok
*************************************************************************************
ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพแถลงประณามกรณีจับผอ.ประชาไท
ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพประณามกรณีจับผอ.ประชาไท จี้ให้ถอนคดีโดยทันที พร้อมลงโทษตำรวจที่ทำคดีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลว ชี้ประชาไทได้ทำหน้าที่กำกับดูแลตนเองอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว เหมือนที่สื่อกระแสหลักมักเรียกร้องไม่ให้อำนาจรัฐเข้าแทรกแซง พร้อมทั้งเรียกร้องให้สมาคมด้านสื่อ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสภาทนายความอย่าเพิกเฉย
แถลงการณ์ของชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพกรณีจับผอ.ประชาไท
ตามที่มีการจับกุมดำเนินคดีน.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเวบไซต์ประชาไท ด้วยข้อกล่าวหากระทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานเป็นผู้ดูแลระบบร่วมกับผู้ใช้กระทำผิดหมิ่นอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์ เกิดความผิดเมื่อวันที่ 27 เมษายนนั้น
ประชาชนและวิญญูชนย่อมทราบกันดีว่า เวบไซต์ประชาไทนั้นเป็นสื่อทางเลือกบนระบบอินเตอร์เน็ตที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารความเห็นอย่างรอบด้าน และทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นในกระดานสนทนา(เว็บบอร์ด)ได้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีทัศนะทางการเมืองอย่างใด แต่ในสถานการณ์การเมืองที่เกิดวิกฤตการณ์ในระยะที่ผ่านมานั้น ทำให้ผู้ดูแลควบคุมดูแลเว็บบอร์ดได้ยากลำบาก กระทั่งได้ตัดใจปิดเว็บบอร์ดลงเองเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ดังนั้นการอ้างเหตุในการจับกุมดำเนินคดีในคราวนี้จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาไม่สุจริตของเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลผู้กำกับดูแล และไม่สอดคล้องต่อข้อเท็จจริงที่ว่าน.ส.จีรนุชได้แสดงความรับผิดชอบในการกำกับดูแลตัวเองอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ดังที่สื่อมวลชนกระแสหลักมักอ้างเรื่องจะ”กำกับดูแลตนเอง”เพื่อไม่ให้อำนาจรัฐแทรกแซงหรือครอบงำ
จึงขอเรียกร้องดังนี้
1.เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถอนการดำเนินคดีโดยทันทีเป็นอันดับแรก และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาลควรต้องลงโทษตำรวจที่ดำเนินคดีน.ส.จีรนุชเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในทางที่เลวเช่นนี้อีก
2.รัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯที่กำกับดูแลเรื่องสื่อคือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ต้องเร่งให้หลักประกันต่อเสรีภาพของสื่อสารมวลชนว่าจะไม่มีคดีที่ไร้เหตุผลทำนองนี้อีก รวมทั้งศอฉ.สมควรต้องยกเลิกประกาศปิดสื่อต่างๆทั้งวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต นับแต่ประกาศปิดมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา เพราะเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อบทบีญญัติรัฐธรรมนูญ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ รวมทั้งต้องยกเลิกการกระทำเผด็จการปิดแท่นพิมพ์ของred powerด้วย เพราะน่าละอายที่มีการกระทำเผด็จการด้อยพัฒนาป่าเถื่อนเช่นนี้
3.สมาคมที่เกี่ยวข้องกับสื่อ ทั้งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยพึงต้องแสดงความกระตือรือร้นที่จะต้องออกมาแสดงบทบาทพิทักษ์ปกป้องเสรีภาพของสื่อสารมวลชนโดยเร็ว โดยไม่เลือกปฏิบัติ
4.หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งภาครัฐ อย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือสภาทนายความ หรือองค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนพึงต้องแสดงความกระตือรือร้นที่จะต้องออกมาแสดงบทบาทพิทักษ์ปกป้องเสรีภาพของสื่อสารมวลชนโดยเร็ว โดยไม่เลือกปฏิบัติ
ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย
******************************************************************************
จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 3
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
(อีเมลล์ Abhisit@abhisit.org)
เรื่อง การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย
เรียน นายกรัฐมนตรี
ตามท่านทราบเป็นอย่างดีว่า สำนักงานกฎหมายแห่งนี้เป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งถูกกล่าวหาทางอาญาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพมหานครเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 (เราจะเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวในจดหมายฉบับนี้ว่า “การชุมนุม”) เราเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรับมนตรี และในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลที่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
เราได้ส่งจดหมายเพื่อย้ำเตือนรัฐบาลของท่านถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และครั้งล่าสุดในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 เนื้อหาจดหมายได้ย้ำเตือนรัฐบาลไทยถึงพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยต้องมีการจัดการสอบสวนถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนกว่า 80 รายที่ถูกสังหารในระหว่างการชุมนุม และยังระบุถึงหน้าที่ที่รัฐบาลที่จะต้องให้โอกาสแก่ทีมทนายของผู้ถูกกล่าวและทางสำนักงานกฎหมายของเราในการเข้าถึงพยานหลักฐาน แต่จนถึงบัดนี้ท่านไม่ได้ตอบสนองถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวของเรา
เป็นที่ปรากฏชัดว่า แทนที่คณะรัฐบาลของคุณจะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กองทัพไทยกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ปราศจากจากอาวุธระหว่างการชุมนุม
โดยในวันที่ 20 เมษายน 2553 รัฐบาลของท่านได้ถอดถอนเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจากหน้าที่ในการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารประชาชน โดยมอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่ในสี่เดือนที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนการสังหารดังกล่าวแต่อย่างใด จากพยานหลักฐานนี่รัฐบาลมีอยู่มากมาย อาทิ รูปพรรณสัณฐานผู้กระทำการ และหลักฐานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวได้สัดส่วนต่อความรุนแรงหรือไม่ จึงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใดที่รัฐบาลจะดำเนินการสอบสวนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา โดยศาลไทยได้ระบุว่าจะต้องมีการระบุและแสดงรูปพรรณสัณฐานผู้กระทำความผิดในการสังหารประชาชน (อ้างอิงจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแห่งประเทศไทย บทที่ 2 มาตรา 148)
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐบาลของท่านได้จับกุมและกล่าวหาแกนนำนปช.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของถูกกล่าวหา ในปัจจุบันแกนนำนปช.ทั้ง 19คนยังคงถูกรัฐบาลคุมขังตามอำเภอใจ
