--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปฏิรูปสื่อ

นิธิ เอียวศรีวงศ์

ครั้งที่แล้ว ผมได้พูดถึงว่าหากมองจากสังคม อะไรคือปัญหาของสื่อที่น่าจะปฏิรูป

ในครั้งนี้ ผมขอเสนอว่า หากสังคม (ไม่ใช่รัฐ) สามารถกำกับการปฏิรูปสื่อได้

เส้นทางปฏิรูปสื่อควรเป็นอย่างไร

1/ รัฐต้องโปร่งใสมากขึ้น โปร่งใสหมายความว่าเปิดตัวเองให้คนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง เพื่อเขาจะได้สามารถตรวจสอบรัฐได้ในทุกแง่ ไม่เฉพาะแต่แง่โกงเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงแง่โง่, แง่หาประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่ใส่ใจต่อประโยชน์ของส่วนรวม, ฯลฯ

นอกจากต้องแก้กฎหมายและระเบียบราชการ ที่จะเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐได้สะดวกขึ้นกว่าที่มีอยู่ใน พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของรัฐในปัจจุบันแล้ว รัฐและหน่วยงานของรัฐก็ต้องกระตือรือร้นในการให้ข้อมูลเองด้วย ไม่ต้องตามจี้กันไปทุกเรื่อง เคยมีความคิดกันว่า เอกสารราชการส่วนใหญ่ควรเอาลงในเว็บไซต์ของหน่วยงาน เพราะถึงอย่างไรในปัจจุบัน ก็เตรียมเอกสารเหล่านี้ในระบบดิจิตอลหมดแล้ว ไม่ได้เพิ่มแรงงานอะไรขึ้นมา ที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าถึงได้ด้วยปลายนิ้วอยู่แล้ว

แน่นอนว่า พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของรัฐก็ควรปรับ ปรุงแก้ไข เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ต้องการข้อมูลที่ถูกปิดกั้นโดยหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐร่วมกับเอกชน ในเวลาอันรวดเร็วพอสมควร

สื่อมีหน้าที่ต้องฉายแสงไปให้ประชาชนได้เห็นหลังบ้านของรัฐอย่างโจ่งแจ้ง การจ้องมองและเห็นคืออำนาจ ในยุคสมัยที่รัฐมีความสามารถในการจ้องมองและเห็นประชาชนแต่ละคนได้มากขึ้น

ประชาชนก็ต้องมีความสามารถไม่น้อยไปกว่ากันที่จะจ้องมองและเห็นรัฐได้ไม่น้อยกว่ากันบ้าง

2/ จำเป็นต้องทบทวน พ.ร.บ.ความผิดทางคอมพิวเตอร์กันใหม่

จุดมุ่งหมายหลักของกฎหมายประเภทนี้ คือทำให้ทุกคนปลอดภัยจากการขโมย, ละเมิด และถูกรังแก เพราะอินเตอร์เน็ตสร้างตลาดชนิดใหม่ ซึ่งนับวันก็มีการแลกเปลี่ยนสินค้า, บริการ, ข้อมูลข่าวสาร, และความคิดในปริมาณมากขึ้นทุกที จนกระทั่งในอนาคตอันใกล้ ตลาดออนไลน์จะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของการแลกเปลี่ยนดังกล่าว รัฐนับตั้งแต่โบราณมามีหน้าที่ปกป้องให้ตลาดปลอดภัยและเป็นธรรม รัฐก็ต้องทำอย่างนั้นกับตลาดออนไลน์เหมือนกัน

แต่ความคิดที่มีกฎหมายเพื่อปกป้องระบอบปกครอง และระบบสังคม-วัฒนธรรมในตลาดประเภทนี้ เป็นความคิดที่ไม่อาจทำได้ในความเป็นจริง เพราะมีวิธีการร้อยแปดที่จะเล็ดลอดเข้าสู่พื้นที่ไซเบอร์ (อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติแล้วพื้นที่นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นพื้นที่เปิด)

คงถึงเวลาเสียทีที่ต้องคิดถึงการปกป้องคุณค่าของระบอบการปกครองก็ตาม ของระบบสังคม-วัฒนธรรมก็ตาม ด้วยสติปัญญาแทนการใช้อำนาจ ถึงอย่างไรก็ไม่มีเทคโนโลยีอะไร หรืออำนาจอะไรที่จะสามารถปิดกั้นการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลและความคิดเห็นกันอย่างเสรีได้เสียแล้ว แทนที่จะเสียกำลังทรัพย์และกำลังคนไปนั่งคอยจับผิดผู้คน ใช้เงินและทรัพย์นั้นไปในทางที่จะทำให้การถกเถียงอภิปรายกันบนพื้นที่นี้ เป็นไปด้วยเหตุผลและข้อมูลที่เป็นจริงดีกว่า

สิ่งที่มีคุณค่าจริง ย่อมยืนยงได้ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง ไม่ใช่อำนาจดิบ

