อุตส่าห์ทิ้งนายเก่าที่ปากเคยพร่ำว่ารักนักรักหนามาร่วมหอลงรัฐบาลกับประชาธิปัตย์
แค่ปีกว่าๆ น้ำผึ้งพระจันทร์ทำท่าว่าจะไม่หวานเสียแล้ว
ก็ “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่นหักด้ามพร้าภูมิใจไทยด้วยเข่าเอาดื้อๆ ทนทานอย่างไรก็ต้องเจ็บบ้างล่ะจริงไหม??
รถเมล์เอ็นจีวี แต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม...หมูเขากำลังจะหามแท้ๆ มาร์คตาใสดันเอาคานเข้ามาสอดจนได้
ขนาดยอมเป็นบอดี้การ์ดกายใจมอบนายใหญ่ยังทิ้งมาได้
นับประสาอะไรกับแค่จับมือโอบเอวแค่นั้นจะทิ้งไม่ได้
ระวังให้ดีเถอะ บีบมากๆ เมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า???
............................................................................
รัฐบาลสองพรรคใหญ่??
เรื่องของการเมือง เมื่อถึงทางตันอะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมือง อะไรๆ ที่ลงตัวได้ก็ไปกันได้ทั้งนั้นแหละ
ยิ่งเกิดช่องว่างระหว่างใจระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพรรคภูมิใจไทยมากเท่าไหร่ โอกาสแตกดังโพละก็มีสูงขึ้นเท่านั้น
รัฐบาลสองพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์ บวกเพื่อไทย จึงเริ่มเห็นเค้าลางเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ว่าแต่ว่า นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ไม่น่าใช่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ???
............................................................................
เป็นวีรบุรุษมันซะเลยดีไหม??
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธร 5 ผู้ที่ ก.ตร.เห็นชอบให้แต่งตั้งเป็น ผช.ผบ.ตร.ต้นตุลาคมนี้
อีกสองปีก็จะเกษียณอายุราชการในปี 2555 แล้ว
ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร.ปีนี้โอกาสได้ขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.ติดยศ พลตำรวจเอก แทบมองไม่เห็น
สู้เป็นผู้บัญชาการไม่ได้มีงานทำเต็มไม้เต็มมือกว่าเป็น ผช.ผบ.ตร.เป็นไหนๆ
ยอมเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ต่อไปหรือไม่ก็ขยับมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ก็น่าจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
ถ้า “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คิดไม่เป็นเล่นไม่ออก
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ก็ทำบันทึกสมัครใจขอเป็นผู้บัญชาการต่อไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ...สถานการณ์เข้าทางแบบนี้ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อย่าพลาดล่ะ??
............................................................................
เผลอไผลสองมาตรฐานกับคนกันเองซะแล้ว??
คงลืมไปว่าพรรคภูมิใจไทยอยู่ร่วมรัฐบาลเสียแล้วกระมัง
พลัน มงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครองที่จะถูกแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย มีข่าวฉาวเกี่ยวกับการเช่าซื้อคอมพิวเตอร์เท่านั้นแหละ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็เบรกชะลอการแต่งตั้ง จน “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 เกิดอาการก้างติดคอเอาดื้อๆ
ก็ถ้ามันมีเรื่องไม่ชอบมาพากล หากตรวจสอบพบ กระบวนการลงโทษทั้งทางอาญาและทางวินัยก็มีรองรับอยู่แล้ว
ส่วนการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร.หน่วยงานที่ประชาธิปัตย์กำกับดูแลทั้งๆ ที่ตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรมอุปทูตซาอุดีอาระเบีย มิหนำซ้ำยังโดนอุปทูตซาอุดีอาระเบียออกมาแถลงการณ์ งุนงงสงสัยแถมจะลามปามบานปลายไปเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบียอีกต่างหาก กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น??
ระวังคนเขาว่าได้นะว่า มาตรฐานการทำงานของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นมาตรฐานแบบไม้หลักปักขี้เลน??
............................................................................
ทางเดินเกิดก่อด้วยการเดิน
การไปเยี่ยม 7 แกนนำ นปช.ถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครของ นักประสานสิบทิศ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีเมื่อไม่กี่วันก่อนถือเป็นเรื่องดี
เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนที่ไม่อยากเห็นทางตันของบ้านเมืองเดินมาถึงเร็วนัก
การออกมาร่วมรำลึก “4 ปีการรัฐประหาร 4 เดือนเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม” ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา น่าจะทำให้ใครต่อใครที่กำลังประมาทในการดำเนินชีวิตได้ฉุกคิดขึ้นมาบ้างว่า ช่องว่างระหว่างใจของคนไทยนั้นเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ห่างกันจนยากประสานเมื่อไหร่ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าทางเดินของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อาจจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง
แต่การเดินของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ในครั้งนี้น่าจะก่อเกิดทางเดินในวันข้างหน้าได้
ขอพระสยามเทวาธิราชอย่าปล่อยให้เสธ.หนั่น เดินเดียวดายเป็นอันขาด!!!
............................................................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
พรรคกับชาติ
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธ ที่มีคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้อง และกรณีการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ทั้งที่ตกเป็นจำเลยคดีการหายตัวไปของนายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียนั้น
ทำให้ภาพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกจับตามอง และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่ายึดในหลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างที่ประกาศจริงหรือไม่
เพราะทั้ง 2 กรณีส่งผลกระทบกับกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่มากก็น้อย หลังจากศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องขอให้ปล่อยตัววิคเตอร์ บูท กลับมีข่าวว่านายศิริโชค โสภา คนสนิทนายกรัฐมนตรี เข้าไปเจรจากับวิคเตอร์ บูท เพื่อใช้กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แลกกับการไม่ถูกส่งตัวไปสหรัฐ แม้จะมีการออกมาตอบโต้กันอยู่ระยะหนึ่งแต่ขณะนี้เรื่องของคดีก็เงียบหายไป หลังจากอัยการฝ่ายต่างประเทศยื่นคำร้องขอถอนฟ้องวิคเตอร์ บูท ในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินตามคำร้องขอของรัฐบาลสหรัฐแล้วก็ตาม
ล่าสุดสื่อต่างประเทศได้ประโคมข่าวว่า ทางการรัสเซียอาจสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เพื่อแลกกับการปล่อยตัววิคเตอร์ บูท ซึ่งไม่ได้มีผลดีต่อประเทศไทยเลย
ขณะที่ด้านสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยก็มีรายงานข่าวว่ากำลังพิจารณาเพื่อตอบโต้นายอภิสิทธิ์ที่ยืนยันการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด โดยอาจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงอีกระดับหนึ่ง เหลือเพียงระดับเลขานุการประจำสถานทูต ซึ่งเป็นระดับล่างสุด หรือปิดสถานทูตชั่วคราว 1 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น
โดยก่อนหน้านี้นายนาบิล เอช. อัชรี อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ตอบโต้ฝ่ายไทยที่ระบุว่าทางซาอุฯได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนรอบด้านทำให้ไม่เข้าใจเรื่องการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด จึงไม่เข้าใจข้อกฎหมายของไทยแล้วนำไปตีความผิดว่าไม่เป็นความจริง แต่ทางซาอุฯไม่ต้องการเห็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
กรณีวิคเตอร์ บูท และ พล.ต.ท.สมคิดรัฐบาลประชาธิปัตย์จึงต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือผลประโยชน์ของพรรค เพราะทั้งสองไม่อาจแยกออกจากความมั่นคงของรัฐบาลประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์
**********************************************************************
กรณีวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธ ที่มีคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้อง และกรณีการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ทั้งที่ตกเป็นจำเลยคดีการหายตัวไปของนายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียนั้น
ทำให้ภาพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกจับตามอง และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่ายึดในหลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างที่ประกาศจริงหรือไม่
เพราะทั้ง 2 กรณีส่งผลกระทบกับกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่มากก็น้อย หลังจากศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องขอให้ปล่อยตัววิคเตอร์ บูท กลับมีข่าวว่านายศิริโชค โสภา คนสนิทนายกรัฐมนตรี เข้าไปเจรจากับวิคเตอร์ บูท เพื่อใช้กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แลกกับการไม่ถูกส่งตัวไปสหรัฐ แม้จะมีการออกมาตอบโต้กันอยู่ระยะหนึ่งแต่ขณะนี้เรื่องของคดีก็เงียบหายไป หลังจากอัยการฝ่ายต่างประเทศยื่นคำร้องขอถอนฟ้องวิคเตอร์ บูท ในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินตามคำร้องขอของรัฐบาลสหรัฐแล้วก็ตาม
ล่าสุดสื่อต่างประเทศได้ประโคมข่าวว่า ทางการรัสเซียอาจสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เพื่อแลกกับการปล่อยตัววิคเตอร์ บูท ซึ่งไม่ได้มีผลดีต่อประเทศไทยเลย
ขณะที่ด้านสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยก็มีรายงานข่าวว่ากำลังพิจารณาเพื่อตอบโต้นายอภิสิทธิ์ที่ยืนยันการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด โดยอาจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงอีกระดับหนึ่ง เหลือเพียงระดับเลขานุการประจำสถานทูต ซึ่งเป็นระดับล่างสุด หรือปิดสถานทูตชั่วคราว 1 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น
โดยก่อนหน้านี้นายนาบิล เอช. อัชรี อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ตอบโต้ฝ่ายไทยที่ระบุว่าทางซาอุฯได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนรอบด้านทำให้ไม่เข้าใจเรื่องการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด จึงไม่เข้าใจข้อกฎหมายของไทยแล้วนำไปตีความผิดว่าไม่เป็นความจริง แต่ทางซาอุฯไม่ต้องการเห็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
กรณีวิคเตอร์ บูท และ พล.ต.ท.สมคิดรัฐบาลประชาธิปัตย์จึงต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือผลประโยชน์ของพรรค เพราะทั้งสองไม่อาจแยกออกจากความมั่นคงของรัฐบาลประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์
**********************************************************************
นักปกครอง-พระยาเหยียบเมือง
อีฉันเคยมีโอกาสได้ฟังการบรรยายของ คุณประสาท พงษ์ศิวาภัย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มาจากสายปกครอง ทำให้ได้แง่คิดอะไรในหลายๆ ด้านทีเดียว โดยเฉพาะหลักการทำงานของท่านที่เน้นเรื่อง ของความสัมพันธ์กับประชาชนเป็นหลัก
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การที่จะ ให้ข้าราชการเป็นที่ยอมรับ ไว้เนื้อเชื่อใจของ ประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่ติดมาแต่อดีต แม้ขณะ นี้จะมีการปรับลุคให้ดูดีขึ้นมากก็ตาม โดยเฉพาะข้าราชการในระดับนักปกครอง มักถูกมองเป็นพระยาเหยียบเมืองอยู่ร่ำไป จึง มักเป็นการยากที่จะได้รับความร่วมมือจาก ประชาชน
การจะเป็นข้าราชการ หรือนักปกครอง ที่ดีนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับ ความไว้วางใจ แรงสนับสนุนจากภาคประชาชน มิฉะนั้นการทำงานจะเป็นไปได้โดยยากลำบาก ถึงทำได้แต่ก็ไม่ดีนัก
ในศาสตร์ของเต๋า มีอยู่บทหนึ่งว่าด้วยเรื่องการปกครองของปราชญ์ กล่าวไว้ ดังนี้
มิได้ยกย่องคนฉลาดประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของ ที่หายากประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย ขจัดตัวตนแห่งความอยากดวงใจแห่งประชาราษฎร์ ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้น ปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำ ให้จิตใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด บำรุง เลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย ความคิดและความปรารถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชะล้างให้บริสุทธิ์ คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญเข้า กระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกปกครอง และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ
ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง...ประเด็นนี้น่าสนใจยิ่งนัก การจะ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ได้ถูกปกครอง หรือถูกกดขี่โดยกฎหมาย คือการทำให้เขาสู้ศึก เป็นธรรมชาติ เป็นพวกเดียวกัน
คุณประสาท พงษ์ศิวาภัย กล่าวไว้ว่า สิบนิ้วไหว้แต้เข้าไปหา พี่ ป้า น้า อา เสร็จหมดแต่นั่นต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจเป็นสำคัญ ไม่ใช่น็อกดอร์เข้าหาแบบ นักการเมืองหาเสียง ไหว้ปะหลกๆ แบบขอไปที เห็นแล้วก็สังเวชใจ อะไรจะดูถูกประชาชนขนาดนั้น
กลับมาเข้าเรื่องดีกว่านะเจ้าค่ะ กล่าวคือนักปกครองที่ดีต้องให้ประชาชนกล้าใช้งานเราด้วยความไว้วางใจนั่นเองหลายต่อหลายท่านอาจเคยสิ้นศรัทธา ในระบบการทำงานของภาครัฐไปแล้วจะว่า ไปก็รวมถึงตัวอีฉันด้วยแหละเจ้าค่ะ แต่ข้าราชการดีๆ ยังมีอีกมากมาย นักปกครอง ที่มีความสามารถก็อีกเยอะ เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่ใช่พระยาเหยียบเมืองแน่นอน
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การที่จะ ให้ข้าราชการเป็นที่ยอมรับ ไว้เนื้อเชื่อใจของ ประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่ติดมาแต่อดีต แม้ขณะ นี้จะมีการปรับลุคให้ดูดีขึ้นมากก็ตาม โดยเฉพาะข้าราชการในระดับนักปกครอง มักถูกมองเป็นพระยาเหยียบเมืองอยู่ร่ำไป จึง มักเป็นการยากที่จะได้รับความร่วมมือจาก ประชาชน
การจะเป็นข้าราชการ หรือนักปกครอง ที่ดีนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับ ความไว้วางใจ แรงสนับสนุนจากภาคประชาชน มิฉะนั้นการทำงานจะเป็นไปได้โดยยากลำบาก ถึงทำได้แต่ก็ไม่ดีนัก
ในศาสตร์ของเต๋า มีอยู่บทหนึ่งว่าด้วยเรื่องการปกครองของปราชญ์ กล่าวไว้ ดังนี้
มิได้ยกย่องคนฉลาดประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของ ที่หายากประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย ขจัดตัวตนแห่งความอยากดวงใจแห่งประชาราษฎร์ ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้น ปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำ ให้จิตใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด บำรุง เลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย ความคิดและความปรารถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชะล้างให้บริสุทธิ์ คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญเข้า กระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกปกครอง และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ
ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง...ประเด็นนี้น่าสนใจยิ่งนัก การจะ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ได้ถูกปกครอง หรือถูกกดขี่โดยกฎหมาย คือการทำให้เขาสู้ศึก เป็นธรรมชาติ เป็นพวกเดียวกัน
คุณประสาท พงษ์ศิวาภัย กล่าวไว้ว่า สิบนิ้วไหว้แต้เข้าไปหา พี่ ป้า น้า อา เสร็จหมดแต่นั่นต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจเป็นสำคัญ ไม่ใช่น็อกดอร์เข้าหาแบบ นักการเมืองหาเสียง ไหว้ปะหลกๆ แบบขอไปที เห็นแล้วก็สังเวชใจ อะไรจะดูถูกประชาชนขนาดนั้น
กลับมาเข้าเรื่องดีกว่านะเจ้าค่ะ กล่าวคือนักปกครองที่ดีต้องให้ประชาชนกล้าใช้งานเราด้วยความไว้วางใจนั่นเองหลายต่อหลายท่านอาจเคยสิ้นศรัทธา ในระบบการทำงานของภาครัฐไปแล้วจะว่า ไปก็รวมถึงตัวอีฉันด้วยแหละเจ้าค่ะ แต่ข้าราชการดีๆ ยังมีอีกมากมาย นักปกครอง ที่มีความสามารถก็อีกเยอะ เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่ใช่พระยาเหยียบเมืองแน่นอน
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
ในความคิดคำนึง.....จะอยู่อย่างไร หากคนเสื้อแดงไม่เอา
โดย.ใบมีดสีแดง
เมื่อราวต้นปี 51 ริมถนนเข้าตำบลหนึ่ง ในจังหวัดที่ผมอยู่ มีแผ่นป้ายติดริมทาง ขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นรูปนายกทักษิณ พร้อมกับตัวอักษรเขียนด้วยลายมือว่า "กลับบ้านเถอะ คิดถึง" จำได้ว่าป้ายนั้นติดอยู่นานเป็นเดือน ดูแล้วคิดว่าคงเป็นป้ายที่ใครคนหนึ่งที่บ้านอยู่แถวนั้นทำขึ้นมาเอง
เมื่อเดือน พ.ย.ปี 51ในการชุมนุมใหญ่ที่สนามกีฬาหัวหมาก ผมใส่เสื้อแดงไปร่วม จำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจกับผู้คนที่มากมาย บรรยากาศสนุกสนาน เสียงอึกทึกมาก แต่พอพลบค่ำ ในช่วงเวลาที่นายกทักษิณโฟนอินเข้ามาที่งาน ทุกคนนิ่ง บรรยากาศสงบเงียบ ผมเหลือบมองคนข้างๆผม ผมเห็นสองสามีภรรยาคู่หนึ่งวัยน่าจะประมาณหกสิบเศษท่าทางเป็นคนต่างจังหวัด ทั้งสองคนนั่งน้ำตาไหลตลอดเวลาที่นายกทักษิณพูด และเมื่อผมกวาดสายตาไปรอบๆ ก็รับรู้ได้ว่า หลายๆคนที่ผมเห็นรอบตัวก็คงรู้สึกไม่ต่างกับคุณลุงคุณป้าคู่นี้
เมื่อเดือนเมษา 52 ผมจำบรรยากาศการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลได้ เมื่อนายกทักษิณโฟนอินมา และพูดว่า หากกระสุนนัดแรกดังขึ้น เขาจะมานำประชาชนเดินเท้าเข้ากรุงเทพ ผมจำได้ถึงเสียงร้องเสียงปรบมือ เสียงตีนตบหัวใจตบที่ดังลั่น จำได้ถึงแววตาของคนเสื้อแดง ทั้งหมดมันสะท้อนถึงกำลังใจและพลังที่พลุ่งพล่านของผู้คนตอนนั้น
เดือนกรกฏาคมปี 52 ช่วงเวลาที่พวกเราล่ารายชื่อลงนามถวายฏีกา ขออภัยโทษให้กับนายกทักษิณ ที่ร้านอาหารที่เป็นที่พบปะกันเป็นประจำของคนเสื้อแดงในกลุ่มเรา และเป็นที่รู้ๆกันว่าเราจะเอาใบฏีกามาส่ง มารวมกันที่นี่ ผมจำได้ติดตา ถึงสายวันหนึ่ง ที่มีชาวบ้านสามคนพ่อ แม่และลูก รวมสามคน นั่งซ้อนกันมาบนรถเครื่องที่ดูเก่ามากๆ มาที่ร้านอาหารนั้ ในมือผู้เป็นพ่อ ถือกระดาษใบฏีกาที่ยับยู่ยี่ มาส่งให้กับผม ผมไม่รู้จักพวกเขา ถึงตอนนี้ก็จำหน้าไม่ได้ แต่จำคำพูดของคุณลุงที่ยื่นใบฎีกาให้กับผมได้อย่างดี ที่แกบอกว่า "ช่วยกันนะ ช่วยทักษิณเขา สงสารเขา"
วันที่ 30 ธันวา 52 ในที่ชุมนุมที่หน้าสภา หลังคำปราศรัยถามดินถามฟ้าของคุณณัฐวุฒิจบ ผมได้ไปนั่งคุยกับหนุ่มสาวสามีภรรยาคู่หนึ่ง สอบถามได้ความว่าบ้านอยู่แถววงเวียนใหญ่ กรุงเทพ อาชีพค้าขาย ขายของตามตลาดนัด ทั้งสองเล่าให้ฟังถึงความรัก ประทับใจในตัวนายกทักษิณ และที่สุดคือความคาดหวังว่าชีวิตการทำมาค้าขายของเขาจะดีขึ้น หากได้นายกทักษิณกลับมาบริหารประเทศ
หลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 ไม่นาน ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนั้น ที่ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาล ผมได้พบกับผู้บาดเจ็บ เป็นชายหนุ่ม อายุยี่สิบเศษ มาจากภาคเหนือ มีอาชีพขายและซ่อมโทรศัพท์มือถือ เขาถูกยิงขณะที่ยืนอยู่บริเวณสี่แยกคอกวัว ในจุดไม่ไกลจากที่คุณวสันต์ ภู่ทองโดนยิงศรีษะ เขาโดนกระสุนเข้าที่ต้นคอด้านหลัง เข้าด้านซ้ายและทะลุออกด้านขวา เป็นปาฏิหารย์ที่กระสุนไม่โดนอวัยวะสำคัญอันใด เขาเล่าว่า เขาเชื่อว่าที่รอดมาได้เพราะเขากำลังหันศีรษะไปด้านหลังและก้มศีรษะลงพอดีกับวินาทีที่กระสุนพุ่งเข้ามา เขาเล่าอีกว่า เขาเชื่อว่าที่วสันต์ โดนยิงเพราะถือธงโบกไปมา ทำให้ดูเป็นจุดเด่น ส่วนเขาที่ตกเป็นเป้าสังหารคงเป็นเพราะคนยิงคงส่องกล้องเห็นเสื้อที่เขาใส่ ผมถามเขาว่าเป็นยังไงหรือ เขาบอกว่า เป็นเสื้อยืดแดงธรรมดา แต่เขาเขียนข้อความว่า "ทักษิณ ไม่ใช่พ่อ แต่กูตายแทนได้" ก่อนกลับ เขายังบอกกับผมด้วยว่า เขาจะเก็บเสื้อยืดแดงตัวนั้นไว้ และรอวันที่จะได้พบนายกทักษิณและจะเอาเสื้อนี้ให้นายกทักษิณดู
ในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อถึงวันท้ายๆ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้ความรุนแรงต่อเนื่องในหลายๆจุดติดต่อกัน แม้กระนั้น ยังมีความคิดความเชื่อในมวลชนคนเสื้อแดงบางส่วนว่า นายกทักษิณไม่ทิ้งพวกเรา ไม่ต้องกลัว นายกทักษิณได้ประสานทางต่างชาติไว้แล้ว หากมีการปราบรุนแรงเกิดขึ้น นายกทักษิณได้วางแผนแล้ว และจะมีทหารหรือกองกำลังฝ่ายเราออกมาช่วย .... สุดท้ายเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนสิ้นสุดลงพร้อมวันเดียวกับที่มีภาพนายกทักษิณจูงมือลูกสาวเดินช็อปปิ้งที่ร้านหลุยส์วิตอง กรุงปารีส
สัปดาห์ที่แล้ว นายกทักษิณก็ได้ออกทวิตเตอร์ขอร้องให้คนที่รักเขาได้เข้าใจในความจงรักภักดีที่เขามีต่อสถาบันว่ามากขนาดไหน และประณามคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันโดยให้เหตุผลว่าเพราะสถาบันอยู่เหนือการเมือง และขอเชิญชวนคนที่รักเขาเข้าร่วมขบวนจงรักภักดี
19 กันยา ที่ผ่านมา พวกเราคนเสื้อแดง ร่วมกันมีกิจกรรมรำลึก 4ปีรัฐประหาร 4 ปีราชประสงค์ ในหลายๆ สถานที่ ท่ามกลางบรรยากาศของการเขียนจดหมายและปล่อยลูกโป่งถึงฟ้า พร้อมกับวาทะกรรม "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน" ว่ากันว่าในทุกๆ ที่ที่มีกิจกรรม การด่า สาปแช่ง กลุ่มคนที่คนเสื้อแดงเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการสังหารประชาชน ดังระงมไปทุกๆ ที่ และในวันเดียวกันนี้เอง ที่นายกทักษิณได้ทวิตเตอร์บอกให้ ร่วมกันเสียสละยอมกลืนความเจ็บปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดอง
ถึงวันนี้ ผมคิดถึงคนหลายๆ คน
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ผมคิดถึงคนหลายๆ คน คิดถึงคนที่ลงแรงเอารูปนายกทักษิณมาติดข้างถนนและบอกให้กลับบ้านเถอะ คุณลุงคุณป้าที่ร้องไห้ตอนได้ยินนายกทักษิณโฟนอินที่สนามราชมังคลาฯ คิดถึงคนเสื้อแดงมากมายที่อยู่ในที่ชุมนุมรอบทำเนียบและโห่ร้องด้วยความดีใจเมื่อได้ยินเสียงนายกทักษิณว่าจะเดินเท้าเข้ากรุงเทพ คิดถึงครอบครัวที่ใช้รถเครื่องเก่าๆ ขี่ซ้อนสามมาส่งใบฏีกาให้ คิดถึงหนุ่มสาวที่อาชีพขายของตามตลาดนัดและมีความหวังว่าค้าขายจะดีขึ้น คิดถึงชายหนุ่มที่รอดจากกระสุนทะลุที่คอได้ราวปาฏิหาริย์และตั้งใจเก็บเสื้อตัวที่ใส่ขณะโดนยิงที่เขียนว่า ยอมตายแทนได้ ไว้ให้นายกทักษิณดู และสุดท้าย ผมคิดถึง อีกเกือบร้อยศพ ที่เสียชีวิตไปจากคำสั่งอันโหดเหี้ยม ทั้งช่วงสลายการชุมนุมและจากการไล่ล่าหลังจากนั้น และผู้บาดเจ็บพิการอีกจำนวนมาก
และวันนี้ ผมไม่คิดถึงคุณทักษิณเลย
หากจะคิดก็เพียงสงสัยว่า ต่อแต่นี้ไปนายกทักษิณจะอยู่อย่างไรได้ หากคนเสื้อแดงเขาไม่เอาและไม่ยืนเคียงข้างนายกทักษิณอีกต่อไป.........