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2553 เป็นเวลา 4เดือนกว่าหลังจากการสังหารประชาชนในระหว่างการชุมนุม ท่านได้ตอบสนองข้อเรียกร้องสาธารณชนโดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะสอบสวนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว เราขอกล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้มีความเป็นธรรมหรือเป็นอิสระ เพราะคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 ภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ได้กล่าวหาแกนนำเสื้อแดงหลายครั้งว่าสมรู้ร่วมคิดในการล้มล้างระบอบกษัตริย์ และยังมีการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินแม้ว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะกลับสู่ปกติแล้วก็ตาม ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เอื้อต่อการสอบสวนที่มีความเป็นอิสระและเป็นธรรมอย่างแท้จริง
การที่คณะรัฐบาลของท่านปฏิเสธที่จะยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉิน และเพิกถอนอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของคุณพยายามปกปิดข้อเท็จจริง แม้จะมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์และวิดีโอบันทึกเหตุการณ์จำนวนมากที่ระบุว่ากองทัพไทยมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือนทั้ง 80 รายก็ตาม การที่ ศอฉ. ได้ถอดถอนอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจในการสอบสวนคดีดังกล่าวในวันที่ 20 เมษายน 2553 ทำให้กระบวนการการสอบสวนคดีเกิดความล่าช้า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตทั้งหมด แต่ทางทีมทนายของผู้ถูกกล่าวหาและญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้รับผลการชันสูตรดังกล่าว หรือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์การการสลายชุมนุมแต่อย่างใด
แม้ว่าจะมีหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายหรือวิดิโอมากมายที่ระบุรูปพรรณสัณฐานทหารที่ยิงอาวุธใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยังไม่มีการจับกุมหรือสอบสวนสมาชิกกองทัพไทยแม้แต่คนเดียว กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนพยานในเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างเช่น ไม่มีการเรียกผู้บริหารอาคารที่กลุ่มทหารมือปืนลอบสังหารใช้เป็นที่ซุ่มยิงประชาชนมาสอบสวนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ซุ่มยิงได้อย่างไร หรือเรียกให้กลุ่มบริษัทคมนาคมขนส่งกรุงเทพมหานครระบุรูปพรรณสัณฐานบุคคลที่อยู่ในรางรถไฟฟ้าในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ปรากฏในในวิดีโด และความล่าช้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นส่งผลให้หลักฐานเหล่านั้นเน่าเปื่อยผุพัง และสร้างความยากลำบากในการระบุพยาน
และยังเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้พยานเกิดความหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และการคงพระราชกำหนดฉุกเฉิน ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างล้นเหลือในการคุกคามผู้ต้องสงสัย สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว อย่างน้อยที่สุดคือ การ์ดนปช. 3รายเสียชีวิตจากสาเหตุอันผิดธรรมชาติหลังจากการชุมนุม นอกจากนี้ ศอฉ.ยังใช้อำนาจในการยึดทรัพย์สินของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการล้างแค้นโดยการสอบสวนทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้าม และมีการใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การยิงและลอบวางระเบิดเอ็ม79 โดยไม่หลักฐานที่แน่ชัดผ่านทางสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาอันมีมูลในเรื่องการทุจริตทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งเหล่านี้แสดงในเห็นถึงความสองมาตรฐานที่ใช้ทำลายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงของเจ้าหน้ารัฐอย่างต่อเนื่อง และสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าคณะรัฐบาลของท่านปราศจากความน่าเชื่อถือที่จะดำเนินการสอบสวนคดีเกี่ยวกับการสังหารประชาชนอย่างเป็นอิสระหรือเป็นธรรม ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังโยนความรับผิดต่อการตายของประชาชนทั้งหมดให้กับแกนนำนปช.
เราขอย้ำเตือนในท่านเห็นถึงความล้มเหลวของท่านในการเยียวยาเหยื่อของอาชญากรรมอันทารุณ อาทิ การสังหารประชาชนโดยใช้ศาลเตี้ยหรืออำนาจมืด ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง รวมถึงบทบัญญัติกรุงโรมซึ่งเป็นรากฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศที่บัญญัติให้ทหารหรือพลเรือนผู้มีอำนาจเหนือประชาชนที่ล้มเหลวในการดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องรับผิดชอบ หากปรากฏชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวได้จงใจเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ระบุชัดแจ้งว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ซึ่งได้ระบุไว้ในบทบัญญัติกรุงโรม มาตรา 28 (b) (III) หลักการดังกล่าวยังเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้กับประเทศไทยได้
และจากการกระทำของรัฐบาลที่ได้กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการดำเนินการการสอบสวนคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างเป็นอิสระ
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว
ด้วยความนับถือ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์
ลอนดอน สหราชอาณาจักร
จดหมายฉบับนี้ยังถูกส่งไปให้
Madam Navi Pillay (ทางอีเมลล์)
กรรมการข้าหลวงใหญ่สอทธมนุษยชนสหประชาชาติ
กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Mr. Geert-Jan Alexander Knoops (ทางอีเมลล์)
สำนักงานกฎหมาย Knoops & Partners Advocaten
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกรัฐมนตรี
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
(อีเมลล์ Abhisit@abhisit.org)
เรื่อง การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย
เรียน นายกรัฐมนตรี
ตามท่านทราบเป็นอย่างดีว่า สำนักงานกฎหมายแห่งนี้เป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งถูกกล่าวหาทางอาญาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพมหานครเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 (เราจะเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวในจดหมายฉบับนี้ว่า “การชุมนุม”) เราเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรับมนตรี และในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลที่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
เราได้ส่งจดหมายเพื่อย้ำเตือนรัฐบาลของท่านถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และครั้งล่าสุดในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 เนื้อหาจดหมายได้ย้ำเตือนรัฐบาลไทยถึงพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยต้องมีการจัดการสอบสวนถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนกว่า 80 รายที่ถูกสังหารในระหว่างการชุมนุม และยังระบุถึงหน้าที่ที่รัฐบาลที่จะต้องให้โอกาสแก่ทีมทนายของผู้ถูกกล่าวและทางสำนักงานกฎหมายของเราในการเข้าถึงพยานหลักฐาน แต่จนถึงบัดนี้ท่านไม่ได้ตอบสนองถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวของเรา
เป็นที่ปรากฏชัดว่า แทนที่คณะรัฐบาลของคุณจะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กองทัพไทยกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ปราศจากจากอาวุธระหว่างการชุมนุม