อำนาจที่รัฐได้ไปจาก พ.ร.บ.ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ รัฐใช้มันอย่างที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้เลย เป็นอันตรายต่อการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลอย่างยิ่ง กฎหมายใหม่เพื่อการปฏิรูปสื่อจึงต้องลดอำนาจรัฐลง และสร้างกระบวนการที่อำนาจรัฐในการใช้ดุลพินิจ ต้องถูกตรวจสอบหรือยับยั้งได้ตลอดเวลา

3/ หนังสือพิมพ์ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของตนมานาน กว่าสังคมจะยอมรับว่าเสรีภาพของหนังสือพิมพ์มีความสำคัญ สื่อทางเลือกซึ่งเป็นสื่อชนิดใหม่ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น ก็ควรได้เสรีภาพของตัว โดยไม่ต้องใช้เวลาต่อสู้ยาวนานอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์, วิทยุชุมชน, โทรทัศน์ชุมชน, หรือสื่อประเภทอื่น ต้องได้รับหลักประกันเรื่องเสรีภาพเหมือนกัน ต้องเข้าใจว่า เราอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่สื่อจะมีขนาดเล็กลง และครอบคลุมตอบสนองต่อผู้คนในวงแคบกว่าเดิม แต่ทุกคนกลับเข้าถึงสื่อได้ง่ายกว่า

หากคิดถึงเสรีภาพของสื่อเฉพาะแต่สื่อขนาดใหญ่ เช่น หนังสือพิมพ์และทีวีในทุกวันนี้ เสรีภาพนั้นก็อาจไม่เป็นหลักประกันเสรีภาพในการรับรู้ของผู้คนมากนัก เพราะจะมีคนใช้สื่อประเภทนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ

4/ ถึงแม้ปัจจุบัน อำนาจรัฐตามกฎหมายที่จะใช้ในการควบคุมสื่ออาจลดน้อยลง แต่สื่อซึ่งกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว กลับอ่อนไหวต่อการคุกคามและกำกับของรัฐ (ที่จริงคือนักการเมืองที่ใช้อำนาจรัฐ) ได้มากกว่าเดิม เพราะรัฐกุมงบฯโฆษณาก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นของกระทรวงทบวงกรมและรัฐวิสาหกิจ (รวมบริษัทมหาชนที่รัฐถือหุ้นใหญ่ด้วย) จึงอาจลงหรือถอนโฆษณาเพื่อกำกับสื่อได้ด้วย

การเข้าถึงแหล่งข่าว ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รัฐเลือกจะเปิดหรือปิดแก่สื่อได้ และย่อมกระทบต่อการแข่งขันทางธุรกิจของสื่ออย่างแน่นอน

จนถึงที่สุด มาตรการนอกกฎหมาย เช่น การคุกคามด้วยการออกหนังสือขอความร่วมมือ ไปจนถึงปาระเบิดข่มขู่ ก็เป็นสิ่งที่รัฐยังใช้อยู่

เราควรกลับมาคิดถึงกระบวนการที่จะควบคุมรัฐ มิให้ใช้มาตรการในกฎหมายและนอกกฎหมายเหล่านี้ในการควบคุมสื่อ เช่น จะทำอย่างไร รัฐจึงจะไม่อาจใช้อำนาจการวางโฆษณาเป็นเครื่องมือควบคุมสื่อได้ เป็นต้น

การเข้าถึงแหล่งข่าวควรถือว่าเป็นสิทธิเสมอภาคแก่สื่อทุกชนิด อย่างน้อยก็ในบรรดาหน่วยงานของรัฐทั้งหมด จะไม่มีสื่อใดถูกกีดกันจากการให้ข่าวที่เป็นทางการของหน่วยงาน

การคุกคามสื่อในทางลับจะเกิดขึ้นไม่ได้ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในด้านนี้ ต้องเอาจริงเอาจังกับอาชญากรรมประเภทนี้อย่างไม่ไว้หน้า หากสื่อฟ้องร้องถึง ผู้บังคับบัญชา รัฐต้องดูแลว่าผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นพร้อมจะสืบสวนสอบสวน เพื่อลงโทษบุคคลที่คุกคามสื่อ

5/ ควรมีหน่วยงานในภาคสังคม ที่มีความเป็นกลางจริง ในการเฝ้าติดตามตรวจสอบสื่อ และรายงานผลให้สังคมได้รับรู้อยู่เป็นประจำ ต้องหาทางให้หน่วยงานนี้ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ โดยไม่ต้องอยู่ในอาณัติของผู้ให้ทุนจนไม่สามารถให้ความเห็นที่เป็นกลางได้จริง ในขณะเดียวกันก็ควรสร้างหน่วยงานให้มีสมรรถภาพในการเฝ้าติดตาม และประเมินได้ดีด้วย

หน่วยงานประเภทนี้ สามารถให้ความรู้ด้านสื่อแก่ประชาชนได้มาก

ในขณะเดียวกัน ก็เท่ากับช่วยทำให้สังคมมีความสามารถในการอ่านสื่อ "ออก" (media literacy)

