ในนิทานอีสป...มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง... เรื่องเด็กเลี้ยงแกะ..เด็กๆ ในสมัยนั้น ซึ่งก็คือผู้ใหญ่ในวันนี้ คงจะรับทราบรับรู้กันเป็นอย่างดี ถึงเนื้อหาสาระ
เด็กเลี้ยงแกะชอบหลอกชาวบ้านว่า หมาป่าจะเข้าโจมตีฝูงแกะ..ชาวบ้านก็แห่กันออกไปช่วย.. เด็กเลี้ยงแกะหัวเราะชอบใจหลอกชาวบ้านได้..
จนวันที่ฝูงหมาป่ามันเข้ามาจริงๆ แหกปากอย่างไร..ชาวบ้านก็นึกว่าเรื่องโกหก..ไม่ออกมาช่วย.. ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร..คงไม่ยากสำหรับการจินตนาการ
เด็กเลี้ยงแกะในสมัยนั้น..ก็น่าจะโตขึ้นมารับ ราชการเป็นผู้ใหญ่อยู่ในวันนี้..คงจะลืมเรื่องราวใน อดีต..ถึงยังชอบที่จะโกหกอยู่ร่ำไป..
แม้แต่ในเรื่องที่โกหกแทบจะไม่ได้..อย่างเช่น เรื่องที่...ซาอุดิอาระเบีย..ไม่พอใจประเทศไทย..ที่จับ คนไทยที่ขโมยเพชรพลอยจากวังกษัตริย์ของเขาได้.. แต่ของกลางที่ได้มานั้นเอาไปคืนเขาไม่ครบ..และที่นึก ว่าใช่กลายเป็น เมด อิน ไทยแลนด์..ทำของปลอมไปคืนเขา
ซาอุฯ..ส่งคนของเขามาติดตาม..กลับมาถูก ยิงทิ้งในประเทศไทยแถมยังมีบางคนหายไป..เขา จึงโกรธแค้น..และส่งคนงานไทยกลับไม่ให้ทำงาน ในประเทศของเขา..ประชาชนคนชาวบ้าน..เดือดร้อน กันมากมาย..นักท่องเที่ยวก็หายไป..
เพราะความมักมากละโมภของคนไม่กี่คน
ซาอุฯ เคืองไทยมา..เป็นสิบปี..คดีก็ยังค้างคา.. ไทยต้องขังลืมนายตำรวจใหญ่ในคุก..เพื่อให้ซาอุฯ พอใจ..รู้ๆ กันอยู่..
วันดีคืนดี..พรรคประชาธิปัตย์..นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เหยียบตาปลา..ส่งเสริมคนที่ซาอุดิอาระเบียเชื่อว่า..มีส่วนพัวพัน..ขึ้นมาเป็นใหญ่.. ซาอุดิอาระเบียก็เคลื่อนไหว..
รัฐบาลไทยกลับ..ยืนยันว่าไม่จริง ไม่มีอะไร.. ความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ มีแต่จะดีขึ้น..พูดเองเออเอง แทนซาอุฯ..ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีสถานทูต มีท่านทูตที่พร้อมจะออกมาปฏิเสธ..
มันก็ยังหน้าด้านโกหก..
เรียกว่าโกหกซึ่งหน้า..สวนทางกับแถลงการณ์ 3 ฉบับ..ให้ประเทศไทยทบทวน..ในสิ่งที่ ดูเหมือนย่ำเหยียบศักดิ์ศรีและมองไม่เห็นเขาอยู่ใน สายตา..ยืนยันประโยคที่คนทั้งโลก..เชื่อกันและเรียกคนไทยว่า..
ไซมีส ทอล์ก
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
"อาการและสมุฏฐานของรัฐที่กำลังล้มเหลว"
ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย เกษียร เตชะพีระ
หลายปีหลังนี้ การศึกษาค้นคว้า-ประเมินวัด-คาดการณ์ว่ารัฐไหนประเทศใดบ้างตกอยู่ในภาวะเปราะบาง (fragile states) และอาจล้มเหลว (failed states) กลายเป็นอุตสาหกรรมการวิจัยที่บูมใหญ่ในหมู่นักรัฐศาสตร์-สังคมศาสตร์ตะวันตก
ทั้งนี้ เพราะรัฐอ่อนแอทั้งหลายถูกมองว่าอาจกลายเป็นแหล่งเพาะปัญหาความมั่นคง (เช่น การก่อการร้าย, แพร่กระจายอาวุธ, แก๊งอาชญากรข้ามชาติ, ยาเสพติด, โรคระบาด, สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม, ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ฯลฯ) ที่แผ่ขยายลุกลามข้ามพรมแดนของชาติตัวเองออกไปถึงระดับภูมิภาคและโลกได้ในโครงข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองการทหารแบบโลกาภิวัตน์ เช่น อัฟกานิสถาน -->การก่อการร้ายและยาเสพติด, ปากีสถานและเกาหลีเหนือ -->ระเบิดนิวเคลียร์, พม่า -->ผู้ลี้ภัยสงครามและยาเสพติด เป็นต้น
มันจึงเป็นที่สนใจของรัฐบาลมหาอำนาจอเมริกันและพันธมิตรตะวันตก, องค์การระหว่างประเทศ, บรรษัทข้ามชาติ, นักลงทุน, หน่วยงานองค์กรให้ความช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เป็นต้นมา เหล่านี้ส่งผลให้มีการเปิดศูนย์ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหานี้และจัดอันดับรัฐล้มเหลวทั่วโลกประจำปีกันหลายสำนัก อาทิ: -
-โครงการจัดทำ The Failed States Index ของนิตยสาร Foreign Policy ร่วมกับ The Fund for Peace ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "Failed States Index Scores 2010" ได้ที่ www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=452&Itemid=900)
-Political Instability Task Force/State Failure project ของ The Center for Systemic Peace (CSP) ร่วมกับ The Center for Global Policy ณ George Mason University ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "State Fragility Index and Matrix 2009" ได้ที่ www.systemicpeace.org/SFImatrix2009c.pdf )
-The Failed and Fragile States project ของ Country Indicators for Foreign Policy (CIFP) และ The Norman Paterson School of International Affairs (NPSIA) แห่ง Carleton University ประเทศแคนาดา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "2008/2009 Country Indicators for Foreign Policy Fragile States Index" ได้ที่ www.carleton.ca/cifp/app/serve.php/1242.pdf)
-The Crisis State Research Centre (CSRC) ตั้งอยู่ที่ Development Studies Institute ณ London School of Economics and Political Science (LSE) กรุงลอนดอน และได้ทุนอุดหนุนจาก UKaid, Department of International Development ของรัฐบาลอังกฤษ (ดูงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาความเปราะบางและล้มเหลวของรัฐต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้ และละตินอเมริกา ได้ที่ www.crisisstates.com/) เป็นต้น
ในบรรดาเอกสารวิจัยรัฐล้มเหลวเบื้องต้นที่สำนักเหล่านี้เผยแพร่ ชิ้นที่สะดุดตาน่าสนใจและอ่านแล้วชวนคิดเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ในเมืองไทยอย่างยิ่งคือชิ้นที่ชื่อ "Crisis, Fragile and Failed States: Definitions used by the CSRC" (รัฐในวิกฤต, เปราะบางและล้มเหลว: คำนิยามที่ศูนย์วิจัยรัฐในวิกฤตใช้ www.crisisstates.com/download/drc/FailedState.pdf)
ซึ่งผมขอนำมาเล่าต่อดังนี้: -
ชุดคำนิยามของ CSRC ซึ่งเป็นผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2006 ที่กรุงลอนดอน แบ่งประเภทรัฐที่ประสบปัญหาเสื่อมทรุดอ่อนแอออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1.รัฐเปราะบาง (fragile state)--> 2.รัฐในวิกฤต (crisis state) และ--> 3.รัฐล้มเหลว (failed state) โดยนิยามลักษณะอาการทั่วไปของรัฐแต่ละประเภทไว้ดังนี้: -
1) รัฐเปราะบาง (หรือนัยหนึ่งรัฐที่ซุกระเบิดเวลาไว้ในโครงสร้างสถาบันของรัฐเอง)
-หมายถึงรัฐซึ่งระบบย่อยต่างๆ ของมันง่ายที่จะประสบวิกฤตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเปราะบางต่ออาการช็อคภายในและภายนอก รวมทั้งความขัดแย้งในประเทศและระดับสากล
-ปมเงื่อนใจกลางของอาการเปราะบางคือการจัดระเบียบสถาบันของรัฐดังที่เป็นอยู่นั้นทรงไว้หรืออาจกระทั่งสงวนรักษาไว้ซึ่งเงื่อนไขที่จะนำไปสู่วิกฤต กล่าวคือ: -
-สถาบันเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังที่เป็นอยู่ ไปสกัดขัดขวางจนเศรษฐกิจโตช้าหรือชะงักงัน, หรือทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งในแง่ทรัพย์สินและการเข้าถึงที่ดินหรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น
-สถาบันสังคมทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งหรือปิดกั้นตีบตันจนชาวบ้านเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพหรือการศึกษา
-สถาบันการเมืองยึดหยั่งกลุ่มแนวร่วมที่กุมอำนาจให้สืบทอดอำนาจต่อโดยกีดกันกลุ่มอื่นออกไป (ไม่ว่าจะกีดกันบนฐานชาติพันธุ์, ศาสนาหรือภูมิภาคก็ตามที), หรือทำให้การเมืองแบ่งแยกแตกฝ่ายแยกขั้วสุดโต่ง, หรือทำให้หน่วยงานความมั่นคงแตกแยกเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
-การจัดระเบียบสถาบันตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเปราะบางต่อการถูกท้าทายโดยระบบสถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบสถาบันที่มาจากสิทธิอำนาจตามประเพณีแต่เดิม, บรรดาชุมชนที่ตกอยู่ใต้แรงกดดันโดยรัฐไม่ใส่ใจดูแล, พวกขุนศึก, หรือนายหน้าอำนาจนอกภาครัฐอื่นใด
-ตัวแบบที่ตรงข้ามกับรัฐเปราะบางคือ "รัฐมั่นคง" ที่ซึ่งการจัดระเบียบสถาบันกระแสหลักหรือตามกฎหมายดูจะสามารถทนทานอาการช็อคภายในและภายนอก ส่วนการแข็งข้อต่อต้านก็ยังคงอยู่ในกรอบระเบียบสถาบันที่ปกครองอยู่
2) รัฐในวิกฤต (หรือรัฐที่โดนระเบิดตูมจนทรุดตัว ทำท่าจะล่มมิล่มแหล่)
-หมายถึงรัฐที่อยู่ใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วง สถาบันปกครองเผชิญการแข็งข้อต่อต้านอย่างร้ายแรงและอาจหมดปัญญาความสามารถที่จะจัดการความขัดแย้งและอาการช็อคเหล่านั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งรัฐตกอยู่ในอันตรายที่จะล่มสลายนั่นเอง
-พึงเข้าใจว่าภาวะวิกฤตของรัฐไม่ใช่สภาวะสัมบูรณ์ หากเกิดขึ้น ณ จังหวะเวลาหนึ่ง ฉะนั้น รัฐจึงอาจเข้าสู่ "ภาวะวิกฤต" แล้วฟื้นตัวกลับคืนมาได้, หรืออาจตกอยู่ในวิกฤตค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน, หรืออาจกระทั่งเสื่อมทรุดและล่มสลายไปเลยก็เป็นได้เช่นกัน
-กระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การก่อตัวของรัฐใหม่, หรือสงครามและจลาจล, หรือการสร้างเสริมระบอบเก่าให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
-อาจเกิดวิกฤตเฉพาะส่วนในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตโรคเอดส์, บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย, วิกฤตรัฐธรรมนูญ เป็นต้น แม้วิกฤตเฉพาะส่วนเหล่านี้โดยตัวมันเองอาจไม่ถึงกับก่อให้เกิดภาวะวิกฤตของรัฐโดยทั่วไป แต่ถ้ามันหนักข้อรุนแรงถึงขนาดหรือเรื้อรังยาวนานออกไปก็อาจทำให้รัฐทั้งรัฐตกอยู่ในวิกฤตทั่วไปได้
-ตัวแบบตรงข้ามกับรัฐในวิกฤตคือ "รัฐคืนสภาพ" ที่ซึ่งโดยทั่วไปสถาบันทั้งหลายสามารถรับมือความขัดแย้ง, จัดการวิกฤตในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐ, ตอบโต้การแข็งข้อต่อต้าน ฯลฯ นับเป็นสถานะที่อยู่ในช่วงกลางระหว่างรัฐเปราะบางกับรัฐมั่นคง
3) รัฐล้มเหลว (หรือรัฐล่มสลายนั่นเอง)
-หมายถึงรัฐที่ไม่สามารถทำหน้าที่พื้นฐานด้านรักษาความมั่นคงและพัฒนาประเทศอีกต่อไป, ไม่อาจควบคุมอาณาดินแดนและพรมแดนอย่างมีประสิทธิผล, และไม่สามารถผลิตซ้ำเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่ของตัวมันเองได้-ซึ่งแตกต่างจากรัฐที่เพียงแค่ทำหน้าที่แย่เท่านั้น
-ตัวแบบตรงข้ามของรัฐล้มเหลว ได้แก่ "รัฐทนทาน" อย่างไรก็ตาม การจะขีดลากเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างรัฐสองแบบนี้ว่าอยู่ตรงไหน? หมดสภาพ "รัฐทนทาน" เมื่อไหร่?เริ่มกลายเป็นรัฐล้มเหลว ณ จุดใดกันแน่? นั้นยากจะทำได้ เพราะแม้ในรัฐล้มเหลว ก็อาจมีเชื้อมูลบางอย่างของรัฐดำรงอยู่ต่อไป เช่น องค์กรรัฐในระดับท้องถิ่น เป็นต้น
-สรุปเป็นอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของรัฐได้ว่า: [รัฐมั่นคง<-- -->รัฐคืนสภาพ<-- -->รัฐเปราะบาง<-- -->รัฐในวิกฤต<-- -->รัฐทนทาน<-- -->รัฐล้มเหลว]
-ในความหมายนี้ จึงรัดกุมกว่าที่จะบรรยายสภาพอาการโดยรวมของรัฐที่อาจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ผ่านภาวะต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นว่า "รัฐที่กำลังล้มเหลว" (failing states) แทน
ส่วนสมุฏฐานของอาการรัฐเปราะบาง-ล้มเหลวดังกล่าวนั้น Dr.JonathanDi John อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองสังกัด Department of Development Studies, School of Oriental and African Studies (SOAS), University of London ได้วิพากษ์วิจารณ์งานศึกษาวิจัยเรื่องนี้ทั้งหลายที่ผ่านมาและสังเคราะห์เสนอขึ้นใหม่ว่ามันเกิดจากการมาประจวบพ้องพานกันของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ 5 ประการ ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา/ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งก่อความตึงเครียด/แรงกดดันสูง รัฐไหนประเทศใดรับมือจัดการไม่ไหวหรือไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมทรุดและอาจมีอันเป็นไป รัฐไหนประเทศใดรับมือได้ก็ทนทาน-คืนสภาพ-มั่นคงสืบไป ("Conceptualising the Causes and Consequences of Failed States: A Critical Review of the Literature", Crisis State Research Centre, LSE, 2008) ได้แก่: -
1) การก่อตัวของรัฐสมัยใหม่
กรณีไทยเราเริ่มต้นจากการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามมาด้วยการปฏิวัติ/รัฐประหาร/ปฏิรูปการเมือง (เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจ) และปรับแต่งระบบบริหารราชการครั้งต่างๆ ล่าสุดคือการปฏิรูปการเมืองในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซึ่งยังคงส่งผลสะท้อนทั้งด้านตรง/ด้านกลับ (กระแสปฏิปักษ์ปฏิรูปและต่อต้านประชาธิปไตย, เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง) จนถึงปัจจุบัน
2) การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมทีหลัง
แก่นของเรื่องคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทุนนิยมในประเทศล้าหลังผ่านการเติบโตอย่างไม่สมดุล (unbalanced growth) โดยรัฐวางนโยบายเจืออคติเลือกทุ่มทรัพยากรส่งเสริมเอื้อเฟื้อเศรษฐกิจบางภาคส่วน (อุตสาหกรรม-บริการภาคเมือง-ส่งออก) ด้วยการเอาเปรียบเศรษฐกิจภาคส่วนอื่น (เกษตรกรรม-ชนบท-ตลาดในประเทศ),
โยกย้ายส่วนเกินทางเศรษฐกิจผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมจากภาคส่วนอื่นมายังภาคส่วนเป้าหมาย (กดราคาพืชผล, กดค่าจ้างแรงงาน, ลดภาษีและค่าสาธารณูปโภคเพื่อส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ)
ผลักดันให้เศรษฐกิจภาคส่วนเป้าหมายเติบโตก่อน, เพื่อสร้างชนชั้นนายทุนผู้ประกอบการที่มั่งคั่งขึ้นมาบุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้ข้ออ้างความเชื่อว่าความเจริญเติบโตก่อนในภาคส่วน-ชนชั้นเป้าหมายจะ "หยาดลงมาเอง" (trickle-down effect) สู่ภาคส่วน-ชนชั้นอื่นให้พลอยเจริญเติบโตกระเตื้องตามไปด้วยภายหลังในที่สุด
3) การสะสมทุนขั้นปฐม
ปัญหาคือการสะสมทุนขั้นปฐมผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมนั้น สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นมากระหว่างภาคส่วนและชนชั้นต่างๆ
มันเกิดขึ้นเพราะนโยบายเจืออคติของรัฐ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ, อีกทั้งไม่แน่ว่าประชาชนโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เสียเปรียบจะสมัครใจขานรับสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
การเดินนโยบายเลือกภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบ/ชนะ/ร่ำรวยก่อนทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงทำให้รัฐเข้าไปเกี่ยวพันกับความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองอย่างมิอาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่การต่อสู้เรียกร้องกดดันนโยบายกระจายรายได้-สวัสดิการสังคมจากภาครัฐโดยประชาชนผู้เสียเปรียบมิอาจทำได้อย่างเสรี และการ "หยาดลงมาเอง" ต้องหวังพึ่งแต่ความกรุณาปรานี-บริจาคการกุศล-สังคมสงเคราะห์จากภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบไปก่อนแล้วเท่านั้น
4) เจ้าหน้าที่รัฐ/นักการเมืองกินบ้านกินเมืองและเรียกเก็บค่าเช่าเศรษฐกิจแล้วหว่านแจกชุบเลี้ยงพรรคพวกบริวารเพื่อกุมอำนาจอิทธิพล (patrimonial rent deployment)
5) เส้นสายอุปถัมภ์หรือการทุจริตติดสินบนเป็นกลไกหลักที่สังคมใช้ในการส่งอิทธิพลต่อรัฐ
(สองประการหลังนี้เมืองไทยเรารู้จักคุ้นเคยดี ป่วยการอธิบาย)
************************************************************
โดย เกษียร เตชะพีระ
หลายปีหลังนี้ การศึกษาค้นคว้า-ประเมินวัด-คาดการณ์ว่ารัฐไหนประเทศใดบ้างตกอยู่ในภาวะเปราะบาง (fragile states) และอาจล้มเหลว (failed states) กลายเป็นอุตสาหกรรมการวิจัยที่บูมใหญ่ในหมู่นักรัฐศาสตร์-สังคมศาสตร์ตะวันตก
ทั้งนี้ เพราะรัฐอ่อนแอทั้งหลายถูกมองว่าอาจกลายเป็นแหล่งเพาะปัญหาความมั่นคง (เช่น การก่อการร้าย, แพร่กระจายอาวุธ, แก๊งอาชญากรข้ามชาติ, ยาเสพติด, โรคระบาด, สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม, ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ฯลฯ) ที่แผ่ขยายลุกลามข้ามพรมแดนของชาติตัวเองออกไปถึงระดับภูมิภาคและโลกได้ในโครงข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองการทหารแบบโลกาภิวัตน์ เช่น อัฟกานิสถาน -->การก่อการร้ายและยาเสพติด, ปากีสถานและเกาหลีเหนือ -->ระเบิดนิวเคลียร์, พม่า -->ผู้ลี้ภัยสงครามและยาเสพติด เป็นต้น
มันจึงเป็นที่สนใจของรัฐบาลมหาอำนาจอเมริกันและพันธมิตรตะวันตก, องค์การระหว่างประเทศ, บรรษัทข้ามชาติ, นักลงทุน, หน่วยงานองค์กรให้ความช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เป็นต้นมา เหล่านี้ส่งผลให้มีการเปิดศูนย์ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหานี้และจัดอันดับรัฐล้มเหลวทั่วโลกประจำปีกันหลายสำนัก อาทิ: -
-โครงการจัดทำ The Failed States Index ของนิตยสาร Foreign Policy ร่วมกับ The Fund for Peace ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "Failed States Index Scores 2010" ได้ที่ www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=452&Itemid=900)
-Political Instability Task Force/State Failure project ของ The Center for Systemic Peace (CSP) ร่วมกับ The Center for Global Policy ณ George Mason University ในสหรัฐอเมริกา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "State Fragility Index and Matrix 2009" ได้ที่ www.systemicpeace.org/SFImatrix2009c.pdf )
-The Failed and Fragile States project ของ Country Indicators for Foreign Policy (CIFP) และ The Norman Paterson School of International Affairs (NPSIA) แห่ง Carleton University ประเทศแคนาดา (ดูผลสำรวจปีล่าสุด "2008/2009 Country Indicators for Foreign Policy Fragile States Index" ได้ที่ www.carleton.ca/cifp/app/serve.php/1242.pdf)
