--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

เศรษฐกิจดี สังคมต้องดีและปลอดภัย

บทบรรณาธิการ

แม้ในด้านหนึ่งต้องถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยที่นอกเหนือไปจากการออกมาแถลงข่าว ให้ความเชื่อมั่นโดยบุคคลของรัฐบาล หรือหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทยอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับแนวโน้มที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2553 ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับ 7% แล้ว องค์กรหรือสถาบันการจัดอันดับระดับนานาชาติ ก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยมีศักยภาพและความเข้มแข็งด้านการขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากในปีนี้

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้สูงกว่า 7% หรืออาจโตได้ราว 7.4% จากนั้นในปี 54 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4-5% โดยฟิทช์จะมีการติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป หากมีการขยายตัวได้ดีขึ้นกว่านี้ และการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ "มูดีส์" ก็ออกมายืนยันว่า ปรับอันดับเครดิตประเทศไทยภายในสิ้นปีนี้ หลังมีมุมมองเครดิตประเทศไทยในเชิงลบมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี เนื่องจากสภาวะหลายอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและการเงินที่ดีเกินกว่าที่คาดไว้มาก แต่ขณะเดียวกันก็มีความท้าทายหลายอย่างที่มีผลกระทบในระยะยาว เช่น เรื่องการเมืองที่ดูเหมือนไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นนับตั้งแต่มีความขัดแย้งทางการเมืองมา

นอกจากประเด็นหลักเรื่องเดิมที่ยังเป็นคำถามสำคัญของประเทศไทยนั่นคือความผันผวนทางการเมืองแล้ว อีกด้านหนึ่งในท่ามกลางกระแสข่าวดีเกี่ยวกับอัตราการเติบโต การขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น ดูเหมือนปัญหาเกี่ยวเนื่องทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ ความยากจนที่ยังดำรงอยู่ในหลายกลุ่ม หลายพื้นที่ อันนำไปสู่ภาพสะท้อนจากปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งมีสถิติคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนคนไทยกลับเพิ่มสูงขึ้น หรือยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ เมือง สังคม ที่ก้าวข้ามการพัฒนาด้านเศรษฐกิจไปพร้อมกับการดูแล ควบคุมปัญหาด้านสังคม อาชญากรรม ยาเสพติด ฯลฯ จนกลายเป็นประเทศหรือสังคมที่สมดุลทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสงบสุข มั่นคงในด้านสังคม

สอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ซึ่งสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,237 คน แล้วพบว่า คนกรุงเทพฯ เห็นว่าตนเองมีความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตในระดับปานกลาง ความเสี่ยงด้านการเมืองยังคงมีคะแนนสูงที่สุดคือ 7.06 คะแนน รองลงมาคือความเสี่ยงด้านสุขภาพร่างกาย (6.51 คะแนน) ขณะที่ความเสี่ยงด้านชีวิตและทรัพย์สินและความเสี่ยงด้านการจราจรและการเดินทางมีคะแนนเท่ากัน (6.36 คะแนน) ตามลำดับ

อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หยิบยกเอาประเด็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาสถิติคดีอาชญากรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นควบคู่ไปกับสภาพการณ์ที่ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยจะเติบโตมากขึ้น มาหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพียงแต่คำปรารภอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการตั้งรับสถานการณ์ความซับซ้อนที่กำลังก้าวกระโดด ทั้งคดีอาชญากรรมทั่วไป คดีอาชญากรรมรุนแรง คดีก่อความไม่สงบ ไปจนถึงคดีฉ้อโกง หลอกลวง ที่กำลังปะทุรุนแรงมากขึ้น และเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องตระหนัก เร่งหามาตรการเพื่อให้สังคม ก้าวไปอย่างสมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคมที่เข้มแข็งและปลอดภัย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************************************

"กระผมไม่กลัวใต้เท้า"

วาทะของโฆษก ศอฉ.(ที่ไม่ได้ระบุคำเต็มไว้เพราะผู้อ่านแปลคำย่อนี้ต่างๆกัน ดังนั้นท่านถนัดแปลอย่างไร ก็ตามถนัดครับ) “ ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรม (สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ) มาโดยตลอด และจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าว และถ้ามีความจำเป็นจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด เช่น การปิดหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ” ตอกย้ำแนวทางการใช้อำนาจของ ศอฉ. ได้เป็นอย่างดี

หลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเดือนเมษายน 2553 มีการอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ออกข้อกำหนดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 “ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในทั่วราชอาณาจักร”

มาตรา 9 (3) เป็นมาตราเดียวในพระราชกำหนดที่ให้อำนาจในการดำเนินการกับสื่อต่างๆ โดยอาจห้ามเสนอเฉพาะข่าวที่เข้าลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด แต่มิใช่ห้ามไปเสียทุกเรื่อง ในกรณีที่สื่อนั้นมีข้อความต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด ก็อาจห้ามจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งถ้าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ก็ห้ามได้เฉพาะฉบับที่มีข้อความต้องห้าม ถ้าสื่อนั้นตัดข้อความต้องห้ามออกแล้วก็ย่อมจำหน่ายได้ และจะไปห้ามจำหน่ายฉบับในอนาคตที่ยังไม่ทราบว่ามีข้อความใดย่อมไม่ได้ หลักการเดียวกันนี้ใช้กับสื่อประเภทอื่น เช่น สื่ออินเทอร์เน็ตด้วย ทั้งนี้พระราชกำหนดมิได้ให้อำนาจ ศอฉ. ปิดสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 45

โดยวรรคสามบัญญัติห้ามการสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรา 45 นี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 ศอฉ.มีคำสั่งที่ 71/2553 ห้ามหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ คือ เสียงทักษิณ ความจริงวันนี้ ไทยเรดนิวส์ และวิวาทะ เสนอข่าวสารที่มีข้อความต้องห้ามตามกฎหมาย และห้ามจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการห้ามฉบับประจำวันใดหรือฉบับประจำช่วงเวลาใด ซึ่งเท่ากับเป็นการห้ามทุกฉบับแม้แต่ฉบับในอนาคตซึ่ง ศอฉ.ยังไม่ทราบเลยว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นอาจออกฉบับที่สรรเสริญเยิรยอ ศอฉ.มาบ้างก็ได้ ผลของคำสั่ง ศอฉ.คือการปิดกิจการหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ นั่นเอง

นอกจากสื่อหนังสือพิมพ์ข้างต้นแล้วยังมีสื่ออินเทอร์เน็ตอีกมากที่โดนปิดด้วยวิธีการต่างๆ โดยมีร่องรอยการกระทำของผู้ใช้อำนาจรัฐปรากฏในสื่อดังกล่าวอยู่ก็หลายกรณี

ในการอภิปรายเกี่ยวกับพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเมื่อเดือนกรกฎาคม อีกครั้งหนึ่งจัดโดยคณะกรรมการฝ่ายเสวนาวิชาการ วันรพี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนสิงหาคม ผมและผู้อภิปรายบางท่านได้อภิปรายว่า ศอฉ.ไม่มีอำนาจปิดกิจการสื่อมวลชนและรัฐธรรมนูญห้ามปิดกิจการสื่อมวลชน แต่รู้สึกว่าไม่เป็นประเด็นที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญแม้จะเกี่ยวกับสื่อมวลชนเองก็ตาม

ต้องรอจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2553 ที่วาทะโฆษก ศอฉ.ทำให้เรื่องการปิดสื่อมวลชนมาเป็นเป้าความสนใจได้ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 ว่าการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ไม่น่าจะทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ หาก ศอฉ.ยังคงมีการแถลงในลักษณะการข่มขู่ว่าใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินสั่งปิดหนังสือพิมพ์ในลักษณะที่ทำให้เกิดความสับสน คณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจะได้มีการหารือถึงมาตรการในการดำเนินการร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนอื่นๆต่อไป

ผมจึงขอใช้โอกาสนี้แจ้งไปยังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งหลายว่าเรื่องการปิดกิจการสื่อมวลชนนั้นไม่ใช่เพียงการแถลงในลักษณะการข่มขู่ แต่ได้ปิดจริงๆแล้วด้วย ในยามที่กลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมดูจะทำงานไม่เหมือนยามปกติ เป็นเหตุให้มีการใช้อำนาจรัฐโดยผิดกฎหมายหรือใช้ตามอำเภอใจอยู่เนืองๆ ถึงเวลาหรือยังครับที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจะแสดงบทบาทในการปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชน อย่างน้อยก็ควรบอกไปยัง ศอฉ. ว่า “กระผมไม่กลัวใต้เท้า” ด้วยถ้อยคำแบบเดียวกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ที่องค์การยูเนสโกยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านสื่อสารมวลชน เคยใช้เมื่อปลายปี 2525

พงศ์เทพ เทพกาญจนา

***********************************************************************

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

‘รัฐบาลเทพประทาน’ ชำรุด!!

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร,บางกอกทูเดย์

เท่าที่ ระแคะ! ระคาย! ระคน! ระคาง! ทราบกันมา.. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เริ่มไม่เป็นที่ “โปรด..โปรดกันอย่างสุด..สุด”??
พ่อยกแม่ยก ที่ส่งเสียงเย้วๆ หนุนกันยุ่บยั่บ! ยะยับ! ยะย้าว! พากันเบ้หน้าเป็นแถว
ความเป็น “เทพบุตรเนื้อหอม” สำหรับ “มาร์ค” นาทีนี้หมดแล้ว
ซึ่ง “อภิสิทธิ์” มั่นใจจะถูลู่ถูกัง ลาก “รัฐบาลเทพประทาน” อยู่ยาวไปจนครบเทอม..เกรงว่า เมื่อ “สิ้นมนต์เสื่อม” ไม่เป็นที่ปลื้มเสียแล้ว..โอกาสอยู่ไป มีแต่ยากส์!!
เท่าที่รู้ “ฟ้าเปลี่ยนสี”.... “อภิสิทธิ์” ทำให้ทุกฝ่ายเซ็งเต็มที?..อยู่ถึงสิ้นปี ยังลำบาก??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

‘โยนบาป’ ให้คนอื่นเต็ม..เต็ม!!
สงสาร “ลุงจิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท. ๑ ที่ถูกเขม่น เล่นงาน กันทุกเฟรม??
เอะอะมะเทิ่ง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็โบ้ยใส่.. ทำเรื่องให้ “รัฐบาลเทพประทาน” ฉาวได้ทุกเรื่อง
แต่งตั้งปลัดกระทรวง ก็ล้วงลูกจนเกิดเหตุ ดังลั่นไปทั้งเมือง
จัดงบประมาณ ยังเป็นการ “แบ่งเค็ก” เพื่อจูงใจ! ให้ส.ส.จิงโจ้! ผู้ไม่มีความจริงใจ! เข้ามากินงบกันจุ๊บจั๊บ! เพื่อย้ายเข้ามาซบอยู่กับ “พรรคภูมิใจไทย”!!
“ลุงจิ้น” เป็นที่รังเกลียด.. “อภิสิทธิ์” เบื่อสุดเหยียด?..กำลังจะเบียด ให้ตกตำแหน่งไป??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อ ‘มหาดไทย’ มีแต่เรื่องฉาว เรื่องแดง!
ดีดลูกคิดรางแก้ว แล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็จะโล๊ะเอา “ลุงจิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ให้พ้นตำแหน่ง??
อย่างไรก็ดี, ต้องใช้บริการ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” อยู่นั่นแหละ
พรรคนี้มี “คอนเน็กชั่น” มีคนร่วมประสาน ผลประโยชน์กันแยะ
ไล่เรียงดูแล้ว ล้วนระดับตัวเป้งขั้นเทพ ผู้ถืออำนาจประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กเนวิน ชิดชอบ”, “สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ป้ายแดง คนใหม่ ผู้มาแรง และอยู่ได้อีกนาน!!
กล้าโล๊ะทิ้ง “ลุงจิ้น” ออกไป....แต่ไม่กล้าตัดใจ?..ไล่พรรคภูมิใจไทย ก็แล้วกัลล์ล์??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ทำบุญ” เหมือน “ไฟตกน้ำ”!!
“อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” ๑ ใน ๓ ผู้คุมกฎพรรคเพื่อแผ่นดิน หนุนใคร ก็มีแต่ช้ำ??
สู้ปลุกปล้ำ..เอ๊ย...ปลุกปั้น และ ทุ่มเท ให้กับ “ท่านไชยยศ จิรเมธากร”อย่างเต็มที่
กระสุนดินดำ.. ก็ “ใจปล้ำ” ดูแลกันเป็นอย่างดี
แต่ใครจะไปเชื่อ?.. “ท่านพินิจ” ผู้มีน้ำใจกว้างเป็นแม่น้ำ คาบมหาสมุทร..ต้องช้ำใจเจ็บทรวง เมื่อ “คุณพี่ไชยยศ” คนที่จะสร้างให้เป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กลับตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไปรับจ๊อบทำงานสิวๆ เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” ให้แก่ “นายกฯ อภิสิทธิ์”!!
อยู่พรรคเพื่อแผ่นดินกันมา..แทนที่จะร่วมชะตา?...กลับหนีหน้า ไปรับตำแหน่งน้อยนิด??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบัน ไม่ฟ้อง!!
“โทนี แบลร์” อดีตนายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดีอังกฤษ ไม่เป็นที่ต้องการ ของพ่อแม่พี่น้อง??
พ้นจากเก้าอี้ ที่นั่งบัลลังก์ทอง...ไม่มีเอี่ยวเป็น “นายกรัฐมนตรี” แล้ว...วันนี้อยู่ดีมีสุข ที่ไหน
ไปเปิดตัวหนังสือที่ไอร์แลนด์...กลุ่มโกรธแค้น ก็ปาเกือก และ ไข่เข้าใส่
เป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ สำหรับ “ผู้นำ” ที่ “คลั่งอำนาจ”..ยิ่งคนที่ “สั่งฆ่า” สังหารหมู่ประชาชนด้วยแล้ว..ยามลื่นตกจากตำแหน่ง กลายเป็น “เทวดาตกสวรรค์” ไม่เป็น “นายกรัฐมนตรี” แล้วไซร้!..เหยียบแผ่นดินตรงไหน คนก็ตาม “เช็คบิล” กันอย่างดาษดื่น!!
อยู่ในอำนาจ ใช้กฎหมายคุ้มครอง..ยามตกกระป๋อง?..ยังไง คนก็จ้องเอาคืน???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"สมคิด"เพาะเมล็ดพันธุ์ ผู้นำรุ่นใหม่ กล้าคิด-นำเปลี่ยนแปลง

