UN ไม่ปล่อยมือให้ลอยนวล -Navi Pillay หัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ทางด้านสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติออกมากล่าวเรียกร้องเมื่อวันจันทร์ให้มีคณะกรรมการสอบสวนที่ เป็นอิสระเพื่อสืบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย พร้อมย้ำว่าจะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อกฏหมายสากล ฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โทษสถานเดียวคือ "แขวนคอ "
หลังจากสภาEU(สภาสหภาพยุโรป) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ประนามรัฐบาลไทย ในการใช้กำลังทหารเข้าเข่นฆ่าสังหารหมู่ประชาชนผู้มาชุมนุมเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตยอันเป็นสากลโลก ด้วยมือเปล่า พร้อมกับได้จัดส่งคณะสืบสวนเข้ามาสืบค้นหลักฐานข้อมูลเพื่อนำตัวผู้บงการและผู้ร่ีวมกระทำความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ อันเป็นคดีที่ไม่มีอายุความนั้น แรงกดดันของประเทศสมาชิกร่วมEU ได้ส่งผลไปยัง UN ซึ่งอยู่ในสภาพนิ่งเฉยทั้งที่ได้รับรู้เรื่องราว และได้ส่งผู้สังเกตุการณ์เข้าไปยังประเทศไทย ก่อนเกิดเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ เป็นสาเหตุให้UN ไม่อาจนิ่งเฉยต่อสภาวะบีบคั้นของประชาคมโลกที่ได้รับรู้ความจริงผ่านสื่อสารไร้สายไปทั่ว ไม่อาจที่จะปัดความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งไม่อาจพึ่งอำนาจทางการเมืองของสหรัฐซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ต้องอาศัยปัจจัยหลักทางเศรษฐกิจจากเอเซีย และยุโรปเพื่อความอยู่รอด ด้วยสภาวะการบีบคั้นจากประชาคมโลก และ จีึน ซึ่งเป็นสมาชิกถาวร ได้ส่งสัญญาณด้านลบ ต่อ UN ให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อยับยั้งการขยายตัวของปัญหา อันเป็นที่ทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาภายใต้องค์กร CIA สนับสนุน วางแผน พร้อมทั้งให้งบประมาณในการก่อตั้ง ขับเคลื่อนกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งเท่ากับสหรัฐได้ขยายขอบเขตอิทธิพลเข้าสู่ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในทิศทางอันจะนำไปสู่การขยายตัวเป็นการสู้รบระดับภูมิภาค ซึ่งหากทาง UN ไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง จีนซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของUN ก็จะดำเนินการเรื่องนี้ด้วยเอกสิทธิ์ของสมาชิกถาวร
จากการกดดันจากสภา EU และประเทศที่สูญเสียพลเมืองของตน ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ นั้น ทำให้ UN จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างเป็นทางการและเป็นไปตามระบบกฏหมายสากล อันเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกในทันที โดย
Navi Pillay หัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(UN) ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการ เมืองของไทย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 80 ศพ โดยระบุว่า การกระทำผิดครั้งนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ หากผลการสอบสวนที่เป็นอิสระได้ผลว่า ใครก็ตามที่เป็นตัวผู้บงการ อันก่อให้เกิดการสังหารหมู่ประชาชน อันเป็นความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และละเมิดสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับสังคมสูงขนาดใด มีอิทธิพลเพียงใด ก็ต้องนำตัวมาลงโทษขั้นสูงสุดให้ได้โดยเฉียบขาด ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลยภาพแห่งการเคลื่อนไหวในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ีงนานาประเทศทั่วโลกยอมรับและใช้ในการปกครอง
ที่มา nonlaw forum
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
ขบวนการลิ้มเจ้า อ้างแอบแนบชิดบิดเบือนสะเทือนแผ่นดิน
4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต”
เป็นกิจกรรมสำคัญของเครือข่ายภาคประชาชนที่รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงทั้งในประเทศและทั่วโลกที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งปีที่ 4 ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แตกต่างกับปีที่ผ่านๆมา เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากถึง 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
4 ปีแห่งความหายนะ
การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “วงจรอุบาทว์” อย่างแท้จริง แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ยอมรับว่า
“ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “ความสูญเปล่า” ที่ไม่เพียงฉุดให้บ้านเมืองจมปลักลงไปในเหวลึก ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกและแบ่งฝ่ายเลือกขั้วอย่างที่ไม่เคยปรากฏแล้ว เศรษฐกิจยังพังพินาศ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ไร้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม องค์กรอิสระต่างๆถูกวิพากษ์วิจารณ์และประณามเรื่องความไม่เป็นธรรมและ 2 มาตรฐาน
แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถูกวิจารณ์ว่าตกต่ำสุดขีดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพราะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการหมกเม็ดเพื่อลดทอนและทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังหมกเม็ดมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญให้รับรองความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” อีก
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนเกิดความตื่นตัวตระหนักถึงคำว่า “ประชาธิปไตยและความยุติธรรม” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองกลับจมปลักอยู่กับโครงสร้างอำนาจเดิมๆของกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มอำมาตย์
มาตรฐานอภิสิทธิ์ชน
คนเสื้อแดงหลายล้านคนยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมด้วยมือเปล่า แต่กลับถูกปราบปรามด้วยกำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเครือข่ายขบวน การ “ล้มเจ้า” แกนนำคนเสื้อแดงถูกส่งฟ้องศาลและจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว
แต่คนเสื้อเหลืองปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายและซ่องโจร แค่มารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วปล่อยตัว
อดีตนายกรัฐมนตรีบุกรุกและครอบครองที่ดินป่าสงวนฯบนเขาไม่มีความผิดเพราะอัยการชี้ว่าขาดเจตนา แต่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณเชิงเขากลับถูกจับและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่
คนเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินและยึดทำเนียบรัฐบาลนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาลและถูกสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
7 ตุลา-พฤษภาอำมหิต 2 มาตรฐาน
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 คนเสื้อเหลืองชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 2 ราย และบาดเจ็บ 443 ราย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งสั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังมีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. กลับยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดเพราะไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังคงอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม
ม็อบเสื้อเหลืองขับรถชนและถอยหลังทับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู้คดีและไม่รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปรานีให้รอลงอาญา
ขณะที่พราหมณ์เสื้อแดง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ซึ่งทำพิธีเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ครั้งเหตุการณ์เมษายน 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศักดิ์ระพีมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
โบดำวิชาการ
นักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ถือป้ายรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดนหมาย เรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาชุมนุม 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่คนเสื้อเหลืองนับร้อยชุมนุมค้านการนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนเป็นมรดกโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดี
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากลับมีหนังสือเวียนถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาให้ควบคุมดูแลไม่ให้ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง เป็นตลกร้ายที่ไม่ต่างกับยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของนิสิต นักศึกษาไม่ให้แสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อำนาจ “โจราธิปัตย์”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังทำให้เห็นว่านักการเมือง นักวิชาการ และผู้อาวุโสของสังคมจำนวนไม่น้อยที่เคยประกาศว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับออกมาเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายตุลาการก็ยอมรับอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ทั้งที่ในระบอบประชาธิปไตยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ระบุว่า การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา เป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย
แม้จะมีตุลาการบางคนกล้าสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีคำวินิจฉัยส่วนตัวในคำพิพากษาว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วเท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
การปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” แต่เป็น “โจราธิปัตย์” โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ถือเป็นความล้มเหลวและความเลวร้ายที่สุดของสังคมไทย ทำ ให้บ้านเมืองต้องแตกแยกและหายนะมาจนทุกวันนี้
อำนาจในมือ “อำมาตย์”
เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่รายล้อมในวัง แต่ “ขบวนการอ้างแอบ” ก็ยังพยายามใช้วาทกรรมต่างๆบิดเบือนและตีความให้สูงไปกว่านั้นเพื่อเป็นอาวุธทางการเมืองกล่าวหาและทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินสายด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ให้โอวาทและบรรยายแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. และนายทหารให้ตระหนักถึงบทบาทของกองทัพ โดยเฉพาะคำว่า “รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร...”
หลังจากเกิดรัฐประหาร ซึ่งนักวิชาการมากมายระบุว่า พล.อ.เปรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสาร Image ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหาร โดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
“พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของ พล.อ.เปรมก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง...
...วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่านคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารมีการประชุมหารือที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของเครือแปซิฟิก ถึง 4 ครั้ง และทุกครั้งก็มีการเชิญบุคคลสำคัญๆที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นแขก ซึ่งต่อมานายปีย์ก็เปิดเผยเองว่าบุคคล 7 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหารคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูง สุด (ในขณะนั้น) นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้เปิดประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ รวมถึงนายปีย์ โดยยืนยันว่าไม่มีการพูดถึงการทำรัฐประหารและการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการหารือเรื่องการบ้านการเมืองกันตามปรกติ
ขบวนการลิ้มเจ้า
ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากแถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1 คือการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนเคลือบ แคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
แถลงการณ์ดังกล่าวสอดรับกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และสื่อของเขาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนัก ทั้งเรื่องคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มี “สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง” ชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องจนเป็นกลุ่มพันธมิตรฯในปัจจุบัน
รัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง “พลังประชาชน” ถูกล้มโดยวิธีพิเศษถึง 2 นายกฯ จนมาเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และยุค ศอฉ. ที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่ต่างจากรัฐบาลในยุครัฐประหารที่ยืดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างไม่มีกำหนด
_________________________________
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน...ครบรอบ 4 เดือน 19 พฤษภาอำมหิต!!
วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่”.. “กระชับวงล้อม”.. มีไว้ปราบปรามสลายการชุมนุม จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมาเรียกร้อง.. ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแม้ใช้กระสุนจริง?
วาทกรรม “ล้มเจ้า”.. “ไม่ จงรักภักดี”.. มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องหาหลักฐาน?
วาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” จึงทำท่าว่าจะเป็น “ขบวนการล้มเจ้ามือหวยบนดิน” เสียมากกว่า?
ทำไมคำว่า “ล้มเจ้า” จึงเป็นวาทกรรมตลาดกลาดเกลื่อน?
ทำไมหนังสือขายดีต้องพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า “ล้มเจ้า”?
ตราบใดที่ยังมี “ขบวนการลิ้มเจ้า” คอยเฝ้าอ้างแอบ แนบชิด บิดเบือน...
ตราบนั้น วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็จะยังคงหลอกหลอนฟั่นเฟือนสะเทือนแผ่นดินอยู่ต่อไปไม่รู้จบ...
ถ้าอยากอ่านแบบเข้มๆเต็มฉบับ แนะนำให้ไปหาซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค “ขบวนการลิ้มเจ้า” ผลงานขมปี๋...โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” มาอ่านได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นกิจกรรมสำคัญของเครือข่ายภาคประชาชนที่รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงทั้งในประเทศและทั่วโลกที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งปีที่ 4 ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แตกต่างกับปีที่ผ่านๆมา เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากถึง 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
4 ปีแห่งความหายนะ
การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “วงจรอุบาทว์” อย่างแท้จริง แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ยอมรับว่า
“ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “ความสูญเปล่า” ที่ไม่เพียงฉุดให้บ้านเมืองจมปลักลงไปในเหวลึก ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกและแบ่งฝ่ายเลือกขั้วอย่างที่ไม่เคยปรากฏแล้ว เศรษฐกิจยังพังพินาศ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ไร้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม องค์กรอิสระต่างๆถูกวิพากษ์วิจารณ์และประณามเรื่องความไม่เป็นธรรมและ 2 มาตรฐาน
แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถูกวิจารณ์ว่าตกต่ำสุดขีดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพราะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการหมกเม็ดเพื่อลดทอนและทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังหมกเม็ดมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญให้รับรองความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” อีก
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนเกิดความตื่นตัวตระหนักถึงคำว่า “ประชาธิปไตยและความยุติธรรม” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองกลับจมปลักอยู่กับโครงสร้างอำนาจเดิมๆของกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มอำมาตย์
มาตรฐานอภิสิทธิ์ชน
คนเสื้อแดงหลายล้านคนยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมด้วยมือเปล่า แต่กลับถูกปราบปรามด้วยกำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเครือข่ายขบวน การ “ล้มเจ้า” แกนนำคนเสื้อแดงถูกส่งฟ้องศาลและจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว
แต่คนเสื้อเหลืองปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายและซ่องโจร แค่มารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วปล่อยตัว
อดีตนายกรัฐมนตรีบุกรุกและครอบครองที่ดินป่าสงวนฯบนเขาไม่มีความผิดเพราะอัยการชี้ว่าขาดเจตนา แต่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณเชิงเขากลับถูกจับและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่
คนเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินและยึดทำเนียบรัฐบาลนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาลและถูกสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
7 ตุลา-พฤษภาอำมหิต 2 มาตรฐาน
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 คนเสื้อเหลืองชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 2 ราย และบาดเจ็บ 443 ราย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งสั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังมีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. กลับยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดเพราะไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังคงอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม
ม็อบเสื้อเหลืองขับรถชนและถอยหลังทับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู้คดีและไม่รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปรานีให้รอลงอาญา
ขณะที่พราหมณ์เสื้อแดง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ซึ่งทำพิธีเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ครั้งเหตุการณ์เมษายน 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศักดิ์ระพีมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
โบดำวิชาการ
นักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ถือป้ายรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดนหมาย เรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาชุมนุม 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่คนเสื้อเหลืองนับร้อยชุมนุมค้านการนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนเป็นมรดกโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดี
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากลับมีหนังสือเวียนถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาให้ควบคุมดูแลไม่ให้ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง เป็นตลกร้ายที่ไม่ต่างกับยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของนิสิต นักศึกษาไม่ให้แสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อำนาจ “โจราธิปัตย์”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังทำให้เห็นว่านักการเมือง นักวิชาการ และผู้อาวุโสของสังคมจำนวนไม่น้อยที่เคยประกาศว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับออกมาเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายตุลาการก็ยอมรับอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ทั้งที่ในระบอบประชาธิปไตยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ระบุว่า การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา เป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย
แม้จะมีตุลาการบางคนกล้าสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีคำวินิจฉัยส่วนตัวในคำพิพากษาว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วเท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
การปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” แต่เป็น “โจราธิปัตย์” โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ถือเป็นความล้มเหลวและความเลวร้ายที่สุดของสังคมไทย ทำ ให้บ้านเมืองต้องแตกแยกและหายนะมาจนทุกวันนี้
อำนาจในมือ “อำมาตย์”
เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่รายล้อมในวัง แต่ “ขบวนการอ้างแอบ” ก็ยังพยายามใช้วาทกรรมต่างๆบิดเบือนและตีความให้สูงไปกว่านั้นเพื่อเป็นอาวุธทางการเมืองกล่าวหาและทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินสายด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ให้โอวาทและบรรยายแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. และนายทหารให้ตระหนักถึงบทบาทของกองทัพ โดยเฉพาะคำว่า “รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร...”
หลังจากเกิดรัฐประหาร ซึ่งนักวิชาการมากมายระบุว่า พล.อ.เปรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสาร Image ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหาร โดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
“พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของ พล.อ.เปรมก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง...
...วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่านคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารมีการประชุมหารือที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของเครือแปซิฟิก ถึง 4 ครั้ง และทุกครั้งก็มีการเชิญบุคคลสำคัญๆที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นแขก ซึ่งต่อมานายปีย์ก็เปิดเผยเองว่าบุคคล 7 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหารคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูง สุด (ในขณะนั้น) นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้เปิดประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ รวมถึงนายปีย์ โดยยืนยันว่าไม่มีการพูดถึงการทำรัฐประหารและการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการหารือเรื่องการบ้านการเมืองกันตามปรกติ
ขบวนการลิ้มเจ้า
ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากแถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1 คือการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนเคลือบ แคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
แถลงการณ์ดังกล่าวสอดรับกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และสื่อของเขาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนัก ทั้งเรื่องคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มี “สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง” ชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องจนเป็นกลุ่มพันธมิตรฯในปัจจุบัน
รัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง “พลังประชาชน” ถูกล้มโดยวิธีพิเศษถึง 2 นายกฯ จนมาเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และยุค ศอฉ. ที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่ต่างจากรัฐบาลในยุครัฐประหารที่ยืดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างไม่มีกำหนด
_________________________________
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน...ครบรอบ 4 เดือน 19 พฤษภาอำมหิต!!
วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่”.. “กระชับวงล้อม”.. มีไว้ปราบปรามสลายการชุมนุม จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมาเรียกร้อง.. ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแม้ใช้กระสุนจริง?
วาทกรรม “ล้มเจ้า”.. “ไม่ จงรักภักดี”.. มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องหาหลักฐาน?
วาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” จึงทำท่าว่าจะเป็น “ขบวนการล้มเจ้ามือหวยบนดิน” เสียมากกว่า?
ทำไมคำว่า “ล้มเจ้า” จึงเป็นวาทกรรมตลาดกลาดเกลื่อน?
ทำไมหนังสือขายดีต้องพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า “ล้มเจ้า”?
ตราบใดที่ยังมี “ขบวนการลิ้มเจ้า” คอยเฝ้าอ้างแอบ แนบชิด บิดเบือน...
ตราบนั้น วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็จะยังคงหลอกหลอนฟั่นเฟือนสะเทือนแผ่นดินอยู่ต่อไปไม่รู้จบ...
ถ้าอยากอ่านแบบเข้มๆเต็มฉบับ แนะนำให้ไปหาซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค “ขบวนการลิ้มเจ้า” ผลงานขมปี๋...โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” มาอ่านได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เส้นทางทำกิน(แดก?)ในกระทรวงพาณิชย์
มติชนออนไลน์
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตามที่นางพรทิวา นาคาสัย เจ้ากระทรวงเสนอ
นางบุญยิ่ง มีสามีชื่อนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรีเขต 2 สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เมื่อนายสมศักดิ์แยกออกมาตั้งพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ให้นายวิวัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค(เนื่องจากนายสมศักดิ์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งการยุบพรรคไทยรักไทย) มีนางพรทิวา เป็นเลขาธิการพรรค
ปัจจุบัน นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สังกัดภรรคภูมิใจไทย(ในฐานะเลขาธิการพรรค)ในโควต้าของกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย)ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา
นอกจากความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นแล้ว การได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ย่อมทำให้นางบุญยิ่งมีอิทธิพลและ เป็นที่เกรงอกเกรงใจของข้าราชการประจำในสังกัดกระทรวงพาณิชย์
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้ที่ปรึกษาช่วยดูแลงานด้านใดด้าหนนึ่งหรือที่ปรึกษาบางคนมีบทบาทอย่างสูงในการช่วยรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน
แต่แล้วจู่ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ก็มี บริษัท กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม จำกัด หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม (ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนายวิวัฒน์ -นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่) เข้าร่วมประมูล มันเส้นล็อตใหญ่กว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท จากโกดังของรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52
ปรากฏว่า บริษัททั้ง 3 ราย((จากผู้ยื่นประมูล 7 ราย)ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานคณะทำงาน
จากนั้นเสนอเรื่องให้นางพรทิวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลังอนุมัติและนำเสนอ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง
จนกระทั่งมีการนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเมื่อวันที่ 24 สิหงาคม 2553 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการประมูลไม่มีการเปิดเผยว่า บริษัททั้ง3 แห่งเป็นบริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แต่ถูกสื่อมวลชนเปิดโปง มีการนำเอกสารหลักฐานมาเชื่อมโยงให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า บริษัทที่เข้าประมูลรวมถึงตัวบุคคลมีสายสัมพันธ์กันอย่างไรกับบริษัทของที่ปรึกษารัฐมนตรี (ดู "แกะรอยประมูลมันเส้นฉาว "กาญจนาฟาร์ม & กาญจนพันธ์ฯ" ยึดหัวหาด กวาดเรียบ 2.5 แสนตัน"
จากพฤติการณ์ดังกล่าวในการประมูล อาจเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เพราะการที่ผู้เข้าประมูลและชนะการประมูลเป็นบริษัทในเครือของของที่ปรึกษารัฐมนตรีทั้งหมดอย่างบังเอิญ ทำให้อาจมีการ"ฮั้ว" สมยอมราคาหรือตกลงราคากัน
นอกจากนั้น อาจทำให้สาธารณชนเชื่อว่า มีการใช้อิทธิพลของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าแทรกแซงการประมูลครั้งนี้ด้วยหรือไม่
การกระทำผิดในลักษณะนี้ มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 3 ปี และปรับร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ( อาจเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการประมูล รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่า การเสนอราคามีการกระทำความผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการการประมูล ต้องมีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท
การที่บริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าร่วมประมูลมันเส้น มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทและชนะการประมูลอย่างบังเอิญโดยพร้อมเพรียงดังกล่าว แม้ยังไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิดอาญาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง(เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางารเมืองอื่น นอจากคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องห้ามกระทำตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏอย่างชัดเจน ยังไม่เพียงพออีกหรือที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่กล่าวอ้างว่า รังเกียจการทุจริตและวางกฎ 9 ข้อให้รัฐมนตรีปฏิบัติ จะแสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งในคำกล่าวอ้างดังกล่าว
เพื่อพิสูจน์ว่า มิใช่ปล่อยการกล่าวอ้างลอยๆเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองเท่านั้น
***********************************************************
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตามที่นางพรทิวา นาคาสัย เจ้ากระทรวงเสนอ
นางบุญยิ่ง มีสามีชื่อนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรีเขต 2 สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เมื่อนายสมศักดิ์แยกออกมาตั้งพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ให้นายวิวัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค(เนื่องจากนายสมศักดิ์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งการยุบพรรคไทยรักไทย) มีนางพรทิวา เป็นเลขาธิการพรรค
ปัจจุบัน นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สังกัดภรรคภูมิใจไทย(ในฐานะเลขาธิการพรรค)ในโควต้าของกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย)ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา
นอกจากความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นแล้ว การได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ย่อมทำให้นางบุญยิ่งมีอิทธิพลและ เป็นที่เกรงอกเกรงใจของข้าราชการประจำในสังกัดกระทรวงพาณิชย์
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้ที่ปรึกษาช่วยดูแลงานด้านใดด้าหนนึ่งหรือที่ปรึกษาบางคนมีบทบาทอย่างสูงในการช่วยรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน
แต่แล้วจู่ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ก็มี บริษัท กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม จำกัด หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม (ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนายวิวัฒน์ -นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่) เข้าร่วมประมูล มันเส้นล็อตใหญ่กว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท จากโกดังของรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52
ปรากฏว่า บริษัททั้ง 3 ราย((จากผู้ยื่นประมูล 7 ราย)ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานคณะทำงาน
จากนั้นเสนอเรื่องให้นางพรทิวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลังอนุมัติและนำเสนอ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง
จนกระทั่งมีการนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเมื่อวันที่ 24 สิหงาคม 2553 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการประมูลไม่มีการเปิดเผยว่า บริษัททั้ง3 แห่งเป็นบริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แต่ถูกสื่อมวลชนเปิดโปง มีการนำเอกสารหลักฐานมาเชื่อมโยงให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า บริษัทที่เข้าประมูลรวมถึงตัวบุคคลมีสายสัมพันธ์กันอย่างไรกับบริษัทของที่ปรึกษารัฐมนตรี (ดู "แกะรอยประมูลมันเส้นฉาว "กาญจนาฟาร์ม & กาญจนพันธ์ฯ" ยึดหัวหาด กวาดเรียบ 2.5 แสนตัน"
จากพฤติการณ์ดังกล่าวในการประมูล อาจเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เพราะการที่ผู้เข้าประมูลและชนะการประมูลเป็นบริษัทในเครือของของที่ปรึกษารัฐมนตรีทั้งหมดอย่างบังเอิญ ทำให้อาจมีการ"ฮั้ว" สมยอมราคาหรือตกลงราคากัน
นอกจากนั้น อาจทำให้สาธารณชนเชื่อว่า มีการใช้อิทธิพลของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าแทรกแซงการประมูลครั้งนี้ด้วยหรือไม่
การกระทำผิดในลักษณะนี้ มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 3 ปี และปรับร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ( อาจเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการประมูล รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่า การเสนอราคามีการกระทำความผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการการประมูล ต้องมีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท
การที่บริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าร่วมประมูลมันเส้น มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทและชนะการประมูลอย่างบังเอิญโดยพร้อมเพรียงดังกล่าว แม้ยังไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิดอาญาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง(เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางารเมืองอื่น นอจากคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องห้ามกระทำตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏอย่างชัดเจน ยังไม่เพียงพออีกหรือที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่กล่าวอ้างว่า รังเกียจการทุจริตและวางกฎ 9 ข้อให้รัฐมนตรีปฏิบัติ จะแสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งในคำกล่าวอ้างดังกล่าว
เพื่อพิสูจน์ว่า มิใช่ปล่อยการกล่าวอ้างลอยๆเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองเท่านั้น
***********************************************************
เปิด"บก.ศอฉ."ตั้งวอร์รูม"อนุพงษ์"คุม จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง สอบอาวุธหายจากคลังแสง
เปิด"บก.ศอฉ."ตั้งวอร์รูม " อนุพงษ์" ผบ.เหตุการณ์ เตรียมกำลังไว้รับมือสถานการณ์ 18-19 ก.ย. ครอบคลุมทุกจังหวัดที่ประกาศใช้ พ.ร.ก. อ้างได้ข่าวมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีจ้องฉกฉวยสถานการณ์ ออกประกาศห้ามใช้เครื่องขยายเสียง บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่เสี่ยง 3 ระดับ ประเมินม็อบไม่เกิน 5 พัน "แดง" 19 จว.พร้อมใจวางดอกไม้หน้าคุก "พท."ซัดตำรวจซี้"ชวน"ปูดข่าวชุดดำลวงโลก "มาร์ค" ให้กองทัพตรวจสอบ อาวุธหายจากคลังแสงทหาร
สุเทพยันไม่มีข่าว"ใช้อาวุธ-รุนแรง"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายสามารถควบคุมสถานการณ์การเคลื่อนไหว และจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร ระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 19 กันยายนได้ โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายสุเทพกล่าวว่า อยากบอกประชาชนให้ทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์และดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ภายหลังมีการส่งคนไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม หากได้รับความร่วมมือก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้หากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้ ทั้งนี้ จะใช้ตำรวจและพลเรือนเป็นหลัก แต่ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเอาไว้แล้วในกรณีเหลือบ่ากว่าแรง ทหารก็จะออกมาช่วยตำรวจ
นายสุเทพกล่าวกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระบุถึงการสั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษคุ้มครองบุคคลระดับวีไอพี 64 คน ที่ตกเป็นเป้าหมายเป็นพิเศษว่า " เราจะพยายามดูแล เพราะเมื่อเราเห็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเหตุการณ์ร้ายแรงในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษแก่สถานที่ที่อาจจะเป็นเป้าหมายคือสถานที่ราชการสำคัญๆ บ้านพักบุคคลสำคัญ รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวว่าจะมีการใช้ความรุนแรง หรือใช้อาวุธ
หนักแต่อย่างใด "
ไม่พูดต่อความยาวปมชายชุดดำ
สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระแสข่าวกองกำลังชุดดำที่ไปซุ่มสังเกตการณ์ โดยเช่าคอนโดมิเนียมคนสนิทของแกนนำฝ่ายค้าน อยู่บริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นายสุเทพปฏิเสธจะให้ความเห็น โดยกล่าวว่า "ผมว่าเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก็พอแล้ว" ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการระบุถึงขั้น กองกำลังชุดดำได้รับการฝึกจากต่างประเทศ รอง นายกฯกล่าวว่า ให้สื่อมวลชนฉบับนั้นเปิดข้อมูลให้เต็มที่ จะได้ติดตาม ตนไม่ใช่คนเอาข่าวนี้มาพูด อย่าทำให้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ แต่ขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เมื่อถามย้ำว่า หน่วยงานด้านการข่าวรายงานว่ากองกำลังชุดดำเป็นนักรบรับจ้างบ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่พูดต่อความยาวมากไปกว่านี้ แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่าฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ขอให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ อย่าได้กังวลใจ ทุกอย่างดูแลให้มีความสงบได้
ย้อนต้นตอปว.-รบ.แม้วคอร์รัปชั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ เพราะมีการจัดกิจกรรมควบคู่กันไปในอีก 6 ประเทศ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่กังวลเลย ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นในไทยไม่มีอะไรน่ากังวล หากมีอะไรที่คนต่างประเทศไม่เข้าใจ สถานทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ก็ชี้แจงได้ " ผมว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น่ากังวลกว่า เพราะต้องพยายามปิดบังภาพที่ไปพบกับนายทอม ดันดี อดีตนักร้อง ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ถูกใจคนไทย มีการกระทำไม่ดีต่อประเทศและสถาบันที่เคารพกัน "นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกับนายทอมไปพบกันที่ไหน นายสุเทพกล่าวว่า เห็นว่าเป็นที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้กำลังตามตรวจสอบภาพที่หลุดออกมาว่าเป็นภาพเก่าหรือใหม่ ขณะนี้เป็นรายงานข่าว ต้องตรวจสอบก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผ่านมา 4 ปีแล้วเหตุใดการเล่นงานคนคนเดียวยังไม่จบสิ้น นายสุเทพกล่าวว่า "ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเราทั้งประเทศจนเดือดร้อน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเองทั้งสิ้น ก่อนหน้านั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาตักเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมาก ใหญ่โตมาก จึงไม่ค่อยฟังใคร วันนี้เมื่อจะมีการจัดกิจกรรมครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ คนไทยก็น่าจะนึกย้อนไปด้วยว่าเหตุที่มีการปฏิวัติ เพราะรัฐบาลขณะนั้นได้ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นจนประชาชนเอือมระอา ปล่อยให้มีการล้วงละเมิดสถาบันที่เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานขององค์กรอิสระ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คนไทยทำ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขาทำตัวเขาเอง เมื่อเขาต้องคำพิพากษาก็ไม่มารับโทษ พวกผมยังไม่ได้ไปไล่ล่าที่ไหนเลย "
มาร์ค รับทราบข่าวอาวุธหาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอาวุธหายไปจากคลังแสง จ.ลพบุรี จำนวนมาก ว่าทราบข่าวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอยู่ ส่วนที่ว่าจรวดอาร์พีจีหายไป 72 ลูกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เท่าที่ฟังข้อมูลมา พบว่าไม่ใช่จำนวนตามนั้น แต่ตรวจสอบกันอยู่ ซึ่งขอให้กองทัพเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ดีกว่า ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้กระทบกระเทือนกองทัพ
ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าอาวุธที่หายจะเกี่ยวโยงกับกรณีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ หรือคาบเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า " ยังไม่ได้สรุป เพราะได้สอบถามไปแล้ว และเขากำลังมีการตรวจสอบกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ กองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดและจะรายงานเข้ามาที่ผม " เมื่อถามต่อว่า กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดหรือไม่หลังจากเกิดเหตุนี้ขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลความสงบเรียบร้อยยิ่งทำงานหนักและเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
ชี้มีคนไม่ลดละการใช้ความรุนแรง
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวกรณี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เข้าพบในช่วงเช้าที่ตึกไทยคู่ฟ้า ว่า ไม่ได้มารายงานเรื่องการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่นำข้อมูลเรื่องตอบกระทู้ถามมาให้ ส่วนการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีการส่งชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามแฝงตัวเข้ามาจ้องก่อเหตุวุ่นวายในประเทศไทยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังติดตามข่าวคราวในทำนองนี้อยู่ ไม่ได้มีเฉพาะคนสัญชาติที่ว่า แต่มีความเคลื่อนไหวหลายส่วนที่อยู่ระหว่างการติดตาม แต่ไม่ขอลงรายละเอียด
" ผมย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวของข่าวคราวอย่างนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละในการใช้ความรุนแรง ทำให้เราจำเป็นต้องพยายามสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในเรื่องความรุนแรงว่าจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาฉวยโอกาส ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะดูแลสถานการณ์ได้ " นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชทพ.ให้ระวัง-อย่าเคร่งครัดม็อบ
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แถลงว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 17-19 กันยายน เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเล็กๆ และเชื่อว่าแกนนำจะสามารถควบคุมได้ เพราะเป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้อำนาจอย่างระวัง อะลุ่มอล่วย อย่ายึดกฎระเบียบกฎหมายข้อบังคับที่เคร่งครัด บางอย่างที่ปล่อยไปได้ก็ขอให้ปล่อย แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือชายชุดดำ และข่าวปองร้ายบุคคลสำคัญในประเทศ ซึ่งการปล่อยข่าวดังกล่าวไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด อยากเรียกร้องผู้ปล่อยข่าวให้ระมัดระวังการปล่อยข่าวและเช็คให้ดีว่าจริงแค่ไหน เพราะจะกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ถ้าจริงก็ต้องรีบดำเนินการจับกุมแบบเงียบๆ แต่ถ้าเป็นการปรามก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะจะเป็นการ
ขาดทุนมาก
พท.ซัดตร.ซี้"ชวน"ปูดชุดดำลวงโลก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ว่าที่โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ที่อ้างรายงานข่าวกลุ่มคนชุดดำเช่าคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการเช่าจากบิ๊กฝ่ายค้าน ในความหมายคือ พท. ว่า เป็นเพียงการปั่นกระแสสร้างข่าว เรียกคะแนนสงสารให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อกลบข่าวครบ 4 ปีรัฐประหารและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยคนที่จุดพลุเรื่องชายชุดดำเป็นผู้การ 191 อดีตนายตำรวจติดตามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายก็เป็นเรื่องลวงโลก โดยอ้างว่าชายชุดดำหนีออกนอกประเทศไปก่อน ทั้งที่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.มีอำนาจควบคุมผู้ต้องสงสัยเป็นเวลา 30 วัน แต่ไม่กลับทำ จึงเรียกร้องไปยังหน่วยงานความมั่นคงอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาลและพรรคการเมือง จนขาดความเชื่อถือจากประชาชน
"จิ๋ว" ว่าข้อมูลเก่า-ทำลายภาพปท.