โดยในวันที่ 20 เมษายน 2553 รัฐบาลของท่านได้ถอดถอนเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจากหน้าที่ในการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารประชาชน โดยมอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่ในสี่เดือนที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนการสังหารดังกล่าวแต่อย่างใด จากพยานหลักฐานนี่รัฐบาลมีอยู่มากมาย อาทิ รูปพรรณสัณฐานผู้กระทำการ และหลักฐานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวได้สัดส่วนต่อความรุนแรงหรือไม่ จึงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใดที่รัฐบาลจะดำเนินการสอบสวนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา โดยศาลไทยได้ระบุว่าจะต้องมีการระบุและแสดงรูปพรรณสัณฐานผู้กระทำความผิดในการสังหารประชาชน (อ้างอิงจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแห่งประเทศไทย บทที่ 2 มาตรา 148)
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐบาลของท่านได้จับกุมและกล่าวหาแกนนำนปช.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของถูกกล่าวหา ในปัจจุบันแกนนำนปช.ทั้ง 19คนยังคงถูกรัฐบาลคุมขังตามอำเภอใจ
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2553 เป็นเวลา 4เดือนกว่าหลังจากการสังหารประชาชนในระหว่างการชุมนุม ท่านได้ตอบสนองข้อเรียกร้องสาธารณชนโดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะสอบสวนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว เราขอกล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้มีความเป็นธรรมหรือเป็นอิสระ เพราะคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 ภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ได้กล่าวหาแกนนำเสื้อแดงหลายครั้งว่าสมรู้ร่วมคิดในการล้มล้างระบอบกษัตริย์ และยังมีการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินแม้ว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะกลับสู่ปกติแล้วก็ตาม ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เอื้อต่อการสอบสวนที่มีความเป็นอิสระและเป็นธรรมอย่างแท้จริง
การที่คณะรัฐบาลของท่านปฏิเสธที่จะยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉิน และเพิกถอนอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของคุณพยายามปกปิดข้อเท็จจริง แม้จะมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์และวิดีโอบันทึกเหตุการณ์จำนวนมากที่ระบุว่ากองทัพไทยมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือนทั้ง 80 รายก็ตาม การที่ ศอฉ. ได้ถอดถอนอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจในการสอบสวนคดีดังกล่าวในวันที่ 20 เมษายน 2553 ทำให้กระบวนการการสอบสวนคดีเกิดความล่าช้า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตทั้งหมด แต่ทางทีมทนายของผู้ถูกกล่าวหาและญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้รับผลการชันสูตรดังกล่าว หรือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์การการสลายชุมนุมแต่อย่างใด
แม้ว่าจะมีหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายหรือวิดิโอมากมายที่ระบุรูปพรรณสัณฐานทหารที่ยิงอาวุธใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยังไม่มีการจับกุมหรือสอบสวนสมาชิกกองทัพไทยแม้แต่คนเดียว กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนพยานในเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างเช่น ไม่มีการเรียกผู้บริหารอาคารที่กลุ่มทหารมือปืนลอบสังหารใช้เป็นที่ซุ่มยิงประชาชนมาสอบสวนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ซุ่มยิงได้อย่างไร หรือเรียกให้กลุ่มบริษัทคมนาคมขนส่งกรุงเทพมหานครระบุรูปพรรณสัณฐานบุคคลที่อยู่ในรางรถไฟฟ้าในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ปรากฏในในวิดีโด และความล่าช้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นส่งผลให้หลักฐานเหล่านั้นเน่าเปื่อยผุพัง และสร้างความยากลำบากในการระบุพยาน
และยังเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้พยานเกิดความหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และการคงพระราชกำหนดฉุกเฉิน ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างล้นเหลือในการคุกคามผู้ต้องสงสัย สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว อย่างน้อยที่สุดคือ การ์ดนปช. 3รายเสียชีวิตจากสาเหตุอันผิดธรรมชาติหลังจากการชุมนุม นอกจากนี้ ศอฉ.ยังใช้อำนาจในการยึดทรัพย์สินของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการล้างแค้นโดยการสอบสวนทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้าม และมีการใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การยิงและลอบวางระเบิดเอ็ม79 โดยไม่หลักฐานที่แน่ชัดผ่านทางสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาอันมีมูลในเรื่องการทุจริตทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งเหล่านี้แสดงในเห็นถึงความสองมาตรฐานที่ใช้ทำลายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงของเจ้าหน้ารัฐอย่างต่อเนื่อง และสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าคณะรัฐบาลของท่านปราศจากความน่าเชื่อถือที่จะดำเนินการสอบสวนคดีเกี่ยวกับการสังหารประชาชนอย่างเป็นอิสระหรือเป็นธรรม ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังโยนความรับผิดต่อการตายของประชาชนทั้งหมดให้กับแกนนำนปช.
เราขอย้ำเตือนในท่านเห็นถึงความล้มเหลวของท่านในการเยียวยาเหยื่อของอาชญากรรมอันทารุณ อาทิ การสังหารประชาชนโดยใช้ศาลเตี้ยหรืออำนาจมืด ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง รวมถึงบทบัญญัติกรุงโรมซึ่งเป็นรากฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศที่บัญญัติให้ทหารหรือพลเรือนผู้มีอำนาจเหนือประชาชนที่ล้มเหลวในการดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องรับผิดชอบ หากปรากฏชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวได้จงใจเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ระบุชัดแจ้งว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ซึ่งได้ระบุไว้ในบทบัญญัติกรุงโรม มาตรา 28 (b) (III) หลักการดังกล่าวยังเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้กับประเทศไทยได้
และจากการกระทำของรัฐบาลที่ได้กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการดำเนินการการสอบสวนคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างเป็นอิสระ
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว
ด้วยความนับถือ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์
ลอนดอน สหราชอาณาจักร
จดหมายฉบับนี้ยังถูกส่งไปให้
Madam Navi Pillay (ทางอีเมลล์)
กรรมการข้าหลวงใหญ่สอทธมนุษยชนสหประชาชาติ
กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Mr. Geert-Jan Alexander Knoops (ทางอีเมลล์)
สำนักงานกฎหมาย Knoops & Partners Advocaten
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชาติของใคร...???
อนุสรณ์ อุณโณ
ที่มา:คอลัมน์ คิดอย่างคน ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรายสัปดาห์ มหาประชาชน
“ชาติ” เป็นประดิษฐกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นควบคู่กับประดิษฐกรรมทางการ เมืองเช่น “รัฐ” สมัยใหม่ เพราะการใช้อำนาจเหนือชีวิตของผู้คนในเขตแดนไม่อาจอาศัยเฉพาะอาวุธ ยุทโธปกรณ์ กฎหมาย และระบบราชการ จำเป็นต้องอาศัยความยินยอมพร้อมใจของผู้คนที่จะอยู่ภายใต้การบริหารอำนาจดัง กล่าวด้วย ชาติจึงถูกสร้างขึ้นในฐานะที่เป็นพื้นที่ในจินตนาการ ทาบซ้อนลงไปบนรัฐที่มีเขตแดนในเชิงกายภาพ ทำหน้าที่เป็นแหล่งให้ผู้คนเชื่อมโยงถึงกันผ่านลักษณะร่วมบางอย่าง เช่น เผ่าพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ พร้อมกับสร้างความจงรักภักดีในหมู่ผู้คนในสังกัด จนกระทั่งพวกเขาไม่รู้สึกถึงปฏิบัติการอำนาจของรัฐ แต่สำคัญว่าเป็นพันธกรณีที่ตนเองต้องมีต่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ในรูปของการอบรมสั่งสอน (เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ) การปฏิบัติตามกฎหมาย (วินัยจราจรสะท้อนวินัยของคนในชาติ) หรือว่าการป้องกันประเทศ (พลีชีพเพื่อชาติ)