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปิดโครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง" ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพและเครือ "มติชน" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-5 กันยายน ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด เมื่อวันที่ 5 กันยายน

ผมมาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาบรรยายอะไร แต่มาเพื่อสื่อความในใจร่วมกัน ต้องการมาขอบคุณเครือมติชน และผู้บริหารในเครือมติชนที่เห็นคุณค่าของโครงการนี้ และเป็นเสาหลักจริงๆ ให้กับโครงการที่จัดขึ้นมา ถ้าไม่มีความสนับสนุนจากเครือมติชน ผมไม่คิดว่าโครงการจะลุล่วงได้ถึงขนาดนี้ ขอขอบคุณคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเชื่อว่าเป็นคณะวิทยากรซึ่งหาได้ยาก แต่ละท่านล้วนมีชื่อเสียงระดับประเทศ การมาร่วมกันบรรยายโครงการหนึ่งโครงการใดนั้นไม่ใช่ของง่าย ที่สำคัญที่สุดต้องขอขอบคุณมูลนิธิสัมมาชีพ ที่ประกอบด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้หวังผลอะไร แต่ยอมเสียสละเวลา เสียสละกำลังกายกำลังใจเป็นผู้จัดโครงการ และต้องขอขอบคุณผู้เข้าร่วมอบรม แต่ละคนมีภาระยุ่งเหยิง มาจากต่างจังหวัด บางท่านมาจากยะลา เสียสละเวลามานั่งฟัง แบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน

สิ่งที่โครงการนี้หวังเพียงว่า ณ จุดนี้ โครงการจะสามารถทำให้เห็นถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกพอสมควร ช่วยให้สามารถมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างของประเทศไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ อาจให้ความคิดหรือบทเรียนบางประการที่สามารถนำไปใช้ในสิ่งที่มีจุดมุ่งหมายอยู่แล้วที่จะทำความดีความงามให้กับสังคมบ้านเมือง มีโอกาสให้สร้างเครือข่าย ไม่ใช่สร้างเครือข่ายเพื่อความรุ่งเรืองส่วนตัว แต่เป็นเครือข่ายที่จะช่วยให้ผู้อบรมได้ทำในสิ่งที่ต้องการคือทำสังคมให้ดียิ่งขึ้น

ตอนเริ่มโครงการ ผมเชื่อว่าหลายคนอาจตั้งคำถามในใจว่าจริงๆ แล้ว วัตถุประสงค์ของโครงการคืออะไร มีการเมืองแอบแฝงหรือไม่ แต่ผมไม่เคยอธิบายและตอบคำถามในสิ่งเหล่านี้ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าโครงการนี้ให้อะไร และได้ผลอย่างไร เท่าที่ฟังผู้เข้าอบรมสรุปมาก็คิดว่าโครงการนี้บรรลุเป้าหมาย ถ้าเริ่มมีประกาย เริ่มมีความมุ่งมั่น เริ่มคิดที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อสังคมบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้คือจุดประสงค์ที่แท้จริง

เมื่อครั้งผมคุยกับคุณขรรค์ชัย บุนปาน ประธานเครือมติชน ว่าต้องการให้มีการร่วมกันของภาคประชาชน ถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง บ้านเมืองก็เข้มแข็ง แต่ภาคประชาชนนั้นไม่ใช่ว่า ทุกคนมีความพร้อมเท่าเทียมกัน การที่ทุกคนจะมีส่วนร่วมในทันใดนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ต้องมีด่านหน้าหรือที่เรียกว่า "ฟรอนท์ ไลน์" ที่มีความพร้อม อยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำอะไรได้มากกว่าคนอื่น ให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะ รับฟังสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทำความเข้าใจโลก ทำความเข้าใจกับประเทศไทย ทำความเข้าใจกับตัวเองให้ดีขึ้น โครงการพยายามให้ข้อมูล ให้ความรู้ ให้ช่องทาง และให้ความสนับสนุนเต็มที่

ผมคิดโครงการนี้ขึ้นมา เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีความฝัน เป็นความฝันของคนที่ยังหนุ่มยังแน่น เป็นความฝันที่อยากทำให้ประเทศดีขึ้น จริงๆ แล้วชีวิตผมห่างไกลจากการเมืองสุดกู่ ผมเกิดที่เยาวราชในครอบครัวที่ไม่มีอันจะกิน โชคดีที่ผู้ใหญ่อุปการะส่งเสริมให้เรียนหนังสือ ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดทางสังคมและการเมือง เริ่มมีความคิดทางสังคมและการเมือง เพราะว่ามีสิ่งที่มาจุดประกาย ประกายแรกเกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ สมัย 14 ตุลา มาจบที่ 6 ตุลา ผมอยู่ปี 1-4 จากคนที่ไม่เคยสนใจสังคมการเมืองก็เริ่มคิดว่าบ้านเมืองควรเปลี่ยนแปลงอย่างนี้อย่างนั้น ประการที่สองคือ ตอนที่มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ ได้ศึกษาทำความรู้จักกับประเทศญี่ปุ่น ก็เอะใจว่าทำไมญี่ปุ่นซึ่งไม่มีอะไรเลยถึงพลิกกลับขึ้นเป็นมหาอำนาจ ความสนใจเริ่มแผ่ไปฮ่องกง สิงคโปร์ ประการที่สามเริ่มคิดจะเขียนหนังสือ แล้วก็คิดถึงเรื่องเมืองไทย แล้วจู่ๆ โชคชะตาก็พาเข้าการเมือง

ก่อนหน้านั้นผมเป็นนักวิชาการ เป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน ครั้งหนึ่งเคยนั่งกินกาแฟ ทางซ้ายของผมคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทางขวาของผมคือ คุณทักษิณ ชินวัตร รักกันมาก นั่นคือ 20 ปีที่แล้ว ผมไม่คิดว่าวันนี้ท่านจะเป็นเจ้าของกีฬาสีคนละสีกัน นี่คือดวงชะตาคนเรา จู่ๆ ผมก็เข้าไปช่วยคุณทักษิณที่กระทรวงต่างประเทศ บอกท่านให้ใช้เศรษฐกิจนำการทูต และเมื่อตั้งพรรคการเมืองท่านก็ตั้งให้ผมเป็นประธานวิชาการของพรรคไทยรักไทย เขียนนโยบายขึ้นมา ตอนนั้นหนังสือเล่มหนึ่งกำลังฮิต คือ "รี ธิงกิ้ง" ผมเลยคิดขึ้นมาว่า คิดใหม่ ทำใหม่ สำหรับประเทศไทยขณะนั้น

ประสบการณ์ที่ผมได้คลุกคลีกับหลายจุด ภาคการศึกษา ภาคเอกชน ภาคราชการ ภาคการเมือง จนครอบคลุมเต็มตัวจริงๆ อยู่ 6 ปี ตอนนั้นแม้จะเหนื่อยแต่เป็นความสุขของคนที่เคยฝัน ฝันว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น คิดทำโน่นทำนี่ ฝันว่าอยากทำให้ประเทศไทยมีความสามารถเชิงแข่งขันที่โดดเด่น ฝันว่าจะทำให้สังคมมีความสุข ผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว เรารู้ว่าสังคมกำลังแตกก็บอกว่าให้มีภาษีลูกกตัญญู คิดทำในสิ่งเหล่านี้ เรื่องของกองทุนหมู่บ้าน จิปาถะเต็มไปหมด ทำงานเหน็ดเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขใจที่ได้มีโอกาสช่วยประเทศ สุขใจที่มีโอกาสใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เอาสิ่งที่ร่ำเรียนมาทำเพื่อการค้าหรือสร้างตัวเองขึ้นมา

แล้ววันหนึ่งพระเจ้าก็บอกว่า สมคิดมาพักได้แล้ว ผมมีความทุกข์พอสมควรในการเห็นปัญหาของบ้านเมืองแล้วไม่สามารถผลักดันหรือขับเคลื่อนได้อย่างที่ต้องการ บางครั้งเหมือนเขยื้อนภูเขา เขยื้อนไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะถ้าคิดคนเดียว ทำคนเดียว ทำให้ตายก็ไม่มีทาง ฉะนั้น จุดความฝันใหม่ ฝันว่าจะทำอย่างไรให้เมล็ดพันธุ์พืชขึ้นมาหลายๆ เมล็ด ให้เป็นคนที่สามารถฝากผีฝากไข้สำหรับอนาคตของประเทศ เพราะคนเหล่านั้นจะสามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอนาคตข้างหน้า และผู้นำนั้นต้องมาจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่มาจากนักธุรกิจอย่างเดียว อาจารย์อย่างเดียว หรือจากภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง

แต่ละคนล้วนมีความคิดของตนเองทั้งสิ้น ทำอย่างไรถึงจะมีสื่อกลางให้คนเหล่านั้นได้แสดงออก ให้เขาเริ่มเติบโต เริ่มยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น รู้ว่าความคิด ความฝัน ความจริงกับการปฏิบัติเป็นอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเดินไปข้างหน้าได้ โลกเราอยู่ได้ด้วยการผสมผสาน ความยืดหยุ่น รู้จักใช้สิ่งที่เป็นบวกของแต่ละคน มองข้ามสิ่งที่เป็นลบ คนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาของเขาก็อาจก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาติ

ถ้าสร้างตั้งแต่วันนี้ ช่วยเหลือตั้งแต่วันนี้ ก็จะออกผลเอาตอนนั้น และถ้าออกผลในตอนนั้น ประเทศก็มีที่พึ่ง ที่วันนี้ประเทศไม่มีที่พึ่งเพราะเราไม่ได้สร้างเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นขึ้นมา เราไม่มีผู้นำรุ่นใหม่ๆ ในแต่ละภาคส่วน แต่วันนี้เราเริ่มเห็นผู้นำในท้องถิ่น นายกเทศมนตรีทั้งหลาย ผู้นำสหกรณ์อายุไม่มากเกิดความคิดดีเลิศ นี่คือตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าเมืองไทยของเราไม่ได้ขาดคนดี แต่ทำอย่างไรจะจุดไฟให้เกิดขึ้น ต้องกล้าคิดกล้าทำ ไม่เอาตัวเองให้ตกเป็นทาสของความคิดผิดๆ กล้าคิดของตัวเองขึ้นมา การอธิบายว่าผู้นำเป็นอย่างไรนั้น หาอ่านได้ในหนังสือเยอะแยะ แต่อยากให้ดูว่าผู้นำที่สามารถสร้างชาติได้ต้องมีความรักชาติ รักบ้านเมือง ต้องมีความเสียสละ ต้องมีความกล้าหาญ

มีผู้นำอยู่คนหนึ่งซึ่งผมยอมรับและชื่นชมคือ อดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยิว ของสิงคโปร์ ผมชื่นชมเขาไม่ใช่ประเทศเขาเจริญ ลี กวน ยิว โตในสิงคโปร์ ไปเรียนหนังสือต่างประเทศ ชีวิตของเขามีแรงผลักอยู่มหาศาล ตอนอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เขาเคยเล่าให้นักข่าวฟังว่า ญี่ปุ่นมายึดสิงคโปร์ เขาเดินผ่านทหารญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านทหารญี่ปุ่นต้องโค้ง ทหารญี่ปุ่นเรียกไปให้เขาคุกเข่าแล้วกระทืบ เขาบอกว่าการกระทืบครั้งนั้นสอนให้รู้ว่าอำนาจคืออะไร จากนั้นเขาไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ตอนไปคนอังกฤษดูหมิ่นคนเอเชีย เพราะคิดว่าเหนือกว่า เขาเริ่มเกิดความคิดว่าระบบอังกฤษดีกว่า คนเอเชียจริงหรือเปล่า เขาติดตามดูวิธีการบริหารเศรษฐกิจของอังกฤษ ติดตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษที่เป็นแม่บท เขาบอกว่าสิงคโปร์ทำได้แน่และดีกว่าแน่นอน ขออย่างเดียวให้มีเวลา