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังบรรยายพิเศษให้นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กรณีพรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกรัฐมนตรี นั้นไม่ควรกระทำ เพราะทำลายภาพพจน์ประเทศไทย เพราะปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์นี้ และข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเก่าที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเชื่อมโยงข้อมูลถึงปัจจุบัน ถือว่าข้อมูลไม่เป็นปัจจุบันแล้วหากพรรคประชาธิปัตย์จะพูดหรือเตือนในลักษณะนี้ ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ หากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันก็ไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะเป็นเรื่องเก่าและผ่านมาแล้ว ที่สำคัญทำลายภาพลักษณ์ของประเทศและทำลายบรรยากาศแสวงหาแนวทางปรองดอง
" คนไทยไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่กรอบแนวทางสันติวิถีหรือวิธีอหิงสา เป็นแนวทางที่นักการเมืองมักนิยมใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็นที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ประเด็นสองมาตรฐาน ความไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายนนี้ พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม 4 ปี การปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่ม นปช. จัดกิจกรรมทั่วประเทศเพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้นและนำบทเรียนต่างๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั่วไป เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรือรุนแรงแน่นอน นอกจากกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องในการบริหารประเทศชาติ " พล.อ.ชวลิตกล่าว
จัดงาน-ปลุกประณามรัฐประหาร
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีตโฆษก พท. แถลงที่ พท.ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (คตร.) พท. ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ได้หารือกันแล้วมีมติที่จะจัดงานเสวนา "4 ปีรัฐ ประหารผ่านไปประเทศไทยได้อะไร" ขึ้นในโอกาสครบรอบ 4 ปีในวันที่ 19 กันยายน ที่ห้องประชุมชั้น 2 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อวิจารณ์และประณามการรัฐประหาร เนื่องจาก คตร.เห็นสอดคล้องกันว่าการรัฐประหารเป็นเหตุเริ่มต้นของความวุ่นวายของปัญหาการเมือง จนเป็นบาดแผลลึกกับสังคมไทย ซึ่งวันนี้ทั้งฝ่ายผู้ก่อการ ผู้สนับสนุน ยังมีชีวิตอยู่กันครบถ้วน
ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการรัฐประหาร ดังนั้น ทั้ง 3 ส่วนประกอบนี้ต้องรับรู้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้วเพราะอะไร ประชาชนจึงต้องประณาม ประท้วงและมีกิจกรรมต่อต้านกันทุกปี โดยนายสมชาย จะปาฐกถาพิเศษครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร จากนั้นก็จะเริ่มการเสวนาโดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรค
ไทยรักไทย และนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ร่วมเป็นวิทยากร
นปช.วางกุหลาบหน้าคุก-เยี่ยม"แกนนำ"
ขณะที่กลุ่ม นปช.จัดกิจกรรมวางดอกไม้หน้าเรือนจำทั่วประเทศ โดยเมื่อเวลา 08.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายสมหวัง อัคศราศรี เจ้าของบริษัทมิตซูชิต้า และนายวรวุธ วิชัยดิษฐ แนวร่วม นปช. รวมตัวกันบริเวณทางเท้าหน้าเรือนจำ และนำกุหลาบสีแดงผูกกระดาษมีข้อความ " บ้านเมืองมีกฎหมายอย่าใช้ศาลเตี้ยกับแกนนำของเรา" และ "ปล่อยแกนนำออกมาได้แล้ว" มาวางและผูกกับรั้วเรือนจำตลอดแนว พร้อมกันนี้แนวร่วม นปช.ประกาศผ่านโทรโข่งปราศรัยเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย เพราะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ มีผู้ชุมนุมบางคนไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปวางดอกไม้ภายในเรือนจำ ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้การจราจร ถนนงามวงศ์วานติดขัด เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมนำรถยนต์ส่วนตัวและรถบัสมาจอดทำให้เสียช่องทางจราจรไปหนึ่งช่องทาง
ส่วนพ่อค้าและแม่ค้านำสินค้าที่ระลึกในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาวางขายตลอดริมทางเท้าหน้าเรือนจำรวมถึงป้ายหยุดรถประจำทาง โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนเจรจาขอให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 100 คน เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง แต่ ผบ.เรือนจำอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 30 คน จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมยินยอมทำความตกลงส่งตัวแทนเข้าเยี่ยม
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำ นปช. เดินทางถึงหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 10.15 น. พร้อมทั้งนำดอกกุหลาบสีแดงวางหน้าเรือนจำ และเดินทางกลับ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกน "เสื้อแดง สู้ๆ" ตลอดเวลา
ตู่ดักคอจ้างมือที่3ป่วนกิจกรรม19ก.ย.
นายจตุพรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมวางดอกไม้ด้านหน้าเรือนจำอีก เพื่อแสดงให้คนข้างในเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน แต่การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน จึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จจะเดินทางกลับเหมือนกิจกรรมในวันนี้
นายจตุพรกล่าวถึงกรณี ที่มีการปล่อยข่าวว่ามีชายชุดดำแฝงตัวอยู่บนคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี ว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจในพื้นที่ว่าชายชุดดำเป็นทหารที่ได้รับการประสานมาดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรี หากนำเทปจากกล้องวงจรปิดคอนโดมิเนียมมาตรวจสอบจะรู้ความจริงทั้งหมดว่าเป็น รปภ.นายกรัฐมนตรีมาสวมชุดดำ หลังจากนี้ไม่ต้องการให้มีการกล่าวหาหากเห็นคนชุดดำก็จะอ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงไปทั้งหมด
ผบ.คุกเล็งเพิ่มโควต้าเยี่ยมแกนนปช.
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า เชื่อว่ากิจกรรมคนเสื้อแดงเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ หากวางดอกไม้เสร็จก็คงกลับ ไม่ขัดข้องที่จะเปิดให้เข้าเยี่ยมแกนนำ นปช.และอาจเพิ่มจำนวนผู้เข้าเยี่ยมจาก 1 ต่อ 10 เป็น 1 ต่อ 20 โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้จัดตำรวจ 5 กองร้อยมาดูแล นอกจากนี้ ได้ระดมกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษจากทุกเรือนจำมาประจำการ เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณเรือนจำ
นายโสภณกล่าวต่อว่า เรือนจำเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามปกติ แต่ต้องผ่านด่านตรวจยานพาหนะอย่างเข้มงวด ส่วนคนเสื้อแดงที่ต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังแกนนำ นปช. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนและลงทะเบียนเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ เรือนจำจัดให้เข้าเยี่ยมอัตราส่วน 1 ต่อ 10 คือผู้ต้องขัง 1 คน มีญาติเข้าเยี่ยมได้ 10 คน ใช้เวลา 15 นาที ตามระเบียบ ส่วนการวางดอกไม้ตกลงให้วางที่ประตูด้านหน้าริมถนนงามวงศ์วาน ไม่อนุญาตให้มาทำกิจกรรมที่ประตูชั้นใน ทั้งนี้ หากมีดอกไม้มากจะเก็บไปบูชา บางส่วนจะให้ผู้ต้องขังแกนนำ นปช.
ปชป.กลัวคนแฝงสร้างความรุนแรง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เเถลงว่า กรณีที่คนเสื้อเเดงเดินสายไปวางดอกไม้สีเเดงที่ด้านหน้าเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวในวันนี้มีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์เเท้เเละฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อเเดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นเเรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อเเดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นเเรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกเเบบ "ดังเเต่ท่อ ล้อไม่หมุน " หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศ วันที่ 19 กันยายน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคไม่วิตกเรื่องจำนวน แต่วิตกเรื่องการเเฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมโดยใช้ความรุนเเรงเหมือนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะเเกนนำคนเสื้อเเดงไม่สามารถสั่งการเเละควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งยังโยนความผิดให้รัฐบาลด้วย ฉะนั้นหลังวันที่ 19 กันยายนไปเเล้ว ขอเรียกร้องว่าคนเสื้อเเดงไม่ควรมาชุมนุมอีก เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว เเต่หากยังจะชุมนุมต่อไปนั้นเเสดงว่าไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากการเคลื่อนไหวการเมือง
บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่18-19ก.ย.
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยในช่วงกลุ่มคนเสื้อแดงวางกุหลาบหน้าเรือนจำว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปก.น.) รายงานสถานการณ์ว่าขณะนี้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ดูแลพื้นที่หน้าเรือนจำกลาง พบว่า นายจตุพรนำมวลชนมาวางดอกไม้ได้เดินทางกลับแล้ว มวลชนเริ่มทยอยเดินทางกลับเหลือไม่ถึง 100 คน บางส่วนเข้าเยี่ยมตามปกติ สำหรับเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับตำรวจทั่วประเทศ โดย จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง มีการวางดอกไม้เช่นกัน ทุกแห่งยังเรียบร้อยดี ผู้เข้าร่วมชุมนุมก็ปฏิบัติตามกรอบ กติกา ที่ ศอฉ.กำหนดไว้ ไม่มีการรุกล้ำผิดกฎจราจร ไม่ปักหลักกีดขวางและปฏิบัติตามกฎหมายปกติ
" ในส่วนของ บช.น. ทาง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. วางกำลัง 2 กองร้อย รวมทั้งฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร และฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ และวางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจนกว่าสถานการณ์เรียบร้อยจึงเดินทางกลับ สำหรับการเตรียมความพร้อมในวันที่ 18-19 กันยายน มีการตรวจสอบความพร้อมของ บก.ต่างๆ ในส่วนของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 มอบหมายให้รับหน้าที่เจรจาต่อรองกับแกนนำผู้ชุมนุมรับทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือไม่ได้ ซึ่งก็รับทราบเป็นอย่างดี สำหรับ บก.น.5 รับผิดชอบพื้นที่ราชประสงค์ บก.น.6 รับผิดชอบพื้นที่ต่อเนื่อง และวัดปทุมวนาราม ได้ออกแผนการปฏิบัติชัดเจนเรียบร้อย ส่งแผนการปฏิบัติให้ บช.น.และ ตร. เรียบร้อยแล้ว " โฆษก บช.น.กล่าว
ตรวจ-ค้นเข้มข้นพื้นที่จัดกิจกรรม
โฆษก บชน.กล่าวว่า ในส่วนของ บก.อื่นๆ ที่มีสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักบุคคลสำคัญ บ้านนายกรัฐมนตรี บ้านรองนายกรัฐมนตรี จัดกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว สำหรับกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ช่วงเช้าจะจัดสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้มวลชนบางส่วนจะไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกคอกวัว ซึ่งทาง บก.น.1 รับผิดชอบดูแลและไม่มีปัญหา ส่วนการทำบุญการข่าวล่าสุดยังทำบุญที่วัดปทุมวนารามอยู่ แต่บางส่วนก็บอกจะไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง ซึ่งก็กำลังดูอยู่ โดยเวลา 07.00 น. ยังมีกิจกรรม "คาร์ฟรีเดย์" ของ กทม. โดยขี่จักรยานรอบ กทม. และชมรมขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ จึงขอแยกให้ออก มีเส้นทางประมาณ 20 เส้นทาง ใช้เส้นทางลานคนเมือง ถนนราชดำเนินนอก ถนนอัษฎางค์ ถนนเจริญกรุง พระราม 4 พญาไท ผ่านห้างมาบุญครอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี กลับถนนราชดำเนินกลาง และเข้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่ง บก.จร.ประสานว่าขอให้กิจกรรมเหล่านี้เสร็จสิ้นเวลา 12.00 น. จะมีตำรวจจราจรดูแลตลอดเส้นทาง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า กิจกรรมที่อาจกระทบบ้างคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผบช.น. ให้จัด ปจ.ของ บก.น.6 และ บก.น.9 ดูแลความเรียบร้อย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจรด้วย เพราะพื้นที่ราชประสงค์ประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ การจัดกิจกรรมจัดได้บนฟุตปาธ บก.จร.จัดให้ข้ามถนนตามสัญญาณไฟ ส่วนการตรวจค้นยานพาหนะ ด่านต่างๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ตรวจเข้มอยู่ โดยประสาน กทม. ในพื้นที่จุดจัดกิจกรรม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกราชประสงค์ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่ง กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจาก กทม. บก.จร. รวมถึงร้านค้าต่างๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ไปดูกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากกิจกรรมใดฝ่าฝืนกฎหมายตำรวจจะเข้าไปเตือนก่อน แต่หากฝ่าฝืนอีกตำรวจจะจับกุม ซึ่งกิจกรรมใดที่จับกุมแล้วไม่เหมาะสมก็อาจออกหมายจับเพื่อจับกุมต่อไป
" สำหรับการปิดถนน การปิดเส้นทางจราจร การปิดเส้นทางเข้าออก การใช้เครื่องขยายเสียงรบกวนผู้อื่น ศอฉ.สั่งการว่าห้ามเด็ดขาด ให้ทำตามกติกา สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ ทั้งผูกผ้าแดง การชูป้าย แต่ข้อความก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบผู้อื่น ซึ่งความพร้อมต่างๆ ผบช.น.ให้ ผบก.พื้นที่เป็น ผบ.เหตุการณ์ในพื้นที่ และมี พล.ต.ต.วรศักดิ์ และ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. กำกับดูแลอยู่ โดย ศปก.น.ปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมงจนกว่าจะเสร็จสิ้น ใช้แผนพิทักษ์เมืองในการดูแล " พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ตร.ประเมินม็อบ19ก.ย.ไม่เกิน5พัน
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ส่วนใหญ่จะไปทำกิจกรรมที่ จ.เชียงใหม่ ที่ กทม.เป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง คาดว่ามีประมาณ 500-1,000 คน ถ้าจำนวนมากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา ตำรวจวางกำลังดูแลเป็นระลอกอยู่แล้ว พล.ต.ต.วิชัยไปเจรจากับแกนนำแล้ว แจ้งว่าทำกิจกรรมบริเวณราชประสงค์ไม่เกินเวลา 20.00 น. ส่วนที่สนามกีฬากลางเชียงใหม่ไม่เกินเที่ยงคืน บริเวณราชประสงค์นั้นไม่มีการปิดจราจรประชาชนสามารถใช้เส้นการได้ตามปกติ โดยดูมวลชนเป็นหลักถ้าบนทางเท้ารองรับจำนวนคนไม่ไหว อาจจะล้ำมาบนพื้นผิวการจราจรได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่ามีจำนวนน้อยแล้วปิดการจราจร
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประเมินการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าวันที่ 19 กันยายน กำหนดการเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เสร็จสิ้นสุดเวลา 19.30 น. คาดว่าผู้ชุมนุมไม่เกิน 5,000 คน ในส่วนของการใช้พื้นผิวจราจรมีการทำข้อตกลงว่าหากผู้ชุมนุมจำนวนไม่มากให้อยู่บนทางเท้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะมีจำนวนมากก็ให้กระจายไปอยู่บนทางเท้าอื่นๆ ก่อน แต่หากไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาคุยกันว่าจำนวนมากขนาดไหนถึงจะใช้พื้นผิวจราจรได้ ทั้งนี้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวยังอยู่ในความเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ไม่วิตกแต่ไม่ประมาทมือที่3ป่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงมือที่ 3 มาก่อเหตุบ้างหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจมีความเป็นห่วงเรื่องมือที่ 3 แต่ไม่ถึงกับวิตกกังวล ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การข่าวยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีเหตุป่วน หรือสร้างสถานการณ์ แต่ก็ไม่ประมาท ได้วางกำลังไว้ในจุดที่สำคัญหรือจุดที่น่าจะมีเหตุ นอกจากนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ประสานงานกับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมาไปได้ด้วยดี ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด เช่นการใช้เครื่องขยายเสียงก็ใช้เพียงขนาดเล็ก อย่างโทรโข่ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกลุ่มเสื้อหลากสีจะชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วยจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจทราบข้อมูลเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทราบจำนวนคน แต่หากเป็นการแสดงกิจกรรมหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หากไม่เกินจากกรอบที่วางไว้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาระบุว่าการปล่อยข่าวชายชุดดำเป็นการกุข่าวเพื่อสร้างกระแส พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของการสืบสวนของตำรวจนครบาล และฝ่ายความมั่นคง ยืนยันตรงกันว่ามีกลุ่มคนเข้ามาสร้างความไม่สงบ ล่าสุด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ติดตามจับกุม ซึ่งทางนครบาลมีหลักฐานและอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามแต่ยังไม่ถึงขั้นออกหมายจับ
จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง
รายงานข่าวแจ้งว่า กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประเมินสถานการณ์ด้านการข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 18-19 กันยายน ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงในการเฝ้าระวังเป็น 3 ระดับ ดังนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมาก ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุและเป็นกลุ่มทุน 2.แยกราชประสงค์และห้างสรรพสินค้าโดยรอบ 3.สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุในช่วงที่มีการชุมนุม และ 4. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
พื้นที่ที่ความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ 1.บริเวณแยกประตูน้ำ หน้าโรงแรมอินทรา 2.หน้าห้างสรรพสินค้าฟอร์จูน รัชดาภิเษก 3.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.สถานีขนส่งหมอชิต 5.สถานีรถไฟบางซื่อ 6.หน้าห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ 7.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 8.สถานีขนส่งเอกมัย 9.สถานีรถไฟหัวลำโพง 10.หน้าห้างมาบุญครอง 11.สถานีขนส่งสายใต้ 12.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและโรงหนังเมเจอร์ปิ่นเกล้า และ 13.สยามและห้างโดยรอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย 1.ท่าพระจันทร์ 2.สนามบินดอนเมือง 3.สะพานควาย 4.โรงหนังเมเจอร์ รัชโยธิน 5.หน้าสวนจตุจักร 6.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว 7.ห้างเดอะมอลล์บางกะปิและตะวันนา 8.บริเวณเยาวราช วังบูรพาและพาหุรัด และ 9.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เหนือ-อีสานพรึ่บวางดอกไม้หน้าคุก
ทางด้านการวางดอกไม้หน้าเรือนจำในจังหวัดต่างๆ นั้น เมื่อเวลา 10.00 น. บริเวณทางเข้าหน้าเรือนจำจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พะเยา นำโดยนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงาน นปช.พะเยา พร้อมแนวร่วมประมาณ 30 คน เดินทางร่วมวางดอกไม้สีแดง พร้อมอ่านจดหมายเปิดผนึกเพื่อสดุดีกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกโดยมี พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ ผกก.สภ.เมือง นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 นาย เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความสงบ
นายศิริวัฒน์กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ โดยวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำ เพื่อสดุดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ได้รับโทษถูกจำคุกตามเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ
กลุ่ม นปช.อุบลราชธานี นำดอกไม้ร่วม 60 ดอก มาวางบริเวณป้ายชื่อเรือนจำจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อให้กำลังใจเพื่อน นปช.ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ขณะที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานีมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ และตรวจค้นอย่างเข้มงวด โดยใช้เครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยกับผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง รวมทั้งตรวจรอบๆ เรือนจำทั้ง 4 ด้าน ส่วนที่เรือนจำกลาง จ.ยโสธร จะมีมวลชนประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่รวมตัววางดอกไม้ แล้วแยกย้ายเดินทางกลับ เช่นเดียวกันกับที่ จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยและเรียกร้องความยุติธรรม จ.อุตรดิตถ์ หรือกลุ่มเสื้อแดงราว 50 คน นำโดยนายปัณณวัฒน์ นาคมูล อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) อุตรดิตถ์ เขต อ.ลับแล และคณะทำงานของนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. รวมตัวกันที่ศาลาจัตุรมุข สนามหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเดินทางไปยังหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อเวลา 10.05 น. เพื่ออ่านแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จากนั้นวางดอกกุหลาบสีแดงที่รั้วและป้ายหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งผูกผ้าแดงตามรั้วเรือนจำ
เฟซบุ๊กขอเทศบาลขวางแดงเชียงใหม่
ที่ จ.เชียงใหม่กลุ่มแดงอิสระกว่า 20 คน รวมตัวนำดอกไม้แดงวางหน้าเรือนจำกลางเชียงใหม่ อ.เมือง ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง 1 คน คือ นายสุจิตต์ อินทรชัย หลังบุกเผาประตูจวนผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ และบ้านปลัด จ.เชียงใหม่ เสียหาย ที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ กลุ่มเฟซบุ๊ก และชาวเชียงใหม่ที่รักและห่วงใยประเทศชาตินำโดย น.ส.หฤทัย จำปางาม และนายธนภูมิ อโศกตระกูล เข้าพบนายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ยื่นแถลงการณ์ชาวเชียงใหม่เรื่อง ขอแสดงจุดยืนต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายน 2553 โดยระบุว่า มีความห่วงใยอย่างมากใน
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเสนอให้เทศบาลนครเชียงใหม่ระมัดระวังการอนุญาตให้ใช้สนามกีฬาเทศบาลเป็นสถานที่ชุมนุม เพราะเกรงจะมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่งผลเสียหายต่อเมืองเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย
น.ส.หฤทัยกล่าวว่า ไม่ค้านการจัดกิจกรรม แต่ไม่อยากให้คนภูมิภาคอื่นๆ มองเชียงใหม่ในทางที่ไม่ดีและไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวอีก จึงไม่อยากให้แบ่งสีแบ่งกลุ่ม อยากให้คนเชียงใหม่หันมาจับมือกันเป็นสีเดียว เพื่อให้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว
นายสุนทรกล่าวว่า ลงนามอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้สนามกีฬาเทศบาลเพราะมีการปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบการขอใช้สถานที่ถูกต้อง ขณะนี้มีการชำระค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่มาแล้ว 3,000 บาท ค่าไฟฟ้า 1,000 บาท หลังจากแกนนำ นปช.แดงเชียงใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย จะชุมนุมอย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะผู้บริหารก็ต้องอนุญาตหากสนามว่าง โดยเทศบาลจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย
"ผู้บริหารเทศบาลก็อยากเห็นบ้านเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะเราประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่อยากให้กลับมาใช้อีก อยากให้มีการพูดจากันดีๆ มากกว่า" นายสุนทรกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สุเทพยันไม่มีข่าว"ใช้อาวุธ-รุนแรง"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายสามารถควบคุมสถานการณ์การเคลื่อนไหว และจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร ระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 19 กันยายนได้ โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายสุเทพกล่าวว่า อยากบอกประชาชนให้ทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์และดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ภายหลังมีการส่งคนไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม หากได้รับความร่วมมือก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้หากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้ ทั้งนี้ จะใช้ตำรวจและพลเรือนเป็นหลัก แต่ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเอาไว้แล้วในกรณีเหลือบ่ากว่าแรง ทหารก็จะออกมาช่วยตำรวจ
นายสุเทพกล่าวกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระบุถึงการสั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษคุ้มครองบุคคลระดับวีไอพี 64 คน ที่ตกเป็นเป้าหมายเป็นพิเศษว่า " เราจะพยายามดูแล เพราะเมื่อเราเห็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเหตุการณ์ร้ายแรงในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษแก่สถานที่ที่อาจจะเป็นเป้าหมายคือสถานที่ราชการสำคัญๆ บ้านพักบุคคลสำคัญ รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวว่าจะมีการใช้ความรุนแรง หรือใช้อาวุธ
หนักแต่อย่างใด "
ไม่พูดต่อความยาวปมชายชุดดำ
สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระแสข่าวกองกำลังชุดดำที่ไปซุ่มสังเกตการณ์ โดยเช่าคอนโดมิเนียมคนสนิทของแกนนำฝ่ายค้าน อยู่บริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นายสุเทพปฏิเสธจะให้ความเห็น โดยกล่าวว่า "ผมว่าเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก็พอแล้ว" ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการระบุถึงขั้น กองกำลังชุดดำได้รับการฝึกจากต่างประเทศ รอง นายกฯกล่าวว่า ให้สื่อมวลชนฉบับนั้นเปิดข้อมูลให้เต็มที่ จะได้ติดตาม ตนไม่ใช่คนเอาข่าวนี้มาพูด อย่าทำให้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ แต่ขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เมื่อถามย้ำว่า หน่วยงานด้านการข่าวรายงานว่ากองกำลังชุดดำเป็นนักรบรับจ้างบ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่พูดต่อความยาวมากไปกว่านี้ แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่าฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ขอให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ อย่าได้กังวลใจ ทุกอย่างดูแลให้มีความสงบได้
ย้อนต้นตอปว.-รบ.แม้วคอร์รัปชั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ เพราะมีการจัดกิจกรรมควบคู่กันไปในอีก 6 ประเทศ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่กังวลเลย ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นในไทยไม่มีอะไรน่ากังวล หากมีอะไรที่คนต่างประเทศไม่เข้าใจ สถานทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ก็ชี้แจงได้ " ผมว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น่ากังวลกว่า เพราะต้องพยายามปิดบังภาพที่ไปพบกับนายทอม ดันดี อดีตนักร้อง ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ถูกใจคนไทย มีการกระทำไม่ดีต่อประเทศและสถาบันที่เคารพกัน "นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกับนายทอมไปพบกันที่ไหน นายสุเทพกล่าวว่า เห็นว่าเป็นที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้กำลังตามตรวจสอบภาพที่หลุดออกมาว่าเป็นภาพเก่าหรือใหม่ ขณะนี้เป็นรายงานข่าว ต้องตรวจสอบก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผ่านมา 4 ปีแล้วเหตุใดการเล่นงานคนคนเดียวยังไม่จบสิ้น นายสุเทพกล่าวว่า "ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเราทั้งประเทศจนเดือดร้อน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเองทั้งสิ้น ก่อนหน้านั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาตักเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมาก ใหญ่โตมาก จึงไม่ค่อยฟังใคร วันนี้เมื่อจะมีการจัดกิจกรรมครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ คนไทยก็น่าจะนึกย้อนไปด้วยว่าเหตุที่มีการปฏิวัติ เพราะรัฐบาลขณะนั้นได้ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นจนประชาชนเอือมระอา ปล่อยให้มีการล้วงละเมิดสถาบันที่เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานขององค์กรอิสระ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คนไทยทำ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขาทำตัวเขาเอง เมื่อเขาต้องคำพิพากษาก็ไม่มารับโทษ พวกผมยังไม่ได้ไปไล่ล่าที่ไหนเลย "
มาร์ค รับทราบข่าวอาวุธหาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอาวุธหายไปจากคลังแสง จ.ลพบุรี จำนวนมาก ว่าทราบข่าวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอยู่ ส่วนที่ว่าจรวดอาร์พีจีหายไป 72 ลูกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เท่าที่ฟังข้อมูลมา พบว่าไม่ใช่จำนวนตามนั้น แต่ตรวจสอบกันอยู่ ซึ่งขอให้กองทัพเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ดีกว่า ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้กระทบกระเทือนกองทัพ
ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าอาวุธที่หายจะเกี่ยวโยงกับกรณีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ หรือคาบเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า " ยังไม่ได้สรุป เพราะได้สอบถามไปแล้ว และเขากำลังมีการตรวจสอบกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ กองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดและจะรายงานเข้ามาที่ผม " เมื่อถามต่อว่า กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดหรือไม่หลังจากเกิดเหตุนี้ขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลความสงบเรียบร้อยยิ่งทำงานหนักและเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
ชี้มีคนไม่ลดละการใช้ความรุนแรง
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวกรณี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เข้าพบในช่วงเช้าที่ตึกไทยคู่ฟ้า ว่า ไม่ได้มารายงานเรื่องการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่นำข้อมูลเรื่องตอบกระทู้ถามมาให้ ส่วนการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีการส่งชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามแฝงตัวเข้ามาจ้องก่อเหตุวุ่นวายในประเทศไทยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังติดตามข่าวคราวในทำนองนี้อยู่ ไม่ได้มีเฉพาะคนสัญชาติที่ว่า แต่มีความเคลื่อนไหวหลายส่วนที่อยู่ระหว่างการติดตาม แต่ไม่ขอลงรายละเอียด
" ผมย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวของข่าวคราวอย่างนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละในการใช้ความรุนแรง ทำให้เราจำเป็นต้องพยายามสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในเรื่องความรุนแรงว่าจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาฉวยโอกาส ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะดูแลสถานการณ์ได้ " นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชทพ.ให้ระวัง-อย่าเคร่งครัดม็อบ
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แถลงว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 17-19 กันยายน เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเล็กๆ และเชื่อว่าแกนนำจะสามารถควบคุมได้ เพราะเป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้อำนาจอย่างระวัง อะลุ่มอล่วย อย่ายึดกฎระเบียบกฎหมายข้อบังคับที่เคร่งครัด บางอย่างที่ปล่อยไปได้ก็ขอให้ปล่อย แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือชายชุดดำ และข่าวปองร้ายบุคคลสำคัญในประเทศ ซึ่งการปล่อยข่าวดังกล่าวไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด อยากเรียกร้องผู้ปล่อยข่าวให้ระมัดระวังการปล่อยข่าวและเช็คให้ดีว่าจริงแค่ไหน เพราะจะกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ถ้าจริงก็ต้องรีบดำเนินการจับกุมแบบเงียบๆ แต่ถ้าเป็นการปรามก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะจะเป็นการ
ขาดทุนมาก
พท.ซัดตร.ซี้"ชวน"ปูดชุดดำลวงโลก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ว่าที่โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ที่อ้างรายงานข่าวกลุ่มคนชุดดำเช่าคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการเช่าจากบิ๊กฝ่ายค้าน ในความหมายคือ พท. ว่า เป็นเพียงการปั่นกระแสสร้างข่าว เรียกคะแนนสงสารให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อกลบข่าวครบ 4 ปีรัฐประหารและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยคนที่จุดพลุเรื่องชายชุดดำเป็นผู้การ 191 อดีตนายตำรวจติดตามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายก็เป็นเรื่องลวงโลก โดยอ้างว่าชายชุดดำหนีออกนอกประเทศไปก่อน ทั้งที่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.มีอำนาจควบคุมผู้ต้องสงสัยเป็นเวลา 30 วัน แต่ไม่กลับทำ จึงเรียกร้องไปยังหน่วยงานความมั่นคงอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาลและพรรคการเมือง จนขาดความเชื่อถือจากประชาชน
"จิ๋ว" ว่าข้อมูลเก่า-ทำลายภาพปท.
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังบรรยายพิเศษให้นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กรณีพรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกรัฐมนตรี นั้นไม่ควรกระทำ เพราะทำลายภาพพจน์ประเทศไทย เพราะปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์นี้ และข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเก่าที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเชื่อมโยงข้อมูลถึงปัจจุบัน ถือว่าข้อมูลไม่เป็นปัจจุบันแล้วหากพรรคประชาธิปัตย์จะพูดหรือเตือนในลักษณะนี้ ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ หากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันก็ไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะเป็นเรื่องเก่าและผ่านมาแล้ว ที่สำคัญทำลายภาพลักษณ์ของประเทศและทำลายบรรยากาศแสวงหาแนวทางปรองดอง
" คนไทยไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่กรอบแนวทางสันติวิถีหรือวิธีอหิงสา เป็นแนวทางที่นักการเมืองมักนิยมใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็นที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ประเด็นสองมาตรฐาน ความไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายนนี้ พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม 4 ปี การปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่ม นปช. จัดกิจกรรมทั่วประเทศเพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้นและนำบทเรียนต่างๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั่วไป เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรือรุนแรงแน่นอน นอกจากกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องในการบริหารประเทศชาติ " พล.อ.ชวลิตกล่าว
จัดงาน-ปลุกประณามรัฐประหาร
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีตโฆษก พท. แถลงที่ พท.ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (คตร.) พท. ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ได้หารือกันแล้วมีมติที่จะจัดงานเสวนา "4 ปีรัฐ ประหารผ่านไปประเทศไทยได้อะไร" ขึ้นในโอกาสครบรอบ 4 ปีในวันที่ 19 กันยายน ที่ห้องประชุมชั้น 2 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อวิจารณ์และประณามการรัฐประหาร เนื่องจาก คตร.เห็นสอดคล้องกันว่าการรัฐประหารเป็นเหตุเริ่มต้นของความวุ่นวายของปัญหาการเมือง จนเป็นบาดแผลลึกกับสังคมไทย ซึ่งวันนี้ทั้งฝ่ายผู้ก่อการ ผู้สนับสนุน ยังมีชีวิตอยู่กันครบถ้วน
ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการรัฐประหาร ดังนั้น ทั้ง 3 ส่วนประกอบนี้ต้องรับรู้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้วเพราะอะไร ประชาชนจึงต้องประณาม ประท้วงและมีกิจกรรมต่อต้านกันทุกปี โดยนายสมชาย จะปาฐกถาพิเศษครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร จากนั้นก็จะเริ่มการเสวนาโดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรค
ไทยรักไทย และนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ร่วมเป็นวิทยากร
นปช.วางกุหลาบหน้าคุก-เยี่ยม"แกนนำ"
ขณะที่กลุ่ม นปช.จัดกิจกรรมวางดอกไม้หน้าเรือนจำทั่วประเทศ โดยเมื่อเวลา 08.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายสมหวัง อัคศราศรี เจ้าของบริษัทมิตซูชิต้า และนายวรวุธ วิชัยดิษฐ แนวร่วม นปช. รวมตัวกันบริเวณทางเท้าหน้าเรือนจำ และนำกุหลาบสีแดงผูกกระดาษมีข้อความ " บ้านเมืองมีกฎหมายอย่าใช้ศาลเตี้ยกับแกนนำของเรา" และ "ปล่อยแกนนำออกมาได้แล้ว" มาวางและผูกกับรั้วเรือนจำตลอดแนว พร้อมกันนี้แนวร่วม นปช.ประกาศผ่านโทรโข่งปราศรัยเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย เพราะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ มีผู้ชุมนุมบางคนไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปวางดอกไม้ภายในเรือนจำ ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้การจราจร ถนนงามวงศ์วานติดขัด เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมนำรถยนต์ส่วนตัวและรถบัสมาจอดทำให้เสียช่องทางจราจรไปหนึ่งช่องทาง
ส่วนพ่อค้าและแม่ค้านำสินค้าที่ระลึกในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาวางขายตลอดริมทางเท้าหน้าเรือนจำรวมถึงป้ายหยุดรถประจำทาง โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนเจรจาขอให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 100 คน เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง แต่ ผบ.เรือนจำอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 30 คน จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมยินยอมทำความตกลงส่งตัวแทนเข้าเยี่ยม
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำ นปช. เดินทางถึงหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 10.15 น. พร้อมทั้งนำดอกกุหลาบสีแดงวางหน้าเรือนจำ และเดินทางกลับ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกน "เสื้อแดง สู้ๆ" ตลอดเวลา
ตู่ดักคอจ้างมือที่3ป่วนกิจกรรม19ก.ย.
นายจตุพรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมวางดอกไม้ด้านหน้าเรือนจำอีก เพื่อแสดงให้คนข้างในเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน แต่การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน จึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จจะเดินทางกลับเหมือนกิจกรรมในวันนี้
นายจตุพรกล่าวถึงกรณี ที่มีการปล่อยข่าวว่ามีชายชุดดำแฝงตัวอยู่บนคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี ว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจในพื้นที่ว่าชายชุดดำเป็นทหารที่ได้รับการประสานมาดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรี หากนำเทปจากกล้องวงจรปิดคอนโดมิเนียมมาตรวจสอบจะรู้ความจริงทั้งหมดว่าเป็น รปภ.นายกรัฐมนตรีมาสวมชุดดำ หลังจากนี้ไม่ต้องการให้มีการกล่าวหาหากเห็นคนชุดดำก็จะอ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงไปทั้งหมด
ผบ.คุกเล็งเพิ่มโควต้าเยี่ยมแกนนปช.
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า เชื่อว่ากิจกรรมคนเสื้อแดงเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ หากวางดอกไม้เสร็จก็คงกลับ ไม่ขัดข้องที่จะเปิดให้เข้าเยี่ยมแกนนำ นปช.และอาจเพิ่มจำนวนผู้เข้าเยี่ยมจาก 1 ต่อ 10 เป็น 1 ต่อ 20 โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้จัดตำรวจ 5 กองร้อยมาดูแล นอกจากนี้ ได้ระดมกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษจากทุกเรือนจำมาประจำการ เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณเรือนจำ
นายโสภณกล่าวต่อว่า เรือนจำเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามปกติ แต่ต้องผ่านด่านตรวจยานพาหนะอย่างเข้มงวด ส่วนคนเสื้อแดงที่ต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังแกนนำ นปช. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนและลงทะเบียนเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ เรือนจำจัดให้เข้าเยี่ยมอัตราส่วน 1 ต่อ 10 คือผู้ต้องขัง 1 คน มีญาติเข้าเยี่ยมได้ 10 คน ใช้เวลา 15 นาที ตามระเบียบ ส่วนการวางดอกไม้ตกลงให้วางที่ประตูด้านหน้าริมถนนงามวงศ์วาน ไม่อนุญาตให้มาทำกิจกรรมที่ประตูชั้นใน ทั้งนี้ หากมีดอกไม้มากจะเก็บไปบูชา บางส่วนจะให้ผู้ต้องขังแกนนำ นปช.
ปชป.กลัวคนแฝงสร้างความรุนแรง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เเถลงว่า กรณีที่คนเสื้อเเดงเดินสายไปวางดอกไม้สีเเดงที่ด้านหน้าเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวในวันนี้มีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์เเท้เเละฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อเเดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นเเรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อเเดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นเเรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกเเบบ "ดังเเต่ท่อ ล้อไม่หมุน " หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศ วันที่ 19 กันยายน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคไม่วิตกเรื่องจำนวน แต่วิตกเรื่องการเเฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมโดยใช้ความรุนเเรงเหมือนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะเเกนนำคนเสื้อเเดงไม่สามารถสั่งการเเละควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งยังโยนความผิดให้รัฐบาลด้วย ฉะนั้นหลังวันที่ 19 กันยายนไปเเล้ว ขอเรียกร้องว่าคนเสื้อเเดงไม่ควรมาชุมนุมอีก เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว เเต่หากยังจะชุมนุมต่อไปนั้นเเสดงว่าไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากการเคลื่อนไหวการเมือง
บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่18-19ก.ย.
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยในช่วงกลุ่มคนเสื้อแดงวางกุหลาบหน้าเรือนจำว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปก.น.) รายงานสถานการณ์ว่าขณะนี้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ดูแลพื้นที่หน้าเรือนจำกลาง พบว่า นายจตุพรนำมวลชนมาวางดอกไม้ได้เดินทางกลับแล้ว มวลชนเริ่มทยอยเดินทางกลับเหลือไม่ถึง 100 คน บางส่วนเข้าเยี่ยมตามปกติ สำหรับเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับตำรวจทั่วประเทศ โดย จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง มีการวางดอกไม้เช่นกัน ทุกแห่งยังเรียบร้อยดี ผู้เข้าร่วมชุมนุมก็ปฏิบัติตามกรอบ กติกา ที่ ศอฉ.กำหนดไว้ ไม่มีการรุกล้ำผิดกฎจราจร ไม่ปักหลักกีดขวางและปฏิบัติตามกฎหมายปกติ
" ในส่วนของ บช.น. ทาง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. วางกำลัง 2 กองร้อย รวมทั้งฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร และฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ และวางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจนกว่าสถานการณ์เรียบร้อยจึงเดินทางกลับ สำหรับการเตรียมความพร้อมในวันที่ 18-19 กันยายน มีการตรวจสอบความพร้อมของ บก.ต่างๆ ในส่วนของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 มอบหมายให้รับหน้าที่เจรจาต่อรองกับแกนนำผู้ชุมนุมรับทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือไม่ได้ ซึ่งก็รับทราบเป็นอย่างดี สำหรับ บก.น.5 รับผิดชอบพื้นที่ราชประสงค์ บก.น.6 รับผิดชอบพื้นที่ต่อเนื่อง และวัดปทุมวนาราม ได้ออกแผนการปฏิบัติชัดเจนเรียบร้อย ส่งแผนการปฏิบัติให้ บช.น.และ ตร. เรียบร้อยแล้ว " โฆษก บช.น.กล่าว
ตรวจ-ค้นเข้มข้นพื้นที่จัดกิจกรรม
โฆษก บชน.กล่าวว่า ในส่วนของ บก.อื่นๆ ที่มีสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักบุคคลสำคัญ บ้านนายกรัฐมนตรี บ้านรองนายกรัฐมนตรี จัดกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว สำหรับกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ช่วงเช้าจะจัดสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้มวลชนบางส่วนจะไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกคอกวัว ซึ่งทาง บก.น.1 รับผิดชอบดูแลและไม่มีปัญหา ส่วนการทำบุญการข่าวล่าสุดยังทำบุญที่วัดปทุมวนารามอยู่ แต่บางส่วนก็บอกจะไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง ซึ่งก็กำลังดูอยู่ โดยเวลา 07.00 น. ยังมีกิจกรรม "คาร์ฟรีเดย์" ของ กทม. โดยขี่จักรยานรอบ กทม. และชมรมขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ จึงขอแยกให้ออก มีเส้นทางประมาณ 20 เส้นทาง ใช้เส้นทางลานคนเมือง ถนนราชดำเนินนอก ถนนอัษฎางค์ ถนนเจริญกรุง พระราม 4 พญาไท ผ่านห้างมาบุญครอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี กลับถนนราชดำเนินกลาง และเข้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่ง บก.จร.ประสานว่าขอให้กิจกรรมเหล่านี้เสร็จสิ้นเวลา 12.00 น. จะมีตำรวจจราจรดูแลตลอดเส้นทาง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า กิจกรรมที่อาจกระทบบ้างคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผบช.น. ให้จัด ปจ.ของ บก.น.6 และ บก.น.9 ดูแลความเรียบร้อย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจรด้วย เพราะพื้นที่ราชประสงค์ประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ การจัดกิจกรรมจัดได้บนฟุตปาธ บก.จร.จัดให้ข้ามถนนตามสัญญาณไฟ ส่วนการตรวจค้นยานพาหนะ ด่านต่างๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ตรวจเข้มอยู่ โดยประสาน กทม. ในพื้นที่จุดจัดกิจกรรม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกราชประสงค์ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่ง กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจาก กทม. บก.จร. รวมถึงร้านค้าต่างๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ไปดูกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากกิจกรรมใดฝ่าฝืนกฎหมายตำรวจจะเข้าไปเตือนก่อน แต่หากฝ่าฝืนอีกตำรวจจะจับกุม ซึ่งกิจกรรมใดที่จับกุมแล้วไม่เหมาะสมก็อาจออกหมายจับเพื่อจับกุมต่อไป
" สำหรับการปิดถนน การปิดเส้นทางจราจร การปิดเส้นทางเข้าออก การใช้เครื่องขยายเสียงรบกวนผู้อื่น ศอฉ.สั่งการว่าห้ามเด็ดขาด ให้ทำตามกติกา สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ ทั้งผูกผ้าแดง การชูป้าย แต่ข้อความก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบผู้อื่น ซึ่งความพร้อมต่างๆ ผบช.น.ให้ ผบก.พื้นที่เป็น ผบ.เหตุการณ์ในพื้นที่ และมี พล.ต.ต.วรศักดิ์ และ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. กำกับดูแลอยู่ โดย ศปก.น.ปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมงจนกว่าจะเสร็จสิ้น ใช้แผนพิทักษ์เมืองในการดูแล " พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ตร.ประเมินม็อบ19ก.ย.ไม่เกิน5พัน
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ส่วนใหญ่จะไปทำกิจกรรมที่ จ.เชียงใหม่ ที่ กทม.เป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง คาดว่ามีประมาณ 500-1,000 คน ถ้าจำนวนมากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา ตำรวจวางกำลังดูแลเป็นระลอกอยู่แล้ว พล.ต.ต.วิชัยไปเจรจากับแกนนำแล้ว แจ้งว่าทำกิจกรรมบริเวณราชประสงค์ไม่เกินเวลา 20.00 น. ส่วนที่สนามกีฬากลางเชียงใหม่ไม่เกินเที่ยงคืน บริเวณราชประสงค์นั้นไม่มีการปิดจราจรประชาชนสามารถใช้เส้นการได้ตามปกติ โดยดูมวลชนเป็นหลักถ้าบนทางเท้ารองรับจำนวนคนไม่ไหว อาจจะล้ำมาบนพื้นผิวการจราจรได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่ามีจำนวนน้อยแล้วปิดการจราจร
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประเมินการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าวันที่ 19 กันยายน กำหนดการเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เสร็จสิ้นสุดเวลา 19.30 น. คาดว่าผู้ชุมนุมไม่เกิน 5,000 คน ในส่วนของการใช้พื้นผิวจราจรมีการทำข้อตกลงว่าหากผู้ชุมนุมจำนวนไม่มากให้อยู่บนทางเท้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะมีจำนวนมากก็ให้กระจายไปอยู่บนทางเท้าอื่นๆ ก่อน แต่หากไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาคุยกันว่าจำนวนมากขนาดไหนถึงจะใช้พื้นผิวจราจรได้ ทั้งนี้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวยังอยู่ในความเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ไม่วิตกแต่ไม่ประมาทมือที่3ป่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงมือที่ 3 มาก่อเหตุบ้างหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจมีความเป็นห่วงเรื่องมือที่ 3 แต่ไม่ถึงกับวิตกกังวล ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การข่าวยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีเหตุป่วน หรือสร้างสถานการณ์ แต่ก็ไม่ประมาท ได้วางกำลังไว้ในจุดที่สำคัญหรือจุดที่น่าจะมีเหตุ นอกจากนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ประสานงานกับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมาไปได้ด้วยดี ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด เช่นการใช้เครื่องขยายเสียงก็ใช้เพียงขนาดเล็ก อย่างโทรโข่ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกลุ่มเสื้อหลากสีจะชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วยจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจทราบข้อมูลเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทราบจำนวนคน แต่หากเป็นการแสดงกิจกรรมหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หากไม่เกินจากกรอบที่วางไว้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาระบุว่าการปล่อยข่าวชายชุดดำเป็นการกุข่าวเพื่อสร้างกระแส พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของการสืบสวนของตำรวจนครบาล และฝ่ายความมั่นคง ยืนยันตรงกันว่ามีกลุ่มคนเข้ามาสร้างความไม่สงบ ล่าสุด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ติดตามจับกุม ซึ่งทางนครบาลมีหลักฐานและอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามแต่ยังไม่ถึงขั้นออกหมายจับ
จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง
รายงานข่าวแจ้งว่า กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประเมินสถานการณ์ด้านการข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 18-19 กันยายน ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงในการเฝ้าระวังเป็น 3 ระดับ ดังนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมาก ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุและเป็นกลุ่มทุน 2.แยกราชประสงค์และห้างสรรพสินค้าโดยรอบ 3.สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุในช่วงที่มีการชุมนุม และ 4. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