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------
เมื่อราวต้นปี 51 ริมถนนเข้าตำบลหนึ่ง ในจังหวัดที่ผมอยู่ มีแผ่นป้ายติดริมทาง ขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นรูปนายกทักษิณ พร้อมกับตัวอักษรเขียนด้วยลายมือว่า "กลับบ้านเถอะ คิดถึง" จำได้ว่าป้ายนั้นติดอยู่นานเป็นเดือน ดูแล้วคิดว่าคงเป็นป้ายที่ใครคนหนึ่งที่บ้านอยู่แถวนั้นทำขึ้นมาเอง
เมื่อเดือน พ.ย.ปี 51ในการชุมนุมใหญ่ที่สนามกีฬาหัวหมาก ผมใส่เสื้อแดงไปร่วม จำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจกับผู้คนที่มากมาย บรรยากาศสนุกสนาน เสียงอึกทึกมาก แต่พอพลบค่ำ ในช่วงเวลาที่นายกทักษิณโฟนอินเข้ามาที่งาน ทุกคนนิ่ง บรรยากาศสงบเงียบ ผมเหลือบมองคนข้างๆผม ผมเห็นสองสามีภรรยาคู่หนึ่งวัยน่าจะประมาณหกสิบเศษท่าทางเป็นคนต่างจังหวัด ทั้งสองคนนั่งน้ำตาไหลตลอดเวลาที่นายกทักษิณพูด และเมื่อผมกวาดสายตาไปรอบๆ ก็รับรู้ได้ว่า หลายๆคนที่ผมเห็นรอบตัวก็คงรู้สึกไม่ต่างกับคุณลุงคุณป้าคู่นี้
เมื่อเดือนเมษา 52 ผมจำบรรยากาศการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลได้ เมื่อนายกทักษิณโฟนอินมา และพูดว่า หากกระสุนนัดแรกดังขึ้น เขาจะมานำประชาชนเดินเท้าเข้ากรุงเทพ ผมจำได้ถึงเสียงร้องเสียงปรบมือ เสียงตีนตบหัวใจตบที่ดังลั่น จำได้ถึงแววตาของคนเสื้อแดง ทั้งหมดมันสะท้อนถึงกำลังใจและพลังที่พลุ่งพล่านของผู้คนตอนนั้น
เดือนกรกฏาคมปี 52 ช่วงเวลาที่พวกเราล่ารายชื่อลงนามถวายฏีกา ขออภัยโทษให้กับนายกทักษิณ ที่ร้านอาหารที่เป็นที่พบปะกันเป็นประจำของคนเสื้อแดงในกลุ่มเรา และเป็นที่รู้ๆกันว่าเราจะเอาใบฏีกามาส่ง มารวมกันที่นี่ ผมจำได้ติดตา ถึงสายวันหนึ่ง ที่มีชาวบ้านสามคนพ่อ แม่และลูก รวมสามคน นั่งซ้อนกันมาบนรถเครื่องที่ดูเก่ามากๆ มาที่ร้านอาหารนั้ ในมือผู้เป็นพ่อ ถือกระดาษใบฏีกาที่ยับยู่ยี่ มาส่งให้กับผม ผมไม่รู้จักพวกเขา ถึงตอนนี้ก็จำหน้าไม่ได้ แต่จำคำพูดของคุณลุงที่ยื่นใบฎีกาให้กับผมได้อย่างดี ที่แกบอกว่า "ช่วยกันนะ ช่วยทักษิณเขา สงสารเขา"
วันที่ 30 ธันวา 52 ในที่ชุมนุมที่หน้าสภา หลังคำปราศรัยถามดินถามฟ้าของคุณณัฐวุฒิจบ ผมได้ไปนั่งคุยกับหนุ่มสาวสามีภรรยาคู่หนึ่ง สอบถามได้ความว่าบ้านอยู่แถววงเวียนใหญ่ กรุงเทพ อาชีพค้าขาย ขายของตามตลาดนัด ทั้งสองเล่าให้ฟังถึงความรัก ประทับใจในตัวนายกทักษิณ และที่สุดคือความคาดหวังว่าชีวิตการทำมาค้าขายของเขาจะดีขึ้น หากได้นายกทักษิณกลับมาบริหารประเทศ
หลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 ไม่นาน ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนั้น ที่ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาล ผมได้พบกับผู้บาดเจ็บ เป็นชายหนุ่ม อายุยี่สิบเศษ มาจากภาคเหนือ มีอาชีพขายและซ่อมโทรศัพท์มือถือ เขาถูกยิงขณะที่ยืนอยู่บริเวณสี่แยกคอกวัว ในจุดไม่ไกลจากที่คุณวสันต์ ภู่ทองโดนยิงศรีษะ เขาโดนกระสุนเข้าที่ต้นคอด้านหลัง เข้าด้านซ้ายและทะลุออกด้านขวา เป็นปาฏิหารย์ที่กระสุนไม่โดนอวัยวะสำคัญอันใด เขาเล่าว่า เขาเชื่อว่าที่รอดมาได้เพราะเขากำลังหันศีรษะไปด้านหลังและก้มศีรษะลงพอดีกับวินาทีที่กระสุนพุ่งเข้ามา เขาเล่าอีกว่า เขาเชื่อว่าที่วสันต์ โดนยิงเพราะถือธงโบกไปมา ทำให้ดูเป็นจุดเด่น ส่วนเขาที่ตกเป็นเป้าสังหารคงเป็นเพราะคนยิงคงส่องกล้องเห็นเสื้อที่เขาใส่ ผมถามเขาว่าเป็นยังไงหรือ เขาบอกว่า เป็นเสื้อยืดแดงธรรมดา แต่เขาเขียนข้อความว่า "ทักษิณ ไม่ใช่พ่อ แต่กูตายแทนได้" ก่อนกลับ เขายังบอกกับผมด้วยว่า เขาจะเก็บเสื้อยืดแดงตัวนั้นไว้ และรอวันที่จะได้พบนายกทักษิณและจะเอาเสื้อนี้ให้นายกทักษิณดู
ในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อถึงวันท้ายๆ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้ความรุนแรงต่อเนื่องในหลายๆจุดติดต่อกัน แม้กระนั้น ยังมีความคิดความเชื่อในมวลชนคนเสื้อแดงบางส่วนว่า นายกทักษิณไม่ทิ้งพวกเรา ไม่ต้องกลัว นายกทักษิณได้ประสานทางต่างชาติไว้แล้ว หากมีการปราบรุนแรงเกิดขึ้น นายกทักษิณได้วางแผนแล้ว และจะมีทหารหรือกองกำลังฝ่ายเราออกมาช่วย .... สุดท้ายเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนสิ้นสุดลงพร้อมวันเดียวกับที่มีภาพนายกทักษิณจูงมือลูกสาวเดินช็อปปิ้งที่ร้านหลุยส์วิตอง กรุงปารีส
สัปดาห์ที่แล้ว นายกทักษิณก็ได้ออกทวิตเตอร์ขอร้องให้คนที่รักเขาได้เข้าใจในความจงรักภักดีที่เขามีต่อสถาบันว่ามากขนาดไหน และประณามคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันโดยให้เหตุผลว่าเพราะสถาบันอยู่เหนือการเมือง และขอเชิญชวนคนที่รักเขาเข้าร่วมขบวนจงรักภักดี
19 กันยา ที่ผ่านมา พวกเราคนเสื้อแดง ร่วมกันมีกิจกรรมรำลึก 4ปีรัฐประหาร 4 ปีราชประสงค์ ในหลายๆ สถานที่ ท่ามกลางบรรยากาศของการเขียนจดหมายและปล่อยลูกโป่งถึงฟ้า พร้อมกับวาทะกรรม "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน" ว่ากันว่าในทุกๆ ที่ที่มีกิจกรรม การด่า สาปแช่ง กลุ่มคนที่คนเสื้อแดงเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการสังหารประชาชน ดังระงมไปทุกๆ ที่ และในวันเดียวกันนี้เอง ที่นายกทักษิณได้ทวิตเตอร์บอกให้ ร่วมกันเสียสละยอมกลืนความเจ็บปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดอง
ถึงวันนี้ ผมคิดถึงคนหลายๆ คน
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ผมคิดถึงคนหลายๆ คน คิดถึงคนที่ลงแรงเอารูปนายกทักษิณมาติดข้างถนนและบอกให้กลับบ้านเถอะ คุณลุงคุณป้าที่ร้องไห้ตอนได้ยินนายกทักษิณโฟนอินที่สนามราชมังคลาฯ คิดถึงคนเสื้อแดงมากมายที่อยู่ในที่ชุมนุมรอบทำเนียบและโห่ร้องด้วยความดีใจเมื่อได้ยินเสียงนายกทักษิณว่าจะเดินเท้าเข้ากรุงเทพ คิดถึงครอบครัวที่ใช้รถเครื่องเก่าๆ ขี่ซ้อนสามมาส่งใบฏีกาให้ คิดถึงหนุ่มสาวที่อาชีพขายของตามตลาดนัดและมีความหวังว่าค้าขายจะดีขึ้น คิดถึงชายหนุ่มที่รอดจากกระสุนทะลุที่คอได้ราวปาฏิหาริย์และตั้งใจเก็บเสื้อตัวที่ใส่ขณะโดนยิงที่เขียนว่า ยอมตายแทนได้ ไว้ให้นายกทักษิณดู และสุดท้าย ผมคิดถึง อีกเกือบร้อยศพ ที่เสียชีวิตไปจากคำสั่งอันโหดเหี้ยม ทั้งช่วงสลายการชุมนุมและจากการไล่ล่าหลังจากนั้น และผู้บาดเจ็บพิการอีกจำนวนมาก
และวันนี้ ผมไม่คิดถึงคุณทักษิณเลย
หากจะคิดก็เพียงสงสัยว่า ต่อแต่นี้ไปนายกทักษิณจะอยู่อย่างไรได้ หากคนเสื้อแดงเขาไม่เอาและไม่ยืนเคียงข้างนายกทักษิณอีกต่อไป.........
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------
เสียงก้อง-ดอกไม้-น้ำตาในเรือนจำ "ณัฐวุฒิ" ปราศรัยปลุกขวัญสาวกแดง "พี่น้อง...อย่าร้องไห้ ผมใจเข้มแข็ง เราไม่ทิ้งกัน"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
โลกภายนอกเรือนจำ เคลื่อนไป ข้างหน้ารวดเร็ว-ซับซ้อนเกินกว่า 7 แกนนำ นปช.จะรับรู้
อดีตแกนกลางการเคลื่อนไหว "แดง" ทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนที่รอวันหมุนตาม
เมื่อจู่ ๆ ชื่อ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาประกาศว่าจะเดินหน้า-ลงมือเจรจา เพื่อความปรองดอง บุกไปประชิดตัวถึงในตารางสี่เหลี่ยม
วรรคทอง-วาระสำคัญ ที่คีย์แมนการเมือง สื่อสาร-ส่งข่าว อธิบายเบื้องหลัง-เบื้องหน้าของการเจรจาใน คุกแดง มีความหมายครอบคลุมทั้งเรื่องการอภัยโทษ-ปล่อยตัว และสิทธิของคนเสื้อแดง และ "รัฐบาลต้องพิจารณา"
72 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...แคมเปญของคนเสื้อแดงถูกจัดขึ้นหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
คนเสื้อแดงประมาณ 500 คน มารวมตัวกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าประตู เรือนจำ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลและเสียงตะโกนให้กำลังใจแกนนำ ที่อยู่ในคุก บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นดันแถวเข้ามาโยนดอกไม้ ทำเอาประตูรั้วเรือนจำสั่นไหว
เสียงขานชื่อ "นักโทษ" สลับกับเสียงปลุกปลอบขวัญผู้มาให้กำลังใจ
ทูตเสื้อแดง-ภรรยาของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทำหน้าที่เจรจากับสาวกเสื้อแดงข้างนอกก่อนเข้าเยี่ยมสามี
ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ จำนวนคนเข้าเยี่ยม-เห็นหน้า-เห็นตัวเป็น ๆ ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเต็มจำนวน เต็มพิกัด เท่าที่ถูกกำหนด
ในจำนวนจำกัด
จึงเห็นภาพ-เสียงที่ทุลักทุเลของบรรดาสาวก-แม่ยกโผเข้าหากันและกัน และส่งเสียงสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างพูดแทบฟัง ไม่ได้สรรพผ่านรูเล็ก ๆ บนแถบแผ่นโลหะ
คำแม่ยกมีทั้งข่าวสารสด ๆ ร้อน ๆ แจ้งจำนวนมวลชนที่ร่วมใจไปวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
"ณัฐวุฒิ" และแกนนำทุกคนรูปร่างผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
"น้ำหนักลดลงไป 6 กิโล เพราะออกกำลังกายทุกวัน ชกมวยทุกวัน" ณัฐวุฒิอธิบายรูปกายที่เปลี่ยนไป ทำให้เหล่าสาวกตื้นตันน้ำตาคลอเบ้า
ณัฐวุฒิ-ปลอบคนเข้าเยี่ยมว่า "อย่าร้องไห้ สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา"
คนข่าว-ถามทุกข์-สุข และเรื่องราวประเด็นข่าวนอกคุก ทั้งเรื่องแผนปรองดอง-แผนเพื่อไทย "ณัฐวุฒิ" ตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่รู้เรื่องมากนัก" พร้อมออกตัวว่า "ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเกรงว่าจะทำให้ทางเรือนจำเดือดร้อน"
"เวลามีคนมาเยี่ยม มาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้รับฟัง และให้กำลังใจ...ฝากความคิดไปบ้างเท่าที่จะทำได้ พยายามบอกพี่น้องให้เข้มแข็ง ยืนหยัดหลักการ สันติวิธีให้เกิดประชาธิปไตย"
ส่วนข้อถกเถียงในโลกภายนอกคุกที่ว่า นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กับพรรคเพื่อไทย ใครจะนำใครกันแน่ ?
"ณัฐวุฒิ" บอกว่า "ประชาธิปไตยนำ ทั้ง 2 องค์กรนี้ไปด้วยกัน ทั้งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครเดินตามใคร แต่ทั้ง 2 ส่วนเดินตามหลักการประชาธิปไตย และสังคมไทยก็ควรจะได้เดินไปในแนวทางนี้เช่นกัน"
ส่วนคำถามถึงแผนปรองดองและ ความหวังที่จะได้ประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ปฏิเสธว่าไม่ทราบรายละเอียด รวมทั้งยังไม่ทราบว่าจะได้รับการประกันตัวหรือเกือบได้ประกันตัวจากแผนปรองดอง นอกคุกหรือไม่
นักข่าวชวนสนทนาประเด็นร้อนว่า การนอนคุกของเขาสะท้อนผลแพ้หรือชนะ ของม็อบแดง เขาตอบว่า "เราไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดผลแพ้หรือชนะ แต่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความแพ้หรือชนะ ของใคร"
เขาอธิบายสถานการณ์ส่วนตัวของเขา และผลที่เกิดกับแกนนำทั้ง 7 คนที่ยังยืน อยู่ในคุกว่า "เป็นเพราะประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย"
คำถามเชิงปรารภ ชวนปะทะทางความคิด ที่ว่า "ณัฐวุฒิ" อยู่จุดไหนของกระบวนการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายของคนเสื้อแดง เขาตอบแต่เพียงว่า
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง..."
แม้การไร้อิสรภาพยาวนานกว่า 100 วัน โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อไร และมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้พ้นคุก แต่แกนนำ "นปช.-ณัฐวุฒิ" ไม่เคยหมดพลัง-หมดกำลังใจ
"สิ่งที่จะลดลงไปก็คือ วัน เวลาที่จะได้ทำภารกิจร่วมกับข้างนอก แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเราไม่ลด เราต้อง เข้มแข็งเพื่อพี่น้องทุกคน แกนนำข้างใน คุกดูแลกันและกัน ความเข้มแข็งของเราจะเป็นกำลังใจให้คนข้างนอกตลอด เวลา"
ยามว่างเว้นจากห้วงคำนึงถึงครอบครัว "ณัฐวุฒิ" ลงมือใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในฐานะ "นักกลอน" แต่งเพลงเพื่ออนาคต
"วันนี้ผมตั้งใจจะเขียนเพลงเพื่อบันทึกความรู้สึกในวันนี้ วันที่พี่น้องเสื้อแดงเอาดอกไม้มามอบให้ ผมหวังว่าดอกไม้ที่เอามาวันนี้จะได้ส่งความรู้สึกผูกพันของคนเสื้อแดงไปถึงทุกชีวิตที่จากไป"
"ถ้าวันนี้พี่น้องเสื้อแดงทำกิจกรรม มอบดอกไม้ให้ผมและแกนนำข้างใน เรือนจำ... ผมก็ขอเป็นตัวแทนจาก คนเสื้อแดงในเรือนจำ...ส่งมอบต่อไปให้ แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคนพร้อมครอบครัว ผมอยากบอกว่า ผมรักพวกเขา เราไม่ทิ้งกัน..."
เสียงผู้คุมประกาศ "หมดเวลาเยี่ยม" ทั้งแกนนำ-สาวก-แม่ยก และภรรยาคู่ชีวิตของ "ณัฐวุฒิ" และภรรยา 7 แกนนำ นปช.ต่างทยอยกลับ
ภาพหน้าคุกมีการนำดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกระดาษข้อความ จดหมาย เสียบไว้ตลอดแนวรั้วคุก
72 ชั่วโมงก่อนถึงวันครบรอบ 4 ปี 19 กันยา วาระ 4 เดือน จากราชประสงค์ มีทั้งดอกไม้และน้ำตา
-----------------------------------------------------------------
โลกภายนอกเรือนจำ เคลื่อนไป ข้างหน้ารวดเร็ว-ซับซ้อนเกินกว่า 7 แกนนำ นปช.จะรับรู้
อดีตแกนกลางการเคลื่อนไหว "แดง" ทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนที่รอวันหมุนตาม
เมื่อจู่ ๆ ชื่อ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาประกาศว่าจะเดินหน้า-ลงมือเจรจา เพื่อความปรองดอง บุกไปประชิดตัวถึงในตารางสี่เหลี่ยม
วรรคทอง-วาระสำคัญ ที่คีย์แมนการเมือง สื่อสาร-ส่งข่าว อธิบายเบื้องหลัง-เบื้องหน้าของการเจรจาใน คุกแดง มีความหมายครอบคลุมทั้งเรื่องการอภัยโทษ-ปล่อยตัว และสิทธิของคนเสื้อแดง และ "รัฐบาลต้องพิจารณา"
72 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...แคมเปญของคนเสื้อแดงถูกจัดขึ้นหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
คนเสื้อแดงประมาณ 500 คน มารวมตัวกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าประตู เรือนจำ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลและเสียงตะโกนให้กำลังใจแกนนำ ที่อยู่ในคุก บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นดันแถวเข้ามาโยนดอกไม้ ทำเอาประตูรั้วเรือนจำสั่นไหว
เสียงขานชื่อ "นักโทษ" สลับกับเสียงปลุกปลอบขวัญผู้มาให้กำลังใจ
ทูตเสื้อแดง-ภรรยาของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทำหน้าที่เจรจากับสาวกเสื้อแดงข้างนอกก่อนเข้าเยี่ยมสามี
ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ จำนวนคนเข้าเยี่ยม-เห็นหน้า-เห็นตัวเป็น ๆ ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเต็มจำนวน เต็มพิกัด เท่าที่ถูกกำหนด
ในจำนวนจำกัด
จึงเห็นภาพ-เสียงที่ทุลักทุเลของบรรดาสาวก-แม่ยกโผเข้าหากันและกัน และส่งเสียงสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างพูดแทบฟัง ไม่ได้สรรพผ่านรูเล็ก ๆ บนแถบแผ่นโลหะ
คำแม่ยกมีทั้งข่าวสารสด ๆ ร้อน ๆ แจ้งจำนวนมวลชนที่ร่วมใจไปวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
"ณัฐวุฒิ" และแกนนำทุกคนรูปร่างผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
"น้ำหนักลดลงไป 6 กิโล เพราะออกกำลังกายทุกวัน ชกมวยทุกวัน" ณัฐวุฒิอธิบายรูปกายที่เปลี่ยนไป ทำให้เหล่าสาวกตื้นตันน้ำตาคลอเบ้า
ณัฐวุฒิ-ปลอบคนเข้าเยี่ยมว่า "อย่าร้องไห้ สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา"
คนข่าว-ถามทุกข์-สุข และเรื่องราวประเด็นข่าวนอกคุก ทั้งเรื่องแผนปรองดอง-แผนเพื่อไทย "ณัฐวุฒิ" ตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่รู้เรื่องมากนัก" พร้อมออกตัวว่า "ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเกรงว่าจะทำให้ทางเรือนจำเดือดร้อน"
"เวลามีคนมาเยี่ยม มาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้รับฟัง และให้กำลังใจ...ฝากความคิดไปบ้างเท่าที่จะทำได้ พยายามบอกพี่น้องให้เข้มแข็ง ยืนหยัดหลักการ สันติวิธีให้เกิดประชาธิปไตย"
ส่วนข้อถกเถียงในโลกภายนอกคุกที่ว่า นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กับพรรคเพื่อไทย ใครจะนำใครกันแน่ ?
"ณัฐวุฒิ" บอกว่า "ประชาธิปไตยนำ ทั้ง 2 องค์กรนี้ไปด้วยกัน ทั้งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครเดินตามใคร แต่ทั้ง 2 ส่วนเดินตามหลักการประชาธิปไตย และสังคมไทยก็ควรจะได้เดินไปในแนวทางนี้เช่นกัน"
ส่วนคำถามถึงแผนปรองดองและ ความหวังที่จะได้ประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ปฏิเสธว่าไม่ทราบรายละเอียด รวมทั้งยังไม่ทราบว่าจะได้รับการประกันตัวหรือเกือบได้ประกันตัวจากแผนปรองดอง นอกคุกหรือไม่
นักข่าวชวนสนทนาประเด็นร้อนว่า การนอนคุกของเขาสะท้อนผลแพ้หรือชนะ ของม็อบแดง เขาตอบว่า "เราไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดผลแพ้หรือชนะ แต่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความแพ้หรือชนะ ของใคร"
เขาอธิบายสถานการณ์ส่วนตัวของเขา และผลที่เกิดกับแกนนำทั้ง 7 คนที่ยังยืน อยู่ในคุกว่า "เป็นเพราะประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย"
คำถามเชิงปรารภ ชวนปะทะทางความคิด ที่ว่า "ณัฐวุฒิ" อยู่จุดไหนของกระบวนการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายของคนเสื้อแดง เขาตอบแต่เพียงว่า
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง..."
แม้การไร้อิสรภาพยาวนานกว่า 100 วัน โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อไร และมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้พ้นคุก แต่แกนนำ "นปช.-ณัฐวุฒิ" ไม่เคยหมดพลัง-หมดกำลังใจ
"สิ่งที่จะลดลงไปก็คือ วัน เวลาที่จะได้ทำภารกิจร่วมกับข้างนอก แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเราไม่ลด เราต้อง เข้มแข็งเพื่อพี่น้องทุกคน แกนนำข้างใน คุกดูแลกันและกัน ความเข้มแข็งของเราจะเป็นกำลังใจให้คนข้างนอกตลอด เวลา"
ยามว่างเว้นจากห้วงคำนึงถึงครอบครัว "ณัฐวุฒิ" ลงมือใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในฐานะ "นักกลอน" แต่งเพลงเพื่ออนาคต
"วันนี้ผมตั้งใจจะเขียนเพลงเพื่อบันทึกความรู้สึกในวันนี้ วันที่พี่น้องเสื้อแดงเอาดอกไม้มามอบให้ ผมหวังว่าดอกไม้ที่เอามาวันนี้จะได้ส่งความรู้สึกผูกพันของคนเสื้อแดงไปถึงทุกชีวิตที่จากไป"
"ถ้าวันนี้พี่น้องเสื้อแดงทำกิจกรรม มอบดอกไม้ให้ผมและแกนนำข้างใน เรือนจำ... ผมก็ขอเป็นตัวแทนจาก คนเสื้อแดงในเรือนจำ...ส่งมอบต่อไปให้ แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคนพร้อมครอบครัว ผมอยากบอกว่า ผมรักพวกเขา เราไม่ทิ้งกัน..."
เสียงผู้คุมประกาศ "หมดเวลาเยี่ยม" ทั้งแกนนำ-สาวก-แม่ยก และภรรยาคู่ชีวิตของ "ณัฐวุฒิ" และภรรยา 7 แกนนำ นปช.ต่างทยอยกลับ
ภาพหน้าคุกมีการนำดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกระดาษข้อความ จดหมาย เสียบไว้ตลอดแนวรั้วคุก
72 ชั่วโมงก่อนถึงวันครบรอบ 4 ปี 19 กันยา วาระ 4 เดือน จากราชประสงค์ มีทั้งดอกไม้และน้ำตา
-----------------------------------------------------------------
น้ำผึ้งหยดเดียว..แน่ๆ
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
มีข่าววงในพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าบรรดาส.ส. ของพรรค ชักไม่สบายใจกับกรณีแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว
เพราะส่อเค้าจะเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" กลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต
เนื่องจากทางการซาอุฯ เริ่มส่งสัญญาณผ่านการขอวีซ่าไปร่วมงานแสวงบุญ
ชักมีปัญหาติดขัด วีซ่าไม่ออก ด้วยเหตุผลที่ใครฟังแล้วก็ต้องรู้ว่าไม่ปกติ
ท่าทีของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อปัญหานี้ ต้องใช้คำว่า "ดื้อ" สุดๆ
คล้ายๆ นายอภิสิทธิ์แสดงออกมาหนหนึ่งแล้ว ตอนตั้งหน้าตั้งตาจะผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ
คราวพล.ต.อ.ปทีปก็เข้าใจได้อย่างหนึ่ง ว่าเป็นเรื่องภายในล้วนๆ จริงๆ
คนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี คงจะรู้สึกว่า ทำไมฉันจะดันผบ.ตร.ตามที่ใจอยากไม่ได้
แต่กรณีของผู้ช่วยผบ.ตร.นี้ ปัญหาต่างกันมาก
เพราะคราวนี้มันชักกลายเป็นการกระทบกระทั่ง ระหว่างไทยกับซาอุฯ
ไม่ได้ขีดวงจำกัด ชี้แจงกันไป ชี้แจงกันมา ในหมู่คนไทยด้วยกันเท่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะลืมตระหนักไปอย่างหนึ่ง
ซาอุฯ ไม่ใช่ประเทศที่เราจะเอาอะไรไปข่มเขาได้
ปัญหาจากคดีฆ่าทูตซาอุฯ เพชรซาอุฯ อะไรพวกนี้ ซาอุฯ ไม่เคยแสดงให้เราเห็นหรอกหรือ?