เขาเดินทางกลับมาที่สิงคโปร์ ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 40 ด้วยซ้ำ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง สนับสนุนให้มีการรวมสิงคโปร์ซึ่งเป็นเกาะประมงเล็กๆ ไม่มีอะไร ร่วมกับมลายู ก่อตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย เขาต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้และเขาชนะ สิงคโปร์รวมกับมลายูได้ แต่เมื่อตั้งมาเลเซียขึ้นมา เขาได้รับบทเรียนสำคัญ มาเลเซียนั้นต้องการเป็นมาเลเซียซึ่งมีมาเลย์ ออน ท็อป แต่ข้อเสนอของเขาคือ ต้องเท่าเทียมกัน เป็นลูกคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกเลี้ยง เขาคิดไม่ถึงว่า มาเลเซียขณะนั้นจะตัดเขาออกไป อดีตนายกฯมาเลเซียประกาศตัดสิงคโปร์ออกจากสหพันธรัฐมาเลเซีย เพราะคิดว่าไปไม่รอดแน่ เกาะเล็กๆ ไม่มีอะไร มีแค่การจับปลา

ผมได้มีโอกาสดูวิดีโอคลิปตอน ลี กวน ยิว อายุประมาณ 42 ผมไม่เคยคิดว่าบุรุษเหล็กอย่างลี กวน ยิว ร้องไห้เป็น เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวบอกว่า ตลอดชีวิตวัยหนุ่มทุ่มเทและเชื่อมั่นว่าการรวมเป็นสหพันธรัฐมาเลเซียคือเป้าหมาย เขาเอาทิชชูมาซับน้ำตา ผมดูแล้วเข้าใจทันทีว่า ทำไมสิงคโปร์ถึงมีแรงผลักมากขนาดนี้ ทำไม 40-50 ปีให้หลังถึงทำงานแบบไม่มีหยุดหย่อน ทุกอย่างเริ่มต้นจากแรงผลักข้างในทั้งสิ้น คำถามที่ต้องถามคือ คนไทยมีแรงผลักนี้หรือไม่ มีความมุ่งมั่นหรือไม่ทางการเมือง การเมืองไม่ใช่เพื่อส่วนตัวแต่เพื่อประเทศชาติ เขาใช้เวลาหลายเดือนในการรวบรวมตัวเองไม่ให้แตกซ่านจากความผิดหวัง

ลี กวน ยิว ออกมาประกาศต่อคนสิงคโปร์ว่า คนอย่างเขาไม่ใช่ลูกไล่ของใคร เขาบอกว่าจะไม่เล่นเกมที่ใครกำหนดขึ้นมา สิงคโปร์จะกำหนดชะตาเอง และสิงคโปร์จะต้องอยู่รอด เขาประกาศคำนี้ตอนอายุ 42 จากจุดนั้นเป็นต้นมา เขาคิดอนาคต เลือกสรรคนดีๆ มาทำงานเพื่อบ้านเมือง คนเราไม่เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้คนสิงคโปร์เหนือกว่าคนอื่นและอยู่รอดได้ และสิ่งนั้นคือเรื่องของการศึกษา และสิงคโปร์ก็ทุ่มเทเรื่องการศึกษามาโดยตลอด มีการนำคนเก่งๆ เข้ามาในประเทศไม่ว่าจะชาติใดก็แล้วแต่ การที่มีคนเก่ง มีคนดี มีความตั้งใจ

ลี กวน ยิว เริ่มสร้างเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ มี โก๊ะ จ๊ก ตง มีจายา กุมาร์ เต็มไปหมด แต่ละคนเขาให้เงินเดือนสูงมากๆ วันที่เขาตั้งเงินเดือนให้สูงๆ นั้น เขาถูกโจมตีจากสื่อต่างประเทศ เขาประกาศว่า ถ้าให้คนที่จะมานำประเทศแล้วให้เงินเดือนต่ำๆ ก็จะมีแต่คนที่พูดหวานแล้ววันหนึ่งข้างหน้าจะออกลาย แล้วเมื่อนั้นพวกเขาจะทำให้ชาติเสื่อมทราม ประเทศจะเจริญได้ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง รัฐบาลสามารถเข้มแข็งได้ก็จะมีคนดีเลิศมาที่รัฐบาล ประเทศชาติจะเจริญ ฉะนั้น อย่าเสียดายเงินเดือนค่าจ้าง

มีคนถามลี กวน ยิว ว่าห่วงไหม ถ้าวันหนึ่งมีพรรคอื่นมาเป็นรัฐบาล เขาบอกว่าไม่ห่วงเลย ตราบใดที่พวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าจะหาใครมาทำงานให้สิงคโปร์ก้าวหน้าได้ เขาเตือนประชาชนของเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีระบบศรีธนญชัย เขาบอกว่าเราให้ชามข้าวคุณ ไม่ใช่ชามเหล็กตกไม่แตก แต่เป็นชามกระเบื้องที่ตกแตก ฉะนั้น เป็นหน้าที่ของชาวสิงคโปร์ทุกคนที่จะต้องรักษาชามข้าวใบนี้ไว้ ถ้าแตกเมื่อไหร่คือเคราะห์ร้ายของประเทศ รัฐบาลจำเป็นต้องแทรกแซงในบางเรื่อง เพราะขณะนั้นเริ่มมีคนบ่นว่าเขาเริ่มเข้ามาวุ่นกับชีวิตประจำวันของคนสิงคโปร์ เขาบอกว่าสิงคโปร์มีวันนี้เพราะเราช่วยกันคิดว่าอนาคตคืออะไร ต้องทำอะไร แม้กระทั่งจะถ่มน้ำลายก็สำคัญ ถ้าคิดว่าเขาทำผิดก็ให้เลือกพรรคอื่นไม่ต้องเลือกเขา คนงานสหภาพแรงงานสไตร๊ค์ 2 สัปดาห์ ในภาพวิดีโอที่ออกมา เขาออกมาประกาศว่าการหยุดงาน 2 สัปดาห์ แต่ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะซ่อมความเสียหายได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเจรจาต่อรอง แต่เป็นเรื่องของชีวิตคนสิงคโปร์ทุกคน มีทางเลือก 2 ทางคือสไตร๊ค์ต่อหรือหยุด ถ้าเป็นทางแรก เขาสัญญาว่าจะให้คนสิงคโปร์ทั้งประเทศให้บทเรียนและสั่งสอน

ฟังเขาพูดเรื่องสื่อฝรั่ง สื่อฝรั่งเริ่มตำหนิสิงคโปร์ เพราะตอนนั้นเริ่มเกิดปัญหาระหว่างสิงคโปร์กับออสเตรเลีย เขาให้สื่อต่างประเทศออกจากสิงคโปร์ ตรงนี้ถูกผิดหรือไม่ผมไม่ขอออกความเห็น แต่สะท้อนได้ว่าเขาคิดอะไร เขาบอกเขาอนุญาตให้สื่ออยู่ในประเทศเพื่อรายงานข้อเท็จจริงของสิงคโปร์ให้ฝรั่งได้เข้าใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มจินตนาการเริ่มเขียนให้เกิดความเสียหายต่อสิงคโปร์ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องอยู่ในสิงคโปร์ สื่อในสิงคโปร์มีความสามารถไม่แพ้สื่อต่างประเทศ เขาบอกว่าถ้าคุณไม่ดูแลสิ่งเหล่านี้ แล้วมีคนซึ่งเอาความคิดที่ไม่ดี ความคิดผิดๆ แล้วเผยแพร่ตลอดเวลาในสื่อเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ประเทศจะอยู่ได้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้นำและของรัฐบาลที่ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นด้วยการให้คนที่มีความคิดเหล่านั้นมาชี้แจง ถ้าผิดก็ขอโทษในสิ่งที่เคยพูด ถ้ายังทำต่อไปต้องขึ้นศาลว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นถ้าความคิดผิดๆ อยู่ในสมองของประชาชน ความเสียหายจะเกิดขึ้นมหาศาล เขาพูดแบบนี้เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว ผมคิดถึงกีฬาสีเมืองไทยขึ้นมา

สิ่งที่เล่ามาไม่ใช่ว่าถูกหรือผิด แต่กำลังจะบอกว่า คนที่เป็นผู้นำนั้นต้องมีความคิด ต้องเปิดรับความคิด ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องสื่อความ ต้องกล้าตัดสินใจ ต้องไม่เห็นว่าอำนาจคืออะไร ตำแหน่งคืออะไร สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องปลูกฝัง ต้องสร้างให้มีผู้นำรุ่นใหม่เกิดขึ้น ปีนี้ผมอายุ 57 แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ 60 แต่ต้องมีคนรุ่นใหม่แล้ว อายุ 30 40 50 ต้องเริ่มคิดสิ่งเหล่านี้แล้ว คนอายุมากถอยไปอยู่ข้างหลัง คอยช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน ลี กวน ยิว เคยบอกว่า ต่อให้เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หรือคนกำลังจะเอาร่างของเขาฝังในดิน ถ้าเมื่อไหร่มีอะไรผิดปกติขึ้นกับสิงคโปร์ เขาจะลุกขึ้นมา ถ้าไม่ดูประวัติเขาตั้งแต่ต้น ไม่เคยเห็นวันที่เขาร้องไห้ จะไม่เข้าใจและคิดว่าเขาพูดเกินจริง แต่คนคนหนึ่งถ้ารักชาติ สร้างชาติขึ้นมา บางครั้งเขาอาจทำในสิ่งที่ผิดพลาด คนสิงคโปร์ก็ให้อภัยเขา เขาอาจเผด็จการมากไป แต่ข้อดีของเขามีเยอะ

เมืองไทยต้องมีคนแต่ละรุ่น มีจิตใจที่กล้าเสียสละ 4 ปีที่ผ่านมา เดือนนี้เป็นเดือนครบรอบ 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ใครจะปฏิวัติรัฐประหารปล่อยเขาไป แต่สิ่งที่เห็นชัดคือว่า โดยส่วนตัวผมว่าบ้านเมืองนี้เสื่อมลง ผมเห็นความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ตัวผมเองประสบด้วยตัวเอง ผมเห็นจริยธรรมคุณธรรมเริ่มตกต่ำ ผมเห็นวิวัฒนาการของการเมืองไทย จากการเมืองศรีธนญชัยมาสู่การเมืองยุคที่เรียกว่า หน้าด้านใจดำ มีหนังสือเรื่อง "ธิค เฟซ แบล๊ค ฮาร์ท" ซึ่งไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง เพราะเขาบอกว่าคนเราจะได้ดีนั้นหน้าต้องหนา และหน้าต้องไม่มีจุดนิ่ง เปลี่ยนได้ตลอด จิตใจนั้นดำ จะให้ดีต้องดำเหมือนถ่าน ขัดให้เงาฉายแสง แล้วเมื่อนั้นจะได้ดีทางการเมือง ผมไม่แนะนำให้อ่าน ไม่อยากให้เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ เพราะประเทศไทยจะดีได้อยู่ที่คุณธรรม ซื่อสัตย์ ทำเพื่อส่วนรวม

ผมไม่ต้องการเข้าการเมือง ไม่ต้องการตั้งพรรคการเมือง มีข่าวอยู่เรื่อยว่าร่วมกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ การมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นเรื่องง่าย แต่การเข้าไปแล้วทำให้ประเทศดีขึ้นนั้นไม่ใช่ง่าย คุณจะมีความทุกข์ถ้าตั้งใจมากและเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้ หาก ส.ส. 1 คน 30 ล้าน พวกเราผู้ประกอบสัมมาชีพจะไปทำการเมืองได้อย่างไร ฉะนั้น ภาคประชาชนจะเป็นความหวังของประเทศ ประชาชนแข็งแรง มีความรู้ รู้เท่าทัน รัฐบาลจะรู้จักรับผิดชอบ แต่ถ้าประชาชนอ่อนแอ ไม่รู้ไม่ชี้ ใครจะอย่างไรก็ช่าง รอหวังอัศวินม้าขาว การเมืองไทยจะไม่มีวันดีขึ้น

วันนี้มาพูดสื่อความ และผมไม่อยากให้เป็นข่าว เพราะผมสื่อความในใจ ผมอยากขอบคุณมติชนที่กล้าผลักดันสร้างโครงการนี้ขึ้นมา ความหวังของผมอยู่ที่พวกท่าน ไม่ได้อยู่ที่อัศวินม้าขาว ถ้าพวกท่านแข็งแรง การเมืองศรีธนญชัยจะหมดไป ประเทศจะเจริญ

ที่มา : มติชนรายวัน

*****************************************************************************

บอร์ดการท่าฯถกด่วน ล้มสัมปทาน"สุวรรณภูมิสแควร์"ของบ.แป้งร่ำฯ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

บอร์ด ทอท.เปิดประชุมด่วนจี๋จันทร์ 6 ก.ย.นี้ ถกแผนล้มสัมปทานโครงการ "สุวรรณภูมิสแควร์" ของบริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด เป็นโมฆะ จ่อเอาผิดบิ๊ก ทอท. "เสรีรัตน์ ประสุตานนท์" ใช้อำนาจขัดระเบียบจะอ้างเข้าใจผิดคงไม่ได้ เพราะกฎของบริษัทสัญญาเกิน 10 ปี ต้องเสนอบอร์ดพิจารณา แถมในเอกสารลงนาม 18-19 ส.ค. 53 มีรายงานบันทึกเสร็จสรรพระบุการให้เช่าลานจอดรถระยะยาวมีข้อจำกัด

นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." เปิดเผยว่า วันจันทร์ที่ 6 กันยายนนี้ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการ ทอท.ด่วนในวาระพิเศษเพื่อลงมติล้มเลิกสัมปทานโครงการ "สุวรรณภูมิสแควร์" ซึ่งเป็นการกระทำที่ท้าทายอำนาจบอร์ดอย่างรุนแรง เมื่อนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะกรรมการพิจารณาราย ลงนามอนุมัติให้ บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด เข้ามารับผิดชอบบริหารพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (long term parking) 62,380.50 ตารางเมตร เป็นเวลา 15 ปี เป็นโครงการขนาดใหญ่แถมเกินอำนาจของฝ่ายบริหารจะทำได้ แต่กลับไม่เสนอให้บอร์ดอนุมัติ

กรณีนี้ถือเป็นการความผิดร้ายแรงและอาจส่งผลเสียหายแก่บริษัทได้ ถึงแม้นายเสรีรัตน์จะนำทีมบริหารที่เกี่ยวข้องมาอธิบายด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 อ้างที่ทำไปทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด คิดว่าฝ่ายบริหารมีอำนาจดำเนินการเองทั้งหมด ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ถูกต้อง ผู้นำต้องรู้และแม่นยำเรื่องระเบียบปฏิบัติทางกฎหมาย

ดังนั้นการประชุมบอร์ดด่วนนัดพิเศษครั้งนี้จะต้องหารือกับกรรมการทุกคนถึงมาตรการลงโทษฝ่ายบริหาร เพราะที่ผ่านมาบอร์ดกำหนดกติกาชัดเจนทุกเรื่อง แต่หลังจากเกิดกรณีแอบอนุมัติให้สัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ กรรมการจึงเริ่มเกิดความไม่มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และประธานคณะกรรมการพิจารณารายได้ อย่างไรก็คงต้องขอมติเพื่อปลดก็เป็นไปได้ รวมถึงการยกเลิกข้อตกลงทุกอย่างเกี่ยวกับโครงการสุวรรณภูมิสแควร์

"ในการประชุมบอร์ดด่วนวาระพิเศษต้องหารือ 3 เรื่องแรก ย้ำอย่างหนักแน่นให้ทุกฝ่ายยึดมั่นการรักษาผลประโยชน์องค์กรเต็มที่ เรื่องที่ 2 คณะกรรมการพิจารณารายได้ชุดนี้จะต้องตอบคำถามบอร์ดอย่างละเอียดชัดเจนถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่เสนอบอร์ด เรื่องที่ 3 ความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ บริเวณติดกับพื้นที่ที่มีแผนอนาคตอีก 10-15 ปี จะใช้สร้างทางวิ่งที่ 4 (runway 4) นั้นได้คำนึงถึงผลลัพธ์ความยุ่งยากที่จะตามมาหรือไม่

"ผมมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้คณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ทำหนังสือชี้แจงประธานบอร์ดและกรรมการทุกคนอย่างละเอียดหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การให้สัมปทานแป้งร่ำ รีเทล ซึ่งเป็นบริษัทโนเนม มีทุนจดทะเบียนแค่ 1 ล้านบาท รับผิดชอบการลงทุน 450 ล้านบาท ยาวถึง 15 ปีนั้น ประเด็นแรก ก่อนตัดสินใจอนุมัติสัมปทานโครงการได้ทำการศึกษาผลดีผลเสียหรือเปล่า ประเด็นที่ 2 รายได้ที่ ทอท.ควรจะได้รับสอดคล้องกับความเป็นจริงขนาดไหน ประเด็นที่ 3 เหตุใดจึงทำผิดระเบียบ ทอท. ซึ่งระบุอำนาจฝ่ายบริหารอนุมัติสัมปทานโครงการได้ไม่เกิน 5 ปี ถ้าเกินจากนี้ไปจะต้องเสนอบอร์ดเห็นชอบ"

นายปิยะพันธ์กล่าวว่า ถ้าหากบริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ขู่จะฟ้องร้องโดยอ้างได้รับจดหมายแจ้งเป็นผู้ได้รับเลือกโดยวิธีพิเศษทำสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ แต่บอร์ดมายกเลิกนั้น อธิบายได้เลยว่านิติกรรมครั้งนี้เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น เพราะผู้อนุมัติทำผิดระเบียบและไม่มีอำนาจ ดังนั้นหากต้องการค่าเสียหายใด ๆ ก็ให้ไปฟ้องดำเนินคดีกับนายเสรีรัตน์เอาเอง

"ประชาชาติธุรกิจ" ตรวจสอบเอกสารของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.อ้างอิงฉบับ ทสภ.ที่ 15705/53 ซึ่งมีลายเซ็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ลงนาม เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2553 จากนั้นก็ส่งรายละเอียดทั้งหมดต่อตามเอกสารระบุที่ ทอท.7060/2553 วันที่ 19 สิงหาคม 2553 แจ้งผลการพิจารณาขอเช่าพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว เพื่อดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในสุวรรณภูมิ เป็นหนังสือทำถึง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด โดยอ้างถึงหนังสือ บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด เลขที่ นอ.85/53 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2553 พร้อมกับสิ่งที่ส่งมากับหนังสือฉบับดังกล่าวคือ รายละเอียดเอกสารหลักฐานประกอบการทำสัญญาจำนวน 2 แผ่น และส่วนท้ายมีลายเซ็นนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ลงนามในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.

รายละเอียดทั้งหมดในเอกสารระบุเลขที่ออกทั้งฉบับวันที่ 18 และ 19 สิงหาคม 2553 นั้น ลำดับเหตุการณ์โดยหยิบยกเหตุการณ์เอกชนที่เข้ามาเกี่ยวพันกับการยื่นขอเช่าพื้นที่ในสุวรรณภูมิ 3 บริษัท คือ ห้างหุ้นส่วนบางนาอุปกรณ์ กับสหกรณ์บริการวิสาหกิจชุมชนหนองปรือ จ.สมุทรปราการ ยื่นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2552 ขอเช่าพื้นที่หลังลานจอดรถสาธารณะ (แท็กซี่) 6,000 ตารางเมตร ทำ Community Mall สัญญา 5 ปี ต่อมา บริษัท คอน-พลัส พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (ซึ่งตรวจจากกรมทะเบียนธุรกิจการค้าไม่พบการจดทะเบียน) ยื่นเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2552 ขอเช่าที่ดินด้านหลังลานจอดรถแท็กซี่ติดกับรั้วอาคาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด 6,360 ตารางเมตร เพื่อทำศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร

กระทั่งมาถึงวันลงนามอนุมัติสัมปทานสุวรรณภูมิสแควร์ ในลานจอดรถระยะยาวสุวรรณภูมิ 15 ปี ถึงได้มีการแจ้งเปลี่ยนชื่อจาก บริษัท คอน-พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เป็น บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นคนเดียวกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบางนาอุปกรณ์ ประการสำคัญในเอกสารอ้างอิงฉบับวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ระบุชัดเจนไว้ตอนหนึ่งว่า การใช้ลานจอดรถระยะยาวสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาธุรกิจนั้นมีข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินได้ไม่เกิน 10 ปี แต่การประชุมของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท. ที่สุวรรณภูมิ ครั้งที่ 11/2553 วันที่ 16 สิงหาคม 2553 กลับลงมติขัดแย้งระเบียบดังกล่าว โดยระบุว่าโครงการของบริษัท แป้งร่ำ รีเทล มีความน่าสนใจ ส่วนลานจอดรถก็มีผู้ใช้บริการน้อย ดังนั้นจึงมีมติอนุมัติให้สัมปทานเอกชนรายนี้เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งตรงกันข้ามกับที่ฝ่ายบริหารใช้เป็นเหตุผลอ้างกับนายปิยะพันธ์ว่าเป็นการเข้าใจผิดเรื่องมีอำนาจอนุมัติเอง

*************************************************************************************

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องของคนหน้าบาง

คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า บางกอกทูเดย์

ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีผู้มีอำนาจให้เป็นนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้
พลันถูกฝ่ายค้านวิจารณ์เรื่องคุณสมบัติและจริยธรรม นายคิม แตโฮ ก็หน้าบางถอนตัวไม่ยอมเป็นนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เอาดื้อๆ
ผิดกับที่นี่ประเทศไทยหน้ามือเป็นหลังมือ ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ข้าฯเป็นใหญ่...;เป็นฝ่ายค้านพูดอย่าง..เป็นรัฐบาลพูดอีกอย่าง...ด้านได้อายอดนำ.... คุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องไว้เล่าบ่นพูดจาหน้ากล้องหรือหลังโพเดี้ยมให้ดูดีมีค่า
ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยมีสำนึกแบบนี้บ้าง
เรื่องวุ่นๆอีรุงตุงนังเช่นที่เป็นอยู่คงหมดไปนานแล้วแน่ !!...จริงไหมท่านนายกฯ ??
.............................................................................................................
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ??
ทำงานในหน้าที่ ส.ส.แถมเป็นวอลลเปเปอร์เคลื่อนที่ให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอย่างเดียวคงไม่สนุกพอ
ศิริโชค โสภา สส.สงขลา จึงต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนไปสืบสวนหาข่าวเอากับ วิคเตอร์ บูธ ถึงในเรือนจำในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์
ใครจะเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธหรือไม่ ??
ชุดดำที่เอาอาวุธมายิงประชาชนเป็นใคร เกี่ยวข้องกับ วิคเตอร์ บูธ หรือเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่ ??
ทั้งหมดทั้งปวงมันก็น่าจะเป็นหน้าที่ของข้าราชประจำ ไม่น่าใช่หน้าที่ของ ศิริโชค โสภาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือว่าอยากดึงเรื่องราวต่างๆผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกันเพื่อผลทางการเมืองก็เป็นอีกเรื่อง
ระวังจะเหยียบเปลือกล้วยล้มโดนข้อหาใช้สถานะและตำแหน่งการเป็น ส.ส.เป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานประจำแล้วล่ะก็
ยิ่งหากนำสืบได้ว่าที่ทำไปนั้นเพื่อประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมต่อตนเอง ผู้อื่น หรือพรรคการเมือง
จับพลัดจับผลู...อาจเป็นเรื่องขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 266 เอาง่ายๆก็ได้นะ???
ขออย่าให้ปลาวาฬเกยตื้นก็แล้วกัน...เพราะหากช่วยไม่ทันช่วยไม่ถูก ก็มีสิทธิตายเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน !!
..........................................................................................................................
ยกย่องกันเกินไปหรือเปล่า ??
เคยมีข่าวจะมีการจัดสรรงบประมาณลงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสมัยรัฐบาล แม้วพลัดถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมากน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์เหตุความไม่สงบ
ดาหน้าออกมาถล่มกันยับเยินทั้งนักวิชาการและนักการเมืองอีกฟากฝ่าย
วันนี้มีข่าวงบประมาณแผ่นดินถูกเอามาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
หากเป็นส.ส.พรรคที่อยู่ในซีกฝ่ายรัฐบาลก็จะได้งบประมาณลงในท้องที่ที่เป็นเขตเลือกตั้งจำนวนมาก
ในทำนองกลับกันหากเป็น ส.ส.ในซีกฝ่ายค้านโอกาสได้งบประมาณลงพื้นที่ก็จะได้น้อย
วันนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการกลับไม่ดังเท่าที่ควร
หากมีการเอางบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชนมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
ที่เรียกขานกันว่าผู้ทรงเกียรติ..พวกเขาเหล่านั้นมีเกียรติพอที่จะให้เรียกกันหรือไม่ ??
...................................................................................................................................
ท.ท.ท.ระส่ำ ??
การท่องเที่ยวซบเซา เงินไม่ไหลเข้ากระเป๋าคนไทยแต่ดันไหลไปเข้ากระเป๋าคนประเทศอื่น
“เสี่ยเล็ก” สุรพล เศวตเสรณี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคงยังไม่รู้
ที่แต่งตั้งให้เป็นใหญ่เป็นโตมากับมือ...:ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเลือกมาเองกับมือหรือเพราะหลงจู้หรือเสมียนแนะนำมา
วันนี้คนที่ว่าก็ทำเอาวุ่นไปหมดทั้งสำนักงานแล้ว..ถึงว่าการท่องเที่ยวถึงไม่กระเตื้อง
พนักงานเขาบ่นมา...แต่งตั้งคนคนนี้มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ??
อยากรู้เป็นใคร ใบ้ให้นิดก็ได้...ผู้ชายอะไรชอบหันหลังสู้...!!!
....................................................................................................................
ตื่นเถิดไทย ??
นักเรียนนักเลงขี่จักรยานยนต์นับสิบคันขนาบรถเมล์พร้อมยิงปืนและขว้างปาก้อนหินใส่เพื่อหวังทำร้ายนักเรียนคู่อริ
ตั้งแต่คลองสามยันคลองหกระยะทางหลายกิโลเมตร
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างเมินเฉยถือว่าธุระไม่ใช่
เมื่อไหร่นะคนไทยจะตื่นและร่วมกันปกป้องไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีงามในบ้านเมืองเสียที
ขืนหลับไม่ตื่นยึดคติธุระไม่ใช่อยู่แบบนี้...มีหวังเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล
ทั้งโกงบ้านกินเมือง ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแบบเน่าหนอนชอนไชเพื่อมุ่งรับใช้ผู้มีอำนาจโดยละเลยประชาชนแบบทุกวันนี้คงเพิ่มขึ้นอีกบานเบอะ
ตื่นเถิดคนไทย..ขืนหลับไหลไอ้พวกจัญไรครองเมืองมากกว่านี้แน่ ???
................................................................................