รัฐไทยอาศัยจินตนาการเรื่องชาติในการปกครองผู้คนมาแต่แรกตั้ง สยามใหม่สถาปนามรดกร่วมของคนในชาติขึ้นเหนือสายใยเฉพาะถิ่นเพื่อว่าจะได้ สามารถผนวกรวมผู้คนต่างเผ่าต่างภาษาและวัฒนธรรมเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ผู้คนไม่ว่าจะมีจำเพาะหรือแตกต่างอย่างไร หากอยู่ในราชอาณาจักรสยามและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักก็นับเป็นส่วน หนึ่งของรัฐไทยที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่นี้ ขณะที่รัฐไทยในยุคต่อมานิยามความหมายของชาติแคบลง เพราะนำไปผูกกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทเพียงกลุ่มเดียว โดยนอกจากจะดำเนินนโยบายกลืนกลายทางวัฒนธรรมและกีดกันกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แล้ว รัฐไทยสมัยนี้ยังพยายามที่จะสถาปนามหาอาณาจักรไทยที่กินขอบเขตกว้างกว่า ประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันรัฐไทยจะล้มเลิกความทะเยอทะยานที่จะสถาปนามหาอาณาจักรไทยรวมทั้ง ยกเลิกนโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมแกมบังคับ แต่ความคิดชาตินิยมไม่ได้หายไปไหน หากแต่แพร่กระจายและฝังลึกในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้ผู้มีบทบาทในการผลักดันความคิดเรื่องชาติ โดยเฉพาะชาตินิยม ไม่ได้จำกัดเฉพาะรัฐอีกต่อไป หากแต่หมายรวมถึงกลุ่มและองค์กรนอกภาครัฐจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะเคลื่อนไหวเรียกร้องภายใต้แนวคิดชาตินิยมอย่างเข้มข้น กลุ่มและองค์กรเหล่านี้ยังกดดันให้รัฐแสดงบทบาทปกป้องชาติอย่างเข้มแข็งใน เวลาเดียวกัน
ยกตัวอย่างกรณีปราสาทเขาพระวิหาร พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยความร่วมมือกับนักวิชาการและกลุ่มทางสังคมจำนวนหนึ่ง อาทิ สันติอโศก และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เรียกร้องให้ยกเลิกการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร ยกเลิกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา 2543 คัดค้านแผนการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณรอบปราสาท รวมทั้งให้ขับไล่ชาวกัมพูชาออกนอกพื้นที่ดังกล่าว โดยนอกจาก UNESCO แล้ว รัฐบาลไทยเป็นอีกเป้าหมายสำคัญที่กลุ่มเหล่านี้เคลื่อนไหวกดดัน เพราะเห็นว่าไม่ได้แสดงบทบาทปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลประชาธิปัตย์ (ซึ่งสมาทานแนวคิดชาตินิยมเช่นกัน แต่ว่ามีข้อจำกัดในการแสดงออกเพราะอยู่ภายใต้แรงกดดันของกติการะหว่างประเทศ ) จึงไม่เพียงแต่จะยืนยันว่าจะไม่ยอมสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว หากแต่ยังเปิดโอกาสให้ตัวแทนพันธมิตรฯ และภาคีเข้าพบปะซักถามนายกรัฐมนตรีรวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมกับ ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลตลอดรายการ
นอกจากนี้ ความคิดชาตินิยมยังแฝงฝังอยู่ในการเคลื่อนไหวขององค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาศัยความคิดเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของชาติเป็นหนึ่งในปราการหลักใน การคัดค้านการรุกคืบของระบบทุนนิยมโลกและบรรษัทข้ามชาติในประเทศไทย พวกเขาเสนอว่าการขยายตัวของระบบทุนนิยมโลกและบรรษัทข้ามชาติไม่เพียงแต่จะ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยและชุมชนเกษตรกรรม หากแต่ยังคุกคามผลประโยชน์ของชาติโดยรวมอีกด้วย การพยายามเข้ามามีอิทธิพลเหนือนโยบายรัฐของบรรษัทข้ามชาติจึงถูกเปิดโปง และการลงนามของรัฐบาลในสนธิสัญญาทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศฉบับ ต่างๆ จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ภายใต้ข้อวิตกกังวลว่ารัฐบาลอาจไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติเท่า กับผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ หรือว่าอาจเพลี่ยงพล้ำให้กับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจต่างๆในเวทีการเจรจา
ประการสำคัญก็คือ ความคิดเรื่องชาติได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพราะสาเหตุหลักประการหนึ่งของการลุกฮือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีในเวลาต่อมาคือความรู้สึกว่าสถาบันหลักของชาติกำลังถูกคุกคาม ชาติในความเข้าใจของกลุ่มคนเหล่านี้คือดินแดนที่ผู้คนอยู่รวมกันตามลำดับ ชั้นทางศีลธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ละคนต่างมีสิทธิและหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามที่ได้รับการจัดสรร การตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ระเบียบทางศีลธรรมโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นทางศีลธรรมที่สูงกว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้ที่ละเมิดโดยเฉพาะผู้ที่สังกัดลำดับชั้นทางศีลธรรมระดับล่างๆ จำเป็นต้องได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม
ความคิดเรื่องชาติในสังคมไทยจึงมีลักษณะเฉพาะและทำให้ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าปกติ เพราะโดยปกติแม้ชาติและรัฐจะหนุนเสริมกันแต่ก็มีความขัดแย้งรวมอยู่ด้วย เพราะชาติเป็นพื้นที่ในจินตนาการที่มีการจัดความสัมพันธ์กันอย่างเสมอหน้า แต่ว่ารัฐเน้นการบังคับบัญชาอย่างเป็นลำดับขั้น การนำชาติมารับใช้รัฐจึงจำเป็นต้องอำพรางความขัดแย้งดังกล่าวให้มิดชิด ทว่าความคิดเรื่องชาติกระแสหลักในสังคมไทยเน้นการจัดความสัมพันธ์เชิงสูงต่ำ มาตั้งแต่แรก โดยอาศัยระเบียบทางศีลธรรมเป็นกลไกในการสร้างความชอบธรรม รัฐไทยจึงไม่ต้องกังวลกับการปิดบังอำพรางในการอาศัยความคิดเรื่องชาติใน ลักษณะเช่นนี้จัดการกับชีวิตของผู้คน เพราะว่าผู้คนเหล่านี้ยินดีที่จะอยู่ภายใต้การจัดความสัมพันธ์อย่างเป็น ลำดับขั้นมาตั้งแต่ในชั้นของชาติ
เพราะเหตุที่รัฐจะยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับชีวิตของผู้คนต่อไปอีกนาน การสลัดความคิดเรื่องชาติจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่ายหรือว่าในระยะอันใกล้นี้ ภารกิจหลักจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้จินตนาการเกี่ยวกับชาติที่ประกอบด้วยผู้คนอันหลากหลายแต่ว่าสัมพันธ์กันอย่างเสมอหน้าได้มีพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และทำอย่างไรให้จินตนาการชาติในลักษณะที่ว่านี้สามารถควบคุมการใช้อำนาจแนวดิ่งของรัฐให้ได้เพิ่มขึ้น เพราะหากปล่อยให้จินตนาการชาติชนิดที่วางอยู่บนลำดับชั้นทางศีลธรรมครองความเป็นใหญ่ การหยิบใช้ความคิดเรื่องชาติในการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะโดยพันธมิตรฯ หรือแม้กระทั่งองค์กรพัฒนาเอกชนโดยปราศจากการตั้งคำถามถึงการจัดระเบียบของชาติดังกล่าว ก็รังแต่จะเสริมความอยุติธรรมขึ้นในแผ่นดินนี้ก็เท่านั้น
-----------------------------------------------------------------------
ที่มา:คอลัมน์ คิดอย่างคน ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรายสัปดาห์ มหาประชาชน