ว่าเขาสามารถสั่งแบนแรงงานไทย แบบไม่สนใจไยดี ใดๆ ทั้งสิ้น
ที่เคยแห่ไปขุดทองกันมั่งคั่งกลับมา กลายเป็นเรื่องราวเก่าๆ ในอดีต ไม่มีต่อไปอีกแล้ว
ยิ่ง ฯพณฯ ทั้งสอง เอาแต่ชูกฎระเบียบเป็นหลัก ย้ำแต่คำจะชี้แจงต่อไปให้เข้าใจ
กับอ้างถึงการแปลเอกสารที่ยังไม่แล้วเสร็จ
ซึ่งถามจริง อุปทูตซาอุฯ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ?
ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของระเบียบการโยกย้ายของไทยหรือ?
ไม่ต้องไปเสียเวลาแปล หรือเอาแต่อ้างเรื่องการแปลเลย ทางซาอุฯ รู้ยิ่งกว่ารู้ อะไรเป็นอะไร
เขาแค่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนของเขา ซึ่งสูญเสียไปในประเทศไทย
และการเรียกร้องนั้น ก็ไม่เกินเลย ในเมื่อมันเป็นคดีอยู่ในศาลอาญาอยู่ ไม่ใช่เรื่องพูดกล่าวหากันลอยๆ
พล.ต.ท.สมคิดจะเป็นคนผิดหรือผู้บริสุทธิ์ ขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาลในบั้นปลาย ซึ่งมีถึง 3 ศาล
แต่เบื้องต้นนี้ เขาเรียกกันว่าคดี "มีมูล"
นาทีนี้ จึงน่าวิตกอย่างยิ่งกับท่าทีรัฐบาล
ขนาดแรงงานไทย เขายังเล่นไม้แข็งกับเรามาแล้ว แล้วกรณีผู้แสวงบุญไปร่วมพิธีฮัจญ์
จะเกิดอะไรขึ้น?
**************************************************************
คอลัมน์ เหล็กใน
มีข่าววงในพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าบรรดาส.ส. ของพรรค ชักไม่สบายใจกับกรณีแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว
เพราะส่อเค้าจะเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" กลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต
เนื่องจากทางการซาอุฯ เริ่มส่งสัญญาณผ่านการขอวีซ่าไปร่วมงานแสวงบุญ
ชักมีปัญหาติดขัด วีซ่าไม่ออก ด้วยเหตุผลที่ใครฟังแล้วก็ต้องรู้ว่าไม่ปกติ
ท่าทีของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อปัญหานี้ ต้องใช้คำว่า "ดื้อ" สุดๆ
คล้ายๆ นายอภิสิทธิ์แสดงออกมาหนหนึ่งแล้ว ตอนตั้งหน้าตั้งตาจะผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ
คราวพล.ต.อ.ปทีปก็เข้าใจได้อย่างหนึ่ง ว่าเป็นเรื่องภายในล้วนๆ จริงๆ
คนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี คงจะรู้สึกว่า ทำไมฉันจะดันผบ.ตร.ตามที่ใจอยากไม่ได้
แต่กรณีของผู้ช่วยผบ.ตร.นี้ ปัญหาต่างกันมาก
เพราะคราวนี้มันชักกลายเป็นการกระทบกระทั่ง ระหว่างไทยกับซาอุฯ
ไม่ได้ขีดวงจำกัด ชี้แจงกันไป ชี้แจงกันมา ในหมู่คนไทยด้วยกันเท่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะลืมตระหนักไปอย่างหนึ่ง
ซาอุฯ ไม่ใช่ประเทศที่เราจะเอาอะไรไปข่มเขาได้
ปัญหาจากคดีฆ่าทูตซาอุฯ เพชรซาอุฯ อะไรพวกนี้ ซาอุฯ ไม่เคยแสดงให้เราเห็นหรอกหรือ?
ว่าเขาสามารถสั่งแบนแรงงานไทย แบบไม่สนใจไยดี ใดๆ ทั้งสิ้น
ที่เคยแห่ไปขุดทองกันมั่งคั่งกลับมา กลายเป็นเรื่องราวเก่าๆ ในอดีต ไม่มีต่อไปอีกแล้ว
ยิ่ง ฯพณฯ ทั้งสอง เอาแต่ชูกฎระเบียบเป็นหลัก ย้ำแต่คำจะชี้แจงต่อไปให้เข้าใจ
กับอ้างถึงการแปลเอกสารที่ยังไม่แล้วเสร็จ
ซึ่งถามจริง อุปทูตซาอุฯ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ?
ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของระเบียบการโยกย้ายของไทยหรือ?
ไม่ต้องไปเสียเวลาแปล หรือเอาแต่อ้างเรื่องการแปลเลย ทางซาอุฯ รู้ยิ่งกว่ารู้ อะไรเป็นอะไร
เขาแค่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนของเขา ซึ่งสูญเสียไปในประเทศไทย
และการเรียกร้องนั้น ก็ไม่เกินเลย ในเมื่อมันเป็นคดีอยู่ในศาลอาญาอยู่ ไม่ใช่เรื่องพูดกล่าวหากันลอยๆ
พล.ต.ท.สมคิดจะเป็นคนผิดหรือผู้บริสุทธิ์ ขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาลในบั้นปลาย ซึ่งมีถึง 3 ศาล
แต่เบื้องต้นนี้ เขาเรียกกันว่าคดี "มีมูล"
นาทีนี้ จึงน่าวิตกอย่างยิ่งกับท่าทีรัฐบาล
ขนาดแรงงานไทย เขายังเล่นไม้แข็งกับเรามาแล้ว แล้วกรณีผู้แสวงบุญไปร่วมพิธีฮัจญ์
จะเกิดอะไรขึ้น?
**************************************************************
วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
รถไฟฟ้ามาหา (อีกแล้ว) นะเธอ
สำรวจเรทติ้งของน้องใหม่ขบวนล่าสุด หนึ่งเดือนที่ผ่านมาดาหน้ามาทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ...อิฐก้อนใหญ่เสียด้วย
ปีก่อน คนกรุงเทพฯ (และคนทั่วประเทศไทย) ได้ทำความรู้จักกับ รถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS Skytrain) ทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาจราจรของเมืองหลวง ขณะที่ 5 ปีต่อมา รถไฟใต้ดิน หรือ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT Blue Line) ก็เริ่มเป็นอีกชื่อที่คุ้นหู
และเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2553 กรุงเทพมหานครได้คลอด รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (Bus Rapid Transit หรือ BRT) โดยหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหา "รถติด" ให้คลายตัวอีกระดับ แต่เสียงตอบรับยังไม่ดีพอ เพื่อนร่วมถนนยังไม่เคารพในกติกา วิ่งเข้าเบียดในช่องทางพิเศษจนเกิดปัญหา ล่าสุดถึงแม้จะหั่นราคา จูงใจให้คนใช้บริการ สถานการณ์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้น จนเริ่มมีกระแสว่า อาจต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน พับโครงการก่อนกำหนด
วันนี้ โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ แอร์พอร์ตเรลลิงก์ หรือ แอร์พอร์ตลิงก์ (Airport rail link) ได้กลายมาเป็นอีก "ตัวช่วย" น้องใหม่ สำหรับ "คนชานเมือง" ในการเดินทางสู่ใจกลาง "มหานคร"
1 เดือนหลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ หลากหลายสุ้มเสียงทั้ง "ดอกไม้" และ "ก้อนอิฐ" จากผู้ใช้บริการก็ปลิวว่อนจากทั่วทุกสารทิศ
"ราง" เปลี่ยน "ชีวิต"
ดูเหมือนการย่นระยะเวลาการเดินทางของ "ม้าเร็ว" สายสุวรรณภูมิ ถือเป็นแต้มต่อสำคัญในความรู้สึกของ พิทยะพันธ์ ศรีแววเนตร หนุ่มลาดกระบังที่ต้องข้ามฟากมาทำงานในออฟฟิศย่านราชประสงค์อยู่พอสมควร
เป็นประจำ เขาต้องเดินทางออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้าโบกแท็กซี่มาลงตรงสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช ก่อนต่อบีทีเอสเข้าเมืองมาทำงาน ที่ต้องออกเช้าขนาดนี้ก็เพื่อเลี่ยงช่วงการจราจรติดขัด หรือถ้าออกสายกว่านั้นก็ต้องใช้ถนนอีกเส้นเพื่ออ้อมมายังปากซอยสุขุมวิท 55 ต่อรถไฟฟ้า แน่นอน นอกจากระยะทางที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ค่าใช้จ่ายก็ยังคูณสองด้วยเหมือนกัน
"รถไฟเปิดวิ่งเรายิ้มเลย เพราะบ้านอยู่ห่างจากสถานีลาดกระบังแค่ 5 นาที ห่างจากสถานีสุวรรณภูมิแค่ 10 นาที ขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์ไปต่อบีทีเอสถึงออฟฟิศได้ภายใน 40-45 นาที เป็นเวลาที่ตัวเราสามารถควบคุมได้สบายๆ"
ไม่ต่างกับ สุวรรณ บุญเลิศวัฒนา แม่ค้าผลไม้สดที่ยึดหัวหาดหลังตึกสาทรซิตี้เป็นที่ทำกิน ทุกวันเธอต้องออกจากบ้านภายในหมู่บ้านนักกีฬาตั้งแต่ตี 1 มารับของตรงปากคลองตลาด เพื่อนำไปตั้งร้านให้เสร็จก่อนฟ้าเปิด ตกบ่าย 2 จึงเริ่มเก็บร้าน แล้วถึงนั่งรถประจำทางสาย 22 ไปต่อรถบริเวณแยกลำสาลี หรือไม่ก็นั่งรถเมล์สาย 62 และต่อสาย 93 เข้าบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง
แต่หลังจากทำความรู้จักกับแอร์พอร์ตลิงก์ เธอก็ได้เวลา 2 ชั่วโมงที่เคยเสียไปทุกวันกลับคืนมา
"ทุกวันนี้ นั่งบีทีเอสจากช่องนนทรีไปต่อรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไทไปลงสถานีบ้านทับช้าง เบ็ดเสร็จ 40 นาที ก็ถึงบ้านแล้ว มีเวลาเถลไถลเพิ่มขึ้นอีกหน่อย (หัวเราะ)"
หรือถ้าเปรียบเทียบในความรู้สึกของเด็กรุ่นใหม่อย่าง ปนัดดา มนตรี และ มโนศิลป์ สุนทรส นักศึกษาจากรั้วลาดกระบัง รถไฟสายนี้คือเครื่องอำนวยความสะดวกราคาถูกอย่างไม่ต้องสงสัย
"ปกติต้องเข้าไปทำธุระในเมืองทุกอาทิตย์อยู่แล้ว และเข้าเมืองแต่ละครั้งถ้าไม่นั่งรถตู้ เสีย 35 บาท นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงอนุสาวรีย์ (ชัยสมรภูมิ) หรือไม่ก็ขึ้นรถไฟที่สถานีลาดกระบังถึงราคาถูก แต่ก็เสียเวลารอนานหน่อย พอมีแอร์พอร์ตลิงก์ก็รู้สึกดีนะคะ เพราะเสียเงินแค่ 15 บาท ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ไปเดินเล่นอยู่แถวสยามได้แล้ว" ปนัดดาออกความเห็น
นอกจากคำบอกเล่าจากปากของผู้ใช้บริการที่ยอมรับในประสิทธิภาพ วัชรชาญ สิริสุวรรณทัศน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการและมวลชนสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังกางตัวเลขยืนยันถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชัดเจน
"ตั้งแต่แอร์พอร์ตลิงก์เปิดให้บริการ ปริมาณผู้โดยสารก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รถไฟสายซิตี้ไลน์เปิดวิ่งอยู่บนราง 4 ขบวนเว้นระยะทุก 15 นาที โดยยอดผู้โดยสารเฉลี่ยตั้งแต่วันจันทร์ถึงพฤหัสจะอยู่ราว 33,000 คนต่อวัน ขณะที่วันศุกร์จะเพิ่มปริมาณเป็น 36,000 คน มีช่วงพีคอยู่ที่ 7 โมงถึง 9 โมงเช้า ส่วนตอนเย็นก็ตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม ซึ่งช่วงนี้เราจะปล่อยรถเสริม 1 ขบวนเพื่อช่วยผ่องถ่ายผู้โดยสาร โดยเวลาจะลดลงเหลือเพียง 7-8 นาทีต่อขบวน ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ยอดจะตกลงมาอยู่ราว 27,000 คน สำหรับขบวนรถด่วนจะมียอดผู้ใช้บริการอยู่ที่ 600-700 คน และยอดวันหยุดจะเพิ่มเป็น 800-900 คน"
"กองอิฐ" บนตู้โดยสาร
ยอดผู้โดยสารกับการเปิดให้บริการเดือนแรกถือว่าใกล้เคียงกับเป้าที่กระทรวงคมนาคมวางไว้วันละ 50,000 คน ยิ่งเมื่อเทียบเคียงคำบอกเล่า และตัวเลขที่ทางรถไฟหยิบขึ้นมาให้โชว์ ก็ยิ่งการันตีถึงแนวโน้มที่น่าจะ "สดใส" ของรถไฟขบวนนี้ได้เป็นอย่างดี
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการวางแผนงานมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วในการสำรวจเส้นทางที่อยู่ในเขตของการรถไฟ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการเวนคืนที่ดินลงไป โดยพิจารณาถึงจุดเชื่อมระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ อย่าง บีทีเอสพญาไท และรถไฟใต้ดินเพชรบุรี เป็นต้น อีกทั้งความพยายามในการยึดทำเลใกล้เคียงกับสถานีรถไฟสายตะวันออกที่มีอยู่เดิมให้ได้มากที่สุด ซึ่งผลที่ออกมาก็ค่อนข้างตอบสนองความต้องการผู้โดยสารได้ตรงประเด็น
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี "ข้อติติง" จากผู้ใช้บริการเลย ในฐานะ "น้องใหม่" แอร์พอร์ตลิงก์จึงถูกเปรียบมวยกับ "รุ่นพี่" อย่าง บีทีเอส และเอ็มอาร์ที ไปโดยปริยาย
"ห่วยแตก!!!" เสียงสบถดังสวนเสียงประตู(ที่ดังกว่า)ขึ้นมาทันที บางครั้งไม่ถึงกับออกเสียงบ่น แต่ความระคนสงสัยกับ "ระดับเสียง" ประตูที่เกินพอดียังปรากฏบนสีหน้าของคนเดินทางอยู่เรื่อยๆ ไม่นับรูปทรงที่นั่งแปลกๆ หรือห่วงจับอันดูเหมือนจะไม่พอสำหรับชั่วโมงเร่งด่วน แม้แต่เสียงกระตุกคล้ายๆ ระบบรางขัดข้องบางช่วงที่ขบวนรถออกจากสถานี ก็สร้างความไม่แน่ใจในความปลอดภัยได้เหมือนกัน
"คนใช้เพิ่มขึ้นจนเราขึ้นรถไฟไม่ได้" เสียงยืนยันชัดเจนของ ขวัญนรี ศรีโสภา ประชาสัมพันธ์สาวจาก บจก.ไซเพรสเอ็นเตอร์ไพรส ที่เลือกความสะดวกบนรางแทนการฝ่าควันบนถนน ถึง "จุดบอด" ที่เกิดขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน ตลอดสัปดาห์เต็มๆ เธอไปทำงานสายทุกวัน หากขึ้นรถไฟไม่ทันเที่ยว 7.30 น.
"จริงๆ มันสะดวกนะ ที่พักเราอยู่ตรงแยกคลองตัน เดินมาที่สถานีไม่เกิน 10 นาที ต่อรถไฟฟ้าไปลงที่ทำงานได้ภายในครึ่งชั่วโมง แต่พอถึงช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คนจะเยอะมากๆ ระยะเวลาการรอรถไฟก็ยัง 15 นาทีเท่าเดิม ซึ่งมันไม่พออยู่แล้ว แล้วภายในรถไฟก็เบียดกันมาก เหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นที่ต้องเบียดในรถไฟมาทำงานกันอย่างนั้นเลย แล้วขนาดของตู้โดยสารที่มีแค่ 3 ขบวนก็ค่อนข้างเล็กจุคนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ช่องระหว่างรถไฟกับชานชาลาก็กว้างเกินไป เคยมีคนเดินชนกันแล้วรองเท้าร่วงลงไปข้างล่างเลย แล้วถ้าเป็นขาเด็กตกลงไปล่ะ คิดดู" เธอระบาย
ความอึดอัดบนสถานีที่เธอรู้สึก ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ พิทยะพันธ์ มองเห็น เขารู้สึกว่า นอกจากการ "จัดระเบียบ" ผู้คนบนชานชลาแล้ว สิ่งที่ต้องแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุดก็คือเรื่องของ "ตั๋วโดยสาร" ที่น่าจะมีตั๋วสัปดาห์ หรือตั๋วเดือนออกมาสำหรับคนที่เดินทางประจำเสียที
กระทั่งการ "คิดไม่ถึง" ของการออกแบบจากมุมมองของผู้ให้บริการอย่าง วัชรชาญ เองก็ถือว่าเป็นเรื่อง "ต้องแก้ไข"
"ในบางสถานีเราก็ยอมรับว่าในตอนก่อสร้าง ที่ปรึกษาเขาไม่ได้ออกแบบสำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้า-ออกของสถานี ที่จอดรถ หรือรถโดยสาร เห็นได้ชัดที่สถานีพญาไทปัญหาเรื่องลิฟท์ที่ออกแบบไว้สำหรับผู้โดยสารพิการ ผู้โดยสารสูงอายุ แต่ปรากฏว่า ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากสนามบินก็มาพร้อมกระเป๋าด้วย"
นอกจากนั้น ความปลอดภัยในบริเวณสถานีช่วงกลางคืนก็กลายเป็นโจทย์อีกข้อที่ไม่อาจมองข้าม เพราะบรรดามอเตอร์ไซค์วินที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารตรงสถานีบ้านทับช้าง ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า หลัง 3 ทุ่มเป็นต้นไป รัศมี 2 กิโลเมตรรอบสถานีจะค่อนข้างเปลี่ยว และน่ากลัวมาก
"น่ากลัวขนาดนี้ มิน่าถึงไม่ค่อยมีสาวออฟฟิศมาซ้อนเลยครับ (ยิ้ม)" เสียงอำติดตลกทำนองนี้มักดังในวินเสมอ
อนาคต "ขนส่งเครือข่าย"
"ประตูรถไฟขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดก็ต้องมั่นใจว่ามันแน่นสนิท ไม่ใช่วิ่งไปแล้วประตูเปิดผัวะออกมา" ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการและมวลชนสัมพันธ์ฯ ให้คำชี้แจงถึง "ที่มา" ของเสียงปิดประตูดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากบีทีเอส และเอ็มอาร์ทีที่ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วแบบแอร์พอร์ตลิงก์ ความปลอดภัยของผู้โดยสารจึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เช่นเดียวกับระบบ "ความผิดปกติ" ของรางที่เกิดจาก "สลับวงจรไฟฟ้า" บริเวณ "นิวตรอนโซน" ซึ่งจะอยู่ช่วงกลางขบวน และจะเกิดเฉพาะช่วงขบวนรถเคลื่อนออกจากสถานีหัวหมากเท่านั้น โดยพื้นที่ดังกล่าวได้มีการติดป้ายชี้แจงเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องการปรับปรุงพื้นที่อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมตอนนี้ เขายืนยันว่า กำลังอยู่ระหว่างการประสานงานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้างลานจอดรถที่กำลังทยอยทำ รถโดยสารประจำทางที่เริ่มมีบางสายวิ่งเข้าสถานีแล้วอย่าง สาย 76 ผ่านสถานีมักกะสัน สาย 145 ผ่านสถานีหัวหมาก และสาย 26 ผ่านสถานีลาดกระบัง
ขณะที่เรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารในเวลากลางคืน ทางสถานีก็ได้เพิ่มพนักงานเพื่อดูแลความปลอดภัยภายในบริเวณสถานี แต่ถ้าเป็นพื้นที่รอบนอก วัชรชาญยอมรับว่าอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะอยู่นอกเขตความรับผิดชอบของรถไฟแล้ว เช่น สถานีหัวหมากที่มีปัญหาเรื่องการโจรกรรมสายไฟก็กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้งใหม่ อย่างพื้นที่บ้านทับช้างบริเวณรอบนอกจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตสะพานสูง และเขตประเวศ ซึ่งกำลังประสานขอความร่วมมือไปยังเขตในเรื่องการปรับพื้นที่อยู่ เป็นต้น
ส่วนเรื่องระบบตั๋วโดยสาร เขาอธิบายว่า ตอนนี้ระบบทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบสมาร์ทการ์ด หรือเหรียญโดยสาร เหลือแต่เพียงรอการตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการทางบัญชีให้เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้เรื่องผ่านไปถึง คณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเพียงรอผ่านอนุมัติก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันที
ถึงแม้จะมีเรื่องให้ "ขัดใจ" เช่น เวลาบริการเสาร์-อาทิตย์ รถไฟจะดีเลย์กว่าวันธรรมดา หรือปัญหาป้ายบอกรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชานชาลา บันไดขึ้นลง เส้นทาง และแผนที่ภายในสถานีที่เป็นจุดสังเกตได้ง่าย ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงใหม่ก็ตาม แต่โดยภาพรวม ในความรู้สึกของผู้โดยสารก็ยัง "โอเค" และ "ยอมรับได้" กับเดือนแรกของการเปิดขบวน
"ร้อยผมให้แปดสิบห้า" หนุ่มออฟฟิศอย่างพิทยะพันธ์ประเมิน ส่วนขวัญนรีมองการจัดการเหลือแค่ 40 เต็ม 100 แต่ความคุ้มค่าเธอก็ยังเทให้ 70 คะแนน ทั้งคู่ยังมองถึงปัญหาของสถานีมักกะสันที่คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเช็คอิน และโหลดกระเป๋าได้ในต้นปี 2554 จะได้ฟังเสียงบ่นของคนเดินทางในเรื่องยกกระเป๋าขึ้นยกกระเป๋าลงอีกเยอะ
"มีเรื่องกระเป๋าตกหล่นด้วยไม่ต้องห่วงเลย" บางความเห็นฟันธง
ที่สุดแล้ว ความฝันถึงระบบการขนส่งมวลชนแบบเครือข่ายในความรู้สึกของใครหลายๆ คนก็ยังมีโอกาสกลายเป็นความจริงได้ในอนาคต เมื่อระบบทุกอย่างลงตัว
"ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า มันมีประโยชน์ค่อนข้างมาก จากการเดินทางได้ต่อเนื่อง จากรถไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ต่อไปรถไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่ง อนาคตประเทศไทยเวลาออกแบบก่อสร้างอะไรคงต้องคิดถึงการเชื่อมต่ออย่างนี้ด้วย บางครั้งการออกแบบก็ทำไม่รอบครอบ และครอบคลุม อีกทั้งทางกระทรวงก็มีนโยบายการใช้ตั๋วร่วม ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และจัดตั้งหน่วยงานที่จะดูแล พร้อมทำงานได้ทันที" วัชรชาญมองความเป็นไปได้
หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในอนาคตอันใกล้เราจะสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รอบด้าน ในราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก
เหมือนกับความหวังของมโนศิลป์ที่อยากจะสามารถขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์ในราคาที่นักศึกษาอย่างเขาพอจะจ่ายไหว