-The Crisis State Research Centre (CSRC) ตั้งอยู่ที่ Development Studies Institute ณ London School of Economics and Political Science (LSE) กรุงลอนดอน และได้ทุนอุดหนุนจาก UKaid, Department of International Development ของรัฐบาลอังกฤษ (ดูงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาความเปราะบางและล้มเหลวของรัฐต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้ และละตินอเมริกา ได้ที่ www.crisisstates.com/) เป็นต้น
ในบรรดาเอกสารวิจัยรัฐล้มเหลวเบื้องต้นที่สำนักเหล่านี้เผยแพร่ ชิ้นที่สะดุดตาน่าสนใจและอ่านแล้วชวนคิดเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ในเมืองไทยอย่างยิ่งคือชิ้นที่ชื่อ "Crisis, Fragile and Failed States: Definitions used by the CSRC" (รัฐในวิกฤต, เปราะบางและล้มเหลว: คำนิยามที่ศูนย์วิจัยรัฐในวิกฤตใช้ www.crisisstates.com/download/drc/FailedState.pdf)
ซึ่งผมขอนำมาเล่าต่อดังนี้: -
ชุดคำนิยามของ CSRC ซึ่งเป็นผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2006 ที่กรุงลอนดอน แบ่งประเภทรัฐที่ประสบปัญหาเสื่อมทรุดอ่อนแอออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1.รัฐเปราะบาง (fragile state)--> 2.รัฐในวิกฤต (crisis state) และ--> 3.รัฐล้มเหลว (failed state) โดยนิยามลักษณะอาการทั่วไปของรัฐแต่ละประเภทไว้ดังนี้: -
1) รัฐเปราะบาง (หรือนัยหนึ่งรัฐที่ซุกระเบิดเวลาไว้ในโครงสร้างสถาบันของรัฐเอง)
-หมายถึงรัฐซึ่งระบบย่อยต่างๆ ของมันง่ายที่จะประสบวิกฤตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเปราะบางต่ออาการช็อคภายในและภายนอก รวมทั้งความขัดแย้งในประเทศและระดับสากล
-ปมเงื่อนใจกลางของอาการเปราะบางคือการจัดระเบียบสถาบันของรัฐดังที่เป็นอยู่นั้นทรงไว้หรืออาจกระทั่งสงวนรักษาไว้ซึ่งเงื่อนไขที่จะนำไปสู่วิกฤต กล่าวคือ: -
-สถาบันเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังที่เป็นอยู่ ไปสกัดขัดขวางจนเศรษฐกิจโตช้าหรือชะงักงัน, หรือทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งในแง่ทรัพย์สินและการเข้าถึงที่ดินหรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น
-สถาบันสังคมทรงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งหรือปิดกั้นตีบตันจนชาวบ้านเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพหรือการศึกษา
-สถาบันการเมืองยึดหยั่งกลุ่มแนวร่วมที่กุมอำนาจให้สืบทอดอำนาจต่อโดยกีดกันกลุ่มอื่นออกไป (ไม่ว่าจะกีดกันบนฐานชาติพันธุ์, ศาสนาหรือภูมิภาคก็ตามที), หรือทำให้การเมืองแบ่งแยกแตกฝ่ายแยกขั้วสุดโต่ง, หรือทำให้หน่วยงานความมั่นคงแตกแยกเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
-การจัดระเบียบสถาบันตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเปราะบางต่อการถูกท้าทายโดยระบบสถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบสถาบันที่มาจากสิทธิอำนาจตามประเพณีแต่เดิม, บรรดาชุมชนที่ตกอยู่ใต้แรงกดดันโดยรัฐไม่ใส่ใจดูแล, พวกขุนศึก, หรือนายหน้าอำนาจนอกภาครัฐอื่นใด
-ตัวแบบที่ตรงข้ามกับรัฐเปราะบางคือ "รัฐมั่นคง" ที่ซึ่งการจัดระเบียบสถาบันกระแสหลักหรือตามกฎหมายดูจะสามารถทนทานอาการช็อคภายในและภายนอก ส่วนการแข็งข้อต่อต้านก็ยังคงอยู่ในกรอบระเบียบสถาบันที่ปกครองอยู่
2) รัฐในวิกฤต (หรือรัฐที่โดนระเบิดตูมจนทรุดตัว ทำท่าจะล่มมิล่มแหล่)
-หมายถึงรัฐที่อยู่ใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วง สถาบันปกครองเผชิญการแข็งข้อต่อต้านอย่างร้ายแรงและอาจหมดปัญญาความสามารถที่จะจัดการความขัดแย้งและอาการช็อคเหล่านั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งรัฐตกอยู่ในอันตรายที่จะล่มสลายนั่นเอง
-พึงเข้าใจว่าภาวะวิกฤตของรัฐไม่ใช่สภาวะสัมบูรณ์ หากเกิดขึ้น ณ จังหวะเวลาหนึ่ง ฉะนั้น รัฐจึงอาจเข้าสู่ "ภาวะวิกฤต" แล้วฟื้นตัวกลับคืนมาได้, หรืออาจตกอยู่ในวิกฤตค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน, หรืออาจกระทั่งเสื่อมทรุดและล่มสลายไปเลยก็เป็นได้เช่นกัน
-กระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การก่อตัวของรัฐใหม่, หรือสงครามและจลาจล, หรือการสร้างเสริมระบอบเก่าให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
-อาจเกิดวิกฤตเฉพาะส่วนในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตโรคเอดส์, บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย, วิกฤตรัฐธรรมนูญ เป็นต้น แม้วิกฤตเฉพาะส่วนเหล่านี้โดยตัวมันเองอาจไม่ถึงกับก่อให้เกิดภาวะวิกฤตของรัฐโดยทั่วไป แต่ถ้ามันหนักข้อรุนแรงถึงขนาดหรือเรื้อรังยาวนานออกไปก็อาจทำให้รัฐทั้งรัฐตกอยู่ในวิกฤตทั่วไปได้
-ตัวแบบตรงข้ามกับรัฐในวิกฤตคือ "รัฐคืนสภาพ" ที่ซึ่งโดยทั่วไปสถาบันทั้งหลายสามารถรับมือความขัดแย้ง, จัดการวิกฤตในระบบย่อยต่างๆ ของรัฐ, ตอบโต้การแข็งข้อต่อต้าน ฯลฯ นับเป็นสถานะที่อยู่ในช่วงกลางระหว่างรัฐเปราะบางกับรัฐมั่นคง
3) รัฐล้มเหลว (หรือรัฐล่มสลายนั่นเอง)
-หมายถึงรัฐที่ไม่สามารถทำหน้าที่พื้นฐานด้านรักษาความมั่นคงและพัฒนาประเทศอีกต่อไป, ไม่อาจควบคุมอาณาดินแดนและพรมแดนอย่างมีประสิทธิผล, และไม่สามารถผลิตซ้ำเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่ของตัวมันเองได้-ซึ่งแตกต่างจากรัฐที่เพียงแค่ทำหน้าที่แย่เท่านั้น
-ตัวแบบตรงข้ามของรัฐล้มเหลว ได้แก่ "รัฐทนทาน" อย่างไรก็ตาม การจะขีดลากเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างรัฐสองแบบนี้ว่าอยู่ตรงไหน? หมดสภาพ "รัฐทนทาน" เมื่อไหร่?เริ่มกลายเป็นรัฐล้มเหลว ณ จุดใดกันแน่? นั้นยากจะทำได้ เพราะแม้ในรัฐล้มเหลว ก็อาจมีเชื้อมูลบางอย่างของรัฐดำรงอยู่ต่อไป เช่น องค์กรรัฐในระดับท้องถิ่น เป็นต้น
-สรุปเป็นอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของรัฐได้ว่า: [รัฐมั่นคง<-- -->รัฐคืนสภาพ<-- -->รัฐเปราะบาง<-- -->รัฐในวิกฤต<-- -->รัฐทนทาน<-- -->รัฐล้มเหลว]
-ในความหมายนี้ จึงรัดกุมกว่าที่จะบรรยายสภาพอาการโดยรวมของรัฐที่อาจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ผ่านภาวะต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นว่า "รัฐที่กำลังล้มเหลว" (failing states) แทน
ส่วนสมุฏฐานของอาการรัฐเปราะบาง-ล้มเหลวดังกล่าวนั้น Dr.JonathanDi John อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองสังกัด Department of Development Studies, School of Oriental and African Studies (SOAS), University of London ได้วิพากษ์วิจารณ์งานศึกษาวิจัยเรื่องนี้ทั้งหลายที่ผ่านมาและสังเคราะห์เสนอขึ้นใหม่ว่ามันเกิดจากการมาประจวบพ้องพานกันของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ 5 ประการ ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา/ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งก่อความตึงเครียด/แรงกดดันสูง รัฐไหนประเทศใดรับมือจัดการไม่ไหวหรือไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมทรุดและอาจมีอันเป็นไป รัฐไหนประเทศใดรับมือได้ก็ทนทาน-คืนสภาพ-มั่นคงสืบไป ("Conceptualising the Causes and Consequences of Failed States: A Critical Review of the Literature", Crisis State Research Centre, LSE, 2008) ได้แก่: -
1) การก่อตัวของรัฐสมัยใหม่
กรณีไทยเราเริ่มต้นจากการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามมาด้วยการปฏิวัติ/รัฐประหาร/ปฏิรูปการเมือง (เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจ) และปรับแต่งระบบบริหารราชการครั้งต่างๆ ล่าสุดคือการปฏิรูปการเมืองในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซึ่งยังคงส่งผลสะท้อนทั้งด้านตรง/ด้านกลับ (กระแสปฏิปักษ์ปฏิรูปและต่อต้านประชาธิปไตย, เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง) จนถึงปัจจุบัน
2) การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมทีหลัง
แก่นของเรื่องคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทุนนิยมในประเทศล้าหลังผ่านการเติบโตอย่างไม่สมดุล (unbalanced growth) โดยรัฐวางนโยบายเจืออคติเลือกทุ่มทรัพยากรส่งเสริมเอื้อเฟื้อเศรษฐกิจบางภาคส่วน (อุตสาหกรรม-บริการภาคเมือง-ส่งออก) ด้วยการเอาเปรียบเศรษฐกิจภาคส่วนอื่น (เกษตรกรรม-ชนบท-ตลาดในประเทศ),
โยกย้ายส่วนเกินทางเศรษฐกิจผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมจากภาคส่วนอื่นมายังภาคส่วนเป้าหมาย (กดราคาพืชผล, กดค่าจ้างแรงงาน, ลดภาษีและค่าสาธารณูปโภคเพื่อส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ)
ผลักดันให้เศรษฐกิจภาคส่วนเป้าหมายเติบโตก่อน, เพื่อสร้างชนชั้นนายทุนผู้ประกอบการที่มั่งคั่งขึ้นมาบุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้ข้ออ้างความเชื่อว่าความเจริญเติบโตก่อนในภาคส่วน-ชนชั้นเป้าหมายจะ "หยาดลงมาเอง" (trickle-down effect) สู่ภาคส่วน-ชนชั้นอื่นให้พลอยเจริญเติบโตกระเตื้องตามไปด้วยภายหลังในที่สุด
3) การสะสมทุนขั้นปฐม
ปัญหาคือการสะสมทุนขั้นปฐมผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมนั้น สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นมากระหว่างภาคส่วนและชนชั้นต่างๆ
มันเกิดขึ้นเพราะนโยบายเจืออคติของรัฐ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ, อีกทั้งไม่แน่ว่าประชาชนโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เสียเปรียบจะสมัครใจขานรับสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
การเดินนโยบายเลือกภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบ/ชนะ/ร่ำรวยก่อนทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงทำให้รัฐเข้าไปเกี่ยวพันกับความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองอย่างมิอาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่การต่อสู้เรียกร้องกดดันนโยบายกระจายรายได้-สวัสดิการสังคมจากภาครัฐโดยประชาชนผู้เสียเปรียบมิอาจทำได้อย่างเสรี และการ "หยาดลงมาเอง" ต้องหวังพึ่งแต่ความกรุณาปรานี-บริจาคการกุศล-สังคมสงเคราะห์จากภาคส่วน-ชนชั้นผู้ได้เปรียบไปก่อนแล้วเท่านั้น
4) เจ้าหน้าที่รัฐ/นักการเมืองกินบ้านกินเมืองและเรียกเก็บค่าเช่าเศรษฐกิจแล้วหว่านแจกชุบเลี้ยงพรรคพวกบริวารเพื่อกุมอำนาจอิทธิพล (patrimonial rent deployment)
5) เส้นสายอุปถัมภ์หรือการทุจริตติดสินบนเป็นกลไกหลักที่สังคมใช้ในการส่งอิทธิพลต่อรัฐ
(สองประการหลังนี้เมืองไทยเรารู้จักคุ้นเคยดี ป่วยการอธิบาย)
************************************************************
สัมปทานพิสดาร ลานจอดรถฉาวสุวรรณภูมิ เลือก "บ.ปาร์คกิ้ง" ชูธุรกิจค้าอาวุธร่วมวง
สัมปทานซับซ้อนพื้นที่ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ทำสัญญากับ "บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด" บริเวณอาคารเอและบี (ลานจอดรถปัจจุบัน) ขนาด 160,000 ตารางเมตร เป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 เมื่อตรวจสอบเอกสารพบเงื่อนงำพิสดารมากมายและหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต หากรัฐยังปล่อยไว้เช่นนี้จะยิ่งกระทบรายได้และภาพลักษณ์ สนามบินนานาชาติของประเทศที่ตั้งเป้า ติด 1 ใน 5 ของโลก
ท่ามกลางปัญหาของหน่วยงานได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ?
เมื่อ ทอท.เปลี่ยนแผนหารายได้พื้นที่ลานจอดรถสุวรรณภูมิ จากเดิมดำเนินการเองไปให้สัมปทานเอกชนทำ แบ่งผลประโยชน์ตามสัญญา เมื่อ 21 เมษายน 2553 ให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผู้รับสิทธิ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดหลักเกณฑ์และสิทธิการพิจารณาข้อเสนอค่าตอบแทน ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ได้รับอนุญาตจะต้อง "ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน" แก่ ทอท.อัตราร้อยละ 75 ของยอดรายได้ต่อเดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำ (minimum guarantee) 15.5 ล้านบาท/เดือน
"หมวดการทำสัญญา" ให้วางหลักประกันสัญญา ส่วนที่ 1 ค่าตอบแทน รายได้เป็นเงิน 6 เท่า ของเงินค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 หรือประมาณ 120 ล้านบาท วิธีชำระค่าตอบแทนให้นำส่ง ทอท.ทุกเดือนภายในวันที่ 7 ของเดือน ถัดไป หากล่าช้าจะคิดดอกเบี้ยปรับร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือน ส่วนที่ 2 หลักประกันค่าเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นเงิน 4 เท่า ของค่าเช่ารายเดือน หรือประมาณ 19.2 ล้านบาท
ตรวจสอบเอกสารสัญญาระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด และหนังสือร้องเรียนของนายเกษม วงษ์สมศรี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท. กรณีผลกระทบรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากสัมปทานบริหาร ลานจอดรถสุวรรณภูมิ (ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบคำร้องทุกข์ของนายธนกฤต เจตกิตติโชค ซึ่งอ้างเป็นกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 กล่าวโทษนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ และ นางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ เพื่อให้ลงโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่)
ก่อน ทอท.ลงนามกับกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เมื่อ 29 เมษายน 2553 มีหลักฐานปรากฏในเอกสาร ทอท. 16540 ลงเวลา 15.28 น. รับเรื่อง : ขอทักท้วงคัดค้านการลงนาม ตามสัญญาเข้าบริหารจัดการอาคารและลานจอดรถผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียน : กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อ้างถึง : หนังสือแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาการทำสัญญาอนุญาตของ ทอท.ที่ 356/2553 ลงวันที่ 21 เมษายน 2553 (ดูจากสำเนากราฟิก) คัดค้านโดย "นายธรรศ พจประพันธ์" ผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอื่น อีกหนึ่งคนของ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด
หนังสือทักท้วงคัดค้านให้ ทอท.ลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถได้ระบุชัดว่า สำเนาการขอจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจมีข้อมูลอันเป็นเท็จ ลายมือชื่อปลอม ลงวันที่ 12 เมษายน และ 23 เมษายน 2553 จึงได้แนบหนังสือขอเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ดังกล่าวของ สน.บางพลัด ตามคดีอาญาที่ 511-2553 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 มาไว้ด้วย
เอกสารทั้งหมดนั้น "นายธรรศ พจนประพันธ์" ผู้มีอำนาจลงนามใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ต้องการให้ผู้บริหาร ทอท.หยุดการลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิไว้ก่อน เพื่อรอคำสั่งและการพิสูจน์จากสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต่อมาเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ส่งหนังสือยืนยันถึงนายธรรศและนายธนกฤตนำไปแสดงต่อ ทอท.เรื่องแจ้งคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ตามคำขอ และหากจะมีผู้อุทธรณ์ต้องทำภายใน 15 วัน (จนถึงบัดนี้ยังไม่มีอุทธรณ์)
ผลปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ไม่ได้ฟัง คำค้านของนายธรรศ กรรมการบริษัทนี้มาตั้งแต่ต้น กลับเดินหน้าทำสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เข้าทำสัมปทานเมื่อ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา และมีปัญหาลุกลามบานปลายมาถึงวันนี้
จากการตรวจสอบคุณสมบัติที่กำหนด ในทีโออาร์ ทอท.ระบุผู้ชนะประมูลต้องมีประสบการณ์บริหารลานจอดรถไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่ในทางปฏิบัติจริงกลุ่มเก่า 2 บริษัท คือ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด ของนายธนกฤติ เจตกิตติโชค กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด ของนายชุมพล ญาณวินิจฉัย ไปยื่นจดทะเบียนใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพิ่มกรรมการใหม่อีก 1 คน คือนายธรรศ พจนประพันธ์ เป็นผู้มีอำนาจลงนามคนแรกและยื่นคัดค้านการทำสัญญาทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบเอกสารยื่นจดทะเบียนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ที่แนบมาพร้อมกันขณะยื่นประมูลงาน ทอท. ตั้งแต่ 7 เมษายน 2553 แจ้งดำเนินธุรกิจ 90 รายการ ในจำนวนนี้ได้ระบุ ประกอบกิจการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ จำหน่ายรถถัง รถหุ้มเกราะ ยานยนต์หุ้มเกราะ รถตีนตะขาบ ยานพาหนะที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด และกิจการขนส่ง-ขนถ่ายสินค้า คนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับบริการของออกจากท่าเรือตามพิธีศุลกากร และจัดระวาง การขนส่งทุกชนิด
รวมไปถึงกิจการนำเที่ยว ตัดผม แต่งผม เสริมสวย ตัดเย็บ ซักรีดเสื้อผ้า โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลรักษาคนไข้และผู้ป่วยเจ็บ จัดพิมพ์และ เผยแพร่สถิติ ข้อมูลทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การเงิน การตลาด รับทำและซ่อมแซมรถยนต์ หุ้มเกราะ รถที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด
เรื่องราวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" ที่ ทอท.อนุมัติให้บริษัท ซึ่งแจ้งมีวัตถุประสงค์จะดำเนินธุรกิจจำหน่ายยุทโธปกรณ์ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด เรื่อยไปจนถึงกิจการขนาดเล็กมากมายนั้น เหตุใด ทอท.จึงยินยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ทั้ง ๆ ที่คู่สัญญาปฏิบัติ ผิดเงื่อนไขทีโออาร์แทบทั้งสิ้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*************************************************************************
ท่ามกลางปัญหาของหน่วยงานได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ?
