ประชาชาติธุรกิจ
ปัญหาของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." เกี่ยวกับการแจกสัมปทานบริษัทเอกชนเข้ามาใช้พื้นที่ในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิทำกิจกรรมเพื่อหารายได้ โดยลงนามสัญญาแบ่งผลประโยชน์ตามสัดส่วน แต่เกือบจะทุกโครงการล้วนมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนปมถูกตรวจสอบเสมอ
เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา หลังจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเปิดให้บริการตั้งแต่ 28 กันยายน 2549 การช่วงชิงสัมปทานพื้นที่ชิ้นใหญ่ในอาคารผู้โดยสารไปทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ ลงตัว ก็มาถึงการจัดสรรพื้นที่รอบนอกอาคารเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลานจอดรถซึ่งกระจายอยู่เกือบ 3 แสนตารางเมตร
นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ กล่าวว่า การเปิดสุวรรณภูมิในระยะแรก 1-3 ปีนั้น ทอท.บริหารพื้นที่ลานจอดรถเองทั้งหมด บริเวณอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร จอดรถได้วันละประมาณ 5,000 คัน โดยใช้วิธีเหมาจ้าง (outsource) พนักงานจากบริษัทเอกชนทำหน้าที่ผู้จัดเก็บค่าบริการ แต่ละวันมีรายได้จากลูกค้าที่นำรถเข้ามาจอด 8 แสน-1 ล้านบาท จากนั้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เปลี่ยนนโยบายเปิดให้บริษัทเอกชนยื่นประมูลสัมปทานไปทำ มีสัญญา 5 ปี
ผู้บริหารสนามบินพาณิชย์เมืองไทยกล่าวว่า ตามแผนธุรกิจสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งมีโครงการจะนำพื้นที่ว่างเปล่ามาพัฒนาเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ (non-aero) เป็นแนวคิดที่ถูกต้องแต่วิธีการ ต้องโปร่งใส มีธรรมาภิบาล เพราะสุวรรณภูมิเป็นขุมทรัพย์ที่ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ และอีกหลายกลุ่มอาชีพพยายามเข้ามาใช้ประโยชน์
กรณีการให้สัมปทานพื้นที่ลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด บริเวณอาคารเอและบี ขนาดพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร สัญญา 5 ปี เริ่ม 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ประกันรายได้ขั้นต่ำ 15.7 ล้านบาท ซึ่ง ลดลงเกือบ 50% ต่างจากเดิมที่ ทอท.จัดเก็บรายได้เอง 3 ปีแรก แต่ฝ่ายบริหารก็ยังอนุมัติให้เอกชนทำ
ทันทีที่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด รับงาน มีปัญหา ตามมาทันทีตลอด 4 เดือน เมษายน-กันยายน 2553 ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ทอท.โดยตรง 2 ประเด็นใหญ่ คือ ประเด็นแรก กรรมการปาร์คกิ้งทะเลาะ ฟ้องศาล ข่มขู่ กล่าวหา ส่งคำร้องทุกข์ไปให้กรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบ ร้องเรียนกรณีมีกรรมการปลอมแปลงเอกสารลายเซ็นเพื่อเข้าทำสัญญา กับ ทอท.
เนื่องจากกรรมการกลุ่มเดียวกันถือหุ้นโยงใยกันอยู่ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด ของนายจุมพล ญาณวินิจฉัย กับนายธนกฤต เจตกิตติโชค เป็นผู้ชนะประมูลสัมปทานลานจอดรถอาคารเอและบีสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อ 16 มีนาคม 2553 ในสัญญากำหนดให้ นำเงินค้ำประกันมาวาง 105,930,000 บาท พร้อมกับหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่อีก 13,568,880 บาท
ระหว่างรอแสดงเงินค้ำประกันและหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่ รวมกว่า 135 ล้านบาทนั้น กรรมการบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด พรอมพ์ จำกัด แจ้ง ทอท.ว่า จะขอจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เมื่อ 31 มีนาคม 2553 เพื่อเข้ามาดูแลสัมปทานลานจอดรถพื้นที่ ดังกล่าวในวันที่ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นไป
มีการตั้งข้อสังเกตว่า การจดทะเบียนเปิดบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัดนั้น กรรมการกลุ่มเดิมได้นำผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่คือ นายธรรศ พจนประพันธ์ เข้ามาเป็นนายทุนทางการเงินและหลักทรัพยทำตามเงื่อนไข ทอท. ผลสุดท้ายทั้ง 3 คนก็ขัดแย้งกัน
ถึงขั้นทำหนังสือร้องเรียนไปยัง นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 26 สิงหาคม 2553 รวมทั้งฟ้องคดีอาญาและแพ่ง นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ และ นางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้นำรายได้ที่จัดเก็บค่าบริการส่งให้ ทอท.ตามสัญญา เดือนละ 15.7 ล้านบาท เป็นเวลากว่า 4 เดือน ทางฝ่ายบริหารสุวรรณภูมิต้องหาทางออกโดยแจ้งธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้ค้ำประกัน เพื่อขอหักเงินตอบแทนรายได้จากบัญชี เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553 ได้เพียง 66 ล้านบาทเท่านั้น ขณะนี้เงินค้ำประกันของปาร์คกิ้งฯในธนาคารนั้นเหลือให้หักได้ถึงกันยายนนี้เท่านั้น
แต่สัญญาสัมปทานทั้งหมด ทอท.ยังไม่มีท่าทีจะยกเลิกทั้งที่เอกชนถูกตั้งข้อสังเกตว่า กระทำผิดเงื่อนไขสัญญาทุกประการ หลักทรัพย์ค้ำประกันก็ไม่เพียงพอ ไม่จัดส่งรายได้ ทอท.ที่เก็บเงินสดจากลูกค้า รวมถึงค่าสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานการบินและพนักงานบริษัทต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิ อีกเดือนละ 4-5 ล้านบาท
ความเสียหายและสูญเสียรายได้ที่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่ง ทอท.เป็นผู้ให้สัมปทานได้สร้างปัญหาขึ้นมามากมายนั้น จนถึงขณะนี้กระทรวงคมนาคม บอร์ด ทอท. และกระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่ในรัฐวิสาหกิจ ทอท. ยังรีรอดูท่าทีต่อไป
เช่นเดียวกับสัมปทานลานจอดรถระยะยาว (long term parking) ในสุวรรณภูมิ ที่คณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท. เร่งรีบอนุมัติภายใน 10 วัน ให้แก่ บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด เป็น เจ้าของสัมปทานพื้นที่ 62,380.50 ตารางเมตร เป็นเวลา 15 ปี เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ "สุวรรณภูมิสแควร์" ปล่อยเช่าแก่ร้านค้ารายย่อย แต่แป้งร่ำฯเสนอค่าตอบแทนรายได้ ให้ ทอท.เพียงเดือนละ 2,207,610 บาทเท่านั้น
นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. ย้ำว่า หลังบอร์ดเมื่อ 6 กันยายน 2553 มีมติยกเลิกสัมปทานสัญญากับบริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ที่จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่ลานจอดรถระยะยาวนั้น เนื่องจากเหตุผล 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก บริษัทดังกล่าวไม่เคยมีผลงานบริหารใด ๆ คุณสมบัติ ขีดความสามารถ ทุนจดทะเบียน ไม่เหมาะทุกประการ แถมผลการ ดำเนินงานมีรายได้แค่ปีละ 5,000 กว่าบาท จะมารับผิดชอบ โปรเจ็กต์การลงทุนขนาด 350-450 ล้านบาท ได้อย่างไร ประเด็นที่ 2 ไม่ไว้ใจการทำงานของคณะกรรมการพิจารณารายได้ซึ่งเร่งรีบทำ พร้อมทั้งอนุมัติ ขัดระเบียบองค์กร อีกทั้งไม่เสนอบอร์ดพิจารณา
จากนั้นนายปิยะพันธ์ก็ขอมติบอร์ดให้ย้ายนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. จากประธาน คณะกรรมการพิจารณารายได้ เหลือแค่ตำแหน่งกรรมการ แล้วแต่งตั้งบอร์ดไปทำหน้าที่แทน คือ นายมานิตย์ วัฒนเศรษฐ์ ปลัดมหาดไทย กับ นายฉกรรจ์ แสงรักษาการ อัยการสูงสุด
แต่บอร์ดทั้ง 2 คนก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นคนใกล้ชิด "นายเนวิน ชิดชอบ" พรรคภูมิใจไทย
ขณะที่บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ที่ชวดสัมปทานบริหารพื้นที่ลานจอดรถระยะยาวสุวรรณภูมินั้น มีรายงานว่า เส้นทางที่เข้ามาเสนอขอรับบริหารพื้นที่เพื่อพัฒนากิจกรรมเชิงพาณิชย์นั้น ก็มีกลุ่มบุคคลอดีตผู้ติดตามนักการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งกับเจ้าของสัมปทาน บริการด้านสุขภาพในสุวรรณภูมิเกี่ยวข้องอยู่ด้วยกับฝ่ายบริหารบางคนของ ทอท. เรื่องราวทั้งหมดจึงอนุมัติกันง่ายดายและรวดเร็ว
พอสัมปทานถูกยกเลิก นายพีรยศ วงศ์วิทวัส กรรมการผู้จัดการ แป้งร่ำ รีเทล พยายามเดินสายอธิบายต่อสื่อมวลชนถึงการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1 ล้านบาท เป็น 60 ล้านบาท แต่นายปิยะพันธ์และบอร์ดหลายคนย้ำว่า ประเด็นหลักคือ แป้งร่ำมีผลงานอะไรมาแสดง ผลการดำเนินงานปีละไม่กี่พันบาท เหตุใดถึงเป็นเพียงบริษัทเดียวที่เสนอชื่อเข้ามาโดยไม่มีคู่แข่ง แล้วได้สิทธิบริหารถึง 15 ปี
การช่วงชิงสัมปทานเพื่อหารายได้จากพื้นที่ลานจอดรถสุวรรณภูมิเกือบ 3 แสนตารางเมตร ทั้ง 3 องค์กรคือ กระทรวงการคลัง เจ้าของรัฐวิสาหกิจ กระทรวงคมนาคม ผู้กำกับดูแล หน่วยงาน และ ทอท. เจ้าของสนามบิน จะยังผลประโยชน์ชาติ และ/หรือทำเพื่อสนองเฉพาะเพียงบางกลุ่ม โดยนำสุวรรณภูมิ สมบัติของชาติเป็นข้อแลกเปลี่ยนเช่นนั้นหรือ ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
คดี 91 ศพ
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
กรณี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาให้ข่าวความคืบหน้าการสอบสวนเหตุการณ์คนตาย 91 ศพ จากการปราบม็อบคนเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า
ดีเอสไอจะออกหนังสือถึงกองทัพ
ขอเข้าสอบปากคำนายทหารที่มีส่วนร่วมวางแผนปฏิบัติการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ และสี่แยกราชประสงค์
เพื่อให้ได้ข้อมูลว่ามีการจัดวางกำลังและใช้กำลังพลเท่าไหร่ในการปฏิบัติการ มีการนำอาวุธออกไปใช้งานอย่างไร และจำนวนอาวุธที่ใช้ในปฏิบัติการใช้จริงไปเท่าไหร่
ฟังแล้วให้ความรู้สึกในแบบที่สำนวนหนังสือกำลังภายในกล่าวไว้ว่า
หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้
ถึงแม้การสอบปากคำทหารและการตรวจสอบอาวุธ จะเป็นขั้นตอนสำคัญในการคลี่คลายคดี 91 ศพ ซึ่งทางดีเอสไอจำเป็นต้องทำ
แต่การปล่อยเวลาล่วงเลยไปนาน 4 เดือนกว่าจะเริ่มกระบวนการตรงนี้ได้
ทำให้ใครหลายคนสงสัยว่าจริงๆ แล้วดีเอสไอมีเจตนาอย่างไรแน่
ต้องการจะทำเพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง หรือทำไปแบบส่งเดชเพื่อเอาตัวรอดจากข้อครหา 2 มาตรฐาน
ยังไม่รวมถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการให้ข่าวของนายธาริต
เป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าให้เจ้าหน้าที่และ หน่วยงานของรัฐทำลายหลักฐาน ทำความสะอาดปืน เปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือคำสั่งต่างๆ
ไม่ว่าคำสั่งจัดวางกำลังพลหรือการเบิกจ่ายอาวุธหรือไม่
เพราะท่าทีของนายธาริต ก็แสดงถึงความเกรงอกเกรงใจฝ่ายทหารอยู่ไม่น้อย
อย่างตอนนักข่าวสอบถามนายธาริต กลัวหรือไม่ว่าถ้าไปสอบสวนทหารมากๆ ต่อไปเวลาเกิดเหตุความไม่สงบ ทหารจะไม่ยอมนำกำลังออกมาช่วยแก้ปัญหาอีก
นายธาริต เลยรีบตอบกลับอย่างฉาดฉานว่า
การดำเนินการของดีเอสไอนั้นไม่ได้เป็นการทึกทักว่าทหารผิด แต่ที่ต้องสอบถามทหารเพราะเป็นพยานที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด
พินอบพิเทากันซะขนาดนี้
ทีกับคนเสื้อแดงที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์เหมือนกัน ไม่เห็นมีใครมาเชิญไปเป็นพยาน
มีแต่ถูกข่มขู่ ไล่ล่า ฆ่าปิดปาก
ส่วนหนึ่งยังโดนตั้งข้อหาส่งฟ้องเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายอีกต่างหาก
******************************************************************************
เหล็กใน
กรณี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาให้ข่าวความคืบหน้าการสอบสวนเหตุการณ์คนตาย 91 ศพ จากการปราบม็อบคนเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า
ดีเอสไอจะออกหนังสือถึงกองทัพ
ขอเข้าสอบปากคำนายทหารที่มีส่วนร่วมวางแผนปฏิบัติการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ และสี่แยกราชประสงค์
เพื่อให้ได้ข้อมูลว่ามีการจัดวางกำลังและใช้กำลังพลเท่าไหร่ในการปฏิบัติการ มีการนำอาวุธออกไปใช้งานอย่างไร และจำนวนอาวุธที่ใช้ในปฏิบัติการใช้จริงไปเท่าไหร่
ฟังแล้วให้ความรู้สึกในแบบที่สำนวนหนังสือกำลังภายในกล่าวไว้ว่า
หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้
ถึงแม้การสอบปากคำทหารและการตรวจสอบอาวุธ จะเป็นขั้นตอนสำคัญในการคลี่คลายคดี 91 ศพ ซึ่งทางดีเอสไอจำเป็นต้องทำ
แต่การปล่อยเวลาล่วงเลยไปนาน 4 เดือนกว่าจะเริ่มกระบวนการตรงนี้ได้
ทำให้ใครหลายคนสงสัยว่าจริงๆ แล้วดีเอสไอมีเจตนาอย่างไรแน่
ต้องการจะทำเพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง หรือทำไปแบบส่งเดชเพื่อเอาตัวรอดจากข้อครหา 2 มาตรฐาน
ยังไม่รวมถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการให้ข่าวของนายธาริต
เป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าให้เจ้าหน้าที่และ หน่วยงานของรัฐทำลายหลักฐาน ทำความสะอาดปืน เปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือคำสั่งต่างๆ
ไม่ว่าคำสั่งจัดวางกำลังพลหรือการเบิกจ่ายอาวุธหรือไม่
เพราะท่าทีของนายธาริต ก็แสดงถึงความเกรงอกเกรงใจฝ่ายทหารอยู่ไม่น้อย
อย่างตอนนักข่าวสอบถามนายธาริต กลัวหรือไม่ว่าถ้าไปสอบสวนทหารมากๆ ต่อไปเวลาเกิดเหตุความไม่สงบ ทหารจะไม่ยอมนำกำลังออกมาช่วยแก้ปัญหาอีก
นายธาริต เลยรีบตอบกลับอย่างฉาดฉานว่า
การดำเนินการของดีเอสไอนั้นไม่ได้เป็นการทึกทักว่าทหารผิด แต่ที่ต้องสอบถามทหารเพราะเป็นพยานที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด
พินอบพิเทากันซะขนาดนี้
ทีกับคนเสื้อแดงที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์เหมือนกัน ไม่เห็นมีใครมาเชิญไปเป็นพยาน
มีแต่ถูกข่มขู่ ไล่ล่า ฆ่าปิดปาก
ส่วนหนึ่งยังโดนตั้งข้อหาส่งฟ้องเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายอีกต่างหาก
******************************************************************************
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
บก.เรดพาวเวอร์ ยันจัดงานรำลึกรัฐประหาร
ที่มา.เนชั่น
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ แถลงข่าวหลังมีการสั่งปิดโรงพิมพ์และจับปรับสายส่งว่า แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดโรงพิมพ์เอกชนที่จัดพิมพ์หนังสือให้เรา จนโรงพิมพ์ต้องเสียหายร่วม 10 ล้านบาท รวมทั้งจับปรับเงิน 10,000 บาท สายส่งหนังสือ แต่ยังยืนยันจะทำนิตยสารเรดพาวเวอร์ต่อไป โดยจะย้ายสำนักงานไปที่เชียงใหม่ ส่วนการสั่งปิดโรงพิมพ์ดังกล่าว จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตวจสอบด้วย ทั้งนี้การจัดทำหนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ในอนาคต ตนเองหวังจะระดมทุนเพิ่มและอาจเปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์รายวันเป็นรายสัปดาห์ให้ได้ภายใน 1 ปี
นายสมยศ ยังกล่าวถึง การจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายนว่า จะยังจัดกิจกรรมตามกำหนดเดิมทั้งใน กทม.บริเวณแยกราชประสงค์ โดยมีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ดูแล นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมที่เชียงใหม่ซึ่งตนเองดูแลด้วย ขณะนี้กำลังติดต่อ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นางดารณี กฤตบุญญาลัย ที่จะให้โฟนอินมายังสถานที่จัดงาน ทั้งนี้ยืนยันว่าการจัดงานไม่ใช่การรวมพลชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะออกมาเคลื่อนไหว แต่การจัดกิจกรรมภาคประชาชนทั้งสิ้น ขออย่าวิตกเกินไป เพราะเราแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง และเราแสดงความชัดเจนไม่ได้ปฏิเสธแผนปรองดอง แต่การปรองดองในแนวทางของเราคือต้องการให้ปฏิรูปประเทศ และกระบวนการยุติธรรม การปล่อยนักโทษการเมือง การปฏิรูปให้มีรัฐสวัสดิการ การลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 เหลือ 5 % การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เป็นต้น ซึ่งเรื่องรัฐสวัสดิการ-ภาษีสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องเวลาเป็นปีที่จะดำเนินการ
นายสมยศ กล่าวย้ำว่า รัฐบาลอย่าพยายามที่จะใช้กฎหมายโดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาป้องกันตัวเองจนเป็นอันตรายทำร้ายคนอื่นเหมือนที่ใช้กฎหมายสั่งปิดโรงพิมพ์ ขณะที่ตนเห็นว่าแม้จะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ยังมีระเบิดรายวันก็ไม่รู้ว่าการคงไว้ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วยควบคุมอะไรได้บ้าง แต่กฎหมายนี้กลับกระทบทุกภาคส่วนและการท่องเที่ยวอย่างมาก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ แถลงข่าวหลังมีการสั่งปิดโรงพิมพ์และจับปรับสายส่งว่า แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดโรงพิมพ์เอกชนที่จัดพิมพ์หนังสือให้เรา จนโรงพิมพ์ต้องเสียหายร่วม 10 ล้านบาท รวมทั้งจับปรับเงิน 10,000 บาท สายส่งหนังสือ แต่ยังยืนยันจะทำนิตยสารเรดพาวเวอร์ต่อไป โดยจะย้ายสำนักงานไปที่เชียงใหม่ ส่วนการสั่งปิดโรงพิมพ์ดังกล่าว จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตวจสอบด้วย ทั้งนี้การจัดทำหนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ในอนาคต ตนเองหวังจะระดมทุนเพิ่มและอาจเปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์รายวันเป็นรายสัปดาห์ให้ได้ภายใน 1 ปี
นายสมยศ ยังกล่าวถึง การจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายนว่า จะยังจัดกิจกรรมตามกำหนดเดิมทั้งใน กทม.บริเวณแยกราชประสงค์ โดยมีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ดูแล นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมที่เชียงใหม่ซึ่งตนเองดูแลด้วย ขณะนี้กำลังติดต่อ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นางดารณี กฤตบุญญาลัย ที่จะให้โฟนอินมายังสถานที่จัดงาน ทั้งนี้ยืนยันว่าการจัดงานไม่ใช่การรวมพลชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะออกมาเคลื่อนไหว แต่การจัดกิจกรรมภาคประชาชนทั้งสิ้น ขออย่าวิตกเกินไป เพราะเราแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง และเราแสดงความชัดเจนไม่ได้ปฏิเสธแผนปรองดอง แต่การปรองดองในแนวทางของเราคือต้องการให้ปฏิรูปประเทศ และกระบวนการยุติธรรม การปล่อยนักโทษการเมือง การปฏิรูปให้มีรัฐสวัสดิการ การลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 เหลือ 5 % การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เป็นต้น ซึ่งเรื่องรัฐสวัสดิการ-ภาษีสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องเวลาเป็นปีที่จะดำเนินการ
นายสมยศ กล่าวย้ำว่า รัฐบาลอย่าพยายามที่จะใช้กฎหมายโดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาป้องกันตัวเองจนเป็นอันตรายทำร้ายคนอื่นเหมือนที่ใช้กฎหมายสั่งปิดโรงพิมพ์ ขณะที่ตนเห็นว่าแม้จะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ยังมีระเบิดรายวันก็ไม่รู้ว่าการคงไว้ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วยควบคุมอะไรได้บ้าง แต่กฎหมายนี้กลับกระทบทุกภาคส่วนและการท่องเที่ยวอย่างมาก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไพร่ ผู้ดี พื้นที่ และกาลเวลา
สาย สีมา
ความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดง และการสูญเสียชีวิตคนไทยด้วยกันเอง เป็นโอกาสอันสำคัญของนักมานุษยวิทยาทั้งมวล ซึ่ีงมีใจกลางของการศึกษาอยู่ที่มนุษย์ จะได้ทำความเข้าใจกับลักษณะที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ไทย
คนเสื้อแดงอาจเข้าใจลักษณะสังคมไทยได้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว (จึงทำให้พ่ายแพ้อย่างยับเยิน) กล่าวคือคนเสื้อแดงเข้าใจถูกต้องว่า คู่ความขัดแย้งในสังคมไทยเป็นคนขัดแย้งระหว่างไพร่ฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่น่าถูกต้องเลย ที่จะมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งคืออำมาตย์ เพราะคู่ตรงข้ามของไพร่คือผู้ดี มิใช่อำมาตย์อย่างที่คนเสื้อแดงเข้าใจ
เมื่อคู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่งเป็นไพร่ อีกฝ่ายจึงเพียงแต่ทำตัวเป็นผู้ดี ไพร่ก็ย่อมต่อสู้ด้วยอย่างลำบากยิ่ง ก็เอ็งเป็นไพร่อ่ะ ผู้ดีอย่างพวกเราจะต้องไปเสียเวลาคุยหรือเกลือกกลั้วด้วยทำไม ผู้ดีย่อมมีภาษีเหนือกว่าไพร่วันยันค่ำ คืนย้นรุ่ง