"ผมเสนอที่สาบสิบบาทครับ รับได้" รอยยิ้มทะเล้นส่งมาพร้อมคำตอบ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปีก่อน คนกรุงเทพฯ (และคนทั่วประเทศไทย) ได้ทำความรู้จักกับ รถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS Skytrain) ทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาจราจรของเมืองหลวง ขณะที่ 5 ปีต่อมา รถไฟใต้ดิน หรือ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT Blue Line) ก็เริ่มเป็นอีกชื่อที่คุ้นหู
และเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2553 กรุงเทพมหานครได้คลอด รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (Bus Rapid Transit หรือ BRT) โดยหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหา "รถติด" ให้คลายตัวอีกระดับ แต่เสียงตอบรับยังไม่ดีพอ เพื่อนร่วมถนนยังไม่เคารพในกติกา วิ่งเข้าเบียดในช่องทางพิเศษจนเกิดปัญหา ล่าสุดถึงแม้จะหั่นราคา จูงใจให้คนใช้บริการ สถานการณ์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้น จนเริ่มมีกระแสว่า อาจต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน พับโครงการก่อนกำหนด
วันนี้ โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ แอร์พอร์ตเรลลิงก์ หรือ แอร์พอร์ตลิงก์ (Airport rail link) ได้กลายมาเป็นอีก "ตัวช่วย" น้องใหม่ สำหรับ "คนชานเมือง" ในการเดินทางสู่ใจกลาง "มหานคร"
1 เดือนหลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ หลากหลายสุ้มเสียงทั้ง "ดอกไม้" และ "ก้อนอิฐ" จากผู้ใช้บริการก็ปลิวว่อนจากทั่วทุกสารทิศ
"ราง" เปลี่ยน "ชีวิต"
ดูเหมือนการย่นระยะเวลาการเดินทางของ "ม้าเร็ว" สายสุวรรณภูมิ ถือเป็นแต้มต่อสำคัญในความรู้สึกของ พิทยะพันธ์ ศรีแววเนตร หนุ่มลาดกระบังที่ต้องข้ามฟากมาทำงานในออฟฟิศย่านราชประสงค์อยู่พอสมควร
เป็นประจำ เขาต้องเดินทางออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้าโบกแท็กซี่มาลงตรงสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช ก่อนต่อบีทีเอสเข้าเมืองมาทำงาน ที่ต้องออกเช้าขนาดนี้ก็เพื่อเลี่ยงช่วงการจราจรติดขัด หรือถ้าออกสายกว่านั้นก็ต้องใช้ถนนอีกเส้นเพื่ออ้อมมายังปากซอยสุขุมวิท 55 ต่อรถไฟฟ้า แน่นอน นอกจากระยะทางที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ค่าใช้จ่ายก็ยังคูณสองด้วยเหมือนกัน
"รถไฟเปิดวิ่งเรายิ้มเลย เพราะบ้านอยู่ห่างจากสถานีลาดกระบังแค่ 5 นาที ห่างจากสถานีสุวรรณภูมิแค่ 10 นาที ขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์ไปต่อบีทีเอสถึงออฟฟิศได้ภายใน 40-45 นาที เป็นเวลาที่ตัวเราสามารถควบคุมได้สบายๆ"
ไม่ต่างกับ สุวรรณ บุญเลิศวัฒนา แม่ค้าผลไม้สดที่ยึดหัวหาดหลังตึกสาทรซิตี้เป็นที่ทำกิน ทุกวันเธอต้องออกจากบ้านภายในหมู่บ้านนักกีฬาตั้งแต่ตี 1 มารับของตรงปากคลองตลาด เพื่อนำไปตั้งร้านให้เสร็จก่อนฟ้าเปิด ตกบ่าย 2 จึงเริ่มเก็บร้าน แล้วถึงนั่งรถประจำทางสาย 22 ไปต่อรถบริเวณแยกลำสาลี หรือไม่ก็นั่งรถเมล์สาย 62 และต่อสาย 93 เข้าบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง
แต่หลังจากทำความรู้จักกับแอร์พอร์ตลิงก์ เธอก็ได้เวลา 2 ชั่วโมงที่เคยเสียไปทุกวันกลับคืนมา
"ทุกวันนี้ นั่งบีทีเอสจากช่องนนทรีไปต่อรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไทไปลงสถานีบ้านทับช้าง เบ็ดเสร็จ 40 นาที ก็ถึงบ้านแล้ว มีเวลาเถลไถลเพิ่มขึ้นอีกหน่อย (หัวเราะ)"
หรือถ้าเปรียบเทียบในความรู้สึกของเด็กรุ่นใหม่อย่าง ปนัดดา มนตรี และ มโนศิลป์ สุนทรส นักศึกษาจากรั้วลาดกระบัง รถไฟสายนี้คือเครื่องอำนวยความสะดวกราคาถูกอย่างไม่ต้องสงสัย
"ปกติต้องเข้าไปทำธุระในเมืองทุกอาทิตย์อยู่แล้ว และเข้าเมืองแต่ละครั้งถ้าไม่นั่งรถตู้ เสีย 35 บาท นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงอนุสาวรีย์ (ชัยสมรภูมิ) หรือไม่ก็ขึ้นรถไฟที่สถานีลาดกระบังถึงราคาถูก แต่ก็เสียเวลารอนานหน่อย พอมีแอร์พอร์ตลิงก์ก็รู้สึกดีนะคะ เพราะเสียเงินแค่ 15 บาท ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ไปเดินเล่นอยู่แถวสยามได้แล้ว" ปนัดดาออกความเห็น
นอกจากคำบอกเล่าจากปากของผู้ใช้บริการที่ยอมรับในประสิทธิภาพ วัชรชาญ สิริสุวรรณทัศน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการและมวลชนสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังกางตัวเลขยืนยันถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชัดเจน
"ตั้งแต่แอร์พอร์ตลิงก์เปิดให้บริการ ปริมาณผู้โดยสารก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รถไฟสายซิตี้ไลน์เปิดวิ่งอยู่บนราง 4 ขบวนเว้นระยะทุก 15 นาที โดยยอดผู้โดยสารเฉลี่ยตั้งแต่วันจันทร์ถึงพฤหัสจะอยู่ราว 33,000 คนต่อวัน ขณะที่วันศุกร์จะเพิ่มปริมาณเป็น 36,000 คน มีช่วงพีคอยู่ที่ 7 โมงถึง 9 โมงเช้า ส่วนตอนเย็นก็ตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม ซึ่งช่วงนี้เราจะปล่อยรถเสริม 1 ขบวนเพื่อช่วยผ่องถ่ายผู้โดยสาร โดยเวลาจะลดลงเหลือเพียง 7-8 นาทีต่อขบวน ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ยอดจะตกลงมาอยู่ราว 27,000 คน สำหรับขบวนรถด่วนจะมียอดผู้ใช้บริการอยู่ที่ 600-700 คน และยอดวันหยุดจะเพิ่มเป็น 800-900 คน"
"กองอิฐ" บนตู้โดยสาร
ยอดผู้โดยสารกับการเปิดให้บริการเดือนแรกถือว่าใกล้เคียงกับเป้าที่กระทรวงคมนาคมวางไว้วันละ 50,000 คน ยิ่งเมื่อเทียบเคียงคำบอกเล่า และตัวเลขที่ทางรถไฟหยิบขึ้นมาให้โชว์ ก็ยิ่งการันตีถึงแนวโน้มที่น่าจะ "สดใส" ของรถไฟขบวนนี้ได้เป็นอย่างดี
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการวางแผนงานมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วในการสำรวจเส้นทางที่อยู่ในเขตของการรถไฟ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการเวนคืนที่ดินลงไป โดยพิจารณาถึงจุดเชื่อมระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ อย่าง บีทีเอสพญาไท และรถไฟใต้ดินเพชรบุรี เป็นต้น อีกทั้งความพยายามในการยึดทำเลใกล้เคียงกับสถานีรถไฟสายตะวันออกที่มีอยู่เดิมให้ได้มากที่สุด ซึ่งผลที่ออกมาก็ค่อนข้างตอบสนองความต้องการผู้โดยสารได้ตรงประเด็น
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี "ข้อติติง" จากผู้ใช้บริการเลย ในฐานะ "น้องใหม่" แอร์พอร์ตลิงก์จึงถูกเปรียบมวยกับ "รุ่นพี่" อย่าง บีทีเอส และเอ็มอาร์ที ไปโดยปริยาย
"ห่วยแตก!!!" เสียงสบถดังสวนเสียงประตู(ที่ดังกว่า)ขึ้นมาทันที บางครั้งไม่ถึงกับออกเสียงบ่น แต่ความระคนสงสัยกับ "ระดับเสียง" ประตูที่เกินพอดียังปรากฏบนสีหน้าของคนเดินทางอยู่เรื่อยๆ ไม่นับรูปทรงที่นั่งแปลกๆ หรือห่วงจับอันดูเหมือนจะไม่พอสำหรับชั่วโมงเร่งด่วน แม้แต่เสียงกระตุกคล้ายๆ ระบบรางขัดข้องบางช่วงที่ขบวนรถออกจากสถานี ก็สร้างความไม่แน่ใจในความปลอดภัยได้เหมือนกัน
"คนใช้เพิ่มขึ้นจนเราขึ้นรถไฟไม่ได้" เสียงยืนยันชัดเจนของ ขวัญนรี ศรีโสภา ประชาสัมพันธ์สาวจาก บจก.ไซเพรสเอ็นเตอร์ไพรส ที่เลือกความสะดวกบนรางแทนการฝ่าควันบนถนน ถึง "จุดบอด" ที่เกิดขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน ตลอดสัปดาห์เต็มๆ เธอไปทำงานสายทุกวัน หากขึ้นรถไฟไม่ทันเที่ยว 7.30 น.
"จริงๆ มันสะดวกนะ ที่พักเราอยู่ตรงแยกคลองตัน เดินมาที่สถานีไม่เกิน 10 นาที ต่อรถไฟฟ้าไปลงที่ทำงานได้ภายในครึ่งชั่วโมง แต่พอถึงช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คนจะเยอะมากๆ ระยะเวลาการรอรถไฟก็ยัง 15 นาทีเท่าเดิม ซึ่งมันไม่พออยู่แล้ว แล้วภายในรถไฟก็เบียดกันมาก เหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นที่ต้องเบียดในรถไฟมาทำงานกันอย่างนั้นเลย แล้วขนาดของตู้โดยสารที่มีแค่ 3 ขบวนก็ค่อนข้างเล็กจุคนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ช่องระหว่างรถไฟกับชานชาลาก็กว้างเกินไป เคยมีคนเดินชนกันแล้วรองเท้าร่วงลงไปข้างล่างเลย แล้วถ้าเป็นขาเด็กตกลงไปล่ะ คิดดู" เธอระบาย
ความอึดอัดบนสถานีที่เธอรู้สึก ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ พิทยะพันธ์ มองเห็น เขารู้สึกว่า นอกจากการ "จัดระเบียบ" ผู้คนบนชานชลาแล้ว สิ่งที่ต้องแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุดก็คือเรื่องของ "ตั๋วโดยสาร" ที่น่าจะมีตั๋วสัปดาห์ หรือตั๋วเดือนออกมาสำหรับคนที่เดินทางประจำเสียที
กระทั่งการ "คิดไม่ถึง" ของการออกแบบจากมุมมองของผู้ให้บริการอย่าง วัชรชาญ เองก็ถือว่าเป็นเรื่อง "ต้องแก้ไข"
"ในบางสถานีเราก็ยอมรับว่าในตอนก่อสร้าง ที่ปรึกษาเขาไม่ได้ออกแบบสำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้า-ออกของสถานี ที่จอดรถ หรือรถโดยสาร เห็นได้ชัดที่สถานีพญาไทปัญหาเรื่องลิฟท์ที่ออกแบบไว้สำหรับผู้โดยสารพิการ ผู้โดยสารสูงอายุ แต่ปรากฏว่า ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากสนามบินก็มาพร้อมกระเป๋าด้วย"
นอกจากนั้น ความปลอดภัยในบริเวณสถานีช่วงกลางคืนก็กลายเป็นโจทย์อีกข้อที่ไม่อาจมองข้าม เพราะบรรดามอเตอร์ไซค์วินที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารตรงสถานีบ้านทับช้าง ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า หลัง 3 ทุ่มเป็นต้นไป รัศมี 2 กิโลเมตรรอบสถานีจะค่อนข้างเปลี่ยว และน่ากลัวมาก
"น่ากลัวขนาดนี้ มิน่าถึงไม่ค่อยมีสาวออฟฟิศมาซ้อนเลยครับ (ยิ้ม)" เสียงอำติดตลกทำนองนี้มักดังในวินเสมอ
อนาคต "ขนส่งเครือข่าย"
"ประตูรถไฟขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดก็ต้องมั่นใจว่ามันแน่นสนิท ไม่ใช่วิ่งไปแล้วประตูเปิดผัวะออกมา" ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการและมวลชนสัมพันธ์ฯ ให้คำชี้แจงถึง "ที่มา" ของเสียงปิดประตูดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากบีทีเอส และเอ็มอาร์ทีที่ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วแบบแอร์พอร์ตลิงก์ ความปลอดภัยของผู้โดยสารจึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เช่นเดียวกับระบบ "ความผิดปกติ" ของรางที่เกิดจาก "สลับวงจรไฟฟ้า" บริเวณ "นิวตรอนโซน" ซึ่งจะอยู่ช่วงกลางขบวน และจะเกิดเฉพาะช่วงขบวนรถเคลื่อนออกจากสถานีหัวหมากเท่านั้น โดยพื้นที่ดังกล่าวได้มีการติดป้ายชี้แจงเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องการปรับปรุงพื้นที่อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมตอนนี้ เขายืนยันว่า กำลังอยู่ระหว่างการประสานงานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้างลานจอดรถที่กำลังทยอยทำ รถโดยสารประจำทางที่เริ่มมีบางสายวิ่งเข้าสถานีแล้วอย่าง สาย 76 ผ่านสถานีมักกะสัน สาย 145 ผ่านสถานีหัวหมาก และสาย 26 ผ่านสถานีลาดกระบัง
ขณะที่เรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารในเวลากลางคืน ทางสถานีก็ได้เพิ่มพนักงานเพื่อดูแลความปลอดภัยภายในบริเวณสถานี แต่ถ้าเป็นพื้นที่รอบนอก วัชรชาญยอมรับว่าอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะอยู่นอกเขตความรับผิดชอบของรถไฟแล้ว เช่น สถานีหัวหมากที่มีปัญหาเรื่องการโจรกรรมสายไฟก็กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้งใหม่ อย่างพื้นที่บ้านทับช้างบริเวณรอบนอกจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตสะพานสูง และเขตประเวศ ซึ่งกำลังประสานขอความร่วมมือไปยังเขตในเรื่องการปรับพื้นที่อยู่ เป็นต้น
ส่วนเรื่องระบบตั๋วโดยสาร เขาอธิบายว่า ตอนนี้ระบบทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบสมาร์ทการ์ด หรือเหรียญโดยสาร เหลือแต่เพียงรอการตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการทางบัญชีให้เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้เรื่องผ่านไปถึง คณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเพียงรอผ่านอนุมัติก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันที
ถึงแม้จะมีเรื่องให้ "ขัดใจ" เช่น เวลาบริการเสาร์-อาทิตย์ รถไฟจะดีเลย์กว่าวันธรรมดา หรือปัญหาป้ายบอกรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชานชาลา บันไดขึ้นลง เส้นทาง และแผนที่ภายในสถานีที่เป็นจุดสังเกตได้ง่าย ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงใหม่ก็ตาม แต่โดยภาพรวม ในความรู้สึกของผู้โดยสารก็ยัง "โอเค" และ "ยอมรับได้" กับเดือนแรกของการเปิดขบวน
"ร้อยผมให้แปดสิบห้า" หนุ่มออฟฟิศอย่างพิทยะพันธ์ประเมิน ส่วนขวัญนรีมองการจัดการเหลือแค่ 40 เต็ม 100 แต่ความคุ้มค่าเธอก็ยังเทให้ 70 คะแนน ทั้งคู่ยังมองถึงปัญหาของสถานีมักกะสันที่คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเช็คอิน และโหลดกระเป๋าได้ในต้นปี 2554 จะได้ฟังเสียงบ่นของคนเดินทางในเรื่องยกกระเป๋าขึ้นยกกระเป๋าลงอีกเยอะ
"มีเรื่องกระเป๋าตกหล่นด้วยไม่ต้องห่วงเลย" บางความเห็นฟันธง
ที่สุดแล้ว ความฝันถึงระบบการขนส่งมวลชนแบบเครือข่ายในความรู้สึกของใครหลายๆ คนก็ยังมีโอกาสกลายเป็นความจริงได้ในอนาคต เมื่อระบบทุกอย่างลงตัว
"ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า มันมีประโยชน์ค่อนข้างมาก จากการเดินทางได้ต่อเนื่อง จากรถไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ต่อไปรถไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่ง อนาคตประเทศไทยเวลาออกแบบก่อสร้างอะไรคงต้องคิดถึงการเชื่อมต่ออย่างนี้ด้วย บางครั้งการออกแบบก็ทำไม่รอบครอบ และครอบคลุม อีกทั้งทางกระทรวงก็มีนโยบายการใช้ตั๋วร่วม ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และจัดตั้งหน่วยงานที่จะดูแล พร้อมทำงานได้ทันที" วัชรชาญมองความเป็นไปได้
หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในอนาคตอันใกล้เราจะสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รอบด้าน ในราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก
เหมือนกับความหวังของมโนศิลป์ที่อยากจะสามารถขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์ในราคาที่นักศึกษาอย่างเขาพอจะจ่ายไหว
"ผมเสนอที่สาบสิบบาทครับ รับได้" รอยยิ้มทะเล้นส่งมาพร้อมคำตอบ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวิร์กช็อป ดักจับโกง!
“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับนี้ ถอดรหัสจากวงสัมมนา “รวมพลังเครือข่ายประชาชนป้องกัน การทุจริตคอร์รัปชั่น” ผ่านมุมมองของ “ประสาท พงษ์ศิวาภัย” คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งอรรถาธิบายถึงความสลักสำคัญในบริบทการดักจับโกง โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนไว้ได้น่าสนใจยิ่ง
>> ปราบคอร์รัปชั่นภารกิจ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ”
“ผมเติบโตจากการเป็นปลัดอำเภอ ปลัดอำเภอโท ปลัดอำเภอเอก 8 ปี และมาเป็นนายอำเภอ 13 ปี รวมทั้งหมดอยู่อำเภอมา 21 ปี เป็นปลัดจังหวัด และมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จนได้มาเป็น รองอธิบดี กรมการปกครอง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รวมแล้วประมาณ 3 ปี นอกนั้น อยู่บ้านนอกตลอด สุดท้ายหลังจากที่เป็นผู้ว่าฯ นครปฐม ก็ได้เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ต้องทนทุกข์ทรมาน 9 ปี ตอนนี้ผ่านไป 4 ปีแล้ว เหลืออีก 5 ปี ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่า”
“แล้วก็ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย ท่านประธาน ป.ป.ช. กรุณาแบ่งงานให้ โดยดูจากภูมิหลังเห็นว่ากระผมมาสำนักงานปลัดกระทรวงกรมการพัฒนาชุมชน รวมๆ แล้วทั้งหมดที่ร้องเรียนมาจากกระทรวงมหาดไทยรวมทั้ง อปท. ในทุกเขตการปกครองไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือพัทยา เทศบาล อบต. ต้องผ่านผมทั้งสิ้น คือผมต้องเป็นคนกลั่นกรองหรือประธานอนุกรรมการการไต่สวน ซึ่งไม่รู้ โชคดีหรือโชคร้ายเพราะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่กันทั้งนั้นผมเติบโตมาจากตรงนั้นแล้วมาให้ผมนั่งชี้มูล คอยตรวจสอบพี่ๆ น้องๆ ยอมรับว่าเซ็งจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ในอีกมุมมองท่านประธานท่านมองว่า เราโตมาจากกระทรวงมหาดไทย เพราะฉะนั้น รู้ทันมันก็ทำให้เรารู้ทันและทำงานได้รวดเร็ว มีการประสานงานกันได้ดี การทำงานเราก็เข้าใจกฎหมายระเบียบมันก็ดีไปอีกอย่าง แต่อย่างว่ามันก็เหมือน หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ก็หมายความ ว่า เวลาเจอเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทยหรือ อปท. ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นมันหนีกันไม่พ้น”
>> จับโกงประชาชนต้องมาก่อน
“ผมเองกับประชาชนทำงานสนิทสนม ใกล้ชิด ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชน คือสิ่งที่จะ ทำให้ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการต่อต้าน การทุจริตทั้งเรื่องยาเสพติด ความยากจน อะไรก็แล้วแต่ผมกล้ารับประกันด้วยชีวิตข้าราชการของผมว่า ถ้าไม่มีประชาชนเข้า มาช่วยเหลือ เกี่ยวข้องประสานงาน ชี้เบาะแสเป็นพยานงานจะไม่มีทางสำเร็จหรือ สำเร็จก็ไม่ได้สำเร็จด้วยดี ซึ่งมันเป็นความ จริงทั้งสิ้นเราเกิดร้อยเอ็ด เป็นเขยร้อยเอ็ด ทำงานอยู่ร้อยเอ็ดจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าใคร ค้ายาในร้อยเอ็ด ใครเป็นคนยากจนตัวจริง หรือตัวปลอม หรือใครยากจน ใครทุจริต ใครคอร์รัปชั่น เรารู้หมดจริง”
“มันรู้หมดแหละครับแทบจะจำต้นไม้ ทุกต้นได้เพราะเราเกิดที่นั่น แผ่นดินแม่ของ เราคือแผ่นดินนั้นพวกข้าราชการ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ป่าไม้ ที่ดิน สรรพากรเดี๋ยวมา เดี๋ยวก็ไปอย่างผู้ว่าไปอยู่ไม่เกิน 4 ปี เต็มที่ ก็ 5 ปีก็ต้องไป ไม่ได้มาอยู่นานแต่ประชาชนอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นั่นท่านย้ายหนีไม่ได้เพราะมันเป็นแผ่นดินแม่แผ่นดินเกิด เกิดที่นั่นตายที่นั่นหนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะฉะนั้น ท่านต้องทำให้แผ่นดินแม่แผ่นดินที่อาศัยอยู่นั้น ใสสะอาดปราศจาก ความทุจริตให้จงได้”
>> บ้านเมืองสะอาดด้วยผ้าขี้ริ้ว
“ผมจะพูดเรื่องคุณพ่อผมตอนที่ผม จะไปเป็นปลัดอำเภอที่จังหวัดกาฬสินธุ์ อ.ท่าตะโก คุณพ่อผมท่านเป็นคนต่างจังหวัด จบ ป.4 เท่านั้นเอง แต่ท่านเป็นคนใฝ่รู้ทั้งวิทยุ ทีวี ท่านติดตามตลอดแกรู้หมดเรื่อง การเมือง ผมจบกฎหมายธรรมศาสตร์กลับไปบ้าน ไปเจอหนังสือกฎหมายอาญา ก็แปลกใจว่าใครซื้อมา คุณพ่อผมท่านว่าท่านซื้อมาเองแหละเอามาอ่านเป็นความรู้ คนจบแค่ป.4 แต่ซื้อกฎหมายอาญามาอ่าน ธรรมดาไหมครับ ...ไม่ธรรมดา!”