ฑูตซาอุฯโต้'สุเทพ'แต่งตั้ง'สมคิด'พันคดีฆ่า'อัลรูไวลี่'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ฑูตซาอุฯโต้"สุเทพ"คดีแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่า"อัลรูไวลี่"นั่งผช.ผบ.ตร. กำหนดเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลเริ่ม25พ.ย.2553

รายงานเกี่ยวกับแถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2553 นั้น ทางสถานทูตฯ ซาอุดิอาระเบียมีความประสงค์ที่จะชี้แจงประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบีย ต้องการเน้นย้ำ ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ในแถลงการณ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้ว่าทางสถานทูตฯ ยึดหลักนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือก้าวก่ายกิจการภายในใดๆ ของในแต่ละประเทศ และไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันของประเทศไทยแต่อย่างใด หรือมีเจตนาที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในประเทศนั้นๆ คำกล่าวข้างต้นมีเพียงเฉพาะประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบียโดยปราศจากประเด็นอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้ ขณะที่ทางสถานทูตฯ กำลังดำเนินเรื่องคดีต่างๆ ที่ค้างอยู่ด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุดและปฏิบัติด้วยวิธีที่เคารพต่อสถานการณ์อ่อนไหวทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียขอชี้แจงหมายเหตุที่คัดค้าน และแสดงความกังวลในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้นั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าหัวข้อที่เป็นปัญหาคือ ประเด็นที่ตรงกับความกังวลเกี่ยวกับคดีคงค้างทั้ง 3 คดีของซาอุดิอาระเบียและยังไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลานานมากกว่า 20 ปีคือคดีการโจรกรรมเครื่องเพชรจากราชอาณาจักรประเทศซาอุดิอาระเบียโดยคนงานไทย ซึ่งเป็นเหตุตามมาด้วยการฉ้อฉล ยักยอกเครื่องประดับที่ถูกโจรกรรม คดีลอบสังหารนักการทูตของประเทศซาอุดิอาระเบียที่ประจำการอยู่ในประเทศไทย และคดีสุดท้ายคือการหายตัวไปและฆาตรกรรม นายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งส่งผลลดระดับของความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกด้านๆ

ดังนั้นทางสถานเอกอัครราชทูตฯ มีสิทธิ์สมควรปฏิบัติตามหน้าที่หลัก โดยการติดตามความคืบหน้าของการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ขณะที่สนับสนุนให้ทางการเปิดเผยถึงสิ่งที่เป็นข้อสงสัยต่อคดีทั้ง 3 ในปัจจุบันซึ่งรอนานกว่า 20 ปี อีกทั้งให้สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียที่ให้อุปถัมภ์สนับสนุนการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศทั่วโลก เป็นเวลานานกว่า 20 ปีตั้งแต่ทางการซาอุฯ ตกตะลึงต่อเหตุการณ์คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้แสดงความเข้าใจและมีความอดทนต่อการติดตามคดี อีกทั้งได้ให้ความร่วมมืออย่างดีต่อเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพื่อเปิดเผยคดีอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากนี้เป็นหน้าที่ของสถานทูตฯที่ปฏิบัติตามหน้าที่รับใช้ต่อคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและคำนึงถึงการปกป้องผลประโยชน์โดยให้ความร่วมมือกับอำนาจจากภาครัฐของไทย

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียยังคงยืนยันและได้แสดงท่าทีหลายครั้งในการเรียกร้องและคาดหวังที่จะเห็นความโปร่งใส มีความยุติธรรมและการไม่เข้าไปแทรกแซงกับการแก้ปัญหาคดีค้างที่เกี่ยวข้องกับประเทศซาอุดิอาระเบีย และณ โอกาสนี้ขออ้างถึงนโยบายของรัฐบาลไทยโดย ฯพณฯนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต่อรัฐภา ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551(2008) ซึ่งรวมถึงกฎหมายและความยุติธรรม

8.2 กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
8.2.2 พัฒนากฎหมายเพื่อการบริหารความยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกกลุ่ม

ในขณะที่สถานทูตฯ สนับสนุนการริเริ่มอย่างเต็มที่ของรัฐบาลไทย และเป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้มองว่าคือจุดเริ่มต้นของความคืบหน้ามากกว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และความคืบหน้าของคดีทั้ง 3 คดี ประสบผลสำเร็จโดยรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรทั้ง 2 อย่างเต็มรูปแบบ
ในการนี้ ตามที่สถานทูตฯ ได้เคยแถลงไปว่า ทางสถานทูตฯ ยังไม่ได้มีข้อสรุปใดๆ ต่อทั้งสามคดี หรือยังไม่ได้กล่าวโทษบุคคลใด ว่าได้กระทำผิด หรือต้องรับผิดชอบในการดำเนินการใดๆ ของคดีอาชญากรรมที่รู้กันดีตามหัวข้อที่ตกเป็นประเด็น เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมและศาลไทยที่จะเป็นฝ่ายพิสูจน์และดำเนินการที่จำเป็นอันสอดคล้องกับกฎระเบียบตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตฯ ตั้งข้อสังเกตเห็นว่า ตามมาตรา 95 พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี พ.ศ. 2547 ระบุว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา จะต้องถูกสั่งพักราชการจนกว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ดังนั้นทางสถานทูตฯ จึงแสดงความเห็นดังนี้

1.สถานทูตฯ เพียงแต่ประหลาดใจต่อคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับคดีนายอัลรูไวลี่ที่ค้างอยู่ ซึ่งหนึ่งในห้าผู้ต้องหาในคดีนี้ (ซึ่งตัดสินโดยสำนักอัยการสูงสุด) โดยที่พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ไม่มีความผิด และยังคงปฏิบัติทำงานในหน้าที่ และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามที่ทางสถานทูตได้รับทราบว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของไทยได้ตัดสินสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 5 คนในคดีการหายตัวและคดีฆาตกรรมของนายอัลรูไวรี่ และมีกำหนดจะเข้าสู่กระบวนการการไต่สวนของศาลที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2553

2.สถานทูตได้แสดงความกังวลตามที่นายเทพเทือกมีมติเห็นชอบกับ ก.ตร.ว่าพล.ต.ท.สมคิดเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อการกระทำความผิดใดๆในคดีของนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ ในขณะที่สถานทูตฯ มีความเห็นว่าพล.ต.ท.สมคิด ยังมีส่วนพัวพันต่อคดีอาชญากรรมตามที่กล่าวมาข้างต้น ก.ตร. หรือหน่วยงานใดๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัดสินพิจารณาว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นั้นล้วนขัดแย้งโดยตรงกับข้อเท็จจริงตามกฎหมายไทยและอำนาจนิติบัญญัติ (อำนาจนิติบัญญัติ) ซึ่งในกรณีนี้ พล.ต.ท. สมคิดยังตกเป็นจำเลยและยังไม่ได้ถูกพิจารณาดำเนินคดี

สุดท้ายนี้สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยเน้นย้ำว่าทางรัฐบาลอุดิอาระเบียได้คาดหวังอย่างสูงสุดว่าการรักษาคำมั่นสัญญาของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของฯพณฯนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาคดีค้างทั้ง 3 คดีอย่างเป็นกรณีพิเศษเพื่อที่จะปูทางไปสู่การฟื้นฟูและปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียและราชอาณาจักรไทย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปชป.ปากกล้าสับซาอุฯอย่ายุ่งแต่งตั้ง‘สมคิด’

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

ส.ส.ประชาธิปัตย์ทำฝีปากกล้า ออกโรงสับซาอุฯอย่าก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ยืนยันตั้ง “สมคิด “นั่ง ผช.ผบ.ตร. เป็นไปตามหลักการและระเบียบราชการที่ถูกต้อง “สุเทพ” ขันอาสาทำหนังสือชี้แจงกระบวนการแต่งตั้ง ปล่อยไก่คดียังไม่สั่งฟ้องถือเป็นผู้บริสุทธิ์ โฆษกเพื่อไทยจวกอัยการส่งคดีขึ้นสู่ศาลแล้วถือว่ามีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ แต่กลับไม่มีความผิดทางวินัย ไม่ถูกสั่งพักราชการ จี้นายกฯเร่งแก้ไข หากไม่ทำจะยื่น ป.ป.ช. ฟันฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ทางการซาอุดีอาระเบียแสดงความไม่พอใจการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ทั้งที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีการหายตัวไปของนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุฯ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนว่า ภายในสัปดาห์นี้จะทำหนังสือชี้แจงไปยังซาอุฯ เพราะคดีนี้แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาแต่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะไม่แทรกแซงทางคดี และเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายก็เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ซาอุฯไม่ควรเข้ามาแทรกแซงกระบวนการแต่งตั้งของไทย เพราะการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิดเป็นไปตามหลักการและระเบียบทางราชการ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับคดีต้องถือว่า พล.ต.ท.สมคิดยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จึงต้องให้ความเป็นธรรมด้วย

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเคยทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. ว่าให้ดำเนินการตามมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ตำรวจ คือเมื่อมีตำรวจถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง เป็นผู้ต้องหาคดีอาญาต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่กรณีของ พล.ต.ท.สมคิดนอกจากไม่ถูกสั่งพักราชการแล้วยังได้เลื่อนตำแหน่งอีกด้วย

“เรื่องนี้นอกจากจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วยังทำโดยไม่แคร์ความรู้สึกของประชาชน และไม่คิดถึงผลกระทบต่อประเทศ ผมเชื่อว่าน่าจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้ง เป็นเรื่องของบุญคุณต้องทดแทน” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมเรียกร้องว่า นายกรัฐมนตรีควรคิดถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลักมากกว่าประโยชน์พวกพ้อง ไม่ควรทำอะไรที่เป็นสองมาตรฐาน ส่วนกรณีที่นายสุเทพออกมาปกป้องว่า พล.ต.ท.สมคิดไม่มีความผิดวินัยร้ายแรงนั้นถือว่าผิดปรกติ เพราะคดีนี้อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว และศาลก็รับคดีไว้พิจารณา แสดงว่าพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. โดยตำแหน่งและนายสุเทพที่ปฏิบัติหน้าที่ประธาน ก.ตร. ควรทบทวนการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิดใหม่ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในสัปดาห์หน้าจะไปยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเอาผิดนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพในเรื่องนี้

ด้าน พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ. 5 กล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือ ก.ตร. ตนไม่มีสิทธิขัดขืน ผู้บังคับบัญชาให้ไปทำงานตรงไหนก็ต้องไปทำตรงนั้น และจะทำเต็มกำลังความสามารถ ส่วนเรื่องที่มีการออกมาโจมตีนั้นไม่ขอตอบโต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีการหายตัวไปของนักธุรกิจซาอุฯอัยการเพิ่งมีคำสั่งฟ้องคดี โดยมี พล.ต.ท.สมคิดและพวกรวม 5 คนเป็นจำเลยต่อศาล เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2553

**********************************************************************

คำต่อคำคลิปลับคนDSI ช่วยวิ่งล้มคดีแชร์ปูแดง

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ปิยะวัฒก์"สุดทนเปิดคลิปลับคนเสียงคล้ายรองอธิบดีดีเอส อ้างถึงอธิบดีให้ประกันตัว และโต้งๆ "พสพ.8"เจรจาให้ช่วยทำสำนวนคดีอ่อนมีค่าแรงให้

จากกรณี พันเอก ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บังคับการ สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)โพสต์ข้อความลงเฟชบุ๊ค ระบายความคับข้องใจหลังจาก ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีแชร์ปูแดง และสั่งไม่ฟ้องคดีสำคัญอีก 2 คดี ซึ่งเป็นความเห็นแย้งกับคณะพนักงานสอบสวน โดยตั้งข้อสังเกตจะมีการวิ่งเต้น และมีใบสั่งทางการเมืองมาถึงดีเอสไอ

จากนั้น พันเอกปิยะวัฒก์ ได้เผยแพร่ "คลิปเสียง" จำนวน 2 คลิป ซึ่งคลิปแรก ความยาวประมาณ 5 นาที เป็นการสนทนาระหว่างบุคคลที่มีเสียงคล้ายรองอธิบดี ดีเอสไอ คนหนึ่งกับ พันเอกปิยะวัฒก์ โดยเนื้อหาลักษณะเชิงสั่งการให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีแชร์ปูแดง อ้างเป็นไปตามนโยบายของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม

ส่วนคลิปที่ 2 ประมาณ 20 นาทีเศษ เป็นการพูดคุยระหว่างพนักงานสอบสวน(พสพ.) ระดับ 8 ยศนำหน้าเป็นพันตำรวจโท กับ พันเอกปิยะวัฒก์ ซึ่ง พสพ. 8 คนนี้พยายามเป็นตัวกลางวิ่งเต้นช่วยเหลือคดีแชร์ปูแดง ให้กับบริษัทเบสท์ 59 จำกัด ซึ่งการสนทนาถูกบันทึกขณะเจรจาวิ่งเต้นคดีกับพ.อ.ปิยะวัฒก์