จะเพราะเป็นวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอิทธิพลของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือเพราะเกิดการเบี่ยงเบนออกจากความหมายที่แท้จริงของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือแม้แต่จะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับหนังสือสมบัติผู้ดีก็ตาม สังคมการเมืองไทยปัจจุบันย่อมเห็นว่า ผู้ดีคือผู้กำความถูกต้องเอาไว้ ไพร่จะมีความถูกต้องชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อยกระดับตนเองเป็นผู้ดีเท่านั้น ปัญหาของไพร่จึงเป็นปัญหาความเหนือกว่าของผู้ดี มิใช่ปัญหาเรื่องอำมาตย์ หรืออำมาตยาธิปไตย แม้ว่าอำมาตย์/อำมาตยาธิปไตยจะเป็นปัญหาก็ตาม
การเคารพสถานที่คือความเป็นผู้ดี การต้องเคารพสถานที่จึงเป็นความถูกต้อง การยึดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงผิด-เป็นการกระทำอย่างไพร่ ๆ คนเสื้่อแดงเข้าใจถูกต้องว่าบริเวณโดยรอบของราชประสงค์/สยามเซ็นเตอร์ ( ศูนย์กลางของสยามประเทศ) เป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจ แต่ความเป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจหมายความด้วยว่า เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทางเศรษฐกิจด้วย ดังมีผู้เปรียบเทียบกันบ่อย ๆ ว่า ศูนย์การค้าก็คือโบสถ์วิหารของศาสนาบริโภคนิยมในยุคนี้ ที่สาวกสาวิกาทั้งหลายต้องหมั่นเข้าไป "เช่า" หรือที่จริงก็คือ "ซื้อ" เครื่องรางของขลังประจำศาสนา (คือสินค้านานาชนิด) มาไว้ใช้สอยบูชาประจำตัว "โบสถ์วิหาร" ในบริเวณนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ย่อมสะท้อนให้เห็นได้จากการมีเทพหรือมหาเทพฝ่ายฮินดูมาสถิตย์เป็นมิ่งเป็นขวัญประจำสถานที่เป็นจำนวนมาก กล่าวกันในหมู่ซินแสภูมิสถานทั้งหลายว่า ถ้ามิใช่พื้นที่/ตลาด/ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ แล้ว ตั้งบูชาได้ก็แต่พระภูมิเจ้าที่เท่านั้น มิบังควรจะตั้งศาลพระพรหมเด็ดขาด ไหว้ไม่ถึง บูชาไม่ถึงหรอก โดยนัยนี้ บริเวณสยามเซ็นเตอร์/ราชประสงค์จึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
และไม่เพียง "โบสถ์วิหาร" ของศาสนาบริโภคนิยมจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น โรงพยาบาลก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะเป็นสถานที่ให้ผู้ดีได้อำนวยการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นสถานที่ีแห่งการแสดงทาน/เมตตาบารมี
การยึดหรือบุกเข้าไปสำรวจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นการกระทำที่ "อุกอาจ" ยิ่งนัก ในสายตาของผู้ดีไทย การยึดพื้นที่เยี่ยงนี้จึงชึ้ถึงความอ่อนด้อยของคนเสื้อแดงในการเข้าใจกระแสความคิดที่ครอบงำสังคมไทย
วัฒนธรรมผู้ดีไทยเห็นว่าพื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีก ศูนย์ที่เอะอะอ้างเอาแต่ความฉุกเฉินเฉพาะหน้า (ศอฉ) จึงไม่ต่างจากผู้ดีทั้งหลาย และจึงคอยตอกย้ำว่า พื้นที่ในสังคมวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ศอฉ.จึงขอคืนพื้นที่บ้าง ขอกระชับพื้นที่บ้าง ก็พื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์อ่ะ ใครบังอาจมารบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ จงออกไป ถ้าไล่ไม่ไปก็สมควรรับโทษทัณฑ์
หากนักมานุษยวิทยาจะทำความเข้าใจสังคมมนุษย์ไทยอย่างถูกต้อง ก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่าสังคมผู้ดีไทยเป็นสังคมที่เห็นว่าพื้นที่มีความสำคัญมากกว่าคน ในแง่นี้คงยากที่จะมีนักมานุษยวิทยาที่แท้คนใดสามารถสื่อสารกับสังคมไทยโดยทั่วไปได้รู้เรื่อง เพราะสังคมนี้เจรจาหรือ "คุย" กันเรื่องพื้นที่ ไม่ได้ "คุย" กันเรื่องคน (ส่วนที่จะชอบซุบซิบกันเรื่องคนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนไม่สำคัญเท่าพื้นที่ จึงซุบซิบเอาก็พอแล้ว)
เมื่อผู้ดีเห็นว่าพื้นที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงพลอยทำให้เห็นไปว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของ "สถาบัน" เป็นความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงพื้นที่ไปด้วย วิธีปฏิบัติต่อ "สถาบัน" จึงเป็นวิธีที่ปฏิบัติต่อพื้นที่ คือ ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ความคิดเช่นนี้ไม่มากก็น้อยย่อมบดบังความสามารถในการเข้าใจความคิดเห็นของไพร่ ไพร่มิได้พยายามทำความเข้าใจเรื่องพื้นที่ แต่ไพร่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นคนของตน ("ไพร่") และของคนอื่น ๆ
การจำกัดให้ความรักต่อสถาบันมีอยู่เฉพาะในเชิงของความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่อาจโอบคลุมถึงความรักเคารพในมิติอื่นของความเป็นมนุษย์ "ไพร่" หรือคนเสื้อแดงไม่อาจเอาชนะใจคนไทยได้สำเร็จ เพราะไม่เข้าใจกรอบความคิดที่ครอบงำสังคมวัฒนธรรมไทยอยู่ฉันใด "ผู้ดี"ก็ย่อมไม่อาจเอาชนะใจไพร่ได้ หากไม่เข้าใจความคิดของไพร่ทีี่ให้ความสำคัญกับคนฉันนั้น
สัจธรรมมีอยู่ว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์และตัวมันเอง แต่น่าแปลกใจว่า ทั้ง ๆ ที่ผู้ดีในยุคศอฉ.สามารถใช้ถ้อยคำ ใช้สื่อสาธารณะ และกระทำรุนแรงต่อคู่ขัดแย้งได้ "เนียน" (แต่โหดเหี้ยมมากน้อยกว่ากันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) กว่าผู้ดีในยุค 6 ตุลาคม 2519 แต่ความเข้าใจต่อคู่ขัดแย้งมิได้พัฒนาให้มีความเข้าใจมากขึ้นหรือถูกต้องไปกว่าเดิมเลย การไม่เข้าใจความรักความเคารพในมิติอื่นที่นอกเหนือไปจากความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ อาจหมายถึงการไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก น่าเสียใจว่า สิ่งมีชีวิตใดมีพัฒนาการไปในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก สิ่งมีชีวิตนั้นอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดง และการสูญเสียชีวิตคนไทยด้วยกันเอง เป็นโอกาสอันสำคัญของนักมานุษยวิทยาทั้งมวล ซึ่ีงมีใจกลางของการศึกษาอยู่ที่มนุษย์ จะได้ทำความเข้าใจกับลักษณะที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ไทย
คนเสื้อแดงอาจเข้าใจลักษณะสังคมไทยได้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว (จึงทำให้พ่ายแพ้อย่างยับเยิน) กล่าวคือคนเสื้อแดงเข้าใจถูกต้องว่า คู่ความขัดแย้งในสังคมไทยเป็นคนขัดแย้งระหว่างไพร่ฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่น่าถูกต้องเลย ที่จะมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งคืออำมาตย์ เพราะคู่ตรงข้ามของไพร่คือผู้ดี มิใช่อำมาตย์อย่างที่คนเสื้อแดงเข้าใจ
เมื่อคู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่งเป็นไพร่ อีกฝ่ายจึงเพียงแต่ทำตัวเป็นผู้ดี ไพร่ก็ย่อมต่อสู้ด้วยอย่างลำบากยิ่ง ก็เอ็งเป็นไพร่อ่ะ ผู้ดีอย่างพวกเราจะต้องไปเสียเวลาคุยหรือเกลือกกลั้วด้วยทำไม ผู้ดีย่อมมีภาษีเหนือกว่าไพร่วันยันค่ำ คืนย้นรุ่ง
จะเพราะเป็นวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอิทธิพลของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือเพราะเกิดการเบี่ยงเบนออกจากความหมายที่แท้จริงของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือแม้แต่จะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับหนังสือสมบัติผู้ดีก็ตาม สังคมการเมืองไทยปัจจุบันย่อมเห็นว่า ผู้ดีคือผู้กำความถูกต้องเอาไว้ ไพร่จะมีความถูกต้องชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อยกระดับตนเองเป็นผู้ดีเท่านั้น ปัญหาของไพร่จึงเป็นปัญหาความเหนือกว่าของผู้ดี มิใช่ปัญหาเรื่องอำมาตย์ หรืออำมาตยาธิปไตย แม้ว่าอำมาตย์/อำมาตยาธิปไตยจะเป็นปัญหาก็ตาม
การเคารพสถานที่คือความเป็นผู้ดี การต้องเคารพสถานที่จึงเป็นความถูกต้อง การยึดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงผิด-เป็นการกระทำอย่างไพร่ ๆ คนเสื้่อแดงเข้าใจถูกต้องว่าบริเวณโดยรอบของราชประสงค์/สยามเซ็นเตอร์ ( ศูนย์กลางของสยามประเทศ) เป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจ แต่ความเป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจหมายความด้วยว่า เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทางเศรษฐกิจด้วย ดังมีผู้เปรียบเทียบกันบ่อย ๆ ว่า ศูนย์การค้าก็คือโบสถ์วิหารของศาสนาบริโภคนิยมในยุคนี้ ที่สาวกสาวิกาทั้งหลายต้องหมั่นเข้าไป "เช่า" หรือที่จริงก็คือ "ซื้อ" เครื่องรางของขลังประจำศาสนา (คือสินค้านานาชนิด) มาไว้ใช้สอยบูชาประจำตัว "โบสถ์วิหาร" ในบริเวณนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ย่อมสะท้อนให้เห็นได้จากการมีเทพหรือมหาเทพฝ่ายฮินดูมาสถิตย์เป็นมิ่งเป็นขวัญประจำสถานที่เป็นจำนวนมาก กล่าวกันในหมู่ซินแสภูมิสถานทั้งหลายว่า ถ้ามิใช่พื้นที่/ตลาด/ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ แล้ว ตั้งบูชาได้ก็แต่พระภูมิเจ้าที่เท่านั้น มิบังควรจะตั้งศาลพระพรหมเด็ดขาด ไหว้ไม่ถึง บูชาไม่ถึงหรอก โดยนัยนี้ บริเวณสยามเซ็นเตอร์/ราชประสงค์จึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
และไม่เพียง "โบสถ์วิหาร" ของศาสนาบริโภคนิยมจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น โรงพยาบาลก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะเป็นสถานที่ให้ผู้ดีได้อำนวยการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นสถานที่ีแห่งการแสดงทาน/เมตตาบารมี
การยึดหรือบุกเข้าไปสำรวจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นการกระทำที่ "อุกอาจ" ยิ่งนัก ในสายตาของผู้ดีไทย การยึดพื้นที่เยี่ยงนี้จึงชึ้ถึงความอ่อนด้อยของคนเสื้อแดงในการเข้าใจกระแสความคิดที่ครอบงำสังคมไทย
วัฒนธรรมผู้ดีไทยเห็นว่าพื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีก ศูนย์ที่เอะอะอ้างเอาแต่ความฉุกเฉินเฉพาะหน้า (ศอฉ) จึงไม่ต่างจากผู้ดีทั้งหลาย และจึงคอยตอกย้ำว่า พื้นที่ในสังคมวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ศอฉ.จึงขอคืนพื้นที่บ้าง ขอกระชับพื้นที่บ้าง ก็พื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์อ่ะ ใครบังอาจมารบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ จงออกไป ถ้าไล่ไม่ไปก็สมควรรับโทษทัณฑ์
หากนักมานุษยวิทยาจะทำความเข้าใจสังคมมนุษย์ไทยอย่างถูกต้อง ก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่าสังคมผู้ดีไทยเป็นสังคมที่เห็นว่าพื้นที่มีความสำคัญมากกว่าคน ในแง่นี้คงยากที่จะมีนักมานุษยวิทยาที่แท้คนใดสามารถสื่อสารกับสังคมไทยโดยทั่วไปได้รู้เรื่อง เพราะสังคมนี้เจรจาหรือ "คุย" กันเรื่องพื้นที่ ไม่ได้ "คุย" กันเรื่องคน (ส่วนที่จะชอบซุบซิบกันเรื่องคนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนไม่สำคัญเท่าพื้นที่ จึงซุบซิบเอาก็พอแล้ว)
เมื่อผู้ดีเห็นว่าพื้นที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงพลอยทำให้เห็นไปว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของ "สถาบัน" เป็นความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงพื้นที่ไปด้วย วิธีปฏิบัติต่อ "สถาบัน" จึงเป็นวิธีที่ปฏิบัติต่อพื้นที่ คือ ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ความคิดเช่นนี้ไม่มากก็น้อยย่อมบดบังความสามารถในการเข้าใจความคิดเห็นของไพร่ ไพร่มิได้พยายามทำความเข้าใจเรื่องพื้นที่ แต่ไพร่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นคนของตน ("ไพร่") และของคนอื่น ๆ
การจำกัดให้ความรักต่อสถาบันมีอยู่เฉพาะในเชิงของความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่อาจโอบคลุมถึงความรักเคารพในมิติอื่นของความเป็นมนุษย์ "ไพร่" หรือคนเสื้อแดงไม่อาจเอาชนะใจคนไทยได้สำเร็จ เพราะไม่เข้าใจกรอบความคิดที่ครอบงำสังคมวัฒนธรรมไทยอยู่ฉันใด "ผู้ดี"ก็ย่อมไม่อาจเอาชนะใจไพร่ได้ หากไม่เข้าใจความคิดของไพร่ทีี่ให้ความสำคัญกับคนฉันนั้น
สัจธรรมมีอยู่ว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์และตัวมันเอง แต่น่าแปลกใจว่า ทั้ง ๆ ที่ผู้ดีในยุคศอฉ.สามารถใช้ถ้อยคำ ใช้สื่อสาธารณะ และกระทำรุนแรงต่อคู่ขัดแย้งได้ "เนียน" (แต่โหดเหี้ยมมากน้อยกว่ากันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) กว่าผู้ดีในยุค 6 ตุลาคม 2519 แต่ความเข้าใจต่อคู่ขัดแย้งมิได้พัฒนาให้มีความเข้าใจมากขึ้นหรือถูกต้องไปกว่าเดิมเลย การไม่เข้าใจความรักความเคารพในมิติอื่นที่นอกเหนือไปจากความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ อาจหมายถึงการไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก น่าเสียใจว่า สิ่งมีชีวิตใดมีพัฒนาการไปในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก สิ่งมีชีวิตนั้นอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่จอดรถ"สุวรรณภูมิ"ฉาวอีก ทอท.ส่อชวดรายได้สัมปทาน300ล้าน/ปี
ประชาชาติธุรกิจ
ชำแหละธุรกิจ "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" เอกชนทึ้งกันแหลก หลังยกสัมปทานพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตรให้ "บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด" คุมผลประโยชน์เก็บเงินสดค่าบริการปีละกว่า 300 ล้านบาท ผ่านมา 4 เดือน ทอท.ไม่ได้รับเงินสักแดง ต้องใช้วิธียื่นหนังสือถึงแบงก์กสิกรไทยหักเงินค้ำประกันได้แค 66 ล้านบาท แถมเป็นคดีความฟ้องร้องกันนัว
นายปิยะพันธุ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเมื่อ 6 กันยายน 2553 ให้ฝ่ายบริหารยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิในพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (long term parking) สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิขนาด 62,380.50 ตารางเมตร รวมทั้งจะเร่งสะสางพื้นที่ทำรายได้กิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอื่นเป็นรายโครงการ และอาจพิจารณาไปถึงปัญหาบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เจ้าของสัมปทานลานจอดรถอาคารเอและบีพื้นที่รวมกว่า 1.6 แสนตารางเมตร
หลังแต่งตั้งบอร์ด 2 คน คือ นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.แทนนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. โดยเพิ่มนายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ เข้าไปเป็นกรรมการชุดนี้ด้วย มีผลทันที 7 กันยายน 2553 เป็นต้นไป
แหล่งข่าวระดับสูงจาก ทอท.เปิดเผยว่า ขุมทรัพย์ผลประโยชน์พื้นที่ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิขนาดใหญ่สุดปัจจุบันอยู่บริเวณอาคารเอและบีรวม 12 ชั้น พื้นที่ทั้งหมด 160,000 ตารางเมตร ช่วงเปิดสนามบินปีแรก ทอท.บริหารจัดการเองสามารถเก็บค่าบริการเป็นเงินสดได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท เดือนละ 28-30 ล้านบาท ปีละประมาณ 300-360 ล้านบาท แต่เมื่อกุมภาพันธ์ 2553 ได้เปิดประมูลให้สัมปทานแก่บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาบริหารจัดการลานจอดรถ ดังกล่าว เริ่ม 30 เมษายน 2553 เป็นต้นไป เป็นเวลา 5 ปี จ่ายผลตอบแทนเป็นค่าเช่าพื้นที่ 20 บาท/ตารางเมตร ประมาณเดือนละ 3.2 ล้านบาท และค่าส่วนแบ่งรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำเดือนละ 15.7 ล้านบาท
ผลปรากฏว่าตั้งแต่ได้สัมปทานบริหารลานจอดรถอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร โดยบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจเก็บเงินสดจากผู้โดยสารและพนักงานที่นำรถมาจอดในสุวรรณภูมิทุกวัน ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา พฤษภาคม-กันยายนนี้ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้ ทอท.แม้แต่เดือนเดียว มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท สร้างความเสียหายแก่องค์กรเป็นอย่างมาก ทั้งฝ่ายบริหารและบอร์ดไม่ได้เข้าจัดการอย่างจริงจัง
ล่าสุดเมื่อ 26 สิงหาคม 2553 กรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท.ได้ทำหนังสือพร้อมกับแนบเอกสารร้องเรียนของนายธนกฤต เจตกิตติโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดกระทรวงคมนาคม (นาย สุพจน ทรัพย์ล้อม) อ้างได้สิทธิเป็นผู้ลงนามสัญญาในฐานะบริษัทเจ้าของสัมปทาน ลานจอดรถอาคารเอและบีในสุวรรณภูมิ แต่ถูกนายธรรศ พจนประพันธ์ กรรมการอีกคนนำบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาแย่งจัดเก็บค่าบริการลานจอดรถจากลูกค้า และบุกรุกเข้าไปยังสำนักงาน ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ละเมิดสิทธิ์และสร้างความ เสียหาย จึงได้ยื่นฟ้องแพ่งเป็นเงิน 50 ล้านบาท เพราะตั้งแต่ 30 เมษายน-30 กรกฎาคม 2553 ได้ร้องเรียนไปยังนายนิรันดร์ ธีรนาทสิน ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิมาตลอด
พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ระหว่างที่หุ้นส่วน 2 คนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด คือนายธนกฤต กับนายธรรศ พจนประพันธ์ มีเรื่องขัดแย้งกันถึงขั้นอีกฝ่ายพกพาอาวุธเข้าไปในพื้นที่เขตพิเศษของ ทอท. นายนิรันดร์ซึ่งมีหน้าที่แก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายกลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดกันขึ้น เนื้อหาโดยสรุประบุเป็นเหตุให้จัดเก็บเงินส่ง ทอท.ไม่ได้
หลังจากนั้นนายธรรศ พจนประพันธ์ ยังได้ทำหนังสือขอให้นายนิรันดร์กับนางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ระงับการจ่ายเงินค่าหลักประกันซอง 20 ล้านบาท ผู้บริหารทั้ง 2 คนกลับมีคำสั่ง เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว ดังนั้นนายธนกฤตจึงฟ้องต่อศาลว่า นายนิรันดร์ ผอ.สุวรรณภูมิ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกประเด็น
จากนั้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2553 นายนิรันดร์ได้มีหนังสือไปถึงธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสยามสแควร์ แจ้งให้ธนาคารในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือเลขที่ 53-42-00008-0 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกัน ทอท. ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจ เมนท์ จำกัด ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา ที่ได้สัมปทานบริหารจัดการลานจอดรถอาคารเอและบี วงเงินรวมประมาณ 64,789,921.47 บาท พร้อมค่าปรับผิดนัดชำระเงินอีก 2,138,389.36 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 66,928,310.83 บาท ต่อมาธนาคารกสิกรไทยได้นำเงินดังกล่าวไปชำระแก่ ทอท. เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553
นายธนกฤตยังอ้างอีกว่า ทอท.ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าวได้ เพราะสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการบริหารจัดการอาคารจอดรถเอและบีในสุวรรณภูมิ แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนค้างชำระจากเงินค้ำประกันสัญญาดังกล่าวได้เลย พร้อมทั้งอ้างข้อกล่าวหาว่า นายนิรันดร์ถูกฟ้องจากตนถึงการกระทำโดยเจตนาทุจริตต่อกรณีดังกล่าว
รวมถึงได้ยกเหตุผลเรื่องที่นายนิรันดร์ทราบเป็นอย่างดีว่า ตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับ ทอท.แต่ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่ได้ทำสัญญาไว้ เพราะมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในปาร์คกิ้งและ ทอท.ไม่ได้ส่งมอบพื้นที่ให้ด้วย จึงเข้าไปเก็บเงินไม่ได้เลย
ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทกับกรมทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็น กลุ่มเดียวกัน มีผู้ถือหุ้นหลักคือ นายจุมพล ญาณวินิจฉัย กับ น.ส.ฤชอร จันทรศุภาวงศ์
บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เปิดเมื่อ 22 กรกฎาคม 2545 ผลการดำเนินงานปี 2552 มีรายได้ 5,026,416.03 บาท กำไรสุทธิ 1,593,902.38 บาท ส่วนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เปิดเมื่อ 31 มีนาคม 2553 จากนั้น เมื่อ 30 เมษายน 2553 ก็ลงนามเป็นคู่สัญญาได้สัมปทานเข้าบริหารลานจอดรถในสุวรรณภูมิจาก ทอท.