“วันนั้นท่านเรียกผมมาคุยท่านกล่าว ว่า ประสาท แกจะไปเป็นปลัดอำเภอใช่ไหม พ่อจะสอนให้ แกไปเป็นปลัดอำเภอต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไปถึงให้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับบรรดาคนในพื้นที่ เจ้าอาวาส กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขาแก่กว่าเราก็เรียกเขา น้า อา ทำตัวให้น่ารักให้เขาเมตตาไปให้รู้จักพื้นที่ รู้จักบุคคล ท่านสอนผมเหมือนนักปกครองสอนทั้งที่ผมจบนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ กำลังจะไปเป็นปลัดอำเภอ สุดท้ายท่านพูดมาอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจำได้มาจนบัดนี้ เพราะเอาไปปรับใช้ท่านบอกว่า เอ็งจะไปเป็นปลัดอำเภอ เอ็งอย่าดูถูก ผ้าขี้ริ้วนะ ผ้าขี้ริ้วเป็นแค่ผ้าเก่าๆ ผ้าที่เรา ไม่ใช้แล้ว แถมยังน่ารังเกียจเป็นของต่ำ แต่ผ้าขี้ริ้วใช่ไหมที่ทำให้โรงพัก ที่ว่าการอำเภอ สถานีอนามัยมันสะอาด เท่านี้แหละ เอ็งไปเป็นปลัดอำเภอได้”
“ผมจึงสำนึกได้ว่า สิ่งที่พ่อสอนคือ ปรัชญา ซึ่งหมายความว่า ให้เรานึกถึงบุญคุณ ประโยชน์ของผ้าขี้ริ้ว ไม่มีใครหรอกครับ ที่จะเอาผ้าใหม่ๆ ผ้าสะอาดๆ ผ้าดีๆ มาทำ ผ้าขี้ริ้วเช็ดสิ่งสกปรกสิ่งโสโครก เราต้องเอาผ้าเก่าๆ ที่ไม่ใช้มาเช็ดถูสิ่งเหล่านี้ ตรงนี้แหละครับที่ผมนำมาใช้กับการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอ จนเจริญขึ้นมาเราต้องให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับเสมียน หรือเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกน้องของเราเสมอ และต้องนึกไว้เสมอว่าทุกตำแหน่ง ทุกฝ่ายเขามีดีแต่มีดีกันไปคนละอย่าง คนละแบบ อย่าว่าแต่ข้าราชการ ตาสีตาสา ยังมีประโยชน์ อย่างเอาผมที่จบกฎหมาย ไปตีความไปร่างหนังสือ ผมเชื่อว่าชาวนาสู้ผมไม่ได้ แต่ถ้าเอาผมไป แข่งกับชาวนาหว่านข้าวดำนาผมก็สู้ชาวนา ไม่ได้ เพราะเก่งคนละอย่างเหมือนเอาม้ามาวิ่งแข่งกับวัว ม้าก็ต้องชนะ แต่ถ้าเอาวัวมาขวิดกับม้า วัวก็ต้องชนะ”
>> ประชาชนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
“ตรงนี้แหละครับที่ผมจะเรียนว่า ผม เป็นหนี้บุญคุณประชาชน ผมโตมาวันนี้ผ่าน การเป็นผู้ว่าฯ มาหลายจังหวัดจนถึงมาเป็น กรรมการ ป.ป.ช. 4 ปี ผมยังเป็นหนี้บุญคุณ ประชาชน เพราะผมได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจากประชาชน ไม่ว่าไปอยู่อำเภอไหน จังหวัดไหน สิบนิ้วพนมเข้าไปคุณป้า คุณน้า คุณอา คุณยาย รับรองอยู่ ผมหมด ครั้งหนึ่งผมไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ที่พิจิตร มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา ตอนตี 3 มีคนโทร.มาให้เบาะแสการขนถ่าย ยาเสพติด ผมก็ถามเขาไปว่าทำไมไม่โทร. ไปแจ้งตำรวจ เขาตอบกลับมาว่าไม่เอาหรอก แจ้งผู้ว่าฯ นี่แหละ แล้วก็วางหูไปเลย ผมก็คิดอยู่ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จกันแน่ จนแล้วจนรอดผมได้ประสานงานไปกับฝ่ายตำรวจถึงเรื่องราวดังกล่าว ไม่น่าเชื่อ ว่ายาเสพติดล็อตนั้นมีจำนวนเป็นแสนเม็ด งานนั้นผมได้รับโล่จากการปราบปราม ยาเสพติดดีเด่น จากท่านนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น”
“สังเกตได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความ สำเร็จ ล้วนมาจากประชาชนทั้งสิ้น นิ้วโป้ง นิ้วเดียวไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีนิ้วอื่น คอยช่วยหลักการทำงานของนักปกครองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น ในวันนี้ ป.ป.ช. ตระหนักดีว่าเราจะไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์หากไม่มีการประสานกับหน่วยงานอื่น และได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ เนื่องจาก หน่วยงานของ ป.ป.ช. โดยหลักใหญ่อยู่ใน กรุงเทพฯ การสืบเสาะหาข้อมูล การทุจริต คอร์รัปชั่นต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก ต่างจาก พวกที่อยู่ในพื้นที่ เราจึงจำเป็นต้องอาศัย หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยการรับรองจาก ป.ป.ช. อย่างเครือข่ายประชาชนป้องกัน การทุจริต ฉะนั้นหลักใหญ่สามประการที่ผมอยากจะมอบให้คือ 1.ทำให้เขารู้จัก ป.ป.ช. 2.ทำให้เขาเชื่อใจ ป.ป.ช. 3.ทำให้เขาใช้ ป.ป.ช. นั่นคือหน้าที่สำคัญของท่าน”
>> เปิดโมเดล ป.ป.ช.จังหวัด
“สำหรับเรื่องของ ป.ป.ช.จังหวัด เรื่องนี้มีผู้สอบถามกันมาเยอะมาก ต้องเรียนให้ทราบว่า น่าจะทราบผลกันในเร็ววันนี้ เพราะเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอน การพิจารณาของสภาซึ่งใกล้จะเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องเรียนให้ทราบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นมากเพราะอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าองค์กร ป.ป.ช..มีหน่วยงานหลักอยู่ ในกรุงเทพฯ การจะทราบข้อมูลโดยละเอียด ของคดีต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก ซึ่งต่างจาก คนในพื้นที่จะทราบรายละเอียดได้ดีกว่า สำหรับคุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย และต้องมีความรู้ แต่ที่สำคัญเมื่อคุณจะเป็น ป.ป.ช.จังหวัดแล้วจะทำอาชีพอื่นไม่ได้ เพราะจะส่งผลในภายหลัง หากมีข้อกล่าวหาในเรื่องของส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับค่าตอบแทน กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา เพราะภายใน 4 ปีนี้ ป.ป.ช.จังหวัดจะทำอาชีพอื่นไม่ได้ เรื่องค่าตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และก็ต้องให้สมน้ำสมเนื้อกับ การทำงาน”
ปราบโกงโดยอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชน นั่นคือการเชือดทุจริต ที่ยั่งยืน จากมุมมอง “ประสาท พงษ์ศิวาภัย” คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้เชี่ยวชาญในการดักจับคอร์รัปชั่นในแวดวงนักปกครอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************************
>> ปราบคอร์รัปชั่นภารกิจ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ”
“ผมเติบโตจากการเป็นปลัดอำเภอ ปลัดอำเภอโท ปลัดอำเภอเอก 8 ปี และมาเป็นนายอำเภอ 13 ปี รวมทั้งหมดอยู่อำเภอมา 21 ปี เป็นปลัดจังหวัด และมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จนได้มาเป็น รองอธิบดี กรมการปกครอง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รวมแล้วประมาณ 3 ปี นอกนั้น อยู่บ้านนอกตลอด สุดท้ายหลังจากที่เป็นผู้ว่าฯ นครปฐม ก็ได้เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ต้องทนทุกข์ทรมาน 9 ปี ตอนนี้ผ่านไป 4 ปีแล้ว เหลืออีก 5 ปี ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่า”
“แล้วก็ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย ท่านประธาน ป.ป.ช. กรุณาแบ่งงานให้ โดยดูจากภูมิหลังเห็นว่ากระผมมาสำนักงานปลัดกระทรวงกรมการพัฒนาชุมชน รวมๆ แล้วทั้งหมดที่ร้องเรียนมาจากกระทรวงมหาดไทยรวมทั้ง อปท. ในทุกเขตการปกครองไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือพัทยา เทศบาล อบต. ต้องผ่านผมทั้งสิ้น คือผมต้องเป็นคนกลั่นกรองหรือประธานอนุกรรมการการไต่สวน ซึ่งไม่รู้ โชคดีหรือโชคร้ายเพราะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่กันทั้งนั้นผมเติบโตมาจากตรงนั้นแล้วมาให้ผมนั่งชี้มูล คอยตรวจสอบพี่ๆ น้องๆ ยอมรับว่าเซ็งจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ในอีกมุมมองท่านประธานท่านมองว่า เราโตมาจากกระทรวงมหาดไทย เพราะฉะนั้น รู้ทันมันก็ทำให้เรารู้ทันและทำงานได้รวดเร็ว มีการประสานงานกันได้ดี การทำงานเราก็เข้าใจกฎหมายระเบียบมันก็ดีไปอีกอย่าง แต่อย่างว่ามันก็เหมือน หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ก็หมายความ ว่า เวลาเจอเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทยหรือ อปท. ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นมันหนีกันไม่พ้น”
>> จับโกงประชาชนต้องมาก่อน
“ผมเองกับประชาชนทำงานสนิทสนม ใกล้ชิด ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชน คือสิ่งที่จะ ทำให้ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการต่อต้าน การทุจริตทั้งเรื่องยาเสพติด ความยากจน อะไรก็แล้วแต่ผมกล้ารับประกันด้วยชีวิตข้าราชการของผมว่า ถ้าไม่มีประชาชนเข้า มาช่วยเหลือ เกี่ยวข้องประสานงาน ชี้เบาะแสเป็นพยานงานจะไม่มีทางสำเร็จหรือ สำเร็จก็ไม่ได้สำเร็จด้วยดี ซึ่งมันเป็นความ จริงทั้งสิ้นเราเกิดร้อยเอ็ด เป็นเขยร้อยเอ็ด ทำงานอยู่ร้อยเอ็ดจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าใคร ค้ายาในร้อยเอ็ด ใครเป็นคนยากจนตัวจริง หรือตัวปลอม หรือใครยากจน ใครทุจริต ใครคอร์รัปชั่น เรารู้หมดจริง”
“มันรู้หมดแหละครับแทบจะจำต้นไม้ ทุกต้นได้เพราะเราเกิดที่นั่น แผ่นดินแม่ของ เราคือแผ่นดินนั้นพวกข้าราชการ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ป่าไม้ ที่ดิน สรรพากรเดี๋ยวมา เดี๋ยวก็ไปอย่างผู้ว่าไปอยู่ไม่เกิน 4 ปี เต็มที่ ก็ 5 ปีก็ต้องไป ไม่ได้มาอยู่นานแต่ประชาชนอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นั่นท่านย้ายหนีไม่ได้เพราะมันเป็นแผ่นดินแม่แผ่นดินเกิด เกิดที่นั่นตายที่นั่นหนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะฉะนั้น ท่านต้องทำให้แผ่นดินแม่แผ่นดินที่อาศัยอยู่นั้น ใสสะอาดปราศจาก ความทุจริตให้จงได้”
>> บ้านเมืองสะอาดด้วยผ้าขี้ริ้ว
“ผมจะพูดเรื่องคุณพ่อผมตอนที่ผม จะไปเป็นปลัดอำเภอที่จังหวัดกาฬสินธุ์ อ.ท่าตะโก คุณพ่อผมท่านเป็นคนต่างจังหวัด จบ ป.4 เท่านั้นเอง แต่ท่านเป็นคนใฝ่รู้ทั้งวิทยุ ทีวี ท่านติดตามตลอดแกรู้หมดเรื่อง การเมือง ผมจบกฎหมายธรรมศาสตร์กลับไปบ้าน ไปเจอหนังสือกฎหมายอาญา ก็แปลกใจว่าใครซื้อมา คุณพ่อผมท่านว่าท่านซื้อมาเองแหละเอามาอ่านเป็นความรู้ คนจบแค่ป.4 แต่ซื้อกฎหมายอาญามาอ่าน ธรรมดาไหมครับ ...ไม่ธรรมดา!”
“วันนั้นท่านเรียกผมมาคุยท่านกล่าว ว่า ประสาท แกจะไปเป็นปลัดอำเภอใช่ไหม พ่อจะสอนให้ แกไปเป็นปลัดอำเภอต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไปถึงให้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับบรรดาคนในพื้นที่ เจ้าอาวาส กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขาแก่กว่าเราก็เรียกเขา น้า อา ทำตัวให้น่ารักให้เขาเมตตาไปให้รู้จักพื้นที่ รู้จักบุคคล ท่านสอนผมเหมือนนักปกครองสอนทั้งที่ผมจบนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ กำลังจะไปเป็นปลัดอำเภอ สุดท้ายท่านพูดมาอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจำได้มาจนบัดนี้ เพราะเอาไปปรับใช้ท่านบอกว่า เอ็งจะไปเป็นปลัดอำเภอ เอ็งอย่าดูถูก ผ้าขี้ริ้วนะ ผ้าขี้ริ้วเป็นแค่ผ้าเก่าๆ ผ้าที่เรา ไม่ใช้แล้ว แถมยังน่ารังเกียจเป็นของต่ำ แต่ผ้าขี้ริ้วใช่ไหมที่ทำให้โรงพัก ที่ว่าการอำเภอ สถานีอนามัยมันสะอาด เท่านี้แหละ เอ็งไปเป็นปลัดอำเภอได้”
“ผมจึงสำนึกได้ว่า สิ่งที่พ่อสอนคือ ปรัชญา ซึ่งหมายความว่า ให้เรานึกถึงบุญคุณ ประโยชน์ของผ้าขี้ริ้ว ไม่มีใครหรอกครับ ที่จะเอาผ้าใหม่ๆ ผ้าสะอาดๆ ผ้าดีๆ มาทำ ผ้าขี้ริ้วเช็ดสิ่งสกปรกสิ่งโสโครก เราต้องเอาผ้าเก่าๆ ที่ไม่ใช้มาเช็ดถูสิ่งเหล่านี้ ตรงนี้แหละครับที่ผมนำมาใช้กับการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอ จนเจริญขึ้นมาเราต้องให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับเสมียน หรือเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกน้องของเราเสมอ และต้องนึกไว้เสมอว่าทุกตำแหน่ง ทุกฝ่ายเขามีดีแต่มีดีกันไปคนละอย่าง คนละแบบ อย่าว่าแต่ข้าราชการ ตาสีตาสา ยังมีประโยชน์ อย่างเอาผมที่จบกฎหมาย ไปตีความไปร่างหนังสือ ผมเชื่อว่าชาวนาสู้ผมไม่ได้ แต่ถ้าเอาผมไป แข่งกับชาวนาหว่านข้าวดำนาผมก็สู้ชาวนา ไม่ได้ เพราะเก่งคนละอย่างเหมือนเอาม้ามาวิ่งแข่งกับวัว ม้าก็ต้องชนะ แต่ถ้าเอาวัวมาขวิดกับม้า วัวก็ต้องชนะ”
>> ประชาชนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
“ตรงนี้แหละครับที่ผมจะเรียนว่า ผม เป็นหนี้บุญคุณประชาชน ผมโตมาวันนี้ผ่าน การเป็นผู้ว่าฯ มาหลายจังหวัดจนถึงมาเป็น กรรมการ ป.ป.ช. 4 ปี ผมยังเป็นหนี้บุญคุณ ประชาชน เพราะผมได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจากประชาชน ไม่ว่าไปอยู่อำเภอไหน จังหวัดไหน สิบนิ้วพนมเข้าไปคุณป้า คุณน้า คุณอา คุณยาย รับรองอยู่ ผมหมด ครั้งหนึ่งผมไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ที่พิจิตร มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา ตอนตี 3 มีคนโทร.มาให้เบาะแสการขนถ่าย ยาเสพติด ผมก็ถามเขาไปว่าทำไมไม่โทร. ไปแจ้งตำรวจ เขาตอบกลับมาว่าไม่เอาหรอก แจ้งผู้ว่าฯ นี่แหละ แล้วก็วางหูไปเลย ผมก็คิดอยู่ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จกันแน่ จนแล้วจนรอดผมได้ประสานงานไปกับฝ่ายตำรวจถึงเรื่องราวดังกล่าว ไม่น่าเชื่อ ว่ายาเสพติดล็อตนั้นมีจำนวนเป็นแสนเม็ด งานนั้นผมได้รับโล่จากการปราบปราม ยาเสพติดดีเด่น จากท่านนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น”
“สังเกตได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความ สำเร็จ ล้วนมาจากประชาชนทั้งสิ้น นิ้วโป้ง นิ้วเดียวไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีนิ้วอื่น คอยช่วยหลักการทำงานของนักปกครองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น ในวันนี้ ป.ป.ช. ตระหนักดีว่าเราจะไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์หากไม่มีการประสานกับหน่วยงานอื่น และได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ เนื่องจาก หน่วยงานของ ป.ป.ช. โดยหลักใหญ่อยู่ใน กรุงเทพฯ การสืบเสาะหาข้อมูล การทุจริต คอร์รัปชั่นต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก ต่างจาก พวกที่อยู่ในพื้นที่ เราจึงจำเป็นต้องอาศัย หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยการรับรองจาก ป.ป.ช. อย่างเครือข่ายประชาชนป้องกัน การทุจริต ฉะนั้นหลักใหญ่สามประการที่ผมอยากจะมอบให้คือ 1.ทำให้เขารู้จัก ป.ป.ช. 2.ทำให้เขาเชื่อใจ ป.ป.ช. 3.ทำให้เขาใช้ ป.ป.ช. นั่นคือหน้าที่สำคัญของท่าน”
>> เปิดโมเดล ป.ป.ช.จังหวัด
“สำหรับเรื่องของ ป.ป.ช.จังหวัด เรื่องนี้มีผู้สอบถามกันมาเยอะมาก ต้องเรียนให้ทราบว่า น่าจะทราบผลกันในเร็ววันนี้ เพราะเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอน การพิจารณาของสภาซึ่งใกล้จะเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องเรียนให้ทราบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นมากเพราะอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าองค์กร ป.ป.ช..มีหน่วยงานหลักอยู่ ในกรุงเทพฯ การจะทราบข้อมูลโดยละเอียด ของคดีต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก ซึ่งต่างจาก คนในพื้นที่จะทราบรายละเอียดได้ดีกว่า สำหรับคุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย และต้องมีความรู้ แต่ที่สำคัญเมื่อคุณจะเป็น ป.ป.ช.จังหวัดแล้วจะทำอาชีพอื่นไม่ได้ เพราะจะส่งผลในภายหลัง หากมีข้อกล่าวหาในเรื่องของส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับค่าตอบแทน กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา เพราะภายใน 4 ปีนี้ ป.ป.ช.จังหวัดจะทำอาชีพอื่นไม่ได้ เรื่องค่าตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และก็ต้องให้สมน้ำสมเนื้อกับ การทำงาน”
ปราบโกงโดยอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชน นั่นคือการเชือดทุจริต ที่ยั่งยืน จากมุมมอง “ประสาท พงษ์ศิวาภัย” คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้เชี่ยวชาญในการดักจับคอร์รัปชั่นในแวดวงนักปกครอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************************
"สุรชาติ บำรุงสุข" บนเวทีปฎิรูปกองทัพ "ไม่มีปัญญาชนประเทศใดหนุนการรัฐประหาร... ยกเว้นปัญญาชนไทย
ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร ขึ้นเวทีสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ย. 2553 อันเป็นวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่ออภิปรายทางวิชาการ เรื่องการปฎิรูปกองทัพ หลายประเด็นน่าสนใจ จึงได้ถอดบันทึกเสียง มานำเสนอดังนี้
....เวลาผมเรียนประวัติศาสตร์สงครามผมถูกสอนอย่างหนึ่งว่า เวลามองสงครามลองมองด้านกลับของสงครามแล้วลองตั้งโจทย์ว่า "ถ้า"สมมติมันไม่เกิดบางอย่างแล้วผลของสงครามที่เราเห็นมันจะเกิดอะไร ในทำนองเดียวกัน วันนี้หลังจากที่ผมผ่าน นิสิตปี 1 ช่วง 14 ตุลา 2516 นิสิตปี 4 ช่วง 6 ตุลา 2519 เริ่มเป็นอาจารย์เมื่อปี 2535 เริ่มเห็นวังวนการเมืองไทยแล้วอยากถามว่า "ตอนที่คนประมาณ 5 คนคุยกันที่ปารีส ก่อนปีพ.ศ. 2475 หนึ่งในนั้นคือท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในนั้นคือท่านร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ หนึ่งในนั้นคือร้อยตรีประยูร ภมรมนตรี เคยคุยกันไหมว่าหลังจากยึดอำนาจแล้ว จะเอาอย่างไรกับกองทัพสยาม"
ผมเข้าใจว่าโจทย์ชุดนี้ไม่ได้เริ่ม ผมไม่ต้องการโทษอะไรกับบรรพชนที่เป็นผู้ก่อการของเรา แต่เข้าใจว่าปัญหาใหญ่ตอนนั้นคือจะทำอย่างไรจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสยาม ลองนึกถึงว่าตอนอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับร้อยโทแปลก หรือจอมพลป. พิบูลย์สงคราม กลับมากรุงเทพ พร้อมๆกันวันที่เริ่มจะยึดอำนาจ มันมีปัญหาใหญ่ กลุ่มคณะผู้ก่อการไม่มีนายทหารระดับสูง จนกระทั่งเริ่มมาต่อสายกับพันเอกพระยาทรงสุรเดช เริ่มต่อสายกับพันเอกพระยาฤทธิอัคนี รวมถึงทางเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา โดยชั้นยศแล้วก็ประมาณพันเอก จนถึงยุคนี้ก็ไม่ใช่สูง แต่ยุคนั้นสามัญชนสูงสุดก็คือพันเอก เพราะฉะนั้นพอทำเสร็จ จึงรวมเอานายทหารระดับสูงแต่ไม่ใช่เนื้อแท้ของปี 2475
จนกระทั่งสุดท้ายก็มีความพลิกผันทางการเมืองปี 2475 จริงๆ แล้วการขึ้นสู่อำนาจในฐานะ ที่ผมอยากใช้คำว่า ครม.ชุดแรกของคณะผู้ก่อการ 2475 เริ่มที่ธันวาคม 2481 ต้นปี 2482 รัฐบาลจอมพลป.จึงเป็นรัฐบาลชุดแรกที่มีอำนาจจริงๆ หรือเป็นรัฐบาลของคณะราษฎร์ชุดแรก แต่ขณะนั้นถ้าเราสังเกต มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์เดิมว่า มีอำนาจแล้วจะเอาอย่างไรกับกองทัพในมิติทางการเมือง
จนกระทั่งวันหนึ่งจอมพลป.ก็นำพาประเทศไทยเข้าสู่เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องการทำสงคราม พอสงครมจะสงบในปี 2488 แต่ก่อนสงบจอมพลป.แพ้ญัตติในสภา 2 เรื่องคือ ย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ กับ การสร้างพุทธปริมณฑล แพ้ 2 ครั้งติดต่อกันในระยะเวลาสั้นๆก็ออก แต่พอออกก็เป็นช่วงปลายสงคราม แล้วสงครามสงบการจากทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่า กับ นางาซากิเมื่อ 6 สิงหาคม และ 9 สิงหาคม 2488 ตอนสงครามสงบปัญหาที่คาราคาซังใหญ่คือ อังกฤษซึ่งเราประกาศสงครามในวันที่ 25 มกราคม 2485 มีคำถามใหญ่ว่าจะยอมรับการประกาศสงครามของเราว่าเป็นโมฆะหรือไม่ แต่ทางสหรัฐฯ ยอม สมมติว่าถ้าสหรัฐไม่ยอมแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
ไทยจะกลายประเทศที่พ่ายสงคราม แต่โจทย์ที่ใหญ่ที่สุดคือ วันนี้เราไม่ยอมกลับไปดูข้อเรียกร้อง 21 ประการของรัฐบาลอังกฤษข้อแรกคือ "ยุบกองทัพไทย" และอังกฤษจะขอเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทัพไทยใหม่ด้วยเงื่อนไขที่สหรัฐฯ พยายามปกป้องเราทุกอย่าง ผมเข้าใจว่าเป็นผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ไม่อย่างนั้นหลังสงครามอังกฤษจะมีอิทธิพลต่อสยามฝ่ายเดียว ก็ใช้วิธีกัน แล้วเราก็รอดผ่านมา
ลองจินตนาการมุมกลับ ของคำว่า "ถ้า" แล้วถ้าตอนนั้นเราอยู่ในฐานะของผู้แพ้สงครามเพราะเราอยู่กับอักษะ นึกอะไรไม่ออกก็นึกถึงโกโบริที่กรุงเทพฯ โกโบริมาตายจากการทิ้งระเบิดที่สถานีบางกอกน้อย นั่นคือตัวอย่าง
ถ้าวันนั้นเราถูกจัดอยู่เป็นผู้แพ้สงคราม เฉกเช่น เยอรมัน และญี่ปุ่น วันนี้การเมืองไทยก็เปลี่ยน แต่เนื่องจากสหรัฐกันไม่ให้อังกฤษกดดันเรามากเกินไป ข้อเรียกร้องข้อที่ 1 ไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดก็คือการคงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของไทยไว้ให้เหมือนเดิมทุกอย่างเพราะไม่แตะอะไรเลย พอไม่แตะอะไรเลย ปัญหามันหวนคืนคือ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2490 นายทหารนอกราชการกลุ่มหนึ่งบวกกับปีกขวาในเสรีไทย ปีกขวาในสังคมไทย คือเป็นการรวมปีกขวาทั้งกลุ่ม คือสุดท้ายกลุ่มนี้คือกลุ่มของสายพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา รวมตัวกันก็ยึดใหม่ รัฐบาลพลเรือนของหลวงธำรงฯ ก็ล้ม พอล้มหลวงธำรงฯ พยายามร้องขอต่อวอชิงตัน ต่อลอนดอน ขอให้สัมพันธมิตรแทรกแซงการทหารที่กรุงเทพฯ เพราะปีกที่ขึ้นสู่อำนาจเป็นปีกอักษะ
ลองจินตนาการว่าถ้าแทรกแซงในตอนนั้น จะเกิดอะไร สัมพันธมิตรก็ไม่แทรกแซง โดยยอมให้จอมพลป.ที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดอักษะขึ้นสู่อำนาจ ลองนึกถึงใกล้ชิดขนาดว่าสัญญาไมตรีกับญี่ปุ่นนั้น ลงนามที่วัดพระแก้ว เพราะฉะนั้นความใกล้ชิดขนาดนี้ สัมพันธมิตรยอมให้อดีตผู้นำไทยซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกจับขึ้นศาลอาชญากรสงคราม แล้วคนที่แก้คดีให้กับจอมพลป.ก็คืออาจารย์ปรีดี