พื้นที่ที่ความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ 1.บริเวณแยกประตูน้ำ หน้าโรงแรมอินทรา 2.หน้าห้างสรรพสินค้าฟอร์จูน รัชดาภิเษก 3.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.สถานีขนส่งหมอชิต 5.สถานีรถไฟบางซื่อ 6.หน้าห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ 7.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 8.สถานีขนส่งเอกมัย 9.สถานีรถไฟหัวลำโพง 10.หน้าห้างมาบุญครอง 11.สถานีขนส่งสายใต้ 12.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและโรงหนังเมเจอร์ปิ่นเกล้า และ 13.สยามและห้างโดยรอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย 1.ท่าพระจันทร์ 2.สนามบินดอนเมือง 3.สะพานควาย 4.โรงหนังเมเจอร์ รัชโยธิน 5.หน้าสวนจตุจักร 6.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว 7.ห้างเดอะมอลล์บางกะปิและตะวันนา 8.บริเวณเยาวราช วังบูรพาและพาหุรัด และ 9.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เหนือ-อีสานพรึ่บวางดอกไม้หน้าคุก
ทางด้านการวางดอกไม้หน้าเรือนจำในจังหวัดต่างๆ นั้น เมื่อเวลา 10.00 น. บริเวณทางเข้าหน้าเรือนจำจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พะเยา นำโดยนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงาน นปช.พะเยา พร้อมแนวร่วมประมาณ 30 คน เดินทางร่วมวางดอกไม้สีแดง พร้อมอ่านจดหมายเปิดผนึกเพื่อสดุดีกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกโดยมี พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ ผกก.สภ.เมือง นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 นาย เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความสงบ
นายศิริวัฒน์กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ โดยวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำ เพื่อสดุดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ได้รับโทษถูกจำคุกตามเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ
กลุ่ม นปช.อุบลราชธานี นำดอกไม้ร่วม 60 ดอก มาวางบริเวณป้ายชื่อเรือนจำจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อให้กำลังใจเพื่อน นปช.ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ขณะที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานีมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ และตรวจค้นอย่างเข้มงวด โดยใช้เครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยกับผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง รวมทั้งตรวจรอบๆ เรือนจำทั้ง 4 ด้าน ส่วนที่เรือนจำกลาง จ.ยโสธร จะมีมวลชนประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่รวมตัววางดอกไม้ แล้วแยกย้ายเดินทางกลับ เช่นเดียวกันกับที่ จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยและเรียกร้องความยุติธรรม จ.อุตรดิตถ์ หรือกลุ่มเสื้อแดงราว 50 คน นำโดยนายปัณณวัฒน์ นาคมูล อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) อุตรดิตถ์ เขต อ.ลับแล และคณะทำงานของนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. รวมตัวกันที่ศาลาจัตุรมุข สนามหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเดินทางไปยังหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อเวลา 10.05 น. เพื่ออ่านแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จากนั้นวางดอกกุหลาบสีแดงที่รั้วและป้ายหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งผูกผ้าแดงตามรั้วเรือนจำ
เฟซบุ๊กขอเทศบาลขวางแดงเชียงใหม่
ที่ จ.เชียงใหม่กลุ่มแดงอิสระกว่า 20 คน รวมตัวนำดอกไม้แดงวางหน้าเรือนจำกลางเชียงใหม่ อ.เมือง ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง 1 คน คือ นายสุจิตต์ อินทรชัย หลังบุกเผาประตูจวนผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ และบ้านปลัด จ.เชียงใหม่ เสียหาย ที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ กลุ่มเฟซบุ๊ก และชาวเชียงใหม่ที่รักและห่วงใยประเทศชาตินำโดย น.ส.หฤทัย จำปางาม และนายธนภูมิ อโศกตระกูล เข้าพบนายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ยื่นแถลงการณ์ชาวเชียงใหม่เรื่อง ขอแสดงจุดยืนต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายน 2553 โดยระบุว่า มีความห่วงใยอย่างมากใน
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเสนอให้เทศบาลนครเชียงใหม่ระมัดระวังการอนุญาตให้ใช้สนามกีฬาเทศบาลเป็นสถานที่ชุมนุม เพราะเกรงจะมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่งผลเสียหายต่อเมืองเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย
น.ส.หฤทัยกล่าวว่า ไม่ค้านการจัดกิจกรรม แต่ไม่อยากให้คนภูมิภาคอื่นๆ มองเชียงใหม่ในทางที่ไม่ดีและไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวอีก จึงไม่อยากให้แบ่งสีแบ่งกลุ่ม อยากให้คนเชียงใหม่หันมาจับมือกันเป็นสีเดียว เพื่อให้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว
นายสุนทรกล่าวว่า ลงนามอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้สนามกีฬาเทศบาลเพราะมีการปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบการขอใช้สถานที่ถูกต้อง ขณะนี้มีการชำระค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่มาแล้ว 3,000 บาท ค่าไฟฟ้า 1,000 บาท หลังจากแกนนำ นปช.แดงเชียงใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย จะชุมนุมอย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะผู้บริหารก็ต้องอนุญาตหากสนามว่าง โดยเทศบาลจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย
"ผู้บริหารเทศบาลก็อยากเห็นบ้านเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะเราประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่อยากให้กลับมาใช้อีก อยากให้มีการพูดจากันดีๆ มากกว่า" นายสุนทรกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
RPGหาย72ลูก มาร์คบี้ทหารหาหนอนบ่อนไส้
งามหน้า เขตทหารลพบุรีโจรชุม คลังแสงปล่อยอาร์พีจีหาย 72 ลูก หวั่นกองกำลังติดอาวุธใช้บอมบ์แกนนำรัฐบาล "มาร์ค" ยอมรับได้รับรายงานแล้ว บี้ทหารรับผิดชอบ เชื่อคนในเอี่ยว ระบุเป็นสิ่งยืนยันมีกลุ่มคนไม่ลดละในการใช้ความรุนแรง ส่วนคนเสื้อแดง "ตุ๊ดตู่" นำทีมเคลื่อนไหวหน้าคุกไม่คึกคัก ศอฉ.พร้อมรับมือรำลึกวัน "น.ช.ทักษิณ" พ้นเก้าอี้นายกฯ ตำรวจยังคงใช้แผน "พิทักษ์เมือง" คุมเข้มบ้านวีไอพี รถไฟฟ้า คาดแดงไม่เถือกแค่พันคน
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงการณ์ประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. เป็นประธานว่า มีการหารือถึงการเตรียมรับสถานการณ์ช่วงวันที่ 17-19 ก.ย.นี้ ซึ่งฝ่ายข่าวได้เตรียมข้อมูลโดยสรุปว่าการวางดอกไม้ในพื้นที่เรือนจำใน กทม.และต่างจังหวัดทั้งสิ้น 8 จังหวัด ในวันที่ 17 ก.ย.เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใน กทม.มีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน ส่วนจังหวัดต่างๆ มียอดแตกต่างกันไป ประมาณ 30-100 คน เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
โฆษก ศอฉ.กล่าวว่า ภาพรวมการติดตามสถานการณ์ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ศอฉ.จะเปิด บก.ติดตามสถานการณ์ มี พล.อ.อนุพงษ์เป็นผู้ดูแล โดยจะติดตามสถานการณ์อยู่ภายนอก หากเกิดเหตุการณ์อะไรท่านจะเข้ามาทันที เพราะว่า ผอ.ศอฉ.ได้ชี้แจงย้ำว่า ผบ.ทบ.ในฐานะ ผช.ผอ.ศอฉ.เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งการตั้ง บก.ไม่ถึงกับว่ามีความวิตกกังวล แต่ว่ามีข้อมูลข่าวสารในการทำกิจกรรมทางการเมือง ที่แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีความประสงค์ดี แต่ก็มีข้อมูลข่าวสารส่วนหนึ่งว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีพยายามฉกฉวยสถานการณ์ เพราะฉะนั้นเตรียมไว้ก่อน เกินดีกว่าขาด
พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ในพื้นที่ กทม.และเชียงใหม่มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อพร้อมปฏิบัติภารกิจหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่คาดว่าคงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อถามถึงกระแสข่าวอาวุธที่คลังแสง จ.ลพบุรี ถูกคนร้ายขโมยไปนั้น โฆษก ศอฉ.ตอบว่า พยายามตรวจสอบแล้ว ยังไม่พบข้อมูลว่าอาวุธดังกล่าวหายไป
"การดูแลอาวุธในคลังแสงถือเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้ว โดยให้ทุกหน่วยดูแลตามหลักเกณฑ์ในการเก็บรักษาอาวุธอยู่แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าอาวุธที่มีข่าวว่าหายไปนั้นยังตรวจสอบไม่พบ ต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง" พ.อ.สรรเสริญกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่จังหวัดลพบุรี ได้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าอาวุธและเครื่องกระสุนที่คลังแสงหายไป โดยอาวุธส่วนใหญ่ที่หายเป็นหัวกระสุนอาร์พีจี ทันทีที่มีกระแสข่าวดังกล่าวออกมา ต้นสังกัดได้สั่งให้ทหารแต่ละหน่วยในจังหวัดลพบุรีตรวจสอบอาวุธของหน่วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวว่าได้มีการสั่งการให้ปิดข่าวในเรื่องนี้ พร้อมกันนี้มีการระบุด้วยว่าหัวระเบิดอาร์พีจีหายไป 72 ลูก
ขณะที่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า มีกลุ่มที่เตรียมจะก่อเหตุรุนแรงและลอบสังหารบุคคลสำคัญในรูปแบบของการยิงระยะไกลมาจากอาคารสูง อาคารร้าง ทางด่วน และถึงขั้นใช้ระบบการปฏิบัติการคาร์บอมบ์
สำหรับอาร์พีจีที่หายไป มีการคาดการณ์ว่าอาจหายจากคลังแสงกรมสรรพาวุธ ทหารบก หรือศูนย์การบินทหารบก รวมทั้งเป็นไปได้ที่จะหายไปจากคลังเก็บอาวุธของศูนย์การทหารปืนใหญ่ ศูนย์ซ่อมสร้างอาวุธ กระทรวงกลาโหม และค่ายทหารที่ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
"มาร์ค"ได้รับรายงานแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าหายจริง แต่จำนวนที่ฟังมาไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งได้มีการตรวจสอบกันอยู่ เรื่องนี้ให้ทางกองทัพเป็นผู้ชี้แจง
ถามว่าช่วงเวลาที่อาวุธหายไปคาบเกี่ยวกับการชุมนุม นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่สามารถที่จะสรุปได้ ทางกองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีปัญหาอะไรกับคลังแสงของกองทัพ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นเรื่องที่จะตรวจสอบและรายงานมา "จำไม่ได้ว่ารับรายเมื่อไหร่ แต่ผมพอทราบข่าวมาระยะหนึ่งแล้ว"
"ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง กองทัพต้องตรวจสอบ และดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือน"
กรณีที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามที่ได้รับการฝึกการใช้อาวุธเข้ามาเตรียมที่จะก่อเหตุนั้น นายกฯ กล่าวว่า ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบเขาติดตามข่าวคราวทำนองนี้ ซึ่งไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องสัญชาติที่ว่า และพบว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่หลายส่วนกำลังจับตาดูอยู่ แต่ขอไม่ลงรายละเอียด
"ขอย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวและข่าวคราวอย่างนี้ น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ายังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละเรื่องของการไม่ใช้ความรุนแรง และจึงเป็นสิ่งที่เราต้องสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในส่วนของความรุนแรง ว่าจะทำอย่างไรที่จะป้องกันคนเหล่านี้ไม่ให้ฉวยโอกาส"
เมื่อถามต่อว่า มีความมั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยสีหน้าอย่างจริงจังและน้ำเสียงที่มั่นใจว่า ได้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ที่ประชุม ศอฉ. ไม่ได้พูดคุยเรื่องเตรียมแผน มาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก เพราะประชุมจบไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วว่าตำรวจมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งแนวทางรัฐบาลมีอยู่แล้ว ทั้งนี้คิดว่าการชุมนุมคงไม่มีอะไร
วันเดียวกัน มีการแจกจ่ายประกาศ ศอฉ.เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมฉบับที่ 2 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเพิ่มเติมข้อห้ามอีก 1 ข้อ เป็นข้อที่ (5) คือ ห้ามการใช้เครื่องขยายเสียงหรือใช้เวทีตั้งเครื่องขยายเสียง หรือใช้ยานพาหนะติดตั้งเครื่องขยายเสียง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ประกาศฉบับแรกที่มีการประกาศไปตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.นี้ มีเนื้อหาห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนเป็นต้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ (1) กีดขวางการจราจรจนไม่อาจใช้สัญจรได้ตามปกติ (2) กีดขวางทางเข้า-ออกอาคารหรือสถานที่อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงาน การประกอบกิจการ หรือการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนโดยทั่วไป (3) มีการประทุษร้ายหรือใช้กำลังอันทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหาย หรือเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน (4) ขัดขืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งการเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อให้เป็นไปโดยสงบและไม่เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน
ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ ผบช.ในพื้นที่ที่มีข่าวนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทั้งที่ กทม., เชียงใหม่, เชียงราย, อุดรธานี, ราชบุรี, นนทบุรี โดยให้ ผบก.จังหวัดที่มีการชุมนุมขึ้นตรงอำนาจสั่งการของ ผวจ.จังหวัด ตามนโยบายของรัฐบาลจะมีการเปิด ศปก.ตร.เพื่อประชุมประเมินสถานการณ์การชุมนุมทุกพื้นที่ผ่านทางวิดีโอทางไกล เพื่อความชัดเจนในคำสั่งการ โดยจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3,000 นาย เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยในช่วงของการชุมนุม และป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ใช้แผนพิทักษ์เมือง
นอกจากนี้ ได้จัดการคุ้มครองบุคคลสำคัญ สถานที่ราชการ สถานที่พักของบุคคลที่อยู่ในข่ายสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายในบ้านเมือง โดยในการชุมนุมในทุกพื้นที่ได้กำชับให้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมจัดหาสถานที่ชุมนุมที่เหมาะสม ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนคนอื่น
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. แถลงว่า พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ที่รับมอบหมายให้เจรจากับผู้ชุมนุมได้ดำเนินการแจ้งข้อกฎหมายให้แกนนำรับทราบแล้ว โดยทางผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะปฏิบัติตาม ส่วน บก.น.5, บก.น.6 ที่รับผิดชอบบริเวณบริเวณแยกราชประสงค์และพื้นที่ต่อเนื่องได้ออกแผนปฏิบัติแล้ว รวมทั้ง บก.น.อื่นๆ ที่มีพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น บ้านพักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล และบุคคลสำคัญ มีการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยไว้แล้ว ยืนยันว่าสถานการณ์ยังปกติ
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวอีกว่า ส่วนรายงานข่าวกิจกรรมของผู้ชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. ช่วงเช้ามีกิจกรรมสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มมวลชนบางส่วนประมาณ 50-60 คนมาจัดกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 07.00 น. บก.น.1 เป็นผู้ดูแล ส่วนการทำบุญยังยืนยันว่าเป็นที่วัดปทุมวนารามฯ บางส่วนอาจไปวัดหัวลำโพง ด้านการจราจรย่านราชประสงค์ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจร เนื่องจากยังมีการเปิดใช้ถนนตามปกติ การเดินข้ามไปมาขอให้ทำตามสัญญาณไฟจราจรและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
โฆษก บช.น.บอกว่า ยังคงใช้แผนพิทักษ์เมือง แบ่งเป็น 3 พื้นที่ เฝ้าระวังพิเศษอย่างยิ่งบ้านวีไอพีทั้งหมด สถานีรถไฟฟ้าและใต้ดิน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสารวัตรทหารและเทศกิจร่วมกันดูแล ส่วนพื้นที่ทั่วไปก็มีกำลังดูแลกำชับตรวจตราอาวุธ เบื้องต้นประเมินจำนวนผู้ชุมนุมว่าวันที่ 19 ก.ย.ใน กทม.เป็นกลุ่มของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ คาดว่ามีจำนวน 500-1,000 คน เชื่อว่าตำรวจที่วางกำลังไว้สามารถดูแลได้ ส่วนการจัดกิจกรรมได้มีการเจรจาแล้วว่าไม่ให้เกินเวลา 20.00 น.
พ.ต.ท.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษก บช.น. กล่าวว่า การเฝ้าระวังในเรื่องต่างๆ เราจะไม่ได้ประมาท โดย ผบ.ตร.ได้มีการเน้นย้ำให้มีการป้องกันเหตุร้าย โดยมีการขยายตั้งจุดตรวจต่างๆ รวมกว่า 100 ด่านทั่ว กทม. เพื่อตั้งจุดตรวจจุดสกัด โดยจะใช้กำลังทั้งหมดประมาณ 3,000 นาย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จัดกิจกรรม 1,800 นาย ส่วนที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันตั้งด่านตรวจและจุดสกัด ซึ่งคิดว่าเป็นการชุมนุมในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ไม่น่าจะรุนแรงอะไร และขณะนี้ตำรวจก็ยังไม่ได้มีการขอกำลังสนับสนุนจากทหาร
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ศอฉ.มีคำสั่งให้ กทม.ยกเลิกการจัดงานแบงค็อกคาร์ฟรีเดย์ 2010 วันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนด้วยการปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว ทาง ศอฉ.จึงเกรงว่าการจัดกิจกรรมของ กทม.จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรืออาจถูกสังคมมองว่าเป็นการนำมวลชนมาสนับสนุนการชุมนุม คาดว่าจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 22 ก.ย.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ว่า ขอให้ประชาชนทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์ได้ และเชื่อว่าได้แจ้งคำเตือนคำแนะนำ ส่งคนไปเจรจาพูดจากับฝ่ายที่จะมาชุมนุม ฝ่ายผู้ชุมนุมฝ่ายที่จะมาชุมนุมเขาก็ต้องเข้าใจดีว่าอะไรที่ทำแล้วจะผิดกฎหมาย ถ้าเขาร่วมมือก็จะไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพี่น้องประชาชน ถ้าเห็นเบาะแสความผิดปกติใดๆ ในช่วงระยะนี้ ก็ขอช่วยกรุณา ทำหน้าที่เป็นหูเห็นตาบอก เจ้าหน้าที่จะได้แก้ไขเหตุการณ์เสียตั้งแต่ต้นมือ
ถามว่า ทางการข่าวมีการประเมินว่าจะมีการใช้ความรุนแรงหรือการใช้อาวุธมาก่อเหตุหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่า ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่จะยืนยันอย่างนั้น มาตรการดูแลก็ไม่มีการเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษ ดูแลกันไปตามปกติที่ดูแลอยู่ทุกวัน ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาลก็ไม่มีการสั่งเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลแต่อย่างใด
"เทือก"ยันดูแลได้
ส่วนกรณีข่าวชายชุดดำเป็นกองกำลังที่ส่งมาจากประเทศเวียดนาม โดยผ่านการฝึกมาอย่างดี และไม่ต้องนำอาวุธมาเพราะในประเทศไทยมีการเตรียมไว้ให้นั้น นายสุเทพกล่าวว่า ก็เอาสื่อฉบับนั้นมาเปิดให้เต็มที่ไปเลย จะได้ตามได้ด้วย ตนไม่ได้เป็นคนเอาข่าวนี้มาพูด เพราะฉะนั้นคงจะพูดรายละเอียดไม่ได้ และขอร้องสื่อมวลชนอย่าทำให้เรื่องนี้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ และช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่
"ขอยืนยันกับประชาชนว่า ผมและคณะทำงานฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือสถานการณ์ และตั้งใจเต็มที่ที่จะดูแลให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อยให้ได้ ในช่วง 2-3 วันนี้คนกรุงเทพฯ ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะนำดอกไม้ไปวางหน้าเรือนจำนั้น ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถดูแลให้อยู่ในความสงบได้"
ซักว่าคนเสื้อแดงในต่างประเทศอีก 6 ประเทศก็จะเคลื่อนไหวทำกิจกรรมพร้อมไปกับในประเทศไทย เป็นห่วงว่าจะทำให้เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ นายสุเทพตอบว่า ไม่กังวลเลย
"ผมว่าฝ่ายคุณทักษิณเองเสียอีกน่ากังวลกว่า เพราะยังต้องพยายามปิดบังภาพต่างๆ เช่น ภาพที่ไปพบกับนายทอม ที่เป็นคนที่มีพฤติการณ์ไม่ถูกใจคนไทยที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างนั้นน่ากังวลใจกว่า เพราะนายทอมเป็นคนที่มีการแสดงที่ไม่ดีต่อประเทศไทยและสถาบันที่เคารพเทิดทูนของประเทศไทย พวกผมไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นภาพเก่าหรือภาพปัจจุบันกำลังจำตามตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นอย่างไร"
เมื่อถามว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเล่นงานคนคนเดียวจนบ้านเมืองปั่นป่วนกันไปหมด อย่างนี้จะหาทางออกที่ดีได้อย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเอาทั้งประเทศเลย เดือดร้อนกันทั้งหมด เพราะทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเขาเองทั้งสิ้น
ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เผยว่า ในวันที่ 19 กันยายนนี้พรรคเพื่อไทยก็จัดกิจกรรม 4 ปีการปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับที่กลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่ม นปช.จัดทั่วประเทศ เพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้น และนำบทเรียนต่างๆ ออกมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับคนทั่วไป
และส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มคนเสื้อแดงและ นปช.จะไม่ไปทำอะไรไม่ดี นอกจากการโจมตีความคิดในเรื่องที่ไม่สมควร เรื่องคน เรื่องหน่วย เรื่องอะไรต่างๆ ไม่เกี่ยว แต่ความคิดที่ไม่ถูกต้องก็ต้องมาช่วยกันแก้ไขเท่านั้นเอง
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกฯ นั้น ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ควรจะพูดความจริงออกมาหากต้องการบอกกับสังคม หรือต้องการเตือน โดยข้อมูลจะต้องมีความชัดเจน ถ้าหากไม่เหมาะสมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรจะนำเรื่องนี้มาพูด เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว และไม่มีความแน่นอน เพราะการพูดในสถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากเสียภาพลักษณ์ของประเทศไทยส่วนรวม
"คนไทยไม่ได้มีนิสัยใช้ความรุนแรงหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่คนไทยมีนิสัยในการใฝ่สันติและเรื่องของสันติวิธีหรือวิธีอหิงสา และเป็นแนวทางที่นักการเมืองใช้มาตั้งแต่อดีต ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็น ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่นที่พูดกันอยู่ตลอดคือ 2 มาตรฐาน หรือความไม่ยุติธรรม ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ก็ทำให้เขาเจ็บปวด และข้อมูลข่าวสารต้องมีความชัดเจนมากกว่านี้" พล.อ.ชวลิตกล่าว
แดงไม่เถือก
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. นำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปวางดอกกุหลาบด้านหน้าเรือนจำ พร้อมกับบอกว่า ในสัปดาห์หน้าจะมาอีก จะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนกว่าจะมีการปล่อยตัวแกนนำ นปช.ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อแสดงให้แกนนำที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน
เขาบอกว่า การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 ก.ย.ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน ดังนั้นจึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าได้ไปจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จก็จะเดินทางกลับเหมือนกับการจัดกิจกรรมในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการชุมนุมหน้าเรือนจำปรากฏว่าได้มีรถทหารขับผ่านบริเวณดังกล่าว ทำให้คนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ไล่ แต่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งหลังนายจตุพรวางดอกไม้เสร็จแล้วกลุ่มคนเสื้อแดงจึงทยอยเดินทางกลับ
นอกจากนี้ยังพบว่าคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดเคลื่อนไหวหน้าเรือนจำเช่นกัน อาทิ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ เชียงราย สกลนคร มุกดาหาร อุบลราชธานี ขอนแก่น โดยทุกจุดเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละจุดมีผู้ร่วมเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวมีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์แท้และฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อแดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นแรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อแดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นแรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส.โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกแบบ ดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศวันที่ 19 ก.ย.ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เที่ยงวันเดียวกัน บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสีลมคอมเพล็กซ์ กลุ่มคนเสื้อหลากสีนำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือหมอตุลย์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 50 คน มารวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่จะปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 17-19 ก.ย.นี้
โดยระหว่างการจัดกิจกรรมมีการแจกดอกไม้สีชมพูพร้อมธงชาติไทย และร้องเพลงปลุกใจอยู่ตลอด ท่ามกลางความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
นพ.ตุลย์กล่าวว่า ที่มาทำกิจกรรมวันนี้เพื่อให้กำลังใจกับพี่น้องทหาร และขอเรียกร้องไม่ให้ฝ่ายใดๆ มาก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ถ้ามีการระดมคนเสื้อแดงกันอย่างต่อเนื่อง เช่น มาชุมนุมต่อที่สีลมหรือราชประสงค์ จะทำให้เกิดความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ตรงส่วนนี้ทางกลุ่มเสื้อหลากสีจะมีการประเมินสถานการณ์ ซึ่งอาจจะมีการชุมนุมเพื่อต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดงได้
ที่นครราชสีมา พล.ต.ท.เดชาวัต รามสมภพ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เผยว่า จังหวัดอีสานล่างที่จะต้องเฝ้าติดตามดูสถานการณ์เป็นพิเศษมีอยู่ 2 จังหวัด คืออุบลราชธานีและยโสธร เนื่องจากการข่าวพบว่าทั้ง 2 จังหวัดจะมีการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ในห้วงนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ก.ย.