เมื่อ ทอท.เปลี่ยนแผนหารายได้พื้นที่ลานจอดรถสุวรรณภูมิ จากเดิมดำเนินการเองไปให้สัมปทานเอกชนทำ แบ่งผลประโยชน์ตามสัญญา เมื่อ 21 เมษายน 2553 ให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผู้รับสิทธิ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดหลักเกณฑ์และสิทธิการพิจารณาข้อเสนอค่าตอบแทน ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ได้รับอนุญาตจะต้อง "ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน" แก่ ทอท.อัตราร้อยละ 75 ของยอดรายได้ต่อเดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำ (minimum guarantee) 15.5 ล้านบาท/เดือน
"หมวดการทำสัญญา" ให้วางหลักประกันสัญญา ส่วนที่ 1 ค่าตอบแทน รายได้เป็นเงิน 6 เท่า ของเงินค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 หรือประมาณ 120 ล้านบาท วิธีชำระค่าตอบแทนให้นำส่ง ทอท.ทุกเดือนภายในวันที่ 7 ของเดือน ถัดไป หากล่าช้าจะคิดดอกเบี้ยปรับร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือน ส่วนที่ 2 หลักประกันค่าเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นเงิน 4 เท่า ของค่าเช่ารายเดือน หรือประมาณ 19.2 ล้านบาท
ตรวจสอบเอกสารสัญญาระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด และหนังสือร้องเรียนของนายเกษม วงษ์สมศรี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท. กรณีผลกระทบรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากสัมปทานบริหาร ลานจอดรถสุวรรณภูมิ (ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบคำร้องทุกข์ของนายธนกฤต เจตกิตติโชค ซึ่งอ้างเป็นกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 กล่าวโทษนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ และ นางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ เพื่อให้ลงโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่)
ก่อน ทอท.ลงนามกับกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เมื่อ 29 เมษายน 2553 มีหลักฐานปรากฏในเอกสาร ทอท. 16540 ลงเวลา 15.28 น. รับเรื่อง : ขอทักท้วงคัดค้านการลงนาม ตามสัญญาเข้าบริหารจัดการอาคารและลานจอดรถผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียน : กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อ้างถึง : หนังสือแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาการทำสัญญาอนุญาตของ ทอท.ที่ 356/2553 ลงวันที่ 21 เมษายน 2553 (ดูจากสำเนากราฟิก) คัดค้านโดย "นายธรรศ พจประพันธ์" ผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอื่น อีกหนึ่งคนของ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด
หนังสือทักท้วงคัดค้านให้ ทอท.ลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถได้ระบุชัดว่า สำเนาการขอจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจมีข้อมูลอันเป็นเท็จ ลายมือชื่อปลอม ลงวันที่ 12 เมษายน และ 23 เมษายน 2553 จึงได้แนบหนังสือขอเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ดังกล่าวของ สน.บางพลัด ตามคดีอาญาที่ 511-2553 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 มาไว้ด้วย
เอกสารทั้งหมดนั้น "นายธรรศ พจนประพันธ์" ผู้มีอำนาจลงนามใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ต้องการให้ผู้บริหาร ทอท.หยุดการลงนามสัญญาสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิไว้ก่อน เพื่อรอคำสั่งและการพิสูจน์จากสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต่อมาเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 นางพิมลวรรณ คชเดช ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ส่งหนังสือยืนยันถึงนายธรรศและนายธนกฤตนำไปแสดงต่อ ทอท.เรื่องแจ้งคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทะเบียนเลขที่ 0105553045168 ตามคำขอ และหากจะมีผู้อุทธรณ์ต้องทำภายใน 15 วัน (จนถึงบัดนี้ยังไม่มีอุทธรณ์)
ผลปรากฏว่าผู้บริหาร ทอท.ไม่ได้ฟัง คำค้านของนายธรรศ กรรมการบริษัทนี้มาตั้งแต่ต้น กลับเดินหน้าทำสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เข้าทำสัมปทานเมื่อ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา และมีปัญหาลุกลามบานปลายมาถึงวันนี้
จากการตรวจสอบคุณสมบัติที่กำหนด ในทีโออาร์ ทอท.ระบุผู้ชนะประมูลต้องมีประสบการณ์บริหารลานจอดรถไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่ในทางปฏิบัติจริงกลุ่มเก่า 2 บริษัท คือ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด ของนายธนกฤติ เจตกิตติโชค กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด ของนายชุมพล ญาณวินิจฉัย ไปยื่นจดทะเบียนใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพิ่มกรรมการใหม่อีก 1 คน คือนายธรรศ พจนประพันธ์ เป็นผู้มีอำนาจลงนามคนแรกและยื่นคัดค้านการทำสัญญาทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบเอกสารยื่นจดทะเบียนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ที่แนบมาพร้อมกันขณะยื่นประมูลงาน ทอท. ตั้งแต่ 7 เมษายน 2553 แจ้งดำเนินธุรกิจ 90 รายการ ในจำนวนนี้ได้ระบุ ประกอบกิจการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ จำหน่ายรถถัง รถหุ้มเกราะ ยานยนต์หุ้มเกราะ รถตีนตะขาบ ยานพาหนะที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด และกิจการขนส่ง-ขนถ่ายสินค้า คนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับบริการของออกจากท่าเรือตามพิธีศุลกากร และจัดระวาง การขนส่งทุกชนิด
รวมไปถึงกิจการนำเที่ยว ตัดผม แต่งผม เสริมสวย ตัดเย็บ ซักรีดเสื้อผ้า โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลรักษาคนไข้และผู้ป่วยเจ็บ จัดพิมพ์และ เผยแพร่สถิติ ข้อมูลทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การเงิน การตลาด รับทำและซ่อมแซมรถยนต์ หุ้มเกราะ รถที่ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด
เรื่องราวสัมปทาน "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" ที่ ทอท.อนุมัติให้บริษัท ซึ่งแจ้งมีวัตถุประสงค์จะดำเนินธุรกิจจำหน่ายยุทโธปกรณ์ใช้ในราชการสงครามทุกชนิด เรื่อยไปจนถึงกิจการขนาดเล็กมากมายนั้น เหตุใด ทอท.จึงยินยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ทั้ง ๆ ที่คู่สัญญาปฏิบัติ ผิดเงื่อนไขทีโออาร์แทบทั้งสิ้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*************************************************************************
ยุทธการปรับหัวหน้า "เพื่อไทย" "ทักษิณ" ล้มเลิกเกมถอย 5 ก้าว พับแผนเจรจาลับ-ปรองดองว่างเปล่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงโดดเด่น ท้าทาย ทุกขั้ว-ทุกค่ายอำนาจ
เพียงแค่ "ทักษิณ" ขยับเปิดเกมขอเจรจา เปิดทางถอย พบกันครึ่งทางจากทุกขั้ว-ทุกสี ก็เขย่ากระดานอำนาจ สั่นสะเทือน
อย่างน้อยกลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนการเมืองจากค่ายเพื่อไทย ก็ปั่นป่วนในเกมชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
อย่างมากทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ รับฟังการเปลี่ยนแปลง
อย่างน้อยก็ทำให้หัวขบวนอำนาจในกองทัพ สดับรับฟัง "ข้อความ" จาก "ทักษิณ" ผู้มีบารมีนอกประเทศ
ดังนั้น ทันทีที่มีสัญญาณ "ปรองดอง" การ "รับลูก" จากทุกฝ่ายก็ขานรับเป็นขบวน
ฝ่ายเพื่อไทยเกิดการ "เปลี่ยนหัว" ทันทีที่เกมเจรจาเริ่มต้นชั่วโมงแรก
ชื่อ "นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ" ถูกปรับออกแบบกะทันหัน พร้อม ๆ กับชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ถูกเสียบเข้ามาแทนที่
พร้อมแผนต่อเนื่องด้วยการเตรียมคนการเมืองเข้ามาประสานสิบทิศในตำแหน่งเลขาธิการพรรค
จากนั้นส่งผ่าน ผ่องถ่ายอำนาจบางส่วนจาก "คนสนิท" ของ "ทักษิณ" เข้าประจำการในคณะกรรมการที่ปรึกษา-ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำพรรค
และประสานการทำงานเชิงยุทธศาสตร์กับ "คณะ 30" ที่เป็นนักการเมืองกลุ่ม 111 และกลุ่ม 37 คน ร่วมกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากพรรคเพื่อไทย และองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" เซตระบบใหม่ทั้งหมด จบสิ้นทั้งขบวน
ไม้ต่อทางการเมืองจะถูกส่งไปที่ พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล เพื่อดำเนินการขยับเป็น "ข้อเสนอ" เพื่อพิจารณาแผน"ปรองดอง" ในคณะกรรมการ "กลาง" ที่มีการประสานงานไว้ล่วงหน้าแล้ว
"ผล" ของข้อเสนอที่ทำมาจาก "ร่างข้อตกลง" ระหว่างรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ-เสื้อแดง-พันธมิตรฯ ก็จะถูกพิจารณาโดยให้ทุกฝ่ายรับร่างข้อตกลงและ "ถอยคนละก้าว" สู่กระบวนการนิรโทษนักการเมืองกลุ่ม 111 และวางโรดแมปสู่การเลือกตั้ง
แต่เพียงชั่วข้ามคืน "แผน" ก็เปลี่ยน "เกม" ก็พลิกผัน
เมื่อจิตแท้ดั้งเดิมของ "ทักษิณ" ถูกกระทบกระทั่งจากกลุ่มนักการเมืองที่อาจเสียผลประโยชน์จาก "เกมปรองดอง"
ทันทีที่กลุ่ม ส.ส.ค่ายอีสานพัฒนา ในสังกัดกลุ่มอำนาจ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" และ ส.ส.ปากน้ำ-ปากดี ประชา ประสพดี เดินทางกลับจากกรุงมอสโก-รัสเซีย ถิ่นพำนักของ "ทักษิณ" เกมเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ก็พลิกกลางกระดาน
เส้นทางสู่แผนปรองดองที่มีความหวังเป็นรูปธรรม ไม่ราบรื่น และล้มครืนไม่เป็นท่า
ทุกแผน-ทุกโครงสร้างอำนาจ ถูกพับกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
1.ทักษิณ-กลับไปสู่โหมดเดิม คือ ไม่เจรจา ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ปรองดองกับฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน
2.รัฐบาล-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รับลูก ไม่เปิดทางสู่กระบวนการเจรจาและไม่พิจารณาข้อเสนอตามร่างข้อตกลงเดิมที่ต่างฝ่ายต่างถอยอย่างเป็นขั้นตอน
3.กองทัพ-ทหารที่เป็นระดับแกนนำใน 5 เสือ ต้องหยุดชะงัก หันหลังให้กับคนการเมืองที่เดินเกมการประสานเพื่อตั้งวงเจรจาอย่างเป็นทางการ
4.พรรคเพื่อไทย-เปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่กลับไปเป็น "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" คนเก่า พร้อมไม่มีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหาร
5.เสื้อแดง-แกนนำอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีความหวังจะได้ประกันตัว พร้อม กับพวกทั้งหมด ต้องอยู่ในกรงขังอย่างไร้ความหวังต่อไป
6.คณะกรรมการอิสระและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต้องชะลอการจัดวาระการประชุม 5 ฝ่าย ทั้งจากรัฐบาล-เสื้อแดง-พันธมิตร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทยและเครือข่าย ทักษิณ ออกไปก่อนอย่างไม่กำหนด
ทำให้แผนการปรองดองที่ส่อเค้าเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างประนีประนอม เพราะการถอย 5 ก้าว ของ "ทักษิณ" ต้องหยุดเกม กลับไปสู่ความ "ว่างเปล่า" อีกครั้ง
แม้เหตุผลที่ "หัวหน้าเก่า-ยงยุทธ" จะถูกอธิบายอย่างแข็งขันก่อนหน้าแผน ปรองดองจะเริ่มต้นว่า ต้องการ "ปูทาง" ไปสู่การเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่เส้นทางแห่ง "ความจงรัก-ภักดี"
แม้คำสั่งจากนายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงท้ายด้วยคำว่า "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย"
แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ...
ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อพิจารณาหัวหน้าและ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 14 กันยายน
ที่ทำการพรรค มีกำหนดการเดิม เพื่อรอต้อนรับการเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ตามโผเดิม ที่จะมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างพรรครองรับแผนปรองดอง
แต่เมื่อถึงเวลาตามนัด กลับไม่มีการปรากฏตัว พล.ต.อ.โกวิท ว่าที่ตัวแทน- เพื่อไทยลำดับที่ 5 ที่จะมารับไม้ต่อจาก "ยงยุทธ"
กรรมการบริหารพรรคบางคนตอบอย่างเก้อเขินว่า ความจริงแล้วก็ไม่มีใครยืนยันว่า พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่แรก
ขณะที่คนวงในของพรรคระดับอดีต บิ๊กสีกากี-คนสนิท "ทักษิณ" อธิบายปรากฏการณ์ "ล้มโกวิท-ล้มแผนปรองดอง" ว่า
"พล.ต.อ.โกวิท ปฏิเสธตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นักการเมืองทำกันเองดีกว่า เพราะโกวิทเคยร่วมงานการเมืองเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน แต่ไม่เคยร่วมงานเมื่อเป็นพรรคเพื่อไทย จะมาพลิกขึ้นเป็นหัวหน้าอาจไม่เหมาะสม"
กรรมการบริหารแถว 3 ทีม C ที่เป็น 1 ใน 13 คน คลำทาง-วิเคราะห์แผนลึกลับโกลาหล ครั้งนี้ว่า
"ในตอนแรกมีการตกลงกันแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทจะมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ เป็นปัจจัยภายนอกพรรค มากกว่าในพรรค และการเปิดชื่อ พล.ต.อ.โกวิทมาพร้อมกับข่าวการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อรองรับแผนปรองดอง นั่นหมายความว่า ทางพรรคเพื่อไทยมี ข้อยุติแล้วว่า ให้ พล.ต.อ.โกวิทขึ้นเป็นหัวหน้า"
หัวใจของการวิเคราะห์ของทุกขั้ว ทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย จดจ่ออยู่ที่ "ทักษิณ" คนที่ถือหุ้นส่วนอิทธิพลทางความคิด 100% ในพรรค
แกนนำในเพื่อไทย ฉุกคิด-พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ...
"อย่าลืมว่า พรรคนี้เป็นพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าทักษิณสั่งก็ไม่มีใครค้านอยู่แล้ว เพราะเงินก็เงินของทักษิณ และคนที่อยู่ในพรรคก็หวังใช้กระแสของทักษิณ กระแสเสื้อแดงในการหาเสียง ดังนั้น ถ้านายใหญ่โอเคแล้ว แม้คนในพรรคไม่เห็นด้วย ก็ไม่เห็นต้องฟัง"
เมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน โผไม่เป็น ไปตามโผ ข้อวิเคราะห์ที่พูดเมื่อไรก็ถูกใจคนฟังในพรรค คือ การโยนบาป ไปที่ "ผู้ใหญ่" ในบ้านเมือง
"สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท ไม่มาเป็นหัวหน้าพรรคนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะคนที่ใหญ่กว่า เขาไม่ต้องการให้ฝ่ายอื่นมาปรองดองกับพรรคเพื่อไทย และต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่ถึงขนาดสั่ง พล.ต.อ.โกวิทได้ จึงไม่ให้ พล.ต.อ.โกวิทมาทั้งที่เจ้าตัวตอบรับกับพรรคในตอนแรก แสดงว่า ผู้ใหญ่เขาไม่เอาแผนปรองดองและเราจะปรองดองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้"
ชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-คนใหม่ จึงกลายเป็นคนเก่า ที่ชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
ด้วยเหตุผลจากปาก ส.ส.บางส่วนที่ว่า "รองหัวหน้าพรรคบางคน ไม่เห็นหัว ส.ส. จึงไม่อยากเสี่ยงเลือกเข้ามาเป็นหัวหน้า"
แม้ว่าความจริง ยุทธศาสตร์ ยุทธการ ในการปรับหัวหน้าพรรค เปลี่ยน กรรมการบริหาร และเดินหน้าแผนปรองดองจะมาจากคำสั่ง "ทักษิณ" ทั้งหมด
แต่เมื่อเกมเปลี่ยน-พลิกผัน ก็พิสูจน์ว่าอิทธิพลของคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ยังสั่นไหวโสตประสาทของ "ทักษิณ" ให้เปลี่ยนแปลง-กลับไป-กลับมาได้
จากนี้ไป แผนปรองดองที่ถูกเสนอ จากปาก "ทักษิณ" อาจไม่มีใครเชื่อ...อีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************************
เพียงแค่ "ทักษิณ" ขยับเปิดเกมขอเจรจา เปิดทางถอย พบกันครึ่งทางจากทุกขั้ว-ทุกสี ก็เขย่ากระดานอำนาจ สั่นสะเทือน
อย่างน้อยกลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนการเมืองจากค่ายเพื่อไทย ก็ปั่นป่วนในเกมชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
อย่างมากทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ รับฟังการเปลี่ยนแปลง
อย่างน้อยก็ทำให้หัวขบวนอำนาจในกองทัพ สดับรับฟัง "ข้อความ" จาก "ทักษิณ" ผู้มีบารมีนอกประเทศ
ดังนั้น ทันทีที่มีสัญญาณ "ปรองดอง" การ "รับลูก" จากทุกฝ่ายก็ขานรับเป็นขบวน
ฝ่ายเพื่อไทยเกิดการ "เปลี่ยนหัว" ทันทีที่เกมเจรจาเริ่มต้นชั่วโมงแรก
ชื่อ "นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ" ถูกปรับออกแบบกะทันหัน พร้อม ๆ กับชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ถูกเสียบเข้ามาแทนที่
พร้อมแผนต่อเนื่องด้วยการเตรียมคนการเมืองเข้ามาประสานสิบทิศในตำแหน่งเลขาธิการพรรค
จากนั้นส่งผ่าน ผ่องถ่ายอำนาจบางส่วนจาก "คนสนิท" ของ "ทักษิณ" เข้าประจำการในคณะกรรมการที่ปรึกษา-ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำพรรค
และประสานการทำงานเชิงยุทธศาสตร์กับ "คณะ 30" ที่เป็นนักการเมืองกลุ่ม 111 และกลุ่ม 37 คน ร่วมกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
หลังจากพรรคเพื่อไทย และองคาพยพของ "ทักษิณและพวก" เซตระบบใหม่ทั้งหมด จบสิ้นทั้งขบวน
ไม้ต่อทางการเมืองจะถูกส่งไปที่ พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล เพื่อดำเนินการขยับเป็น "ข้อเสนอ" เพื่อพิจารณาแผน"ปรองดอง" ในคณะกรรมการ "กลาง" ที่มีการประสานงานไว้ล่วงหน้าแล้ว
"ผล" ของข้อเสนอที่ทำมาจาก "ร่างข้อตกลง" ระหว่างรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ-เสื้อแดง-พันธมิตรฯ ก็จะถูกพิจารณาโดยให้ทุกฝ่ายรับร่างข้อตกลงและ "ถอยคนละก้าว" สู่กระบวนการนิรโทษนักการเมืองกลุ่ม 111 และวางโรดแมปสู่การเลือกตั้ง
แต่เพียงชั่วข้ามคืน "แผน" ก็เปลี่ยน "เกม" ก็พลิกผัน
เมื่อจิตแท้ดั้งเดิมของ "ทักษิณ" ถูกกระทบกระทั่งจากกลุ่มนักการเมืองที่อาจเสียผลประโยชน์จาก "เกมปรองดอง"
ทันทีที่กลุ่ม ส.ส.ค่ายอีสานพัฒนา ในสังกัดกลุ่มอำนาจ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" และ ส.ส.ปากน้ำ-ปากดี ประชา ประสพดี เดินทางกลับจากกรุงมอสโก-รัสเซีย ถิ่นพำนักของ "ทักษิณ" เกมเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ก็พลิกกลางกระดาน
เส้นทางสู่แผนปรองดองที่มีความหวังเป็นรูปธรรม ไม่ราบรื่น และล้มครืนไม่เป็นท่า
ทุกแผน-ทุกโครงสร้างอำนาจ ถูกพับกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
1.ทักษิณ-กลับไปสู่โหมดเดิม คือ ไม่เจรจา ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ปรองดองกับฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน
2.รัฐบาล-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รับลูก ไม่เปิดทางสู่กระบวนการเจรจาและไม่พิจารณาข้อเสนอตามร่างข้อตกลงเดิมที่ต่างฝ่ายต่างถอยอย่างเป็นขั้นตอน
3.กองทัพ-ทหารที่เป็นระดับแกนนำใน 5 เสือ ต้องหยุดชะงัก หันหลังให้กับคนการเมืองที่เดินเกมการประสานเพื่อตั้งวงเจรจาอย่างเป็นทางการ
4.พรรคเพื่อไทย-เปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่กลับไปเป็น "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" คนเก่า พร้อมไม่มีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหาร
5.เสื้อแดง-แกนนำอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีความหวังจะได้ประกันตัว พร้อม กับพวกทั้งหมด ต้องอยู่ในกรงขังอย่างไร้ความหวังต่อไป
6.คณะกรรมการอิสระและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต้องชะลอการจัดวาระการประชุม 5 ฝ่าย ทั้งจากรัฐบาล-เสื้อแดง-พันธมิตร-กองทัพ-พรรคเพื่อไทยและเครือข่าย ทักษิณ ออกไปก่อนอย่างไม่กำหนด
ทำให้แผนการปรองดองที่ส่อเค้าเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างประนีประนอม เพราะการถอย 5 ก้าว ของ "ทักษิณ" ต้องหยุดเกม กลับไปสู่ความ "ว่างเปล่า" อีกครั้ง
แม้เหตุผลที่ "หัวหน้าเก่า-ยงยุทธ" จะถูกอธิบายอย่างแข็งขันก่อนหน้าแผน ปรองดองจะเริ่มต้นว่า ต้องการ "ปูทาง" ไปสู่การเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่เส้นทางแห่ง "ความจงรัก-ภักดี"
แม้คำสั่งจากนายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงท้ายด้วยคำว่า "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย"
แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ...
ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อพิจารณาหัวหน้าและ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 14 กันยายน
ที่ทำการพรรค มีกำหนดการเดิม เพื่อรอต้อนรับการเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ตามโผเดิม ที่จะมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างพรรครองรับแผนปรองดอง
แต่เมื่อถึงเวลาตามนัด กลับไม่มีการปรากฏตัว พล.ต.อ.โกวิท ว่าที่ตัวแทน- เพื่อไทยลำดับที่ 5 ที่จะมารับไม้ต่อจาก "ยงยุทธ"
กรรมการบริหารพรรคบางคนตอบอย่างเก้อเขินว่า ความจริงแล้วก็ไม่มีใครยืนยันว่า พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่แรก
ขณะที่คนวงในของพรรคระดับอดีต บิ๊กสีกากี-คนสนิท "ทักษิณ" อธิบายปรากฏการณ์ "ล้มโกวิท-ล้มแผนปรองดอง" ว่า
"พล.ต.อ.โกวิท ปฏิเสธตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นักการเมืองทำกันเองดีกว่า เพราะโกวิทเคยร่วมงานการเมืองเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน แต่ไม่เคยร่วมงานเมื่อเป็นพรรคเพื่อไทย จะมาพลิกขึ้นเป็นหัวหน้าอาจไม่เหมาะสม"
กรรมการบริหารแถว 3 ทีม C ที่เป็น 1 ใน 13 คน คลำทาง-วิเคราะห์แผนลึกลับโกลาหล ครั้งนี้ว่า
"ในตอนแรกมีการตกลงกันแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทจะมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ เป็นปัจจัยภายนอกพรรค มากกว่าในพรรค และการเปิดชื่อ พล.ต.อ.โกวิทมาพร้อมกับข่าวการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อรองรับแผนปรองดอง นั่นหมายความว่า ทางพรรคเพื่อไทยมี ข้อยุติแล้วว่า ให้ พล.ต.อ.โกวิทขึ้นเป็นหัวหน้า"
หัวใจของการวิเคราะห์ของทุกขั้ว ทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย จดจ่ออยู่ที่ "ทักษิณ" คนที่ถือหุ้นส่วนอิทธิพลทางความคิด 100% ในพรรค
แกนนำในเพื่อไทย ฉุกคิด-พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ...
"อย่าลืมว่า พรรคนี้เป็นพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าทักษิณสั่งก็ไม่มีใครค้านอยู่แล้ว เพราะเงินก็เงินของทักษิณ และคนที่อยู่ในพรรคก็หวังใช้กระแสของทักษิณ กระแสเสื้อแดงในการหาเสียง ดังนั้น ถ้านายใหญ่โอเคแล้ว แม้คนในพรรคไม่เห็นด้วย ก็ไม่เห็นต้องฟัง"
เมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน โผไม่เป็น ไปตามโผ ข้อวิเคราะห์ที่พูดเมื่อไรก็ถูกใจคนฟังในพรรค คือ การโยนบาป ไปที่ "ผู้ใหญ่" ในบ้านเมือง
"สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท ไม่มาเป็นหัวหน้าพรรคนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะคนที่ใหญ่กว่า เขาไม่ต้องการให้ฝ่ายอื่นมาปรองดองกับพรรคเพื่อไทย และต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่ถึงขนาดสั่ง พล.ต.อ.โกวิทได้ จึงไม่ให้ พล.ต.อ.โกวิทมาทั้งที่เจ้าตัวตอบรับกับพรรคในตอนแรก แสดงว่า ผู้ใหญ่เขาไม่เอาแผนปรองดองและเราจะปรองดองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้"
ชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-คนใหม่ จึงกลายเป็นคนเก่า ที่ชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
ด้วยเหตุผลจากปาก ส.ส.บางส่วนที่ว่า "รองหัวหน้าพรรคบางคน ไม่เห็นหัว ส.ส. จึงไม่อยากเสี่ยงเลือกเข้ามาเป็นหัวหน้า"
แม้ว่าความจริง ยุทธศาสตร์ ยุทธการ ในการปรับหัวหน้าพรรค เปลี่ยน กรรมการบริหาร และเดินหน้าแผนปรองดองจะมาจากคำสั่ง "ทักษิณ" ทั้งหมด
แต่เมื่อเกมเปลี่ยน-พลิกผัน ก็พิสูจน์ว่าอิทธิพลของคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ยังสั่นไหวโสตประสาทของ "ทักษิณ" ให้เปลี่ยนแปลง-กลับไป-กลับมาได้
จากนี้ไป แผนปรองดองที่ถูกเสนอ จากปาก "ทักษิณ" อาจไม่มีใครเชื่อ...อีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************************
แผน 5 แลก 5 "ชนะทั้งคู่" ซ่อนแผนหักดิบ "โกวิท-ยงยุทธ"
ประชาชาติธุรกิจ
เมื่อ "ทักษิณ" คาดการณ์ว่า เปลี่ยน "หัว" เพื่อไทย จาก "ยงยุทธ" เป็น "พล.ต.อ.โกวิท" แล้วจะ "ไม่ได้อะไร" แลกเปลี่ยน
เมื่อแผนที่ 5 ฝ่ายในโครงสร้างกระดานอำนาจพลิกแผนการเคลื่อนไหวที่ต้องการถอย 5 ก้าวแบบ "ไม่แพ้" ทั้ง 2 ฝ่ายต้องถูกพับ
ไม่มีการเปลี่ยนหัวหน้า-เลขาธิการพรรค
ไม่มีการเบิกตัว "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ออกจากคุกมาประชุมร่วมกับนายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ แกนนำพันธมิตร และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ไม่มีการประกันตัวคนเสื้อแดงออกจากคุกเพื่อ "วัดใจ" ไม่ให้เคลื่อนไหวแลกกับเกมการถอนประกันตัว
ไม่มีการพิจารณา "ร่างนิรโทษกรรม" ให้กับคนบ้านเลขที่ 111 ในช่วงสิ้นปี เตรียมพร้อมลงรับสมัครเลือกตั้งสมัยหน้า
ไม่มีการพิจารณาจัดทัพรับเลือกตั้ง
แนวโน้มของความเป็นพรรคเพื่อไทย จึงกลับไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง "แบบเดิม"
ต้นแบบที่-ทุกคำสั่งลงนามมาจากนอกประเทศ เป็นคำสั่งที่ "อ้างถึง" ทักษิณ ชินวัตร
แม้การขับเคลื่อนโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีความหมาย
แม้สัดส่วน ส.ส.ในกรรมการบริหาร จะมีตัวแทนจากทุกภาค ก็ไม่ได้สะท้อนความเป็น "ตัวแทน"
จึงมีความพยายามตั้งคณะกรรมการซ้อนขึ้นมาอีก 1 ชุด เรียกว่า "คณะสามสิบ" เพื่อรวบรวมกลุ่มนักการเมือง 111 และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน รวมกับตัวแทนจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยไว้เป็นกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง
แบ่งเป็น ส.ส.จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการประสานงานภาคต่าง ๆ อีก 15 คนเป็นตัวแทนจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาและผู้ทรง คุณวุฒิที่เป็นอดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน แกนนำพรรคเพื่อไทย
องค์ประกอบ "คณะ 30" ประกอบด้วย นายวราเทพ รัตนากร นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นต้น
ขับเคลื่อนควบคู่คณะกรรมการประสานภารกิจพรรคเพื่อไทย ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน
ภายใต้การบริหารจัดการจากพี่น้องในตระกูล "ชินวัตร" อาทิ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพายัพ ชินวัตร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท" จึงถูกตัดออกไปจากสารบบการปรองดอง เพราะปากคำ "ทักษิณ" ที่ถูกคณะ ส.ส.ที่ใกล้ชิด "อ้างถึง"
ความว่า "พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามชี้แจงว่า ควรจะให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกไป กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม มากกว่าที่ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เพราะอาจเกิดปัญหาขึ้นภายในพรรคตามมา หลังเกิดกระแสความไม่พอใจจากหลายกลุ่มในพรรค ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.โกวิท ก็มีข้อเสียในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ ไม่แน่ใจว่าทนแรงเสียดทานทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน"
ส.ส.กลุ่มปากน้ำ-อ้างว่า "มีคนมาพูดเรื่องนี้เยอะ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดความแตก แยกลุกลามออกไป สถานการณ์การเมืองวันนี้ จำเป็นต้องปรองดองทั้งในและนอกพรรค เพราะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว"
ข้อความ-คำพูดของ "ทักษิณ" ที่ถูก เผยแพร่ในพรรค ยังเพิ่มเติมสำทับว่า "ไม่ขัดข้อง หากใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค ขอให้พรรคเดินหน้าต่อได้ และช่วยทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง นายยงยุทธก็ยังทำงานได้ดีอยู่"
คำสั่ง-ทักษิณฝากผ่าน ส.ส.ที่เป็นพาหะข่าวบอกว่า "เป็นห่วงสถาบันและประเทศมากกว่าชีวิตของตัวเอง อยากเห็นความ ปรองดอง และพร้อมทำทุกอย่างให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมือง ให้ ส.ส.ทุกคนช่วยเดินหน้าสร้างความปรองดอง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็จะช่วยคิดนโยบายหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยไปช่วยเหลือประชาชน เพราะทนเห็นชาวบ้านเดือดร้อนไม่ได้"
คำสั่งที่เคยมีก่อนหน้านี้ 72 ชั่วโมง จากกลางกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ที่เคยบอกผ่านไปถึงรัฐบาล-กองทัพ ว่า 1.เปลี่ยนหัวหน้าพรรคที่สะท้อนภาพจงรักภักดี 2.ปรับโครงสร้างพรรค 3.สั่ง ส.ส.เพื่อไทยห้ามขึ้นเวที "ล้มเจ้า" 4.ลดบทบาทคนในตระกูล "ชินวัตร" 5.ห้ามปราม ส.ส.เสื้อแดง-จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดเคลื่อนไหว
แลกกับรัฐบาล-อภิสิทธิ์ที่ต้อง 1.แผนปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง 2.ตั้งวงเจรจากับ 5 ฝ่าย กองทัพ-รัฐบาล-พันธมิตร-เสื้อแดง-เพื่อไทย 3.จัดทำร่างข้อตกลงนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่ม 111 4.ร่วมร่างแผนเลือกตั้ง และ 5.ต่างฝ่ายต่างถอยไปอยู่ในที่ตั้ง
องค์คณะที่เจรจาบนโต๊ะกลางกรุงเทพฯ ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร- ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ตั้งต้น-เดินแผนปรองดองอย่างเป็นขั้นตอนตามกฎหมายถูกล้มโต๊ะข้ามโลก
ทุกความขัดแย้งทางการเมือง ยังดำรงอยู่ต่อไป "ทักษิณ" ยังเอื้อมมือที่มองเห็น เข้ามาจัดฉากในพรรคเพื่อไทยต่อไป
ทุกแผนปรองดองที่ถูกเตรียมปฏิบัติการ กลับไปสู่จุด set zero
*********************************************************************
เมื่อ "ทักษิณ" คาดการณ์ว่า เปลี่ยน "หัว" เพื่อไทย จาก "ยงยุทธ" เป็น "พล.ต.อ.โกวิท" แล้วจะ "ไม่ได้อะไร" แลกเปลี่ยน
เมื่อแผนที่ 5 ฝ่ายในโครงสร้างกระดานอำนาจพลิกแผนการเคลื่อนไหวที่ต้องการถอย 5 ก้าวแบบ "ไม่แพ้" ทั้ง 2 ฝ่ายต้องถูกพับ
ไม่มีการเปลี่ยนหัวหน้า-เลขาธิการพรรค
ไม่มีการเบิกตัว "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ออกจากคุกมาประชุมร่วมกับนายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ แกนนำพันธมิตร และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ไม่มีการประกันตัวคนเสื้อแดงออกจากคุกเพื่อ "วัดใจ" ไม่ให้เคลื่อนไหวแลกกับเกมการถอนประกันตัว
ไม่มีการพิจารณา "ร่างนิรโทษกรรม" ให้กับคนบ้านเลขที่ 111 ในช่วงสิ้นปี เตรียมพร้อมลงรับสมัครเลือกตั้งสมัยหน้า
ไม่มีการพิจารณาจัดทัพรับเลือกตั้ง
แนวโน้มของความเป็นพรรคเพื่อไทย จึงกลับไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง "แบบเดิม"
ต้นแบบที่-ทุกคำสั่งลงนามมาจากนอกประเทศ เป็นคำสั่งที่ "อ้างถึง" ทักษิณ ชินวัตร
แม้การขับเคลื่อนโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีความหมาย
แม้สัดส่วน ส.ส.ในกรรมการบริหาร จะมีตัวแทนจากทุกภาค ก็ไม่ได้สะท้อนความเป็น "ตัวแทน"
จึงมีความพยายามตั้งคณะกรรมการซ้อนขึ้นมาอีก 1 ชุด เรียกว่า "คณะสามสิบ" เพื่อรวบรวมกลุ่มนักการเมือง 111 และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน รวมกับตัวแทนจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยไว้เป็นกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง
แบ่งเป็น ส.ส.จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการประสานงานภาคต่าง ๆ อีก 15 คนเป็นตัวแทนจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาและผู้ทรง คุณวุฒิที่เป็นอดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน แกนนำพรรคเพื่อไทย
องค์ประกอบ "คณะ 30" ประกอบด้วย นายวราเทพ รัตนากร นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นต้น
ขับเคลื่อนควบคู่คณะกรรมการประสานภารกิจพรรคเพื่อไทย ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน
ภายใต้การบริหารจัดการจากพี่น้องในตระกูล "ชินวัตร" อาทิ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพายัพ ชินวัตร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ชื่อ "พล.ต.อ.โกวิท" จึงถูกตัดออกไปจากสารบบการปรองดอง เพราะปากคำ "ทักษิณ" ที่ถูกคณะ ส.ส.ที่ใกล้ชิด "อ้างถึง"
ความว่า "พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามชี้แจงว่า ควรจะให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกไป กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม มากกว่าที่ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เพราะอาจเกิดปัญหาขึ้นภายในพรรคตามมา หลังเกิดกระแสความไม่พอใจจากหลายกลุ่มในพรรค ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.โกวิท ก็มีข้อเสียในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ ไม่แน่ใจว่าทนแรงเสียดทานทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน"
ส.ส.กลุ่มปากน้ำ-อ้างว่า "มีคนมาพูดเรื่องนี้เยอะ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดความแตก แยกลุกลามออกไป สถานการณ์การเมืองวันนี้ จำเป็นต้องปรองดองทั้งในและนอกพรรค เพราะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว"
ข้อความ-คำพูดของ "ทักษิณ" ที่ถูก เผยแพร่ในพรรค ยังเพิ่มเติมสำทับว่า "ไม่ขัดข้อง หากใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค ขอให้พรรคเดินหน้าต่อได้ และช่วยทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง นายยงยุทธก็ยังทำงานได้ดีอยู่"
คำสั่ง-ทักษิณฝากผ่าน ส.ส.ที่เป็นพาหะข่าวบอกว่า "เป็นห่วงสถาบันและประเทศมากกว่าชีวิตของตัวเอง อยากเห็นความ ปรองดอง และพร้อมทำทุกอย่างให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมือง ให้ ส.ส.ทุกคนช่วยเดินหน้าสร้างความปรองดอง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็จะช่วยคิดนโยบายหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยไปช่วยเหลือประชาชน เพราะทนเห็นชาวบ้านเดือดร้อนไม่ได้"
คำสั่งที่เคยมีก่อนหน้านี้ 72 ชั่วโมง จากกลางกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ที่เคยบอกผ่านไปถึงรัฐบาล-กองทัพ ว่า 1.เปลี่ยนหัวหน้าพรรคที่สะท้อนภาพจงรักภักดี 2.ปรับโครงสร้างพรรค 3.สั่ง ส.ส.เพื่อไทยห้ามขึ้นเวที "ล้มเจ้า" 4.ลดบทบาทคนในตระกูล "ชินวัตร" 5.ห้ามปราม ส.ส.เสื้อแดง-จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดเคลื่อนไหว
แลกกับรัฐบาล-อภิสิทธิ์ที่ต้อง 1.แผนปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง 2.ตั้งวงเจรจากับ 5 ฝ่าย กองทัพ-รัฐบาล-พันธมิตร-เสื้อแดง-เพื่อไทย 3.จัดทำร่างข้อตกลงนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่ม 111 4.ร่วมร่างแผนเลือกตั้ง และ 5.ต่างฝ่ายต่างถอยไปอยู่ในที่ตั้ง
องค์คณะที่เจรจาบนโต๊ะกลางกรุงเทพฯ ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-พงศ์เทพ เทพกาญจนา-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร- ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ตั้งต้น-เดินแผนปรองดองอย่างเป็นขั้นตอนตามกฎหมายถูกล้มโต๊ะข้ามโลก
ทุกความขัดแย้งทางการเมือง ยังดำรงอยู่ต่อไป "ทักษิณ" ยังเอื้อมมือที่มองเห็น เข้ามาจัดฉากในพรรคเพื่อไทยต่อไป
ทุกแผนปรองดองที่ถูกเตรียมปฏิบัติการ กลับไปสู่จุด set zero
*********************************************************************
อาชญากรโลก
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
ถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนิ่งเฉยต่อการสูญเสียชีวิตของประชาชน 91 ศพ เหยื่อสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงไม่ได้แล้ว
หลังปล่อยให้คดีอืดอาดล่าช้ามานาน 4-5 เดือน
เมื่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม สำนักงานทนายความอัมเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลโลกให้สอบสวนเอาผิดนายกฯอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553
การยื่นฟ้องศาลโลกครั้งนี้ถูกมองจากฝ่ายรัฐบาลว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
เพราะนายโรเบิร์ตเป็นทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
มองว่าเป็นเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง
มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้
จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่าก็เป็นประเด็นหนึ่ง
แต่การนำคดี 91 ศพเข้าสู่กระบวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง
ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมและสมควรแล้ว
เพราะที่ผ่านมา กระบวนการตรวจสอบและสอบสวนในไทยเองไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับญาติพี่น้องของผู้สูญเสีย
ญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติ ทั้งนักข่าวญี่ปุ่นและอิตาลี ทวงถามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดจากรัฐบาลไทย
คำตอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กลับบอกแค่ว่าไม่มีความคืบหน้า
ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า!!
คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือคอป. ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาล และมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิต 91 ศพ
ก็กีดกันไม่ให้องค์กรนานาชาติเข้าร่วมตรวจสอบด้วย
องค์กรสิทธิมนุษยชนโลกและอีกหลายๆ องค์กรพยายามส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมสอบสวน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
ที่มองว่าเป็นการก้าวก่ายกิจกรรมภายในของไทย
ถึงเวลานี้จะกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเดินเกมดิสเครดิตรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้
เพราะว่ากันตามความจริงแล้ว ผู้ที่สูญเสียจากเหตุสลายม็อบก็เป็นคนเสื้อแดงเอง
คนเสื้อแดงยิ่งต้องการให้เกิดความโปร่งใส และให้ความจริงปรากฏ
ไม่ใช่การสอบเองเออเองแบบที่ดีเอสไอกำลังทำอยู่
เมื่อกระบวนการสอบสวนในไทย ไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้สูญเสีย ก็ต้องพึ่งพากระบวนการที่น่าเชื่อถือกว่า
ถ้ารัฐบาลคิดว่าไม่ใช่ต้นเหตุทำให้เกิดการสังหาร 91 ศพ นายกฯอภิสิทธิ์มั่นใจว่าไม่ใช่อาชญากร
ก็ควรปล่อยให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนศาลโลก
ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปขัดขวาง
นอกเสียจาก...?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ เหล็กใน
ถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนิ่งเฉยต่อการสูญเสียชีวิตของประชาชน 91 ศพ เหยื่อสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงไม่ได้แล้ว
หลังปล่อยให้คดีอืดอาดล่าช้ามานาน 4-5 เดือน
เมื่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม สำนักงานทนายความอัมเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลโลกให้สอบสวนเอาผิดนายกฯอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553
การยื่นฟ้องศาลโลกครั้งนี้ถูกมองจากฝ่ายรัฐบาลว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
เพราะนายโรเบิร์ตเป็นทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
มองว่าเป็นเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง
มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้
จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่าก็เป็นประเด็นหนึ่ง
แต่การนำคดี 91 ศพเข้าสู่กระบวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง
ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมและสมควรแล้ว
เพราะที่ผ่านมา กระบวนการตรวจสอบและสอบสวนในไทยเองไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับญาติพี่น้องของผู้สูญเสีย
ญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติ ทั้งนักข่าวญี่ปุ่นและอิตาลี ทวงถามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดจากรัฐบาลไทย
คำตอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กลับบอกแค่ว่าไม่มีความคืบหน้า
ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า!!
คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือคอป. ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาล และมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิต 91 ศพ
ก็กีดกันไม่ให้องค์กรนานาชาติเข้าร่วมตรวจสอบด้วย
องค์กรสิทธิมนุษยชนโลกและอีกหลายๆ องค์กรพยายามส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมสอบสวน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
ที่มองว่าเป็นการก้าวก่ายกิจกรรมภายในของไทย
ถึงเวลานี้จะกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเดินเกมดิสเครดิตรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้
เพราะว่ากันตามความจริงแล้ว ผู้ที่สูญเสียจากเหตุสลายม็อบก็เป็นคนเสื้อแดงเอง
คนเสื้อแดงยิ่งต้องการให้เกิดความโปร่งใส และให้ความจริงปรากฏ
ไม่ใช่การสอบเองเออเองแบบที่ดีเอสไอกำลังทำอยู่
เมื่อกระบวนการสอบสวนในไทย ไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้สูญเสีย ก็ต้องพึ่งพากระบวนการที่น่าเชื่อถือกว่า
ถ้ารัฐบาลคิดว่าไม่ใช่ต้นเหตุทำให้เกิดการสังหาร 91 ศพ นายกฯอภิสิทธิ์มั่นใจว่าไม่ใช่อาชญากร
ก็ควรปล่อยให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนศาลโลก
ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปขัดขวาง
นอกเสียจาก...?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
ชั่วฟ้า ดินสลาย
สถานการณ์ภายใต้เสื้อคลุม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ช่างแตกต่างจากภัยมืดกลางกรุงยิ่งนัก แตกต่างสุดขั้วราวฟ้ากับเหว ระเบิดในเมืองกรุงเรดาร์จะจับจ้องไปยังสถานที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการช่วงชิงอำนาจ แต่ระเบิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับไร้ซึ่งความปราณี..
ปราศจากความเมตตาและไม่มีตา..มันจึงดังสนั่นหวั่นไหวได้ทุกพื้นที่และทุกหย่อม หญ้า นั่นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมาตั้งแต่ปี 2547 หลังวาทกรรม “โจรกระจอก” ถูกเปล่ง ออกมาจากลมปากนักการเมือง
แต่จะว่าไปแล้ว คงไปโทษ “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เพียงผู้เดียวมันคงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะปัญหาที่สุดเขตด้ามขวานทอง มันดำรง อยู่บนการแบ่งเค้กของกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ผิดเพียง แต่ว่า การถอดสมการ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นไปใน เชิงพาณิชย์ คือมีการสลายขั้วผลประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใหม่
ส่งผลให้สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุ่งอินุงตุงนังมาจนเท่าทุกวันนี้ สดๆ ร้อนๆ บึ้ม 30 จุด ในห้วงแห่งเดือนรอมฎอน ร้อนฉ่าทวีคูณองศาเดือดขึ้นมาอย่างน่าใจหายยิ่ง!!!
เสียงระเบิดที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ อีก 4 อำเภอในสงขลา ทำไมถึงสะเทือน เลื่อนลั่นมาถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมร และทำไม หลายเหตุผล มากมายข้อสังเกต ถึงถูกยึดโยงเข้ากับการตัดสินใจของคนระดับบิ๊กในหอคอยงาช้าง
3 เงื่อนปมร้อนชนวนไฟใต้ถูกเชื่อมโยง เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง???
ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเหตุคุโชนมีสารตั้งต้นมาจากกรณีที่เจ้าพนักงานสอบสวนสั่ง ไม่ฟ้อง “สุทธิรักษ์ คงสุวรรณ” อดีตทหารพราน ที่ยิงกราดใส่ชาวบ้านขณะกำลัง ประกอบพิธีละหมาด ภายในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอปาแย ตายสิบ 10 ราย เจ็บอีกเพียบ
หลักฐานมีให้เห็นประจักษ์ชัดถนัดถนี่ มัดแน่นด้วย 3 คดีที่พ่วงเข้ามาเป็นพวงเดียว กัน สุดท้ายผู้ต้องหากลับอยู่รอดปลอดภัย มหกรรมล้างแค้นจึงเป็น 1 ในชนวนเหตุบึ้มป่วนใต้???
ปมร้อนที่สองถูกเชื่อมโยงไปถึงข้อเสนอของ “น.พ.ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส งดเว้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต่างจากการเหยียบตาปลาคน ในกองทัพแบบเต็มๆ และเต็มบาทา
และนั่นมันย่อมสอดคล้องคาบเกี่ยวกับงบประมาณปี 54 จำนวนมหึมาที่กำลังจะไหลลงใต้ แม้ข้อสังเกตนี้จะยังไม่สามารถจับมือใครดมได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่กรณีศึกษาเหตุระเบิดที่มักจะดังโครมครามก่อนเค้ก งบประมาณคลอด ล้วนสะท้อนนัยไว้อย่างน่าขบคิด ยิ่งหากมองในตรรกะระดับปฏิบัติการป่วนใต้มืออาชีพ ที่ส่วนใหญ่ช่วงเดือนรอมดอนจะไปแสวงบุญที่เมือง “มักกะห์” นั่นจึงกลายเป็นข้อสงสัยที่แหลมคมยิ่งนักว่า..
ไร้ซึ่งระดับแกนนำแล้วมันปูพรมบึ้มกัน ได้อย่างไรถึง 30 จุด???
ขมวดมาที่ปมร้อนสุดท้าย กรณีแต่งตั้ง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่าอัลรูไวลี่อย่าง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ท่ามกลางการคัดค้านของซาอุดีอาระเบีย เพราะหากลองต่อจิ๊กซอว์เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวแบบลับๆ ในโลกอาหรับ..
มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้เป็นแน่แท้!!!
ถอดสมการจาก 3 ปมร้อน หากสมมติฐานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง นั่นจะเท่ากับว่า ไฟฟอนที่สุมขอนอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งจากโจรตัวจริง โจรในเครื่องแบบ และนักการเมืองโลภ
เมื่อร่วมด้วยช่วยกันสหบาทาประชาชนตาดำๆ แบบบูรณาการกันได้ถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องอรรถาธิบายความอะไรมากมายว่ารอยเลือดและคราบน้ำตา ของคนในพื้นที่ จะยังคงอยู่คู่บ้านเมืองนี้ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปราศจากความเมตตาและไม่มีตา..มันจึงดังสนั่นหวั่นไหวได้ทุกพื้นที่และทุกหย่อม หญ้า นั่นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมาตั้งแต่ปี 2547 หลังวาทกรรม “โจรกระจอก” ถูกเปล่ง ออกมาจากลมปากนักการเมือง
แต่จะว่าไปแล้ว คงไปโทษ “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เพียงผู้เดียวมันคงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะปัญหาที่สุดเขตด้ามขวานทอง มันดำรง อยู่บนการแบ่งเค้กของกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ผิดเพียง แต่ว่า การถอดสมการ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นไปใน เชิงพาณิชย์ คือมีการสลายขั้วผลประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใหม่
ส่งผลให้สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุ่งอินุงตุงนังมาจนเท่าทุกวันนี้ สดๆ ร้อนๆ บึ้ม 30 จุด ในห้วงแห่งเดือนรอมฎอน ร้อนฉ่าทวีคูณองศาเดือดขึ้นมาอย่างน่าใจหายยิ่ง!!!
เสียงระเบิดที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ อีก 4 อำเภอในสงขลา ทำไมถึงสะเทือน เลื่อนลั่นมาถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมร และทำไม หลายเหตุผล มากมายข้อสังเกต ถึงถูกยึดโยงเข้ากับการตัดสินใจของคนระดับบิ๊กในหอคอยงาช้าง
3 เงื่อนปมร้อนชนวนไฟใต้ถูกเชื่อมโยง เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง???
ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเหตุคุโชนมีสารตั้งต้นมาจากกรณีที่เจ้าพนักงานสอบสวนสั่ง ไม่ฟ้อง “สุทธิรักษ์ คงสุวรรณ” อดีตทหารพราน ที่ยิงกราดใส่ชาวบ้านขณะกำลัง ประกอบพิธีละหมาด ภายในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอปาแย ตายสิบ 10 ราย เจ็บอีกเพียบ
หลักฐานมีให้เห็นประจักษ์ชัดถนัดถนี่ มัดแน่นด้วย 3 คดีที่พ่วงเข้ามาเป็นพวงเดียว กัน สุดท้ายผู้ต้องหากลับอยู่รอดปลอดภัย มหกรรมล้างแค้นจึงเป็น 1 ในชนวนเหตุบึ้มป่วนใต้???
ปมร้อนที่สองถูกเชื่อมโยงไปถึงข้อเสนอของ “น.พ.ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส งดเว้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต่างจากการเหยียบตาปลาคน ในกองทัพแบบเต็มๆ และเต็มบาทา
และนั่นมันย่อมสอดคล้องคาบเกี่ยวกับงบประมาณปี 54 จำนวนมหึมาที่กำลังจะไหลลงใต้ แม้ข้อสังเกตนี้จะยังไม่สามารถจับมือใครดมได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่กรณีศึกษาเหตุระเบิดที่มักจะดังโครมครามก่อนเค้ก งบประมาณคลอด ล้วนสะท้อนนัยไว้อย่างน่าขบคิด ยิ่งหากมองในตรรกะระดับปฏิบัติการป่วนใต้มืออาชีพ ที่ส่วนใหญ่ช่วงเดือนรอมดอนจะไปแสวงบุญที่เมือง “มักกะห์” นั่นจึงกลายเป็นข้อสงสัยที่แหลมคมยิ่งนักว่า..
ไร้ซึ่งระดับแกนนำแล้วมันปูพรมบึ้มกัน ได้อย่างไรถึง 30 จุด???
ขมวดมาที่ปมร้อนสุดท้าย กรณีแต่งตั้ง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่าอัลรูไวลี่อย่าง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ท่ามกลางการคัดค้านของซาอุดีอาระเบีย เพราะหากลองต่อจิ๊กซอว์เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวแบบลับๆ ในโลกอาหรับ..
มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้เป็นแน่แท้!!!
ถอดสมการจาก 3 ปมร้อน หากสมมติฐานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง นั่นจะเท่ากับว่า ไฟฟอนที่สุมขอนอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งจากโจรตัวจริง โจรในเครื่องแบบ และนักการเมืองโลภ
เมื่อร่วมด้วยช่วยกันสหบาทาประชาชนตาดำๆ แบบบูรณาการกันได้ถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องอรรถาธิบายความอะไรมากมายว่ารอยเลือดและคราบน้ำตา ของคนในพื้นที่ จะยังคงอยู่คู่บ้านเมืองนี้ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การก้าวลงบัลลังก์ของท่านอักขราทร
มติชนออนไลน์
10 ปีมาแล้วที่ดร.อักขราทร จุฬารัตน นั่งเป็นประธานศาลปกครองสูงสุด จากตึกเอ็มซิมแบงก์ย่านพหลโยธิน สู่"อาคารเอ็มไพร์"ย่านสาทร จนมาปักหลักเป็นศาลปกครองที่ยิ่งใหญ่อลังการบนถนนแจ้งวัฒนะ แต่อีกไม่นาน ประมุขศาลปกครองคนแรกของประเทศไทย จะก้าวลงจากบัลลังก์ ในวัย 70 ปี
เปิดทางให้ผู้สืบต่อ คือ "หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล" ขับเคลื่อนศาลปกครองต่อไป
เอาเข้าจริง ผมน่าจะเป็นนักข่าวที่เห็นเส้นทางของอาจารย์อักขราทร มายาวนานกว่านักข่าวคนอื่นๆ เพราะผมเรียนกฎหมายวิชา "นิติกรรม" กับอาจารย์หนุ่มจากอิตาลีเมื่อปี 2526
ดร.อักขราทร เล่าว่า สมัยเป็นหนุ่มต้องเลือกระหว่าง ไปเรียนที่อังกฤษ กับ อิตาลี ถ้าไปเรียนที่อังกฤษกลับมาก็เป็นแค่ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ จึงเลือกไปเรียนอิตาลี เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย นี่เป็นเหตุที่ผมได้ฟังเลกเชอร์ของอาจารย์อักขราทร ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ
เมื่อผมมาเป็นนักข่าว ผมก็ไปหาข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เดินเข้าออกอยู่ 2 ห้องคือ ห้องรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา "ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์" กับห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ดร.อักขราทร จุฬารัตน
ยังจำได้ว่า มองออกจากหน้าต่างห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมที่สวยที่สุด เชื่อว่า สวยกว่า มุมมองจากกรมการค้าภายใน และโรงแรมโอเรียนเต็ล
ตอนขับเคลื่อน"ศาลปกครอง" ผมเป็นเสียงหนึ่งที่เปิดพื้นที่ให้กับระบบศาลคู่ เพราะอยากเห็นศาลปกครองเกิดขึ้นในประเทศไทย จนคนในศาลเดี่ยวไม่ค่อยพอใจ
คนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของระบบศาลคู่ คือ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ แต่คนที่ได้เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดคือ ดร.อักขราทร
ผมคิดเอาเองว่า เส้นทางชีวิตจากอาจารย์สอนกฎหมาย มาสู่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และสูงสุดในตำแหน่งประมุขศาลปกครอง
ไม่ใช่แค่ กึ๋นอย่างเดียว แต่ต้องเป็น"โชควาสนา" อย่างแน่นอน ที่เดินทางมาในกาละและเทศะที่เหมาะสม ทำให้ไม่ต้องออกแรงมาก เหมือนคนอื่นๆ
หรืออย่าง ดร.โภคิน พลกุล รองประธานศาลปกครองสูงสุด แทนที่จะได้เป็นเบอร์หนึ่งก็กระโดดลงเล่นการเมือง โยนทิ้งอนาคตไปเสียอย่างนั้น
ผมถาม อาจารย์อักขราทร ว่า ครบ 70 ปีแล้ว อยากจะทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำ คำตอบคือ อยากเล่นเปียโน และเข้าครัวทำอาหาร เพราะซื้อตำราทำอาหารไว้เยอะมาก
"จะสนุกอะไร ไปยกร่างรัฐธรรมนูญกับอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ ไม่ดีกว่าหรือ " ผมถามอาจารย์อักขราทร เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
คำตอบคือ ไม่สนใจ เพราะต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญดีอย่างไร นักการเมืองมันไม่เอาก็เป็นแค่กระดาษ เสียเวลาเปล่า
ดร.อักขราทร เชื่อว่า โอกาสจะปฎิรูปการเมืองจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมี Stateman ที่เป็นคนดีและคนกล้า เท่านั้น กระโดดเข้ามาเขียนกติกาใหม่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับ ศ. ดร. อักขราทร
เพราะผมเองไม่เชื่อใน Stateman เพราะ Stateman ตัวเป็นๆ ที่ปลอดจากความโลภความหลง อัตตาส่วนตัว และปลอดจากพวกพ้อง
ผมไม่เคยเห็น และไม่คิดว่าในอนาคตจะมี Stateman โผล่ขึ้นมา เอาเวลาคิดเรื่อง Stateman ไปทำเรื่องอื่นดีกว่า
ผมเชื่อว่า สังคมไทยต้องเรียนรู้และผ่านบททดสอบประชาธิปไตยกันไปอย่างนี้แหละครับ จนกว่าจะแบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจกันลงตัวของทุกสถาบัน
และแม้ว่าจะต้องตายกันอีกเป็นเบือ ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ไม่มีทางลัด ไม่มี Stateman ไม่มี ปาฎิหารย์ อะไรทั้งสิ้น !!!
เช่นเดียวกับเรื่อง การทำหน้าที่ของสื่อ ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้กับท่านประมุขศาลปกครอง ท่านบอกว่า สื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง ขอให้มีจุดยืนที่ถูกต้องก็เพียงพอ
ผมค้านว่า ไม่ดีแน่ ถ้าสื่อไม่เป็นกลาง นำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว อันตรายที่สุด เพราะสื่อพวกนี้จะนำสังคมเข้ารกเข้าพงได้โดยง่าย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
" สู้ให้สื่อนำเสนอความจริงทั้งสองด้าน แล้วให้คนอ่าน ตัดสินใจเอาเองว่า จะเลือกเชื่อใครดีกว่ากัน ? " ผมบอกท่านไปอย่างนั้น
ผมเชื่อของผมเองว่า สื่อที่เสนอความจริงด้านเดียว แย่ยิ่งกว่า นักข่าวเขียนข่าวเท็จ เสียอีก เพราะเขียนข่าวเท็จ ชาวบ้านทั้งตลาดก็รู้ว่า มันโกหก
แต่สื่อพวกที่เสนอความจริง ด้านเดียว มันคือยาพิษ ดีๆ นี่เอง (ครับ) เสพข่าวเท็จโดยไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้ว ผมสัมภาษณ์ ท่านอักขราทร นับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่แล้วเห็นพ้องด้วยในหลักวิชาการและหลักกฎหมายทุกเรื่องทุกประเด็น
มีเพียงเรื่อง สื่อ กับ เรื่องตุลาการภิวัตน์ เท่านั้นเอง ที่ผมเห็นต่าง (ครับ)
แต่ทั้งหมด ผมฟันธงว่า ท่านเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่กราบไหว้ได้สนิทใจ (ครับ)
ทั้งในฐานะอาจารย์สอนกฎหมาย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และประมุขศาล .
ขุนสำราญภักดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
10 ปีมาแล้วที่ดร.อักขราทร จุฬารัตน นั่งเป็นประธานศาลปกครองสูงสุด จากตึกเอ็มซิมแบงก์ย่านพหลโยธิน สู่"อาคารเอ็มไพร์"ย่านสาทร จนมาปักหลักเป็นศาลปกครองที่ยิ่งใหญ่อลังการบนถนนแจ้งวัฒนะ แต่อีกไม่นาน ประมุขศาลปกครองคนแรกของประเทศไทย จะก้าวลงจากบัลลังก์ ในวัย 70 ปี
เปิดทางให้ผู้สืบต่อ คือ "หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล" ขับเคลื่อนศาลปกครองต่อไป
เอาเข้าจริง ผมน่าจะเป็นนักข่าวที่เห็นเส้นทางของอาจารย์อักขราทร มายาวนานกว่านักข่าวคนอื่นๆ เพราะผมเรียนกฎหมายวิชา "นิติกรรม" กับอาจารย์หนุ่มจากอิตาลีเมื่อปี 2526
ดร.อักขราทร เล่าว่า สมัยเป็นหนุ่มต้องเลือกระหว่าง ไปเรียนที่อังกฤษ กับ อิตาลี ถ้าไปเรียนที่อังกฤษกลับมาก็เป็นแค่ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ จึงเลือกไปเรียนอิตาลี เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย นี่เป็นเหตุที่ผมได้ฟังเลกเชอร์ของอาจารย์อักขราทร ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ
เมื่อผมมาเป็นนักข่าว ผมก็ไปหาข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เดินเข้าออกอยู่ 2 ห้องคือ ห้องรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา "ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์" กับห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ดร.อักขราทร จุฬารัตน
ยังจำได้ว่า มองออกจากหน้าต่างห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมที่สวยที่สุด เชื่อว่า สวยกว่า มุมมองจากกรมการค้าภายใน และโรงแรมโอเรียนเต็ล
ตอนขับเคลื่อน"ศาลปกครอง" ผมเป็นเสียงหนึ่งที่เปิดพื้นที่ให้กับระบบศาลคู่ เพราะอยากเห็นศาลปกครองเกิดขึ้นในประเทศไทย จนคนในศาลเดี่ยวไม่ค่อยพอใจ
คนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของระบบศาลคู่ คือ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ แต่คนที่ได้เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดคือ ดร.อักขราทร
ผมคิดเอาเองว่า เส้นทางชีวิตจากอาจารย์สอนกฎหมาย มาสู่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และสูงสุดในตำแหน่งประมุขศาลปกครอง
ไม่ใช่แค่ กึ๋นอย่างเดียว แต่ต้องเป็น"โชควาสนา" อย่างแน่นอน ที่เดินทางมาในกาละและเทศะที่เหมาะสม ทำให้ไม่ต้องออกแรงมาก เหมือนคนอื่นๆ
หรืออย่าง ดร.โภคิน พลกุล รองประธานศาลปกครองสูงสุด แทนที่จะได้เป็นเบอร์หนึ่งก็กระโดดลงเล่นการเมือง โยนทิ้งอนาคตไปเสียอย่างนั้น
ผมถาม อาจารย์อักขราทร ว่า ครบ 70 ปีแล้ว อยากจะทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำ คำตอบคือ อยากเล่นเปียโน และเข้าครัวทำอาหาร เพราะซื้อตำราทำอาหารไว้เยอะมาก
"จะสนุกอะไร ไปยกร่างรัฐธรรมนูญกับอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ ไม่ดีกว่าหรือ " ผมถามอาจารย์อักขราทร เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
คำตอบคือ ไม่สนใจ เพราะต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญดีอย่างไร นักการเมืองมันไม่เอาก็เป็นแค่กระดาษ เสียเวลาเปล่า
ดร.อักขราทร เชื่อว่า โอกาสจะปฎิรูปการเมืองจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมี Stateman ที่เป็นคนดีและคนกล้า เท่านั้น กระโดดเข้ามาเขียนกติกาใหม่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับ ศ. ดร. อักขราทร
เพราะผมเองไม่เชื่อใน Stateman เพราะ Stateman ตัวเป็นๆ ที่ปลอดจากความโลภความหลง อัตตาส่วนตัว และปลอดจากพวกพ้อง
ผมไม่เคยเห็น และไม่คิดว่าในอนาคตจะมี Stateman โผล่ขึ้นมา เอาเวลาคิดเรื่อง Stateman ไปทำเรื่องอื่นดีกว่า
ผมเชื่อว่า สังคมไทยต้องเรียนรู้และผ่านบททดสอบประชาธิปไตยกันไปอย่างนี้แหละครับ จนกว่าจะแบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจกันลงตัวของทุกสถาบัน
และแม้ว่าจะต้องตายกันอีกเป็นเบือ ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ไม่มีทางลัด ไม่มี Stateman ไม่มี ปาฎิหารย์ อะไรทั้งสิ้น !!!
เช่นเดียวกับเรื่อง การทำหน้าที่ของสื่อ ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้กับท่านประมุขศาลปกครอง ท่านบอกว่า สื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง ขอให้มีจุดยืนที่ถูกต้องก็เพียงพอ
ผมค้านว่า ไม่ดีแน่ ถ้าสื่อไม่เป็นกลาง นำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว อันตรายที่สุด เพราะสื่อพวกนี้จะนำสังคมเข้ารกเข้าพงได้โดยง่าย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
" สู้ให้สื่อนำเสนอความจริงทั้งสองด้าน แล้วให้คนอ่าน ตัดสินใจเอาเองว่า จะเลือกเชื่อใครดีกว่ากัน ? " ผมบอกท่านไปอย่างนั้น
ผมเชื่อของผมเองว่า สื่อที่เสนอความจริงด้านเดียว แย่ยิ่งกว่า นักข่าวเขียนข่าวเท็จ เสียอีก เพราะเขียนข่าวเท็จ ชาวบ้านทั้งตลาดก็รู้ว่า มันโกหก
แต่สื่อพวกที่เสนอความจริง ด้านเดียว มันคือยาพิษ ดีๆ นี่เอง (ครับ) เสพข่าวเท็จโดยไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้ว ผมสัมภาษณ์ ท่านอักขราทร นับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่แล้วเห็นพ้องด้วยในหลักวิชาการและหลักกฎหมายทุกเรื่องทุกประเด็น
มีเพียงเรื่อง สื่อ กับ เรื่องตุลาการภิวัตน์ เท่านั้นเอง ที่ผมเห็นต่าง (ครับ)
แต่ทั้งหมด ผมฟันธงว่า ท่านเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่กราบไหว้ได้สนิทใจ (ครับ)
ทั้งในฐานะอาจารย์สอนกฎหมาย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และประมุขศาล .
ขุนสำราญภักดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสื้อแดงเชิญ‘ป๋าเปรม’ฟังอภิปรายความเสียหายจากรัฐประหาร
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
เสื้อแดงคึกคักแยกจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” ในหลายพื้นที่ โดยมีจุดหลักอยู่ที่ราชประสงค์กับเชียงใหม่ เอ่ยปากเชิญ “ป๋าเปรม” ร่วมฟังการอภิปรายผลเสียจากการรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกมาจนถึงปัจจุบัน ยันชุมนุมสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง อธิบดีดีเอสไอสะกิดตำรวจมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชุมนุมเกิน 5 คนไม่ได้ ระบุวางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดอำนาจศาล เพราะแสดงออกถึงการต่อต้านคำสั่งคุมขังแกนนำ ผบช.น. ปูดกลุ่มชุดดำที่ผ่านมาฝึกยุทธวิธีเข้าฝังตัวใน กทม. เช่าคอนโดฯอยู่ใกล้บ้านนายกฯ เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย “จตุพร” เย้ยกุข่าว ย้ำคนเสื้อแดงไม่คิดฆ่าใคร รอกฎแห่งกรรมจัดการ
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และแนวร่วมคนเสื้อแดง แถลงจัดชุมนุมใหญ่ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร และครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” โดยงานจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. นี้
เชิญ “ป๋าเปรม” ฟังอภิปราย
“ในโอกาสนี้ผมขอเชิญชวน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะที่เคยให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองจนถึงทุกวันนี้เข้าร่วมฟังการปราศรัยด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศนี้หลังการรัฐประหาร” นายสมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงที่แยกกันจัดงานรำลึกหลายสถานที่จะชุมนุมอย่างสงบและสันติ ไม่มีอะไรต้องกังวลเรื่องความรุนแรงอย่างที่รัฐบาลพยายามสร้างข่าวอยู่ในตอนนี้
เสนอแนวคิดหลายข้อสร้างปรองดอง
นายสมยศยังเสนอแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองทุกคน ปฏิรูปศาลยุติธรรมให้เชื่อมโยงกับประชาชนและนำคณะลูกขุนมาใช้ปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เหลือ 5% จัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีมรดก ภาษีที่ดินเพื่อเอาภาษีจากคนรวยมาช่วยคนจน ปฏิรูปที่ดินโดยกระจายการถือครองที่ดิน ประกันรายได้ให้เกษตร และเพิ่มค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงาน
งานที่เชียงใหม่เริ่มตั้งแต่บ่ายโมง
สำหรับกำหนดการจัดงานที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. จะเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. โดยจะมีขบวนพาเหรดล้อเลียนการเมืองเดินไปรอบเมืองเชียงใหม่ เวลา 17.00-23.00 น. ปราศรัยที่สนามกีฬาเทศบาลเชียงใหม่ ผู้ร่วมปราศรัยบนเวที เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย การโฟนอินจากนายจรัล ดิษฐาอภิชัย นางดาริณี กฤติบุญญาลัย และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง
ผูกผ้าแดงแสนชิ้นที่ราชประสงค์
ส่วนกิจกรรมที่แยกราชประสงค์จะนำโดยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง จะจัดกิจกรรมผูกผ้าแดง 100,000 ชิ้นที่แยกราชประสงค์ ปล่อยลูกโป่งสีแดง และเขียนจดหมายถึงฟ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมยศในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณานิตยสารเรดเพาเวอร์ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และนายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิฯ กรณีรัฐบาลสั่งให้ตำรวจตรวจค้นบริษัทโกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง ซึ่งเป็นโรงพิมพ์รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดเพาเวอร์ และอายัดเครื่องพิมพ์ 11 เครื่อง รวมทั้งเข้าตรวจค้นบริษัทเค เค พับลิชชิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายนิตยสารเรดเพาเวอร์ โดยสั่งให้ยุติการจำหน่าย พร้อมสั่งปรับ 10,000 บาท
อัดรัฐบาลทำ 2 บริษัทเสียหาย
“การกระทำของรัฐบาลนอกจากจะใช้อำนาจคุกคามกันแล้ว ยังทำให้ทั้ง 2 บริษัทเดือดร้อนคิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพราะทั้ง2 บริษัทไม่ได้ทำธุรกิจกับนิตยสารเรดเพาเวอร์เท่านั้น จึงอยากให้กรรมการสิทธิฯพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทได้ทำธุรกิจต่อ หยุดยั้งพฤติกรรมลุแก่อำนาจของรัฐบาล หยุดการคุกคามสื่อเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน สิทธิการรับรู้ข่าวสาร สิทธิการประกอบอาชีพและธุรกิจ สิทธิการแสดงเสรีภาพและความคิดเห็นตามครรลองประชาธิปไตย” นายสมยศกล่าว
นางอมรากล่าวว่า จะรับเรื่องไว้พิจารณาตามกระบวนการ โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อไป
“สุเทพ” เซ็ง ส.ส. ปูดข่าวรุนแรง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แสดงความไม่พอใจกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดทำนองจะเกิดความรุนแรงในช่วงงานรำลึก 4 ปีรัฐประหาร โดยอาจมีการก่อวินาศกรรม ลอบสังหารบุคคลสำคัญ โดยระบุว่า การพูดที่ไม่ระมัดระวังทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล
ผู้สื่อขาวถามว่า ส.ส. อ้างข่าวจากหน่วยข่าวกรองรายงานในที่ประชุมพรรค นายสุเทพกล่าวว่า “ไม่ล่ะครับ ข่าวกรองไม่มีข่าวอย่างนี้”
ส่วนการดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ดูแลเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ต้องมีอะไรเป็นพิเศษ
วางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดศาล
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า การที่คนเสื้อแดงจะไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำ ปล่อยลูกโป่ง เขียนจดหมายถึงฟ้า เป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะแกนนำที่อยู่ในเรือนจำถูกคุมขังตามคำสั่งศาล การไปวางดอกไม้จึงเป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านศาล
“การเขียนจดหมายถึงฟ้าเป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะเรารู้ดีว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร ที่สำคัญตอนนี้ยังอยู่ในช่วงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ตำรวจต้องพิจารณาเรื่องนี้” นายธาริตกล่าว
มั่นใจคดี 91 ศพฟ้องศาลโลกไม่ได้
อธิบดีดีเอสไอยังกล่าวถึงกรณีนายจตุพรจะนำคดีสังหารผู้ชุมนุมฟ้องศาลโลกว่า หากดูตามกฎหมายคงฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องภายในประเทศที่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว
“ไม่ใช่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการกระทำอันเนื่องมาจากปัญหาเชื้อชาติ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฟ้องได้แน่นอน” นายธาริตกล่าว
พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวหลังการประชุมร่วมกับผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ว่าจะควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้ละเมิดกฎหมาย หากมีการกระทำอะไรเกินเลยต้องเข้าไปดูแล
ปูดชุดดำเช่าคอนโดฯใกล้บ้านนายกฯ
“มีรายงานเรื่องกลุ่มชายชุดดำเดินทางเข้ากรุงเทพฯแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ไปฝึกยุทธวิธีมาจากกัมพูชาและกำลังจะทำบางอย่าง ขณะนี้พบว่าคนกลุ่มนี้ไปเช่าคอนโดมิเนียมใกล้กับบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ซอยสุขุมวิท 31 จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตาเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขารู้ตัวเลยยุติเคลื่อนไหว แต่เราไม่ประมาทเด็ดขาด” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากการข่าวพบความเคลื่อนไหวของชายชุดดำ ทำให้มีการเพิ่มกำลังอารักขาความปลอดภัยที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีมากขึ้น
“จตุพร” ซัดกุข่าวลอบสังหาร
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ยืนยันว่า ในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีใครคิดสังหารนายกรัฐมนตรี หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แน่นอน
“เรื่องนี้เป็นการกุข่าวของตำรวจ พวกเราไม่คิดไปทำอะไรใคร เพราะจะรอดูกฎแห่งกรรม”
**********************************************************************
เสื้อแดงคึกคักแยกจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” ในหลายพื้นที่ โดยมีจุดหลักอยู่ที่ราชประสงค์กับเชียงใหม่ เอ่ยปากเชิญ “ป๋าเปรม” ร่วมฟังการอภิปรายผลเสียจากการรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกมาจนถึงปัจจุบัน ยันชุมนุมสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง อธิบดีดีเอสไอสะกิดตำรวจมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชุมนุมเกิน 5 คนไม่ได้ ระบุวางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดอำนาจศาล เพราะแสดงออกถึงการต่อต้านคำสั่งคุมขังแกนนำ ผบช.น. ปูดกลุ่มชุดดำที่ผ่านมาฝึกยุทธวิธีเข้าฝังตัวใน กทม. เช่าคอนโดฯอยู่ใกล้บ้านนายกฯ เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย “จตุพร” เย้ยกุข่าว ย้ำคนเสื้อแดงไม่คิดฆ่าใคร รอกฎแห่งกรรมจัดการ
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และแนวร่วมคนเสื้อแดง แถลงจัดชุมนุมใหญ่ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร และครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” โดยงานจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. นี้
เชิญ “ป๋าเปรม” ฟังอภิปราย
“ในโอกาสนี้ผมขอเชิญชวน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะที่เคยให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองจนถึงทุกวันนี้เข้าร่วมฟังการปราศรัยด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศนี้หลังการรัฐประหาร” นายสมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงที่แยกกันจัดงานรำลึกหลายสถานที่จะชุมนุมอย่างสงบและสันติ ไม่มีอะไรต้องกังวลเรื่องความรุนแรงอย่างที่รัฐบาลพยายามสร้างข่าวอยู่ในตอนนี้
เสนอแนวคิดหลายข้อสร้างปรองดอง
นายสมยศยังเสนอแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองทุกคน ปฏิรูปศาลยุติธรรมให้เชื่อมโยงกับประชาชนและนำคณะลูกขุนมาใช้ปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เหลือ 5% จัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีมรดก ภาษีที่ดินเพื่อเอาภาษีจากคนรวยมาช่วยคนจน ปฏิรูปที่ดินโดยกระจายการถือครองที่ดิน ประกันรายได้ให้เกษตร และเพิ่มค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงาน
งานที่เชียงใหม่เริ่มตั้งแต่บ่ายโมง
สำหรับกำหนดการจัดงานที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. จะเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. โดยจะมีขบวนพาเหรดล้อเลียนการเมืองเดินไปรอบเมืองเชียงใหม่ เวลา 17.00-23.00 น. ปราศรัยที่สนามกีฬาเทศบาลเชียงใหม่ ผู้ร่วมปราศรัยบนเวที เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย การโฟนอินจากนายจรัล ดิษฐาอภิชัย นางดาริณี กฤติบุญญาลัย และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง
ผูกผ้าแดงแสนชิ้นที่ราชประสงค์
ส่วนกิจกรรมที่แยกราชประสงค์จะนำโดยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง จะจัดกิจกรรมผูกผ้าแดง 100,000 ชิ้นที่แยกราชประสงค์ ปล่อยลูกโป่งสีแดง และเขียนจดหมายถึงฟ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมยศในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณานิตยสารเรดเพาเวอร์ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และนายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิฯ กรณีรัฐบาลสั่งให้ตำรวจตรวจค้นบริษัทโกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง ซึ่งเป็นโรงพิมพ์รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดเพาเวอร์ และอายัดเครื่องพิมพ์ 11 เครื่อง รวมทั้งเข้าตรวจค้นบริษัทเค เค พับลิชชิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายนิตยสารเรดเพาเวอร์ โดยสั่งให้ยุติการจำหน่าย พร้อมสั่งปรับ 10,000 บาท
อัดรัฐบาลทำ 2 บริษัทเสียหาย
“การกระทำของรัฐบาลนอกจากจะใช้อำนาจคุกคามกันแล้ว ยังทำให้ทั้ง 2 บริษัทเดือดร้อนคิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพราะทั้ง2 บริษัทไม่ได้ทำธุรกิจกับนิตยสารเรดเพาเวอร์เท่านั้น จึงอยากให้กรรมการสิทธิฯพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทได้ทำธุรกิจต่อ หยุดยั้งพฤติกรรมลุแก่อำนาจของรัฐบาล หยุดการคุกคามสื่อเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน สิทธิการรับรู้ข่าวสาร สิทธิการประกอบอาชีพและธุรกิจ สิทธิการแสดงเสรีภาพและความคิดเห็นตามครรลองประชาธิปไตย” นายสมยศกล่าว
นางอมรากล่าวว่า จะรับเรื่องไว้พิจารณาตามกระบวนการ โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อไป
“สุเทพ” เซ็ง ส.ส. ปูดข่าวรุนแรง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แสดงความไม่พอใจกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดทำนองจะเกิดความรุนแรงในช่วงงานรำลึก 4 ปีรัฐประหาร โดยอาจมีการก่อวินาศกรรม ลอบสังหารบุคคลสำคัญ โดยระบุว่า การพูดที่ไม่ระมัดระวังทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล
ผู้สื่อขาวถามว่า ส.ส. อ้างข่าวจากหน่วยข่าวกรองรายงานในที่ประชุมพรรค นายสุเทพกล่าวว่า “ไม่ล่ะครับ ข่าวกรองไม่มีข่าวอย่างนี้”
ส่วนการดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ดูแลเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ต้องมีอะไรเป็นพิเศษ
วางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดศาล
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า การที่คนเสื้อแดงจะไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำ ปล่อยลูกโป่ง เขียนจดหมายถึงฟ้า เป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะแกนนำที่อยู่ในเรือนจำถูกคุมขังตามคำสั่งศาล การไปวางดอกไม้จึงเป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านศาล
“การเขียนจดหมายถึงฟ้าเป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะเรารู้ดีว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร ที่สำคัญตอนนี้ยังอยู่ในช่วงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ตำรวจต้องพิจารณาเรื่องนี้” นายธาริตกล่าว
มั่นใจคดี 91 ศพฟ้องศาลโลกไม่ได้
อธิบดีดีเอสไอยังกล่าวถึงกรณีนายจตุพรจะนำคดีสังหารผู้ชุมนุมฟ้องศาลโลกว่า หากดูตามกฎหมายคงฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องภายในประเทศที่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว
“ไม่ใช่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการกระทำอันเนื่องมาจากปัญหาเชื้อชาติ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฟ้องได้แน่นอน” นายธาริตกล่าว
พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวหลังการประชุมร่วมกับผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ว่าจะควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้ละเมิดกฎหมาย หากมีการกระทำอะไรเกินเลยต้องเข้าไปดูแล
ปูดชุดดำเช่าคอนโดฯใกล้บ้านนายกฯ
“มีรายงานเรื่องกลุ่มชายชุดดำเดินทางเข้ากรุงเทพฯแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ไปฝึกยุทธวิธีมาจากกัมพูชาและกำลังจะทำบางอย่าง ขณะนี้พบว่าคนกลุ่มนี้ไปเช่าคอนโดมิเนียมใกล้กับบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ซอยสุขุมวิท 31 จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตาเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขารู้ตัวเลยยุติเคลื่อนไหว แต่เราไม่ประมาทเด็ดขาด” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากการข่าวพบความเคลื่อนไหวของชายชุดดำ ทำให้มีการเพิ่มกำลังอารักขาความปลอดภัยที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีมากขึ้น
“จตุพร” ซัดกุข่าวลอบสังหาร
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ยืนยันว่า ในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีใครคิดสังหารนายกรัฐมนตรี หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แน่นอน
“เรื่องนี้เป็นการกุข่าวของตำรวจ พวกเราไม่คิดไปทำอะไรใคร เพราะจะรอดูกฎแห่งกรรม”
**********************************************************************
อุปทูตซาอุฯมีหลักฐานหักล้างแต่งตั้ง‘สมคิด’
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
อุปทูตซาอุฯแฉกลางที่ประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงการแต่งตั้ง “สมคิด” นั่งผู้ช่วย ผบ.ตร. อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย เผยรับไม่ได้กับข้ออ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ระบุผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์หากศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดมาหักล้าง ย้อนถามหากไม่ผิดทำไมต้องใช้กฎหมายล้างมลทินช่วยเหลือ ยืนยันไม่คิดก้าวก่ายกิจการภายในของไทย แต่มีหลักฐานในมือหักล้างได้แน่หากยังดันทุรังแต่งตั้งต่อไป
ที่รัฐสภา วันที่ 15 ก.ย. 2553 การประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เข้าชี้แจงการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้ตกเป็นต้องหาคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) นอกจากนี้ยังได้เชิญนายนาบิล ฮัสเซอรี อุปทูตซาอุฯ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงษ์ เลขานุการ ก.ตร. และ พล.ต.ต.วิชัย รัตนยศ ผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอิศร ปกมนตรี เลขาธิการทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนายฐิติวัตรน์ สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นักการทูตปฏิบัติการ เข้ารับฟังการชี้แจง ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนร่วมรังฟังเหมือนปรกติ
นายประชาเปิดเผยหลังการประชุมว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าไม่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่เรื่องนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ซึ่งตั้งแต่แสดงท่าทีคัดค้านมีโอกาสได้คุยกับผู้เกี่ยวข้องหลายคน แต่ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย
“อุปทูตซาอุฯยืนยันว่ายังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ที่ถูกดำเนินคดีอาญาจึงได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ทำไมรัฐบาลไทยต้องแต่งตั้งทั้งที่ไม่แต่งตั้งก็ได้ หากเป็นการแต่งตั้งหลังคดีสิ้นสุดแล้วและศาลบอกว่า พล.ต.ท.สมคิดไม่ผิดก็ไม่มีปัญหา แต่นี่คดียังไม่ทันเริ่มพิจารณา โดยศาลนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 25 พ.ย. นี้ นอกจากนี้เขายังสงสัยว่าก่อนหน้านี้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่ทำไมต้องนำ พ.ร.บ.ล้างมลทินมาใช้ ซึ่งกรณีนี้นายสุเทพชี้แจงว่าเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องโทษทางวินัย” นายประชากล่าว
นายประชากล่าวว่า อุปทูตซาอุฯตั้งคำถามเรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 95 ที่ระบุว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา จะต้องถูกสั่งพักราชการจน กว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ แต่ทำไมยังแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด และเขารับไม่ได้กับคำชี้แจงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อ้างกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าผู้ถูกกล่าวหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิด เพราะเห็นว่าเป็นคนละประเด็นกัน
“นายสุเทพบอกว่าข้อสงสัยทั้งหมดจะได้รับการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทยภายใน 1-2 วันนี้ หากยังมีข้อสงสัยอีกก็ให้ทำคำโต้แย้งกลับมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนคณะกรรมาธิการจะตั้งคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเฉพาะกิจขึ้นมาพิจารณาว่ามีอำนาจตามกฎหมายใดหักล้างบทบัญญัติมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ตำรวจได้ โดยจะศึกษาให้เสร็จใน 15 วัน” นายประชากล่าว
นายประชากล่าวอีกว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะคนของเขาถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยยืนยันว่ามีหลักฐานอยู่ในมือที่จะหักล้างกับรัฐบาลไทยในการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิดได้ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมีมาตรการใดๆตามออกมาอีกหรือไม่
“อุปทูตซาอุฯไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศหลังจากนี้ เพียงแต่แสดงความหวังว่าเราจะมีความจริงใจในเรื่องนี้ หากทำเรื่องให้เกิดความกระจ่างชัดได้ความสัมพันธ์ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม”
**********************************************************************
อุปทูตซาอุฯแฉกลางที่ประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงการแต่งตั้ง “สมคิด” นั่งผู้ช่วย ผบ.ตร. อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย เผยรับไม่ได้กับข้ออ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ระบุผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์หากศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดมาหักล้าง ย้อนถามหากไม่ผิดทำไมต้องใช้กฎหมายล้างมลทินช่วยเหลือ ยืนยันไม่คิดก้าวก่ายกิจการภายในของไทย แต่มีหลักฐานในมือหักล้างได้แน่หากยังดันทุรังแต่งตั้งต่อไป
ที่รัฐสภา วันที่ 15 ก.ย. 2553 การประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เข้าชี้แจงการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้ตกเป็นต้องหาคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) นอกจากนี้ยังได้เชิญนายนาบิล ฮัสเซอรี อุปทูตซาอุฯ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงษ์ เลขานุการ ก.ตร. และ พล.ต.ต.วิชัย รัตนยศ ผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอิศร ปกมนตรี เลขาธิการทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนายฐิติวัตรน์ สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นักการทูตปฏิบัติการ เข้ารับฟังการชี้แจง ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนร่วมรังฟังเหมือนปรกติ
นายประชาเปิดเผยหลังการประชุมว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าไม่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่เรื่องนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ซึ่งตั้งแต่แสดงท่าทีคัดค้านมีโอกาสได้คุยกับผู้เกี่ยวข้องหลายคน แต่ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย
“อุปทูตซาอุฯยืนยันว่ายังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ที่ถูกดำเนินคดีอาญาจึงได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ทำไมรัฐบาลไทยต้องแต่งตั้งทั้งที่ไม่แต่งตั้งก็ได้ หากเป็นการแต่งตั้งหลังคดีสิ้นสุดแล้วและศาลบอกว่า พล.ต.ท.สมคิดไม่ผิดก็ไม่มีปัญหา แต่นี่คดียังไม่ทันเริ่มพิจารณา โดยศาลนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 25 พ.ย. นี้ นอกจากนี้เขายังสงสัยว่าก่อนหน้านี้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่ทำไมต้องนำ พ.ร.บ.ล้างมลทินมาใช้ ซึ่งกรณีนี้นายสุเทพชี้แจงว่าเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องโทษทางวินัย” นายประชากล่าว
นายประชากล่าวว่า อุปทูตซาอุฯตั้งคำถามเรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 95 ที่ระบุว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา จะต้องถูกสั่งพักราชการจน กว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ แต่ทำไมยังแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด และเขารับไม่ได้กับคำชี้แจงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อ้างกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าผู้ถูกกล่าวหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิด เพราะเห็นว่าเป็นคนละประเด็นกัน
“นายสุเทพบอกว่าข้อสงสัยทั้งหมดจะได้รับการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทยภายใน 1-2 วันนี้ หากยังมีข้อสงสัยอีกก็ให้ทำคำโต้แย้งกลับมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนคณะกรรมาธิการจะตั้งคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเฉพาะกิจขึ้นมาพิจารณาว่ามีอำนาจตามกฎหมายใดหักล้างบทบัญญัติมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ตำรวจได้ โดยจะศึกษาให้เสร็จใน 15 วัน” นายประชากล่าว
นายประชากล่าวอีกว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะคนของเขาถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยยืนยันว่ามีหลักฐานอยู่ในมือที่จะหักล้างกับรัฐบาลไทยในการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิดได้ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมีมาตรการใดๆตามออกมาอีกหรือไม่
“อุปทูตซาอุฯไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศหลังจากนี้ เพียงแต่แสดงความหวังว่าเราจะมีความจริงใจในเรื่องนี้ หากทำเรื่องให้เกิดความกระจ่างชัดได้ความสัมพันธ์ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม”
**********************************************************************
ปมฉาว...ลานจอดรถสุวรรณภูมิ ทอท.ชวดรายได้ 180 ล้าน แถมโดนฟ้อง 20 ล้าน
ชนวนบานปลายโครงการสัมปทาน "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" ในยุค "นิรันดร์ ธีรนาถสิน" นั่งเป็นผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ถูก นายปิยะพันธุ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ขอมติที่ประชุมบอร์ด 6 กันยายน 2553 ย้ายฟ้าผ่าออกจากพื้นที่ข้ามฝั่งไปประจำดอนเมือง
1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับ "นางดวงใจ คอนดี" รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ถูกแขวนเป็นผู้เชี่ยวชาญพร้อม ๆ กัน
ช่วงรอถึงวันย้ายออกจากสุวรรณภูมิ "ผอ.นิรันดร์" ถูกมรสุมกระหน่ำโดนกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เจ้าของสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร รุมฟ้องแบบแยกกันตีแบ่งเป็น 2 ขั้ว
ขั้วแรก โดยนายธนกฤต เจตกิตติโชค 1 ในกรรมการ ฟ้องร้องทั้งหมด 3 คดี คือ คดีที่ 1 ฟ้องนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ด้วยวิธีทำหนังสือร้องเรียนส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 ขอให้ลงโทษนายนิรันดร์ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ในเหตุการณ์ที่ปล่อยให้นายธรรศน์ พจนประพันธ์ และพวกรวม 10 คน บุกรุกขึ้นไปค้นสำนักงานบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ตอนกลางคืนวันที่ 30 เมษายน 2553
คดีที่ 2 นายธนกฤตได้แจ้งความดำเนินคดีหุ้นส่วนคือนายธรรศและพวก ที่ศาลแพ่ง เรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหาย 52 ล้านบาท
คดีที่ 3 ฟ้องพ่วงนายนิรันดร์เข้าไปด้วย กรณีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ทำหนังสือไปยังธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายชำระเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากตั้งแต่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด รับสัมปทานเก็บเงินสดค่าลานจอดรถจากลูกค้าและสมาชิก เริ่ม 30 เมษายน 2553 จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินดังกล่าวก็เก็บเฉพาะเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายอยู่อีกเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้
ขั้วสอง โดยนายธรรศ พจนประพันธ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการหลักที่มีอำนาจลงนามธุรกรรมทั้งหมด ให้บริษัท กฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด ยื่นหนังสือเมื่อ 23 สิงหาคม 2553 ถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.อ้างถึงหนังสือที่นายธรรศ พจนประพันธ์ ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 เรื่องขอให้ ทอท.คืนเงินทดรองจ่ายจำนวน 20,167,731.54 บาท (ยี่สิบล้านหนึ่งแสนหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดบาทห้าสิบสี่สตางค์) นับจากวันที่ความแจ้งแล้วภายใน 7 วัน แต่ ทอท.กลับไม่ชำระคืน หากพ้นกำหนดนายธรรศจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เงินจำนวนกว่า 20 ล้านบาทนี้ มีรายงานว่านายธรรศสั่งจ่ายเช็คในนามส่วนตัวสำรองให้ ทอท.ช่วงแรกที่ลงนามสัญญาสัมปทานและยังไม่ได้มีความขัดแย้งกับกรรมการในบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด พอขัดแย้งกันจึงขอคืนจาก ทอท.เพราะถือตามกฎหมายเช็คสั่งจ่ายต้องทำในนามบริษัทเท่านั้น ทอท.จึงจะรับโอนเข้าบัญชีได้
สัญญาสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ที่ทำเมื่อ 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ระบุ ผู้รับสัมปทานจะต้องวางหลักประกันสัญญาประกอบการเป็นจำนวนเงิน 6 เท่าของค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 ซึ่งขั้นต่ำเสนอราคาไว้ 15.5 ล้านบาท/เดือน+ค่าสมาชิก 4-5 ล้านบาท/เดือน (รวมเฉลี่ย 20 ล้านบาท/เดือน) และวางหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นจำนวนเงิน 4 เท่าของค่าเช่ารายเดือน (เฉลี่ย 4.8 ล้านบาท/เดือน) ประการหลักจะต้องโอนเงินรายได้ตามจริงให้ ทอท.
ทุกวันที่ 7 ของเดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา โดยผ่านระบบติดตั้งอุปกรณ์อัตโนมัติที่ตรวจสอบได้ถึงการจัดเก็บเงินรายได้แต่ละวัน 8 แสนบาท-1 ล้านบาท
แต่ข้อตกลงทั้งหมดนี้ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะเครื่องมือในการตรวจสอบการเก็บเงินแต่ละวันคืออุปกรณ์อัตโนมัติเชื่อมต่อระบบกับ ทอท.เอกชนเข้าบริหารต่อเนื่องมา 5 เดือน ได้รับการยืนยันจากพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายว่าทุกวันนี้ก็ระบบที่ตกลงกันไว้ในพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ยังไม่ได้ติดตั้งสักจุด
เรื่องสำคัญที่สุดคือ "รายได้" จากสัมปทานพื้นที่ลานจอดรถ ตามปกติ ทอท.เคยทำเองสามารถจัดเก็บค่าบริการจากลูกค้าทั่วไปได้วันละ 8 แสนบาท-
1 ล้านบาท และรายได้ประจำจากลูกค้าสมาชิกกลุ่มพนักงานสายการบินและสำนักงานต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิอีกเดือนละ 4-5 ล้านบาท ทอท.เคยมีรายได้เฉลี่ยจากลานจอดรถ 30 ล้านบาท/เดือน
กรณีหาก ทอท.บริหารลานจอดเองตลอด 6 เดือนนี้ จะมีรายได้กว่า 180 ล้านบาท แต่ผลจากให้สัมปทาน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด กลับกลายเป็นต้องเผชิญ "ความเสี่ยง" อย่างรุนแรง ต้องหาวิธีหักจากเงินค้ำประกันธนาคารกสิกรไทยมาได้บางส่วนเพียง 66 ล้านบาทแล้ว
นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นำข้อตกลงสัญญามาอธิบาย โดยขอให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด หลังถูกหักเงินค้ำประกันธนาคารไปเกินครึ่งแล้ว ต้องนำเงินไปใส่ในบัญชีที่ถูกหักให้ครบจำนวนตามสัญญา คือ ค่าประกันการประกอบการ 6 เท่าของรายได้แต่ละเดือน ประมาณ 120 ล้านบาท กับค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 4 เท่าของแต่ละเดือน 19.2 ล้านบาท ตั้งแต่แจ้งไว้ ณ วันที่ 21 กรกฎาคมมาจนถึงขณะนี้ คู่สัญญากลับไม่ได้ให้ความร่วมมือใด ๆ และ/หรือ อยู่ระหว่างกระทำผิดเงื่อนไขสัญญา
แต่สถานการณ์ตอนนี้ ทอท.กลับพลาดท่าเป็นรองทุกรูปแบบเมื่อถูกเอกชนเล่นแง่แบ่งขั้วกันตีโอบล้อม โดยไม่ต้องจ่ายรายได้รายเดือนตามสัญญารวมกว่า 180 ล้านบาท และยังสามารถขอการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายทำธุรกิจเก็บเงินสดจากลูกค้าต่อไปเรื่อย ๆ แถมขอเงินทดลองจ่ายคืนอีก
20 ล้านบาท เอกชนมีแต่ได้ ส่วน ทอท.เสียทุกอย่าง
ที่มา.ประชาชาตธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับ "นางดวงใจ คอนดี" รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ถูกแขวนเป็นผู้เชี่ยวชาญพร้อม ๆ กัน
ช่วงรอถึงวันย้ายออกจากสุวรรณภูมิ "ผอ.นิรันดร์" ถูกมรสุมกระหน่ำโดนกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เจ้าของสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร รุมฟ้องแบบแยกกันตีแบ่งเป็น 2 ขั้ว
ขั้วแรก โดยนายธนกฤต เจตกิตติโชค 1 ในกรรมการ ฟ้องร้องทั้งหมด 3 คดี คือ คดีที่ 1 ฟ้องนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ด้วยวิธีทำหนังสือร้องเรียนส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 ขอให้ลงโทษนายนิรันดร์ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ในเหตุการณ์ที่ปล่อยให้นายธรรศน์ พจนประพันธ์ และพวกรวม 10 คน บุกรุกขึ้นไปค้นสำนักงานบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ตอนกลางคืนวันที่ 30 เมษายน 2553
คดีที่ 2 นายธนกฤตได้แจ้งความดำเนินคดีหุ้นส่วนคือนายธรรศและพวก ที่ศาลแพ่ง เรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหาย 52 ล้านบาท
คดีที่ 3 ฟ้องพ่วงนายนิรันดร์เข้าไปด้วย กรณีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ทำหนังสือไปยังธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายชำระเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากตั้งแต่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด รับสัมปทานเก็บเงินสดค่าลานจอดรถจากลูกค้าและสมาชิก เริ่ม 30 เมษายน 2553 จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินดังกล่าวก็เก็บเฉพาะเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายอยู่อีกเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้
ขั้วสอง โดยนายธรรศ พจนประพันธ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการหลักที่มีอำนาจลงนามธุรกรรมทั้งหมด ให้บริษัท กฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด ยื่นหนังสือเมื่อ 23 สิงหาคม 2553 ถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.อ้างถึงหนังสือที่นายธรรศ พจนประพันธ์ ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 เรื่องขอให้ ทอท.คืนเงินทดรองจ่ายจำนวน 20,167,731.54 บาท (ยี่สิบล้านหนึ่งแสนหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดบาทห้าสิบสี่สตางค์) นับจากวันที่ความแจ้งแล้วภายใน 7 วัน แต่ ทอท.กลับไม่ชำระคืน หากพ้นกำหนดนายธรรศจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เงินจำนวนกว่า 20 ล้านบาทนี้ มีรายงานว่านายธรรศสั่งจ่ายเช็คในนามส่วนตัวสำรองให้ ทอท.ช่วงแรกที่ลงนามสัญญาสัมปทานและยังไม่ได้มีความขัดแย้งกับกรรมการในบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด พอขัดแย้งกันจึงขอคืนจาก ทอท.เพราะถือตามกฎหมายเช็คสั่งจ่ายต้องทำในนามบริษัทเท่านั้น ทอท.จึงจะรับโอนเข้าบัญชีได้
สัญญาสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ที่ทำเมื่อ 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ระบุ ผู้รับสัมปทานจะต้องวางหลักประกันสัญญาประกอบการเป็นจำนวนเงิน 6 เท่าของค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 ซึ่งขั้นต่ำเสนอราคาไว้ 15.5 ล้านบาท/เดือน+ค่าสมาชิก 4-5 ล้านบาท/เดือน (รวมเฉลี่ย 20 ล้านบาท/เดือน) และวางหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นจำนวนเงิน 4 เท่าของค่าเช่ารายเดือน (เฉลี่ย 4.8 ล้านบาท/เดือน) ประการหลักจะต้องโอนเงินรายได้ตามจริงให้ ทอท.