ผมคิดว่า มันเห็นได้ว่าไม่ว่าเราคิดอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเราคิด ผมไม่ได้อธิบายว่าประวัติศาตร์ซับซ้อน แต่เมื่อประวัติศาสตร์เคลื่อนตัวมันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามา ดูอย่าง 19 กันยายน 2549 เป็นตัวอย่าง
เกิดคำถามสำหรับคนไทยว่า ทุกวันนี้คิดอย่างไรกับทหาร นักการเมือง เราตอบได้ไม่ง่าย ผมคิดว่าคนไทยไม่รู้สึกลบกับรัฐประหาร ผมอาจเป็นคนที่เติบโตมาจาก 14 ตุลา 2516 ผมอาจเห็นต่างในหลายส่วน แต่ยิ่งนั่งดู ผมว่าคนไทยไม่ค่อยกังวลกับเรื่องรัฐประหาร ผมจำได้ว่าวันที่กลุ่มยังเติร์ก เอารถถังมายิงสถานีวิทยุของพลหนึ่ง คนไทยไปยืนดู อาจารย์ฝรั่งของผมเห็นคนไทยไปยืนดูก็ตกใจ บอกว่าคนไทยนี่กล้านะ
ในอีกมุมหนึ่งลองคิดว่า เราถูกสร้างความรู้สึกว่ารัฐประหารไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นอะไรที่ผู้คนในสังคมไทยยอมรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรามีวลีว่า "เมื่อการเมืองตัน เราก็ให้ทหารมาเป็นคนช่วยแก้" ตกลงเราจะให้เป็นทหารเทศบาลใช่หรือไม่ ท่อตันก็มาล้างท่อ สักพักหนึ่งพลเรือนพอได้อำนาจเสร็จก็กลับกรมกองซะ แต่ท่อตันเมื่อไรก็มา
การที่เรียกทหารมาล้างท่อ เป็นอาการที่ไม่สิ้นสุดในสังคมไทย สังคมไทยคิดเหมือนนิทานเด็กๆ เรื่อง อลาดิน พอถูตะเกียงยักษ์ก็ออกมาช่วย หรือสังคมไทยคิดความหมายของทหารเหมือนยักษ์ในตะเกียง แต่ปัญหาคือออกแล้วไม่กลับ เพราะอยากตัวใหญ่ ยิ่งออกก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ปรากฎการณ์นี้ทำให้เราคิดต่อว่าแล้ววันหนึ่งต้องจัดสังคมไทย จะจัดอย่างไร
คิดว่าบทเรียนใหญ่อยู่ที่ปี 2535 ครั้งนั้น มีความพยายามเยอะที่จะปฎิรูปทั้งกองทัพและการเมือง ผมได้เห็นพอสมควรแต่สังเกตต่อว่าความพยายามหลังปี 35 ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ตอนที่พฤษภา 35 เกิดขึ้น หรือย้อนกลับไปก็ใกล้เคียงกับปัญหา 14 ตุลา ปัญหาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เราพูดทุกเรื่องในทางการเมือง แต่เราพูดเรื่องทหารน้อยมาก งานหลังปี 75 จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ
ก่อนที่สงครามโลกจะสงบทูตอังกฤษเคยเขียนบทความว่า ถ้าจะให้สยามเป็นประชาธิปไตยได้ต้องหาทางจัดการกองทัพสยามให้เรียบร้อย
พอหลัง 2535 ผมว่ามันเป็นอีกครั้งที่เราเห็นบทบาทของทหารกับการออกมามีบทบาททางการเมือง โจทย์ปี 2535 มันมีความพยายามเปิดเวทีมีการพูดถึงเรื่องความอยากเห็นการปฎิรูปกองทัพไทยในทางการเมือง พูดแต่ว่าไม่มีนัยยะอะไรต่อจากนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าพฤษภา 35 เป็นอะไรที่ปล่อยผ่านเลย ผมไม่ได้บอกว่าต้องไปทำอะไรไม่ดีกับกองทัพนะ
เมื่อผ่านเลย สิ่งที่เราเห็นคือ ผมใช้ภาษาว่า เราไม่เคยมีกรอบของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับผู้นำทหาร เราไม่มีในเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เราไม่มียุทธศาสตร์ต่อการสร้างกองทัพที่เป็นประชาธิปไตย
ในมุมหนึ่งทำให้เห็นว่าช่วงที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย มีปัญหาเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ไทย แต่เกิดขึ้นทั่วยุโรปใต้ เอเชีย แอฟริกา รวมถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในลาตินอเมริกา แต่ถ้าเราดูตัวแบบในลาติน การยึดอำนาจที่นั่นใหญ่กว่าที่ไทยเยอะ หนักหน่วงมาก แต่วันนี้ถ้าเราลองหวนดูหลังระยะเปลี่ยนผ่านในลาติน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับระยะเปลี่ยนผ่านในสังคมไทยประมาณค.ศ. 1980 วันนี้ในลาตินอเมริกาแทบไม่มีรัฐประหาร
แสดงว่าปีกพลเรือนในลาตินสามารถสร้างขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ในการทำให้กองทัพเป็นประชาธิปไตยได้มากขึ้น หรือเกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อเราไม่ทำอะไรเลย ผมอธิบายได้อย่างเดียวว่าหลัง 2535 สังคมอยู่ในความประมาทที่คนที่ทำเรื่องทหารนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนที่เชยที่สุด เป็นคนที่เหมือนกับล้าหลังในทางวิชาการ เพราะหลังจาก 2535 ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นทางวิชาการอีกต่อไป
สังคมไทยเชื่อว่ารัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย เพราะถ้าเราดูโครงสร้างทางการเมืองเราแทบไม่ได้จัดโครงสร้างอะไรที่รองรับเลย เมื่อเราไม่ได้จัด วันหนึ่งเราเห็นความแตกแยกหรือการเผชิญหน้าทางการเมืองตั้งแต่ช่วงกลางและปลายปีไล่ขึ้นมา สิ่งที่ตามมาคือเราไม่มีองค์กรที่แก้ไขความขัดแย้งในบ้านตัวเอง เราไม่มีองค์กรที่จะแก้วิกฤติภายใน เมื่อเราแก้วิกฤติไม่ได้ ปัญหาการบริหารจัดการความขัดแย่งเริ่มอิงไม่ได้ สุดท้ายอารมณ์คนก็กลับไปที่เดิมแบบที่เปิดประเด็นว่าคนไม่กลัวการรัฐประหาร ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทหารออกมาล้างท่ออีกทีดีไหม
ถ้าเราเชื่อว่าการรัฐประหารเกิดเพื่อป้องกันม็อบชนม็อบที่กรุงเทพฯระหว่างปีกต่อต้านกับปีกสนับสนุนรัฐบาล ตกลงเหตุการณ์นั้นมีจริงไหม หรือเหตุการณ์นั้นมีเพื่อให้เรา "เชื่อ"
เพราะฉะนั้นในมุมแบบนี้เราเห็นอาการสวิง อาการที่ใหญ่ที่สุดลองเปรียบเทียบในปี 35 เราเรียกคน 4 ส่วน คือ ชนชั้นกลาง ปัญญาชน สื่อ องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เป็นเสมือนแนวหน้าของพลังประชาธิปไตย เกิดอะไรในปี 48-49 ซึ่งบางส่วนในกลุ่มนี้สวิงกลับมาหนุนการรัฐประหาร ทำไมคนบางส่วนของพลังเหล่านี้ในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญปี 2540 ชัดธงสีเขียวอ่อน ทำไมปี 48-49 กลายเป็นชักธงสีเขียวขี้ม้า
อาการแบบนี้มันตอบอย่างเดียวว่า คนในสังคมไทยพร้อมรับการรัฐประหารอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ถึงขั้นไปมอบดอกไม้ ขนม กับทหาร วันนี้ปัญญาชนไทยกลายเป็นปัญญาชนที่อนุรักษ์ที่สุด ถ้ามองในมิติของโลก ไม่มีปัญญาชนประเทศไหนหนุนการรัฐประหารยกเว้นปัญญาชนในไทย เพราะวิกฤติชุดนี้สะท้อนวิกฤติทางปัญญาของสังคมไทย วันนี้ปัญญาชนไม่หาทางออกให้กับคนในบ้าน
แต่วิกฤติชุดนี้ก็สร้างปัญหาตกค้าง ถ้ามองในอดีต รัฐบาลประหารเป็นเครื่องมืออย่างดีของคนชั้นนำและผู้นำทหารใช้เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง โดยหวังว่าจะล้างไพ่ ล้มกระดานแล้วยังหวังว่าการเมืองที่เริ่มต้นใหม่ภายใต้การควบคุมของทหารจะนำเสถียรภาพมา แต่ปรากฎการณ์แบบนี้ไม่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 49
ในอดีตพวกเราคุ้นเคยว่าเมื่อเกิดรัฐประหารนักการเมืองหลายคนหิ้วกระเป๋ากลับบ้าน รอการเลือกตั้งแล้วจะลงสนาม แต่หลังปี 2549 นักการเมืองส่วนหนึ่งตัดสินใจเปิดเวทีสู้ รวมถึงการเปิดเวทีสู้ของคนในเมือง ไม่ใช่เพียงแค่คนในกรุงเทพฯเท่านั้น สัญลักษณ์ที่แทนได้คือ เหตุการณ์ที่คุณลุงขับแท็กซี่ขับรถพุ่งชนรถถัง ปรากฎการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย และสัญญาณที่น่าสนใจคือการต่อต้านรัฐประหารกลายเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชนชั้นล่าง กลับไม่ไปเกิดขึ้นในหมู่ปัญญาชน
ในมุมนี้สิ่งที่ตกค้างคือเมื่อรัฐประหารไม่สามารถสร้างเสถียรภาพได้ กลายเป็นความแตกแยกขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายที่สังคมไทยต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นตุลาการภิวัตน์ องค์กรรัฐอิสระหรือสิ่งต่างๆที่เราเห็นมาจากผลพวงของรัฐประหาร อย่างการขยายตัวของการคอรัปชั่น การขยายบทบาทของทหาร และเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือกระบวนการเมืองที่เราคาดหวังว่ากระบวนการเมืองแบบการเลือกตั้งจะเป็นพื้นฐานหลักนั้นพังทลายลง แต่ในมุมกลับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทัพนั้นมาพาปัญหาใหญ่ สังคมแตกแยกเช่นไร หลังรัฐประหาร สังคมในวงพี่ๆน้องๆในวงกองทัพก็แตกแยกเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ตามมาก็คือ วันนี้อาจต้องยอมรับว่ารัฐประหารที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เป็นกลไกของการทำลายสายการบังคับบัญชาในกองทัพทั้งหมด เมื่อสายการบังคับบัญชาในยามปกติถูกทำลายเมื่อรัฐประหารเกิดขึ้น มันสร้างปัญหาใหญ่สืบเนื่องในกองทัพ สิ่งที่ตามมาคือ การเลื่อนยศ การปรับย้านต่างๆไม่มีหลักเกณฑ์ คนที่ทำงานปฎิรูปกองทัพทั่วโลกมีจุดยืนร่วมกันว่าการเคลื่อนย้ายต้องมีหลักตัดสินบนพื้นฐานลักษณะทางวิชาชีพหรือความสามารถทางวิชาชีพ แต่ผลจากการที่สายการบังคับบัญชาถูกทำลายลงจากการรัฐประหาร การเคลื่อนย้ายในกองทัพจึงเปลี่ยน
ในอดีตคนที่ทำข่าวสายทหารจะรู้ว่าการเลื่อนขั้นจะขึ้นอยู่กับ 2 อย่างคือ"รุ่น"และ"เหล่า" แต่วันนี้ รุ่นและเหล่า แตก วันนี้คนที่ทำข่าวอาจเห็นได้ว่าไม่มีใครพูดถึงเหล่า อาจยกเว้นแค่เหล่าม้า ไม่รู้ในอนาคตการสร้างเอกภาพในกองทัพผ่าน"รุ่น"ในกองทัพจะทำได้จริงหรือไม่
ถ้าอย่างนั้นในอนาคตจะทำอย่างไรกับกองทัพไทย ปัญหาใหญ่เชื่อว่าเหลืออยู่ 4 ประการ คือ หนึ่ง การสร้างทหารอาชีพของกองทัพไทยจะทำอย่างไร สอง การปฎิรูปทางกองทัพทั้งในมิติทหารและการเมืองจะดำเนินการอย่างไร สาม การจัดความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารระหว่างผู้นำกองทัพกับผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำอย่างไร และสี่ ถ้าคิดว่าในอนาคตประเทศต้องเป็นฉันใด จะต้องทำอย่างไรให้กองทัพเป็นประชาธิปไตยเป็นคู่ขนานไป
ประเด็นหลังคือประเด็นที่เขียนมาตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 ถ้าต้องการปฎิรูปการเมืองต้องปฎิรูปกองทัพ หรือในทำนองเดียวกันถ้าต้องการปฎิรูปกองทัพต้องปฎิรูปการเมืองคู่ขนานกัน ไม่อย่างนั้นแฝดอิน-จัน คู่นี้ไม่มีวันเกิด ผมคิดว่าการปฎิรูปการเมืองและกองทัพเป็นแฝดสยาม และเป็นแฝดสยามที่ตอนนี้ยังหาหมอผ่าตัดไม่ได้ แล้วยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทิ้งค้างไว้
ปัญหาในอนาคตเหลืออย่างเดียว สิ่งที่เราพูดกันนี้จะเกิดได้หรือไม่ ความหวังวันนี้ เราอยากเห็นกองทัพมีความก้าวหน้า มีสมรรถนะที่ดีขึ้น แต่วันนี้เราตอบไม่ได้ ซื้อ จีที 200 ก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร วันนี้สังเกตว่าเรื่องเงียบเลย ผมทวงถามความรับผิดชอบเพราะ เจ้าหน้าที่สนามที่ต้องทำงานเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ถ้าเครื่องมือเหล่านี้ใช้ไม่ได้จริง ใครจะรับผิดชอบ ผมทวงถามความรับผิดชอบทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ต้องรับผิดชอบทั้งคู่
เรือเหาะที่ไม่เหาะจะเอาอย่างไร สับดาห์ก่อน ช่อง 9 ถ่าย 100 กว่ารูที่เรือเหาะ ถ่ายได้ยอดมาก ตกลงจะเอาอย่างไร รถถังยูเครนสั่งซื้อเปลี่ยนเครื่องยนต์ คำถามคือ ในความหมายของสัญญา การเปลี่ยนเครื่องเท่ากับเปลี่ยนสาระสำคัญของสัญญาหรือไม่ ถ้าเราซื้อรถเบนซ์แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องญี่ปุ่นแล้วคุณจะยอมไหม
เพราะฉะนั้นประเด็นพวกนี้ เป็นโจทย์ในอนาคต ประเด็นวันนี้เป็นเรื่องขายฝัน ว่าวันหน้าคาดหวังว่าอยากเห็นการเมืองมีการปฎิรูป อยากเห็นประชาธิปไตยเดิน สื่อต้องมีส่วนสำคัญต่อการคิดเรื่องการปฎิรูปกองทัพ ถ้าดูจากต่างประเทศผมคิดว่าบทเรียนการปฎิรูปในต่างยุโรปเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจเพราะเป็นการเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่าน
ลองคิดง่ายๆอย่างวันที่รวมชาติเยอรมัน จะปฎิรูปกองทัพเยอรมันอย่างไร เพราะคุณเอากองทัพของเยอรมันที่เป็นของโลกตะวันตกที่เป็นโลกทุนนิยม กับกองทัพเยอรมันตะวันออกที่เป็นสังคมนิยมมารวมกันแล้วปฎิรูปได้ มันเป็นโจทย์ใหญ่ ถ้าคิดแบบนี้จะตอบโจทย์ทหารแตงโม กับทหารฟักทองได้เพราะทหารเยอรมันตะวันตกกับตะวันออก อยู่กันคนละอุดมการณ์ แต่สุดท้ายต้องแต่งเครื่องแบบของกองทัพ และถืออาวุธภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเยอรมัน
โจทย์พวกนี้คิดว่าเป้นโจทย์ใหญ่และยาว เราพลาดครั้งหนึ่งในปี 2535 เราปล่อยให้หลุด แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่ทำอะไรไม่ดีกับทหาร แต่คิดว่าเราพลาดโอกาสของการปฎิรูปประเทศขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่พลาดการปฎิรูปกองทัพไทยเท่านั้น แต่เราพลาดที่เราไม่ได้ทำอะไรกับระบบการเมืองไทย เรามีความคาดหวังว่าจะมีรัฐธรรมนูญที่สวยหรู ถือธงสีเขียวอ่อน พอวันหนึ่งไม่ชอบก็ถือธงสีเขียวขี้ม้า ออกมาเรียกร้อง
คนเดิมที่เรียกร้องให้เรารับรองรัฐธรรมนูญ 40 พอถึงรัฐประหารครั้งหลังกลับกลายเป็นคนชุดเเดียวกันในปี 2549 ที่เรียกร้องให้เรารับรองการรัฐประหาร ถ้าแบบนี้สังคมไทยต้องคิดกันยาวๆแล้ว แต่ปัญหาทั้งหมดอย่าโทษใคร ต้องโทษอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอย่าไปโทษทหาร กองทัพบกก็ไม่น่ากลัว เพราะสุดท้ายเราทำการปฎิรูปทั้งระบบได้จริง ปัญหาที่เราพูดมาไม่หมดแต่จะลดความน่ากลัวลง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดวันนี้ปัญญาชนในมหาวิทยาลัยไทยเหลืองจนไม่มีวิธีคิดอะไรอื่นเหลือ
วันนี้เราพูดสุภาษิตเก่าว่า เผาบ้านไล่หนู วันนี้บ้านก็ไหม้ หนูก็จับไม่ได้ ก้าวก็ไม่พ้นทักษิณ แล้วตกลงเหลืออะไรกับอนาคตของพวกเราทุกคน วันนี้บทเรียนใหญ่จะเอาอย่างไรกับอนาคตของตัวเราเองในทางการเมือง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
----------------------------------------------------------------
....เวลาผมเรียนประวัติศาสตร์สงครามผมถูกสอนอย่างหนึ่งว่า เวลามองสงครามลองมองด้านกลับของสงครามแล้วลองตั้งโจทย์ว่า "ถ้า"สมมติมันไม่เกิดบางอย่างแล้วผลของสงครามที่เราเห็นมันจะเกิดอะไร ในทำนองเดียวกัน วันนี้หลังจากที่ผมผ่าน นิสิตปี 1 ช่วง 14 ตุลา 2516 นิสิตปี 4 ช่วง 6 ตุลา 2519 เริ่มเป็นอาจารย์เมื่อปี 2535 เริ่มเห็นวังวนการเมืองไทยแล้วอยากถามว่า "ตอนที่คนประมาณ 5 คนคุยกันที่ปารีส ก่อนปีพ.ศ. 2475 หนึ่งในนั้นคือท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในนั้นคือท่านร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ หนึ่งในนั้นคือร้อยตรีประยูร ภมรมนตรี เคยคุยกันไหมว่าหลังจากยึดอำนาจแล้ว จะเอาอย่างไรกับกองทัพสยาม"
ผมเข้าใจว่าโจทย์ชุดนี้ไม่ได้เริ่ม ผมไม่ต้องการโทษอะไรกับบรรพชนที่เป็นผู้ก่อการของเรา แต่เข้าใจว่าปัญหาใหญ่ตอนนั้นคือจะทำอย่างไรจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสยาม ลองนึกถึงว่าตอนอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับร้อยโทแปลก หรือจอมพลป. พิบูลย์สงคราม กลับมากรุงเทพ พร้อมๆกันวันที่เริ่มจะยึดอำนาจ มันมีปัญหาใหญ่ กลุ่มคณะผู้ก่อการไม่มีนายทหารระดับสูง จนกระทั่งเริ่มมาต่อสายกับพันเอกพระยาทรงสุรเดช เริ่มต่อสายกับพันเอกพระยาฤทธิอัคนี รวมถึงทางเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา โดยชั้นยศแล้วก็ประมาณพันเอก จนถึงยุคนี้ก็ไม่ใช่สูง แต่ยุคนั้นสามัญชนสูงสุดก็คือพันเอก เพราะฉะนั้นพอทำเสร็จ จึงรวมเอานายทหารระดับสูงแต่ไม่ใช่เนื้อแท้ของปี 2475
จนกระทั่งสุดท้ายก็มีความพลิกผันทางการเมืองปี 2475 จริงๆ แล้วการขึ้นสู่อำนาจในฐานะ ที่ผมอยากใช้คำว่า ครม.ชุดแรกของคณะผู้ก่อการ 2475 เริ่มที่ธันวาคม 2481 ต้นปี 2482 รัฐบาลจอมพลป.จึงเป็นรัฐบาลชุดแรกที่มีอำนาจจริงๆ หรือเป็นรัฐบาลของคณะราษฎร์ชุดแรก แต่ขณะนั้นถ้าเราสังเกต มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์เดิมว่า มีอำนาจแล้วจะเอาอย่างไรกับกองทัพในมิติทางการเมือง
จนกระทั่งวันหนึ่งจอมพลป.ก็นำพาประเทศไทยเข้าสู่เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องการทำสงคราม พอสงครมจะสงบในปี 2488 แต่ก่อนสงบจอมพลป.แพ้ญัตติในสภา 2 เรื่องคือ ย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ กับ การสร้างพุทธปริมณฑล แพ้ 2 ครั้งติดต่อกันในระยะเวลาสั้นๆก็ออก แต่พอออกก็เป็นช่วงปลายสงคราม แล้วสงครามสงบการจากทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่า กับ นางาซากิเมื่อ 6 สิงหาคม และ 9 สิงหาคม 2488 ตอนสงครามสงบปัญหาที่คาราคาซังใหญ่คือ อังกฤษซึ่งเราประกาศสงครามในวันที่ 25 มกราคม 2485 มีคำถามใหญ่ว่าจะยอมรับการประกาศสงครามของเราว่าเป็นโมฆะหรือไม่ แต่ทางสหรัฐฯ ยอม สมมติว่าถ้าสหรัฐไม่ยอมแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
ไทยจะกลายประเทศที่พ่ายสงคราม แต่โจทย์ที่ใหญ่ที่สุดคือ วันนี้เราไม่ยอมกลับไปดูข้อเรียกร้อง 21 ประการของรัฐบาลอังกฤษข้อแรกคือ "ยุบกองทัพไทย" และอังกฤษจะขอเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทัพไทยใหม่ด้วยเงื่อนไขที่สหรัฐฯ พยายามปกป้องเราทุกอย่าง ผมเข้าใจว่าเป็นผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ไม่อย่างนั้นหลังสงครามอังกฤษจะมีอิทธิพลต่อสยามฝ่ายเดียว ก็ใช้วิธีกัน แล้วเราก็รอดผ่านมา
ลองจินตนาการมุมกลับ ของคำว่า "ถ้า" แล้วถ้าตอนนั้นเราอยู่ในฐานะของผู้แพ้สงครามเพราะเราอยู่กับอักษะ นึกอะไรไม่ออกก็นึกถึงโกโบริที่กรุงเทพฯ โกโบริมาตายจากการทิ้งระเบิดที่สถานีบางกอกน้อย นั่นคือตัวอย่าง
ถ้าวันนั้นเราถูกจัดอยู่เป็นผู้แพ้สงคราม เฉกเช่น เยอรมัน และญี่ปุ่น วันนี้การเมืองไทยก็เปลี่ยน แต่เนื่องจากสหรัฐกันไม่ให้อังกฤษกดดันเรามากเกินไป ข้อเรียกร้องข้อที่ 1 ไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดก็คือการคงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของไทยไว้ให้เหมือนเดิมทุกอย่างเพราะไม่แตะอะไรเลย พอไม่แตะอะไรเลย ปัญหามันหวนคืนคือ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2490 นายทหารนอกราชการกลุ่มหนึ่งบวกกับปีกขวาในเสรีไทย ปีกขวาในสังคมไทย คือเป็นการรวมปีกขวาทั้งกลุ่ม คือสุดท้ายกลุ่มนี้คือกลุ่มของสายพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา รวมตัวกันก็ยึดใหม่ รัฐบาลพลเรือนของหลวงธำรงฯ ก็ล้ม พอล้มหลวงธำรงฯ พยายามร้องขอต่อวอชิงตัน ต่อลอนดอน ขอให้สัมพันธมิตรแทรกแซงการทหารที่กรุงเทพฯ เพราะปีกที่ขึ้นสู่อำนาจเป็นปีกอักษะ
ลองจินตนาการว่าถ้าแทรกแซงในตอนนั้น จะเกิดอะไร สัมพันธมิตรก็ไม่แทรกแซง โดยยอมให้จอมพลป.ที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดอักษะขึ้นสู่อำนาจ ลองนึกถึงใกล้ชิดขนาดว่าสัญญาไมตรีกับญี่ปุ่นนั้น ลงนามที่วัดพระแก้ว เพราะฉะนั้นความใกล้ชิดขนาดนี้ สัมพันธมิตรยอมให้อดีตผู้นำไทยซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกจับขึ้นศาลอาชญากรสงคราม แล้วคนที่แก้คดีให้กับจอมพลป.ก็คืออาจารย์ปรีดี
ผมคิดว่า มันเห็นได้ว่าไม่ว่าเราคิดอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเราคิด ผมไม่ได้อธิบายว่าประวัติศาตร์ซับซ้อน แต่เมื่อประวัติศาสตร์เคลื่อนตัวมันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามา ดูอย่าง 19 กันยายน 2549 เป็นตัวอย่าง
เกิดคำถามสำหรับคนไทยว่า ทุกวันนี้คิดอย่างไรกับทหาร นักการเมือง เราตอบได้ไม่ง่าย ผมคิดว่าคนไทยไม่รู้สึกลบกับรัฐประหาร ผมอาจเป็นคนที่เติบโตมาจาก 14 ตุลา 2516 ผมอาจเห็นต่างในหลายส่วน แต่ยิ่งนั่งดู ผมว่าคนไทยไม่ค่อยกังวลกับเรื่องรัฐประหาร ผมจำได้ว่าวันที่กลุ่มยังเติร์ก เอารถถังมายิงสถานีวิทยุของพลหนึ่ง คนไทยไปยืนดู อาจารย์ฝรั่งของผมเห็นคนไทยไปยืนดูก็ตกใจ บอกว่าคนไทยนี่กล้านะ
ในอีกมุมหนึ่งลองคิดว่า เราถูกสร้างความรู้สึกว่ารัฐประหารไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นอะไรที่ผู้คนในสังคมไทยยอมรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรามีวลีว่า "เมื่อการเมืองตัน เราก็ให้ทหารมาเป็นคนช่วยแก้" ตกลงเราจะให้เป็นทหารเทศบาลใช่หรือไม่ ท่อตันก็มาล้างท่อ สักพักหนึ่งพลเรือนพอได้อำนาจเสร็จก็กลับกรมกองซะ แต่ท่อตันเมื่อไรก็มา
การที่เรียกทหารมาล้างท่อ เป็นอาการที่ไม่สิ้นสุดในสังคมไทย สังคมไทยคิดเหมือนนิทานเด็กๆ เรื่อง อลาดิน พอถูตะเกียงยักษ์ก็ออกมาช่วย หรือสังคมไทยคิดความหมายของทหารเหมือนยักษ์ในตะเกียง แต่ปัญหาคือออกแล้วไม่กลับ เพราะอยากตัวใหญ่ ยิ่งออกก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ปรากฎการณ์นี้ทำให้เราคิดต่อว่าแล้ววันหนึ่งต้องจัดสังคมไทย จะจัดอย่างไร
คิดว่าบทเรียนใหญ่อยู่ที่ปี 2535 ครั้งนั้น มีความพยายามเยอะที่จะปฎิรูปทั้งกองทัพและการเมือง ผมได้เห็นพอสมควรแต่สังเกตต่อว่าความพยายามหลังปี 35 ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ตอนที่พฤษภา 35 เกิดขึ้น หรือย้อนกลับไปก็ใกล้เคียงกับปัญหา 14 ตุลา ปัญหาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เราพูดทุกเรื่องในทางการเมือง แต่เราพูดเรื่องทหารน้อยมาก งานหลังปี 75 จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ
ก่อนที่สงครามโลกจะสงบทูตอังกฤษเคยเขียนบทความว่า ถ้าจะให้สยามเป็นประชาธิปไตยได้ต้องหาทางจัดการกองทัพสยามให้เรียบร้อย
พอหลัง 2535 ผมว่ามันเป็นอีกครั้งที่เราเห็นบทบาทของทหารกับการออกมามีบทบาททางการเมือง โจทย์ปี 2535 มันมีความพยายามเปิดเวทีมีการพูดถึงเรื่องความอยากเห็นการปฎิรูปกองทัพไทยในทางการเมือง พูดแต่ว่าไม่มีนัยยะอะไรต่อจากนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าพฤษภา 35 เป็นอะไรที่ปล่อยผ่านเลย ผมไม่ได้บอกว่าต้องไปทำอะไรไม่ดีกับกองทัพนะ