ในระหว่างที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเนื้อหาการเจรจานานกว่า 20 นาที สาระสำคัญคือ ผู้ใหญ่ให้มาเจรจาจะช่วยเหลือผู้ต้องหาอย่างไรได้บ้าง พร้อมกับเสนอมีค่าแรงค่าเหนื่อยตอบแทนให้ แต่พันเอกปิยะวัฒก์ ปฏิเสธหลายครั้ง อีกทั้ง ตอนท้าย พสพ. 8 คนดังกล่าว เหมือนกับคุยโอ่ข่ม พ.อ.ปิยะวัฒก์ อ้างถึงเคยช่วยงานการเมืองให้กับนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ช่วยอำนวยการเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2539 จนพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 3 ที่นั่ง


คลิปเสียงที่ 1

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : หวัดดีครับ ตกลงเมื่อคืนไม่ได้โทรเพราะแบตหมด ตกลงแนวทางยังไงครับผม เสียงเหมือนรองอธิบดีดีเอสไอ : ท่านอธิบดีบอกนโยบาย ถามรัฐมนตรีแล้วบอกว่าให้ประกันได้ โดยใช้เงินสด 2 ล้าน หลักทรัพย์ 5 ล้านแล้ว ให้พี่เพิ่มในสัญญาประกัน 2 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง คือ ไม่เข้าไปยุ่งเหยิงในพยานหลักฐาน ไม่ไปทำลายหลักฐานเอกสารทิ้ง สองคืออย่าเข้าไปก่อหวอด ปลุกปั่นม็อบให้เกิดความไม่สงบ ถ้าขัดในสองประเด็นนี้เราถอนประกัน แล้วก็ท่านอธิบดีไม่อยู่มอบหมายให้ผมเซ็นแทน

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : คืออย่างนี้ครับ เนื่องจากทางทีมผมไปสอบผู้ต้องหาคดีบลูโอเชี่ยนในหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ตอนนี้ทีมที่ทำ ไม่อยู่เลย ถ้าจะขอเป็นเข้ามอบตัววันจันทร์หรือวันอังคารได้ไหมครับ เดี๋ยวให้ทางส่วนสืบสวนสะกดรอย(สร.) เค้าประสาน
เสียงเหมือนรองอธิบดีดีเอสไอ : เค้ามาโชว์ 9 โมง ผมนัดมาเจอ 9 โมง ถ้าเค้าขึ้นมาเราไม่มีทางอื่นให้เค้ากลับไป

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : เช้านี้มีประชุมด้วย
เสียงเหมือนรองอธิบดีดีเอสไอ: พี่มอบใครไปก็ได้ (อ้าง)อธิบดีบอกว่าเค้ามาก็ดีกว่าเราไปตามจับไม่งั้นเดี๋ยวสูญเสียอะไรกัน เดี๋ยวมีอุบัติเหตุ น่าจะเป็นผลดีที่อย่างน้อยเค้ามามอบตัว

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ผมก็โอเคในแนวทางที่รัฐมนตรีให้ แต่ผมเขียนปิดท้ายไปนิดนึงได้ไหมว่ามีการปิดล้อมพนักงาน
เสียงเหมือนรองอธิบดีดีเอสไอ : ครับพี่เขียนในสัญญาประกันเลยว่าไม่ให้ไปยุ่งเหยิงพยาน และปลุกปั่นก่อหวอด โดยพฤติการณ์นำผู้เสียหายมาปิดล้อมเจ้าพนักงานก็อยู่ในเงื่อนไขของการก่อหวอด

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : คดีนี้สื่อมวลชนสนใจ
เสียงเหมือนรองอธิบดีดีเอสไอ: พี่เตรียมพนักงานสอบสวนให้หน่อย 2-3 คน (อ้าง) อธิบดีกังวลเพราะท่านไม่อยู่ ท่านให้นโยบายชัดเจน และบอกว่าคุยกับพี่ไว้แล้ว ขอผมมีหน้าที่แค่เพียงว่า พอเค้ามาก็ส่งให้พี่ทำสัญญาประกัน ในช่วงที่เค้ามามอบตัว เราไม่เกี่ยวกับนักข่าวนะ

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ถ้างั้นวันนี้ ว่าไปเลยแล้วกัน คดีนี้อธิบดีก็ให้สัมภาษณ์ไป อธิบดีก็ทำงาน มันก็ออกมาว่าไม่ผิดจากคดีอื่นๆ ดีเอสไอทำงานร่วมกับกรมวิชาการเกษตร หน่วยงานป้องปราบกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่ผู้ร้าย ถ้ายังไงให้คุณเตรียมไว้ด้วยนะครับเพราะอาจถูกถามว่าอีกคนให้ประกันอีกคนไม่ให้ประกัน จะถูกหาว่าสองมาตรฐาน

คลิปที่สอง

พสพ. 8 : ผู้ใหญ่ให้มาคุยว่าคดีนี้จะดูแลช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง จะมีค่าแรงค่าเหนื่อยให้
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : สร. (ส่วนสืบสวนสะกดรอย) ดูเรื่องนี้มานานมาก แผนการตลาดผิดชัดเจน ผมเคยถูกคณะกรรมาธิการเรียกไปชี้แจงพร้อมกับผู้บริหารปูแดง ปูแดงชี้แจงเพียงรายละเอียดสินค้า ไม่ได้โต้แย้งเรื่องแผนการตลาดกับเราเลย ซึ่งสถิติคดีที่ผ่านมา ที่ผิดก็ผิดตรงแผนการตลาด พสพ. 8 : ตรงนั้นผมแก้ไขได้นะ จะเป็น 2 ช็อต ขึ้นอยู่กับเราจะตั้งต้นแค่ไหนและให้อัยการรับลูกอย่างไร

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ต้องว่าไปตามหลักฐาน ที่แจ้งข้อหาไปแล้ว คือ พ.ร.ก.ว่าด้วยการกู้ยืมเงินและฉ้อโกงประชาชน ผิดกรรมเดียวตามกฎหมายหลายบท ต้องลงบทหนัก ตามพ.ร.ก.ว่าด้วยการกู้ยืม ในส่วนความผิดอื่นเช่นเรื่องขายตรง และเรื่องปุ๋ยก็ต้องว่ากันไป ตามพ.ร.บ.เกษตรฯ และพ.ร.บ.ขายตรง ถ้าพบความผิดเรื่องสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็ต้องแจ้งข้อหาเพิ่ม แนวทางต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานว่าเพียงพอจะดำเนินคดีตามข้อหาที่ผมได้เรียนไปหรือไม่ ซึ่งตอนนี้เรากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่

พสพ. 8 : คนทำงานจริง ๆ พี่ให้ใครรับผิดชอบ
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : มือทำจริง ๆ ก็มีนิรันดร (นายนิรันดร ชัยศรี พนักงานสอบสวนระดับชำนาญการ) กับผม
พสพ. 8 : ก็คือพี่ลงไปเล่นเองกับนิรันดร
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ถ้าคดีใหญ่ ๆ คดีที่มีปัญหา ผมจะรับผิดชอบเอง
พสพ. 8 : ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรียุติธรรม หรือใครก็รู้กันหมด คงไม่ต้องเคาะอะไรลงมา ขึ้นอยู่กับข้างในจะเซิฟรับกันยังไง ขึ้นอยู่กับพี่กับนิรันดร เราจะไปหาหลักฐานข้อมูลอื่นมาเติมให้ มันอาจเหมือนกับว่าเปิดช่องไว้หน่อย กันไว้นิดนึง นอกเสียจากไปเจออะไรที่ไปไม่รอดจริง ๆ นั่นก็ต้องชี้แจง
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : อย่างที่ผมบอกไง ทุกอย่างอยู่ที่หลักฐาน ถ้ามัดแน่นมันต้องดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าผมไปทำอะไรลักษณะที่ช่วยเหลือ ผมก็โดนเอง ผมขอว่าไปตามหลักฐาน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะรวบรวมได้ครบถ้วนแค่ไหน เพียงใด
พสพ 8 : ถ้าเป็นอย่างนี้เค้าก็ต้องมีหลักฐานมาหักล้างให้ได้
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ก็ต้องอยู่ที่เค้าว่าจะร่วมมือให้การมากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนี้เรียกมาให้การก็ไม่ให้การ

พสพ. 8 : วันนั้นเพียงแต่มายื่นประกัน เดี๋ยวเค้าจะเดินเข้ามา ก็เลยต้องมาคุยกับพี่ว่า ช่องทางแนวทางพอจะมีสักนิดนึง คงไม่ต้องถึงกับ โอ้โฮ... เพราะเรารักษาภาพเราอยู่แล้ว เราคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เราก็เดินตามสไตล์ของเรา เพียงแต่เค้าจะเอาอะไรมาหักล้าง
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : มันขึ้นอยู่ที่เขา เราไม่ได้เอาผิดกับตัวผู้ต้องหาอย่างเดียว เราให้โอกาสเค้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในดีเอสไอต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณมีหลักฐานมาหักล้างก็เอามาให้เรา เรามีมาตรฐานในการชั่งน้ำหนัก ถ้าคิดว่าถูกไม่ผิด เอามาเลยเราจะเป็นคนชั่งน้ำหนักเอง

พสพ. 8 : มันก็คือมีพี่กับนิรันดร หลัก ๆ แค่ 2 คน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : หลัก ๆ มีอยู่ 2 คน นอกนั้นก็เป็นเด็ก ๆ มอบหมายให้ลงพื้นที่ มอบประเด็นให้สอบสวน ถ้าคดีที่มีปัญหา ผมรับผิดชอบคนเดียวอยู่แล้ว
พสพ. 8 : จริง ๆ ข้างในมันก็เคลียร์ได้ อย่างที่วันนั้นเค้ามามอบตัวกับพี่ เราถือว่าถ้าคุณจะวิ่งเพื่อขอความร่วมมือ คุณก็ต้องให้ความร่วมมือกับเราด้วย เค้าก็โอเคทุกอย่าง เว็บไซต์ที่เคยออกเค้าก็หยุดหมด นี่เบื้องต้นนะพี่นะ ก็ว่ากันไป พอผู้ใหญ่เค้าสะกิดมา บางอย่างก็เหมือนว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แทนที่จะไปถึงศาล ผมเชื่อว่าเดี๋ยวอธิบดีต้องเรียกพี่ไปคุย

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : เลขาฯ ก็เรียกมาผมก็ว่าไป ผมก็ว่าไปตามหลักฐาน ยึดหลักฐานอย่างเดียว ผมทุกอย่างว่าไปตามหลักฐานถ้าไม่ผิดก็ให้ความเป็นธรรมแต่ถ้าผิดผมก็ไม่เคยเว้นเหมือนกัน
พสพ. 8 : ผมเชื่อว่าอย่างนั้น มันมีผิดบ้างถูกบ้าง ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : แต่ตอนนี้เรามีหลักฐานเชื่อว่าเขากระทำผิด เราจึงดำเนินการ
พสพ. 8 : เรื่องนี้ต้นเรื่องมาจากที่ไหน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : มาจาก สคบ. ยื่นเรื่องให้เราไปสืบสวนสะกดรอย
พสพ. 8 : แล้ว สคบ.เอาเรื่องมาจากไหน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : มีผู้เสียหายไปร้องเรียน ร้องผ่านกรรมาธิการและเว็บไซต์
พสพ. 8 : มันมาจากคู่กรณีเค้า พี่รู้ใช่ไหม
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ผมไม่รู้ ใครเป็นคู่กรณี

พสพ. 8 : จะได้เลาะเงินมาให้ก่อน เดี๋ยวจะเลาะไม่ทัน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ปัญหามันจะตามมาอีกเยอะ กับเงินที่เราต้องคืนผู้เสียหาย ผมทำงานยึดถือคำสอนของ อาจารย์จรัญ (จรัญ ภักดีธนากุล) ที่บอกว่าปิยะวัฒก์จำไว้นะแชร์ลูกโซ่ทำยังไงก็ได้ต้องเอาเงินคืนพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด ผมยึดถือสิ่งที่ท่านบอกมาตลอด คิดแต่ว่าต้องคืนเงินเค้าให้มาก ในอดีตชม้อยได้คืนคนละอีกตั้ง แทบยึดอะไรไม่ได้เลย

พสพ. 8 : แชร์อีซี่ยังยึดคืนมาได้บ้าง
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : แชร์อี่ซี่ยึดคืนมาได้ร้อยล้านก็ยังดี
พสพ. 8 : ไอ้พวกนี้มันยังไม่ใหญ่พอ มันก็วน ๆ ไม่คิดว่าเราจะไปทุบมัน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ในชีวิตราชการ ผมได้รับการปลูกฝังให้ทำงานถูกต้อง ให้ความเป็นธรรมไม่กลั่นแกล้งใคร ถ้าหลักฐานถึงผมก็เรียนท่านว่าผมต้องดำเนินการ ถ้าไม่ถึงผมก็ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหา คดีที่ผ่านมาใช่ว่าเราฟ้องทุกคน อย่างแม่ทีมบางคนเราก็สั่งไม่ฟ้อง ถ้าเราสั่งฟ้องไป อัยการสั่งไม่ฟ้องเราก็ไม่ติดใจ เพราะบางครั้งมีการเอาชื่อคนไปใส่เป็นกรรมการ มีอำนาจลงนามผูกพัน แต่เรียกมาสอบแล้วเชื่อว่ามันไม่น่าจะรู้เรื่องอะไร เราก็ไม่ฟ้อง