ที่มา.ไทยโพสต์
**************************************************************************
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงการณ์ประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. เป็นประธานว่า มีการหารือถึงการเตรียมรับสถานการณ์ช่วงวันที่ 17-19 ก.ย.นี้ ซึ่งฝ่ายข่าวได้เตรียมข้อมูลโดยสรุปว่าการวางดอกไม้ในพื้นที่เรือนจำใน กทม.และต่างจังหวัดทั้งสิ้น 8 จังหวัด ในวันที่ 17 ก.ย.เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใน กทม.มีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน ส่วนจังหวัดต่างๆ มียอดแตกต่างกันไป ประมาณ 30-100 คน เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
โฆษก ศอฉ.กล่าวว่า ภาพรวมการติดตามสถานการณ์ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ศอฉ.จะเปิด บก.ติดตามสถานการณ์ มี พล.อ.อนุพงษ์เป็นผู้ดูแล โดยจะติดตามสถานการณ์อยู่ภายนอก หากเกิดเหตุการณ์อะไรท่านจะเข้ามาทันที เพราะว่า ผอ.ศอฉ.ได้ชี้แจงย้ำว่า ผบ.ทบ.ในฐานะ ผช.ผอ.ศอฉ.เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งการตั้ง บก.ไม่ถึงกับว่ามีความวิตกกังวล แต่ว่ามีข้อมูลข่าวสารในการทำกิจกรรมทางการเมือง ที่แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีความประสงค์ดี แต่ก็มีข้อมูลข่าวสารส่วนหนึ่งว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีพยายามฉกฉวยสถานการณ์ เพราะฉะนั้นเตรียมไว้ก่อน เกินดีกว่าขาด
พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ในพื้นที่ กทม.และเชียงใหม่มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อพร้อมปฏิบัติภารกิจหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่คาดว่าคงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อถามถึงกระแสข่าวอาวุธที่คลังแสง จ.ลพบุรี ถูกคนร้ายขโมยไปนั้น โฆษก ศอฉ.ตอบว่า พยายามตรวจสอบแล้ว ยังไม่พบข้อมูลว่าอาวุธดังกล่าวหายไป
"การดูแลอาวุธในคลังแสงถือเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้ว โดยให้ทุกหน่วยดูแลตามหลักเกณฑ์ในการเก็บรักษาอาวุธอยู่แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าอาวุธที่มีข่าวว่าหายไปนั้นยังตรวจสอบไม่พบ ต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง" พ.อ.สรรเสริญกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่จังหวัดลพบุรี ได้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าอาวุธและเครื่องกระสุนที่คลังแสงหายไป โดยอาวุธส่วนใหญ่ที่หายเป็นหัวกระสุนอาร์พีจี ทันทีที่มีกระแสข่าวดังกล่าวออกมา ต้นสังกัดได้สั่งให้ทหารแต่ละหน่วยในจังหวัดลพบุรีตรวจสอบอาวุธของหน่วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวว่าได้มีการสั่งการให้ปิดข่าวในเรื่องนี้ พร้อมกันนี้มีการระบุด้วยว่าหัวระเบิดอาร์พีจีหายไป 72 ลูก
ขณะที่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า มีกลุ่มที่เตรียมจะก่อเหตุรุนแรงและลอบสังหารบุคคลสำคัญในรูปแบบของการยิงระยะไกลมาจากอาคารสูง อาคารร้าง ทางด่วน และถึงขั้นใช้ระบบการปฏิบัติการคาร์บอมบ์
สำหรับอาร์พีจีที่หายไป มีการคาดการณ์ว่าอาจหายจากคลังแสงกรมสรรพาวุธ ทหารบก หรือศูนย์การบินทหารบก รวมทั้งเป็นไปได้ที่จะหายไปจากคลังเก็บอาวุธของศูนย์การทหารปืนใหญ่ ศูนย์ซ่อมสร้างอาวุธ กระทรวงกลาโหม และค่ายทหารที่ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
"มาร์ค"ได้รับรายงานแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าหายจริง แต่จำนวนที่ฟังมาไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งได้มีการตรวจสอบกันอยู่ เรื่องนี้ให้ทางกองทัพเป็นผู้ชี้แจง
ถามว่าช่วงเวลาที่อาวุธหายไปคาบเกี่ยวกับการชุมนุม นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่สามารถที่จะสรุปได้ ทางกองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีปัญหาอะไรกับคลังแสงของกองทัพ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นเรื่องที่จะตรวจสอบและรายงานมา "จำไม่ได้ว่ารับรายเมื่อไหร่ แต่ผมพอทราบข่าวมาระยะหนึ่งแล้ว"
"ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง กองทัพต้องตรวจสอบ และดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือน"
กรณีที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามที่ได้รับการฝึกการใช้อาวุธเข้ามาเตรียมที่จะก่อเหตุนั้น นายกฯ กล่าวว่า ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบเขาติดตามข่าวคราวทำนองนี้ ซึ่งไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องสัญชาติที่ว่า และพบว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่หลายส่วนกำลังจับตาดูอยู่ แต่ขอไม่ลงรายละเอียด
"ขอย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวและข่าวคราวอย่างนี้ น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ายังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละเรื่องของการไม่ใช้ความรุนแรง และจึงเป็นสิ่งที่เราต้องสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในส่วนของความรุนแรง ว่าจะทำอย่างไรที่จะป้องกันคนเหล่านี้ไม่ให้ฉวยโอกาส"
เมื่อถามต่อว่า มีความมั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยสีหน้าอย่างจริงจังและน้ำเสียงที่มั่นใจว่า ได้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ที่ประชุม ศอฉ. ไม่ได้พูดคุยเรื่องเตรียมแผน มาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก เพราะประชุมจบไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วว่าตำรวจมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งแนวทางรัฐบาลมีอยู่แล้ว ทั้งนี้คิดว่าการชุมนุมคงไม่มีอะไร
วันเดียวกัน มีการแจกจ่ายประกาศ ศอฉ.เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมฉบับที่ 2 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเพิ่มเติมข้อห้ามอีก 1 ข้อ เป็นข้อที่ (5) คือ ห้ามการใช้เครื่องขยายเสียงหรือใช้เวทีตั้งเครื่องขยายเสียง หรือใช้ยานพาหนะติดตั้งเครื่องขยายเสียง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ประกาศฉบับแรกที่มีการประกาศไปตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.นี้ มีเนื้อหาห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนเป็นต้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ (1) กีดขวางการจราจรจนไม่อาจใช้สัญจรได้ตามปกติ (2) กีดขวางทางเข้า-ออกอาคารหรือสถานที่อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงาน การประกอบกิจการ หรือการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนโดยทั่วไป (3) มีการประทุษร้ายหรือใช้กำลังอันทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหาย หรือเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน (4) ขัดขืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งการเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อให้เป็นไปโดยสงบและไม่เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน
ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ ผบช.ในพื้นที่ที่มีข่าวนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทั้งที่ กทม., เชียงใหม่, เชียงราย, อุดรธานี, ราชบุรี, นนทบุรี โดยให้ ผบก.จังหวัดที่มีการชุมนุมขึ้นตรงอำนาจสั่งการของ ผวจ.จังหวัด ตามนโยบายของรัฐบาลจะมีการเปิด ศปก.ตร.เพื่อประชุมประเมินสถานการณ์การชุมนุมทุกพื้นที่ผ่านทางวิดีโอทางไกล เพื่อความชัดเจนในคำสั่งการ โดยจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3,000 นาย เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยในช่วงของการชุมนุม และป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ใช้แผนพิทักษ์เมือง
นอกจากนี้ ได้จัดการคุ้มครองบุคคลสำคัญ สถานที่ราชการ สถานที่พักของบุคคลที่อยู่ในข่ายสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายในบ้านเมือง โดยในการชุมนุมในทุกพื้นที่ได้กำชับให้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมจัดหาสถานที่ชุมนุมที่เหมาะสม ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนคนอื่น
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. แถลงว่า พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ที่รับมอบหมายให้เจรจากับผู้ชุมนุมได้ดำเนินการแจ้งข้อกฎหมายให้แกนนำรับทราบแล้ว โดยทางผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะปฏิบัติตาม ส่วน บก.น.5, บก.น.6 ที่รับผิดชอบบริเวณบริเวณแยกราชประสงค์และพื้นที่ต่อเนื่องได้ออกแผนปฏิบัติแล้ว รวมทั้ง บก.น.อื่นๆ ที่มีพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น บ้านพักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล และบุคคลสำคัญ มีการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยไว้แล้ว ยืนยันว่าสถานการณ์ยังปกติ
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวอีกว่า ส่วนรายงานข่าวกิจกรรมของผู้ชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. ช่วงเช้ามีกิจกรรมสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มมวลชนบางส่วนประมาณ 50-60 คนมาจัดกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 07.00 น. บก.น.1 เป็นผู้ดูแล ส่วนการทำบุญยังยืนยันว่าเป็นที่วัดปทุมวนารามฯ บางส่วนอาจไปวัดหัวลำโพง ด้านการจราจรย่านราชประสงค์ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจร เนื่องจากยังมีการเปิดใช้ถนนตามปกติ การเดินข้ามไปมาขอให้ทำตามสัญญาณไฟจราจรและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
โฆษก บช.น.บอกว่า ยังคงใช้แผนพิทักษ์เมือง แบ่งเป็น 3 พื้นที่ เฝ้าระวังพิเศษอย่างยิ่งบ้านวีไอพีทั้งหมด สถานีรถไฟฟ้าและใต้ดิน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสารวัตรทหารและเทศกิจร่วมกันดูแล ส่วนพื้นที่ทั่วไปก็มีกำลังดูแลกำชับตรวจตราอาวุธ เบื้องต้นประเมินจำนวนผู้ชุมนุมว่าวันที่ 19 ก.ย.ใน กทม.เป็นกลุ่มของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ คาดว่ามีจำนวน 500-1,000 คน เชื่อว่าตำรวจที่วางกำลังไว้สามารถดูแลได้ ส่วนการจัดกิจกรรมได้มีการเจรจาแล้วว่าไม่ให้เกินเวลา 20.00 น.
พ.ต.ท.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษก บช.น. กล่าวว่า การเฝ้าระวังในเรื่องต่างๆ เราจะไม่ได้ประมาท โดย ผบ.ตร.ได้มีการเน้นย้ำให้มีการป้องกันเหตุร้าย โดยมีการขยายตั้งจุดตรวจต่างๆ รวมกว่า 100 ด่านทั่ว กทม. เพื่อตั้งจุดตรวจจุดสกัด โดยจะใช้กำลังทั้งหมดประมาณ 3,000 นาย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จัดกิจกรรม 1,800 นาย ส่วนที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันตั้งด่านตรวจและจุดสกัด ซึ่งคิดว่าเป็นการชุมนุมในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ไม่น่าจะรุนแรงอะไร และขณะนี้ตำรวจก็ยังไม่ได้มีการขอกำลังสนับสนุนจากทหาร
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ศอฉ.มีคำสั่งให้ กทม.ยกเลิกการจัดงานแบงค็อกคาร์ฟรีเดย์ 2010 วันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนด้วยการปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว ทาง ศอฉ.จึงเกรงว่าการจัดกิจกรรมของ กทม.จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรืออาจถูกสังคมมองว่าเป็นการนำมวลชนมาสนับสนุนการชุมนุม คาดว่าจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 22 ก.ย.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ว่า ขอให้ประชาชนทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์ได้ และเชื่อว่าได้แจ้งคำเตือนคำแนะนำ ส่งคนไปเจรจาพูดจากับฝ่ายที่จะมาชุมนุม ฝ่ายผู้ชุมนุมฝ่ายที่จะมาชุมนุมเขาก็ต้องเข้าใจดีว่าอะไรที่ทำแล้วจะผิดกฎหมาย ถ้าเขาร่วมมือก็จะไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพี่น้องประชาชน ถ้าเห็นเบาะแสความผิดปกติใดๆ ในช่วงระยะนี้ ก็ขอช่วยกรุณา ทำหน้าที่เป็นหูเห็นตาบอก เจ้าหน้าที่จะได้แก้ไขเหตุการณ์เสียตั้งแต่ต้นมือ
ถามว่า ทางการข่าวมีการประเมินว่าจะมีการใช้ความรุนแรงหรือการใช้อาวุธมาก่อเหตุหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่า ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่จะยืนยันอย่างนั้น มาตรการดูแลก็ไม่มีการเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษ ดูแลกันไปตามปกติที่ดูแลอยู่ทุกวัน ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาลก็ไม่มีการสั่งเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลแต่อย่างใด
"เทือก"ยันดูแลได้
ส่วนกรณีข่าวชายชุดดำเป็นกองกำลังที่ส่งมาจากประเทศเวียดนาม โดยผ่านการฝึกมาอย่างดี และไม่ต้องนำอาวุธมาเพราะในประเทศไทยมีการเตรียมไว้ให้นั้น นายสุเทพกล่าวว่า ก็เอาสื่อฉบับนั้นมาเปิดให้เต็มที่ไปเลย จะได้ตามได้ด้วย ตนไม่ได้เป็นคนเอาข่าวนี้มาพูด เพราะฉะนั้นคงจะพูดรายละเอียดไม่ได้ และขอร้องสื่อมวลชนอย่าทำให้เรื่องนี้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ และช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่
"ขอยืนยันกับประชาชนว่า ผมและคณะทำงานฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือสถานการณ์ และตั้งใจเต็มที่ที่จะดูแลให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อยให้ได้ ในช่วง 2-3 วันนี้คนกรุงเทพฯ ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะนำดอกไม้ไปวางหน้าเรือนจำนั้น ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถดูแลให้อยู่ในความสงบได้"
ซักว่าคนเสื้อแดงในต่างประเทศอีก 6 ประเทศก็จะเคลื่อนไหวทำกิจกรรมพร้อมไปกับในประเทศไทย เป็นห่วงว่าจะทำให้เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ นายสุเทพตอบว่า ไม่กังวลเลย
"ผมว่าฝ่ายคุณทักษิณเองเสียอีกน่ากังวลกว่า เพราะยังต้องพยายามปิดบังภาพต่างๆ เช่น ภาพที่ไปพบกับนายทอม ที่เป็นคนที่มีพฤติการณ์ไม่ถูกใจคนไทยที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างนั้นน่ากังวลใจกว่า เพราะนายทอมเป็นคนที่มีการแสดงที่ไม่ดีต่อประเทศไทยและสถาบันที่เคารพเทิดทูนของประเทศไทย พวกผมไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นภาพเก่าหรือภาพปัจจุบันกำลังจำตามตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นอย่างไร"
เมื่อถามว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเล่นงานคนคนเดียวจนบ้านเมืองปั่นป่วนกันไปหมด อย่างนี้จะหาทางออกที่ดีได้อย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเอาทั้งประเทศเลย เดือดร้อนกันทั้งหมด เพราะทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเขาเองทั้งสิ้น
ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เผยว่า ในวันที่ 19 กันยายนนี้พรรคเพื่อไทยก็จัดกิจกรรม 4 ปีการปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับที่กลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่ม นปช.จัดทั่วประเทศ เพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้น และนำบทเรียนต่างๆ ออกมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับคนทั่วไป
และส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มคนเสื้อแดงและ นปช.จะไม่ไปทำอะไรไม่ดี นอกจากการโจมตีความคิดในเรื่องที่ไม่สมควร เรื่องคน เรื่องหน่วย เรื่องอะไรต่างๆ ไม่เกี่ยว แต่ความคิดที่ไม่ถูกต้องก็ต้องมาช่วยกันแก้ไขเท่านั้นเอง
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกฯ นั้น ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ควรจะพูดความจริงออกมาหากต้องการบอกกับสังคม หรือต้องการเตือน โดยข้อมูลจะต้องมีความชัดเจน ถ้าหากไม่เหมาะสมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรจะนำเรื่องนี้มาพูด เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว และไม่มีความแน่นอน เพราะการพูดในสถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากเสียภาพลักษณ์ของประเทศไทยส่วนรวม
"คนไทยไม่ได้มีนิสัยใช้ความรุนแรงหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่คนไทยมีนิสัยในการใฝ่สันติและเรื่องของสันติวิธีหรือวิธีอหิงสา และเป็นแนวทางที่นักการเมืองใช้มาตั้งแต่อดีต ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็น ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่นที่พูดกันอยู่ตลอดคือ 2 มาตรฐาน หรือความไม่ยุติธรรม ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ก็ทำให้เขาเจ็บปวด และข้อมูลข่าวสารต้องมีความชัดเจนมากกว่านี้" พล.อ.ชวลิตกล่าว
แดงไม่เถือก
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. นำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปวางดอกกุหลาบด้านหน้าเรือนจำ พร้อมกับบอกว่า ในสัปดาห์หน้าจะมาอีก จะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนกว่าจะมีการปล่อยตัวแกนนำ นปช.ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อแสดงให้แกนนำที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน
เขาบอกว่า การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 ก.ย.ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน ดังนั้นจึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าได้ไปจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จก็จะเดินทางกลับเหมือนกับการจัดกิจกรรมในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการชุมนุมหน้าเรือนจำปรากฏว่าได้มีรถทหารขับผ่านบริเวณดังกล่าว ทำให้คนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ไล่ แต่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งหลังนายจตุพรวางดอกไม้เสร็จแล้วกลุ่มคนเสื้อแดงจึงทยอยเดินทางกลับ
นอกจากนี้ยังพบว่าคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดเคลื่อนไหวหน้าเรือนจำเช่นกัน อาทิ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ เชียงราย สกลนคร มุกดาหาร อุบลราชธานี ขอนแก่น โดยทุกจุดเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละจุดมีผู้ร่วมเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวมีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์แท้และฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อแดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นแรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อแดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นแรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส.โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกแบบ ดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศวันที่ 19 ก.ย.ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เที่ยงวันเดียวกัน บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสีลมคอมเพล็กซ์ กลุ่มคนเสื้อหลากสีนำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือหมอตุลย์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 50 คน มารวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่จะปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 17-19 ก.ย.นี้
โดยระหว่างการจัดกิจกรรมมีการแจกดอกไม้สีชมพูพร้อมธงชาติไทย และร้องเพลงปลุกใจอยู่ตลอด ท่ามกลางความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
นพ.ตุลย์กล่าวว่า ที่มาทำกิจกรรมวันนี้เพื่อให้กำลังใจกับพี่น้องทหาร และขอเรียกร้องไม่ให้ฝ่ายใดๆ มาก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ถ้ามีการระดมคนเสื้อแดงกันอย่างต่อเนื่อง เช่น มาชุมนุมต่อที่สีลมหรือราชประสงค์ จะทำให้เกิดความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ตรงส่วนนี้ทางกลุ่มเสื้อหลากสีจะมีการประเมินสถานการณ์ ซึ่งอาจจะมีการชุมนุมเพื่อต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดงได้
ที่นครราชสีมา พล.ต.ท.เดชาวัต รามสมภพ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เผยว่า จังหวัดอีสานล่างที่จะต้องเฝ้าติดตามดูสถานการณ์เป็นพิเศษมีอยู่ 2 จังหวัด คืออุบลราชธานีและยโสธร เนื่องจากการข่าวพบว่าทั้ง 2 จังหวัดจะมีการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ในห้วงนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ก.ย.
ที่มา.ไทยโพสต์
**************************************************************************
"ป๊อก"อำลาถิ่นเก่า เจอแผนกระชับพื้นที่
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ลับพอสมควร:กิจจา เจริญเกียรติก้อง
กลับมาอำลาถิ่นเก่ากองทัพภาคที่ 1 ก่อนเกษียณปลายเดือนนี้
บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
หนีบเอาบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผบ.ทบ.มาด้วย
แต่เหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ ตกมาห่าใหญ่
แม่งานอย่างบิ๊กอ๊อด-พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ถึงกับเซ็ง
สั่งยกเลิกพิธีสวนสนามทันที หันมาใช้แผนสอง จัดงานในอาคารแทน
พอย้ายไปปุ๊บบอร์ด 100 ปีกองทัพภาค 1 ที่รวมรูปผลงาน บิ๊กป๊อก กลายเป็นตัวดึงดูด
ระหว่างนั้นผบ.หน่วย นขต.ทภ.1 ถูกเรียกมาร่วมพิธี
บิ๊กป๊อก เดินทักทายผู้พัน ผู้การกรม ผบ.พล แบบกันเอง
ก่อนหยุดดูชุดอาวุธใหม่ของกองร้อยรักษาความสงบ ที่ผู้การแดง-พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. จัดมาให้ชมเรียกน้ำย่อย
หลายคนเลยแซวติดตลก
"อำลาหรือเช็กความพร้อมออกรบ"
ก่อนถูกกระจอกข่าวตีวงล้อมขอสัมภาษณ์
บิ๊กป๊อกอิดออดตามสไตล์ เห็นบิ๊กอ๊อด ยืนข้างๆ เลยอำ
"อ้าว...เป็นพวกเดียวกับนักข่าวแล้วเหรอ?"
บิ๊กอ๊อด ปล่อยมุขทันที
"บางครั้งก็ไม่ได้เป็น บางครั้งก็เป็น แต่วันนี้เป็นพวกกันครับ"
พูดจบก็โอบ บิ๊กป๊อก เข้าสู่วงสัมภาษณ์
ไม่ทันจะเกษียณ ก็โดนแผนกระชับพื้นที่ซะแล้ว...(อิอิ)
*******************************************************
คอลัมน์ ลับพอสมควร:กิจจา เจริญเกียรติก้อง
กลับมาอำลาถิ่นเก่ากองทัพภาคที่ 1 ก่อนเกษียณปลายเดือนนี้
บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
หนีบเอาบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผบ.ทบ.มาด้วย
แต่เหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ ตกมาห่าใหญ่
แม่งานอย่างบิ๊กอ๊อด-พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ถึงกับเซ็ง
สั่งยกเลิกพิธีสวนสนามทันที หันมาใช้แผนสอง จัดงานในอาคารแทน
พอย้ายไปปุ๊บบอร์ด 100 ปีกองทัพภาค 1 ที่รวมรูปผลงาน บิ๊กป๊อก กลายเป็นตัวดึงดูด
ระหว่างนั้นผบ.หน่วย นขต.ทภ.1 ถูกเรียกมาร่วมพิธี
บิ๊กป๊อก เดินทักทายผู้พัน ผู้การกรม ผบ.พล แบบกันเอง
ก่อนหยุดดูชุดอาวุธใหม่ของกองร้อยรักษาความสงบ ที่ผู้การแดง-พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. จัดมาให้ชมเรียกน้ำย่อย
หลายคนเลยแซวติดตลก
"อำลาหรือเช็กความพร้อมออกรบ"
ก่อนถูกกระจอกข่าวตีวงล้อมขอสัมภาษณ์
บิ๊กป๊อกอิดออดตามสไตล์ เห็นบิ๊กอ๊อด ยืนข้างๆ เลยอำ
"อ้าว...เป็นพวกเดียวกับนักข่าวแล้วเหรอ?"
บิ๊กอ๊อด ปล่อยมุขทันที
"บางครั้งก็ไม่ได้เป็น บางครั้งก็เป็น แต่วันนี้เป็นพวกกันครับ"
พูดจบก็โอบ บิ๊กป๊อก เข้าสู่วงสัมภาษณ์
ไม่ทันจะเกษียณ ก็โดนแผนกระชับพื้นที่ซะแล้ว...(อิอิ)
*******************************************************
ปรองดอง"ล่ม"
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
แนวทางปรองดอง 5 ข้อที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยทะลุกลางปล้องขึ้นมา
ตอนแรกรัฐบาลก็ทำท่าจะเออออห่อหมก
จนหลายคนเริ่มมีหวังจะได้เห็นประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย
ที่ไหนได้ เลยไปไม่กี่วันแนวทางปรองดองที่ว่าทำท่าจะเงียบหายไปกับสายลม
รัฐบาล-ฝ่ายค้านเริ่มไม่มีใครพูดถึงเรื่องปรองดองอีกแล้ว
เป็นไปได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของตัวเองให้ต้องเร่งมือแก้ไข จนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องปรองดองอีก
อย่างรัฐบาลตอนนี้ก็ทุ่มเทความสนใจในเรื่องจัดวางกำลังรับมือคนเสื้อแดง ที่นัดรวมตัวเคลื่อนไหวช่วงครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ 19 กันยาฯ
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังจับมือใครดมไม่ได้
ไหนจะเรื่องคนเสื้อแดงเตรียมเอาเรื่อง 91 ศพไปฟ้องร้องต่อศาลระหว่างประเทศ
รวมทั้งปัญหาความสัมพันธ์กับซาอุฯ ที่เริ่มคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากกรณีการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วยผบ.ตร.
คดียุบพรรคก็ใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์
ล่าสุดยังมี "เทปลับ" โผล่ออกมาเขย่าขวัญส.ส.ประชาธิปัตย์อีกต่างหาก
อุตส่าห์ปรับ "ฮวงจุ้ย" ทำเนียบรัฐบาล เอาต้นปาล์มมาลงเป็นนัยว่าให้ใบปาล์มพัดพาเอามรสุมเลวร้ายต่างๆ ออกไป เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว
พัดเข้าหรือพัดออกกันแน่
ด้านพรรคเพื่อไทยก็เกิดปัญหาชุลมุนขึ้นมาอีกระลอก
จากตอนแรกวางแผนดึงพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อนำทัพปรองดอง แต่เกิดผิดคิวท่าไหนยังไม่ชัด พล.ต.อ.โกวิทถอนตัวไปดื้อๆ
เลยต้องลากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ กลับมาเหมือนเดิม
เลขาธิการพรรคคนใหม่ นายสุพล ฟองงาม ซึ่งยังมีที่มาคลุมเครือ
ไม่รู้ว่ามาแล้วจะเป็นผลบวกหรือลบต่อพรรคอย่างไรหรือไม่
อีกอย่างคือแกนนำนปช. ที่เป็นส.ส.อยู่ในพรรคก็ไม่มีท่าทีอยากจะปรองดองกับใครเท่าไหร่ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือคนในสังคมก็ไม่ได้ออกแรงกดดันให้การเมือง 2 ฝ่ายต้องปรองดองกันแต่อย่างใด
เห็นแผนปรองดองกำลังจะล้มไปต่อหน้าต่อตา
ก็ยังนิ่งๆ กันอยู่
วิเคราะห์กันว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะสังคมเริ่มปรับตัวเข้ากับความขัดแย้งได้แล้ว
เลยไม่อยากเสียเวลาปรับตัวเข้าหาความปรองดองกันอีก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ เหล็กใน
แนวทางปรองดอง 5 ข้อที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยทะลุกลางปล้องขึ้นมา
ตอนแรกรัฐบาลก็ทำท่าจะเออออห่อหมก
จนหลายคนเริ่มมีหวังจะได้เห็นประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย
ที่ไหนได้ เลยไปไม่กี่วันแนวทางปรองดองที่ว่าทำท่าจะเงียบหายไปกับสายลม
รัฐบาล-ฝ่ายค้านเริ่มไม่มีใครพูดถึงเรื่องปรองดองอีกแล้ว
เป็นไปได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของตัวเองให้ต้องเร่งมือแก้ไข จนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องปรองดองอีก
อย่างรัฐบาลตอนนี้ก็ทุ่มเทความสนใจในเรื่องจัดวางกำลังรับมือคนเสื้อแดง ที่นัดรวมตัวเคลื่อนไหวช่วงครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ 19 กันยาฯ
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังจับมือใครดมไม่ได้
ไหนจะเรื่องคนเสื้อแดงเตรียมเอาเรื่อง 91 ศพไปฟ้องร้องต่อศาลระหว่างประเทศ
รวมทั้งปัญหาความสัมพันธ์กับซาอุฯ ที่เริ่มคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากกรณีการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วยผบ.ตร.
คดียุบพรรคก็ใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์
ล่าสุดยังมี "เทปลับ" โผล่ออกมาเขย่าขวัญส.ส.ประชาธิปัตย์อีกต่างหาก
อุตส่าห์ปรับ "ฮวงจุ้ย" ทำเนียบรัฐบาล เอาต้นปาล์มมาลงเป็นนัยว่าให้ใบปาล์มพัดพาเอามรสุมเลวร้ายต่างๆ ออกไป เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว
พัดเข้าหรือพัดออกกันแน่
ด้านพรรคเพื่อไทยก็เกิดปัญหาชุลมุนขึ้นมาอีกระลอก
จากตอนแรกวางแผนดึงพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อนำทัพปรองดอง แต่เกิดผิดคิวท่าไหนยังไม่ชัด พล.ต.อ.โกวิทถอนตัวไปดื้อๆ
เลยต้องลากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ กลับมาเหมือนเดิม
เลขาธิการพรรคคนใหม่ นายสุพล ฟองงาม ซึ่งยังมีที่มาคลุมเครือ
ไม่รู้ว่ามาแล้วจะเป็นผลบวกหรือลบต่อพรรคอย่างไรหรือไม่
อีกอย่างคือแกนนำนปช. ที่เป็นส.ส.อยู่ในพรรคก็ไม่มีท่าทีอยากจะปรองดองกับใครเท่าไหร่ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือคนในสังคมก็ไม่ได้ออกแรงกดดันให้การเมือง 2 ฝ่ายต้องปรองดองกันแต่อย่างใด
เห็นแผนปรองดองกำลังจะล้มไปต่อหน้าต่อตา
ก็ยังนิ่งๆ กันอยู่
วิเคราะห์กันว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะสังคมเริ่มปรับตัวเข้ากับความขัดแย้งได้แล้ว
เลยไม่อยากเสียเวลาปรับตัวเข้าหาความปรองดองกันอีก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
ไซมีส ทอล์ก
ในนิทานอีสป...มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง... เรื่องเด็กเลี้ยงแกะ..เด็กๆ ในสมัยนั้น ซึ่งก็คือผู้ใหญ่ในวันนี้ คงจะรับทราบรับรู้กันเป็นอย่างดี ถึงเนื้อหาสาระ
เด็กเลี้ยงแกะชอบหลอกชาวบ้านว่า หมาป่าจะเข้าโจมตีฝูงแกะ..ชาวบ้านก็แห่กันออกไปช่วย.. เด็กเลี้ยงแกะหัวเราะชอบใจหลอกชาวบ้านได้..