กรณีดังกล่าวมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งข้อสังเกตว่า การพิจารณาอนุมัติสัมปทานลานจอดรถของ ทอท.ในสุวรรณภูมิซึ่งมี พื้นที่มหาศาลและเกี่ยวข้องกับเงินสดที่จัดเก็บจากผู้นำรถมาจอดคิดเป็นรายได้วันละเกือบ 1 ล้านบาทนั้น เพราะเหตุใดจึงเกิดข้อพิพาทและมีปัญหาซับซ้อนปรากฏ โดยที่ ทอท. เสียหายทั้งภาพลักษณ์และผลประกอบการอันเป็นผลมาจากการให้สัมปทานบริษัทที่มีปัญหาเข้ามาดำเนินการนานถึง 5 ปี
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตอบคำถามนี้หลายครั้ง โดยระบุเหตุผลเหมือนกันคือ จะดูแลบริษัทคู่สัญญาของ ทอท.เป็นหลัก ไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งภายใน 2 บริษัทนี้ ถึงแม้จะมีบริษัทหนึ่งเป็นคู่สัญญาที่สร้างความเสียหายก็ตาม
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้บริษัท ซันไชน์ คอร์ปอเรชั่น (SSE) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยระบุจะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด พร้อมทั้งจะเพิ่มทุนจาก 5 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท ซึ่งก่อนและหลังเพิ่มทุนสัดส่วน ที่ร่วมถือหุ้นในบริษัทจะเปลี่ยนไป ได้แก่ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น 55% ต่อไปจะเหลือ 35% บริษัท สแตนดาร์ด พร้อมพ์ จำกัด 40% หลังเพิ่มทุนจะเหลือ 5% นาย ธนกฤต เจตกิตติโชค 5% มีผู้ถือรายใหม่ เข้ามาร่วมคือ บริษัท อควา จำกัด 16.67% บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง 16.67% ซันไชน์ คอร์ปอเรชั่น 12.5% นายธีรพงษ์ บุญศรี 12.5% ประกาศใช้เงินทุนหมุนเวียนชำระเงินทุนภายในกรกฎาคมที่ผ่านมา
****************************************************
ชำแหละธุรกิจ "ลานจอดรถสุวรรณภูมิ" เอกชนทึ้งกันแหลก หลังยกสัมปทานพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตรให้ "บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด" คุมผลประโยชน์เก็บเงินสดค่าบริการปีละกว่า 300 ล้านบาท ผ่านมา 4 เดือน ทอท.ไม่ได้รับเงินสักแดง ต้องใช้วิธียื่นหนังสือถึงแบงก์กสิกรไทยหักเงินค้ำประกันได้แค 66 ล้านบาท แถมเป็นคดีความฟ้องร้องกันนัว
นายปิยะพันธุ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเมื่อ 6 กันยายน 2553 ให้ฝ่ายบริหารยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิในพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (long term parking) สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิขนาด 62,380.50 ตารางเมตร รวมทั้งจะเร่งสะสางพื้นที่ทำรายได้กิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอื่นเป็นรายโครงการ และอาจพิจารณาไปถึงปัญหาบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เจ้าของสัมปทานลานจอดรถอาคารเอและบีพื้นที่รวมกว่า 1.6 แสนตารางเมตร
หลังแต่งตั้งบอร์ด 2 คน คือ นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.แทนนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. โดยเพิ่มนายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ เข้าไปเป็นกรรมการชุดนี้ด้วย มีผลทันที 7 กันยายน 2553 เป็นต้นไป
แหล่งข่าวระดับสูงจาก ทอท.เปิดเผยว่า ขุมทรัพย์ผลประโยชน์พื้นที่ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิขนาดใหญ่สุดปัจจุบันอยู่บริเวณอาคารเอและบีรวม 12 ชั้น พื้นที่ทั้งหมด 160,000 ตารางเมตร ช่วงเปิดสนามบินปีแรก ทอท.บริหารจัดการเองสามารถเก็บค่าบริการเป็นเงินสดได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท เดือนละ 28-30 ล้านบาท ปีละประมาณ 300-360 ล้านบาท แต่เมื่อกุมภาพันธ์ 2553 ได้เปิดประมูลให้สัมปทานแก่บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาบริหารจัดการลานจอดรถ ดังกล่าว เริ่ม 30 เมษายน 2553 เป็นต้นไป เป็นเวลา 5 ปี จ่ายผลตอบแทนเป็นค่าเช่าพื้นที่ 20 บาท/ตารางเมตร ประมาณเดือนละ 3.2 ล้านบาท และค่าส่วนแบ่งรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำเดือนละ 15.7 ล้านบาท
ผลปรากฏว่าตั้งแต่ได้สัมปทานบริหารลานจอดรถอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร โดยบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจเก็บเงินสดจากผู้โดยสารและพนักงานที่นำรถมาจอดในสุวรรณภูมิทุกวัน ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา พฤษภาคม-กันยายนนี้ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้ ทอท.แม้แต่เดือนเดียว มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท สร้างความเสียหายแก่องค์กรเป็นอย่างมาก ทั้งฝ่ายบริหารและบอร์ดไม่ได้เข้าจัดการอย่างจริงจัง
ล่าสุดเมื่อ 26 สิงหาคม 2553 กรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทอท.ได้ทำหนังสือพร้อมกับแนบเอกสารร้องเรียนของนายธนกฤต เจตกิตติโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ส่งถึงปลัดกระทรวงคมนาคม (นาย สุพจน ทรัพย์ล้อม) อ้างได้สิทธิเป็นผู้ลงนามสัญญาในฐานะบริษัทเจ้าของสัมปทาน ลานจอดรถอาคารเอและบีในสุวรรณภูมิ แต่ถูกนายธรรศ พจนประพันธ์ กรรมการอีกคนนำบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอน จำกัด เข้ามาแย่งจัดเก็บค่าบริการลานจอดรถจากลูกค้า และบุกรุกเข้าไปยังสำนักงาน ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ละเมิดสิทธิ์และสร้างความ เสียหาย จึงได้ยื่นฟ้องแพ่งเป็นเงิน 50 ล้านบาท เพราะตั้งแต่ 30 เมษายน-30 กรกฎาคม 2553 ได้ร้องเรียนไปยังนายนิรันดร์ ธีรนาทสิน ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิมาตลอด
พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ระหว่างที่หุ้นส่วน 2 คนของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด คือนายธนกฤต กับนายธรรศ พจนประพันธ์ มีเรื่องขัดแย้งกันถึงขั้นอีกฝ่ายพกพาอาวุธเข้าไปในพื้นที่เขตพิเศษของ ทอท. นายนิรันดร์ซึ่งมีหน้าที่แก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายกลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดกันขึ้น เนื้อหาโดยสรุประบุเป็นเหตุให้จัดเก็บเงินส่ง ทอท.ไม่ได้
หลังจากนั้นนายธรรศ พจนประพันธ์ ยังได้ทำหนังสือขอให้นายนิรันดร์กับนางดวงใจ คอนดี รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ระงับการจ่ายเงินค่าหลักประกันซอง 20 ล้านบาท ผู้บริหารทั้ง 2 คนกลับมีคำสั่ง เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว ดังนั้นนายธนกฤตจึงฟ้องต่อศาลว่า นายนิรันดร์ ผอ.สุวรรณภูมิ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกประเด็น
จากนั้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2553 นายนิรันดร์ได้มีหนังสือไปถึงธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสยามสแควร์ แจ้งให้ธนาคารในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือเลขที่ 53-42-00008-0 ลงวันที่ 28 เมษายน 2553 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกัน ทอท. ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจ เมนท์ จำกัด ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา ที่ได้สัมปทานบริหารจัดการลานจอดรถอาคารเอและบี วงเงินรวมประมาณ 64,789,921.47 บาท พร้อมค่าปรับผิดนัดชำระเงินอีก 2,138,389.36 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 66,928,310.83 บาท ต่อมาธนาคารกสิกรไทยได้นำเงินดังกล่าวไปชำระแก่ ทอท. เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553
นายธนกฤตยังอ้างอีกว่า ทอท.ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าวได้ เพราะสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการบริหารจัดการอาคารจอดรถเอและบีในสุวรรณภูมิ แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนค้างชำระจากเงินค้ำประกันสัญญาดังกล่าวได้เลย พร้อมทั้งอ้างข้อกล่าวหาว่า นายนิรันดร์ถูกฟ้องจากตนถึงการกระทำโดยเจตนาทุจริตต่อกรณีดังกล่าว
รวมถึงได้ยกเหตุผลเรื่องที่นายนิรันดร์ทราบเป็นอย่างดีว่า ตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 เป็นต้นมา บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับ ทอท.แต่ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่ได้ทำสัญญาไว้ เพราะมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในปาร์คกิ้งและ ทอท.ไม่ได้ส่งมอบพื้นที่ให้ด้วย จึงเข้าไปเก็บเงินไม่ได้เลย
ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทกับกรมทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เป็น กลุ่มเดียวกัน มีผู้ถือหุ้นหลักคือ นายจุมพล ญาณวินิจฉัย กับ น.ส.ฤชอร จันทรศุภาวงศ์
บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เปิดเมื่อ 22 กรกฎาคม 2545 ผลการดำเนินงานปี 2552 มีรายได้ 5,026,416.03 บาท กำไรสุทธิ 1,593,902.38 บาท ส่วนบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เปิดเมื่อ 31 มีนาคม 2553 จากนั้น เมื่อ 30 เมษายน 2553 ก็ลงนามเป็นคู่สัญญาได้สัมปทานเข้าบริหารลานจอดรถในสุวรรณภูมิจาก ทอท.
กรณีดังกล่าวมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งข้อสังเกตว่า การพิจารณาอนุมัติสัมปทานลานจอดรถของ ทอท.ในสุวรรณภูมิซึ่งมี พื้นที่มหาศาลและเกี่ยวข้องกับเงินสดที่จัดเก็บจากผู้นำรถมาจอดคิดเป็นรายได้วันละเกือบ 1 ล้านบาทนั้น เพราะเหตุใดจึงเกิดข้อพิพาทและมีปัญหาซับซ้อนปรากฏ โดยที่ ทอท. เสียหายทั้งภาพลักษณ์และผลประกอบการอันเป็นผลมาจากการให้สัมปทานบริษัทที่มีปัญหาเข้ามาดำเนินการนานถึง 5 ปี
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตอบคำถามนี้หลายครั้ง โดยระบุเหตุผลเหมือนกันคือ จะดูแลบริษัทคู่สัญญาของ ทอท.เป็นหลัก ไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งภายใน 2 บริษัทนี้ ถึงแม้จะมีบริษัทหนึ่งเป็นคู่สัญญาที่สร้างความเสียหายก็ตาม
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้บริษัท ซันไชน์ คอร์ปอเรชั่น (SSE) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยระบุจะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด พร้อมทั้งจะเพิ่มทุนจาก 5 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท ซึ่งก่อนและหลังเพิ่มทุนสัดส่วน ที่ร่วมถือหุ้นในบริษัทจะเปลี่ยนไป ได้แก่ บริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น 55% ต่อไปจะเหลือ 35% บริษัท สแตนดาร์ด พร้อมพ์ จำกัด 40% หลังเพิ่มทุนจะเหลือ 5% นาย ธนกฤต เจตกิตติโชค 5% มีผู้ถือรายใหม่ เข้ามาร่วมคือ บริษัท อควา จำกัด 16.67% บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง 16.67% ซันไชน์ คอร์ปอเรชั่น 12.5% นายธีรพงษ์ บุญศรี 12.5% ประกาศใช้เงินทุนหมุนเวียนชำระเงินทุนภายในกรกฎาคมที่ผ่านมา
****************************************************
วิกฤตการเมือง จบที่"ปรองดอง"
ข่าวสดรายวัน
อุณหภูมิการเมืองปรับตัวลดลงทันที
เมื่อนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลง 5 แนวทางปรองดอง เสนอต่อรัฐบาล
1. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการพูดจาหารือ แลกเปลี่ยนความคิด และความเชื่อระหว่างกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันอย่างสันติวิธี
2. พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าความสงบ สามัคคี และความเป็นชาติจะกลับคืนมาได้ด้วยการที่ทุกฝ่ายให้อภัยซึ่งกันและกัน และตกลงว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสมอภาคและมีความยุติธรรม โดยอาจจะพัฒนาจากคำพูดไปเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติก็ต้องแก้ไขด้วยรูปแบบนี้
3. พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนให้ทุกหมู่เหล่าหลีกเลี่ยงและละเว้นจากการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะจากวาจา การกระทำ หรือการใช้กฎหมายที่เกินความเหมาะสม
4. พรรคเพื่อไทยขอน้อมถวายพระพรชัยมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และให้ปวงชนทุกหมู่เทิดทูนถวายพระเกียรติ
5. พรรคเพื่อไทยหวังและเชื่อว่าจุดยืนและสัจจะวาจาของเราครั้งนี้ จะช่วยให้รัฐบาลและผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อความสงบได้คลายวิตก และเริ่มกระบวนการสมานฉันท์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการศึกษาใดๆ ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีก
"แถลงการณ์ฉบับนี้ถือว่าเป็นทั้งการทอดสันถวไมตรี และเป็นการยื่นคำขาดไปในตัว"
"หากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากคนในรัฐบาลก็ต้องบอกว่าตัวใครตัวมัน เพราะเรียมก็เหลือทนแล้วเหมือนกัน"
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนท่าทีของพรรคเพื่อไทยจากหน้ามือเป็นหลังมือครั้งนี้
ถึงจะได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในสังคมที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมายืดเยื้อยาวนานหลายปี
แต่ภายในพรรคประชาธิปัตย์แม้ปากจะบอกว่าเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุน แต่ในใจก็ยังมีความหวาดระแวงอยู่ไม่น้อยจนไม่กล้าผลีผลามตอบรับแนวทางปรองดองทั้ง 5 ข้อ
เพราะไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมาไม้ไหน
+++++++++++++++++++
การเงียบหายไปในระยะหลังของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
ทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่ากำลังแอบซุ่มวางแผนเคลื่อนไหวอะไรอีกหรือไม่
ส่งผลให้บรรดาลิ่วล้อพรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาปล่อยข่าวยุแหย่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังป่วยหนักทรุดโทรมถึงขั้นใกล้ตาย บางครั้งก็ลือกันหนักถึงขั้นว่าตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เพื่อล่อให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องแสดงตัวออกมา
เพราะเชื่อว่าถึงอย่างไรศัตรูในที่สว่างน่าจะอันตรายน้อยกว่าศัตรูในที่มืด
ซึ่งปรากฏว่าแผนล่อเสือออกจากถ้ำของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ได้ผล
พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกบดานอยู่นานได้กลับมาส่งทวิตเตอร์ถึงบรรดาแฟนคลับในไทยอีกครั้ง พร้อมทั้งเปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์ ล่าสุดคือมติชน-ข่าวสด
ประเด็นหลักๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสื่อถึงแฟนคลับและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
อย่างแรกคือการยืนยันว่าไม่ได้ล้มป่วย แต่ที่หายหน้าหายตาไปเพราะต้องเอาเวลาไปทำธุรกิจเหมืองเพชรพลอยที่เริ่มต้นลงทุนไว้หลายแห่งในประเทศแถบแอฟริกา
ที่สำคัญอย่างที่สองคือเพื่อแสดงเจตนาให้เห็นว่าต้องการให้ประเทศชาติเกิดความปรองดองอย่างแท้จริง
ถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณ จะปฏิเสธไม่ได้เป็นคนส่งสัญญาณให้นายปลอดประสพ ออกมาแถลงแนวทางการปรองดองทั้ง 5 ข้อที่เสนอแนะต่อรัฐบาล
แต่ในความเป็นจริงใครต่อใครต่างรู้ดีว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่รู้ไม่เห็นกับแนวทางปรองดองทั้ง 5 ข้อ
นอกจากนี้บทบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอิทธิพลไปถึงการจัดทัพปรับเปลี่ยนโครงสร้างล่าสุดของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย
เพราะทันทีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ แถลงลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ติดต่อทาบทามพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เข้ามาทำหน้าที่แทนเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ยังต้องรอผ่านพิธีกรรมการรับรองจากที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรควันที่ 14 ก.ย.นี้เท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผบ.ตร.ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ
ในช่วงปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 พล.ต.ท.โกวิท ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น "ตท.6" แต่ก็ถือเป็น "แกะดำ" ในหมู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช.