“ชาติ” เป็นประดิษฐกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นควบคู่กับประดิษฐกรรมทางการ เมืองเช่น “รัฐ” สมัยใหม่ เพราะการใช้อำนาจเหนือชีวิตของผู้คนในเขตแดนไม่อาจอาศัยเฉพาะอาวุธ ยุทโธปกรณ์ กฎหมาย และระบบราชการ จำเป็นต้องอาศัยความยินยอมพร้อมใจของผู้คนที่จะอยู่ภายใต้การบริหารอำนาจดัง กล่าวด้วย ชาติจึงถูกสร้างขึ้นในฐานะที่เป็นพื้นที่ในจินตนาการ ทาบซ้อนลงไปบนรัฐที่มีเขตแดนในเชิงกายภาพ ทำหน้าที่เป็นแหล่งให้ผู้คนเชื่อมโยงถึงกันผ่านลักษณะร่วมบางอย่าง เช่น เผ่าพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ พร้อมกับสร้างความจงรักภักดีในหมู่ผู้คนในสังกัด จนกระทั่งพวกเขาไม่รู้สึกถึงปฏิบัติการอำนาจของรัฐ แต่สำคัญว่าเป็นพันธกรณีที่ตนเองต้องมีต่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ในรูปของการอบรมสั่งสอน (เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ) การปฏิบัติตามกฎหมาย (วินัยจราจรสะท้อนวินัยของคนในชาติ) หรือว่าการป้องกันประเทศ (พลีชีพเพื่อชาติ)
รัฐไทยอาศัยจินตนาการเรื่องชาติในการปกครองผู้คนมาแต่แรกตั้ง สยามใหม่สถาปนามรดกร่วมของคนในชาติขึ้นเหนือสายใยเฉพาะถิ่นเพื่อว่าจะได้ สามารถผนวกรวมผู้คนต่างเผ่าต่างภาษาและวัฒนธรรมเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ผู้คนไม่ว่าจะมีจำเพาะหรือแตกต่างอย่างไร หากอยู่ในราชอาณาจักรสยามและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักก็นับเป็นส่วน หนึ่งของรัฐไทยที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่นี้ ขณะที่รัฐไทยในยุคต่อมานิยามความหมายของชาติแคบลง เพราะนำไปผูกกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทเพียงกลุ่มเดียว โดยนอกจากจะดำเนินนโยบายกลืนกลายทางวัฒนธรรมและกีดกันกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แล้ว รัฐไทยสมัยนี้ยังพยายามที่จะสถาปนามหาอาณาจักรไทยที่กินขอบเขตกว้างกว่า ประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันรัฐไทยจะล้มเลิกความทะเยอทะยานที่จะสถาปนามหาอาณาจักรไทยรวมทั้ง ยกเลิกนโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมแกมบังคับ แต่ความคิดชาตินิยมไม่ได้หายไปไหน หากแต่แพร่กระจายและฝังลึกในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้ผู้มีบทบาทในการผลักดันความคิดเรื่องชาติ โดยเฉพาะชาตินิยม ไม่ได้จำกัดเฉพาะรัฐอีกต่อไป หากแต่หมายรวมถึงกลุ่มและองค์กรนอกภาครัฐจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะเคลื่อนไหวเรียกร้องภายใต้แนวคิดชาตินิยมอย่างเข้มข้น กลุ่มและองค์กรเหล่านี้ยังกดดันให้รัฐแสดงบทบาทปกป้องชาติอย่างเข้มแข็งใน เวลาเดียวกัน
ยกตัวอย่างกรณีปราสาทเขาพระวิหาร พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยความร่วมมือกับนักวิชาการและกลุ่มทางสังคมจำนวนหนึ่ง อาทิ สันติอโศก และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เรียกร้องให้ยกเลิกการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร ยกเลิกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา 2543 คัดค้านแผนการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณรอบปราสาท รวมทั้งให้ขับไล่ชาวกัมพูชาออกนอกพื้นที่ดังกล่าว โดยนอกจาก UNESCO แล้ว รัฐบาลไทยเป็นอีกเป้าหมายสำคัญที่กลุ่มเหล่านี้เคลื่อนไหวกดดัน เพราะเห็นว่าไม่ได้แสดงบทบาทปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลประชาธิปัตย์ (ซึ่งสมาทานแนวคิดชาตินิยมเช่นกัน แต่ว่ามีข้อจำกัดในการแสดงออกเพราะอยู่ภายใต้แรงกดดันของกติการะหว่างประเทศ ) จึงไม่เพียงแต่จะยืนยันว่าจะไม่ยอมสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว หากแต่ยังเปิดโอกาสให้ตัวแทนพันธมิตรฯ และภาคีเข้าพบปะซักถามนายกรัฐมนตรีรวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมกับ ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลตลอดรายการ
นอกจากนี้ ความคิดชาตินิยมยังแฝงฝังอยู่ในการเคลื่อนไหวขององค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาศัยความคิดเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของชาติเป็นหนึ่งในปราการหลักใน การคัดค้านการรุกคืบของระบบทุนนิยมโลกและบรรษัทข้ามชาติในประเทศไทย พวกเขาเสนอว่าการขยายตัวของระบบทุนนิยมโลกและบรรษัทข้ามชาติไม่เพียงแต่จะ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยและชุมชนเกษตรกรรม หากแต่ยังคุกคามผลประโยชน์ของชาติโดยรวมอีกด้วย การพยายามเข้ามามีอิทธิพลเหนือนโยบายรัฐของบรรษัทข้ามชาติจึงถูกเปิดโปง และการลงนามของรัฐบาลในสนธิสัญญาทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศฉบับ ต่างๆ จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ภายใต้ข้อวิตกกังวลว่ารัฐบาลอาจไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติเท่า กับผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ หรือว่าอาจเพลี่ยงพล้ำให้กับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจต่างๆในเวทีการเจรจา
ประการสำคัญก็คือ ความคิดเรื่องชาติได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพราะสาเหตุหลักประการหนึ่งของการลุกฮือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีในเวลาต่อมาคือความรู้สึกว่าสถาบันหลักของชาติกำลังถูกคุกคาม ชาติในความเข้าใจของกลุ่มคนเหล่านี้คือดินแดนที่ผู้คนอยู่รวมกันตามลำดับ ชั้นทางศีลธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ละคนต่างมีสิทธิและหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามที่ได้รับการจัดสรร การตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ระเบียบทางศีลธรรมโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นทางศีลธรรมที่สูงกว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้ที่ละเมิดโดยเฉพาะผู้ที่สังกัดลำดับชั้นทางศีลธรรมระดับล่างๆ จำเป็นต้องได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม
ความคิดเรื่องชาติในสังคมไทยจึงมีลักษณะเฉพาะและทำให้ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าปกติ เพราะโดยปกติแม้ชาติและรัฐจะหนุนเสริมกันแต่ก็มีความขัดแย้งรวมอยู่ด้วย เพราะชาติเป็นพื้นที่ในจินตนาการที่มีการจัดความสัมพันธ์กันอย่างเสมอหน้า แต่ว่ารัฐเน้นการบังคับบัญชาอย่างเป็นลำดับขั้น การนำชาติมารับใช้รัฐจึงจำเป็นต้องอำพรางความขัดแย้งดังกล่าวให้มิดชิด ทว่าความคิดเรื่องชาติกระแสหลักในสังคมไทยเน้นการจัดความสัมพันธ์เชิงสูงต่ำ มาตั้งแต่แรก โดยอาศัยระเบียบทางศีลธรรมเป็นกลไกในการสร้างความชอบธรรม รัฐไทยจึงไม่ต้องกังวลกับการปิดบังอำพรางในการอาศัยความคิดเรื่องชาติใน ลักษณะเช่นนี้จัดการกับชีวิตของผู้คน เพราะว่าผู้คนเหล่านี้ยินดีที่จะอยู่ภายใต้การจัดความสัมพันธ์อย่างเป็น ลำดับขั้นมาตั้งแต่ในชั้นของชาติ
เพราะเหตุที่รัฐจะยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับชีวิตของผู้คนต่อไปอีกนาน การสลัดความคิดเรื่องชาติจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่ายหรือว่าในระยะอันใกล้นี้ ภารกิจหลักจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้จินตนาการเกี่ยวกับชาติที่ประกอบด้วยผู้คนอันหลากหลายแต่ว่าสัมพันธ์กันอย่างเสมอหน้าได้มีพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และทำอย่างไรให้จินตนาการชาติในลักษณะที่ว่านี้สามารถควบคุมการใช้อำนาจแนวดิ่งของรัฐให้ได้เพิ่มขึ้น เพราะหากปล่อยให้จินตนาการชาติชนิดที่วางอยู่บนลำดับชั้นทางศีลธรรมครองความเป็นใหญ่ การหยิบใช้ความคิดเรื่องชาติในการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะโดยพันธมิตรฯ หรือแม้กระทั่งองค์กรพัฒนาเอกชนโดยปราศจากการตั้งคำถามถึงการจัดระเบียบของชาติดังกล่าว ก็รังแต่จะเสริมความอยุติธรรมขึ้นในแผ่นดินนี้ก็เท่านั้น
-----------------------------------------------------------------------