ทุกวันที่ 7 ของเดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา โดยผ่านระบบติดตั้งอุปกรณ์อัตโนมัติที่ตรวจสอบได้ถึงการจัดเก็บเงินรายได้แต่ละวัน 8 แสนบาท-1 ล้านบาท
แต่ข้อตกลงทั้งหมดนี้ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะเครื่องมือในการตรวจสอบการเก็บเงินแต่ละวันคืออุปกรณ์อัตโนมัติเชื่อมต่อระบบกับ ทอท.เอกชนเข้าบริหารต่อเนื่องมา 5 เดือน ได้รับการยืนยันจากพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายว่าทุกวันนี้ก็ระบบที่ตกลงกันไว้ในพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ยังไม่ได้ติดตั้งสักจุด
เรื่องสำคัญที่สุดคือ "รายได้" จากสัมปทานพื้นที่ลานจอดรถ ตามปกติ ทอท.เคยทำเองสามารถจัดเก็บค่าบริการจากลูกค้าทั่วไปได้วันละ 8 แสนบาท-
1 ล้านบาท และรายได้ประจำจากลูกค้าสมาชิกกลุ่มพนักงานสายการบินและสำนักงานต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิอีกเดือนละ 4-5 ล้านบาท ทอท.เคยมีรายได้เฉลี่ยจากลานจอดรถ 30 ล้านบาท/เดือน
กรณีหาก ทอท.บริหารลานจอดเองตลอด 6 เดือนนี้ จะมีรายได้กว่า 180 ล้านบาท แต่ผลจากให้สัมปทาน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด กลับกลายเป็นต้องเผชิญ "ความเสี่ยง" อย่างรุนแรง ต้องหาวิธีหักจากเงินค้ำประกันธนาคารกสิกรไทยมาได้บางส่วนเพียง 66 ล้านบาทแล้ว
นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นำข้อตกลงสัญญามาอธิบาย โดยขอให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด หลังถูกหักเงินค้ำประกันธนาคารไปเกินครึ่งแล้ว ต้องนำเงินไปใส่ในบัญชีที่ถูกหักให้ครบจำนวนตามสัญญา คือ ค่าประกันการประกอบการ 6 เท่าของรายได้แต่ละเดือน ประมาณ 120 ล้านบาท กับค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 4 เท่าของแต่ละเดือน 19.2 ล้านบาท ตั้งแต่แจ้งไว้ ณ วันที่ 21 กรกฎาคมมาจนถึงขณะนี้ คู่สัญญากลับไม่ได้ให้ความร่วมมือใด ๆ และ/หรือ อยู่ระหว่างกระทำผิดเงื่อนไขสัญญา
แต่สถานการณ์ตอนนี้ ทอท.กลับพลาดท่าเป็นรองทุกรูปแบบเมื่อถูกเอกชนเล่นแง่แบ่งขั้วกันตีโอบล้อม โดยไม่ต้องจ่ายรายได้รายเดือนตามสัญญารวมกว่า 180 ล้านบาท และยังสามารถขอการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายทำธุรกิจเก็บเงินสดจากลูกค้าต่อไปเรื่อย ๆ แถมขอเงินทดลองจ่ายคืนอีก
20 ล้านบาท เอกชนมีแต่ได้ ส่วน ทอท.เสียทุกอย่าง
ที่มา.ประชาชาตธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องเล่าจากเรือนจำ “คลองเปรมฯ” – บันทึก 2 วันของการเข้าเยี่ยม “นักโทษการเมือง” [ตอนที่ 1]
สัณหณัฐ นกเล็ก
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
เรื่องเล่าต่อจากนี้ เป็นบันทึก 2 วันในการเยี่ยมนักโทษการเมืองซึ่งไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไร เพราะมีปัญหาในการเยี่ยม เนื่องจากกฎระเบียบบางประการของเรือนจำ และความคิดทางการเมืองที่แตกต่างของเจ้าหน้าที่เรือนจำเอง
***************************************
วันแรกของการเข้าเยี่ยมนักโทษการเมือง คือวันที่ 6 กันยายน 2553 ผมนัดพบกับทนายอานนท์ นำภา จากศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ในตอนเช้าราว 9 โมงครึ่ง ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ หรือรู้ที่คนทั่วไปจักกันดีว่า “เรือนจำคลองเปรมฯ”
ความจริงวันนี้เป็นวันแรกที่ผมนัดกับทนายอานนท์ เพื่อเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน ที่โดนคดีละเมิด พรก.ฉุกเฉิน พอถึงเรือนจำผมก็ได้เจอกับทนายอานนท์และคณะ รวมกับล่ามแปลภาษามือแล้ว เรามีทั้งหมด 7 คน
ผมไปในฐานะตัวแทนจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ที่กำลังมีโครงการช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่เป็นนักศึกษา ตอนนี้เมื่ออยู่กับพร้อมหน้า ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้เยี่ยมนักโทษการเมืองอย่างที่ตั้งความประสงค์ไว้ แต่เมื่อเดินถึงห้องสำหรับให้ทนายยื่นเรื่องเข้าเยี่ยมนักโทษ ก็พบปัญหา คือหลังจากทนายอานนท์ยื่นเอกสารที่ได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลตอบปฏิเสธแล้วแจ้งว่า
“คุณต้องไปขออนุญาตจากผู้อำนวยการก่อน ว่าจะเอาล่ามเข้ามาในนี้”
หลังจากนั้นเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ พวกเราจึงไปติดต่อขอเข้าพบกับผู้อำนวยการเรือนจำ เมื่อพบ ทนายอานนท์ได้แจ้งต่อผู้อำนวยการเรือนจำว่า
“เจ้าหน้าที่ตรงห้องที่ให้ทนายเยี่ยมนักโทษ บอกให้ผมมาขออนุญาตท่านเพื่อเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน มีหนึ่งคนในนี้เป็นใบ้ จำเป็นต้องใช้ภาษามือ เลยจะขออนุญาตนำล่ามเข้าไปด้วย”
“ใครเป็นล่ามบ้าง?” ผู้อำนวยการฯ ถาม
ทนายอานนท์ชี้ไปที่ล่ามสองคน “สองคนนี้ครับ สองคนนี้เป็นทนาย”
ผู้อำนวยการถามต่ออีกด้วยการชี้มาที่ผม แล้วถามคนนั้นเป็นใคร
“เสมียนทำหน้าที่บันทึกครับ”
ผู้อำนวยการพยักหน้าและบอกกับพวกเราว่า “ออกไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบ เข้ามาอีกที”
********************************************
เราได้แต่รอข้างนอกสักประมาณ 30 นาทีได้ ระหว่างนี้ก็ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมแกนนำเสื้อแดง จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้เข้าไปพบผู้อำนวยการ ตอนนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนลุ้นหวยว่าจะได้เข้าไปเยี่ยมหรือไม่ แต่คำตอบก็คือ “เราอนุญาตให้ล่ามเข้าไปได้คนเดียว อีกคนหนึ่งต้องรอข้างนอก ส่วนเสมียนก็ต้องรอข้างนอกเช่นกัน เพราะทนายเข้าไปตั้ง 3 คนแล้ว”
“เราจำเป็นจะต้องเอาล่ามเข้าไป 2 คน เพราะอีกคนเป็นใบ้เหมือนกัน บางคำเขาจะเข้าใจมากกว่าอีกคนทีพูดได้ ซึ่งเข้าใจภาษาใบ้ดี แต่ไม่สามารถสื่อสารบางคำได้” (คือเราไม่สามารถขาดได้ทั้ง 2 คน) “นอกจากนี้การมีนักโทษ 2 คน จึงทำให้ต้องนำเสมียนเข้าไปจดบันทึกด้วย” ทนายอานนท์ตอบผู้อำนวยการฯ
คำตอบที่เราได้จากผู้อำนวยการฯ ก็คือ “ไม่ได้ เดี๋ยวมีการส่งเสียงดังแล้วจะไปรบกวนคนอื่น เข้าไปเยอะอย่างนี้คนอื่นเขามาขอบ้างอย่างนี้มันไม่ได้”
สรุปก็คือผมไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมืองพร้อมกับทีมของ ศปช. ได้ จึงออกมาเดินข้างนอกด้วยความผิดหวัง ระหว่างนั้นก็พบกับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งกำลังจะเข้าไปเยี่ยมแกนนำ ผมคิดว่าไหนๆก็มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยวเลย ก็เลยขอไปเยี่ยมแกนนำด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งการเยี่ยมแกนนำไม่ค่อยลำบากเท่าไร ปรากฎว่านักโทษการเมืองที่ไม่ใช่แกนนำดูจะลำบากกว่านักโทษทั่วไประดับเดียวกันเสียอีก เมื่อไปถึงห้องสำหรับขออนุญาตเข้าเยี่ยม เราก็ต้องกรอกรายละเอียดในเอกสารเพื่อยื่นคำร้อง จากนั้นเขาจะให้บัตรเยี่ยม นปช. มารอสักพักตามเวลาเยี่ยมที่กำหนดไว้
**************************************
พอถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเยี่ยม ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเป็นครั้งแรกของการเยี่ยมนักโทษการเมืองในชีวิตนี้ เมื่อเข้าไปถึงได้เห็นรอยยิ้มของแกนนำและของคนเสื้อแดงที่โต้ตอบกัน นับว่าเป็นภาพที่สวยงามอันหนึ่ง เวลาที่เราเห็นคนเหล่านี้มีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่ซึ่งน่าจะทุกข์ที่สุดแห่งหนึ่งก็ตาม
นักโทษการเมืองคนแรกที่ผมเข้าเยี่ยมเป็นการ์ด นปช. ชื่อ อำนาจ อินตโชติ อายุ 54 ปี เป็นข้าราชการทหาร และคนที่แนะนำให้ผมรู้จักคุณอำนาจ คือ ดร.ประแสง มงคลศิริ หลังจากแนะนำตัวเอง แล้วก็ยิ้มตอบคุณอำนาจไป เขาก็เริ่มเกริ่นก่อนเลยว่า “ติดคุกมันไม่สบายหรอก โดนยัดข้อหาก่อการร้ายให้หมดทุกอย่างเสียงานเสียทุกอย่าง ความเป็นอยู่ก็ต้องเป็นแบบนักโทษ กฎหมายอะไรใช้หมายเรียก ศอฉ. มาก่อน จากนั้นก็ออกหมายจับข้อหาผู้ก่อการร้ายให้ทีหลัง ผมรักชาติฝากบอกถึงทุกคนที่เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต้องช่วยกันต่อสู้ ถ้าเผด็จการครองเมืองจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมเรียกร้องประชาธิปไตยกลับโดนข้อหาก่อการร้าย เมียผมก็มาเยี่ยมบ่อยไม่ได้ เพราะวันธรรมดาต้องทำงานวันหยุดเขาก็ไม่ให้เยี่ยม ลูกผมเองอยู่ปีสี่ต้องหาเงินส่งลูกเรียน และไม่นานผมก็จะถูกปลดแล้วด้วย เสียหายหมดทุกอย่างทั้งครอบครัว ถามว่ามันคุ้มไหม ถ้าได้ประชาธิปไตยมันก็คุ้ม”
ต่อมา ดร.ประแสงก็แนะนำให้ผมคุยกับ หมอเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. อีกหนึ่งคน พอ ดร. ประแสงแนะนำว่าผมเป็นตัวแทนมาจาก สนนท. สีหน้าหมอเหวงก็ยิ้มแย้มขึ้นมากและคำแรกที่เขาพูดขึ้นก็คือ “ดีมาก ดีมาก คุณต้องให้นักศึกษาออกมาเยอะๆ นะคุณ คุณเป็นเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ เรียกร้องประชาธิปไตยคุณต้องต่อสู้แบบสันติวิธีนะ ถ้าแบบอื่นเราแพ้เลย ดีมาก ดีมาก”
ผมถามหมอเหวงต่อว่า ความเป็นอยู่ในนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า
“สบายดี ข้างในเจ้าหน้าที่ดี พวกเราเองก็ผูกมิตรกับเพื่อนนักโทษด้วยกันได้ดี” หมอเหวงพูดต่ออีกว่า “เราไม่ควรทำลายอิสรภาพ ถ้าคุณได้ดูข่าวเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม DSI เป็นคนบอกเองว่า ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำและจะมากล่าวหาว่าเราเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร” ต่อจากนั้นหมอเหวงก็ได้ร้องเพลงที่เขาแต่งไว้ ให้ผมฟัง 2 เพลง เพลงที่แต่งสมบูรณ์แล้วชื่อ “สู้ต่อไป” ซึ่งหมอเหวงบอกว่าเป็นเพลงมาร์ช หลังจากนั้นเวลาใกล้หมดแล้ว ผมก็เลยลุกออกมาเพื่อให้ อ.ธิดา เข้าไปคุยกับหมอเหวงต่อเพื่อล่ำลา หลังจากนั้นภาพอันน่าประทับใจอีกภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น นั่นคือการโบกมือลาด้วยความยิ้มแย้ม ระหว่างมวลชนและแกนนำของพวกเขา
ที่มา.Siam Intelligence
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
เรื่องเล่าต่อจากนี้ เป็นบันทึก 2 วันในการเยี่ยมนักโทษการเมืองซึ่งไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไร เพราะมีปัญหาในการเยี่ยม เนื่องจากกฎระเบียบบางประการของเรือนจำ และความคิดทางการเมืองที่แตกต่างของเจ้าหน้าที่เรือนจำเอง
***************************************
วันแรกของการเข้าเยี่ยมนักโทษการเมือง คือวันที่ 6 กันยายน 2553 ผมนัดพบกับทนายอานนท์ นำภา จากศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ในตอนเช้าราว 9 โมงครึ่ง ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ หรือรู้ที่คนทั่วไปจักกันดีว่า “เรือนจำคลองเปรมฯ”
ความจริงวันนี้เป็นวันแรกที่ผมนัดกับทนายอานนท์ เพื่อเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน ที่โดนคดีละเมิด พรก.ฉุกเฉิน พอถึงเรือนจำผมก็ได้เจอกับทนายอานนท์และคณะ รวมกับล่ามแปลภาษามือแล้ว เรามีทั้งหมด 7 คน
ผมไปในฐานะตัวแทนจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ที่กำลังมีโครงการช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่เป็นนักศึกษา ตอนนี้เมื่ออยู่กับพร้อมหน้า ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้เยี่ยมนักโทษการเมืองอย่างที่ตั้งความประสงค์ไว้ แต่เมื่อเดินถึงห้องสำหรับให้ทนายยื่นเรื่องเข้าเยี่ยมนักโทษ ก็พบปัญหา คือหลังจากทนายอานนท์ยื่นเอกสารที่ได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลตอบปฏิเสธแล้วแจ้งว่า
“คุณต้องไปขออนุญาตจากผู้อำนวยการก่อน ว่าจะเอาล่ามเข้ามาในนี้”
หลังจากนั้นเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ พวกเราจึงไปติดต่อขอเข้าพบกับผู้อำนวยการเรือนจำ เมื่อพบ ทนายอานนท์ได้แจ้งต่อผู้อำนวยการเรือนจำว่า
“เจ้าหน้าที่ตรงห้องที่ให้ทนายเยี่ยมนักโทษ บอกให้ผมมาขออนุญาตท่านเพื่อเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน มีหนึ่งคนในนี้เป็นใบ้ จำเป็นต้องใช้ภาษามือ เลยจะขออนุญาตนำล่ามเข้าไปด้วย”
“ใครเป็นล่ามบ้าง?” ผู้อำนวยการฯ ถาม
ทนายอานนท์ชี้ไปที่ล่ามสองคน “สองคนนี้ครับ สองคนนี้เป็นทนาย”
ผู้อำนวยการถามต่ออีกด้วยการชี้มาที่ผม แล้วถามคนนั้นเป็นใคร
“เสมียนทำหน้าที่บันทึกครับ”
ผู้อำนวยการพยักหน้าและบอกกับพวกเราว่า “ออกไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบ เข้ามาอีกที”
********************************************
เราได้แต่รอข้างนอกสักประมาณ 30 นาทีได้ ระหว่างนี้ก็ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมแกนนำเสื้อแดง จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้เข้าไปพบผู้อำนวยการ ตอนนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนลุ้นหวยว่าจะได้เข้าไปเยี่ยมหรือไม่ แต่คำตอบก็คือ “เราอนุญาตให้ล่ามเข้าไปได้คนเดียว อีกคนหนึ่งต้องรอข้างนอก ส่วนเสมียนก็ต้องรอข้างนอกเช่นกัน เพราะทนายเข้าไปตั้ง 3 คนแล้ว”
“เราจำเป็นจะต้องเอาล่ามเข้าไป 2 คน เพราะอีกคนเป็นใบ้เหมือนกัน บางคำเขาจะเข้าใจมากกว่าอีกคนทีพูดได้ ซึ่งเข้าใจภาษาใบ้ดี แต่ไม่สามารถสื่อสารบางคำได้” (คือเราไม่สามารถขาดได้ทั้ง 2 คน) “นอกจากนี้การมีนักโทษ 2 คน จึงทำให้ต้องนำเสมียนเข้าไปจดบันทึกด้วย” ทนายอานนท์ตอบผู้อำนวยการฯ
คำตอบที่เราได้จากผู้อำนวยการฯ ก็คือ “ไม่ได้ เดี๋ยวมีการส่งเสียงดังแล้วจะไปรบกวนคนอื่น เข้าไปเยอะอย่างนี้คนอื่นเขามาขอบ้างอย่างนี้มันไม่ได้”
สรุปก็คือผมไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมืองพร้อมกับทีมของ ศปช. ได้ จึงออกมาเดินข้างนอกด้วยความผิดหวัง ระหว่างนั้นก็พบกับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งกำลังจะเข้าไปเยี่ยมแกนนำ ผมคิดว่าไหนๆก็มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยวเลย ก็เลยขอไปเยี่ยมแกนนำด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งการเยี่ยมแกนนำไม่ค่อยลำบากเท่าไร ปรากฎว่านักโทษการเมืองที่ไม่ใช่แกนนำดูจะลำบากกว่านักโทษทั่วไประดับเดียวกันเสียอีก เมื่อไปถึงห้องสำหรับขออนุญาตเข้าเยี่ยม เราก็ต้องกรอกรายละเอียดในเอกสารเพื่อยื่นคำร้อง จากนั้นเขาจะให้บัตรเยี่ยม นปช. มารอสักพักตามเวลาเยี่ยมที่กำหนดไว้
**************************************
พอถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเยี่ยม ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเป็นครั้งแรกของการเยี่ยมนักโทษการเมืองในชีวิตนี้ เมื่อเข้าไปถึงได้เห็นรอยยิ้มของแกนนำและของคนเสื้อแดงที่โต้ตอบกัน นับว่าเป็นภาพที่สวยงามอันหนึ่ง เวลาที่เราเห็นคนเหล่านี้มีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่ซึ่งน่าจะทุกข์ที่สุดแห่งหนึ่งก็ตาม
นักโทษการเมืองคนแรกที่ผมเข้าเยี่ยมเป็นการ์ด นปช. ชื่อ อำนาจ อินตโชติ อายุ 54 ปี เป็นข้าราชการทหาร และคนที่แนะนำให้ผมรู้จักคุณอำนาจ คือ ดร.ประแสง มงคลศิริ หลังจากแนะนำตัวเอง แล้วก็ยิ้มตอบคุณอำนาจไป เขาก็เริ่มเกริ่นก่อนเลยว่า “ติดคุกมันไม่สบายหรอก โดนยัดข้อหาก่อการร้ายให้หมดทุกอย่างเสียงานเสียทุกอย่าง ความเป็นอยู่ก็ต้องเป็นแบบนักโทษ กฎหมายอะไรใช้หมายเรียก ศอฉ. มาก่อน จากนั้นก็ออกหมายจับข้อหาผู้ก่อการร้ายให้ทีหลัง ผมรักชาติฝากบอกถึงทุกคนที่เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต้องช่วยกันต่อสู้ ถ้าเผด็จการครองเมืองจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมเรียกร้องประชาธิปไตยกลับโดนข้อหาก่อการร้าย เมียผมก็มาเยี่ยมบ่อยไม่ได้ เพราะวันธรรมดาต้องทำงานวันหยุดเขาก็ไม่ให้เยี่ยม ลูกผมเองอยู่ปีสี่ต้องหาเงินส่งลูกเรียน และไม่นานผมก็จะถูกปลดแล้วด้วย เสียหายหมดทุกอย่างทั้งครอบครัว ถามว่ามันคุ้มไหม ถ้าได้ประชาธิปไตยมันก็คุ้ม”
ต่อมา ดร.ประแสงก็แนะนำให้ผมคุยกับ หมอเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. อีกหนึ่งคน พอ ดร. ประแสงแนะนำว่าผมเป็นตัวแทนมาจาก สนนท. สีหน้าหมอเหวงก็ยิ้มแย้มขึ้นมากและคำแรกที่เขาพูดขึ้นก็คือ “ดีมาก ดีมาก คุณต้องให้นักศึกษาออกมาเยอะๆ นะคุณ คุณเป็นเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ เรียกร้องประชาธิปไตยคุณต้องต่อสู้แบบสันติวิธีนะ ถ้าแบบอื่นเราแพ้เลย ดีมาก ดีมาก”
ผมถามหมอเหวงต่อว่า ความเป็นอยู่ในนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า
“สบายดี ข้างในเจ้าหน้าที่ดี พวกเราเองก็ผูกมิตรกับเพื่อนนักโทษด้วยกันได้ดี” หมอเหวงพูดต่ออีกว่า “เราไม่ควรทำลายอิสรภาพ ถ้าคุณได้ดูข่าวเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม DSI เป็นคนบอกเองว่า ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำและจะมากล่าวหาว่าเราเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร” ต่อจากนั้นหมอเหวงก็ได้ร้องเพลงที่เขาแต่งไว้ ให้ผมฟัง 2 เพลง เพลงที่แต่งสมบูรณ์แล้วชื่อ “สู้ต่อไป” ซึ่งหมอเหวงบอกว่าเป็นเพลงมาร์ช หลังจากนั้นเวลาใกล้หมดแล้ว ผมก็เลยลุกออกมาเพื่อให้ อ.ธิดา เข้าไปคุยกับหมอเหวงต่อเพื่อล่ำลา หลังจากนั้นภาพอันน่าประทับใจอีกภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น นั่นคือการโบกมือลาด้วยความยิ้มแย้ม ระหว่างมวลชนและแกนนำของพวกเขา
ที่มา.Siam Intelligence
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)