พสพ. 8 : คนพวกนี้เค้าคิดว่าเค้าทำสุจริต แต่การตลาดมันนำไปเรื่อย เพราะมันต้องแข่งขัน พอทำไปทำมาคนนั้นแนะนำอย่างนี้ คนนี้แนะนำอย่างนั้น พวกนี้มันไม่รู้แค่ไหนมันเลยไม่เลย ตัวเองก็มั่นใจอยู่ว่ามันไม่เลย เพราะเค้าไปคุยกับผู้ใหญ่ว่าอย่างนั้น คดีนี้พี่ตั้งพนักงานสอบสวนเพิ่ม 30 คนเหรอ
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ต้องลงสอบสวนหลายพื้นที่ กระจายสอบทั่วประเทศ งานเราเยอะตอนนี้หนัก ลานมัน นมโรงเรียนอีก วันนี้ผู้ต้องหาคดีลานมันก็เข้ามอบตัวอีก
พสพ. 8 : อ๋อ ลานมันเรื่องยาวนะ ได้ตัวใหญ่บ้างไหมพี่
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ได้ ได้ครบหมด
พสพ. 8 : พนักงานสอบสวนที่ตั้งเพิ่มทำทั้ง 3 เรื่องเลยเหรอพี่
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ใครมีประสบการณ์แชร์ลูกโซ่ดึงมาช่วยหมด
พสพ. 8 : คดีนี้จะใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่

พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ก็ต้องพยายามให้เร็วที่สุด พี่ต้องเร่งเพราะนิรันดร มีคดีบลู โอเชี่ยน สยาม สอบผู้ต้องหาไปแล้ว 200 คน ต้องไปสอบผู้เสียหายหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือและอีสานแต่เวลาไปสอบก็ให้สอบคดีปูแดงไปด้วย เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว เพราะในแต่ละพื้นที่มีข้อมูลทั้งหมด บอกกันอย่างพี่อย่างน้องนะ ชีวิตพี่ไม่ทำในเรื่องทุจริต จะค่าเหนื่อยอะไรผมไม่รับทั้งนั้น ผมขอดูหลักฐานบนความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต ขณะเดียวกันก็จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายผู้ต้องหา ให้โอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ มีอะไรให้มาแสดง การฟ้องหรือไม่จะชั่งจากน้ำหนักพยาน ผมรับรองว่าให้ความเป็นธรรมและไม่กลั่นแกล้งใคร ในชีวิตราชการผมไม่คิดจะทำเรื่องทุจริต ผมได้รับการปลูกฝังอย่างนี้มาตลอด เราเป็นครูอาจารย์พูดเรื่องนี้กับศิษย์มาตลอด ให้เข้าใจแล้วกัน

พสพ. 8 : นายเค้าฝากมา
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ผมเข้าใจ แต่ไม่ต้องพูดอย่างนี้กับผม ให้เข้าใจพี่แล้วกัน ก็จะพยายามเร่งทำให้รู้ถึงในเรื่องความเสียหาย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือ แต่ท่านต้องเข้าใจนะสำนักคดีอาญางานเยอะ ปวดกระบาลเลย เคยพูดกับลูกน้องเหมือนกันว่าคดีลานมันคงทำจนเกษียณ แต่ก็มีลานมันที่ซื่อสัตย์สุจริต
พสพ. 8 : ถ้ามีคดีเข้ามาอีกจะทำอย่างไร
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ก็เกลี่ยคนไปทำ ผมรักน้อง ๆ ในสำนักคดีอาญาก็อย่างนี้ ทำให้ผมไม่เคยไปบี้หรือกวดขัน ปีที่แล้วจบ 26 เรื่อง ลูกน้องผมทำรู้เวลา เรียนผู้ใหญ่ด้วยว่าผมจะให้ความเป็นธรรม
พสพ. 8 : ปี 39 คณะของท่านไตรรงค์ให้ผมไปลง ส.ส.ที่หัวหิน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี เหรอ
พสพ. 8 : ครับ ผมอำนวยการให้จนพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มา 3 คน และผมก็ไปอยู่กับท่านมา 3 ปี ผมพูดเพราะเดี๋ยวพี่จะสงสัยว่าผมรู้จักไปหมดเลย
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ก็ดี กว้างขวางดี
พสพ. 8 : ผมก็เหมือนพี่แหละไม่ไปวิ่งใคร ถ้าผมวิ่ง ป่านนี้ผมไปไหนๆแล้ว ผมไม่ชอบวิ่ง
พ.อ.ปิยะวัฒก์ : ท่านไปดูได้เลย ผมไม่เคยวิ่งในเรื่องตำแหน่ง ไม่เคยคิดว่าจะได้ขึ้นเป็น ผบ. เมื่อได้เป็นก็ทำงานเต็มที่
พสพ. 8 : ผมจะกลับไปบอกเค้าว่า มีหลักฐานอะไรให้เตรียมมา

********************************************************************************************

รายงานเสวนา: “การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา” มองผ่านแว่นหลายสี

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิศักยภาพชุมชนได้จัดการเสวนาในหัวข้อ “การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา” โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ จากกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง, นายแสงธรรม ชุนชฎาธาร จากโรงเรียนสาธิตมัฆวานแห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน, น.ส.จิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และนางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด

นายแสงธรรม ชุนชฎาธาร มองการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยผ่านแว่นตาสีเหลืองว่า การเมืองบนท้องถนนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของทุกประเทศ เมื่อใดที่การเมืองของรัฐบาลกระทบต่อประชาชนและไม่มีกลไกแก้ไข จำเป็นจะต้องมีการแสดงพลังบนท้องถนน

นายแสงธรรม กล่าวว่า สาเหตุของการเมืองบนท้องถนนเกิดจากนโยบายรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน และการเกิดสิ่งผิดแปลกหรือแปลกปลอมขึ้นในระบบการเมือง ดังจะเห็นได้จากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่ง พธม.มีความชัดเจนคือต่อต้านระบอบทักษิณ และยังคงต่อสู้อยู่จนถึงปัจจุบัน

นายแสงธรรม กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ พธม.ในสมัยรัฐบาลทักษิณว่า ได้ทำหน้าที่หลายเรื่อง ได้แก่ ตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่น, การละเมิดสิทธิมนุษยชน, ตรวจสอบกรณีกรือเซะ-ตากใบ, กรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพในสงครามยาเสพติด และกรณีการเสียชีวิตของทนายสมชาย นีละไพจิตร และพระสุพจน์ สุวโจ

นอกจากนี้ นายแสงธรรม กล่าวด้วยว่า กลุ่ม พธม.มีความรู้สึกเช่นกันว่า รัฐประหารปี 2549 เป็นสิ่งแปลกปลอมทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเท่ากับคนเสื้อแดง และภายหลังรัฐประหาร ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พธม.ได้ยุติการชุมนุมไป 1 ปี แต่หลังการเลือกตั้งได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค และมาตรา 309 เพื่อนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ พธม.กลับมาชุมนุมอีกครั้ง และเป็นการชุมนุมยืดเยื้อถึง 193 วัน

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ มองการเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านแว่นตาสีแดงว่า เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงมีส่วนที่เหมือนกันอยู่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนที่เหมือนกันมักไม่ได้นำมาพูดคุย และส่วนที่ต่างกันนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ เช่น ความคิดเรื่องอำนาจสูงสุดเป็นของใคร และการให้ความสำคัญกับความต่าง ทำให้ทั้งสองสีไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

นายสมบัติกล่าวว่า การเมืองของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นวิวัฒนาการทางประชาธิปไตย ซึ่งในปี 2475 เป็นการเปลี่ยนอำนาจจากหนึ่งคนมาเป็นคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เป็นอำมาตย์และขุนศึก ต่อมาเมื่อคนมีการศึกษามากขึ้น ปัญญาชนจึงต้องการส่วนแบ่งทางอำนาจจึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ขึ้น ทำให้ปัญญาชนมีพื้นที่ทางการเมืองนับแต่นั้นมา และในปี 2535 คนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น จึงเป็นการต่อสู้ของชนชั้นกลางซึ่งได้รับชัยชนะและได้รับประโยชน์ ชนชั้นกลางจึงไม่มีความรู้สึกถึงคำว่า อำมาตย์

นายสมบัติกล่าวว่า ตัวละครสุดท้ายซึ่งกล่าวอ้างคำว่าประชาธิปไตยเช่นเดียวกับคณะราษฎรและชนชั้นกลางในปี 2535 เป็นตัวละครสุดท้ายของวิวัฒนาการประชาธิปไตยไทย คนกลุ่มนี้แทรกตัวอยู่ในทุกจุดของสังคม ในรูปของแม่บ้าน คนรับใช้ และ รปภ. การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ใช่สงครามของชนชั้นกลาง แต่เป็นการต่อสู้ของยักษ์หลับซึ่งอยู่ชั้นล่าง เมื่อยักษ์ขยับตัว ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงจึงตีความว่าเป็นการเคลื่อนไหวของทักษิณ เพราะชนชั้นล่างไม่เคยปริปาก ทำให้ชนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่รู้จักประชาธิปไตย การประเมินการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่าเป็นการขยับตัวของทักษิณ แสดงว่าไม่เข้าใจวิวัฒนาการทางรูปการจิตสำนึกหรือการเติบโตทางจิตวิญญาณของประชาชน และการกล่าวว่าชาวบ้านโปรทักษิณ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิในการต่อสู้

นายสมบัติกล่าวว่า ตนได้สร้างวาทกรรมขึ้นใหม่โดยนิยามศัพท์การเมือง 3 คำ ได้แก่
“อำมาตย์ เวอร์ชั่น 1.0” คือ การที่มีคนขีดเส้นแบ่ง แล้วกดปุ่มบอกว่าประชาชนต้องทำอะไรและต้องไม่ทำอะไร และการบังคับให้คนอยู่ในกรอบคิดว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

“นักการเมือง 2.0” คือ กลุ่มคนที่มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีความสามารถเชื่อมโยงอำนาจระหว่างระดับบนและระดับล่าง

“ประชาชน 3.0” คือ คนที่ต้องการปกครองตัวเอง ซึ่งไม่ใช่การโค่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ลงแล้วเอาคนของตัวเองมาเป็นเจ้านายแทน แต่หมายถึงชัยชนะในครั้งนี้ ผู้เป็นนายคือประชาชน ประชาชนเป็นผู้ควบคุมอำนาจ ผู้ปกครองต้องเปลี่ยนเป็นผู้แทนที่ประชาชนควบคุมได้ และต้องไม่มีใครใหญ่ไปกว่าประชาชน

นายสมบัติกล่าวว่า ปัจจุบันอำนาจหรือนโยบายกระจายออกไปในแนวดิ่ง การจัดสรรงบประมาณเริ่มที่รัฐสภาแล้วกระจายออกไปสู่จังหวัดไล่ลงไปถึงระดับหมู่บ้าน เปรียบกับการส่งแท่งไอติม เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็เหลือแต่ไม้ ชาวบ้านไม่เคยชิมเนื้อไอติม แต่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ งบประมาณถูกส่งตรงมายังกองทุนหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านได้ลิ้มรสไอติม แต่ยังไม่มีจิตสำนึกทางการเมือง ดังนั้นการเดินทางของชาวบ้านครั้งนี้จึงเป็นการตามหาคุณภาพชีวิตที่ดี เหมือนคนที่เดินหาต้นตอของปัญหาน้ำแห้ง และไปพบเขื่อนกักน้ำอยู่ที่ต้นน้ำ ซึ่งชาวบ้านพบว่านั่นคือระบบอำมาตย์

นายสมบัติกล่าวในตอนท้ายว่า นี่ไม่ใช่สงครามของตนเอง แต่เป็นสงครามของยักษ์ที่ขยับตัว จึงอยากให้ทุกคนให้โอกาส

น.ส.จิตรา คชเดช กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานไทยว่า คนงานไม่มีเครื่องมือที่จะต่อสู้กับนายทุน โดยที่นายทุนร่วมมือกับรัฐในการกำหนดสิ่งต่างๆ เช่น สวัสดิการ หรือค่าแรงขั้นต่ำ แรงงานที่มีทักษะสูงจึงไม่สามารถเสนอค่าแรงต่อนายจ้างตามความสามารถของตนได้

น.ส.จิตรา กล่าวว่าเนื่องจากแรงงานไม่มีเครื่องมือในการต่อสู้ จึงจำเป็นต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน แต่สิ่งที่ตามมาคือการถูกออกหมายจับ และถูกตำหนิจากผู้ที่มีรถยนต์ขับว่าเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดบนท้องถนน

น.ส.จิตรา กล่าวว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลใดก็ตาม ปัญหาของแรงงานก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข ในยุครัฐบาลทักษิณ มีการทดลองใช้สเปรย์พริกไทยกับคนงานบริษัทไทยเกรียง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีการนำเครื่อง L-RAD ที่สามารถทำลายแก้วหูมาทดลองใช้กับคนงานไทรอัมพ์ และในที่สุดคนงานบางส่วนก็ถูกออกหมายจับ

น.ส.จิตรา มองว่าการเคลื่อนไหวของแรงงานเฉพาะภายในประเทศนั้นยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการลงทุนมาจากต่างประเทศ และนายจ้างก็เป็นชาวต่างชาติ จึงต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่าย การเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งแรงงานถูกเลิกจ้างพบว่าคนงานฟิลิปปินส์ที่เคลื่อนไหวก็ถูกออกหมายจับและถูกบริษัทฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อเดือนถึงเดือนละ 1 ล้านเปโซ