หึ่ง!ลานจอดรถสุวรรณภูมิ พาณิชย์โดดอุ้ม-GENจ่อถอนหุ้นขอคืน40ล.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ปมฉาวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" บานปลาย "รมว.โสภณ" อ้างไม่ยุ่ง "ปิยะพันธ์" อึกอักไม่อยากตอบ ขณะที่ "สำนักงานทะเบียนธุรกิจการค้า" ทำพิลึก นายทะเบียนมีอำนาจเหนือ ผอ.สำนักงาน "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" คู่กรณี ทอท.บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่วน GEN ผู้ร่วมทุนจ่อถอนหุ้น 40 ล้าน
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการสัมปทานลานจอดรถในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ขัดแย้งอยู่กับเอกชนที่ได้งานนั้น ตนไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการชุดนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต เป็นประธาน ควบคุมดูแลการทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร โดยต้องป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่องค์กร ส่วนรายละเอียดและวิธีการจะต้องไปดำเนินการกันเอง และผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการแสดงข้อมูลทั้งหมด
ขณะที่นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ ทอท. กล่าวว่า ยังไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดหรือการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการสัมปทานลานจอดรถอาคารเอและบีในสนามบินสุวรรณภูมิ ขนาดพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร
ต่างจากเหตุการณ์แถลงข่าวมติที่ประชุมคณะกรรมการวันจันทร์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นประธานคณะกรรมการเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า สัมปทานลานจอดปัจจุบันที่ทำกันอยู่ในอาคารเอและบี ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังไม่มีข้อยุติใด ๆ
อีกทั้งเป็นกรณีแตกต่างกันกับการยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท. ที่มีนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เป็นประธาน อนุมัติให้นำที่ดินลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) 62,380.50 ตารางเมตร ให้บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จัก แถมผลการดำเนินงานมีกำไรปีละแค่ 1,200 บาท เข้าบริหารการลงทุนสูงถึง 450 ล้านบาท นานถึง 15 ปี โดยไม่ได้นำหารือหรือขอมติเข้าที่ประชุมบอร์ดแต่อย่างใด จึงยกเลิกได้อย่างรวดเร็วเพราะขัดนโยบาย
ความเคลื่อนไหวหลังจาก นำเสนอเอกสารหลักฐานสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคารเอและบีสุวรรณภูมิ ที่นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กระทรวงพาณิชย์ อ้างอิงเอกสารหมายเลข 1 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 เรื่อง "คำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" เรียน นายธรรศ พจนประพันธ์ และนายธนกฤต เจตกิตติโชค กรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งหลักฐานนี้ได้นำส่งมายังคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.
ในเอกสารเพิกถอนการจดทะเบียนระบุว่า อ้างถึงคำขอจดทะเบียน คำขอที่ 81530423-05 วันที่ 23 เมษายน 2553 ตามอ้างถึงการยื่นคำขอจดทะเบียแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณฑ์สนธิข้อ 3 (วัตถุที่ประสงค์) ของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 นั้น บัดนี้นายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนคำขอดังกล่าวแล้ว รายละเอียดตามปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ทั้งนี้หากผู้ใดไม่เห็นด้วยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนผู้ออกคำสั่งภายใน 15 วัน
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2553 เอกสารดังกล่าวถูกเปิดเผยสู่สาธารณะโดยเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง มีผู้บริหารและเจ้าของสนามบินพาณิชย์หลายคนวิเคราะห์ว่า การทำสัญญาเพื่อให้สัมทานของ ทอท. กับบริษัทที่ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทนั้น จะสร้างความเสียหายแก่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสุวรรณภูมิเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศและคนไทย
จากนั้นอีกเพียงวันเดียวคือ 14 กันยายน 2553 สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ที่ (1) 4/2553 มีเอกสาร เรื่อง "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" จากกระทรวงพาณิชย์ (ซึ่งอยู่ในความดูแลของ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) สั่ง ณ วันที่ 14 กันยายน 2553 โดยนางสาวสุรีย์ ศรีภักดี นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 เพิกถอนคำสั่งของนางพิมลวรรณ คชเดช ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1
เอกสารเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนจดทะเบียนดังกล่าวสร้างความสับสนแก่หลายฝ่ายใน ทอท.ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน่วยงานและสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเอกสาร "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" ครั้งหลังสุดวันที่ 14 กันยายน 2553 นั้น ดำเนินการโดยนายทะเบียนธุรกิจการค้าคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีอำนาจลงนามเพิกถอนคำสั่งของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า ครั้งแรกเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ได้
นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในกรณีของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ทางกรมได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจริง เนื่องจากมีการร้องเรียนจากนายธรรศ พจนประพันธ์ ว่า มีการลงนามปลอมแปลงของบริษัทแบบไม่ชอบธรรม หลังจากนั้นนายธนกฤต เจตกิตติโชค มายื่นอุทธรณ์คัดค้านการเพิกถอนดังกล่าว ดังนั้นตามกระบวนการทางกรมจึงต้องชะลอคำสั่งเพิกถอนในครั้งแรกออกไปก่อน
โดยให้ทั้ง 2 ฝ่ายไปฟ้องร้องพิสูจน์กันในชั้นศาลให้เรียบร้อยก่อน หากศาลมีการสืบพยาน หรือพิสูจน์ได้ว่ามีการปลอมแปลงลงนามเอกสารจริง ตามที่ฝ่ายแรกยื่นฟ้องร้องมา ทางกรมก็จะเพิกถอนใบอนุญาตการจดทะเบียนบริษัททันที พร้อมกับจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารด้วย
"กรณีที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับบริษัทปาร์คกิ้ง เป็นรายแรก ปัจจุบันมีคดีที่ฟ้องร้องค้างอยู่ที่กรมถึง 218 เรื่องแล้ว ทางกรมก็ให้ไปเคลียร์กันในชั้นศาลให้เรียบร้อยก่อน กรมจะดำเนินการในอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ได้" นายบรรยงค์กล่าว
อย่างไรก็ตามตามระเบียบการยื่นคัดค้านการจดทะเบียนบริษัทนั้นกำหนดไว้ภายใน 15 วัน แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเพิกถอนครั้งแรกเมื่อ23 กรกฎาคมนั้น หลังเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วถึง 3 เดือน การเพิกถอนครั้งที่ 2 หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วกว่า 2 เดือนเช่นกัน
ต่อมาเมื่อ 16 กันยายน 2553 บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEN ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อ 27 เมษายน 2553 เคยแจ้งข่าวผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามจดหมายเลขที่ ตล.011/2553 ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติให้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด 400,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 40 ล้านบาท โดยจ่ายชำระเงินค่าหุ้นล่วงหน้าไป 20 ล้านบาท เพื่อให้บริษัท ปาร์คกิ้งฯ นำไปเป็นหลักประกันการออกหนังสือค้ำประกันของธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อให้สามารถทำสัญญากับ ทอท.รับสิทธิบริหารที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ
จากข้อมูลดังกล่าวทางบริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด ขอชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯว่า การลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาว่าจะลงทุนเพิ่มเติมหรือขอเงินล่วงหน้าค่าหุ้นจองคืน 20 ล้านบาท โดยจะทำให้ชัดเจนภายในกันยายนนี้ แล้วจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบแนวทางต่อไป
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ และนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสนามบินดอนเมือง เริ่ม 1 ตุลาคมนี้ ปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ทั้ง 2 คน ไม่ปริปากเอ่ยถึงแนวทางที่จะดำเนินการกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งยังคงเก็บเงินสดในลานจอดสุวรรณภูมิวันละเกือบ 1 ล้านบาท โดยไม่ส่งให้เจ้าของพื้นที่คือ ทอท.แม้แต่บาทเดียว แถมยังฟ้องดำเนินคดีเพื่อเอาผิด ผอ.นิรันดร์ ศาลชั้นต้นนัด 27 กันยายนนี้
*******************************************************************
ปมฉาวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" บานปลาย "รมว.โสภณ" อ้างไม่ยุ่ง "ปิยะพันธ์" อึกอักไม่อยากตอบ ขณะที่ "สำนักงานทะเบียนธุรกิจการค้า" ทำพิลึก นายทะเบียนมีอำนาจเหนือ ผอ.สำนักงาน "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" คู่กรณี ทอท.บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่วน GEN ผู้ร่วมทุนจ่อถอนหุ้น 40 ล้าน
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการสัมปทานลานจอดรถในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ขัดแย้งอยู่กับเอกชนที่ได้งานนั้น ตนไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการชุดนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต เป็นประธาน ควบคุมดูแลการทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร โดยต้องป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่องค์กร ส่วนรายละเอียดและวิธีการจะต้องไปดำเนินการกันเอง และผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการแสดงข้อมูลทั้งหมด
ขณะที่นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ ทอท. กล่าวว่า ยังไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดหรือการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการสัมปทานลานจอดรถอาคารเอและบีในสนามบินสุวรรณภูมิ ขนาดพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร
ต่างจากเหตุการณ์แถลงข่าวมติที่ประชุมคณะกรรมการวันจันทร์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นประธานคณะกรรมการเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า สัมปทานลานจอดปัจจุบันที่ทำกันอยู่ในอาคารเอและบี ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังไม่มีข้อยุติใด ๆ
อีกทั้งเป็นกรณีแตกต่างกันกับการยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท. ที่มีนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เป็นประธาน อนุมัติให้นำที่ดินลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) 62,380.50 ตารางเมตร ให้บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จัก แถมผลการดำเนินงานมีกำไรปีละแค่ 1,200 บาท เข้าบริหารการลงทุนสูงถึง 450 ล้านบาท นานถึง 15 ปี โดยไม่ได้นำหารือหรือขอมติเข้าที่ประชุมบอร์ดแต่อย่างใด จึงยกเลิกได้อย่างรวดเร็วเพราะขัดนโยบาย
ความเคลื่อนไหวหลังจาก นำเสนอเอกสารหลักฐานสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคารเอและบีสุวรรณภูมิ ที่นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กระทรวงพาณิชย์ อ้างอิงเอกสารหมายเลข 1 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 เรื่อง "คำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" เรียน นายธรรศ พจนประพันธ์ และนายธนกฤต เจตกิตติโชค กรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งหลักฐานนี้ได้นำส่งมายังคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.
ในเอกสารเพิกถอนการจดทะเบียนระบุว่า อ้างถึงคำขอจดทะเบียน คำขอที่ 81530423-05 วันที่ 23 เมษายน 2553 ตามอ้างถึงการยื่นคำขอจดทะเบียแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณฑ์สนธิข้อ 3 (วัตถุที่ประสงค์) ของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 นั้น บัดนี้นายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนคำขอดังกล่าวแล้ว รายละเอียดตามปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ทั้งนี้หากผู้ใดไม่เห็นด้วยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนผู้ออกคำสั่งภายใน 15 วัน
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2553 เอกสารดังกล่าวถูกเปิดเผยสู่สาธารณะโดยเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง มีผู้บริหารและเจ้าของสนามบินพาณิชย์หลายคนวิเคราะห์ว่า การทำสัญญาเพื่อให้สัมทานของ ทอท. กับบริษัทที่ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทนั้น จะสร้างความเสียหายแก่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสุวรรณภูมิเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศและคนไทย
จากนั้นอีกเพียงวันเดียวคือ 14 กันยายน 2553 สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ที่ (1) 4/2553 มีเอกสาร เรื่อง "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" จากกระทรวงพาณิชย์ (ซึ่งอยู่ในความดูแลของ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) สั่ง ณ วันที่ 14 กันยายน 2553 โดยนางสาวสุรีย์ ศรีภักดี นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 เพิกถอนคำสั่งของนางพิมลวรรณ คชเดช ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1
เอกสารเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนจดทะเบียนดังกล่าวสร้างความสับสนแก่หลายฝ่ายใน ทอท.ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน่วยงานและสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเอกสาร "เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน" ครั้งหลังสุดวันที่ 14 กันยายน 2553 นั้น ดำเนินการโดยนายทะเบียนธุรกิจการค้าคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีอำนาจลงนามเพิกถอนคำสั่งของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า ครั้งแรกเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ได้
นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในกรณีของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ทางกรมได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจริง เนื่องจากมีการร้องเรียนจากนายธรรศ พจนประพันธ์ ว่า มีการลงนามปลอมแปลงของบริษัทแบบไม่ชอบธรรม หลังจากนั้นนายธนกฤต เจตกิตติโชค มายื่นอุทธรณ์คัดค้านการเพิกถอนดังกล่าว ดังนั้นตามกระบวนการทางกรมจึงต้องชะลอคำสั่งเพิกถอนในครั้งแรกออกไปก่อน
โดยให้ทั้ง 2 ฝ่ายไปฟ้องร้องพิสูจน์กันในชั้นศาลให้เรียบร้อยก่อน หากศาลมีการสืบพยาน หรือพิสูจน์ได้ว่ามีการปลอมแปลงลงนามเอกสารจริง ตามที่ฝ่ายแรกยื่นฟ้องร้องมา ทางกรมก็จะเพิกถอนใบอนุญาตการจดทะเบียนบริษัททันที พร้อมกับจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารด้วย