จนวันที่ฝูงหมาป่ามันเข้ามาจริงๆ แหกปากอย่างไร..ชาวบ้านก็นึกว่าเรื่องโกหก..ไม่ออกมาช่วย.. ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร..คงไม่ยากสำหรับการจินตนาการ
เด็กเลี้ยงแกะในสมัยนั้น..ก็น่าจะโตขึ้นมารับ ราชการเป็นผู้ใหญ่อยู่ในวันนี้..คงจะลืมเรื่องราวใน อดีต..ถึงยังชอบที่จะโกหกอยู่ร่ำไป..
แม้แต่ในเรื่องที่โกหกแทบจะไม่ได้..อย่างเช่น เรื่องที่...ซาอุดิอาระเบีย..ไม่พอใจประเทศไทย..ที่จับ คนไทยที่ขโมยเพชรพลอยจากวังกษัตริย์ของเขาได้.. แต่ของกลางที่ได้มานั้นเอาไปคืนเขาไม่ครบ..และที่นึก ว่าใช่กลายเป็น เมด อิน ไทยแลนด์..ทำของปลอมไปคืนเขา
ซาอุฯ..ส่งคนของเขามาติดตาม..กลับมาถูก ยิงทิ้งในประเทศไทยแถมยังมีบางคนหายไป..เขา จึงโกรธแค้น..และส่งคนงานไทยกลับไม่ให้ทำงาน ในประเทศของเขา..ประชาชนคนชาวบ้าน..เดือดร้อน กันมากมาย..นักท่องเที่ยวก็หายไป..
เพราะความมักมากละโมภของคนไม่กี่คน
ซาอุฯ เคืองไทยมา..เป็นสิบปี..คดีก็ยังค้างคา.. ไทยต้องขังลืมนายตำรวจใหญ่ในคุก..เพื่อให้ซาอุฯ พอใจ..รู้ๆ กันอยู่..
วันดีคืนดี..พรรคประชาธิปัตย์..นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เหยียบตาปลา..ส่งเสริมคนที่ซาอุดิอาระเบียเชื่อว่า..มีส่วนพัวพัน..ขึ้นมาเป็นใหญ่.. ซาอุดิอาระเบียก็เคลื่อนไหว..
รัฐบาลไทยกลับ..ยืนยันว่าไม่จริง ไม่มีอะไร.. ความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ มีแต่จะดีขึ้น..พูดเองเออเอง แทนซาอุฯ..ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีสถานทูต มีท่านทูตที่พร้อมจะออกมาปฏิเสธ..
มันก็ยังหน้าด้านโกหก..
เรียกว่าโกหกซึ่งหน้า..สวนทางกับแถลงการณ์ 3 ฉบับ..ให้ประเทศไทยทบทวน..ในสิ่งที่ ดูเหมือนย่ำเหยียบศักดิ์ศรีและมองไม่เห็นเขาอยู่ใน สายตา..ยืนยันประโยคที่คนทั้งโลก..เชื่อกันและเรียกคนไทยว่า..
ไซมีส ทอล์ก
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เด็กเลี้ยงแกะชอบหลอกชาวบ้านว่า หมาป่าจะเข้าโจมตีฝูงแกะ..ชาวบ้านก็แห่กันออกไปช่วย.. เด็กเลี้ยงแกะหัวเราะชอบใจหลอกชาวบ้านได้..
จนวันที่ฝูงหมาป่ามันเข้ามาจริงๆ แหกปากอย่างไร..ชาวบ้านก็นึกว่าเรื่องโกหก..ไม่ออกมาช่วย.. ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร..คงไม่ยากสำหรับการจินตนาการ
เด็กเลี้ยงแกะในสมัยนั้น..ก็น่าจะโตขึ้นมารับ ราชการเป็นผู้ใหญ่อยู่ในวันนี้..คงจะลืมเรื่องราวใน อดีต..ถึงยังชอบที่จะโกหกอยู่ร่ำไป..
แม้แต่ในเรื่องที่โกหกแทบจะไม่ได้..อย่างเช่น เรื่องที่...ซาอุดิอาระเบีย..ไม่พอใจประเทศไทย..ที่จับ คนไทยที่ขโมยเพชรพลอยจากวังกษัตริย์ของเขาได้.. แต่ของกลางที่ได้มานั้นเอาไปคืนเขาไม่ครบ..และที่นึก ว่าใช่กลายเป็น เมด อิน ไทยแลนด์..ทำของปลอมไปคืนเขา
ซาอุฯ..ส่งคนของเขามาติดตาม..กลับมาถูก ยิงทิ้งในประเทศไทยแถมยังมีบางคนหายไป..เขา จึงโกรธแค้น..และส่งคนงานไทยกลับไม่ให้ทำงาน ในประเทศของเขา..ประชาชนคนชาวบ้าน..เดือดร้อน กันมากมาย..นักท่องเที่ยวก็หายไป..
เพราะความมักมากละโมภของคนไม่กี่คน
ซาอุฯ เคืองไทยมา..เป็นสิบปี..คดีก็ยังค้างคา.. ไทยต้องขังลืมนายตำรวจใหญ่ในคุก..เพื่อให้ซาอุฯ พอใจ..รู้ๆ กันอยู่..
วันดีคืนดี..พรรคประชาธิปัตย์..นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เหยียบตาปลา..ส่งเสริมคนที่ซาอุดิอาระเบียเชื่อว่า..มีส่วนพัวพัน..ขึ้นมาเป็นใหญ่.. ซาอุดิอาระเบียก็เคลื่อนไหว..
รัฐบาลไทยกลับ..ยืนยันว่าไม่จริง ไม่มีอะไร.. ความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ มีแต่จะดีขึ้น..พูดเองเออเอง แทนซาอุฯ..ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีสถานทูต มีท่านทูตที่พร้อมจะออกมาปฏิเสธ..
มันก็ยังหน้าด้านโกหก..
เรียกว่าโกหกซึ่งหน้า..สวนทางกับแถลงการณ์ 3 ฉบับ..ให้ประเทศไทยทบทวน..ในสิ่งที่ ดูเหมือนย่ำเหยียบศักดิ์ศรีและมองไม่เห็นเขาอยู่ใน สายตา..ยืนยันประโยคที่คนทั้งโลก..เชื่อกันและเรียกคนไทยว่า..
ไซมีส ทอล์ก
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"อาการและสมุฏฐานของรัฐที่กำลังล้มเหลว"
ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย เกษียร เตชะพีระ
หลายปีหลังนี้ การศึกษาค้นคว้า-ประเมินวัด-คาดการณ์ว่ารัฐไหนประเทศใดบ้างตกอยู่ในภาวะเปราะบาง (fragile states) และอาจล้มเหลว (failed states) กลายเป็นอุตสาหกรรมการวิจัยที่บูมใหญ่ในหมู่นักรัฐศาสตร์-สังคมศาสตร์ตะวันตก
ทั้งนี้ เพราะรัฐอ่อนแอทั้งหลายถูกมองว่าอาจกลายเป็นแหล่งเพาะปัญหาความมั่นคง (เช่น การก่อการร้าย, แพร่กระจายอาวุธ, แก๊งอาชญากรข้ามชาติ, ยาเสพติด, โรคระบาด, สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม, ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ฯลฯ) ที่แผ่ขยายลุกลามข้ามพรมแดนของชาติตัวเองออกไปถึงระดับภูมิภาคและโลกได้ในโครงข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองการทหารแบบโลกาภิวัตน์ เช่น อัฟกานิสถาน -->การก่อการร้ายและยาเสพติด, ปากีสถานและเกาหลีเหนือ -->ระเบิดนิวเคลียร์, พม่า -->ผู้ลี้ภัยสงครามและยาเสพติด เป็นต้น
มันจึงเป็นที่สนใจของรัฐบาลมหาอำนาจอเมริกันและพันธมิตรตะวันตก, องค์การระหว่างประเทศ, บรรษัทข้ามชาติ, นักลงทุน, หน่วยงานองค์กรให้ความช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เป็นต้นมา เหล่านี้ส่งผลให้มีการเปิดศูนย์ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหานี้และจัดอันดับรัฐล้มเหลวทั่วโลกประจำปีกันหลายสำนัก อาทิ: -
-โครงการจัดทำ The Failed States Index ของนิตยสาร Foreign Policy ร่วมกับ The Fund for Peace ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "Failed States Index Scores 2010" ได้ที่ www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=452&Itemid=900)
-Political Instability Task Force/State Failure project ของ The Center for Systemic Peace (CSP) ร่วมกับ The Center for Global Policy ณ George Mason University ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "State Fragility Index and Matrix 2009" ได้ที่ www.systemicpeace.org/SFImatrix2009c.pdf )
-The Failed and Fragile States project ของ Country Indicators for Foreign Policy (CIFP) และ The Norman Paterson School of International Affairs (NPSIA) แห่ง Carleton University ประเทศแคนาดา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "2008/2009 Country Indicators for Foreign Policy Fragile States Index" ได้ที่ www.carleton.ca/cifp/app/serve.php/1242.pdf)
-The Crisis State Research Centre (CSRC) ตั้งอยู่ที่ Development Studies Institute ณ London School of Economics and Political Science (LSE) กรุงลอนดอน และได้ทุนอุดหนุนจาก UKaid, Department of International Development ของรัฐบาลอังกฤษ (ดูงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาความเปราะบางและล้มเหลวของรัฐต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้ และละตินอเมริกา ได้ที่ www.crisisstates.com/) เป็นต้น
ในบรรดาเอกสารวิจัยรัฐล้มเหลวเบื้องต้นที่สำนักเหล่านี้เผยแพร่ ชิ้นที่สะดุดตาน่าสนใจและอ่านแล้วชวนคิดเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ในเมืองไทยอย่างยิ่งคือชิ้นที่ชื่อ "Crisis, Fragile and Failed States: Definitions used by the CSRC" (รัฐในวิกฤต, เปราะบางและล้มเหลว: คำนิยามที่ศูนย์วิจัยรัฐในวิกฤตใช้ www.crisisstates.com/download/drc/FailedState.pdf)
ซึ่งผมขอนำมาเล่าต่อดังนี้: -
ชุดคำนิยามของ CSRC ซึ่งเป็นผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2006 ที่กรุงลอนดอน แบ่งประเภทรัฐที่ประสบปัญหาเสื่อมทรุดอ่อนแอออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1.รัฐเปราะบาง (fragile state)--> 2.รัฐในวิกฤต (crisis state) และ--> 3.รัฐล้มเหลว (failed state) โดยนิยามลักษณะอาการทั่วไปของรัฐแต่ละประเภทไว้ดังนี้: -
1) รัฐเปราะบาง (หรือนัยหนึ่งรัฐที่ซุกระเบิดเวลาไว้ในโครงสร้างสถาบันของรัฐเอง)
-หมายถึงรัฐซึ่งระบบย่อยต่างๆ ของมันง่ายที่จะประสบวิกฤตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเปราะบางต่ออาการช็อคภายในและภายนอก รวมทั้งความขัดแย้งในประเทศและระดับสากล
-ปมเงื่อนใจกลางของอาการเปราะบางคือการจัดระเบียบสถาบันของรัฐดังที่เป็นอยู่นั้นทรงไว้หรืออาจกระทั่งสงวนรักษาไว้ซึ่งเงื่อนไขที่จะนำไปสู่วิกฤต กล่าวคือ: -
-สถาบันเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังที่เป็นอยู่ ไปสกัดขัดขวางจนเศรษฐกิจโตช้าหรือชะงักงัน, หรือทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งในแง่ทรัพย์สินและการเข้าถึงที่ดินหรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น
-สถาบันสังคมทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งหรือปิดกั้นตีบตันจนชาวบ้านเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพหรือการศึกษา
-สถาบันการเมืองยึดหยั่งกลุ่มแนวร่วมที่กุมอำนาจให้สืบทอดอำนาจต่อโดยกีดกันกลุ่มอื่นออกไป (ไม่ว่าจะกีดกันบนฐานชาติพันธุ์, ศาสนาหรือภูมิภาคก็ตามที), หรือทำให้การเมืองแบ่งแยกแตกฝ่ายแยกขั้วสุดโต่ง, หรือทำให้หน่วยงานความมั่นคงแตกแยกเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
-การจัดระเบียบสถาบันตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเปราะบางต่อการถูกท้าทายโดยระบบสถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบสถาบันที่มาจากสิทธิอำนาจตามประเพณีแต่เดิม, บรรดาชุมชนที่ตกอยู่ใต้แรงกดดันโดยรัฐไม่ใส่ใจดูแล, พวกขุนศึก, หรือนายหน้าอำนาจนอกภาครัฐอื่นใด
-ตัวแบบที่ตรงข้ามกับรัฐเปราะบางคือ "รัฐมั่นคง" ที่ซึ่งการจัดระเบียบสถาบันกระแสหลักหรือตามกฎหมายดูจะสามารถทนทานอาการช็อคภายในและภายนอก ส่วนการแข็งข้อต่อต้านก็ยังคงอยู่ในกรอบระเบียบสถาบันที่ปกครองอยู่
2) รัฐในวิกฤต (หรือรัฐที่โดนระเบิดตูมจนทรุดตัว ทำท่าจะล่มมิล่มแหล่)
-หมายถึงรัฐที่อยู่ใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วง สถาบันปกครองเผชิญการแข็งข้อต่อต้านอย่างร้ายแรงและอาจหมดปัญญาความสามารถที่จะจัดการความขัดแย้งและอาการช็อคเหล่านั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งรัฐตกอยู่ในอันตรายที่จะล่มสลายนั่นเอง
-พึงเข้าใจว่าภาวะวิกฤตของรัฐไม่ใช่สภาวะสัมบูรณ์ หากเกิดขึ้น ณ จังหวะเวลาหนึ่ง ฉะนั้น รัฐจึงอาจเข้าสู่ "ภาวะวิกฤต" แล้วฟื้นตัวกลับคืนมาได้, หรืออาจตกอยู่ในวิกฤตค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน, หรืออาจกระทั่งเสื่อมทรุดและล่มสลายไปเลยก็เป็นได้เช่นกัน
-กระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การก่อตัวของรัฐใหม่, หรือสงครามและจลาจล, หรือการสร้างเสริมระบอบเก่าให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
-อาจเกิดวิกฤตเฉพาะส่วนในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตโรคเอดส์, บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย, วิกฤตรัฐธรรมนูญ เป็นต้น แม้วิกฤตเฉพาะส่วนเหล่านี้โดยตัวมันเองอาจไม่ถึงกับก่อให้เกิดภาวะวิกฤตของรัฐโดยทั่วไป แต่ถ้ามันหนักข้อรุนแรงถึงขนาดหรือเรื้อรังยาวนานออกไปก็อาจทำให้รัฐทั้งรัฐตกอยู่ในวิกฤตทั่วไปได้
-ตัวแบบตรงข้ามกับรัฐในวิกฤตคือ "รัฐคืนสภาพ" ที่ซึ่งโดยทั่วไปสถาบันทั้งหลายสามารถรับมือความขัดแย้ง, จัดการวิกฤตในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐ, ตอบโต้การแข็งข้อต่อต้าน ฯลฯ นับเป็นสถานะที่อยู่ในช่วงกลางระหว่างรัฐเปราะบางกับรัฐมั่นคง
3) รัฐล้มเหลว (หรือรัฐล่มสลายนั่นเอง)
-หมายถึงรัฐที่ไม่สามารถทำหน้าที่พื้นฐานด้านรักษาความมั่นคงและพัฒนาประเทศอีกต่อไป, ไม่อาจควบคุมอาณาดินแดนและพรมแดนอย่างมีประสิทธิผล, และไม่สามารถผลิตซ้ำเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่ของตัวมันเองได้-ซึ่งแตกต่างจากรัฐที่เพียงแค่ทำหน้าที่แย่เท่านั้น
-ตัวแบบตรงข้ามของรัฐล้มเหลว ได้แก่ "รัฐทนทาน" อย่างไรก็ตาม การจะขีดลากเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างรัฐสองแบบนี้ว่าอยู่ตรงไหน? หมดสภาพ "รัฐทนทาน" เมื่อไหร่?เริ่มกลายเป็นรัฐล้มเหลว ณ จุดใดกันแน่? นั้นยากจะทำได้ เพราะแม้ในรัฐล้มเหลว ก็อาจมีเชื้อมูลบางอย่างของรัฐดำรงอยู่ต่อไป เช่น องค์กรรัฐในระดับท้องถิ่น เป็นต้น
-สรุปเป็นอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของรัฐได้ว่า: [รัฐมั่นคง<-- -->รัฐคืนสภาพ<-- -->รัฐเปราะบาง<-- -->รัฐในวิกฤต<-- -->รัฐทนทาน<-- -->รัฐล้มเหลว]
-ในความหมายนี้ จึงรัดกุมกว่าที่จะบรรยายสภาพอาการโดยรวมของรัฐที่อาจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ผ่านภาวะต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นว่า "รัฐที่กำลังล้มเหลว" (failing states) แทน
ส่วนสมุฏฐานของอาการรัฐเปราะบาง-ล้มเหลวดังกล่าวนั้น Dr.JonathanDi John อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองสังกัด Department of Development Studies, School of Oriental and African Studies (SOAS), University of London ได้วิพากษ์วิจารณ์งานศึกษาวิจัยเรื่องนี้ทั้งหลายที่ผ่านมาและสังเคราะห์เสนอขึ้นใหม่ว่ามันเกิดจากการมาประจวบพ้องพานกันของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ 5 ประการ ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา/ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งก่อความตึงเครียด/แรงกดดันสูง รัฐไหนประเทศใดรับมือจัดการไม่ไหวหรือไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมทรุดและอาจมีอันเป็นไป รัฐไหนประเทศใดรับมือได้ก็ทนทาน-คืนสภาพ-มั่นคงสืบไป ("Conceptualising the Causes and Consequences of Failed States: A Critical Review of the Literature", Crisis State Research Centre, LSE, 2008) ได้แก่: -
1) การก่อตัวของรัฐสมัยใหม่
กรณีไทยเราเริ่มต้นจากการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามมาด้วยการปฏิวัติ/รัฐประหาร/ปฏิรูปการเมือง (เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจ) และปรับแต่งระบบบริหารราชการครั้งต่างๆ ล่าสุดคือการปฏิรูปการเมืองในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซึ่งยังคงส่งผลสะท้อนทั้งด้านตรง/ด้านกลับ (กระแสปฏิปักษ์ปฏิรูปและต่อต้านประชาธิปไตย, เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง) จนถึงปัจจุบัน
2) การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมทีหลัง
แก่นของเรื่องคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทุนนิยมในประเทศล้าหลังผ่านการเติบโตอย่างไม่สมดุล (unbalanced growth) โดยรัฐวางนโยบายเจืออคติเลือกทุ่มทรัพยากรส่งเสริมเอื้อเฟื้อเศรษฐกิจบางภาคส่วน (อุตสาหกรรม-บริการภาคเมือง-ส่งออก) ด้วยการเอาเปรียบเศรษฐกิจภาคส่วนอื่น (เกษตรกรรม-ชนบท-ตลาดในประเทศ),
โยกย้ายส่วนเกินทางเศรษฐกิจผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมจากภาคส่วนอื่นมายังภาคส่วนเป้าหมาย (กดราคาพืชผล, กดค่าจ้างแรงงาน, ลดภาษีและค่าสาธารณูปโภคเพื่อส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ)
ผลักดันให้เศรษฐกิจภาคส่วนเป้าหมายเติบโตก่อน, เพื่อสร้างชนชั้นนายทุนผู้ประกอบการที่มั่งคั่งขึ้นมาบุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้ข้ออ้างความเชื่อว่าความเจริญเติบโตก่อนในภาคส่วน-ชนชั้นเป้าหมายจะ "หยาดลงมาเอง" (trickle-down effect) สู่ภาคส่วน-ชนชั้นอื่นให้พลอยเจริญเติบโตกระเตื้องตามไปด้วยภายหลังในที่สุด
3) การสะสมทุนขั้นปฐม
ปัญหาคือการสะสมทุนขั้นปฐมผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมนั้น สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นมากระหว่างภาคส่วนและชนชั้นต่างๆ
มันเกิดขึ้นเพราะนโยบายเจืออคติของรัฐ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ, อีกทั้งไม่แน่ว่าประชาชนโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เสียเปรียบจะสมัครใจขานรับสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
การเดินนโยบายเลือกภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบ/ชนะ/ร่ำรวยก่อนทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงทำให้รัฐเข้าไปเกี่ยวพันกับความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองอย่างมิอาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่การต่อสู้เรียกร้องกดดันนโยบายกระจายรายได้-สวัสดิการสังคมจากภาครัฐโดยประชาชนผู้เสียเปรียบมิอาจทำได้อย่างเสรี และการ "หยาดลงมาเอง" ต้องหวังพึ่งแต่ความกรุณาปรานี-บริจาคการกุศล-สังคมสงเคราะห์จากภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบไปก่อนแล้วเท่านั้น
4) เจ้าหน้าที่รัฐ/นักการเมืองกินบ้านกินเมืองและเรียกเก็บค่าเช่าเศรษฐกิจแล้วหว่านแจกชุบเลี้ยงพรรคพวกบริวารเพื่อกุมอำนาจอิทธิพล (patrimonial rent deployment)
5) เส้นสายอุปถัมภ์หรือการทุจริตติดสินบนเป็นกลไกหลักที่สังคมใช้ในการส่งอิทธิพลต่อรัฐ
(สองประการหลังนี้เมืองไทยเรารู้จักคุ้นเคยดี ป่วยการอธิบาย)
************************************************************
โดย เกษียร เตชะพีระ
หลายปีหลังนี้ การศึกษาค้นคว้า-ประเมินวัด-คาดการณ์ว่ารัฐไหนประเทศใดบ้างตกอยู่ในภาวะเปราะบาง (fragile states) และอาจล้มเหลว (failed states) กลายเป็นอุตสาหกรรมการวิจัยที่บูมใหญ่ในหมู่นักรัฐศาสตร์-สังคมศาสตร์ตะวันตก
ทั้งนี้ เพราะรัฐอ่อนแอทั้งหลายถูกมองว่าอาจกลายเป็นแหล่งเพาะปัญหาความมั่นคง (เช่น การก่อการร้าย, แพร่กระจายอาวุธ, แก๊งอาชญากรข้ามชาติ, ยาเสพติด, โรคระบาด, สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม, ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ฯลฯ) ที่แผ่ขยายลุกลามข้ามพรมแดนของชาติตัวเองออกไปถึงระดับภูมิภาคและโลกได้ในโครงข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองการทหารแบบโลกาภิวัตน์ เช่น อัฟกานิสถาน -->การก่อการร้ายและยาเสพติด, ปากีสถานและเกาหลีเหนือ -->ระเบิดนิวเคลียร์, พม่า -->ผู้ลี้ภัยสงครามและยาเสพติด เป็นต้น
มันจึงเป็นที่สนใจของรัฐบาลมหาอำนาจอเมริกันและพันธมิตรตะวันตก, องค์การระหว่างประเทศ, บรรษัทข้ามชาติ, นักลงทุน, หน่วยงานองค์กรให้ความช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เป็นต้นมา เหล่านี้ส่งผลให้มีการเปิดศูนย์ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหานี้และจัดอันดับรัฐล้มเหลวทั่วโลกประจำปีกันหลายสำนัก อาทิ: -
-โครงการจัดทำ The Failed States Index ของนิตยสาร Foreign Policy ร่วมกับ The Fund for Peace ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "Failed States Index Scores 2010" ได้ที่ www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=452&Itemid=900)
-Political Instability Task Force/State Failure project ของ The Center for Systemic Peace (CSP) ร่วมกับ The Center for Global Policy ณ George Mason University ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "State Fragility Index and Matrix 2009" ได้ที่ www.systemicpeace.org/SFImatrix2009c.pdf )
-The Failed and Fragile States project ของ Country Indicators for Foreign Policy (CIFP) และ The Norman Paterson School of International Affairs (NPSIA) แห่ง Carleton University ประเทศแคนาดา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "2008/2009 Country Indicators for Foreign Policy Fragile States Index" ได้ที่ www.carleton.ca/cifp/app/serve.php/1242.pdf)
-The Crisis State Research Centre (CSRC) ตั้งอยู่ที่ Development Studies Institute ณ London School of Economics and Political Science (LSE) กรุงลอนดอน และได้ทุนอุดหนุนจาก UKaid, Department of International Development ของรัฐบาลอังกฤษ (ดูงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาความเปราะบางและล้มเหลวของรัฐต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้ และละตินอเมริกา ได้ที่ www.crisisstates.com/) เป็นต้น
ในบรรดาเอกสารวิจัยรัฐล้มเหลวเบื้องต้นที่สำนักเหล่านี้เผยแพร่ ชิ้นที่สะดุดตาน่าสนใจและอ่านแล้วชวนคิดเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ในเมืองไทยอย่างยิ่งคือชิ้นที่ชื่อ "Crisis, Fragile and Failed States: Definitions used by the CSRC" (รัฐในวิกฤต, เปราะบางและล้มเหลว: คำนิยามที่ศูนย์วิจัยรัฐในวิกฤตใช้ www.crisisstates.com/download/drc/FailedState.pdf)
ซึ่งผมขอนำมาเล่าต่อดังนี้: -
ชุดคำนิยามของ CSRC ซึ่งเป็นผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2006 ที่กรุงลอนดอน แบ่งประเภทรัฐที่ประสบปัญหาเสื่อมทรุดอ่อนแอออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1.รัฐเปราะบาง (fragile state)--> 2.รัฐในวิกฤต (crisis state) และ--> 3.รัฐล้มเหลว (failed state) โดยนิยามลักษณะอาการทั่วไปของรัฐแต่ละประเภทไว้ดังนี้: -
1) รัฐเปราะบาง (หรือนัยหนึ่งรัฐที่ซุกระเบิดเวลาไว้ในโครงสร้างสถาบันของรัฐเอง)
-หมายถึงรัฐซึ่งระบบย่อยต่างๆ ของมันง่ายที่จะประสบวิกฤตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเปราะบางต่ออาการช็อคภายในและภายนอก รวมทั้งความขัดแย้งในประเทศและระดับสากล
-ปมเงื่อนใจกลางของอาการเปราะบางคือการจัดระเบียบสถาบันของรัฐดังที่เป็นอยู่นั้นทรงไว้หรืออาจกระทั่งสงวนรักษาไว้ซึ่งเงื่อนไขที่จะนำไปสู่วิกฤต กล่าวคือ: -
-สถาบันเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังที่เป็นอยู่ ไปสกัดขัดขวางจนเศรษฐกิจโตช้าหรือชะงักงัน, หรือทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งในแง่ทรัพย์สินและการเข้าถึงที่ดินหรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น
-สถาบันสังคมทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งหรือปิดกั้นตีบตันจนชาวบ้านเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพหรือการศึกษา
-สถาบันการเมืองยึดหยั่งกลุ่มแนวร่วมที่กุมอำนาจให้สืบทอดอำนาจต่อโดยกีดกันกลุ่มอื่นออกไป (ไม่ว่าจะกีดกันบนฐานชาติพันธุ์, ศาสนาหรือภูมิภาคก็ตามที), หรือทำให้การเมืองแบ่งแยกแตกฝ่ายแยกขั้วสุดโต่ง, หรือทำให้หน่วยงานความมั่นคงแตกแยกเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
-การจัดระเบียบสถาบันตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเปราะบางต่อการถูกท้าทายโดยระบบสถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบสถาบันที่มาจากสิทธิอำนาจตามประเพณีแต่เดิม, บรรดาชุมชนที่ตกอยู่ใต้แรงกดดันโดยรัฐไม่ใส่ใจดูแล, พวกขุนศึก, หรือนายหน้าอำนาจนอกภาครัฐอื่นใด
-ตัวแบบที่ตรงข้ามกับรัฐเปราะบางคือ "รัฐมั่นคง" ที่ซึ่งการจัดระเบียบสถาบันกระแสหลักหรือตามกฎหมายดูจะสามารถทนทานอาการช็อคภายในและภายนอก ส่วนการแข็งข้อต่อต้านก็ยังคงอยู่ในกรอบระเบียบสถาบันที่ปกครองอยู่
2) รัฐในวิกฤต (หรือรัฐที่โดนระเบิดตูมจนทรุดตัว ทำท่าจะล่มมิล่มแหล่)
-หมายถึงรัฐที่อยู่ใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วง สถาบันปกครองเผชิญการแข็งข้อต่อต้านอย่างร้ายแรงและอาจหมดปัญญาความสามารถที่จะจัดการความขัดแย้งและอาการช็อคเหล่านั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งรัฐตกอยู่ในอันตรายที่จะล่มสลายนั่นเอง
-พึงเข้าใจว่าภาวะวิกฤตของรัฐไม่ใช่สภาวะสัมบูรณ์ หากเกิดขึ้น ณ จังหวะเวลาหนึ่ง ฉะนั้น รัฐจึงอาจเข้าสู่ "ภาวะวิกฤต" แล้วฟื้นตัวกลับคืนมาได้, หรืออาจตกอยู่ในวิกฤตค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน, หรืออาจกระทั่งเสื่อมทรุดและล่มสลายไปเลยก็เป็นได้เช่นกัน
-กระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การก่อตัวของรัฐใหม่, หรือสงครามและจลาจล, หรือการสร้างเสริมระบอบเก่าให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
-อาจเกิดวิกฤตเฉพาะส่วนในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตโรคเอดส์, บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย, วิกฤตรัฐธรรมนูญ เป็นต้น แม้วิกฤตเฉพาะส่วนเหล่านี้โดยตัวมันเองอาจไม่ถึงกับก่อให้เกิดภาวะวิกฤตของรัฐโดยทั่วไป แต่ถ้ามันหนักข้อรุนแรงถึงขนาดหรือเรื้อรังยาวนานออกไปก็อาจทำให้รัฐทั้งรัฐตกอยู่ในวิกฤตทั่วไปได้