หลังจบเส้นทางราชการ ชีวิตก็พลิกผันเข้าสู่การเมือง ได้เป็นรองนายกฯ ควบเก้าอี้รมว.มหาดไทย ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และกลับเข้ามาเป็นรมว.มหาดไทยอีกครั้งในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
หลังการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นรัฐบาล ชื่อพล.ต.อ.โกวิท จึงเงียบหายไป
กล่าวกันว่าด้วยสาเหตุที่พล.ต.อ.โกวิท เคยรับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดนมานานกว่า 27 ปี คือเครื่องการันตีถึงความจงรักภักดีว่าไม่เป็นสองรองใคร
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว พล.ต.อ.โกวิท จึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของพ.ต.ท.ทักษิณ ในการทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เหนือกว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
สถานการณ์มีส่วนคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ดึงเอานายสมัคร สุนทรเวช แทนที่จะเป็นพล.อ.ชวลิต เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตามต่อไปว่าแผนปรองดอง 5 ข้อ
ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และจังหวะการถอยของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งยังผ่านการสร้างสรรค์จากบุคคลในแวดวงการเมืองทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงทูตต่างประเทศอีก 4-5 ประเทศ
จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
แต่ก็ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง
ซึ่งทุกฝ่ายในสังคมควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง
**********************************************************************
อุณหภูมิการเมืองปรับตัวลดลงทันที
เมื่อนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลง 5 แนวทางปรองดอง เสนอต่อรัฐบาล
1. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการพูดจาหารือ แลกเปลี่ยนความคิด และความเชื่อระหว่างกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันอย่างสันติวิธี
2. พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าความสงบ สามัคคี และความเป็นชาติจะกลับคืนมาได้ด้วยการที่ทุกฝ่ายให้อภัยซึ่งกันและกัน และตกลงว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสมอภาคและมีความยุติธรรม โดยอาจจะพัฒนาจากคำพูดไปเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติก็ต้องแก้ไขด้วยรูปแบบนี้
3. พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนให้ทุกหมู่เหล่าหลีกเลี่ยงและละเว้นจากการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะจากวาจา การกระทำ หรือการใช้กฎหมายที่เกินความเหมาะสม
4. พรรคเพื่อไทยขอน้อมถวายพระพรชัยมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และให้ปวงชนทุกหมู่เทิดทูนถวายพระเกียรติ
5. พรรคเพื่อไทยหวังและเชื่อว่าจุดยืนและสัจจะวาจาของเราครั้งนี้ จะช่วยให้รัฐบาลและผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อความสงบได้คลายวิตก และเริ่มกระบวนการสมานฉันท์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการศึกษาใดๆ ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีก
"แถลงการณ์ฉบับนี้ถือว่าเป็นทั้งการทอดสันถวไมตรี และเป็นการยื่นคำขาดไปในตัว"
"หากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากคนในรัฐบาลก็ต้องบอกว่าตัวใครตัวมัน เพราะเรียมก็เหลือทนแล้วเหมือนกัน"
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนท่าทีของพรรคเพื่อไทยจากหน้ามือเป็นหลังมือครั้งนี้
ถึงจะได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในสังคมที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมายืดเยื้อยาวนานหลายปี
แต่ภายในพรรคประชาธิปัตย์แม้ปากจะบอกว่าเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุน แต่ในใจก็ยังมีความหวาดระแวงอยู่ไม่น้อยจนไม่กล้าผลีผลามตอบรับแนวทางปรองดองทั้ง 5 ข้อ
เพราะไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมาไม้ไหน
+++++++++++++++++++
การเงียบหายไปในระยะหลังของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
ทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่ากำลังแอบซุ่มวางแผนเคลื่อนไหวอะไรอีกหรือไม่
ส่งผลให้บรรดาลิ่วล้อพรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาปล่อยข่าวยุแหย่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังป่วยหนักทรุดโทรมถึงขั้นใกล้ตาย บางครั้งก็ลือกันหนักถึงขั้นว่าตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เพื่อล่อให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องแสดงตัวออกมา
เพราะเชื่อว่าถึงอย่างไรศัตรูในที่สว่างน่าจะอันตรายน้อยกว่าศัตรูในที่มืด
ซึ่งปรากฏว่าแผนล่อเสือออกจากถ้ำของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ได้ผล
พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกบดานอยู่นานได้กลับมาส่งทวิตเตอร์ถึงบรรดาแฟนคลับในไทยอีกครั้ง พร้อมทั้งเปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์ ล่าสุดคือมติชน-ข่าวสด
ประเด็นหลักๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสื่อถึงแฟนคลับและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
อย่างแรกคือการยืนยันว่าไม่ได้ล้มป่วย แต่ที่หายหน้าหายตาไปเพราะต้องเอาเวลาไปทำธุรกิจเหมืองเพชรพลอยที่เริ่มต้นลงทุนไว้หลายแห่งในประเทศแถบแอฟริกา
ที่สำคัญอย่างที่สองคือเพื่อแสดงเจตนาให้เห็นว่าต้องการให้ประเทศชาติเกิดความปรองดองอย่างแท้จริง
ถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณ จะปฏิเสธไม่ได้เป็นคนส่งสัญญาณให้นายปลอดประสพ ออกมาแถลงแนวทางการปรองดองทั้ง 5 ข้อที่เสนอแนะต่อรัฐบาล
แต่ในความเป็นจริงใครต่อใครต่างรู้ดีว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่รู้ไม่เห็นกับแนวทางปรองดองทั้ง 5 ข้อ
นอกจากนี้บทบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอิทธิพลไปถึงการจัดทัพปรับเปลี่ยนโครงสร้างล่าสุดของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย
เพราะทันทีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ แถลงลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ติดต่อทาบทามพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เข้ามาทำหน้าที่แทนเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ยังต้องรอผ่านพิธีกรรมการรับรองจากที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรควันที่ 14 ก.ย.นี้เท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผบ.ตร.ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ
ในช่วงปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 พล.ต.ท.โกวิท ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น "ตท.6" แต่ก็ถือเป็น "แกะดำ" ในหมู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช.
หลังจบเส้นทางราชการ ชีวิตก็พลิกผันเข้าสู่การเมือง ได้เป็นรองนายกฯ ควบเก้าอี้รมว.มหาดไทย ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และกลับเข้ามาเป็นรมว.มหาดไทยอีกครั้งในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
หลังการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นรัฐบาล ชื่อพล.ต.อ.โกวิท จึงเงียบหายไป
กล่าวกันว่าด้วยสาเหตุที่พล.ต.อ.โกวิท เคยรับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดนมานานกว่า 27 ปี คือเครื่องการันตีถึงความจงรักภักดีว่าไม่เป็นสองรองใคร
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว พล.ต.อ.โกวิท จึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของพ.ต.ท.ทักษิณ ในการทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เหนือกว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
สถานการณ์มีส่วนคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ดึงเอานายสมัคร สุนทรเวช แทนที่จะเป็นพล.อ.ชวลิต เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตามต่อไปว่าแผนปรองดอง 5 ข้อ
ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และจังหวะการถอยของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งยังผ่านการสร้างสรรค์จากบุคคลในแวดวงการเมืองทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงทูตต่างประเทศอีก 4-5 ประเทศ
จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
แต่ก็ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง
ซึ่งทุกฝ่ายในสังคมควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง
**********************************************************************
พล.ต.อ.โกวิท ทางรอดเพื่อไทย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ
แกนนำยันคู่แข่งหนุนนั่งหัวหน้าพรรค
ทันทีที่มีข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เข้ามารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็กลายเป็นกระแสกระหึ่มสังคมการเมืองไทยในทันที
ทุกคนมองว่านี่คือความพยายามที่จะลบล้างข้อครหาความไม่จงรักภักดี และเป็นขบวนการล้มสถาบัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยโดนกล่าวหาในเรื่องนี้มาโดยตลอด
หากเป็น พล.ต.อ.โกวิท ข้อกล่าวหาป้ายสีเรื่องสถาบัน ก็น่าจะยุติความคลางแคลงไปได้แน่
เพราะหากมองประวัติของ พล.ต.อ.โกวิท ก็ต้องบอกว่า เป็นการเดินแต้มคูทางการเมืองที่น่าทึ่งจริงๆ
พล.ต.อ.โกวิท นอกจากจะได้รับการการันตีในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันแล้ว ที่ผ่านมาต้องถือว่ามีความตรง มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง และได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจที่ตรงไปตรงมาที่สุดคนหนึ่งของวงการสีกากี
ที่สำคัญชีวิตราชการส่วนใหญ่สังกัดตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) จึงรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด
ตั้งแต่สมัยสมเด็จย่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร
เพราะหนึ่งในหน้าที่สำคัญของ ตชด. คือถวายการอารักขาอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงสีกากีและสังคมโดยรวม ว่าไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย แม้ในวันที่ต้องถูกรัฐบาลเผด็จการทหารสั่งย้ายเพราะไม่ยอม ซ้ายหัน ขวาหัน ตามคำสั่ง
แม้ว่าการขึ้นเป็นผบ.ตร.จะอยู่ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพราะอาวุโสสูงสุด และไม่มีเรื่องเสียหาย ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังต้องแต่งตั้งให้เป็นผบ.ตร.
แต่ในช่วงดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ในยุคพ.ต.ท. ทักษิณนั้น พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมเพื่อใครทั้งสิ้น
แม้แต่กระทั่งช่วงรัฐประหาร คมช.ขึ้นมามีอำนาจ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 หลังจากนั้นไม่นาน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็สั่งย้ายผบ.ตร.มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งผู้คนในวงการสีกากี ต่างรู้ดีว่า พล.ต.อ.โกวิท เด้งเพราะหัวแข็งเกินไป และตรงเกินไป
ขนาดตอนที่เกิดการปฏิวัติใหม่ๆ มีขั้วอำนาจบางกลุ่มความพยายามเจรจาให้ลดความเข้มในการดำเนินคดีกับม็อบขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ แต่พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ยอม แถมสั่งให้ดำเนินการไปตามหลักฐานที่ปรากฏอย่างเป็นกลาง และเป็นธรรมที่สุด
สุดท้าย พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยใช้อำนาจย้ายพล.ต.อ.โกวิท ให้มาเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้พ้นเก้าอี้ผบ.ตร.อย่างเด็ดขาด แต่คำสั่งดังกล่าวกลายเป็นคำสั่งที่ขัดกับพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เพราะมีบัญญัติไว้ว่าการจะย้ายตำรวจออกนอกหน่วย ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว
พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีขึ้นเพื่อปกป้องมิให้ตำรวจถนักการเมืองครอบงำนั่นเอง
และทำให้ พล.ต.อ.โกวิท จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องหลักการ รวมไปถึงวงการสีกากี เพื่อมิให้นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจอื่นๆ ก้าวล่วงเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องในอนาคต
แต่ค่อนข้างที่จะเป็นการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวมาก เพราะแม้แต่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ยังแหยงอำนาจ คมช. จึงอ้อมแอ้มว่านายกฯ น่าที่จะมีอำนาจย้ายผบ.ตร.พ้นตำแหน่งได้
ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท เดินหน้าสู้ ด้วยการฟ้องศาลปกครอง จนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมา ทาง พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยต้องอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองไปยังศาลปกครองสูงสุด
แต่ศาลปกครองสูงสุด ก็ยังคงมีความเห็นสอดคล้องกับศาลปกครอง จนศาลปกครองกลางที่พิจารณาคดีที่พล.ต.อ.โกวิท ฟ้องพล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้ามาใกล้ถึงบทสรุป เมื่อมีคำสั่งให้คู่กรณียื่นเอกสาร และหลักฐานคำร้องครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 กันยายน 2550 ก่อนนัดฟังคำพิพากษา
วันที่ 28 สิงหาคม 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จึงต้องชิงออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งเก่า และเป็นคำสั่งที่ให้มีผลย้อนหลังกลับไปยังวันที่ออกคำสั่งย้าย พล.ต.อ.โกวิทด้วย
เลยทำให้คดีนี้ยุติไปดื้อๆ ส่วน พล.ต.อ.โกวิท ก็จึงยังได้ชื่อว่าเป็นผบ.ตร.จนเกษียณอายุราชการ ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย
ดังนั้นหากมองตามคุณสมบัติเช่นนี้ ก็บอกได้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณพิเศษเพื่อมุ่งหวังผลในเรื่องปรองดอง โดยอาศัยมือของ พล.ต.อ.โกวิท นั่นเอง
ดังนั้นแม้ว่าช่วงแรกๆในพรรคเพื่อไทยอาจจะงง หรืออาจจะรับมุกไม่ทัน แต่สุดท้ายเสียงขานรับก็ดังกระหึ่ม
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สมาชิกพรรคหลายคนไม่ขัดข้องกับชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เพราะเป็นนายตำรวจที่มีความซื่อสัตย์ มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรใหญ่ ซึ่งคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ตราบใดที่ยังมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรค
ส่วนที่ว่า หาก พล.ต.อ.โกวิท ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จะเป็นการลดบทบาท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พ.อ.อภิวันท์ ชี้แจงว่า พล.อ.ชวลิต ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง และต้องการเข้ามาสร้างความปรองดอง รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวถึงการเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า แนวทางการสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะต้องชี้แจงให้ชัดเจน ว่าความขัดแย้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดจากสาเหตุใด และต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นภายใต้มาตรฐานเดียว นอกจากนี้ การปรองดองจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูในวันที่ 14 ก.ย.ที่จะมีการประชุมพรรค ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรคจะเป็น พล.ต.อ.โกวิท หรือไม่ เพราะทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมพรรคด้วย แต่ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครขัดข้อง
ส่วนที่ว่า คนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ทางพรรคจะชูให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาหารือกันภายในพรรคอีกครั้ง
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ในฐานะที่เป็นคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คิดว่า พล.อ.ชวลิตมีปัญหาหรือไม่ หากทางพรรคจะเอา พล.ต.อ.โกวิทมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ ยืนยันว่า พล.อ.ชวลิตก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้พล.ต.อ.โกวิทมานั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะเชื่อว่าในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้จำเป็นต้องหาคนที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้
ดังนั้นจึงเชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองของไทยในอนาคตก็จะดีขึ้นกว่าที่เป็นที่อยู่
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.ภาค กทม.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า จริงๆแล้วพรรคเพื่อไทยมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคอยู่ตลอด ดังนั้นคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถนำพาพรรคไปสู่เป้าหมายได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองให้เกิดความปรองดองได้
จึงเชื่อว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะสามารถทำงานให้กับพรรคได้ เพราะเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ทำงานดูแลปัญหาให้กับประชาชนและข้าราชการมาโดยตลอด
ซึ่งคงต้องรอดูการตัดสินใจของสมาชิกพรรคอีกครั้งในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรควันที่ 14 กันยายน อย่างไรก็ตามจากที่เคยร่วมงานกับ พล.ต.อ.โกวิท ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาก่อน เป็นคนที่พูดอะไร ค่อนข้างเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติหน้าที่ งานไหนไม่ชัดเจนก็ไม่ดำเนินการ เรื่องใดที่รับปากก็จะทำงานให้สำเร็จ
และพล.ต.อ.โกวิท เป็นคนหนึ่งที่คนในกองทัพรู้จัก และมีความสนิทสนมกันมาตลอด จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการหยิบมาพิจารณา แต่การที่ พล.ต.อ.โกวิท จะมาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีการติดต่อหรือสั่งการมาที่พรรคแต่อย่างใด
ด้านนายพายัพ ชินวัตร ประธาน ส.ส. ภาคอีสาน กล่าวแค่ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องที่พรรคจะพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนหากมีการเสนอชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนตัวเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม และคงไม่มีปัญหาอะไร
รวมทั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยอมรับว่า ไม่ทราบรายละเอียดการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่จากข่าวและทวิตเตอร์ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะเป็นการส่งสัญญาณในการสร้างความปรองดอง และน่าจะทำให้พรรคมีความเป็นระบบมากขึ้น
แต่ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากนัก ก็ต้องให้หลายฝ่ายเข้ามาช่วยทำงาน ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
และที่สำคัญพรรคเพื่อไทย ต้องปรับโครงสร้าง ปรับนโยบายให้เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งต้องรักษาบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยต้องไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงสั่งพรรคได้ เพราะจะสูญเสียความเข้มแข็งของพรรคไป แต่ขณะเดียวกัน พรรคต้องไม่ทิ้งการต่อสู้ของประชาชนแบบสันติวิธี ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญระหว่างพรรค และกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องยากพอสมควร
นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการหารือกันนอกรอบระหว่างส.ส.ในภาคต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานได้เห็นตรงกันว่า เมื่อมีสัญญานมาว่ามีชื่อของพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เท่ากับว่า ส.ส.ในพรรคต้องฟังสัญญานนี้ เพราะน่าจะมีการมองถึงการแก้ปัญหาทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกโจมตี
รวมทั้งการเตรียมเรื่องการปรองดองและเตรียมเลือกตั้งในอนาคต
จึงคาดว่าในวันอังคารที่ 14 กย.ที่จะมีการประชุมวิสามัญพรรค ซึ่งมีวาระพิเศษคือเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ พล.ต.อ.โกวิท น่าจะมาแรงที่สุด คือ ส.ส.ส่วนใหญ่จะโหวตเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคแน่นอน
ส่วนรายชื่อบุคคลอื่นในพรรคที่มีส.ส.เสนอหลายคน เช่น พล.อ.ชวลิต นั้น เท่าที่ส.ส.สอบถามไปทางพล.อ.ชวลิต ล่าสุดนั้นได้มีการปฎิเสธว่าจะไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากต้องการเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทยเพื่อทำประโยชน์ให้บ้านเมือง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกันในรายละเอียดต้องรอให้พล.ต.อ.โกวิท เข้ามาทำงานในพรรคจริงๆเสียก่อน โดยหลักการปรองดองใดๆ ต้องอยู่บนหลักของความเสมอภาค เท่าเทียม ถามว่าถ้าไม่มีการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตจะปรองดองอย่างไร
ดังนั้นการปรองดองจะละเลย 91 ศพและผู้บาดเจ็บไม่ได้ จึงไม่ใช่ว่าใครมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเรื่องเหล่านี้จะไม่มีแล้ว แต่เรื่องคนตายจะยังอยู่เพราะมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจริง การปรองดองจึงไม่ใช่ยอมจำนวน ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่ใช่การรวมศูนย์แต่รวมความคิดเห็น
“กรณีเสนอชื่อพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องของความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ทั้งหมดต้องรอให้มีความชัดเจน โดยพล.ต.อ.โกวิท เข้ามารับตำแหน่งจริงเสียก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยมีความจงรักภักดี และพล.ต.อ.โกวิทก็จงรักภักดี”
เพราะเหตุนี้แหละที่แม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนา และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ยังเชื่อว่าการเปลี่ยนตัว หน.พรรคเพื่อไทย จะส่งผลดีทางการเมือง
อย่างเช่น นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีนัยทางการเมือง 2 ประเด็นคือ เตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือ เพื่อสานต่อภารกิจการสร้างความปรองดองในชาติ แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่าจะส่งผลดีทางการเมือง เพราะพรรคเพื่อไทยจะได้มีทิศทางและภารกิจที่ชัดเจนมากขึ้นว่า จะมียุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างไร
ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาอยากฝากถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ อย่าละทิ้งภารกิจเรื่องการสร้างความปรองดองในชาติ เพราะปัญหาความแตกแยกในสังคมมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาทางการเมือง ดังนั้นนักการเมืองต้องเป็นคนเริ่มกระบวนการปรองดอง ซึ่งเรื่องนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความจริงใจจาก 2 พรรคใหญ่
และไม่อยากให้มองว่า ใครเริ่มเดินหน้าเรื่องนี้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง เพราะการเอาชนะทิฐิของตัวเองนั้น ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาพร้อมสนับสนุนกระบวนการนี้ ขณะเดียวกันพร้อมอ้าแขนรับสมาชิกพรรคอื่นที่จะมาร่วมงานการทางการเมืองด้วยกัน เพราะข้อดีของพรรคชาติไทยพัฒนาคือ ไม่เป็นศัตรูกับใคร
แม้แต่จอมกอด อย่างนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็ฉวยจังหวะออกมาระบุว่าเป็นความโชคดีของพรรคเพื่อไทยหากได้ พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าพรรค เพราะพลตำรวจเอกโกวิท เป็นคนดี และมีความจงภักดีจริง
นี่แหละที่ทำให้ทุกฝ่ายมองว่า เป็นการเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ละเอียดลึกซึ้ง และเหนือชั้นจริงๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ
แกนนำยันคู่แข่งหนุนนั่งหัวหน้าพรรค
ทันทีที่มีข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เข้ามารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็กลายเป็นกระแสกระหึ่มสังคมการเมืองไทยในทันที
ทุกคนมองว่านี่คือความพยายามที่จะลบล้างข้อครหาความไม่จงรักภักดี และเป็นขบวนการล้มสถาบัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยโดนกล่าวหาในเรื่องนี้มาโดยตลอด
หากเป็น พล.ต.อ.โกวิท ข้อกล่าวหาป้ายสีเรื่องสถาบัน ก็น่าจะยุติความคลางแคลงไปได้แน่
เพราะหากมองประวัติของ พล.ต.อ.โกวิท ก็ต้องบอกว่า เป็นการเดินแต้มคูทางการเมืองที่น่าทึ่งจริงๆ
พล.ต.อ.โกวิท นอกจากจะได้รับการการันตีในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันแล้ว ที่ผ่านมาต้องถือว่ามีความตรง มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง และได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจที่ตรงไปตรงมาที่สุดคนหนึ่งของวงการสีกากี
ที่สำคัญชีวิตราชการส่วนใหญ่สังกัดตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) จึงรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด
ตั้งแต่สมัยสมเด็จย่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร
เพราะหนึ่งในหน้าที่สำคัญของ ตชด. คือถวายการอารักขาอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงสีกากีและสังคมโดยรวม ว่าไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย แม้ในวันที่ต้องถูกรัฐบาลเผด็จการทหารสั่งย้ายเพราะไม่ยอม ซ้ายหัน ขวาหัน ตามคำสั่ง
แม้ว่าการขึ้นเป็นผบ.ตร.จะอยู่ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพราะอาวุโสสูงสุด และไม่มีเรื่องเสียหาย ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังต้องแต่งตั้งให้เป็นผบ.ตร.