"กรณีที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับบริษัทปาร์คกิ้ง เป็นรายแรก ปัจจุบันมีคดีที่ฟ้องร้องค้างอยู่ที่กรมถึง 218 เรื่องแล้ว ทางกรมก็ให้ไปเคลียร์กันในชั้นศาลให้เรียบร้อยก่อน กรมจะดำเนินการในอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ได้" นายบรรยงค์กล่าว
อย่างไรก็ตามตามระเบียบการยื่นคัดค้านการจดทะเบียนบริษัทนั้นกำหนดไว้ภายใน 15 วัน แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเพิกถอนครั้งแรกเมื่อ23 กรกฎาคมนั้น หลังเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วถึง 3 เดือน การเพิกถอนครั้งที่ 2 หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วกว่า 2 เดือนเช่นกัน
ต่อมาเมื่อ 16 กันยายน 2553 บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEN ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อ 27 เมษายน 2553 เคยแจ้งข่าวผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามจดหมายเลขที่ ตล.011/2553 ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติให้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด 400,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 40 ล้านบาท โดยจ่ายชำระเงินค่าหุ้นล่วงหน้าไป 20 ล้านบาท เพื่อให้บริษัท ปาร์คกิ้งฯ นำไปเป็นหลักประกันการออกหนังสือค้ำประกันของธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อให้สามารถทำสัญญากับ ทอท.รับสิทธิบริหารที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ
จากข้อมูลดังกล่าวทางบริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด ขอชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯว่า การลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาว่าจะลงทุนเพิ่มเติมหรือขอเงินล่วงหน้าค่าหุ้นจองคืน 20 ล้านบาท โดยจะทำให้ชัดเจนภายในกันยายนนี้ แล้วจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบแนวทางต่อไป
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ และนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสนามบินดอนเมือง เริ่ม 1 ตุลาคมนี้ ปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ทั้ง 2 คน ไม่ปริปากเอ่ยถึงแนวทางที่จะดำเนินการกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งยังคงเก็บเงินสดในลานจอดสุวรรณภูมิวันละเกือบ 1 ล้านบาท โดยไม่ส่งให้เจ้าของพื้นที่คือ ทอท.แม้แต่บาทเดียว แถมยังฟ้องดำเนินคดีเพื่อเอาผิด ผอ.นิรันดร์ ศาลชั้นต้นนัด 27 กันยายนนี้
*******************************************************************
ใกล้ตาย
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
พรรคเพื่อไทยได้ฤกษ์คิกออฟ
ลุยเปิดแคมเปญ "4 ปีความสุขที่หายไป 4 ปีมาร่วมสร้างความสุขกันใหม่ เพื่อไทยทุกคน"
ทั้งที่ยังหา "ผู้นำ" พรรคตัวจริงไม่ได้
พรรคภูมิใจไทยก็พักรบเรื่องปลัดมหาดไทยเป็นการชั่วคราว
รอผลสอบสวนโครงการเช่าคอมพิวเตอร์อีก 30 วันข้างหน้าออกมาแล้วค่อยว่ากันต่อ
ช่วงนี้ เนวิน ชิดชอบ หันมาเปิดเกมล่ารายชื่อประชาชนจำนวน 1 แสนชื่อ
ผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมการชุมนุมของคนเสื้อแดง-เสื้อเหลือง
นัยว่าจะใช้เรื่องนิรโทษกรรมคนทุกสีทุกฝ่ายนี้เป็นอาวุธเจาะทะลวงพื้นที่ภาคอีสาน
วัดรอยเท้า "อดีตนายใหญ่" ให้รู้ดำรู้แดง
จะสำเร็จเสร็จสมประการใดเป็นเรื่องต้องติดตามกันต่อไป
ด้านพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา
นอกจากมีมติเห็นดีเห็นงามไปกับพรรคภูมิใจไทยในการทำคลอดกฎหมายนิรโทษกรรม
ยังล้ำหน้าส่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคเข้าไปเยี่ยมแกนนำคนเสื้อแดงถึงในเรือนจำ
ต่อด้วยคิวเยี่ยมเยือนแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ
โหนกระแสชูแนวทาง "ปรองดอง" เป็นจุดขาย
แต่ละพรรคคึกคักกันในช่วงเวลาแปลกๆ
อย่างกับว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในระยะเวลาอันใกล้
เหลือแต่พรรคใหญ่แกนนำรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์
นับวันยิ่งโดนมรสุมการเมืองทั้งภายในภายนอกถาโถมกดทับจนโงหัวไม่ขึ้น
เฉพาะเรื่องซาอุฯ ออกแถลงการณ์ประท้วงการตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วยผบ.ตร.
แค่เรื่องเดียวก็อ้วกแตก
ไหนจะยังมีคดียุบพรรคให้ต้องปวดหัว
ไหนจะคนเสื้อแดงที่ตอนแรกนึกว่า "ปอดแหก" กับกระสุนปืนที่รัฐบาลสั่งประเคนให้เมื่อเดือนพฤษภาฯ
ที่ไหนได้ 4 เดือนผ่านไปยังอุตส่าห์ออกจากตรอกซอกซอย
แห่กันมาชุมนุมกันล้นแยกราชประสงค์
มากเสียจน "บ.ก.ลายจุด" ตกตะลึงวางตัวไม่ถูก
แล้วก็กลายเป็นรัฐบาลที่เกิดปอดแหกขึ้นมา เสียเอง
ผลที่จะตามมาก็คือหัวเด็ดตีนขาดยังไงรัฐบาลคงไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ แน่นอน
เห็นอาการแบบนี้แล้ว ตามที่มีข่าวกลุ่มคนชุดดำแอบไปฝึกปฏิบัติการที่เขมร
กลับมาเตรียมซุ่มลอบสังหารบุคคลสำคัญในรัฐบาล
ก็อยากบอกว่าไม่ต้องไปเสียเวลาวางแผนลอบสังหารให้เมื่อย
เพราะดูแล้วรัฐบาลชุดนี้จวนเจียนสิ้นลมอยู่เต็มแก่
ไม่ต้องฆ่า เดี๋ยวก็ตายเอง
***************************************************************
คอลัมน์ เหล็กใน
พรรคเพื่อไทยได้ฤกษ์คิกออฟ
ลุยเปิดแคมเปญ "4 ปีความสุขที่หายไป 4 ปีมาร่วมสร้างความสุขกันใหม่ เพื่อไทยทุกคน"
ทั้งที่ยังหา "ผู้นำ" พรรคตัวจริงไม่ได้
พรรคภูมิใจไทยก็พักรบเรื่องปลัดมหาดไทยเป็นการชั่วคราว
รอผลสอบสวนโครงการเช่าคอมพิวเตอร์อีก 30 วันข้างหน้าออกมาแล้วค่อยว่ากันต่อ
ช่วงนี้ เนวิน ชิดชอบ หันมาเปิดเกมล่ารายชื่อประชาชนจำนวน 1 แสนชื่อ
ผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมการชุมนุมของคนเสื้อแดง-เสื้อเหลือง
นัยว่าจะใช้เรื่องนิรโทษกรรมคนทุกสีทุกฝ่ายนี้เป็นอาวุธเจาะทะลวงพื้นที่ภาคอีสาน
วัดรอยเท้า "อดีตนายใหญ่" ให้รู้ดำรู้แดง
จะสำเร็จเสร็จสมประการใดเป็นเรื่องต้องติดตามกันต่อไป
ด้านพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา
นอกจากมีมติเห็นดีเห็นงามไปกับพรรคภูมิใจไทยในการทำคลอดกฎหมายนิรโทษกรรม
ยังล้ำหน้าส่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคเข้าไปเยี่ยมแกนนำคนเสื้อแดงถึงในเรือนจำ
ต่อด้วยคิวเยี่ยมเยือนแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ
โหนกระแสชูแนวทาง "ปรองดอง" เป็นจุดขาย
แต่ละพรรคคึกคักกันในช่วงเวลาแปลกๆ
อย่างกับว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในระยะเวลาอันใกล้
เหลือแต่พรรคใหญ่แกนนำรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์
นับวันยิ่งโดนมรสุมการเมืองทั้งภายในภายนอกถาโถมกดทับจนโงหัวไม่ขึ้น
เฉพาะเรื่องซาอุฯ ออกแถลงการณ์ประท้วงการตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วยผบ.ตร.
แค่เรื่องเดียวก็อ้วกแตก
ไหนจะยังมีคดียุบพรรคให้ต้องปวดหัว
ไหนจะคนเสื้อแดงที่ตอนแรกนึกว่า "ปอดแหก" กับกระสุนปืนที่รัฐบาลสั่งประเคนให้เมื่อเดือนพฤษภาฯ
ที่ไหนได้ 4 เดือนผ่านไปยังอุตส่าห์ออกจากตรอกซอกซอย
แห่กันมาชุมนุมกันล้นแยกราชประสงค์
มากเสียจน "บ.ก.ลายจุด" ตกตะลึงวางตัวไม่ถูก
แล้วก็กลายเป็นรัฐบาลที่เกิดปอดแหกขึ้นมา เสียเอง
ผลที่จะตามมาก็คือหัวเด็ดตีนขาดยังไงรัฐบาลคงไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ แน่นอน
เห็นอาการแบบนี้แล้ว ตามที่มีข่าวกลุ่มคนชุดดำแอบไปฝึกปฏิบัติการที่เขมร
กลับมาเตรียมซุ่มลอบสังหารบุคคลสำคัญในรัฐบาล
ก็อยากบอกว่าไม่ต้องไปเสียเวลาวางแผนลอบสังหารให้เมื่อย
เพราะดูแล้วรัฐบาลชุดนี้จวนเจียนสิ้นลมอยู่เต็มแก่
ไม่ต้องฆ่า เดี๋ยวก็ตายเอง
***************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)