เมื่อผ่านเลย สิ่งที่เราเห็นคือ ผมใช้ภาษาว่า เราไม่เคยมีกรอบของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับผู้นำทหาร เราไม่มีในเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เราไม่มียุทธศาสตร์ต่อการสร้างกองทัพที่เป็นประชาธิปไตย
ในมุมหนึ่งทำให้เห็นว่าช่วงที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย มีปัญหาเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ไทย แต่เกิดขึ้นทั่วยุโรปใต้ เอเชีย แอฟริกา รวมถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในลาตินอเมริกา แต่ถ้าเราดูตัวแบบในลาติน การยึดอำนาจที่นั่นใหญ่กว่าที่ไทยเยอะ หนักหน่วงมาก แต่วันนี้ถ้าเราลองหวนดูหลังระยะเปลี่ยนผ่านในลาติน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับระยะเปลี่ยนผ่านในสังคมไทยประมาณค.ศ. 1980 วันนี้ในลาตินอเมริกาแทบไม่มีรัฐประหาร
แสดงว่าปีกพลเรือนในลาตินสามารถสร้างขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ในการทำให้กองทัพเป็นประชาธิปไตยได้มากขึ้น หรือเกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อเราไม่ทำอะไรเลย ผมอธิบายได้อย่างเดียวว่าหลัง 2535 สังคมอยู่ในความประมาทที่คนที่ทำเรื่องทหารนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนที่เชยที่สุด เป็นคนที่เหมือนกับล้าหลังในทางวิชาการ เพราะหลังจาก 2535 ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นทางวิชาการอีกต่อไป
สังคมไทยเชื่อว่ารัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย เพราะถ้าเราดูโครงสร้างทางการเมืองเราแทบไม่ได้จัดโครงสร้างอะไรที่รองรับเลย เมื่อเราไม่ได้จัด วันหนึ่งเราเห็นความแตกแยกหรือการเผชิญหน้าทางการเมืองตั้งแต่ช่วงกลางและปลายปีไล่ขึ้นมา สิ่งที่ตามมาคือเราไม่มีองค์กรที่แก้ไขความขัดแย้งในบ้านตัวเอง เราไม่มีองค์กรที่จะแก้วิกฤติภายใน เมื่อเราแก้วิกฤติไม่ได้ ปัญหาการบริหารจัดการความขัดแย่งเริ่มอิงไม่ได้ สุดท้ายอารมณ์คนก็กลับไปที่เดิมแบบที่เปิดประเด็นว่าคนไม่กลัวการรัฐประหาร ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทหารออกมาล้างท่ออีกทีดีไหม
ถ้าเราเชื่อว่าการรัฐประหารเกิดเพื่อป้องกันม็อบชนม็อบที่กรุงเทพฯระหว่างปีกต่อต้านกับปีกสนับสนุนรัฐบาล ตกลงเหตุการณ์นั้นมีจริงไหม หรือเหตุการณ์นั้นมีเพื่อให้เรา "เชื่อ"
เพราะฉะนั้นในมุมแบบนี้เราเห็นอาการสวิง อาการที่ใหญ่ที่สุดลองเปรียบเทียบในปี 35 เราเรียกคน 4 ส่วน คือ ชนชั้นกลาง ปัญญาชน สื่อ องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เป็นเสมือนแนวหน้าของพลังประชาธิปไตย เกิดอะไรในปี 48-49 ซึ่งบางส่วนในกลุ่มนี้สวิงกลับมาหนุนการรัฐประหาร ทำไมคนบางส่วนของพลังเหล่านี้ในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญปี 2540 ชัดธงสีเขียวอ่อน ทำไมปี 48-49 กลายเป็นชักธงสีเขียวขี้ม้า
อาการแบบนี้มันตอบอย่างเดียวว่า คนในสังคมไทยพร้อมรับการรัฐประหารอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ถึงขั้นไปมอบดอกไม้ ขนม กับทหาร วันนี้ปัญญาชนไทยกลายเป็นปัญญาชนที่อนุรักษ์ที่สุด ถ้ามองในมิติของโลก ไม่มีปัญญาชนประเทศไหนหนุนการรัฐประหารยกเว้นปัญญาชนในไทย เพราะวิกฤติชุดนี้สะท้อนวิกฤติทางปัญญาของสังคมไทย วันนี้ปัญญาชนไม่หาทางออกให้กับคนในบ้าน
แต่วิกฤติชุดนี้ก็สร้างปัญหาตกค้าง ถ้ามองในอดีต รัฐบาลประหารเป็นเครื่องมืออย่างดีของคนชั้นนำและผู้นำทหารใช้เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง โดยหวังว่าจะล้างไพ่ ล้มกระดานแล้วยังหวังว่าการเมืองที่เริ่มต้นใหม่ภายใต้การควบคุมของทหารจะนำเสถียรภาพมา แต่ปรากฎการณ์แบบนี้ไม่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 49
ในอดีตพวกเราคุ้นเคยว่าเมื่อเกิดรัฐประหารนักการเมืองหลายคนหิ้วกระเป๋ากลับบ้าน รอการเลือกตั้งแล้วจะลงสนาม แต่หลังปี 2549 นักการเมืองส่วนหนึ่งตัดสินใจเปิดเวทีสู้ รวมถึงการเปิดเวทีสู้ของคนในเมือง ไม่ใช่เพียงแค่คนในกรุงเทพฯเท่านั้น สัญลักษณ์ที่แทนได้คือ เหตุการณ์ที่คุณลุงขับแท็กซี่ขับรถพุ่งชนรถถัง ปรากฎการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย และสัญญาณที่น่าสนใจคือการต่อต้านรัฐประหารกลายเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชนชั้นล่าง กลับไม่ไปเกิดขึ้นในหมู่ปัญญาชน
ในมุมนี้สิ่งที่ตกค้างคือเมื่อรัฐประหารไม่สามารถสร้างเสถียรภาพได้ กลายเป็นความแตกแยกขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายที่สังคมไทยต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นตุลาการภิวัตน์ องค์กรรัฐอิสระหรือสิ่งต่างๆที่เราเห็นมาจากผลพวงของรัฐประหาร อย่างการขยายตัวของการคอรัปชั่น การขยายบทบาทของทหาร และเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือกระบวนการเมืองที่เราคาดหวังว่ากระบวนการเมืองแบบการเลือกตั้งจะเป็นพื้นฐานหลักนั้นพังทลายลง แต่ในมุมกลับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทัพนั้นมาพาปัญหาใหญ่ สังคมแตกแยกเช่นไร หลังรัฐประหาร สังคมในวงพี่ๆน้องๆในวงกองทัพก็แตกแยกเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ตามมาก็คือ วันนี้อาจต้องยอมรับว่ารัฐประหารที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เป็นกลไกของการทำลายสายการบังคับบัญชาในกองทัพทั้งหมด เมื่อสายการบังคับบัญชาในยามปกติถูกทำลายเมื่อรัฐประหารเกิดขึ้น มันสร้างปัญหาใหญ่สืบเนื่องในกองทัพ สิ่งที่ตามมาคือ การเลื่อนยศ การปรับย้านต่างๆไม่มีหลักเกณฑ์ คนที่ทำงานปฎิรูปกองทัพทั่วโลกมีจุดยืนร่วมกันว่าการเคลื่อนย้ายต้องมีหลักตัดสินบนพื้นฐานลักษณะทางวิชาชีพหรือความสามารถทางวิชาชีพ แต่ผลจากการที่สายการบังคับบัญชาถูกทำลายลงจากการรัฐประหาร การเคลื่อนย้ายในกองทัพจึงเปลี่ยน
ในอดีตคนที่ทำข่าวสายทหารจะรู้ว่าการเลื่อนขั้นจะขึ้นอยู่กับ 2 อย่างคือ"รุ่น"และ"เหล่า" แต่วันนี้ รุ่นและเหล่า แตก วันนี้คนที่ทำข่าวอาจเห็นได้ว่าไม่มีใครพูดถึงเหล่า อาจยกเว้นแค่เหล่าม้า ไม่รู้ในอนาคตการสร้างเอกภาพในกองทัพผ่าน"รุ่น"ในกองทัพจะทำได้จริงหรือไม่
ถ้าอย่างนั้นในอนาคตจะทำอย่างไรกับกองทัพไทย ปัญหาใหญ่เชื่อว่าเหลืออยู่ 4 ประการ คือ หนึ่ง การสร้างทหารอาชีพของกองทัพไทยจะทำอย่างไร สอง การปฎิรูปทางกองทัพทั้งในมิติทหารและการเมืองจะดำเนินการอย่างไร สาม การจัดความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารระหว่างผู้นำกองทัพกับผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำอย่างไร และสี่ ถ้าคิดว่าในอนาคตประเทศต้องเป็นฉันใด จะต้องทำอย่างไรให้กองทัพเป็นประชาธิปไตยเป็นคู่ขนานไป
ประเด็นหลังคือประเด็นที่เขียนมาตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 ถ้าต้องการปฎิรูปการเมืองต้องปฎิรูปกองทัพ หรือในทำนองเดียวกันถ้าต้องการปฎิรูปกองทัพต้องปฎิรูปการเมืองคู่ขนานกัน ไม่อย่างนั้นแฝดอิน-จัน คู่นี้ไม่มีวันเกิด ผมคิดว่าการปฎิรูปการเมืองและกองทัพเป็นแฝดสยาม และเป็นแฝดสยามที่ตอนนี้ยังหาหมอผ่าตัดไม่ได้ แล้วยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทิ้งค้างไว้
ปัญหาในอนาคตเหลืออย่างเดียว สิ่งที่เราพูดกันนี้จะเกิดได้หรือไม่ ความหวังวันนี้ เราอยากเห็นกองทัพมีความก้าวหน้า มีสมรรถนะที่ดีขึ้น แต่วันนี้เราตอบไม่ได้ ซื้อ จีที 200 ก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร วันนี้สังเกตว่าเรื่องเงียบเลย ผมทวงถามความรับผิดชอบเพราะ เจ้าหน้าที่สนามที่ต้องทำงานเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ถ้าเครื่องมือเหล่านี้ใช้ไม่ได้จริง ใครจะรับผิดชอบ ผมทวงถามความรับผิดชอบทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ต้องรับผิดชอบทั้งคู่
เรือเหาะที่ไม่เหาะจะเอาอย่างไร สับดาห์ก่อน ช่อง 9 ถ่าย 100 กว่ารูที่เรือเหาะ ถ่ายได้ยอดมาก ตกลงจะเอาอย่างไร รถถังยูเครนสั่งซื้อเปลี่ยนเครื่องยนต์ คำถามคือ ในความหมายของสัญญา การเปลี่ยนเครื่องเท่ากับเปลี่ยนสาระสำคัญของสัญญาหรือไม่ ถ้าเราซื้อรถเบนซ์แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องญี่ปุ่นแล้วคุณจะยอมไหม
เพราะฉะนั้นประเด็นพวกนี้ เป็นโจทย์ในอนาคต ประเด็นวันนี้เป็นเรื่องขายฝัน ว่าวันหน้าคาดหวังว่าอยากเห็นการเมืองมีการปฎิรูป อยากเห็นประชาธิปไตยเดิน สื่อต้องมีส่วนสำคัญต่อการคิดเรื่องการปฎิรูปกองทัพ ถ้าดูจากต่างประเทศผมคิดว่าบทเรียนการปฎิรูปในต่างยุโรปเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจเพราะเป็นการเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่าน
ลองคิดง่ายๆอย่างวันที่รวมชาติเยอรมัน จะปฎิรูปกองทัพเยอรมันอย่างไร เพราะคุณเอากองทัพของเยอรมันที่เป็นของโลกตะวันตกที่เป็นโลกทุนนิยม กับกองทัพเยอรมันตะวันออกที่เป็นสังคมนิยมมารวมกันแล้วปฎิรูปได้ มันเป็นโจทย์ใหญ่ ถ้าคิดแบบนี้จะตอบโจทย์ทหารแตงโม กับทหารฟักทองได้เพราะทหารเยอรมันตะวันตกกับตะวันออก อยู่กันคนละอุดมการณ์ แต่สุดท้ายต้องแต่งเครื่องแบบของกองทัพ และถืออาวุธภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเยอรมัน
โจทย์พวกนี้คิดว่าเป้นโจทย์ใหญ่และยาว เราพลาดครั้งหนึ่งในปี 2535 เราปล่อยให้หลุด แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่ทำอะไรไม่ดีกับทหาร แต่คิดว่าเราพลาดโอกาสของการปฎิรูปประเทศขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่พลาดการปฎิรูปกองทัพไทยเท่านั้น แต่เราพลาดที่เราไม่ได้ทำอะไรกับระบบการเมืองไทย เรามีความคาดหวังว่าจะมีรัฐธรรมนูญที่สวยหรู ถือธงสีเขียวอ่อน พอวันหนึ่งไม่ชอบก็ถือธงสีเขียวขี้ม้า ออกมาเรียกร้อง
คนเดิมที่เรียกร้องให้เรารับรองรัฐธรรมนูญ 40 พอถึงรัฐประหารครั้งหลังกลับกลายเป็นคนชุดเเดียวกันในปี 2549 ที่เรียกร้องให้เรารับรองการรัฐประหาร ถ้าแบบนี้สังคมไทยต้องคิดกันยาวๆแล้ว แต่ปัญหาทั้งหมดอย่าโทษใคร ต้องโทษอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอย่าไปโทษทหาร กองทัพบกก็ไม่น่ากลัว เพราะสุดท้ายเราทำการปฎิรูปทั้งระบบได้จริง ปัญหาที่เราพูดมาไม่หมดแต่จะลดความน่ากลัวลง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดวันนี้ปัญญาชนในมหาวิทยาลัยไทยเหลืองจนไม่มีวิธีคิดอะไรอื่นเหลือ
วันนี้เราพูดสุภาษิตเก่าว่า เผาบ้านไล่หนู วันนี้บ้านก็ไหม้ หนูก็จับไม่ได้ ก้าวก็ไม่พ้นทักษิณ แล้วตกลงเหลืออะไรกับอนาคตของพวกเราทุกคน วันนี้บทเรียนใหญ่จะเอาอย่างไรกับอนาคตของตัวเราเองในทางการเมือง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
----------------------------------------------------------------
เนวินเปิดใจ-ทำไมต้องนิรโทษฯ
นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เขียนหนังสือ "ทำไมต้องนิรโทษกรรม" เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชน จำนวน 3 แสนเล่ม
เพื่อใช้ในการรณรงค์ผลักดันร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีข้อหากระทำความผิด อันเนื่องมาจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หากทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ไม่ควรต้องรับโทษ ถ้าไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ในฐานะที่ทำงานมวลชนคลุกคลีกับประชาชนกว่า 30 ปี เห็นว่าทางออกทางเดียวที่จะนำประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ คือต้องนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ต้อง "ชักฟืนออกจากกองไฟ"
"ฟืน" หมายถึง มวลชนหรือประชาชนที่ถูกปลุกระดมขึ้นมา แล้วถูกผลักเข้าใส่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการไม่สมประ โยชน์ทางการเมืองของนักการเมือง
"ไฟ" หมายถึง ความโกรธแค้นและความต้องการเอาชนะ การผูกใจเจ็บ และไม่ให้อภัย ซึ่งนักการเมืองบางคนและผู้ไม่สมประโยชน์ทางการเมืองบางคนร่วมกันก่อขึ้น
เพื่อบ้านเมืองต้องไม่มีเงื่อนไข ทุกอย่างต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ หรือเซ็ตซีโร่ (set zero) โดยการนิรโทษกรรมเป็นหัวใจหลัก หากไม่สามารถจบเรื่องเก่าก็ไม่มีทางที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์
การนิรโทษกรรมเป็นการแก้ปัญหาแบบไทยสไตล์ คืออโหสิแก่กัน วันนี้ มีคนตกเป็นผู้ต้องหามากมาย หากไม่เอาคนบริสุทธิ์ออกมาก่อน ปัญหาจะลุกลาม
แต่พอมีแนวคิดนี้ก็มีเสียงคัดค้าน ผมก็ประหลาดใจ ในขณะที่มีความพยายามนิรโทษกรรมให้คนที่เคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ใจกลับถูกคัดค้าน แต่การเรียกร้องอภัยโทษคนคนเดียวกลับมีคนสนับ สนุน
การนิรโทษกรรมที่ผมเสนอ ครอบคลุมและเป็นประโยชน์เฉพาะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมโดยสุจริตและบริสุทธิ์ใจเท่านั้น
ผู้สั่งการและนักการเมืองที่บงการทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง หากทำให้บ้านเมืองเสียหาย ยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้น รวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
มีคำถามว่าที่ให้จบเรื่องเก่า หมายถึงจบการตรวจสอบของศาลด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกัน
การนิรโทษกรรมให้เฉพาะคนที่มาร่วมชุมนุม ไม่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมทางการเมืองให้พวกผมเพราะไม่จำเป็น
ในภาวะบ้านเมืองขัดแย้งเช่นนี้ คนในสังคมต้องลืมเรื่องเก่า วันนี้ต้องรีบชักฟืนออกจากไฟให้หมด เหลือเท่าไหร่ค่อยมาช่วยกันดับ
มีคนจำนวนมากที่เข้าร่วมชุมนุม ร่วมทำกิจกรรมในการชุมนุมเพื่อแสดงว่ามีอุดมการณ์เหมือนกันและไม่ได้ไปร่วมก่อจลาจลด้วย
แต่ในความเป็นจริงมีจำนวนมากที่ถูกจับดำเนินคดี เพราะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการก่อจลาจล เผาศาลากลางจังหวัดและสถานที่ราชการ
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คนเหล่านั้นถูกดำเนินคดีทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เพราะเข้าร่วมชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่รู้ตัวมาก่อนว่ามีความผิดร้ายแรงเพียงใด
คนที่ไม่ได้เจตนากระทำผิด ไม่มีเจตนาปิดสนามบินก็ไม่ต้องรับโทษ แต่คนวางแผนปิดสนามบิน คนที่ชักชวนไปปิดสนามบิน พวกนี้ยังต้องถูกดำเนินคดีต่อไป
"นิรโทษกรรม" ช่วยผู้บริสุทธิ์พ้นคุก เพราะการไปร่วมชุมนุม ยืนดู ยืนเชียร์ ในฐานะผู้สนับสนุนเป็นความผิด ในขณะที่ผู้ลงมือ ผู้สั่งการ ผู้ก่อการตัวจริง ไม่ถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดีเพราะหนีไปหมด
หนทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องรับโทษ ไม่มีความผิด ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ปลดปล่อยประชาชน ผู้บริสุทธิ์ ออกจากข้อกล่าวหาทั้งหมด เพราะไม่มีทางอื่นจริงๆ
ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ ประชุมกรรมการปรองดอง ประชุมกรรมการสมานฉันท์ ไม่ว่าจะมีมติออกมาอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์
แต่กำลังถูกดำเนินคดีในขณะนี้ พ้นผิดได้ เว้นเสียแต่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรม
ผมประหลาดใจกับข้อเสนอไม่ให้เอาผิดกับประชาชนทั้ง 2 สีเสื้อ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค กลับถูกนักการเมือง 2 พรรคใหญ่โยนทิ้งแบบไม่เห็นค่า และไม่ให้เวลาพิจารณาแม้แต่วินาทีเดียว
พรรคหนึ่งกับสีหนึ่ง อ้างว่าพวกตนไม่ผิด ไม่ต้องการนิรโทษกรรม โดยไม่สอบถามประชาชนที่ต้องคดีที่หลบหนี และที่อยู่ในเรือนจำแม้แต่คำเดียว
พรรคหนึ่งกับสีหนึ่ง บอกว่านิรโทษกรรมจะทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ และคนผิดจะไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งที่หลายคนในพรรคนั้นและสีนั้น ก็เคยได้รับนิรโทษกรรมจากคำสั่ง 66/2523 ไม่ต้องไปหลบซ่อน หนีคดีอยู่ในป่า ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคม
กลับเป็นผมที่ถูกถล่ม และถูกหวาดระแวงสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
หลังการถล่มผม และตั้งข้อสงสัยหวาดระแวงต่อข้อเสนอของผมและไม่เหลียวแล ไม่ไยดีต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ไม่มีหนทางอื่น ไม่มีแนวทางใดๆ ที่จะเป็นทางออกให้แก่ประเทศไทยของเราจากปากของพรรคและแกนนำการชุมนุมทั้ง 2 สี
ตรงกันข้ามสถานการณ์การเมืองเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนเกิดเหตุ การณ์ เม.ย.-พ.ค.53 และจบลงด้วยความเสียใจของคนไทยทั้งประเทศ
1 ปีหลังจากที่ผมได้เสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมผ่านไปเหตุการณ์บ้านเมืองก็ดำเนินไปในทิศทางที่วิกฤตรุนแรง
วันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ในเวทีอภิปรายของ กกต. ผมชี้ให้ทุกคนเห็นว่าประเทศไทยวันนี้อยู่บนสถานการณ์พิเศษ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างไม่ปกติ คือมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในสังคมไทย ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยากแก่การแก้ไข คือ
1. บนสถานการณ์พิเศษที่มีการนำสถาบันหลักของชาติมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองและการต่อสู้ของคนในชาติ
2. บนสถานการณ์พิเศษมีการสร้างความแตกแยกของคนในชาติ เพื่อประโยชน์ของพรรคและผู้นำทางการเมือง ความแตกแยกของบ้านเมืองส่วนหนึ่งเกิดจากการขับเคลื่อนของพรรคการเมือง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกพรรคมีส่วนร่วมเป็นฟืนคนละท่อน ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ดังนั้น ทุกพรรคต้องนำความปกติสุขกลับมาสู่บ้านเมือง ด้วย 2 ภารกิจ คือ
1. ปกป้องสถาบันสูงสุดของชาติ
2. สร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งมีกระแสมาโดยตลอดแต่ทั้งหมดเป็นแค่นามธรรม 1 ปีที่ผ่านมาทุกคนปากบอกปรองดอง แต่หลังประโยคนี้มักจะมีเงื่อนไขเสมอ ทำให้บ้านเมืองเดินไม่ได้
สถานะของผมขณะนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม และจะไม่หาประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างเด็ดขาด
ที่จริงผมอยู่เฉยๆ เงียบๆ ก็ไม่ถูกด่า ไม่ถูกกล่าวหา ไม่ถูกหวาดระแวง ไม่เสียเพื่อน ไม่เสียมิตรทางการเมือง ไม่ต้องทำให้เพื่อนเข้าใจผิด คิดว่าเอาใจออกห่างเหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
แต่ผมเห็นความเดือดร้อนของประชาชนบริสุทธิ์ที่ต้องไปติดคุกติดตะรางไม่ได้
ที่ผ่านมา ผมเคยเสนอแนวคิดนี้ แล้วผลักดันให้พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่ 1 ปีผ่านไปร่างกฎหมายฉบับนั้นไม่กระดิก ไม่ไหวติง เพราะพรรคอื่นๆ ไม่เอาด้วย
แต่ปีนี้ผมมีวิธีการของผมที่จะเคลื่อนต่อไปและตั้งใจจะทำให้สำเร็จ
แต่ผมคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ จึงเสนอว่าหากประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ไม่ว่าจะสีใด ฝ่ายใด สนับสนุนพรรคใดก็ตามเห็นว่ากฎหมายนิรโทษกรรมจะช่วยให้หลุดพ้นจาก ความเดือดร้อนที่กำลังได้รับอยู่
ขอให้ช่วยกันลงชื่อเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับประชาชนเข้าสู่สภา
ผมไม่ได้ยึดติดว่าทางออกของประเทศไทยจะมีแนวทางเดียวคือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ขณะนี้ผมคิดได้เพียงเท่านี้
หากท่านใด พรรคใดมีวิธีการที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า ให้เสนอออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนพิจารณา ให้สังคมตัดสิน
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดที่เสนอเข้ามาแล้วสังคมเสียงส่วนใหญ่ ประชาชนเห็นด้วย ผมก็พร้อมจะสนับสนุน เป็นมือ เป็นเท้า เป็นกำลังในการขับเคลื่อน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
-----------------------------------------------------------------------
เพื่อใช้ในการรณรงค์ผลักดันร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีข้อหากระทำความผิด อันเนื่องมาจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หากทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ไม่ควรต้องรับโทษ ถ้าไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ในฐานะที่ทำงานมวลชนคลุกคลีกับประชาชนกว่า 30 ปี เห็นว่าทางออกทางเดียวที่จะนำประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ คือต้องนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ต้อง "ชักฟืนออกจากกองไฟ"
"ฟืน" หมายถึง มวลชนหรือประชาชนที่ถูกปลุกระดมขึ้นมา แล้วถูกผลักเข้าใส่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการไม่สมประ โยชน์ทางการเมืองของนักการเมือง
"ไฟ" หมายถึง ความโกรธแค้นและความต้องการเอาชนะ การผูกใจเจ็บ และไม่ให้อภัย ซึ่งนักการเมืองบางคนและผู้ไม่สมประโยชน์ทางการเมืองบางคนร่วมกันก่อขึ้น
เพื่อบ้านเมืองต้องไม่มีเงื่อนไข ทุกอย่างต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ หรือเซ็ตซีโร่ (set zero) โดยการนิรโทษกรรมเป็นหัวใจหลัก หากไม่สามารถจบเรื่องเก่าก็ไม่มีทางที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์
การนิรโทษกรรมเป็นการแก้ปัญหาแบบไทยสไตล์ คืออโหสิแก่กัน วันนี้ มีคนตกเป็นผู้ต้องหามากมาย หากไม่เอาคนบริสุทธิ์ออกมาก่อน ปัญหาจะลุกลาม