แต่ในช่วงดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ในยุคพ.ต.ท. ทักษิณนั้น พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมเพื่อใครทั้งสิ้น
แม้แต่กระทั่งช่วงรัฐประหาร คมช.ขึ้นมามีอำนาจ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 หลังจากนั้นไม่นาน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็สั่งย้ายผบ.ตร.มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งผู้คนในวงการสีกากี ต่างรู้ดีว่า พล.ต.อ.โกวิท เด้งเพราะหัวแข็งเกินไป และตรงเกินไป
ขนาดตอนที่เกิดการปฏิวัติใหม่ๆ มีขั้วอำนาจบางกลุ่มความพยายามเจรจาให้ลดความเข้มในการดำเนินคดีกับม็อบขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ แต่พล.ต.อ.โกวิท ก็ไม่ยอม แถมสั่งให้ดำเนินการไปตามหลักฐานที่ปรากฏอย่างเป็นกลาง และเป็นธรรมที่สุด
สุดท้าย พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยใช้อำนาจย้ายพล.ต.อ.โกวิท ให้มาเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้พ้นเก้าอี้ผบ.ตร.อย่างเด็ดขาด แต่คำสั่งดังกล่าวกลายเป็นคำสั่งที่ขัดกับพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เพราะมีบัญญัติไว้ว่าการจะย้ายตำรวจออกนอกหน่วย ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว
พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีขึ้นเพื่อปกป้องมิให้ตำรวจถนักการเมืองครอบงำนั่นเอง
และทำให้ พล.ต.อ.โกวิท จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องหลักการ รวมไปถึงวงการสีกากี เพื่อมิให้นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจอื่นๆ ก้าวล่วงเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องในอนาคต
แต่ค่อนข้างที่จะเป็นการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวมาก เพราะแม้แต่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ยังแหยงอำนาจ คมช. จึงอ้อมแอ้มว่านายกฯ น่าที่จะมีอำนาจย้ายผบ.ตร.พ้นตำแหน่งได้
ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท เดินหน้าสู้ ด้วยการฟ้องศาลปกครอง จนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมา ทาง พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เลยต้องอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองไปยังศาลปกครองสูงสุด
แต่ศาลปกครองสูงสุด ก็ยังคงมีความเห็นสอดคล้องกับศาลปกครอง จนศาลปกครองกลางที่พิจารณาคดีที่พล.ต.อ.โกวิท ฟ้องพล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้ามาใกล้ถึงบทสรุป เมื่อมีคำสั่งให้คู่กรณียื่นเอกสาร และหลักฐานคำร้องครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 กันยายน 2550 ก่อนนัดฟังคำพิพากษา
วันที่ 28 สิงหาคม 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จึงต้องชิงออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งเก่า และเป็นคำสั่งที่ให้มีผลย้อนหลังกลับไปยังวันที่ออกคำสั่งย้าย พล.ต.อ.โกวิทด้วย
เลยทำให้คดีนี้ยุติไปดื้อๆ ส่วน พล.ต.อ.โกวิท ก็จึงยังได้ชื่อว่าเป็นผบ.ตร.จนเกษียณอายุราชการ ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย
ดังนั้นหากมองตามคุณสมบัติเช่นนี้ ก็บอกได้ว่า นี่คือการส่งสัญญาณพิเศษเพื่อมุ่งหวังผลในเรื่องปรองดอง โดยอาศัยมือของ พล.ต.อ.โกวิท นั่นเอง
ดังนั้นแม้ว่าช่วงแรกๆในพรรคเพื่อไทยอาจจะงง หรืออาจจะรับมุกไม่ทัน แต่สุดท้ายเสียงขานรับก็ดังกระหึ่ม
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สมาชิกพรรคหลายคนไม่ขัดข้องกับชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เพราะเป็นนายตำรวจที่มีความซื่อสัตย์ มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรใหญ่ ซึ่งคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ตราบใดที่ยังมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรค
ส่วนที่ว่า หาก พล.ต.อ.โกวิท ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จะเป็นการลดบทบาท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พ.อ.อภิวันท์ ชี้แจงว่า พล.อ.ชวลิต ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง และต้องการเข้ามาสร้างความปรองดอง รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวถึงการเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า แนวทางการสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะต้องชี้แจงให้ชัดเจน ว่าความขัดแย้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดจากสาเหตุใด และต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นภายใต้มาตรฐานเดียว นอกจากนี้ การปรองดองจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูในวันที่ 14 ก.ย.ที่จะมีการประชุมพรรค ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรคจะเป็น พล.ต.อ.โกวิท หรือไม่ เพราะทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมพรรคด้วย แต่ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครขัดข้อง
ส่วนที่ว่า คนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ทางพรรคจะชูให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาหารือกันภายในพรรคอีกครั้ง
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ในฐานะที่เป็นคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คิดว่า พล.อ.ชวลิตมีปัญหาหรือไม่ หากทางพรรคจะเอา พล.ต.อ.โกวิทมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ ยืนยันว่า พล.อ.ชวลิตก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้พล.ต.อ.โกวิทมานั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะเชื่อว่าในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้จำเป็นต้องหาคนที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้
ดังนั้นจึงเชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองของไทยในอนาคตก็จะดีขึ้นกว่าที่เป็นที่อยู่
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.ภาค กทม.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า จริงๆแล้วพรรคเพื่อไทยมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคอยู่ตลอด ดังนั้นคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถนำพาพรรคไปสู่เป้าหมายได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองให้เกิดความปรองดองได้
จึงเชื่อว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะสามารถทำงานให้กับพรรคได้ เพราะเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ทำงานดูแลปัญหาให้กับประชาชนและข้าราชการมาโดยตลอด
ซึ่งคงต้องรอดูการตัดสินใจของสมาชิกพรรคอีกครั้งในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรควันที่ 14 กันยายน อย่างไรก็ตามจากที่เคยร่วมงานกับ พล.ต.อ.โกวิท ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาก่อน เป็นคนที่พูดอะไร ค่อนข้างเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติหน้าที่ งานไหนไม่ชัดเจนก็ไม่ดำเนินการ เรื่องใดที่รับปากก็จะทำงานให้สำเร็จ
และพล.ต.อ.โกวิท เป็นคนหนึ่งที่คนในกองทัพรู้จัก และมีความสนิทสนมกันมาตลอด จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการหยิบมาพิจารณา แต่การที่ พล.ต.อ.โกวิท จะมาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีการติดต่อหรือสั่งการมาที่พรรคแต่อย่างใด
ด้านนายพายัพ ชินวัตร ประธาน ส.ส. ภาคอีสาน กล่าวแค่ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องที่พรรคจะพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนหากมีการเสนอชื่อ พล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนตัวเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม และคงไม่มีปัญหาอะไร
รวมทั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยอมรับว่า ไม่ทราบรายละเอียดการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่จากข่าวและทวิตเตอร์ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะเป็นการส่งสัญญาณในการสร้างความปรองดอง และน่าจะทำให้พรรคมีความเป็นระบบมากขึ้น
แต่ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากนัก ก็ต้องให้หลายฝ่ายเข้ามาช่วยทำงาน ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
และที่สำคัญพรรคเพื่อไทย ต้องปรับโครงสร้าง ปรับนโยบายให้เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งต้องรักษาบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยต้องไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงสั่งพรรคได้ เพราะจะสูญเสียความเข้มแข็งของพรรคไป แต่ขณะเดียวกัน พรรคต้องไม่ทิ้งการต่อสู้ของประชาชนแบบสันติวิธี ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญระหว่างพรรค และกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องยากพอสมควร
นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการหารือกันนอกรอบระหว่างส.ส.ในภาคต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานได้เห็นตรงกันว่า เมื่อมีสัญญานมาว่ามีชื่อของพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เท่ากับว่า ส.ส.ในพรรคต้องฟังสัญญานนี้ เพราะน่าจะมีการมองถึงการแก้ปัญหาทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกโจมตี
รวมทั้งการเตรียมเรื่องการปรองดองและเตรียมเลือกตั้งในอนาคต
จึงคาดว่าในวันอังคารที่ 14 กย.ที่จะมีการประชุมวิสามัญพรรค ซึ่งมีวาระพิเศษคือเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ พล.ต.อ.โกวิท น่าจะมาแรงที่สุด คือ ส.ส.ส่วนใหญ่จะโหวตเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคแน่นอน
ส่วนรายชื่อบุคคลอื่นในพรรคที่มีส.ส.เสนอหลายคน เช่น พล.อ.ชวลิต นั้น เท่าที่ส.ส.สอบถามไปทางพล.อ.ชวลิต ล่าสุดนั้นได้มีการปฎิเสธว่าจะไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากต้องการเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทยเพื่อทำประโยชน์ให้บ้านเมือง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกันในรายละเอียดต้องรอให้พล.ต.อ.โกวิท เข้ามาทำงานในพรรคจริงๆเสียก่อน โดยหลักการปรองดองใดๆ ต้องอยู่บนหลักของความเสมอภาค เท่าเทียม ถามว่าถ้าไม่มีการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตจะปรองดองอย่างไร
ดังนั้นการปรองดองจะละเลย 91 ศพและผู้บาดเจ็บไม่ได้ จึงไม่ใช่ว่าใครมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเรื่องเหล่านี้จะไม่มีแล้ว แต่เรื่องคนตายจะยังอยู่เพราะมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจริง การปรองดองจึงไม่ใช่ยอมจำนวน ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่ใช่การรวมศูนย์แต่รวมความคิดเห็น
“กรณีเสนอชื่อพล.ต.อ.โกวิท เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องของความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ทั้งหมดต้องรอให้มีความชัดเจน โดยพล.ต.อ.โกวิท เข้ามารับตำแหน่งจริงเสียก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยมีความจงรักภักดี และพล.ต.อ.โกวิทก็จงรักภักดี”
เพราะเหตุนี้แหละที่แม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนา และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ยังเชื่อว่าการเปลี่ยนตัว หน.พรรคเพื่อไทย จะส่งผลดีทางการเมือง
อย่างเช่น นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีนัยทางการเมือง 2 ประเด็นคือ เตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือ เพื่อสานต่อภารกิจการสร้างความปรองดองในชาติ แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่าจะส่งผลดีทางการเมือง เพราะพรรคเพื่อไทยจะได้มีทิศทางและภารกิจที่ชัดเจนมากขึ้นว่า จะมียุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างไร
ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาอยากฝากถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ อย่าละทิ้งภารกิจเรื่องการสร้างความปรองดองในชาติ เพราะปัญหาความแตกแยกในสังคมมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาทางการเมือง ดังนั้นนักการเมืองต้องเป็นคนเริ่มกระบวนการปรองดอง ซึ่งเรื่องนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความจริงใจจาก 2 พรรคใหญ่
และไม่อยากให้มองว่า ใครเริ่มเดินหน้าเรื่องนี้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง เพราะการเอาชนะทิฐิของตัวเองนั้น ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาพร้อมสนับสนุนกระบวนการนี้ ขณะเดียวกันพร้อมอ้าแขนรับสมาชิกพรรคอื่นที่จะมาร่วมงานการทางการเมืองด้วยกัน เพราะข้อดีของพรรคชาติไทยพัฒนาคือ ไม่เป็นศัตรูกับใคร
แม้แต่จอมกอด อย่างนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็ฉวยจังหวะออกมาระบุว่าเป็นความโชคดีของพรรคเพื่อไทยหากได้ พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าพรรค เพราะพลตำรวจเอกโกวิท เป็นคนดี และมีความจงภักดีจริง
นี่แหละที่ทำให้ทุกฝ่ายมองว่า เป็นการเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ละเอียดลึกซึ้ง และเหนือชั้นจริงๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553
ค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์ไทย
สมชัย จิตสุชน
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
“วิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้ทำไมธนาคารพาณิชย์ของไทยกำไรเอา ๆ”
“ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงเหลือเกิน”
“ธนาคารโขกค่าธรรมเนียมแพงมาก รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้นตลอดเวลา ไม่ต้องหากำไรจากดอกเบี้ยก็กำไรบานอยู่แล้ว”
ระยะหนึ่งปีมานี้เราได้ยินเสียงบ่นเสียงวิจารณ์ธนาคารพาณิชย์ของไทยในทำนองข้างต้นหนาหูขึ้น บ่งบอกถึงความข้องใจของสังคมโดยรวมว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยทำหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ ค้ากำไรเกินควรหรือไม่ ฮั้วกันหรือไม่
แบงก์ชาติซึ่งมีหน้าที่กำกับสถาบันการเงินมีท่าทีในเรื่องนี้สองด้าน ด้านหนึ่งก็ออกมาปกป้องว่าส่วนต่างดอกเบี้ยระดับปัจจุบันไม่สูงเกินไป ลดได้แต่ต้องใช้เวลาเมื่อมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการจัดการลง ในอีกด้านหนึ่งก็พยายามกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ลดค่าธรรมเนียมบางประการลง เช่นค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามเขต ค่าธรรมเนียมระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่นการโอนจ่ายเงินครั้งละหลาย ๆ ราย (bulk payment) เช่นจ่ายเงินเดือนพนักงานหรือซื้อของคราวละมากราย (ที่เรียกว่าบริการ SMART) การโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม การโอนเงินรายใหญ่ที่เรียกว่า BAHTNET เป็นต้น
ธนาคารพาณิชย์เองก็ออกมาแก้ต่างว่าธนาคารส่วนต่างดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป โดยบอกต้องดูที่อัตรากำไรต่อทุนหรือที่เรียกว่า ROE (return on equity) ที่อยู่แถว ๆ 1% เท่านั้น ส่วนกำไรสูงในช่วงวิกฤติก็เป็นเพราะการปล่อยกู้มีความเสี่ยงสูง จึงต้องรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยไว้ป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ถือหุ้นของธนาคารเอง หากไม่ทำก็ไม่เป็นการดูแลผู้ถือหุ้น ผิดหลักบรรษัทภิบาล นักการเมืองและนักวิชาการไม่เข้าใจการทำธุรกิจ จึงไม่ควรวิจารณ์ด้วยความไม่รู้ ในส่วนการโอนเงินข้ามเขตเหตุที่ต้องเก็บค่าธรรมเนียมก็เพราะธนาคารมีต้นทุนในการเคลื่อนย้ายเงินสดสูง เพราะคนไทยนั้นนิยมใช้เงินสดมากกว่าสื่อประเภทอื่น ๆ อย่างเทียบไม่ติด
ข้อถกเถียงเกือบทุกประเด็นที่แต่ละฝ่ายยกมามีส่วนจริง แต่จริงมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้นในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีปัญหาจริง ๆ แต่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ต้องการความร่วมมือกันในการแก้ไขมากกว่าการต่อว่าต่อขานกัน โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะประพฤติตัวดีขึ้นหรือเข้าใจมากขึ้น
ขอใช้กรณีค่าธรรมเนียมการชำระเงินเป็นตัวอย่างในการขยายความข้อสรุปข้างต้นนี้ ปัญหาหลักของระบบการชำระเงินไทย คือการให้บริการที่มีการอุดหนุนข้าม (cross subsidization) ทั้งระหว่างประเภทการชำระเงิน เช่นไม่คิดค่าธรรมเนียมการใช้เงินสดหรือคิดค่าธรรมเนียมการใช้เช็คต่ำทั้งที่ต้นทุนการให้บริการสองประเภทนี้สูงมาก แล้วไปเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สื่ออิเลกทรอนิกส์ต่าง ๆ แพงกว่าต้นทุนส่วนเพิ่ม (marginal cost) ทำให้ประชาชนเลือกใช้สื่อชำระเงินที่บิดเบือนไม่สะท้อนต้นทุน และยังมีการอุดหนุนข้ามระหว่างลูกค้ารายใหญ่กับรายย่อย โดยลูกค้ารายย่อยเสียเต็มราคา ในขณะที่รายใหญ่มักได้ส่วนลดจากธนาคาร ปัญหา cross subsidization นี้เป็นปัญหาร่วมกันทั้งของธนาคารพาณิชย์และของแบงก์ชาติ ความต่างอยู่ที่ว่าแบงก์ชาติอยากให้แก้เรื่องนี้ทันทีและโดยเร็ว ส่วนธนาคารก็ลำบากใจว่าถ้าไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สื่อแบบเก่า (เงินสดและเช็ค) ตามต้นทุนได้ก็ไม่สามารถลดค่าธรรมเนียมสื่อแบบใหม่ได้ และถ้าเลิกเอาใจลูกค้ารายใหญ่โดยธนาคารคู่แข่งไม่เลิกด้วย ก็จะเสียลูกค้าไปซึ่งหมายถึงการเสียประโยชน์จากการให้บริการทางการเงินอื่น ๆ กับลูกค้านั้นด้วย
เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ววิธีแก้ตามมา ประการแรก แบงก์ชาติและธนาคารพาณิชย์ต้องร่วมใจกันลดการอุดหนุนข้ามประเภทบริการสื่อการชำระเงิน โดยเพิ่มค่าใช้เช็ค (ต้นทุนการให้บริการเก็บเงินตามเช็คสูงกว่า 50 บาทต่อเช็คหนึ่งใบในขณะที่ราคาเช็ค 15 บาทและไม่มีค่าเรียกเก็บ) ริเริ่มการเก็บค่าใช้บริการเงินสด โดยเก็บจากผู้ที่เบิกถอนเงินสดครั้งละมาก ๆ เช่นเกิน 300,000 บาทต่อวันต่อลูกค้า (นับรวมทุกบัญชี) แต่ยังให้บริการฟรีสำหรับรายเล็ก วิธีนี้จะทำให้สามารถยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขตด้วย เพราะเมื่อคนถอนเงินสดน้อยลง การเคลื่อนย้ายเงินที่มีต้นทุนสูงก็ลดไปด้วย
ประการที่สอง ธนาคารทุกแห่งต้องพร้อมใจกันเลิกเอาใจลูกค้ารายใหญ่ ถ้าจะลดค่าธรรมเนียมให้ (รวมทั้งการลดส่วนต่างดอกเบี้ยด้วย) ก็ต้องไม่มากไปกว่าการประหยัดของต้นทุนต่อธุรกรรมเนื่องจากยอดเงินต่อธุรกรรมสูง เช่นไม่ควรให้บริการขนเงินสดฟรีกับลูกค้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทำให้ห้างเหล่านั้นหันมาจูงใจลูกค้าของตนเองให้ใช้เงินสดน้อยลง (ในประเทศแคนาคาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เวลาจ่ายเงินสดตอนซื้อของห้าง พนักงานจะถามทันทีและทุกครั้งว่าสนใจใช้บริการเดบิตการ์ดหรือไม่ ถามจนเรารำคาญและหันมาใช้บัตรเดบิตในที่สุด) เรื่องนี้ต้องทำทุกธนาคาร เพื่อไม่ให้มีการแย่งลูกค้ารายใหญ่กันด้วยวิธีนี้ แบงก์ชาติอาจออกเป็นระเบียบด้วยเลยก็ได้ (ถ้ามีอำนาจตามกฏหมาย)
แต่ปัญหาใหญ่สุดของเรื่องนี้คือระดับการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ของไทย จริงอยู่ที่ ROA ไม่สูงในภาวะปกติ แต่มิได้หมายความว่าธนาคารมีการแข่งขันกันมากเท่าที่ควรเป็น น่าจะสะท้อนความหย่อนประสิทธิภาพภายในเมื่อเทียบกับธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องเผชิญการแข่งขันเต็มรูปแบบ ธนาคารต่างประเทศเองก็ยังมีข้อจำกัดการเปิดสาขาหรือไม่พร้อมจะเข้ามาแข่งเพราะตัวเองมีปัญหาที่บ้านจากวิกฤติแฮมเบอเกอร์ นโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนว่าต้องส่งเสริมการแข่งขันในการให้บริการทางการเงินกับประชาชนทุกรูปแบบมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้แหล่งทุนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการทางการเงิน โดยไม่จำกัดเพียงระบบการชำระเงิน แต่อาจครอบคลุมเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าด้วย เช่นการที่ธนาคารพาณิชย์ไทยครอบงำตลาดทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ลูกจนนำไปสู่ต้นทุนที่สูงของธุรกรรมในตลาดทุน และมีส่วนขัดขวางพัฒนาการตลาดทุนไทยในภาพรวมด้วย
*********************************************************************
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
“วิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้ทำไมธนาคารพาณิชย์ของไทยกำไรเอา ๆ”
“ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงเหลือเกิน”
“ธนาคารโขกค่าธรรมเนียมแพงมาก รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้นตลอดเวลา ไม่ต้องหากำไรจากดอกเบี้ยก็กำไรบานอยู่แล้ว”
ระยะหนึ่งปีมานี้เราได้ยินเสียงบ่นเสียงวิจารณ์ธนาคารพาณิชย์ของไทยในทำนองข้างต้นหนาหูขึ้น บ่งบอกถึงความข้องใจของสังคมโดยรวมว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยทำหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ ค้ากำไรเกินควรหรือไม่ ฮั้วกันหรือไม่
แบงก์ชาติซึ่งมีหน้าที่กำกับสถาบันการเงินมีท่าทีในเรื่องนี้สองด้าน ด้านหนึ่งก็ออกมาปกป้องว่าส่วนต่างดอกเบี้ยระดับปัจจุบันไม่สูงเกินไป ลดได้แต่ต้องใช้เวลาเมื่อมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการจัดการลง ในอีกด้านหนึ่งก็พยายามกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ลดค่าธรรมเนียมบางประการลง เช่นค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามเขต ค่าธรรมเนียมระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่นการโอนจ่ายเงินครั้งละหลาย ๆ ราย (bulk payment) เช่นจ่ายเงินเดือนพนักงานหรือซื้อของคราวละมากราย (ที่เรียกว่าบริการ SMART) การโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม การโอนเงินรายใหญ่ที่เรียกว่า BAHTNET เป็นต้น