น.ส.จิตรากล่าวว่า รู้สึกประหลาดใจกับประเทศไทยว่าเหตุใดจึงไม่มีใครรู้สึกอะไรกับการฆ่าคนกลางเมืองหลวง แต่กลับมีคนออกมาช่วยกันทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเมื่อใดที่มีการชุมนุมบนท้องถนนก็จะมีการฆ่าหรือการจับกุม ซึ่งหากไม่มีเสรีภาพบนท้องถนน เราก็ไม่สามารถจะมีประชาธิปไตยได้เลย การพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการชุมนุม จึงมีคำถามว่ายังมีพื้นที่สาธารณะเหลืออยู่ตรงไหนบ้าง เพราะพื้นที่หน้าโรงงานก็เป็นของนายจ้าง

น.ส.จิตรากล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง เพื่อส่งตัวแทนเข้าไปในระบบการเมือง และเป็นปากเสียงให้กับการแก้ไขปัญหาของแรงงงาน


นางจินตนา แก้วขาว กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาชนใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ว่า ชาวบ้านรวมตัวเคลื่อนไหวบนท้องถนนมาตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องฐานทรัพยากร โดยคิดว่าเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง ความตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้านจึงเริ่มมีมาแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าการชุมนุมของ พธม. ในปี 2548

การเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือสีเขียวนั้นต้องการคนทุกสีทั้งสีเหลืองและสีแดง แต่ที่เป็นปัญหาอยู่บ้างตอนนี้คือในสีเขียวเองนั้นก็มีทั้งสีเหลืองและสีแดง

ในตอนท้าย นายแสงธรรม กล่าวว่าเสริมว่า เห็นด้วยกับ บก.ลายจุดที่บอกว่า จริงๆ แล้ว สีเหลืองกับสีแดงมีจุดร่วมกันอยู่ อาจมีที่เหมือนกัน 80 และต่างกัน 20 แต่ตัวเขาอาจไม่ถึงขนาดสรุปเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนอย่าง บก. ลายจุด

จุดยืนหลักที่ต่างจากสีแดงของสีเหลืองคือ พวกเขาต้านระบอบทักษิณ ซึ่งเขาอธิบายคร่าวๆ ว่า ระบอบทักษิณนำไปสู่ปัญหาหลายด้าน เช่น กรณีกรือเซะ การขายหุ้นโดยไม่เสียภาษี การหายตัวไปของนักต่อสู้ และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่น่ากลัว ไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้ระบอบทักษิณยังอยู่ ตอนนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

ส่วนที่เหมือนกันก็มีหลายประเด็น เช่นเรื่องการรัฐประหาร ตัวเขาเองก็ไม่เห็นด้วย และถึงตอนนี้ เขาคิดว่า ถ้าที่ผ่านมาไม่เกิดรัฐประหาร 19 กันยาเลย ก็คงจะดีมาก

ระหว่างการสนทนา มีผู้ซักถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งหลายอย่างไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ หรือจะเรียกว่า ระบอบทักษ๋ิณในรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ ที่กรือเซะมีคนตาย ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ก็มีคนตายเช่นกัน ประเด็นนี้สีเหลืองมีจุดยืนอย่างไร แสงธรรมตอบว่า ที่ผ่านมาสีเหลืองก็วิพากษ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย จากนั้นมีผู้ซักถามถึงการได้รับการปฏิบัติที่ต่างกันจากรัฐบาลระหว่างสีเหลืองและสี แดง แสงธรรมตอบว่า สิ่งที่ทำให้การสลายการชุมนุมระหว่างสีเหลืองกับสีแดงแตกต่างกันคือ เสื้อแดงมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธ มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางไม่ใช้สันติ เห็นได้จาก ผู้เสียชีวิตนั้นไม่ได้มีเพียงคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่มีทหารเสียชีวิตด้วย ขณะที่ม็อบสีเหลืองมีความพยายามยึดหลักสันติอหิงสาในการชุมนุมตลอดเวลา

ที่มา.ประชาไท
************************************************************

จดหมายลับ วิกเตอร์ บูท "ผมไม่รู้จักทักษิณ"

ที่มา. (www.go6tv.com, กรุงเทพฯ)

ต่อพงษ์ ไชยสาส์น และ ฐิติมาฉายแสง
กรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฏร

กมธ.ต่างประเทศ ซีกฝ่ายค้านบุกคุกบางขวางเข้าพบ "วิกเตอร์ บูท" พ่อค้าความตาย ร่วมซักถามข้อมูลนานกว่า 4 ชั่วโมง

กรณี "ศิริโชค โสภา" ส.ส.ประชาธิปัตย์ ประกาศตัวเป็น "ผู้ช่วยนายกฯ" ดอดเข้าพบนายบูทช่วงกลางเดือนเม.ย. ด้านบูทยืนยันไม่เคยรู้จัก "ทักษิณ" เป็นการส่วนตัว วอนรัฐบาลไทยอย่านำตนไปเกี่ยวโยงกับประเด็นการ เมือง ย้ำเรื่องราวทุกอย่างเป็นจริงตามที่เมียเคยแถลงไปแล้ว ทั้งยังแฉซ้ำอีกว่าในวันดังกล่าวนายศิริโชคได้มอบ "เบอร์มือถือ" เอาไว้ให้ด้วย นอกจากนั้น นายบูทมอบจ.ม.ลับ 5 หน้ากระดาษให้กมธ. แต่ยังเผยแพร่ไม่ได้ เพราะต้องรอให้กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบก่อน เผย 8 ก.ย.นี้เตรียมเรียกศิริโชคชี้แจง เพราะบางเรื่องพูดไม่ตรงกับนายบูท

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ย. ที่เรือนจำกลางบางขวาง อ.เมือง จ.นนทบุรี นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ (กมธ.ต่างประเทศ) สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนางฐิติมา ฉายแสง รองประธานกรรมาธิการ เดินทางมาเข้าพบนายวิกเตอร์ บูท ภายหลังที่ประชุมกรรมาธิการการต่างประเทศมีมติให้เข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย

ต่อมาเวลา 14.20 น. นายต่อพงษ์เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายบูทนานกว่า 4 ชั่วโมง ว่า การเข้าพบครั้งนี้มีคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ นายวิกเตอร์ บูท ล่ามแปลภาษารัสเซีย และเจ้าหน้าที่กงสุลรัสเซียประจำประ เทศไทยร่วมฟังการพูดคุยโดยตลอด โดยนายบูทเป็นผู้ร้องขอให้ล่ามและเจ้าหน้าที่กงสุลเข้าร่วมหารือเพื่อจะได้มีพยานรับรู้ ทั้งนี้ นายบูทยังยื่นจดหมายเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอังกฤษ จำนวน 5 หน้ากระดาษผ่านมายังตน ซึ่งเนื้อหาบางส่วนตนอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถนำออกมาเผยแพร่ขณะนี้ได้ เนื่องจากตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ต้องผ่านการตรวจสอบก่อน เบื้องต้นจากการสอบถามในประ เด็นที่นายศิริโชค เข้าพบเมื่อวันที่ 15 เม.ย. นายบูทชี้แจงว่านายศิริโชคเข้าพบจริง โดยใช้ตำแหน่งในการเข้าพบตรงตามที่ภรรยาของนายบูทแถลงต่อสื่อมวลชนไปก่อนหน้านี้ และนายศิริโชคยังให้หมายเลขโทรศัพท์มือถือแก่นายบูทด้วย

นอกจากนี้ นายต่อพงษ์ยังเผยเนื้อหาบางส่วนในจดหมาย 5 หน้าของนายบูทว่า นายบูทไม่รู้จักพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นการส่วนตัว ทราบเพียงว่าเป็นอดีตนายกฯ เท่านั้น และยืนยันไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทั้งในประเด็นการค้าอาวุธ หรือในทางธุรกิจต่างๆ

"วิกเตอร์ บูท เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอย่านำเรื่องของเขาไปเกี่ยวโยงกับประเด็นการ เมือง และขอให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง วิกเตอร์ยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะขณะนี้เป็นเพียงผู้ที่ถูกกล่าวหา ทั้งยังขอให้กรรมาธิการการต่างประเทศตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีของวิกเตอร์โดยตรง ทั้งเรื่องสิทธิ์ในเรือนจำ หรือคดีที่ทางการไทยกำลังดำเนินการ เพราะไม่ต้องการให้การ เมืองใช้วิกเตอร์เป็นเหยื่อและเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และขอให้กรรมการสิทธิมนุษยชนเข้ามาดูแลเรื่องสิทธิในเรือนจำของผู้ต้องขัง รวมถึงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกคุมขัง" นายต่อพงษ์ กล่าว

นายต่อพงษ์ระบุด้วยว่า วันพุธที่ 8 ก.ย. กมธ.ต่างประเทศนัดประชุมและจะเชิญนายศิริโชคเข้ามาชี้แจงในรายละเอียดเกี่ยวกับนายบูทด้วย อย่างไรก็ตาม จากการเข้าพบนายบูทตนได้ข้อมูลที่ยืนยันแล้วว่าไม่ตรงกับคำพูดของนายศิริโชค ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด นอกจากนั้น จด หมายของนายบูทหากผ่านการตรวจสอบจากกรมราชทัณฑ์แล้วจะนำมาเผยแพร่กับสื่อ มวลชน โดยเนื้อหาบางส่วนระบุถึงการเข้าพบของนายศิริโชคด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าพบนายบูททำไมกรรมาธิการฝั่งรัฐบาลถึงไม่เข้าร่วมด้วย นายต่อพงษ์ตอบว่าก่อนหน้านี้ได้หารือกันและนัดหมายให้มาเจอก่อนเวลาเข้าพบ ซึ่งกรรมาธิการบางคนตอบตกลงเข้าร่วม แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับพบว่าไม่มีใครมาเลย ซึ่งตนไม่เป็นห่วงว่าการที่กรรมาธิการฝ่ายรัฐ บาลไม่มาจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมองว่าการทำ งานของตนเพื่อปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณ และดิสเครดิตรัฐบาล เพราะตนมีเอกสารที่สามารถชี้แจงได้ ต่อข้อถามว่า ทำไมถึงไม่ให้ทนายของนายบูทเข้าไปร่วมพบปะด้วย นายต่อพงษ์กล่าวว่า ตนไม่มีอำนาจจะเชิญใครเข้าร่วมการพบปะดังกล่าว มีแต่เจ้าหน้าที่เท่านั้นที่อนุญาตได้

****************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

‘เส้นทางเหล็ก’ ผบ.ทบ.คนที่ 37

ที่มา.บางกอกทูเดย์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 37 กำลังถูกจับตามองหลังก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ตามเส้นทางที่รุ่นพี่ “บูรพาพยัคฆ์” ขีดเส้นไว้ให้เดิน เพราะภารกิจหลังจากนี้ไปยังต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งการเมืองนอกกองทัพและการเมืองในกองทัพ

แต่ใช่ว่า “บิ๊กตู่”จะเป็นผบ.ทบ.ที่เด็ดขาดหรือยอมให้ใครชักจูงได้ง่ายๆ เพราะจากเส้นทางเหล็กที่ ผบ.ทบ.คนนี้ไต่เต้าขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของการรับราชการทหารพบว่า “บิ๊กตู่” ถือเป็นนายทหารสายเหยี่ยวที่ทำงานในพื้นที่ภาคตะวันออกและโครงการในพระราชดำริมาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่จบการศึกษาจาก ร.ร.เตรียมทหารรุ่นที่ 12 และ โรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่นที่ 23 พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการในกรมทหารราบที่21รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือมีนามเรียกว่าขานว่า “ทหารเสือราชินี” ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ. )หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “บูรพาพยัคฆ์”

พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มเข้าสู่เส้นทางเหล็ก จากผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 พัน.2 รอ.) จากนั้นเลื่อนเป็นเสนาธิการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (เสธ.ร.21 รอ.) และ รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (รองผบ.ร.21 รอ.)

ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 รอ.) ถือเป็นผู้การทหารเสือราชินี ต่อจากพล.อ.อนุพงษ์ จากนั้นไต่เต้าในตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (รองผบ.พล.ร.2 รอ.)

กระทั่งขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) ข้ามมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และ แม่ทัพภาคที่ 1 ตามลำดับและเข้าสู่ไลน์ 5 ทบ.ในตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก สมัย พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกและเลื่อนเป็นรองผบ.ทบ. เพื่อแต่งตัวรอเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก “บิ๊กป๊อก”

พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นนายทหาร ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่ใหญ่ในกองทัพทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ รวมทั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะมีผลงานในการมีส่วนร่วมวางแผน และดูแลความสงบในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองคนกลุ่มคนเสื้อแดง

ลักษณะเด่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็น ทหารสายบู๊ มีไหวพริบดี ใจถึง นักเลง และถือว่าการเข้าสู่ตำแหน่งในครั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายเป็นอย่างมาก เมื่อมองถึงสถานการณ์ความมั่นคงที่รออยู่ข้างหน้า เพราะต้องรับศึกหนักทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องภายในกองทัพ โดยเฉพาะกระแสความไม่พอใจในการเติบโตของทหารสายบูรพาพยัคฆ์ และความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่

งานนี้จึงต้องมาลุ้นว่า ผบ.ทบ.คนที่ 37 กับอายุราชการอีก 4 ปีที่เหลือจะนำกองทัพรุดหน้าไปได้ไกลมากน้อยเพียงใด?

**********************************************************************