แต่พอมีแนวคิดนี้ก็มีเสียงคัดค้าน ผมก็ประหลาดใจ ในขณะที่มีความพยายามนิรโทษกรรมให้คนที่เคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ใจกลับถูกคัดค้าน แต่การเรียกร้องอภัยโทษคนคนเดียวกลับมีคนสนับ สนุน
การนิรโทษกรรมที่ผมเสนอ ครอบคลุมและเป็นประโยชน์เฉพาะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมโดยสุจริตและบริสุทธิ์ใจเท่านั้น
ผู้สั่งการและนักการเมืองที่บงการทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง หากทำให้บ้านเมืองเสียหาย ยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้น รวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
มีคำถามว่าที่ให้จบเรื่องเก่า หมายถึงจบการตรวจสอบของศาลด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกัน
การนิรโทษกรรมให้เฉพาะคนที่มาร่วมชุมนุม ไม่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมทางการเมืองให้พวกผมเพราะไม่จำเป็น
ในภาวะบ้านเมืองขัดแย้งเช่นนี้ คนในสังคมต้องลืมเรื่องเก่า วันนี้ต้องรีบชักฟืนออกจากไฟให้หมด เหลือเท่าไหร่ค่อยมาช่วยกันดับ
มีคนจำนวนมากที่เข้าร่วมชุมนุม ร่วมทำกิจกรรมในการชุมนุมเพื่อแสดงว่ามีอุดมการณ์เหมือนกันและไม่ได้ไปร่วมก่อจลาจลด้วย
แต่ในความเป็นจริงมีจำนวนมากที่ถูกจับดำเนินคดี เพราะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการก่อจลาจล เผาศาลากลางจังหวัดและสถานที่ราชการ
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คนเหล่านั้นถูกดำเนินคดีทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เพราะเข้าร่วมชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่รู้ตัวมาก่อนว่ามีความผิดร้ายแรงเพียงใด
คนที่ไม่ได้เจตนากระทำผิด ไม่มีเจตนาปิดสนามบินก็ไม่ต้องรับโทษ แต่คนวางแผนปิดสนามบิน คนที่ชักชวนไปปิดสนามบิน พวกนี้ยังต้องถูกดำเนินคดีต่อไป
"นิรโทษกรรม" ช่วยผู้บริสุทธิ์พ้นคุก เพราะการไปร่วมชุมนุม ยืนดู ยืนเชียร์ ในฐานะผู้สนับสนุนเป็นความผิด ในขณะที่ผู้ลงมือ ผู้สั่งการ ผู้ก่อการตัวจริง ไม่ถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดีเพราะหนีไปหมด
หนทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องรับโทษ ไม่มีความผิด ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ปลดปล่อยประชาชน ผู้บริสุทธิ์ ออกจากข้อกล่าวหาทั้งหมด เพราะไม่มีทางอื่นจริงๆ
ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ ประชุมกรรมการปรองดอง ประชุมกรรมการสมานฉันท์ ไม่ว่าจะมีมติออกมาอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์
แต่กำลังถูกดำเนินคดีในขณะนี้ พ้นผิดได้ เว้นเสียแต่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรม
ผมประหลาดใจกับข้อเสนอไม่ให้เอาผิดกับประชาชนทั้ง 2 สีเสื้อ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค กลับถูกนักการเมือง 2 พรรคใหญ่โยนทิ้งแบบไม่เห็นค่า และไม่ให้เวลาพิจารณาแม้แต่วินาทีเดียว
พรรคหนึ่งกับสีหนึ่ง อ้างว่าพวกตนไม่ผิด ไม่ต้องการนิรโทษกรรม โดยไม่สอบถามประชาชนที่ต้องคดีที่หลบหนี และที่อยู่ในเรือนจำแม้แต่คำเดียว
พรรคหนึ่งกับสีหนึ่ง บอกว่านิรโทษกรรมจะทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ และคนผิดจะไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งที่หลายคนในพรรคนั้นและสีนั้น ก็เคยได้รับนิรโทษกรรมจากคำสั่ง 66/2523 ไม่ต้องไปหลบซ่อน หนีคดีอยู่ในป่า ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคม
กลับเป็นผมที่ถูกถล่ม และถูกหวาดระแวงสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
หลังการถล่มผม และตั้งข้อสงสัยหวาดระแวงต่อข้อเสนอของผมและไม่เหลียวแล ไม่ไยดีต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ไม่มีหนทางอื่น ไม่มีแนวทางใดๆ ที่จะเป็นทางออกให้แก่ประเทศไทยของเราจากปากของพรรคและแกนนำการชุมนุมทั้ง 2 สี
ตรงกันข้ามสถานการณ์การเมืองเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนเกิดเหตุ การณ์ เม.ย.-พ.ค.53 และจบลงด้วยความเสียใจของคนไทยทั้งประเทศ
1 ปีหลังจากที่ผมได้เสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมผ่านไปเหตุการณ์บ้านเมืองก็ดำเนินไปในทิศทางที่วิกฤตรุนแรง
วันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ในเวทีอภิปรายของ กกต. ผมชี้ให้ทุกคนเห็นว่าประเทศไทยวันนี้อยู่บนสถานการณ์พิเศษ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างไม่ปกติ คือมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในสังคมไทย ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยากแก่การแก้ไข คือ
1. บนสถานการณ์พิเศษที่มีการนำสถาบันหลักของชาติมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองและการต่อสู้ของคนในชาติ
2. บนสถานการณ์พิเศษมีการสร้างความแตกแยกของคนในชาติ เพื่อประโยชน์ของพรรคและผู้นำทางการเมือง ความแตกแยกของบ้านเมืองส่วนหนึ่งเกิดจากการขับเคลื่อนของพรรคการเมือง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกพรรคมีส่วนร่วมเป็นฟืนคนละท่อน ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ดังนั้น ทุกพรรคต้องนำความปกติสุขกลับมาสู่บ้านเมือง ด้วย 2 ภารกิจ คือ
1. ปกป้องสถาบันสูงสุดของชาติ
2. สร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งมีกระแสมาโดยตลอดแต่ทั้งหมดเป็นแค่นามธรรม 1 ปีที่ผ่านมาทุกคนปากบอกปรองดอง แต่หลังประโยคนี้มักจะมีเงื่อนไขเสมอ ทำให้บ้านเมืองเดินไม่ได้
สถานะของผมขณะนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม และจะไม่หาประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างเด็ดขาด
ที่จริงผมอยู่เฉยๆ เงียบๆ ก็ไม่ถูกด่า ไม่ถูกกล่าวหา ไม่ถูกหวาดระแวง ไม่เสียเพื่อน ไม่เสียมิตรทางการเมือง ไม่ต้องทำให้เพื่อนเข้าใจผิด คิดว่าเอาใจออกห่างเหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
แต่ผมเห็นความเดือดร้อนของประชาชนบริสุทธิ์ที่ต้องไปติดคุกติดตะรางไม่ได้
ที่ผ่านมา ผมเคยเสนอแนวคิดนี้ แล้วผลักดันให้พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่ 1 ปีผ่านไปร่างกฎหมายฉบับนั้นไม่กระดิก ไม่ไหวติง เพราะพรรคอื่นๆ ไม่เอาด้วย
แต่ปีนี้ผมมีวิธีการของผมที่จะเคลื่อนต่อไปและตั้งใจจะทำให้สำเร็จ
แต่ผมคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ จึงเสนอว่าหากประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ไม่ว่าจะสีใด ฝ่ายใด สนับสนุนพรรคใดก็ตามเห็นว่ากฎหมายนิรโทษกรรมจะช่วยให้หลุดพ้นจาก ความเดือดร้อนที่กำลังได้รับอยู่
ขอให้ช่วยกันลงชื่อเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับประชาชนเข้าสู่สภา
ผมไม่ได้ยึดติดว่าทางออกของประเทศไทยจะมีแนวทางเดียวคือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ขณะนี้ผมคิดได้เพียงเท่านี้
หากท่านใด พรรคใดมีวิธีการที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า ให้เสนอออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนพิจารณา ให้สังคมตัดสิน
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดที่เสนอเข้ามาแล้วสังคมเสียงส่วนใหญ่ ประชาชนเห็นด้วย ผมก็พร้อมจะสนับสนุน เป็นมือ เป็นเท้า เป็นกำลังในการขับเคลื่อน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
-----------------------------------------------------------------------
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553
‘ขี้ข้านักการเมืองได้ดี’!!
คอมเมนท์ ขีดเส้นใต้ บ่งบอก มาจาก “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แบบเหน็บแนมแกมประชด เต็มที่??
ถึง “ติงลี่บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ผู้มากอำนาจ แห่งพรรคภูมิใจไทย จะส่ง “มงคล สุระสัจจะ” เข้าเทกโอเวอร์ เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย”
อย่าเป็น “โรคอัลไซเมอร์” คนที่นั่งหัวโต๊ะ เป็น “ประธานที่ประชุมครม.” ก็ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ใช่มั้ย
อีกทั้งประมูล “คอมฯ ฉาว” ที่เหม็นโฉ่ เกิดเหตุเฉาฉุ่ย มานานเป็นปี..แต่ “ประชาธิปัตย์” อมสากไม่ยักออกมาพูด..พอมีเรื่อง “กินใจ” ก็งัดเรื่องนี้ออกมากระตู้วู้!!!
หรือเห็น “เนวิน”หมดความสำคัญ...จึงงัดวิชามาร?...ใส่กัน ประหนึ่งว่าเป็นศัตรู??
___________________________________
เหมือนมี‘มารตามมาผจญ’!!!
วิบากกรรม ตามเล่นงาน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่ทว่า.. “เนวิน ชิดชอบ” ผู้สั่งการอยู่หลังฉาก “พรรคภูมิใจไทย” ก็รอดตัวได้ ทุกหน???
เพื่อความสิริมงคลแก่ชีวิตตัวเอง...คล้ายวันเกิดแฮปปี้เบิร์ดเดย์ วันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม เดือนหน้าที่จะถึง.. “เนวิน ชิดชอบ” จะปิดจังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยงฉลองใหญ่ ที่ลืมตาดูโลก
โดยจะ ตักบาตรทำบุญอย่างเดียว เพื่อแก้วิกฤติที่ “ดวงกำลังตก”
๑ ปี วันเกิดจะมาถึงที คราวนี้ “เนวิน ติงลี่ อีสานใต้” เห็นสัจธรรมถ่องแท้..ว่าไม่มี “มิตรแท้และศัตรูถาวร”..เพราะสู้แปรพักตร์ มาภักดี “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สุดท้ายเขา ก็ถูกเล่นงาน
ซื่อสัตย์แต่โดนตีกระหน่ำ.. “เนวิน” จึงช้ำ?..จึงประกาศ ขอกรวดน้ำแล้วคว่ำขัน???
____________________________________
เรื่อง‘รัฐบาล’ท่านไม่เกี่ยว!!
แต่เรื่องในพรรคประชาธิปัตย์ “นายหัวชวน หลีกภัย” ท่านคอนโทรล กำกับได้คนเดียว
เมื่อ “ชุมพล กาญจนะ” หลุดห้วงอวกาศ พ้นจากเก้าอี้ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะ “ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์” เกิดกรณีซุกหุ้น
ตำแหน่งนี้ใครจะมาแทน...แอ่น แอ๊น ต้องดู “ใบสั่ง” จาก “บิ๊กชวน” เท่านั้นแหละคุณ
ขืน “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แหยม เข้ามายุ่มย่าม เรื่องจะยุ่งยาก..เมื่อ “บิ๊กชวน” ปล่อยมือ ไม่ไปช่วยหาเสียงที่ “สุราษฎร์ธานี” ประชาธิปัตย์ อาจจะแพ้!
เพราะ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”....ไม่อยู่ในสเตป?...เก็บเป็นขวัญใจ “คนใต้พันธุ์แท้”???
__________________________________
อดีตเป็น‘หัวหน้าพรรค’ที่ยิ่งใหญ่!!
แต่ปัจจุบัน “บัญญัติ บรรทัดฐาน” เป็น “ไม้ประดับ” เท่านั้นแหละ จะบอกให้??
อย่าได้ฝันให้ไกลไปให้ถึง ว่า “บิ๊กบัญญัติ” จะใช้กำลังภายในส่ง“โกเมศ ขวัญเมือง” อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี เด็กสร้าง ลงสมัครส.ส. แทน คุณพี่ชุมพล กาญจนะ ที่โดนเชือดชักกะแด่ว
บัดนี้ “ท่านบัญญัติ” กลายเป็นคน ขาดน้ำหนัก ไร้บารมี ในพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว
ที่ผ่านมา “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยกเครื่อง ผ่าห้องเครื่อง ปรับ ครม.มาตั้งหลายเที่ยว..แต่ กลุ่ม ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่สังกัดอยู่กับ “ท่านบัญญัติ” ไม่เคยได้เป็นรัฐมนตรี!!!
กลุ่ม “ท่านบัญญัติ” มีแต่โดนดอร์ฟ..เหมือนตัวประกอบ?..ไม่เคยมีความชอบ สักที??
__________________________________
มี‘ผลงาน’คนเขา ต้องปลื้ม!!
แต่ทว่าเนี่ย... “เม็ดงาน” ไม่มี แต่เมื่อ ออกจอทีวีกันบ่อยๆ ประชาชนจึงด่ากันให้ตรึม??
ก็,โฆษณาที่มี “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช”, “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.สาธารณสุข และ “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” รมว.ศึกษาฯ เป็นพรีเซ็นเตอร์
เป็นรัฐบาลมานานโข...ผลงานชิ้นโบแดง มีที่ไหนล่ะเธอ
การโปรโมท โปรประกันดา ต้องเอา “ผลงานมาเป็นเครื่องพิสูจน์”..นี่ผลงานที่จับได้ ไม่มีสักหน่อย!!!
ขายแต่ “ภาพลวงตา”.....อุ้ย, คนเขาเอือมระอา?....ไม่อยากเห็นขี้หน้า มนุษย์ขี้ฝอย??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถึง “ติงลี่บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ผู้มากอำนาจ แห่งพรรคภูมิใจไทย จะส่ง “มงคล สุระสัจจะ” เข้าเทกโอเวอร์ เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย”
อย่าเป็น “โรคอัลไซเมอร์” คนที่นั่งหัวโต๊ะ เป็น “ประธานที่ประชุมครม.” ก็ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ใช่มั้ย
อีกทั้งประมูล “คอมฯ ฉาว” ที่เหม็นโฉ่ เกิดเหตุเฉาฉุ่ย มานานเป็นปี..แต่ “ประชาธิปัตย์” อมสากไม่ยักออกมาพูด..พอมีเรื่อง “กินใจ” ก็งัดเรื่องนี้ออกมากระตู้วู้!!!
หรือเห็น “เนวิน”หมดความสำคัญ...จึงงัดวิชามาร?...ใส่กัน ประหนึ่งว่าเป็นศัตรู??
___________________________________
เหมือนมี‘มารตามมาผจญ’!!!
วิบากกรรม ตามเล่นงาน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่ทว่า.. “เนวิน ชิดชอบ” ผู้สั่งการอยู่หลังฉาก “พรรคภูมิใจไทย” ก็รอดตัวได้ ทุกหน???
เพื่อความสิริมงคลแก่ชีวิตตัวเอง...คล้ายวันเกิดแฮปปี้เบิร์ดเดย์ วันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม เดือนหน้าที่จะถึง.. “เนวิน ชิดชอบ” จะปิดจังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยงฉลองใหญ่ ที่ลืมตาดูโลก
โดยจะ ตักบาตรทำบุญอย่างเดียว เพื่อแก้วิกฤติที่ “ดวงกำลังตก”
๑ ปี วันเกิดจะมาถึงที คราวนี้ “เนวิน ติงลี่ อีสานใต้” เห็นสัจธรรมถ่องแท้..ว่าไม่มี “มิตรแท้และศัตรูถาวร”..เพราะสู้แปรพักตร์ มาภักดี “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สุดท้ายเขา ก็ถูกเล่นงาน
ซื่อสัตย์แต่โดนตีกระหน่ำ.. “เนวิน” จึงช้ำ?..จึงประกาศ ขอกรวดน้ำแล้วคว่ำขัน???
____________________________________
เรื่อง‘รัฐบาล’ท่านไม่เกี่ยว!!
แต่เรื่องในพรรคประชาธิปัตย์ “นายหัวชวน หลีกภัย” ท่านคอนโทรล กำกับได้คนเดียว
เมื่อ “ชุมพล กาญจนะ” หลุดห้วงอวกาศ พ้นจากเก้าอี้ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะ “ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์” เกิดกรณีซุกหุ้น
ตำแหน่งนี้ใครจะมาแทน...แอ่น แอ๊น ต้องดู “ใบสั่ง” จาก “บิ๊กชวน” เท่านั้นแหละคุณ
ขืน “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แหยม เข้ามายุ่มย่าม เรื่องจะยุ่งยาก..เมื่อ “บิ๊กชวน” ปล่อยมือ ไม่ไปช่วยหาเสียงที่ “สุราษฎร์ธานี” ประชาธิปัตย์ อาจจะแพ้!
เพราะ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”....ไม่อยู่ในสเตป?...เก็บเป็นขวัญใจ “คนใต้พันธุ์แท้”???
__________________________________
อดีตเป็น‘หัวหน้าพรรค’ที่ยิ่งใหญ่!!
แต่ปัจจุบัน “บัญญัติ บรรทัดฐาน” เป็น “ไม้ประดับ” เท่านั้นแหละ จะบอกให้??
อย่าได้ฝันให้ไกลไปให้ถึง ว่า “บิ๊กบัญญัติ” จะใช้กำลังภายในส่ง“โกเมศ ขวัญเมือง” อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี เด็กสร้าง ลงสมัครส.ส. แทน คุณพี่ชุมพล กาญจนะ ที่โดนเชือดชักกะแด่ว
บัดนี้ “ท่านบัญญัติ” กลายเป็นคน ขาดน้ำหนัก ไร้บารมี ในพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว
ที่ผ่านมา “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยกเครื่อง ผ่าห้องเครื่อง ปรับ ครม.มาตั้งหลายเที่ยว..แต่ กลุ่ม ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่สังกัดอยู่กับ “ท่านบัญญัติ” ไม่เคยได้เป็นรัฐมนตรี!!!
กลุ่ม “ท่านบัญญัติ” มีแต่โดนดอร์ฟ..เหมือนตัวประกอบ?..ไม่เคยมีความชอบ สักที??
__________________________________
มี‘ผลงาน’คนเขา ต้องปลื้ม!!
แต่ทว่าเนี่ย... “เม็ดงาน” ไม่มี แต่เมื่อ ออกจอทีวีกันบ่อยๆ ประชาชนจึงด่ากันให้ตรึม??
ก็,โฆษณาที่มี “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช”, “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.สาธารณสุข และ “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” รมว.ศึกษาฯ เป็นพรีเซ็นเตอร์
เป็นรัฐบาลมานานโข...ผลงานชิ้นโบแดง มีที่ไหนล่ะเธอ
การโปรโมท โปรประกันดา ต้องเอา “ผลงานมาเป็นเครื่องพิสูจน์”..นี่ผลงานที่จับได้ ไม่มีสักหน่อย!!!
ขายแต่ “ภาพลวงตา”.....อุ้ย, คนเขาเอือมระอา?....ไม่อยากเห็นขี้หน้า มนุษย์ขี้ฝอย??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โดดเดี่ยว ประชาธิปัตย์
มีสิ่งบอกเหตุมากมาย ที่ส่อแสดงให้รู้ว่า ...การเลือกตั้งข้างหน้าจะเกิดขึ้นมาเร็วกว่า... ไม่ใช่ปลายปีหน้าหรือต้นปีโน้น อย่างที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวไว้
นายกรัฐมนตรีเอง ก็เท้าความเอาบุญคุณมากมายในระหว่างนี้ พูดถึงเงื่อนไขที่เสนอมามากมายแต่ได้รับการปฏิเสธจากหลายๆ ฝ่ายนายกรัฐมนตรี เกริ่นถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 หากมีบุญได้กลับมาอีกครั้ง
พรรคภูมิใจไทย ที่มีเกจิใหญ่อย่าง เนวิน ชิดชอบ คุมบังเหียน..ก็ขยับตัวอย่างเต็มที่ รับกระแสเลือกตั้งที่จะมาถึงก่อนกำหนด..ภูมิใจไทย เริ่มแสดงให้ประชาธิปัตย์เห็นถึงความเป็นตัวของ ตัวเองของพรรคภูมิใจไทยในหลายๆ เรื่อง..อาทิเช่น การสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ..เป็นเขต เล็กเบอร์เดียว ที่สวนทางกับพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างตรงกันข้าม
แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการ..นำเสนอร่าง กฎหมายนิรโทษกรรมให้กับหลายๆ กลุ่ม ฝ่าย สวนกระแสไม่เห็นด้วยของพรรคประชาธิปัตย์ ชนิดที่เรียกว่า หากประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนก็จะนำพรรคร่วมไปรวมตัวกับเพื่อไทย เพื่อให้ มีการนิรโทษกรรม
ความเคลื่อนไหวแบบแปลกรูปแปลกตาของ..ภูมิใจไทย..ทำให้ประชาธิปัตย์เริ่มถูกโดดเดี่ยว..อีกคราวในรัฐสภา..เหมือนเมื่อครั้งเป็นฝ่าย ค้านในอดีต
ในแวดวงบู๊ลิ้มมีอยู่ประโยคหนึ่ง ความว่า ...ศัตรูของศัตรูคือมิตร..จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก ว่า..พรรคภูมิใจไทยจะหันไปคบค้าสมาคมกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...โดยที่ ทักษิณ ชินวัตร กับ เนวิน ชิดชอบ ไม่ต้องพบปะกัน หากนั่นคือการเกิดขึ้นมาของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
หรือแม้แต่จะมีพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามา ร่วมมหกรรมโดดเดี่ยวประชาธิปัตย์เลือกตั้งจะเร็วขึ้นมา..หากว่า..พรรคประชาธิปัตย์จะต้องถูกยุบพรรค เพราะความบกพร่องในเรื่องการใช้เงินผิดประเภท..หลายกรรมต่าง วาระ และหากประชาธิปัตย์พ้นความผิดไปได้ด้วยประการและประเด็นใดๆ
และดูเหมือนว่า..ประชาธิปัตย์จะหนีไม่รอด เมื่อใครได้เห็นรูปคดี โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับเงินราชการของกรรมการการเลือกตั้ง..การ เมืองไทยกำลังจะมาถึงอีกวงเวียนหนึ่งของประวัติศาสตร์..
หลังผ่านวงเวียนนี้ไป..ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม
ที่มา.สยามธุรกิจ
*******************************************************************
นายกรัฐมนตรีเอง ก็เท้าความเอาบุญคุณมากมายในระหว่างนี้ พูดถึงเงื่อนไขที่เสนอมามากมายแต่ได้รับการปฏิเสธจากหลายๆ ฝ่ายนายกรัฐมนตรี เกริ่นถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 หากมีบุญได้กลับมาอีกครั้ง
พรรคภูมิใจไทย ที่มีเกจิใหญ่อย่าง เนวิน ชิดชอบ คุมบังเหียน..ก็ขยับตัวอย่างเต็มที่ รับกระแสเลือกตั้งที่จะมาถึงก่อนกำหนด..ภูมิใจไทย เริ่มแสดงให้ประชาธิปัตย์เห็นถึงความเป็นตัวของ ตัวเองของพรรคภูมิใจไทยในหลายๆ เรื่อง..อาทิเช่น การสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ..เป็นเขต เล็กเบอร์เดียว ที่สวนทางกับพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างตรงกันข้าม
แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการ..นำเสนอร่าง กฎหมายนิรโทษกรรมให้กับหลายๆ กลุ่ม ฝ่าย สวนกระแสไม่เห็นด้วยของพรรคประชาธิปัตย์ ชนิดที่เรียกว่า หากประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนก็จะนำพรรคร่วมไปรวมตัวกับเพื่อไทย เพื่อให้ มีการนิรโทษกรรม
ความเคลื่อนไหวแบบแปลกรูปแปลกตาของ..ภูมิใจไทย..ทำให้ประชาธิปัตย์เริ่มถูกโดดเดี่ยว..อีกคราวในรัฐสภา..เหมือนเมื่อครั้งเป็นฝ่าย ค้านในอดีต
ในแวดวงบู๊ลิ้มมีอยู่ประโยคหนึ่ง ความว่า ...ศัตรูของศัตรูคือมิตร..จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก ว่า..พรรคภูมิใจไทยจะหันไปคบค้าสมาคมกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...โดยที่ ทักษิณ ชินวัตร กับ เนวิน ชิดชอบ ไม่ต้องพบปะกัน หากนั่นคือการเกิดขึ้นมาของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
หรือแม้แต่จะมีพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามา ร่วมมหกรรมโดดเดี่ยวประชาธิปัตย์เลือกตั้งจะเร็วขึ้นมา..หากว่า..พรรคประชาธิปัตย์จะต้องถูกยุบพรรค เพราะความบกพร่องในเรื่องการใช้เงินผิดประเภท..หลายกรรมต่าง วาระ และหากประชาธิปัตย์พ้นความผิดไปได้ด้วยประการและประเด็นใดๆ
และดูเหมือนว่า..ประชาธิปัตย์จะหนีไม่รอด เมื่อใครได้เห็นรูปคดี โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับเงินราชการของกรรมการการเลือกตั้ง..การ เมืองไทยกำลังจะมาถึงอีกวงเวียนหนึ่งของประวัติศาสตร์..
หลังผ่านวงเวียนนี้ไป..ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม
ที่มา.สยามธุรกิจ
*******************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)