ธนาคารพาณิชย์เองก็ออกมาแก้ต่างว่าธนาคารส่วนต่างดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป โดยบอกต้องดูที่อัตรากำไรต่อทุนหรือที่เรียกว่า ROE (return on equity) ที่อยู่แถว ๆ 1% เท่านั้น ส่วนกำไรสูงในช่วงวิกฤติก็เป็นเพราะการปล่อยกู้มีความเสี่ยงสูง จึงต้องรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยไว้ป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ถือหุ้นของธนาคารเอง หากไม่ทำก็ไม่เป็นการดูแลผู้ถือหุ้น ผิดหลักบรรษัทภิบาล นักการเมืองและนักวิชาการไม่เข้าใจการทำธุรกิจ จึงไม่ควรวิจารณ์ด้วยความไม่รู้ ในส่วนการโอนเงินข้ามเขตเหตุที่ต้องเก็บค่าธรรมเนียมก็เพราะธนาคารมีต้นทุนในการเคลื่อนย้ายเงินสดสูง เพราะคนไทยนั้นนิยมใช้เงินสดมากกว่าสื่อประเภทอื่น ๆ อย่างเทียบไม่ติด
ข้อถกเถียงเกือบทุกประเด็นที่แต่ละฝ่ายยกมามีส่วนจริง แต่จริงมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้นในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีปัญหาจริง ๆ แต่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ต้องการความร่วมมือกันในการแก้ไขมากกว่าการต่อว่าต่อขานกัน โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะประพฤติตัวดีขึ้นหรือเข้าใจมากขึ้น
ขอใช้กรณีค่าธรรมเนียมการชำระเงินเป็นตัวอย่างในการขยายความข้อสรุปข้างต้นนี้ ปัญหาหลักของระบบการชำระเงินไทย คือการให้บริการที่มีการอุดหนุนข้าม (cross subsidization) ทั้งระหว่างประเภทการชำระเงิน เช่นไม่คิดค่าธรรมเนียมการใช้เงินสดหรือคิดค่าธรรมเนียมการใช้เช็คต่ำทั้งที่ต้นทุนการให้บริการสองประเภทนี้สูงมาก แล้วไปเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สื่ออิเลกทรอนิกส์ต่าง ๆ แพงกว่าต้นทุนส่วนเพิ่ม (marginal cost) ทำให้ประชาชนเลือกใช้สื่อชำระเงินที่บิดเบือนไม่สะท้อนต้นทุน และยังมีการอุดหนุนข้ามระหว่างลูกค้ารายใหญ่กับรายย่อย โดยลูกค้ารายย่อยเสียเต็มราคา ในขณะที่รายใหญ่มักได้ส่วนลดจากธนาคาร ปัญหา cross subsidization นี้เป็นปัญหาร่วมกันทั้งของธนาคารพาณิชย์และของแบงก์ชาติ ความต่างอยู่ที่ว่าแบงก์ชาติอยากให้แก้เรื่องนี้ทันทีและโดยเร็ว ส่วนธนาคารก็ลำบากใจว่าถ้าไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สื่อแบบเก่า (เงินสดและเช็ค) ตามต้นทุนได้ก็ไม่สามารถลดค่าธรรมเนียมสื่อแบบใหม่ได้ และถ้าเลิกเอาใจลูกค้ารายใหญ่โดยธนาคารคู่แข่งไม่เลิกด้วย ก็จะเสียลูกค้าไปซึ่งหมายถึงการเสียประโยชน์จากการให้บริการทางการเงินอื่น ๆ กับลูกค้านั้นด้วย
เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ววิธีแก้ตามมา ประการแรก แบงก์ชาติและธนาคารพาณิชย์ต้องร่วมใจกันลดการอุดหนุนข้ามประเภทบริการสื่อการชำระเงิน โดยเพิ่มค่าใช้เช็ค (ต้นทุนการให้บริการเก็บเงินตามเช็คสูงกว่า 50 บาทต่อเช็คหนึ่งใบในขณะที่ราคาเช็ค 15 บาทและไม่มีค่าเรียกเก็บ) ริเริ่มการเก็บค่าใช้บริการเงินสด โดยเก็บจากผู้ที่เบิกถอนเงินสดครั้งละมาก ๆ เช่นเกิน 300,000 บาทต่อวันต่อลูกค้า (นับรวมทุกบัญชี) แต่ยังให้บริการฟรีสำหรับรายเล็ก วิธีนี้จะทำให้สามารถยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขตด้วย เพราะเมื่อคนถอนเงินสดน้อยลง การเคลื่อนย้ายเงินที่มีต้นทุนสูงก็ลดไปด้วย
ประการที่สอง ธนาคารทุกแห่งต้องพร้อมใจกันเลิกเอาใจลูกค้ารายใหญ่ ถ้าจะลดค่าธรรมเนียมให้ (รวมทั้งการลดส่วนต่างดอกเบี้ยด้วย) ก็ต้องไม่มากไปกว่าการประหยัดของต้นทุนต่อธุรกรรมเนื่องจากยอดเงินต่อธุรกรรมสูง เช่นไม่ควรให้บริการขนเงินสดฟรีกับลูกค้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทำให้ห้างเหล่านั้นหันมาจูงใจลูกค้าของตนเองให้ใช้เงินสดน้อยลง (ในประเทศแคนาคาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เวลาจ่ายเงินสดตอนซื้อของห้าง พนักงานจะถามทันทีและทุกครั้งว่าสนใจใช้บริการเดบิตการ์ดหรือไม่ ถามจนเรารำคาญและหันมาใช้บัตรเดบิตในที่สุด) เรื่องนี้ต้องทำทุกธนาคาร เพื่อไม่ให้มีการแย่งลูกค้ารายใหญ่กันด้วยวิธีนี้ แบงก์ชาติอาจออกเป็นระเบียบด้วยเลยก็ได้ (ถ้ามีอำนาจตามกฏหมาย)
แต่ปัญหาใหญ่สุดของเรื่องนี้คือระดับการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ของไทย จริงอยู่ที่ ROA ไม่สูงในภาวะปกติ แต่มิได้หมายความว่าธนาคารมีการแข่งขันกันมากเท่าที่ควรเป็น น่าจะสะท้อนความหย่อนประสิทธิภาพภายในเมื่อเทียบกับธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องเผชิญการแข่งขันเต็มรูปแบบ ธนาคารต่างประเทศเองก็ยังมีข้อจำกัดการเปิดสาขาหรือไม่พร้อมจะเข้ามาแข่งเพราะตัวเองมีปัญหาที่บ้านจากวิกฤติแฮมเบอเกอร์ นโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนว่าต้องส่งเสริมการแข่งขันในการให้บริการทางการเงินกับประชาชนทุกรูปแบบมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้แหล่งทุนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการทางการเงิน โดยไม่จำกัดเพียงระบบการชำระเงิน แต่อาจครอบคลุมเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าด้วย เช่นการที่ธนาคารพาณิชย์ไทยครอบงำตลาดทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ลูกจนนำไปสู่ต้นทุนที่สูงของธุรกรรมในตลาดทุน และมีส่วนขัดขวางพัฒนาการตลาดทุนไทยในภาพรวมด้วย
*********************************************************************
ใครบิดเบือน?
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีระเบิด 3 จุดในวันเดียวเมื่อวันที่ 8 กันยายน จุดแรกที่ลานจอดรถห้างย่านงามวงศ์วาน นนทบุรี เป็นถุงทะเลแบบทหารที่ภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องตั้งระเบิดด้วยนาฬิกาไว้ในถังดับเพลิง จุดที่ 2 ที่ลานจอดรถข้างตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นถุงผ้าทะเลเหมือนจุดแรก และจุดที่ 3 พบระเบิดใส่กระเป๋านักเรียนวางไว้ใต้บันไดสะพานลอยหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เป็นถังดับเพลิง 2 ถังภายในบรรจุปุ๋ยยูเรียกับดินระเบิด
แม้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นไหวให้กับประชาชนไม่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน และยังจับผู้ก่อเหตุไม่ได้ ทั้งที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังวางมาตรการคุมเข้มเพื่อรับการก่อเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงถึง 454 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประชาชนจะตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่ต้องการให้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปหรือไม่
แม้ล่าสุด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะปฏิเสธว่าไม่ใช่การกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปก็ตาม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป
แต่ไม่ใช่ใช้วาทกรรมย้อนถามกลับว่าถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยิ่งเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองอีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐควรถามตัวเองถึงประสิทธิภาพในการทำงานว่ามีมากน้อยแค่ไหน เพราะมีทั้งอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งบประมาณ และกำลังเจ้าหน้าที่มากมาย
เรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงไม่ใช่รับแต่ความดี แต่ความผิดไม่ยอมรับหรืออ้างแต่มือที่สามที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง เหมือนกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ศอฉ. พยายามยัดเยียดการสังหารโหดประชาชนและเจ้าหน้าที่ 91 ศพไปให้ “ไอ้โม่ง” และเสื้อแดงที่กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ใช่การกระทำของทหารหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ
แต่ข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ศอฉ. เป็นผู้รับผิดชอบต่อคำสั่ง “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งทุกฝ่ายต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาแถลงยืนยันความบริสุทธิ์โดยไม่มีหลักฐานหรือผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการใดๆ
**********************************************************************
กรณีระเบิด 3 จุดในวันเดียวเมื่อวันที่ 8 กันยายน จุดแรกที่ลานจอดรถห้างย่านงามวงศ์วาน นนทบุรี เป็นถุงทะเลแบบทหารที่ภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องตั้งระเบิดด้วยนาฬิกาไว้ในถังดับเพลิง จุดที่ 2 ที่ลานจอดรถข้างตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นถุงผ้าทะเลเหมือนจุดแรก และจุดที่ 3 พบระเบิดใส่กระเป๋านักเรียนวางไว้ใต้บันไดสะพานลอยหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เป็นถังดับเพลิง 2 ถังภายในบรรจุปุ๋ยยูเรียกับดินระเบิด
แม้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นไหวให้กับประชาชนไม่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน และยังจับผู้ก่อเหตุไม่ได้ ทั้งที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังวางมาตรการคุมเข้มเพื่อรับการก่อเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงถึง 454 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประชาชนจะตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่ต้องการให้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปหรือไม่
แม้ล่าสุด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะปฏิเสธว่าไม่ใช่การกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปก็ตาม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป
แต่ไม่ใช่ใช้วาทกรรมย้อนถามกลับว่าถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยิ่งเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองอีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐควรถามตัวเองถึงประสิทธิภาพในการทำงานว่ามีมากน้อยแค่ไหน เพราะมีทั้งอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งบประมาณ และกำลังเจ้าหน้าที่มากมาย
เรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงไม่ใช่รับแต่ความดี แต่ความผิดไม่ยอมรับหรืออ้างแต่มือที่สามที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง เหมือนกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ศอฉ. พยายามยัดเยียดการสังหารโหดประชาชนและเจ้าหน้าที่ 91 ศพไปให้ “ไอ้โม่ง” และเสื้อแดงที่กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ใช่การกระทำของทหารหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ
แต่ข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ศอฉ. เป็นผู้รับผิดชอบต่อคำสั่ง “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งทุกฝ่ายต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาแถลงยืนยันความบริสุทธิ์โดยไม่มีหลักฐานหรือผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการใดๆ
**********************************************************************
เมื่อกลุ่มอำมาตย์นำพาประเทศไปสู่การถูกโดดเดี่ยว
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายน/พฤษภาคมปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลให้พลเรือนเกือบ 90รายเสียชีวิต รัฐบาลไทยได้พูดพึมพำถึงเรื่องแผนการปรองดองสมานฉันท์ โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทุกฝ่าย
และความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะแก้ไขการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาล
แต่เป็นที่น่าเสีย เพราะเกือบสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้ การกระทำของรัฐบาลที่ทำลายกระบวนการสมานฉันท์ปรองดองเผยให้เห็นถึงเบื้องลึกของความขัดแย้งอันสิ่งเลวร้ายซึ่งเต็มไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
เราสามารถสังเกตเห็นการกระทำของรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนกระบวนการสมานฉันท์ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเข้มงวดกวดขันและจำกัดสิทธิพื้นฐานของพลเรือน และในขณะเดียวกันยังเพ่งเล็งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างคนเสื้อแดง โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ. – “แก้ไข” ได้กลายมาเป็นคำอธิบายที่ตลกร้ายของหน่วยงานนี้) เป็นผู้การกระทำการอันกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การกระทำอันกดขี่เหล่านี้ได้รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ( เวปไซต์กว่า 100000 เวปไซต์ถูกบล็อก) ไปจนถึงเรื่องที่ไร้สาระ อย่างที่โฆษกศอฉ. ได้
ออกมาประกาศว่าการวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำเพื่อระลึกถึงนักโทษทางการเมืองอาจหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงและก้าวล่วงอำนาจศาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกรัฐบาลซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรได้แสดงความหวาดระแรงอย่างมากต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และความหวาดระแวงดังกล่าวส่งผลให้รัฐดำเนินนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรงที่สุด รวมไปถึงการบิดเบือนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดในประวัติการณ์ในยุคปัจจุบัน หลังจากการสั่งปิดนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ถูกสั่งปิดตัวลงล่าสุดในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นายประวิทย์ โรจนพฤษก์ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า “ ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมแห่งการปิดบังข้อมูลข่าวสาร” อย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นบางอย่างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรืออาชญากรรม การพูดคุยถึงเรื่องต้องห้ามบางเรื่องถือเป็นความกล้าหาญทางการเมือง” และนาย David Streckfuss ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีเนื้อหาโดดเด่นของเขาว่า ในประเทศไทย ความจริงมักจะถูกลงโทษ พรรคผู้นำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นการใช้อำนาจที่คลุมเครือน่าสงสัยโดยการดำเนินคดีกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจำนวนคดีที่ศาลรับพิจารณาในปี 2553 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2539และ 2548
แทนที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตามอำเภอใจในเดือนเมษายน/พฤษภาคมอย่างจริงจัง รัฐบาลกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่ามีส่วนรับผิดชอบในการสั่งการและดำเนินการสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการส่งข้อความที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการลงโทษหรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการใช้กำลังที่เกินสมควรต่อผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะหากเหยื่อเหล่านั้นใส่เสื้อสีแดง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำหัวเก่าที่มีแนวความคิดต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเป็นผู้บัญชาการทหารบก และสถาปนิกผู้ร่างแผนการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครอย่าง พลโทดาว์พงษ์ รันตสุวรรณ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในการปกครองแบบระบอบเผด็จการทหารคือการเลื่อนตำแหน่งในกับพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม สิ่งที่น่าประหลาดใจคือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกดำเนินคดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย (หรืออุ้มฆ่า) โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลเกิดความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ความไม่คืบหน้าของการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสังหาร 4นักการทูตของซาอุดิอาระเบีย และการติดตามเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียที่ถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน (มีการอ้างว่าเพชรดังกล่าวได้ให้เป็นของขวัญแก่กลุ่มตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย) ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาจากการเลื่อนตำแหน่งอันน่าฉงนของพล.ต.ท.สมคิด คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับการโดดเดี่ยวประเทศจากนานาชาติ และจะเพิ่มมากขึ้นหากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกันนี้ ( การแสดงความไม่เต็มใจอย่างต่อเนื่องที่จะส่งตัวพ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียนายบูทไปยังสหรัฐก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง) อภิสิทธ์ได้สัญญาว่าจะมีการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำเป็นไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่อภิสิทธิ์กลับคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยราย พรรคประชาธิปัตย์ได้สัญญากับประเทศสัมพันธมิตรว่าจะพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่กลับพยายามทำลายและกำจัดฝ่ายการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เป็นเงื่อนในการจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และในขณะเดียวกัน ได้มีข้อบ่งชี้หลายข้อที่พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกับใช้อำนาจฉุกเฉินของตนเอง โดยใช้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเป็นข้ออ้าง และทุกครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันให้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิของฝ่ายตรงข้าม มักจะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเกิดขึ้น
รอยด่างของภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกก็ปรากฏจัดเจนขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศเยอรมันตัดสินใจยับยั้งการขายอาวุธทางการทหาร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถหุ้มเกราะที่ผลิตในยูเครนให้กองทัพไทย โดยอ้างถึงกฎเกณฑ์ของกลุ่มประเทศยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับ “รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงทำลายหรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนอย่างเป็นระบบ” ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นที่จะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีการใช้อำนาจรัฐที่รุนแรง เป็นประเทศที่มีการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นดินแดนแห่งแสงแดดและรอยยิ้มตามที่ชาวตะวันตกหลายคนมอง
คงไม่มีอะไรจะจูงใจรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าประเทศสัมพันธมิตรที่สำคัญอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโยปจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยว่าการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยเปิดเผย และการใช้ความรุนแรงกำจัดประชาชนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนคือ กลุ่มอำมาตย์พร้อมและยอมที่จะโดดเดียวประเทศเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง แนวโน้มยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจจะเหลือช่องทางเพียงน้อยนิดสำหรับประชาคมโลกที่จะแสดงจุดยืนก่อนที่รัฐบาลไทยจะก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดคือฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลถูกใส้ร้ายอย่างรวดเร็ว จากการดำเนินนโยบายที่กดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชน การจำกัดเสรีภาพประชาชนแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกินความจำเป็นของรัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์กรนิโทษกรรมสากล (ซึ่งการยอมรับการจองจำบุคคลที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กรนี้คือสิ่งที่น่าอัปยศ) ควรจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องโดยการแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกลงโทษหากยังคงดำเนินนโยบายใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชน
หากเราเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ “รักษาอำนาจโดยการคอรัปชั่น หลอกลวง และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย” ตามที่ประธานาธิบดีได้กล่าวในวาระที่เข้ารับตำแหน่่งว่า นานาชาติมีพันธกรณีที่จะ “ไม่ยื่นมือ” ให้ความช่วยเหลือ จนกว่ารัฐบาลไทยจะคลายกำปั้นของตัวเองออกมา
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************************************************
และความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะแก้ไขการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาล
แต่เป็นที่น่าเสีย เพราะเกือบสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้ การกระทำของรัฐบาลที่ทำลายกระบวนการสมานฉันท์ปรองดองเผยให้เห็นถึงเบื้องลึกของความขัดแย้งอันสิ่งเลวร้ายซึ่งเต็มไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
เราสามารถสังเกตเห็นการกระทำของรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนกระบวนการสมานฉันท์ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเข้มงวดกวดขันและจำกัดสิทธิพื้นฐานของพลเรือน และในขณะเดียวกันยังเพ่งเล็งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างคนเสื้อแดง โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ. – “แก้ไข” ได้กลายมาเป็นคำอธิบายที่ตลกร้ายของหน่วยงานนี้) เป็นผู้การกระทำการอันกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การกระทำอันกดขี่เหล่านี้ได้รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ( เวปไซต์กว่า 100000 เวปไซต์ถูกบล็อก) ไปจนถึงเรื่องที่ไร้สาระ อย่างที่โฆษกศอฉ. ได้
ออกมาประกาศว่าการวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำเพื่อระลึกถึงนักโทษทางการเมืองอาจหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงและก้าวล่วงอำนาจศาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกรัฐบาลซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรได้แสดงความหวาดระแรงอย่างมากต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และความหวาดระแวงดังกล่าวส่งผลให้รัฐดำเนินนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรงที่สุด รวมไปถึงการบิดเบือนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดในประวัติการณ์ในยุคปัจจุบัน หลังจากการสั่งปิดนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ถูกสั่งปิดตัวลงล่าสุดในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นายประวิทย์ โรจนพฤษก์ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า “ ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมแห่งการปิดบังข้อมูลข่าวสาร” อย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นบางอย่างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรืออาชญากรรม การพูดคุยถึงเรื่องต้องห้ามบางเรื่องถือเป็นความกล้าหาญทางการเมือง” และนาย David Streckfuss ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีเนื้อหาโดดเด่นของเขาว่า ในประเทศไทย ความจริงมักจะถูกลงโทษ พรรคผู้นำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นการใช้อำนาจที่คลุมเครือน่าสงสัยโดยการดำเนินคดีกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจำนวนคดีที่ศาลรับพิจารณาในปี 2553 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2539และ 2548
แทนที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตามอำเภอใจในเดือนเมษายน/พฤษภาคมอย่างจริงจัง รัฐบาลกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่ามีส่วนรับผิดชอบในการสั่งการและดำเนินการสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการส่งข้อความที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการลงโทษหรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการใช้กำลังที่เกินสมควรต่อผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะหากเหยื่อเหล่านั้นใส่เสื้อสีแดง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำหัวเก่าที่มีแนวความคิดต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเป็นผู้บัญชาการทหารบก และสถาปนิกผู้ร่างแผนการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครอย่าง พลโทดาว์พงษ์ รันตสุวรรณ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในการปกครองแบบระบอบเผด็จการทหารคือการเลื่อนตำแหน่งในกับพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม สิ่งที่น่าประหลาดใจคือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกดำเนินคดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย (หรืออุ้มฆ่า) โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลเกิดความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ความไม่คืบหน้าของการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสังหาร 4นักการทูตของซาอุดิอาระเบีย และการติดตามเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียที่ถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน (มีการอ้างว่าเพชรดังกล่าวได้ให้เป็นของขวัญแก่กลุ่มตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย) ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาจากการเลื่อนตำแหน่งอันน่าฉงนของพล.ต.ท.สมคิด คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับการโดดเดี่ยวประเทศจากนานาชาติ และจะเพิ่มมากขึ้นหากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกันนี้ ( การแสดงความไม่เต็มใจอย่างต่อเนื่องที่จะส่งตัวพ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียนายบูทไปยังสหรัฐก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง) อภิสิทธ์ได้สัญญาว่าจะมีการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำเป็นไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่อภิสิทธิ์กลับคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยราย พรรคประชาธิปัตย์ได้สัญญากับประเทศสัมพันธมิตรว่าจะพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่กลับพยายามทำลายและกำจัดฝ่ายการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เป็นเงื่อนในการจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และในขณะเดียวกัน ได้มีข้อบ่งชี้หลายข้อที่พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกับใช้อำนาจฉุกเฉินของตนเอง โดยใช้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเป็นข้ออ้าง และทุกครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันให้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิของฝ่ายตรงข้าม มักจะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเกิดขึ้น
รอยด่างของภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกก็ปรากฏจัดเจนขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศเยอรมันตัดสินใจยับยั้งการขายอาวุธทางการทหาร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถหุ้มเกราะที่ผลิตในยูเครนให้กองทัพไทย โดยอ้างถึงกฎเกณฑ์ของกลุ่มประเทศยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับ “รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงทำลายหรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนอย่างเป็นระบบ” ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นที่จะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีการใช้อำนาจรัฐที่รุนแรง เป็นประเทศที่มีการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นดินแดนแห่งแสงแดดและรอยยิ้มตามที่ชาวตะวันตกหลายคนมอง
คงไม่มีอะไรจะจูงใจรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าประเทศสัมพันธมิตรที่สำคัญอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโยปจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยว่าการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยเปิดเผย และการใช้ความรุนแรงกำจัดประชาชนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนคือ กลุ่มอำมาตย์พร้อมและยอมที่จะโดดเดียวประเทศเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง แนวโน้มยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจจะเหลือช่องทางเพียงน้อยนิดสำหรับประชาคมโลกที่จะแสดงจุดยืนก่อนที่รัฐบาลไทยจะก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดคือฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลถูกใส้ร้ายอย่างรวดเร็ว จากการดำเนินนโยบายที่กดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชน การจำกัดเสรีภาพประชาชนแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกินความจำเป็นของรัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์กรนิโทษกรรมสากล (ซึ่งการยอมรับการจองจำบุคคลที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กรนี้คือสิ่งที่น่าอัปยศ) ควรจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องโดยการแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกลงโทษหากยังคงดำเนินนโยบายใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชน
หากเราเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ “รักษาอำนาจโดยการคอรัปชั่น หลอกลวง และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย” ตามที่ประธานาธิบดีได้กล่าวในวาระที่เข้ารับตำแหน่่งว่า นานาชาติมีพันธกรณีที่จะ “ไม่ยื่นมือ” ให้ความช่วยเหลือ จนกว่ารัฐบาลไทยจะคลายกำปั้นของตัวเองออกมา
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************************************************
'โกวิท'เผยให้คำตอบ14ก.ย.นั่งหน.เพื่อไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พล.ต.อ.โกวิท"เผยวันอังคาร(14ก.ย.)ให้คำตอบนั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุแกนนำเตรียมจัดสัมมนาใหญ่ในกทม.ก่อนเดินสายต่างจังหวัดปลายเดือนนี้
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. และอดีตรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกระแสข่าวได้รับทาบทามให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า "เรื่องนี้ผมยังไม่ขอพูด ผมจะบอกในวันอังคารหน้า
เมื่อถามว่า จะเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.ต.อ.โกวิทกล่าวว่า "ไว้วันอังคารหน้าผมจะให้คำตอบ" จากนั้นได้ตัดสายทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำและคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมาเป็นระยะ โดยล่าสุดช่วงเช้าของวันที่ 10 ก.ย.ก็ได้มีการหารือกันซึ่งค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าหลังจากที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.มหาดไทย มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน เพื่อมาชูภาพใหญ่แก้ข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ประมาณปลายเดือนก.ย.พรรคเพื่อไทย จะเปิดคิกออฟแคมเปญครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนภาพใหญ่ของพรรคและรายภาค
จากนั้นจะมีการเดินสายปราศรัยหาเสียงทั่วประเทศ สำหรับแคมเปญหลักของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดออกมานั้นข้อสำคัญคือการเชิดชูสถาบัน แผนสร้างความปรองดอง การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสังคมและความยากจน โดยจะเป็นการผสมผสานนโยบายของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยเข้าด้วยกัน โดยจะเขียนเป็นสโลแกนทำนองว่า "ความสำเร็จจากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทยทั้งชาติ" ในเบื้องต้นทันทีที่ได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทันที โดยจะทำการจัดสัมมนาที่กรุงเทพฯ เป็นที่แรก จากนั้นจึงจะเดินสายไปตามต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ต่างวิเคราะห์แล้วว่า ควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจส่งผลให้มีการยุบสภาฯ ราวๆ เดือนพ.ย. และยังประเมินอีกว่าสภาพของรัฐบาลน่าจะเดินต่อไปได้ลำบากแล้วจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าถาโถมเข้ามา
นอกจากนี้รัฐบาลก็ได้ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายรวมทั้งการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ 2554 ไปแล้วด้วย จึงอาจจะมีการยุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องเร่งปรับทัพเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์และเพื่อทำให้ส.ส.และสมาชิกพรรคมีความเชื่อมั่นว่าพรรคจะยังคงมุ่งมั่นทำงานการเมืองต่อไปเพื่อที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล หลังจากที่ส.ส.ส่วนหนึ่งได้ตำหนิว่าพรรคไม่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองตามแนวทางของพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็ง และมีส.ส.บางคนตัดสินใจย้ายพรรคออกไป
************************************************************************
"พล.ต.อ.โกวิท"เผยวันอังคาร(14ก.ย.)ให้คำตอบนั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุแกนนำเตรียมจัดสัมมนาใหญ่ในกทม.ก่อนเดินสายต่างจังหวัดปลายเดือนนี้
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. และอดีตรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกระแสข่าวได้รับทาบทามให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า "เรื่องนี้ผมยังไม่ขอพูด ผมจะบอกในวันอังคารหน้า
เมื่อถามว่า จะเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.ต.อ.โกวิทกล่าวว่า "ไว้วันอังคารหน้าผมจะให้คำตอบ" จากนั้นได้ตัดสายทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำและคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมาเป็นระยะ โดยล่าสุดช่วงเช้าของวันที่ 10 ก.ย.ก็ได้มีการหารือกันซึ่งค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าหลังจากที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.มหาดไทย มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน เพื่อมาชูภาพใหญ่แก้ข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ประมาณปลายเดือนก.ย.พรรคเพื่อไทย จะเปิดคิกออฟแคมเปญครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนภาพใหญ่ของพรรคและรายภาค
จากนั้นจะมีการเดินสายปราศรัยหาเสียงทั่วประเทศ สำหรับแคมเปญหลักของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดออกมานั้นข้อสำคัญคือการเชิดชูสถาบัน แผนสร้างความปรองดอง การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสังคมและความยากจน โดยจะเป็นการผสมผสานนโยบายของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยเข้าด้วยกัน โดยจะเขียนเป็นสโลแกนทำนองว่า "ความสำเร็จจากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทยทั้งชาติ" ในเบื้องต้นทันทีที่ได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทันที โดยจะทำการจัดสัมมนาที่กรุงเทพฯ เป็นที่แรก จากนั้นจึงจะเดินสายไปตามต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ต่างวิเคราะห์แล้วว่า ควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจส่งผลให้มีการยุบสภาฯ ราวๆ เดือนพ.ย. และยังประเมินอีกว่าสภาพของรัฐบาลน่าจะเดินต่อไปได้ลำบากแล้วจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าถาโถมเข้ามา
นอกจากนี้รัฐบาลก็ได้ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายรวมทั้งการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ 2554 ไปแล้วด้วย จึงอาจจะมีการยุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องเร่งปรับทัพเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์และเพื่อทำให้ส.ส.และสมาชิกพรรคมีความเชื่อมั่นว่าพรรคจะยังคงมุ่งมั่นทำงานการเมืองต่อไปเพื่อที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล หลังจากที่ส.ส.ส่วนหนึ่งได้ตำหนิว่าพรรคไม่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองตามแนวทางของพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็ง และมีส.ส.บางคนตัดสินใจย้ายพรรคออกไป
************************************************************************
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เราซุกระเบิดไว้ใต้พรม มันจะปะทุขึ้นใหม่ !!!
ประชาชาติธุรกิจ
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือเมื่อ 4 เดือนก่อน "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เงียบหายไปนานจากวงวิชาการสาธารณะ
มาวันนี้ อดีตหัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน สำนักท่าพระจันทร์ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบทวิพากษ์ว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปสังคมไทย แบบถึงพริกถึงขิง เช่นเดิม รวมถึงความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ล่าสุดของกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่น่าสนใจ
ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นบรรยากาศ การคุกคามทางวิชาการหรือเปล่าครับ อาจารย์ถึงได้เงียบหายไป
ไม่ถึงขนาดนั้น (ครับ) เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในช่วงเวลานั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการต่อสู้กันแล้วผมก็คิดว่าการที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ไม่มีผลกับผม (นะ) แต่มีผลต่อบรรยากาศทั่วไปในการแสดงออกซึ่งความเห็น
หมายความว่า การแสดงความคิดความอ่านอะไรไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับรัฐบาล รัฐบาลก็จะมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมไม่พูดในช่วงนั้น แต่ผมเห็นว่า เรื่องที่ผมควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้วก่อนหน้านั้น ผมพูดมาหลายปีแล้วในเรื่องสภาพความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งยังไม่จบและจะดำเนินต่อไปอีก
แต่บรรยากาศสังคมไทยอาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง ตรงนี้มีผลต่อบรรยากาศทางวิชาการบ้างหรือไม่
ในห้องเรียนผมก็ยังสอนหนังสือปกติ ผมก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย แต่ผมคิดว่าความเซ็นซิทีฟของฝ่ายรัฐแสดงออกมาในหลายลักษณะ ผมยกตัวอย่างเรื่องการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เรื่องขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา โดยมีเนื้อหาระบุเกี่ยวกับการพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากปัจจุบันมีแกนนำนักศึกษาจัดแสดงละครเวทีเพื่อแสดงความคิดเห็นด้านการเมือง โดยทาง สกอ.เห็นว่ามีลักษณะบิดเบือนสถานการณ์ทางการเมืองอันเป็นการปลุกระดมยั่วยุสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุความไม่สงบภายในประเทศ การทำหนังสืออย่างนี้ออกมาผมว่ามันกระทบนะในเชิงจิตวิทยา แล้วมันจะทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้น คือพอใช้อำนาจกด ก็จะมีการต้านการกดทับนั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีเหตุการณ์ระเบิดในหลายพื้นที่ ล่าสุดคือลอบยิงระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯ
แล้วมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันห้ามระเบิดได้หรือ (ครับ) ในทางกลับกัน มันก็ยังระเบิด แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าระเบิดเกิดจากสาเหตุใดหรือลักษณะไหนกันแน่ คือมันเป็นไปได้ทุกอย่าง อาจจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายสนับสนุนอำนาจรัฐบาลในปัจจุบันทำขึ้นมาเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ต่อไป หรืออาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามทำขึ้นเพื่อสั่นคลอนอำนาจรัฐบาล คือเราไม่รู้เลยว่าใครทำอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน แล้วจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันกระทบกับส่วนอื่น ๆ ของสังคม แล้วจะทำให้กระบวนการที่จะเปิดให้คนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างแสดงออกโดยที่ไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับอำนาจรัฐเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยาก นี่คือปัญหาใหญ่ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วไม่มีที่ไหนในโลกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแบบที่เราใช้อยู่ขณะนี้หรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมาตรฐานการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยนะ ว่าเสมอภาคไหม เห็น ๆ กันอยู่
เส้นทางในการนำสังคมไทยสู่ความปรองดองของรัฐบาล อาจารย์มีความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความเชื่อมั่นเลย แล้วผมก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ คนที่พยายามผลักดันการปฏิรูปวันนี้ก็คือ คนที่เคยทำการปฏิรูปเมื่อปี 2540 แล้วยังใช้วิธีคิดแบบช่วงก่อน 2540 อยู่ ทั้ง ๆ ที่สภาพทางการเมืองและความคิดความอ่านของคนเปลี่ยนไปมากแล้วในช่วง 10 กว่าปีมานี้
อาจารย์กำลังพูดถึงคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ (ปันยารชุน) และคุณหมอประเวศ (วะสี)
ถูกต้องครับ แล้วการโยนเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ออกมา ผมรู้สึกว่าเหมือนรัฐบาลโยนของเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังจัดการกับคนที่เห็นต่าง เดี๋ยวนี้การป้ายสีว่าเป็นพวก "ทักษิณ" ซึ่งเริ่มใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว เพราะคนไม่สนใจ แล้วก็เริ่มเห็นแล้วว่าคนที่เคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งตอนนี้ที่เป็นฝ่ายเสื้อแดงที่มีกิจกรรมอยู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณเลย
ฉะนั้นคนที่มาทำปฏิรูป ประเด็นหลักของผมอยู่ที่ว่าหลักการที่จะเข้าไปทำ มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายที่มีส่วนในความขัดแย้งต้องแสดงความรับผิดชอบก่อน การปฏิรูปมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง หลังจากที่มีเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุม แล้วมีคนตาย ไม่ต้องสนใจว่าคนที่ตายเกิดจากฝั่งไหน แล้วไม่ต้องบอกหรอกว่า เป็นทหารทำ หรือกลุ่มไหนทำ แต่เมื่อเกิดการตายขึ้น ต้องรับผิดชอบก่อนในเบื้องต้น เมื่อรับผิดชอบแล้ว จะต้องเปลี่ยนรัฐบาลซะก่อน ซึ่งยังไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเปลี่ยนขั้วพลิกข้างเสียทีเดียว อาจจะเป็นรัฐบาลกลุ่มเดิม แต่ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งในเวลาที่ เกิดเรื่องขึ้นต้องรับผิดชอบก่อน นี่เป็นหลักการเบื้องต้น
ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบอะไร แล้วตั้งคนโน้นคนนี้เป็นกรรมการ แล้วยังดำรงตำแหน่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ยังไง วิธีการคิดแบบนี้ แล้วใครเขาจะสมานฉันท์ด้วย แต่คนที่รับเป็นกรรมการ ผมเข้าใจว่าแต่ละคนก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ใครตัดสินใจยังไง ก็รับผิดชอบการตัดสินใจไปเอง แต่ผมว่าหลักการตรงนี้เป็นหลักการสำคัญ เป็นมโนธรรมสำนึกขั้นพื้นฐาน ถ้าคุณรับผิดชอบเสียก่อนในเบื้องต้น อันนี้ยังพอว่า อาจจะยังพอมีคนคิดว่ายังพอมองหน้ากัน พอที่จะคุยกันได้
แต่ถ้าคนในฟากรัฐบาลมองอีกแบบหนึ่งว่า เขาเป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้ถูกเผาจากกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ต้องการพิสูจน์ทางข้อเท็จจริงก่อน แต่ต้องเปิดให้มีการ พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ไม่ใช่คนที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้กุมอำนาจรัฐยึดกุมกระบวนการของการพิสูจน์ แต่ในเรื่องการเผาห้างในกรุงเทพฯนั้น รัฐบาลเองในมุมหนึ่งคุณก็ไม่สามารถรักษาตึกรามบ้านช่องไว้ได้ คุณปล่อยให้เกิดการเผา คุณก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แล้วก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง
เหมือนรถไฟตกรางมีคนตาย ผู้ว่าการการรถไฟหรือคนที่เป็นรัฐมนตรีในบางประเทศเขาก็ลาออก เขาไม่ต้องถามว่า ใครเป็นคนทำ นี่คือความรับผิดชอบทางการเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงกว่าเรื่องรถไฟตกรางไม่รู้กี่สิบเท่า วันนี้เราลืมถามประเด็นนี้ไป เพราะเราไปพูดถึงเรื่องคืนความสุข กลายเป็นว่าคนมาชุมนุมสร้างความทุกข์ คนที่คิดอย่างนี้ไม่รู้ว่าคนที่มาชุมนุมจำนวนไม่น้อยเขาทุกข์กว่าพวกคุณไม่รู้กี่เท่า แล้วก็ไม่เคยมีความสุขอย่างที่พวกคุณมี ภายใต้โครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่นี้ หลายคนก็รู้สึกโล่งใจว่าจบสักทีหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือการสร้างปัญหาใหม่ซึ่งมันจะแก้ยากกว่าเดิม
แล้วสังคมที่ร้าวลึกกว่าเดิมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
คาดการณ์ยาก แต่ก็คาดได้อย่างหนึ่งว่า สังคมก็จะไม่สงบ ความสุขที่ปรารถนาไม่มีทาง อาจจะได้ความสุขกลับมาชั่วครั้งชั่วคราว ได้ไปเดินช็อปปิ้ง แต่เรากำลังซุกขยะหรืออาจจะไม่ใช่ขยะแต่เป็นระเบิดไว้ใต้พรม กลบเกลื่อนไว้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่
แล้วโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปประเทศไทยที่ควรจะทำจริง ๆ คืออะไร
ต้องทำหลายเรื่องครับ แต่ในความเห็นผม เราพูดเสมอว่า เราอยากได้รัฐซึ่งดูแลประชาชน พูดเรื่องรัฐสวัสดิการ ขจัดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน เรื่องปฏิรูปที่ดิน เรื่องโครงสร้างภาษี ประเด็นพวกนี้มันจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะต้องมาทีหลังความยุติธรรมในทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ต้องทำตรงนี้ก่อน
ถามว่า ถ้าไม่ทำตรงนี้ในทางพื้นฐาน แล้วไปทำอย่างอื่น มันไม่มีทางสำเร็จ เพราะก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฐานต้องมาจากประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียก่อน ถามว่า แล้วคุณจะทำอะไร ก็ต้องมาตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามีสถาบันไหนบ้างเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งต้องตั้งคำถามตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องตอบกันอย่างตรง ๆ และมีการรีฟอร์มตัวระบบการเมืองทั้งหมด
สถาบันทุกสถาบันจะต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของตัว และอยู่ในที่ที่ตัวจะต้องอยู่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมคิดว่ามันจะไปได้ แต่ปัญหาวันนี้คือ มันไม่เป็นแบบนั้นครับ บางกรณีการพูดถึงสถาบันบางสถาบันแค่จะพูดยังไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยเขารู้สึกว่ามันต้องมีการพูดถึงในความเป็นจริง มีการวิพากษ์วิจารณ์ แล้วคนที่คิดอย่างนี้ เขาหวังดีกับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมากด้วย เขาต้องการให้มีการพูดคุยกัน แล้วจัดวางสมดุลในทางการเมืองให้ได้
รวมถึงสถาบันกองทัพด้วย
ผมหมายถึงทุกสถาบันเลย กองทัพอาจจะมาทีหลัง ผมอาจจะพูดเลยไปกว่านั้นอีก จำได้มั้ยครับว่า ผมเคยเสนอเรื่ององคมนตรี แล้วผมคิดว่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องพูดด้วย เราควรจะตั้งคำถามในทุกเรื่อง สมมติมีคนตั้งคำถามว่าในช่วงเวลาของ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา สถาบันในทาง รัฐธรรมนูญสถาบันใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง การเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นถูกต้องตรงตามหลักการที่ควรจะเป็นหรือไม่ ก็ต้องถกเถียงกันได้ว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พอเริ่มต้น ก็ห้ามพูดเสียแล้ว แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง สถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมถามว่า ถูกนำมาใช้ทางการเมืองมั้ย คำตอบก็คือใช่ ถ้าพูดกันตรง ๆ บางทีก็มีการชูสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทำลายปรปักษ์ทางการเมือง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลยนะ ผมถามว่า อย่างนี้ ถ้าไม่นำมาพูดกันให้มันหมดเปลือกตรงไปตรงมา เราจะแก้ปัญหาได้หรือ
ทราบว่า อาจารย์จะทำเว็บไซต์ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร
จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมาก คือคุยกันกับเพื่อนอาจารย์ในกลุ่มว่า มีกลุ่มคนในสังคมที่ตามความคิดของกลุ่ม 5 อาจารย์ บัดนี้มากกว่า 5 อาจารย์แล้ว ซึ่งได้แสดงจุดยืนและทรรศนะในทางกฎหมายในแต่ละเรื่อง แล้วก็เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ว่ากลุ่ม 5 อาจารย์ไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย หรือเกี่ยวข้องในทางทรัพย์สิน เงินทอง หรือการได้ประโยชน์จากฝ่ายใด
ก็เลยมีความคิดขึ้นมาว่า น่าจะทำเว็บขึ้นมา รวบรวมข้อมูลเรื่องที่เราได้ทำ ๆ ขึ้นไปรวมไว้ เอกสารเหล่านั้นซึ่งเป็นสาธารณะไปแล้วก็จะได้มีหลักแหล่งพอให้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครจะนำไปใช้ทำอะไรก็ขอให้อ้างอิง ไม่เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ใช้ได้หมด
อาจจะไม่ใช่แถลงการณ์อย่างเดียว แต่จะมีเรื่องบทความทาง วิชาการของผมเอง และของอาจารย์ในกลุ่มไปใส่เอาไว้ เพื่อให้คน ที่เขาตามมาค้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจจะรวมถึงบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ก็จะเอามารวมไว้ด้วย
แต่มากที่สุดและเป็นประเด็นหลักเลยก็คือกลุ่ม 5 อาจารย์และอาจารย์ที่เข้ามาสมทบเรายืนยันในหลักการประชาธิปไตย เป็นจุดยืนที่แน่วแน่มาโดยตลอด ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มมากกว่า 5 อาจารย์แล้ว คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนชื่อเว็บมีแล้วครับ แต่ขออุบไว้ก่อนนิดนึง เพราะอาจจะเป็นที่หมั่นไส้เล็กน้อย(ครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือเมื่อ 4 เดือนก่อน "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เงียบหายไปนานจากวงวิชาการสาธารณะ
มาวันนี้ อดีตหัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน สำนักท่าพระจันทร์ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบทวิพากษ์ว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปสังคมไทย แบบถึงพริกถึงขิง เช่นเดิม รวมถึงความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ล่าสุดของกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่น่าสนใจ
ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นบรรยากาศ การคุกคามทางวิชาการหรือเปล่าครับ อาจารย์ถึงได้เงียบหายไป
ไม่ถึงขนาดนั้น (ครับ) เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในช่วงเวลานั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการต่อสู้กันแล้วผมก็คิดว่าการที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ไม่มีผลกับผม (นะ) แต่มีผลต่อบรรยากาศทั่วไปในการแสดงออกซึ่งความเห็น
หมายความว่า การแสดงความคิดความอ่านอะไรไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับรัฐบาล รัฐบาลก็จะมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมไม่พูดในช่วงนั้น แต่ผมเห็นว่า เรื่องที่ผมควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้วก่อนหน้านั้น ผมพูดมาหลายปีแล้วในเรื่องสภาพความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งยังไม่จบและจะดำเนินต่อไปอีก
แต่บรรยากาศสังคมไทยอาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง ตรงนี้มีผลต่อบรรยากาศทางวิชาการบ้างหรือไม่
ในห้องเรียนผมก็ยังสอนหนังสือปกติ ผมก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย แต่ผมคิดว่าความเซ็นซิทีฟของฝ่ายรัฐแสดงออกมาในหลายลักษณะ ผมยกตัวอย่างเรื่องการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เรื่องขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา โดยมีเนื้อหาระบุเกี่ยวกับการพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากปัจจุบันมีแกนนำนักศึกษาจัดแสดงละครเวทีเพื่อแสดงความคิดเห็นด้านการเมือง โดยทาง สกอ.เห็นว่ามีลักษณะบิดเบือนสถานการณ์ทางการเมืองอันเป็นการปลุกระดมยั่วยุสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุความไม่สงบภายในประเทศ การทำหนังสืออย่างนี้ออกมาผมว่ามันกระทบนะในเชิงจิตวิทยา แล้วมันจะทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้น คือพอใช้อำนาจกด ก็จะมีการต้านการกดทับนั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีเหตุการณ์ระเบิดในหลายพื้นที่ ล่าสุดคือลอบยิงระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯ
แล้วมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันห้ามระเบิดได้หรือ (ครับ) ในทางกลับกัน มันก็ยังระเบิด แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าระเบิดเกิดจากสาเหตุใดหรือลักษณะไหนกันแน่ คือมันเป็นไปได้ทุกอย่าง อาจจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายสนับสนุนอำนาจรัฐบาลในปัจจุบันทำขึ้นมาเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ต่อไป หรืออาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามทำขึ้นเพื่อสั่นคลอนอำนาจรัฐบาล คือเราไม่รู้เลยว่าใครทำอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน แล้วจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันกระทบกับส่วนอื่น ๆ ของสังคม แล้วจะทำให้กระบวนการที่จะเปิดให้คนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างแสดงออกโดยที่ไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับอำนาจรัฐเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยาก นี่คือปัญหาใหญ่ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วไม่มีที่ไหนในโลกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแบบที่เราใช้อยู่ขณะนี้หรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมาตรฐานการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยนะ ว่าเสมอภาคไหม เห็น ๆ กันอยู่
เส้นทางในการนำสังคมไทยสู่ความปรองดองของรัฐบาล อาจารย์มีความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความเชื่อมั่นเลย แล้วผมก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ คนที่พยายามผลักดันการปฏิรูปวันนี้ก็คือ คนที่เคยทำการปฏิรูปเมื่อปี 2540 แล้วยังใช้วิธีคิดแบบช่วงก่อน 2540 อยู่ ทั้ง ๆ ที่สภาพทางการเมืองและความคิดความอ่านของคนเปลี่ยนไปมากแล้วในช่วง 10 กว่าปีมานี้
อาจารย์กำลังพูดถึงคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ (ปันยารชุน) และคุณหมอประเวศ (วะสี)
ถูกต้องครับ แล้วการโยนเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ออกมา ผมรู้สึกว่าเหมือนรัฐบาลโยนของเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังจัดการกับคนที่เห็นต่าง เดี๋ยวนี้การป้ายสีว่าเป็นพวก "ทักษิณ" ซึ่งเริ่มใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว เพราะคนไม่สนใจ แล้วก็เริ่มเห็นแล้วว่าคนที่เคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งตอนนี้ที่เป็นฝ่ายเสื้อแดงที่มีกิจกรรมอยู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณเลย
ฉะนั้นคนที่มาทำปฏิรูป ประเด็นหลักของผมอยู่ที่ว่าหลักการที่จะเข้าไปทำ มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายที่มีส่วนในความขัดแย้งต้องแสดงความรับผิดชอบก่อน การปฏิรูปมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง หลังจากที่มีเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุม แล้วมีคนตาย ไม่ต้องสนใจว่าคนที่ตายเกิดจากฝั่งไหน แล้วไม่ต้องบอกหรอกว่า เป็นทหารทำ หรือกลุ่มไหนทำ แต่เมื่อเกิดการตายขึ้น ต้องรับผิดชอบก่อนในเบื้องต้น เมื่อรับผิดชอบแล้ว จะต้องเปลี่ยนรัฐบาลซะก่อน ซึ่งยังไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเปลี่ยนขั้วพลิกข้างเสียทีเดียว อาจจะเป็นรัฐบาลกลุ่มเดิม แต่ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งในเวลาที่ เกิดเรื่องขึ้นต้องรับผิดชอบก่อน นี่เป็นหลักการเบื้องต้น
ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบอะไร แล้วตั้งคนโน้นคนนี้เป็นกรรมการ แล้วยังดำรงตำแหน่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ยังไง วิธีการคิดแบบนี้ แล้วใครเขาจะสมานฉันท์ด้วย แต่คนที่รับเป็นกรรมการ ผมเข้าใจว่าแต่ละคนก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ใครตัดสินใจยังไง ก็รับผิดชอบการตัดสินใจไปเอง แต่ผมว่าหลักการตรงนี้เป็นหลักการสำคัญ เป็นมโนธรรมสำนึกขั้นพื้นฐาน ถ้าคุณรับผิดชอบเสียก่อนในเบื้องต้น อันนี้ยังพอว่า อาจจะยังพอมีคนคิดว่ายังพอมองหน้ากัน พอที่จะคุยกันได้
แต่ถ้าคนในฟากรัฐบาลมองอีกแบบหนึ่งว่า เขาเป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้ถูกเผาจากกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ต้องการพิสูจน์ทางข้อเท็จจริงก่อน แต่ต้องเปิดให้มีการ พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ไม่ใช่คนที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้กุมอำนาจรัฐยึดกุมกระบวนการของการพิสูจน์ แต่ในเรื่องการเผาห้างในกรุงเทพฯนั้น รัฐบาลเองในมุมหนึ่งคุณก็ไม่สามารถรักษาตึกรามบ้านช่องไว้ได้ คุณปล่อยให้เกิดการเผา คุณก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แล้วก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง
เหมือนรถไฟตกรางมีคนตาย ผู้ว่าการการรถไฟหรือคนที่เป็นรัฐมนตรีในบางประเทศเขาก็ลาออก เขาไม่ต้องถามว่า ใครเป็นคนทำ นี่คือความรับผิดชอบทางการเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงกว่าเรื่องรถไฟตกรางไม่รู้กี่สิบเท่า วันนี้เราลืมถามประเด็นนี้ไป เพราะเราไปพูดถึงเรื่องคืนความสุข กลายเป็นว่าคนมาชุมนุมสร้างความทุกข์ คนที่คิดอย่างนี้ไม่รู้ว่าคนที่มาชุมนุมจำนวนไม่น้อยเขาทุกข์กว่าพวกคุณไม่รู้กี่เท่า แล้วก็ไม่เคยมีความสุขอย่างที่พวกคุณมี ภายใต้โครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่นี้ หลายคนก็รู้สึกโล่งใจว่าจบสักทีหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือการสร้างปัญหาใหม่ซึ่งมันจะแก้ยากกว่าเดิม
แล้วสังคมที่ร้าวลึกกว่าเดิมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
คาดการณ์ยาก แต่ก็คาดได้อย่างหนึ่งว่า สังคมก็จะไม่สงบ ความสุขที่ปรารถนาไม่มีทาง อาจจะได้ความสุขกลับมาชั่วครั้งชั่วคราว ได้ไปเดินช็อปปิ้ง แต่เรากำลังซุกขยะหรืออาจจะไม่ใช่ขยะแต่เป็นระเบิดไว้ใต้พรม กลบเกลื่อนไว้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่
แล้วโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปประเทศไทยที่ควรจะทำจริง ๆ คืออะไร
ต้องทำหลายเรื่องครับ แต่ในความเห็นผม เราพูดเสมอว่า เราอยากได้รัฐซึ่งดูแลประชาชน พูดเรื่องรัฐสวัสดิการ ขจัดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน เรื่องปฏิรูปที่ดิน เรื่องโครงสร้างภาษี ประเด็นพวกนี้มันจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะต้องมาทีหลังความยุติธรรมในทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ต้องทำตรงนี้ก่อน
ถามว่า ถ้าไม่ทำตรงนี้ในทางพื้นฐาน แล้วไปทำอย่างอื่น มันไม่มีทางสำเร็จ เพราะก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฐานต้องมาจากประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียก่อน ถามว่า แล้วคุณจะทำอะไร ก็ต้องมาตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามีสถาบันไหนบ้างเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งต้องตั้งคำถามตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องตอบกันอย่างตรง ๆ และมีการรีฟอร์มตัวระบบการเมืองทั้งหมด
สถาบันทุกสถาบันจะต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของตัว และอยู่ในที่ที่ตัวจะต้องอยู่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมคิดว่ามันจะไปได้ แต่ปัญหาวันนี้คือ มันไม่เป็นแบบนั้นครับ บางกรณีการพูดถึงสถาบันบางสถาบันแค่จะพูดยังไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยเขารู้สึกว่ามันต้องมีการพูดถึงในความเป็นจริง มีการวิพากษ์วิจารณ์ แล้วคนที่คิดอย่างนี้ เขาหวังดีกับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมากด้วย เขาต้องการให้มีการพูดคุยกัน แล้วจัดวางสมดุลในทางการเมืองให้ได้
รวมถึงสถาบันกองทัพด้วย
ผมหมายถึงทุกสถาบันเลย กองทัพอาจจะมาทีหลัง ผมอาจจะพูดเลยไปกว่านั้นอีก จำได้มั้ยครับว่า ผมเคยเสนอเรื่ององคมนตรี แล้วผมคิดว่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องพูดด้วย เราควรจะตั้งคำถามในทุกเรื่อง สมมติมีคนตั้งคำถามว่าในช่วงเวลาของ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา สถาบันในทาง รัฐธรรมนูญสถาบันใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง การเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นถูกต้องตรงตามหลักการที่ควรจะเป็นหรือไม่ ก็ต้องถกเถียงกันได้ว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พอเริ่มต้น ก็ห้ามพูดเสียแล้ว แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง สถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมถามว่า ถูกนำมาใช้ทางการเมืองมั้ย คำตอบก็คือใช่ ถ้าพูดกันตรง ๆ บางทีก็มีการชูสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทำลายปรปักษ์ทางการเมือง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลยนะ ผมถามว่า อย่างนี้ ถ้าไม่นำมาพูดกันให้มันหมดเปลือกตรงไปตรงมา เราจะแก้ปัญหาได้หรือ
ทราบว่า อาจารย์จะทำเว็บไซต์ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร
จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมาก คือคุยกันกับเพื่อนอาจารย์ในกลุ่มว่า มีกลุ่มคนในสังคมที่ตามความคิดของกลุ่ม 5 อาจารย์ บัดนี้มากกว่า 5 อาจารย์แล้ว ซึ่งได้แสดงจุดยืนและทรรศนะในทางกฎหมายในแต่ละเรื่อง แล้วก็เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ว่ากลุ่ม 5 อาจารย์ไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย หรือเกี่ยวข้องในทางทรัพย์สิน เงินทอง หรือการได้ประโยชน์จากฝ่ายใด
ก็เลยมีความคิดขึ้นมาว่า น่าจะทำเว็บขึ้นมา รวบรวมข้อมูลเรื่องที่เราได้ทำ ๆ ขึ้นไปรวมไว้ เอกสารเหล่านั้นซึ่งเป็นสาธารณะไปแล้วก็จะได้มีหลักแหล่งพอให้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครจะนำไปใช้ทำอะไรก็ขอให้อ้างอิง ไม่เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ใช้ได้หมด
อาจจะไม่ใช่แถลงการณ์อย่างเดียว แต่จะมีเรื่องบทความทาง วิชาการของผมเอง และของอาจารย์ในกลุ่มไปใส่เอาไว้ เพื่อให้คน ที่เขาตามมาค้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจจะรวมถึงบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ก็จะเอามารวมไว้ด้วย
แต่มากที่สุดและเป็นประเด็นหลักเลยก็คือกลุ่ม 5 อาจารย์และอาจารย์ที่เข้ามาสมทบเรายืนยันในหลักการประชาธิปไตย เป็นจุดยืนที่แน่วแน่มาโดยตลอด ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มมากกว่า 5 อาจารย์แล้ว คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนชื่อเว็บมีแล้วครับ แต่ขออุบไว้ก่อนนิดนึง เพราะอาจจะเป็นที่หมั่นไส้เล็กน้อย(ครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)