-ตัวแบบตรงข้ามกับรัฐในวิกฤตคือ "รัฐคืนสภาพ" ที่ซึ่งโดยทั่วไปสถาบันทั้งหลายสามารถรับมือความขัดแย้ง, จัดการวิกฤตในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐ, ตอบโต้การแข็งข้อต่อต้าน ฯลฯ นับเป็นสถานะที่อยู่ในช่วงกลางระหว่างรัฐเปราะบางกับรัฐมั่นคง
3) รัฐล้มเหลว (หรือรัฐล่มสลายนั่นเอง)
-หมายถึงรัฐที่ไม่สามารถทำหน้าที่พื้นฐานด้านรักษาความมั่นคงและพัฒนาประเทศอีกต่อไป, ไม่อาจควบคุมอาณาดินแดนและพรมแดนอย่างมีประสิทธิผล, และไม่สามารถผลิตซ้ำเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่ของตัวมันเองได้-ซึ่งแตกต่างจากรัฐที่เพียงแค่ทำหน้าที่แย่เท่านั้น
-ตัวแบบตรงข้ามของรัฐล้มเหลว ได้แก่ "รัฐทนทาน" อย่างไรก็ตาม การจะขีดลากเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างรัฐสองแบบนี้ว่าอยู่ตรงไหน? หมดสภาพ "รัฐทนทาน" เมื่อไหร่?เริ่มกลายเป็นรัฐล้มเหลว ณ จุดใดกันแน่? นั้นยากจะทำได้ เพราะแม้ในรัฐล้มเหลว ก็อาจมีเชื้อมูลบางอย่างของรัฐดำรงอยู่ต่อไป เช่น องค์กรรัฐในระดับท้องถิ่น เป็นต้น
-สรุปเป็นอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของรัฐได้ว่า: [รัฐมั่นคง<-- -->รัฐคืนสภาพ<-- -->รัฐเปราะบาง<-- -->รัฐในวิกฤต<-- -->รัฐทนทาน<-- -->รัฐล้มเหลว]
-ในความหมายนี้ จึงรัดกุมกว่าที่จะบรรยายสภาพอาการโดยรวมของรัฐที่อาจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ผ่านภาวะต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นว่า "รัฐที่กำลังล้มเหลว" (failing states) แทน
ส่วนสมุฏฐานของอาการรัฐเปราะบาง-ล้มเหลวดังกล่าวนั้น Dr.JonathanDi John อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองสังกัด Department of Development Studies, School of Oriental and African Studies (SOAS), University of London ได้วิพากษ์วิจารณ์งานศึกษาวิจัยเรื่องนี้ทั้งหลายที่ผ่านมาและสังเคราะห์เสนอขึ้นใหม่ว่ามันเกิดจากการมาประจวบพ้องพานกันของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ 5 ประการ ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา/ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งก่อความตึงเครียด/แรงกดดันสูง รัฐไหนประเทศใดรับมือจัดการไม่ไหวหรือไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมทรุดและอาจมีอันเป็นไป รัฐไหนประเทศใดรับมือได้ก็ทนทาน-คืนสภาพ-มั่นคงสืบไป ("Conceptualising the Causes and Consequences of Failed States: A Critical Review of the Literature", Crisis State Research Centre, LSE, 2008) ได้แก่: -
1) การก่อตัวของรัฐสมัยใหม่
กรณีไทยเราเริ่มต้นจากการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามมาด้วยการปฏิวัติ/รัฐประหาร/ปฏิรูปการเมือง (เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจ) และปรับแต่งระบบบริหารราชการครั้งต่างๆ ล่าสุดคือการปฏิรูปการเมืองในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซึ่งยังคงส่งผลสะท้อนทั้งด้านตรง/ด้านกลับ (กระแสปฏิปักษ์ปฏิรูปและต่อต้านประชาธิปไตย, เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง) จนถึงปัจจุบัน
2) การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมทีหลัง
แก่นของเรื่องคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทุนนิยมในประเทศล้าหลังผ่านการเติบโตอย่างไม่สมดุล (unbalanced growth) โดยรัฐวางนโยบายเจืออคติเลือกทุ่มทรัพยากรส่งเสริมเอื้อเฟื้อเศรษฐกิจบางภาคส่วน (อุตสาหกรรม-บริการภาคเมือง-ส่งออก) ด้วยการเอาเปรียบเศรษฐกิจภาคส่วนอื่น (เกษตรกรรม-ชนบท-ตลาดในประเทศ),
โยกย้ายส่วนเกินทางเศรษฐกิจผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมจากภาคส่วนอื่นมายังภาคส่วนเป้าหมาย (กดราคาพืชผล, กดค่าจ้างแรงงาน, ลดภาษีและค่าสาธารณูปโภคเพื่อส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ)
ผลักดันให้เศรษฐกิจภาคส่วนเป้าหมายเติบโตก่อน, เพื่อสร้างชนชั้นนายทุนผู้ประกอบการที่มั่งคั่งขึ้นมาบุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้ข้ออ้างความเชื่อว่าความเจริญเติบโตก่อนในภาคส่วน-ชนชั้นเป้าหมายจะ "หยาดลงมาเอง" (trickle-down effect) สู่ภาคส่วน-ชนชั้นอื่นให้พลอยเจริญเติบโตกระเตื้องตามไปด้วยภายหลังในที่สุด
3) การสะสมทุนขั้นปฐม
ปัญหาคือการสะสมทุนขั้นปฐมผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมนั้น สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นมากระหว่างภาคส่วนและชนชั้นต่างๆ
มันเกิดขึ้นเพราะนโยบายเจืออคติของรัฐ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ, อีกทั้งไม่แน่ว่าประชาชนโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เสียเปรียบจะสมัครใจขานรับสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
การเดินนโยบายเลือกภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบ/ชนะ/ร่ำรวยก่อนทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงทำให้รัฐเข้าไปเกี่ยวพันกับความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองอย่างมิอาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่การต่อสู้เรียกร้องกดดันนโยบายกระจายรายได้-สวัสดิการสังคมจากภาครัฐโดยประชาชนผู้เสียเปรียบมิอาจทำได้อย่างเสรี และการ "หยาดลงมาเอง" ต้องหวังพึ่งแต่ความกรุณาปรานี-บริจาคการกุศล-สังคมสงเคราะห์จากภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบไปก่อนแล้วเท่านั้น
4) เจ้าหน้าที่รัฐ/นักการเมืองกินบ้านกินเมืองและเรียกเก็บค่าเช่าเศรษฐกิจแล้วหว่านแจกชุบเลี้ยงพรรคพวกบริวารเพื่อกุมอำนาจอิทธิพล (patrimonial rent deployment)
5) เส้นสายอุปถัมภ์หรือการทุจริตติดสินบนเป็นกลไกหลักที่สังคมใช้ในการส่งอิทธิพลต่อรัฐ
(สองประการหลังนี้เมืองไทยเรารู้จักคุ้นเคยดี ป่วยการอธิบาย)
************************************************************
สัมปทานพิสดาร ลานจอดรถฉาวสุวรรณภูมิ เลือก "บ.ปาร์คกิ้ง" ชูธุรกิจค้าอาวุธร่วมวง
สัมปทานซับซ้อนพื้นที่ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ทำสัญญากับ "บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด" บริเวณอาคารเอและบี (ลานจอดรถปัจจุบัน) ขนาด 160,000 ตารางเมตร เป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 เมื่อตรวจสอบเอกสารพบเงื่อนงำพิสดารมากมายและหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต หากรัฐยังปล่อยไว้เช่นนี้จะยิ่งกระทบรายได้และภาพลักษณ์ สนามบินนานาชาติของประเทศที่ตั้งเป้า ติด 1 ใน 5 ของโลก
ท่ามกลางปัญหาของหน่วยงานได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ?
เมื่อ ทอท.เปลี่ยนแผนหารายได้พื้นที่ลานจอดรถสุวรรณภูมิ จากเดิมดำเนินการเองไปให้สัมปทานเอกชนทำ แบ่งผลประโยชน์ตามสัญญา เมื่อ 21 เมษายน 2553 ให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผู้รับสิทธิ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดหลักเกณฑ์และสิทธิการพิจารณาข้อเสนอค่าตอบแทน ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ได้รับอนุญาตจะต้อง "ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน" แก่ ทอท.อัตราร้อยละ 75 ของยอดรายได้ต่อเดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำ (minimum guarantee) 15.5 ล้านบาท/เดือน
"หมวดการทำสัญญา" ให้วางหลักประกันสัญญา ส่วนที่ 1 ค่าตอบแทน รายได้เป็นเงิน 6 เท่า ของเงินค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 หรือประมาณ 120 ล้านบาท วิธีชำระค่าตอบแทนให้นำส่ง ทอท.ทุกเดือนภายในวันที่ 7 ของเดือน ถัดไป หากล่าช้าจะคิดดอกเบี้ยปรับร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือน ส่วนที่ 2 หลักประกันค่าเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นเงิน 4 เท่า ของค่าเช่ารายเดือน หรือประมาณ 19.2 ล้านบาท
ตรวจสอบเอกสารสัญญาระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด และหนังสือร้องเรียนของนายเกษม วงษ์สมศรี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท. กรณีผลกระทบรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากสัมปทานบริหาร ลานจอดรถสุวรรณภูมิ (ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบคำร้องทุกข์ของนายธนกฤต เจตกิตติโชค ซึ่งอ้างเป็นกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 กล่าวโทษนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ และ นางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ เพื่อให้ลงโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่)
ก่อน ทอท.ลงนามกับกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เมื่อ 29 เมษายน 2553 มีหลักฐานปรากฏในเอกสาร ทอท. 16540 ลงเวลา 15.28 น. รับเรื่อง : ขอทักท้วงคัดค้านการลงนาม ตามสัญญาเข้าบริหารจัดการอาคารและลานจอดรถผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียน : กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อ้างถึง : หนังสือแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาการทำสัญญาอนุญาตของ ทอท.ที่ 356/2553 ลงวันที่ 21 เมษายน 2553 (ดูจากสำเนากราฟิก) คัดค้านโดย "นายธรรศ พจประพันธ์" ผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอื่น อีกหนึ่งคนของ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด
หนังสือทักท้วงคัดค้านให้ ทอท.ลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถได้ระบุชัดว่า สำเนาการขอจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจมีข้อมูลอันเป็นเท็จ ลายมือชื่อปลอม ลงวันที่ 12 เมษายน และ 23 เมษายน 2553 จึงได้แนบหนังสือขอเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ดังกล่าวของ สน.บางพลัด ตามคดีอาญาที่ 511-2553 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 มาไว้ด้วย
เอกสารทั้งหมดนั้น "นายธรรศ พจนประพันธ์" ผู้มีอำนาจลงนามใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ต้องการให้ผู้บริหาร ทอท.หยุดการลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิไว้ก่อน เพื่อรอคำสั่งและการพิสูจน์จากสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต่อมาเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ส่งหนังสือยืนยันถึงนายธรรศและนายธนกฤตนำไปแสดงต่อ ทอท.เรื่องแจ้งคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ตามคำขอ และหากจะมีผู้อุทธรณ์ต้องทำภายใน 15 วัน (จนถึงบัดนี้ยังไม่มีอุทธรณ์)
ผลปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ไม่ได้ฟัง คำค้านของนายธรรศ กรรมการบริษัทนี้มาตั้งแต่ต้น กลับเดินหน้าทำสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เข้าทำสัมปทานเมื่อ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา และมีปัญหาลุกลามบานปลายมาถึงวันนี้
จากการตรวจสอบคุณสมบัติที่กำหนด ในทีโออาร์ ทอท.ระบุผู้ชนะประมูลต้องมีประสบการณ์บริหารลานจอดรถไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่ในทางปฏิบัติจริงกลุ่มเก่า 2 บริษัท คือ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด ของนายธนกฤติ เจตกิตติโชค กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด ของนายชุมพล ญาณวินิจฉัย ไปยื่นจดทะเบียนใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพิ่มกรรมการใหม่อีก 1 คน คือนายธรรศ พจนประพันธ์ เป็นผู้มีอำนาจลงนามคนแรกและยื่นคัดค้านการทำสัญญาทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบเอกสารยื่นจดทะเบียนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ที่แนบมาพร้อมกันขณะยื่นประมูลงาน ทอท. ตั้งแต่ 7 เมษายน 2553 แจ้งดำเนินธุรกิจ 90 รายการ ในจำนวนนี้ได้ระบุ ประกอบกิจการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ จำหน่ายรถถัง รถหุ้มเกราะ ยานยนต์หุ้มเกราะ รถตีนตะขาบ ยานพาหนะที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด และกิจการขนส่ง-ขนถ่ายสินค้า คนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับบริการของออกจากท่าเรือตามพิธีศุลกากร และจัดระวาง การขนส่งทุกชนิด
รวมไปถึงกิจการนำเที่ยว ตัดผม แต่งผม เสริมสวย ตัดเย็บ ซักรีดเสื้อผ้า โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลรักษาคนไข้และผู้ป่วยเจ็บ จัดพิมพ์และ เผยแพร่สถิติ ข้อมูลทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การเงิน การตลาด รับทำและซ่อมแซมรถยนต์ หุ้มเกราะ รถที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด
เรื่องราวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" ที่ ทอท.อนุมัติให้บริษัท ซึ่งแจ้งมีวัตถุประสงค์จะดำเนินธุรกิจจำหน่ายยุทโธปกรณ์ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด เรื่อยไปจนถึงกิจการขนาดเล็กมากมายนั้น เหตุใด ทอท.จึงยินยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ทั้ง ๆ ที่คู่สัญญาปฏิบัติ ผิดเงื่อนไขทีโออาร์แทบทั้งสิ้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*************************************************************************
ท่ามกลางปัญหาของหน่วยงานได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ?
เมื่อ ทอท.เปลี่ยนแผนหารายได้พื้นที่ลานจอดรถสุวรรณภูมิ จากเดิมดำเนินการเองไปให้สัมปทานเอกชนทำ แบ่งผลประโยชน์ตามสัญญา เมื่อ 21 เมษายน 2553 ให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผู้รับสิทธิ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดหลักเกณฑ์และสิทธิการพิจารณาข้อเสนอค่าตอบแทน ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ได้รับอนุญาตจะต้อง "ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน" แก่ ทอท.อัตราร้อยละ 75 ของยอดรายได้ต่อเดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำ (minimum guarantee) 15.5 ล้านบาท/เดือน
"หมวดการทำสัญญา" ให้วางหลักประกันสัญญา ส่วนที่ 1 ค่าตอบแทน รายได้เป็นเงิน 6 เท่า ของเงินค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 หรือประมาณ 120 ล้านบาท วิธีชำระค่าตอบแทนให้นำส่ง ทอท.ทุกเดือนภายในวันที่ 7 ของเดือน ถัดไป หากล่าช้าจะคิดดอกเบี้ยปรับร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือน ส่วนที่ 2 หลักประกันค่าเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นเงิน 4 เท่า ของค่าเช่ารายเดือน หรือประมาณ 19.2 ล้านบาท
ตรวจสอบเอกสารสัญญาระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด และหนังสือร้องเรียนของนายเกษม วงษ์สมศรี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท. กรณีผลกระทบรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากสัมปทานบริหาร ลานจอดรถสุวรรณภูมิ (ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบคำร้องทุกข์ของนายธนกฤต เจตกิตติโชค ซึ่งอ้างเป็นกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 กล่าวโทษนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ และ นางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ เพื่อให้ลงโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่)
ก่อน ทอท.ลงนามกับกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เมื่อ 29 เมษายน 2553 มีหลักฐานปรากฏในเอกสาร ทอท. 16540 ลงเวลา 15.28 น. รับเรื่อง : ขอทักท้วงคัดค้านการลงนาม ตามสัญญาเข้าบริหารจัดการอาคารและลานจอดรถผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียน : กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อ้างถึง : หนังสือแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาการทำสัญญาอนุญาตของ ทอท.ที่ 356/2553 ลงวันที่ 21 เมษายน 2553 (ดูจากสำเนากราฟิก) คัดค้านโดย "นายธรรศ พจประพันธ์" ผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอื่น อีกหนึ่งคนของ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด
หนังสือทักท้วงคัดค้านให้ ทอท.ลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถได้ระบุชัดว่า สำเนาการขอจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจมีข้อมูลอันเป็นเท็จ ลายมือชื่อปลอม ลงวันที่ 12 เมษายน และ 23 เมษายน 2553 จึงได้แนบหนังสือขอเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ดังกล่าวของ สน.บางพลัด ตามคดีอาญาที่ 511-2553 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 มาไว้ด้วย
เอกสารทั้งหมดนั้น "นายธรรศ พจนประพันธ์" ผู้มีอำนาจลงนามใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ต้องการให้ผู้บริหาร ทอท.หยุดการลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิไว้ก่อน เพื่อรอคำสั่งและการพิสูจน์จากสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต่อมาเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ส่งหนังสือยืนยันถึงนายธรรศและนายธนกฤตนำไปแสดงต่อ ทอท.เรื่องแจ้งคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ตามคำขอ และหากจะมีผู้อุทธรณ์ต้องทำภายใน 15 วัน (จนถึงบัดนี้ยังไม่มีอุทธรณ์)
ผลปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ไม่ได้ฟัง คำค้านของนายธรรศ กรรมการบริษัทนี้มาตั้งแต่ต้น กลับเดินหน้าทำสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เข้าทำสัมปทานเมื่อ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา และมีปัญหาลุกลามบานปลายมาถึงวันนี้
จากการตรวจสอบคุณสมบัติที่กำหนด ในทีโออาร์ ทอท.ระบุผู้ชนะประมูลต้องมีประสบการณ์บริหารลานจอดรถไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่ในทางปฏิบัติจริงกลุ่มเก่า 2 บริษัท คือ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด ของนายธนกฤติ เจตกิตติโชค กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด ของนายชุมพล ญาณวินิจฉัย ไปยื่นจดทะเบียนใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพิ่มกรรมการใหม่อีก 1 คน คือนายธรรศ พจนประพันธ์ เป็นผู้มีอำนาจลงนามคนแรกและยื่นคัดค้านการทำสัญญาทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบเอกสารยื่นจดทะเบียนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ที่แนบมาพร้อมกันขณะยื่นประมูลงาน ทอท. ตั้งแต่ 7 เมษายน 2553 แจ้งดำเนินธุรกิจ 90 รายการ ในจำนวนนี้ได้ระบุ ประกอบกิจการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ จำหน่ายรถถัง รถหุ้มเกราะ ยานยนต์หุ้มเกราะ รถตีนตะขาบ ยานพาหนะที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด และกิจการขนส่ง-ขนถ่ายสินค้า คนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับบริการของออกจากท่าเรือตามพิธีศุลกากร และจัดระวาง การขนส่งทุกชนิด
รวมไปถึงกิจการนำเที่ยว ตัดผม แต่งผม เสริมสวย ตัดเย็บ ซักรีดเสื้อผ้า โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลรักษาคนไข้และผู้ป่วยเจ็บ จัดพิมพ์และ เผยแพร่สถิติ ข้อมูลทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การเงิน การตลาด รับทำและซ่อมแซมรถยนต์ หุ้มเกราะ รถที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด
เรื่องราวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" ที่ ทอท.อนุมัติให้บริษัท ซึ่งแจ้งมีวัตถุประสงค์จะดำเนินธุรกิจจำหน่ายยุทโธปกรณ์ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด เรื่อยไปจนถึงกิจการขนาดเล็กมากมายนั้น เหตุใด ทอท.จึงยินยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ทั้ง ๆ ที่คู่สัญญาปฏิบัติ ผิดเงื่อนไขทีโออาร์แทบทั้งสิ้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*************************************************************************
ยุทธการปรับหัวหน้า "เพื่อไทย" "ทักษิณ" ล้มเลิกเกมถอย 5 ก้าว พับแผนเจรจาลับ-ปรองดองว่างเปล่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงโดดเด่น ท้าทาย ทุกขั้ว-ทุกค่ายอำนาจ
เพียงแค่ "ทักษิณ" ขยับเปิดเกมขอเจรจา เปิดทางถอย พบกันครึ่งทางจากทุกขั้ว-ทุกสี ก็เขย่ากระดานอำนาจ สั่นสะเทือน
อย่างน้อยกลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนการเมืองจากค่ายเพื่อไทย ก็ปั่นป่วนในเกมชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
อย่างมากทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ รับฟังการเปลี่ยนแปลง
อย่างน้อยก็ทำให้หัวขบวนอำนาจในกองทัพ สดับรับฟัง "ข้อความ" จาก "ทักษิณ" ผู้มีบารมีนอกประเทศ
ดังนั้น ทันทีที่มีสัญญาณ "ปรองดอง" การ "รับลูก" จากทุกฝ่ายก็ขานรับเป็นขบวน
ฝ่ายเพื่อไทยเกิดการ "เปลี่ยนหัว" ทันทีที่เกมเจรจาเริ่มต้นชั่วโมงแรก
ชื่อ "นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ" ถูกปรับออกแบบกะทันหัน พร้อม ๆ กับชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ถูกเสียบเข้ามาแทนที่
พร้อมแผนต่อเนื่องด้วยการเตรียมคนการเมืองเข้ามาประสานสิบทิศในตำแหน่งเลขาธิการพรรค
จากนั้นส่งผ่าน ผ่องถ่ายอำนาจบางส่วนจาก "คนสนิท" ของ "ทักษิณ" เข้าประจำการในคณะกรรมการที่ปรึกษา-ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำพรรค
และประสานการทำงานเชิงยุทธศาสตร์กับ "คณะ 30" ที่เป็นนักการเมืองกลุ่ม 111 และกลุ่ม 37 คน ร่วมกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากพรรคเพื่อไทย และองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" เซตระบบใหม่ทั้งหมด จบสิ้นทั้งขบวน
ไม้ต่อทางการเมืองจะถูกส่งไปที่ พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล เพื่อดำเนินการขยับเป็น "ข้อเสนอ" เพื่อพิจารณาแผน"ปรองดอง" ในคณะกรรมการ "กลาง" ที่มีการประสานงานไว้ล่วงหน้าแล้ว
"ผล" ของข้อเสนอที่ทำมาจาก "ร่างข้อตกลง" ระหว่างรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ-เสื้อแดง-พันธมิตรฯ ก็จะถูกพิจารณาโดยให้ทุกฝ่ายรับร่างข้อตกลงและ "ถอยคนละก้าว" สู่กระบวนการนิรโทษนักการเมืองกลุ่ม 111 และวางโรดแมปสู่การเลือกตั้ง
แต่เพียงชั่วข้ามคืน "แผน" ก็เปลี่ยน "เกม" ก็พลิกผัน
เมื่อจิตแท้ดั้งเดิมของ "ทักษิณ" ถูกกระทบกระทั่งจากกลุ่มนักการเมืองที่อาจเสียผลประโยชน์จาก "เกมปรองดอง"
ทันทีที่กลุ่ม ส.ส.ค่ายอีสานพัฒนา ในสังกัดกลุ่มอำนาจ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" และ ส.ส.ปากน้ำ-ปากดี ประชา ประสพดี เดินทางกลับจากกรุงมอสโก-รัสเซีย ถิ่นพำนักของ "ทักษิณ" เกมเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ก็พลิกกลางกระดาน
เส้นทางสู่แผนปรองดองที่มีความหวังเป็นรูปธรรม ไม่ราบรื่น และล้มครืนไม่เป็นท่า
ทุกแผน-ทุกโครงสร้างอำนาจ ถูกพับกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
1.ทักษิณ-กลับไปสู่โหมดเดิม คือ ไม่เจรจา ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ปรองดองกับฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน
2.รัฐบาล-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รับลูก ไม่เปิดทางสู่กระบวนการเจรจาและไม่พิจารณาข้อเสนอตามร่างข้อตกลงเดิมที่ต่างฝ่ายต่างถอยอย่างเป็นขั้นตอน
3.กองทัพ-ทหารที่เป็นระดับแกนนำใน 5 เสือ ต้องหยุดชะงัก หันหลังให้กับคนการเมืองที่เดินเกมการประสานเพื่อตั้งวงเจรจาอย่างเป็นทางการ
4.พรรคเพื่อไทย-เปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่กลับไปเป็น "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" คนเก่า พร้อมไม่มีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหาร
5.เสื้อแดง-แกนนำอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีความหวังจะได้ประกันตัว พร้อม กับพวกทั้งหมด ต้องอยู่ในกรงขังอย่างไร้ความหวังต่อไป
6.คณะกรรมการอิสระและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต้องชะลอการจัดวาระการประชุม 5 ฝ่าย ทั้งจากรัฐบาล-เสื้อแดง-พันธมิตร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทยและเครือข่าย ทักษิณ ออกไปก่อนอย่างไม่กำหนด
ทำให้แผนการปรองดองที่ส่อเค้าเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างประนีประนอม เพราะการถอย 5 ก้าว ของ "ทักษิณ" ต้องหยุดเกม กลับไปสู่ความ "ว่างเปล่า" อีกครั้ง
แม้เหตุผลที่ "หัวหน้าเก่า-ยงยุทธ" จะถูกอธิบายอย่างแข็งขันก่อนหน้าแผน ปรองดองจะเริ่มต้นว่า ต้องการ "ปูทาง" ไปสู่การเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่เส้นทางแห่ง "ความจงรัก-ภักดี"
แม้คำสั่งจากนายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงท้ายด้วยคำว่า "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย"
แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ...
ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อพิจารณาหัวหน้าและ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 14 กันยายน
ที่ทำการพรรค มีกำหนดการเดิม เพื่อรอต้อนรับการเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ตามโผเดิม ที่จะมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างพรรครองรับแผนปรองดอง
แต่เมื่อถึงเวลาตามนัด กลับไม่มีการปรากฏตัว พล.ต.อ.โกวิท ว่าที่ตัวแทน- เพื่อไทยลำดับที่ 5 ที่จะมารับไม้ต่อจาก "ยงยุทธ"
กรรมการบริหารพรรคบางคนตอบอย่างเก้อเขินว่า ความจริงแล้วก็ไม่มีใครยืนยันว่า พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่แรก
ขณะที่คนวงในของพรรคระดับอดีต บิ๊กสีกากี-คนสนิท "ทักษิณ" อธิบายปรากฏการณ์ "ล้มโกวิท-ล้มแผนปรองดอง" ว่า
"พล.ต.อ.โกวิท ปฏิเสธตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นักการเมืองทำกันเองดีกว่า เพราะโกวิทเคยร่วมงานการเมืองเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน แต่ไม่เคยร่วมงานเมื่อเป็นพรรคเพื่อไทย จะมาพลิกขึ้นเป็นหัวหน้าอาจไม่เหมาะสม"
กรรมการบริหารแถว 3 ทีม C ที่เป็น 1 ใน 13 คน คลำทาง-วิเคราะห์แผนลึกลับโกลาหล ครั้งนี้ว่า
"ในตอนแรกมีการตกลงกันแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทจะมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ เป็นปัจจัยภายนอกพรรค มากกว่าในพรรค และการเปิดชื่อ พล.ต.อ.โกวิทมาพร้อมกับข่าวการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อรองรับแผนปรองดอง นั่นหมายความว่า ทางพรรคเพื่อไทยมี ข้อยุติแล้วว่า ให้ พล.ต.อ.โกวิทขึ้นเป็นหัวหน้า"
หัวใจของการวิเคราะห์ของทุกขั้ว ทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย จดจ่ออยู่ที่ "ทักษิณ" คนที่ถือหุ้นส่วนอิทธิพลทางความคิด 100% ในพรรค
แกนนำในเพื่อไทย ฉุกคิด-พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ...
"อย่าลืมว่า พรรคนี้เป็นพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าทักษิณสั่งก็ไม่มีใครค้านอยู่แล้ว เพราะเงินก็เงินของทักษิณ และคนที่อยู่ในพรรคก็หวังใช้กระแสของทักษิณ กระแสเสื้อแดงในการหาเสียง ดังนั้น ถ้านายใหญ่โอเคแล้ว แม้คนในพรรคไม่เห็นด้วย ก็ไม่เห็นต้องฟัง"
เมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน โผไม่เป็น ไปตามโผ ข้อวิเคราะห์ที่พูดเมื่อไรก็ถูกใจคนฟังในพรรค คือ การโยนบาป ไปที่ "ผู้ใหญ่" ในบ้านเมือง
"สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท ไม่มาเป็นหัวหน้าพรรคนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะคนที่ใหญ่กว่า เขาไม่ต้องการให้ฝ่ายอื่นมาปรองดองกับพรรคเพื่อไทย และต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่ถึงขนาดสั่ง พล.ต.อ.โกวิทได้ จึงไม่ให้ พล.ต.อ.โกวิทมาทั้งที่เจ้าตัวตอบรับกับพรรคในตอนแรก แสดงว่า ผู้ใหญ่เขาไม่เอาแผนปรองดองและเราจะปรองดองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้"
ชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-คนใหม่ จึงกลายเป็นคนเก่า ที่ชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
ด้วยเหตุผลจากปาก ส.ส.บางส่วนที่ว่า "รองหัวหน้าพรรคบางคน ไม่เห็นหัว ส.ส. จึงไม่อยากเสี่ยงเลือกเข้ามาเป็นหัวหน้า"
แม้ว่าความจริง ยุทธศาสตร์ ยุทธการ ในการปรับหัวหน้าพรรค เปลี่ยน กรรมการบริหาร และเดินหน้าแผนปรองดองจะมาจากคำสั่ง "ทักษิณ" ทั้งหมด
แต่เมื่อเกมเปลี่ยน-พลิกผัน ก็พิสูจน์ว่าอิทธิพลของคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ยังสั่นไหวโสตประสาทของ "ทักษิณ" ให้เปลี่ยนแปลง-กลับไป-กลับมาได้
จากนี้ไป แผนปรองดองที่ถูกเสนอ จากปาก "ทักษิณ" อาจไม่มีใครเชื่อ...อีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************************
เพียงแค่ "ทักษิณ" ขยับเปิดเกมขอเจรจา เปิดทางถอย พบกันครึ่งทางจากทุกขั้ว-ทุกสี ก็เขย่ากระดานอำนาจ สั่นสะเทือน
อย่างน้อยกลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนการเมืองจากค่ายเพื่อไทย ก็ปั่นป่วนในเกมชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
อย่างมากทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ รับฟังการเปลี่ยนแปลง
อย่างน้อยก็ทำให้หัวขบวนอำนาจในกองทัพ สดับรับฟัง "ข้อความ" จาก "ทักษิณ" ผู้มีบารมีนอกประเทศ
ดังนั้น ทันทีที่มีสัญญาณ "ปรองดอง" การ "รับลูก" จากทุกฝ่ายก็ขานรับเป็นขบวน
ฝ่ายเพื่อไทยเกิดการ "เปลี่ยนหัว" ทันทีที่เกมเจรจาเริ่มต้นชั่วโมงแรก
ชื่อ "นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ" ถูกปรับออกแบบกะทันหัน พร้อม ๆ กับชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ถูกเสียบเข้ามาแทนที่
พร้อมแผนต่อเนื่องด้วยการเตรียมคนการเมืองเข้ามาประสานสิบทิศในตำแหน่งเลขาธิการพรรค
จากนั้นส่งผ่าน ผ่องถ่ายอำนาจบางส่วนจาก "คนสนิท" ของ "ทักษิณ" เข้าประจำการในคณะกรรมการที่ปรึกษา-ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำพรรค
และประสานการทำงานเชิงยุทธศาสตร์กับ "คณะ 30" ที่เป็นนักการเมืองกลุ่ม 111 และกลุ่ม 37 คน ร่วมกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากพรรคเพื่อไทย และองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" เซตระบบใหม่ทั้งหมด จบสิ้นทั้งขบวน
ไม้ต่อทางการเมืองจะถูกส่งไปที่ พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล เพื่อดำเนินการขยับเป็น "ข้อเสนอ" เพื่อพิจารณาแผน"ปรองดอง" ในคณะกรรมการ "กลาง" ที่มีการประสานงานไว้ล่วงหน้าแล้ว
"ผล" ของข้อเสนอที่ทำมาจาก "ร่างข้อตกลง" ระหว่างรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ-เสื้อแดง-พันธมิตรฯ ก็จะถูกพิจารณาโดยให้ทุกฝ่ายรับร่างข้อตกลงและ "ถอยคนละก้าว" สู่กระบวนการนิรโทษนักการเมืองกลุ่ม 111 และวางโรดแมปสู่การเลือกตั้ง
แต่เพียงชั่วข้ามคืน "แผน" ก็เปลี่ยน "เกม" ก็พลิกผัน
เมื่อจิตแท้ดั้งเดิมของ "ทักษิณ" ถูกกระทบกระทั่งจากกลุ่มนักการเมืองที่อาจเสียผลประโยชน์จาก "เกมปรองดอง"
ทันทีที่กลุ่ม ส.ส.ค่ายอีสานพัฒนา ในสังกัดกลุ่มอำนาจ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" และ ส.ส.ปากน้ำ-ปากดี ประชา ประสพดี เดินทางกลับจากกรุงมอสโก-รัสเซีย ถิ่นพำนักของ "ทักษิณ" เกมเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ก็พลิกกลางกระดาน
เส้นทางสู่แผนปรองดองที่มีความหวังเป็นรูปธรรม ไม่ราบรื่น และล้มครืนไม่เป็นท่า
ทุกแผน-ทุกโครงสร้างอำนาจ ถูกพับกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
1.ทักษิณ-กลับไปสู่โหมดเดิม คือ ไม่เจรจา ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ปรองดองกับฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน
2.รัฐบาล-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รับลูก ไม่เปิดทางสู่กระบวนการเจรจาและไม่พิจารณาข้อเสนอตามร่างข้อตกลงเดิมที่ต่างฝ่ายต่างถอยอย่างเป็นขั้นตอน
3.กองทัพ-ทหารที่เป็นระดับแกนนำใน 5 เสือ ต้องหยุดชะงัก หันหลังให้กับคนการเมืองที่เดินเกมการประสานเพื่อตั้งวงเจรจาอย่างเป็นทางการ
4.พรรคเพื่อไทย-เปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่กลับไปเป็น "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" คนเก่า พร้อมไม่มีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหาร
5.เสื้อแดง-แกนนำอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีความหวังจะได้ประกันตัว พร้อม กับพวกทั้งหมด ต้องอยู่ในกรงขังอย่างไร้ความหวังต่อไป
6.คณะกรรมการอิสระและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต้องชะลอการจัดวาระการประชุม 5 ฝ่าย ทั้งจากรัฐบาล-เสื้อแดง-พันธมิตร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทยและเครือข่าย ทักษิณ ออกไปก่อนอย่างไม่กำหนด
ทำให้แผนการปรองดองที่ส่อเค้าเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างประนีประนอม เพราะการถอย 5 ก้าว ของ "ทักษิณ" ต้องหยุดเกม กลับไปสู่ความ "ว่างเปล่า" อีกครั้ง
แม้เหตุผลที่ "หัวหน้าเก่า-ยงยุทธ" จะถูกอธิบายอย่างแข็งขันก่อนหน้าแผน ปรองดองจะเริ่มต้นว่า ต้องการ "ปูทาง" ไปสู่การเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่เส้นทางแห่ง "ความจงรัก-ภักดี"
แม้คำสั่งจากนายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงท้ายด้วยคำว่า "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย"
แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ...
ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อพิจารณาหัวหน้าและ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 14 กันยายน
ที่ทำการพรรค มีกำหนดการเดิม เพื่อรอต้อนรับการเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ตามโผเดิม ที่จะมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างพรรครองรับแผนปรองดอง
แต่เมื่อถึงเวลาตามนัด กลับไม่มีการปรากฏตัว พล.ต.อ.โกวิท ว่าที่ตัวแทน- เพื่อไทยลำดับที่ 5 ที่จะมารับไม้ต่อจาก "ยงยุทธ"
กรรมการบริหารพรรคบางคนตอบอย่างเก้อเขินว่า ความจริงแล้วก็ไม่มีใครยืนยันว่า พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่แรก
ขณะที่คนวงในของพรรคระดับอดีต บิ๊กสีกากี-คนสนิท "ทักษิณ" อธิบายปรากฏการณ์ "ล้มโกวิท-ล้มแผนปรองดอง" ว่า
"พล.ต.อ.โกวิท ปฏิเสธตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นักการเมืองทำกันเองดีกว่า เพราะโกวิทเคยร่วมงานการเมืองเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน แต่ไม่เคยร่วมงานเมื่อเป็นพรรคเพื่อไทย จะมาพลิกขึ้นเป็นหัวหน้าอาจไม่เหมาะสม"
กรรมการบริหารแถว 3 ทีม C ที่เป็น 1 ใน 13 คน คลำทาง-วิเคราะห์แผนลึกลับโกลาหล ครั้งนี้ว่า
"ในตอนแรกมีการตกลงกันแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทจะมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ เป็นปัจจัยภายนอกพรรค มากกว่าในพรรค และการเปิดชื่อ พล.ต.อ.โกวิทมาพร้อมกับข่าวการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อรองรับแผนปรองดอง นั่นหมายความว่า ทางพรรคเพื่อไทยมี ข้อยุติแล้วว่า ให้ พล.ต.อ.โกวิทขึ้นเป็นหัวหน้า"
หัวใจของการวิเคราะห์ของทุกขั้ว ทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย จดจ่ออยู่ที่ "ทักษิณ" คนที่ถือหุ้นส่วนอิทธิพลทางความคิด 100% ในพรรค
แกนนำในเพื่อไทย ฉุกคิด-พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ...
"อย่าลืมว่า พรรคนี้เป็นพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าทักษิณสั่งก็ไม่มีใครค้านอยู่แล้ว เพราะเงินก็เงินของทักษิณ และคนที่อยู่ในพรรคก็หวังใช้กระแสของทักษิณ กระแสเสื้อแดงในการหาเสียง ดังนั้น ถ้านายใหญ่โอเคแล้ว แม้คนในพรรคไม่เห็นด้วย ก็ไม่เห็นต้องฟัง"
เมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน โผไม่เป็น ไปตามโผ ข้อวิเคราะห์ที่พูดเมื่อไรก็ถูกใจคนฟังในพรรค คือ การโยนบาป ไปที่ "ผู้ใหญ่" ในบ้านเมือง
"สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท ไม่มาเป็นหัวหน้าพรรคนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะคนที่ใหญ่กว่า เขาไม่ต้องการให้ฝ่ายอื่นมาปรองดองกับพรรคเพื่อไทย และต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่ถึงขนาดสั่ง พล.ต.อ.โกวิทได้ จึงไม่ให้ พล.ต.อ.โกวิทมาทั้งที่เจ้าตัวตอบรับกับพรรคในตอนแรก แสดงว่า ผู้ใหญ่เขาไม่เอาแผนปรองดองและเราจะปรองดองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้"
ชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-คนใหม่ จึงกลายเป็นคนเก่า ที่ชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
ด้วยเหตุผลจากปาก ส.ส.บางส่วนที่ว่า "รองหัวหน้าพรรคบางคน ไม่เห็นหัว ส.ส. จึงไม่อยากเสี่ยงเลือกเข้ามาเป็นหัวหน้า"
แม้ว่าความจริง ยุทธศาสตร์ ยุทธการ ในการปรับหัวหน้าพรรค เปลี่ยน กรรมการบริหาร และเดินหน้าแผนปรองดองจะมาจากคำสั่ง "ทักษิณ" ทั้งหมด
แต่เมื่อเกมเปลี่ยน-พลิกผัน ก็พิสูจน์ว่าอิทธิพลของคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ยังสั่นไหวโสตประสาทของ "ทักษิณ" ให้เปลี่ยนแปลง-กลับไป-กลับมาได้
จากนี้ไป แผนปรองดองที่ถูกเสนอ จากปาก "ทักษิณ" อาจไม่มีใครเชื่อ...อีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************************
แผน 5 แลก 5 "ชนะทั้งคู่" ซ่อนแผนหักดิบ "โกวิท-ยงยุทธ"
ประชาชาติธุรกิจ
เมื่อ "ทักษิณ" คาดการณ์ว่า เปลี่ยน "หัว" เพื่อไทย จาก "ยงยุทธ" เป็น "พล.ต.อ.โกวิท" แล้วจะ "ไม่ได้อะไร" แลกเปลี่ยน
เมื่อแผนที่ 5 ฝ่ายในโครงสร้างกระดานอำนาจพลิกแผนการเคลื่อนไหวที่ต้องการถอย 5 ก้าวแบบ "ไม่แพ้" ทั้ง 2 ฝ่ายต้องถูกพับ
ไม่มีการเปลี่ยนหัวหน้า-เลขาธิการพรรค
ไม่มีการเบิกตัว "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ออกจากคุกมาประชุมร่วมกับนายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ แกนนำพันธมิตร และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ไม่มีการประกันตัวคนเสื้อแดงออกจากคุกเพื่อ "วัดใจ" ไม่ให้เคลื่อนไหวแลกกับเกมการถอนประกันตัว
ไม่มีการพิจารณา "ร่างนิรโทษกรรม" ให้กับคนบ้านเลขที่ 111 ในช่วงสิ้นปี เตรียมพร้อมลงรับสมัครเลือกตั้งสมัยหน้า
ไม่มีการพิจารณาจัดทัพรับเลือกตั้ง
แนวโน้มของความเป็นพรรคเพื่อไทย จึงกลับไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง "แบบเดิม"
ต้นแบบที่-ทุกคำสั่งลงนามมาจากนอกประเทศ เป็นคำสั่งที่ "อ้างถึง" ทักษิณ ชินวัตร
แม้การขับเคลื่อนโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีความหมาย
แม้สัดส่วน ส.ส.ในกรรมการบริหาร จะมีตัวแทนจากทุกภาค ก็ไม่ได้สะท้อนความเป็น "ตัวแทน"
จึงมีความพยายามตั้งคณะกรรมการซ้อนขึ้นมาอีก 1 ชุด เรียกว่า "คณะสามสิบ" เพื่อรวบรวมกลุ่มนักการเมือง 111 และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน รวมกับตัวแทนจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยไว้เป็นกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง
แบ่งเป็น ส.ส.จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการประสานงานภาคต่าง ๆ อีก 15 คนเป็นตัวแทนจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาและผู้ทรง คุณวุฒิที่เป็นอดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน แกนนำพรรคเพื่อไทย
องค์ประกอบ "คณะ 30" ประกอบด้วย นายวราเทพ รัตนากร นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นต้น
ขับเคลื่อนควบคู่คณะกรรมการประสานภารกิจพรรคเพื่อไทย ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน
ภายใต้การบริหารจัดการจากพี่น้องในตระกูล "ชินวัตร" อาทิ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพายัพ ชินวัตร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท" จึงถูกตัดออกไปจากสารบบการปรองดอง เพราะปากคำ "ทักษิณ" ที่ถูกคณะ ส.ส.ที่ใกล้ชิด "อ้างถึง"
ความว่า "พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามชี้แจงว่า ควรจะให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกไป กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม มากกว่าที่ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เพราะอาจเกิดปัญหาขึ้นภายในพรรคตามมา หลังเกิดกระแสความไม่พอใจจากหลายกลุ่มในพรรค ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.โกวิท ก็มีข้อเสียในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ ไม่แน่ใจว่าทนแรงเสียดทานทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน"
ส.ส.กลุ่มปากน้ำ-อ้างว่า "มีคนมาพูดเรื่องนี้เยอะ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดความแตก แยกลุกลามออกไป สถานการณ์การเมืองวันนี้ จำเป็นต้องปรองดองทั้งในและนอกพรรค เพราะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว"
ข้อความ-คำพูดของ "ทักษิณ" ที่ถูก เผยแพร่ในพรรค ยังเพิ่มเติมสำทับว่า "ไม่ขัดข้อง หากใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค ขอให้พรรคเดินหน้าต่อได้ และช่วยทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง นายยงยุทธก็ยังทำงานได้ดีอยู่"
คำสั่ง-ทักษิณฝากผ่าน ส.ส.ที่เป็นพาหะข่าวบอกว่า "เป็นห่วงสถาบันและประเทศมากกว่าชีวิตของตัวเอง อยากเห็นความ ปรองดอง และพร้อมทำทุกอย่างให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมือง ให้ ส.ส.ทุกคนช่วยเดินหน้าสร้างความปรองดอง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็จะช่วยคิดนโยบายหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยไปช่วยเหลือประชาชน เพราะทนเห็นชาวบ้านเดือดร้อนไม่ได้"
คำสั่งที่เคยมีก่อนหน้านี้ 72 ชั่วโมง จากกลางกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ที่เคยบอกผ่านไปถึงรัฐบาล-กองทัพ ว่า 1.เปลี่ยนหัวหน้าพรรคที่สะท้อนภาพจงรักภักดี 2.ปรับโครงสร้างพรรค 3.สั่ง ส.ส.เพื่อไทยห้ามขึ้นเวที "ล้มเจ้า" 4.ลดบทบาทคนในตระกูล "ชินวัตร" 5.ห้ามปราม ส.ส.เสื้อแดง-จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดเคลื่อนไหว
แลกกับรัฐบาล-อภิสิทธิ์ที่ต้อง 1.แผนปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง 2.ตั้งวงเจรจากับ 5 ฝ่าย กองทัพ-รัฐบาล-พันธมิตร-เสื้อแดง-เพื่อไทย 3.จัดทำร่างข้อตกลงนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่ม 111 4.ร่วมร่างแผนเลือกตั้ง และ 5.ต่างฝ่ายต่างถอยไปอยู่ในที่ตั้ง
องค์คณะที่เจรจาบนโต๊ะกลางกรุงเทพฯ ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร- ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ตั้งต้น-เดินแผนปรองดองอย่างเป็นขั้นตอนตามกฎหมายถูกล้มโต๊ะข้ามโลก
ทุกความขัดแย้งทางการเมือง ยังดำรงอยู่ต่อไป "ทักษิณ" ยังเอื้อมมือที่มองเห็น เข้ามาจัดฉากในพรรคเพื่อไทยต่อไป
ทุกแผนปรองดองที่ถูกเตรียมปฏิบัติการ กลับไปสู่จุด set zero
*********************************************************************
เมื่อ "ทักษิณ" คาดการณ์ว่า เปลี่ยน "หัว" เพื่อไทย จาก "ยงยุทธ" เป็น "พล.ต.อ.โกวิท" แล้วจะ "ไม่ได้อะไร" แลกเปลี่ยน
เมื่อแผนที่ 5 ฝ่ายในโครงสร้างกระดานอำนาจพลิกแผนการเคลื่อนไหวที่ต้องการถอย 5 ก้าวแบบ "ไม่แพ้" ทั้ง 2 ฝ่ายต้องถูกพับ
ไม่มีการเปลี่ยนหัวหน้า-เลขาธิการพรรค
ไม่มีการเบิกตัว "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ออกจากคุกมาประชุมร่วมกับนายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ แกนนำพันธมิตร และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ไม่มีการประกันตัวคนเสื้อแดงออกจากคุกเพื่อ "วัดใจ" ไม่ให้เคลื่อนไหวแลกกับเกมการถอนประกันตัว
ไม่มีการพิจารณา "ร่างนิรโทษกรรม" ให้กับคนบ้านเลขที่ 111 ในช่วงสิ้นปี เตรียมพร้อมลงรับสมัครเลือกตั้งสมัยหน้า
ไม่มีการพิจารณาจัดทัพรับเลือกตั้ง
แนวโน้มของความเป็นพรรคเพื่อไทย จึงกลับไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง "แบบเดิม"
ต้นแบบที่-ทุกคำสั่งลงนามมาจากนอกประเทศ เป็นคำสั่งที่ "อ้างถึง" ทักษิณ ชินวัตร
แม้การขับเคลื่อนโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีความหมาย
แม้สัดส่วน ส.ส.ในกรรมการบริหาร จะมีตัวแทนจากทุกภาค ก็ไม่ได้สะท้อนความเป็น "ตัวแทน"
จึงมีความพยายามตั้งคณะกรรมการซ้อนขึ้นมาอีก 1 ชุด เรียกว่า "คณะสามสิบ" เพื่อรวบรวมกลุ่มนักการเมือง 111 และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน รวมกับตัวแทนจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยไว้เป็นกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง
แบ่งเป็น ส.ส.จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการประสานงานภาคต่าง ๆ อีก 15 คนเป็นตัวแทนจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาและผู้ทรง คุณวุฒิที่เป็นอดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน แกนนำพรรคเพื่อไทย
องค์ประกอบ "คณะ 30" ประกอบด้วย นายวราเทพ รัตนากร นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นต้น
ขับเคลื่อนควบคู่คณะกรรมการประสานภารกิจพรรคเพื่อไทย ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน
ภายใต้การบริหารจัดการจากพี่น้องในตระกูล "ชินวัตร" อาทิ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพายัพ ชินวัตร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท" จึงถูกตัดออกไปจากสารบบการปรองดอง เพราะปากคำ "ทักษิณ" ที่ถูกคณะ ส.ส.ที่ใกล้ชิด "อ้างถึง"
ความว่า "พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามชี้แจงว่า ควรจะให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกไป กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม มากกว่าที่ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เพราะอาจเกิดปัญหาขึ้นภายในพรรคตามมา หลังเกิดกระแสความไม่พอใจจากหลายกลุ่มในพรรค ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.โกวิท ก็มีข้อเสียในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ ไม่แน่ใจว่าทนแรงเสียดทานทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน"
ส.ส.กลุ่มปากน้ำ-อ้างว่า "มีคนมาพูดเรื่องนี้เยอะ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดความแตก แยกลุกลามออกไป สถานการณ์การเมืองวันนี้ จำเป็นต้องปรองดองทั้งในและนอกพรรค เพราะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว"
ข้อความ-คำพูดของ "ทักษิณ" ที่ถูก เผยแพร่ในพรรค ยังเพิ่มเติมสำทับว่า "ไม่ขัดข้อง หากใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค ขอให้พรรคเดินหน้าต่อได้ และช่วยทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง นายยงยุทธก็ยังทำงานได้ดีอยู่"
คำสั่ง-ทักษิณฝากผ่าน ส.ส.ที่เป็นพาหะข่าวบอกว่า "เป็นห่วงสถาบันและประเทศมากกว่าชีวิตของตัวเอง อยากเห็นความ ปรองดอง และพร้อมทำทุกอย่างให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมือง ให้ ส.ส.ทุกคนช่วยเดินหน้าสร้างความปรองดอง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็จะช่วยคิดนโยบายหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยไปช่วยเหลือประชาชน เพราะทนเห็นชาวบ้านเดือดร้อนไม่ได้"
คำสั่งที่เคยมีก่อนหน้านี้ 72 ชั่วโมง จากกลางกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ที่เคยบอกผ่านไปถึงรัฐบาล-กองทัพ ว่า 1.เปลี่ยนหัวหน้าพรรคที่สะท้อนภาพจงรักภักดี 2.ปรับโครงสร้างพรรค 3.สั่ง ส.ส.เพื่อไทยห้ามขึ้นเวที "ล้มเจ้า" 4.ลดบทบาทคนในตระกูล "ชินวัตร" 5.ห้ามปราม ส.ส.เสื้อแดง-จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดเคลื่อนไหว
แลกกับรัฐบาล-อภิสิทธิ์ที่ต้อง 1.แผนปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง 2.ตั้งวงเจรจากับ 5 ฝ่าย กองทัพ-รัฐบาล-พันธมิตร-เสื้อแดง-เพื่อไทย 3.จัดทำร่างข้อตกลงนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่ม 111 4.ร่วมร่างแผนเลือกตั้ง และ 5.ต่างฝ่ายต่างถอยไปอยู่ในที่ตั้ง
องค์คณะที่เจรจาบนโต๊ะกลางกรุงเทพฯ ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร- ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ตั้งต้น-เดินแผนปรองดองอย่างเป็นขั้นตอนตามกฎหมายถูกล้มโต๊ะข้ามโลก
ทุกความขัดแย้งทางการเมือง ยังดำรงอยู่ต่อไป "ทักษิณ" ยังเอื้อมมือที่มองเห็น เข้ามาจัดฉากในพรรคเพื่อไทยต่อไป
ทุกแผนปรองดองที่ถูกเตรียมปฏิบัติการ กลับไปสู่จุด set zero
*********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)