6/ ประเด็นสุดท้ายเท่าที่ผมจะนึกออกก็คือ การศึกษาวิชาสื่อ (ในชื่อ เช่น นิเทศศาสตร์, สื่อสารมวลชน หรือวารสารศาสตร์) ในระดับมหาวิทยาลัย ควรได้รับการทบทวนปรับปรุงเสียที วิชานี้สอนกันในมหาวิทยาลัยมาหลายสิบปีแล้ว และผลิตนักทำสื่อประเภทต่างๆ ป้อนตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น จึงควรมีส่วนรับผิดชอบต่อคุณภาพของสื่อที่อาจไม่ได้ดีขึ้นในหลายด้านด้วย

ประเด็นที่น่าทบทวนมีมาก เช่น ยังควรรักษาหลักสูตรปริญญาตรีไว้ต่อไปหรือไม่ เพราะคนทำสื่อน่าจะมีวุฒิภาวะสูงกว่าความรู้ด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว หากเปิดสอนแต่ระดับหลังปริญญาตรีอย่างเดียวจะดีกว่าหรือไม่ มหาวิทยาลัยควรมีภาระหน้าที่ด้านการผลิตคนด้านนี้ หรือผลิตความรู้ด้านนี้ โดยปล่อยให้สื่อผลิตคนของตนเอง หรือสื่ออาจร่วมมือกันในการผลิตคน (เช่น สมาคมสื่อทำหลักสูตรของตนเอง และฝึกเอง เป็นต้น) โดยมหาวิทยาลัยหาทางเชื่อมต่อความรู้ที่ตนสร้างขึ้นได้กับสื่อที่ทำงานอยู่จริง

ผมเชื่อว่า คนที่มีความรู้ด้านสื่อกว่าผม คงสามารถคิดถึงเส้นทางปฏิรูปได้อีกมาก โดยมีสังคมเป็นผู้นำการปฏิรูป ไม่ใช่รัฐเป็นผู้นำ

ที่มา: มติชนออนไลน์
*********************************************************************

91 ศพที่คาใจ

ข่าวสดรายวัน

เหล็กใน

ดีเอสไอหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในยุค นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็น รมว.ยุติธรรม

ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กรณีเป็นมือไม้เป็นมือรับใช้ทางการเมืองให้รัฐบาล ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

ล่าสุด สามารถยื่นต่ออัยการให้สั่งฟ้องแกนนำผู้ชุมนุมม็อบเสื้อแดงรวม 19 ราย เป็นผู้ต้องหาก่อการร้าย

ขณะเดียวกัน ก็สรุปว่าเหตุการณ์การตายรวม 91 ศพ ก็เป็นการฆ่ากันเอง

รวมทั้งการเผาทำลายอาคาร ยิงถล่มสถานที่ต่างๆ ก็เป็นผลพวงมาจากก่อการร้ายทั้งสิ้น

หลายประเด็นตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง และหลักฐานต่างๆ ที่ประชาชนรับรู้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ลูกสาวและญาติๆ ทำบุญครบรอบ 100 วัน ที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ถูกยิงตาย

คดีเสธ.แดงโดนสไนเปอร์ยิงเจาะกะโหลก จนถึงบัดนี้ไม่มีความคืบหน้า หาคนก่อเหตุไม่พบ

ขณะเดียวกัน วันที่ 28 ส.ค.นี้ ก็จะเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของ "น้องเกด"น.ส.เกดกมน อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม

พร้อมกับเพื่อนๆ และม็อบเสื้อแดงรวม 6 ศพ

คดีความก็ยังไปไม่ถึงไหน ทวงถามเท่าไรก็ไม่มีคำตอบ

หนักๆ เข้า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตอบแบบขอไปทีว่า

คดีคืบหน้าลำบากอยู่แล้ว แม้แต่คดีที่เจ้าหน้าที่ถูกยิงก็ยังไม่มีความคืบหน้า

นอกจากนี้ ยังมีคดีที่รัฐบาลชุดนี้ไม่อาจตอบคำถามชาวโลกได้เต็มปาก

นั่นคือการเสียชีวิตของนายฮิโรยูมิ มูราโมโตะ ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ของสำนักข่าวรอยเตอร์

นายฟาบิโอ โพเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี

คดีของนายมูราโมโตะนั้น มีพยานให้การอย่างชัดเจนว่าแนวกระสุนมาจากไหน

ส่วนคดีของนายโพเลนกี ก็ไม่น่าจะไม่มีพยานให้การยืนยัน

รวมถึงผลจากการชันสูตรศพ

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่คืบหน้าเช่นกัน

ทั้งสองคดีนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาชาวโลก

ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนตายด้วยเหตุใด

ใครทำให้ตาย

ในส่วนของเหยื่อทั้ง 91 ศพที่ถูกยิงตายกลางถนน เมื่อมีการไปขอความช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล

ก็กลับถูกทับถม เหยียบย่ำ เยาะเย้ยจากปากโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ว่าให้ไปขอที่อื่น

ตอนนี้คนเสื้อแดงกำลังเหลือทน ไหนจะถูกยิงตายอย่างทารุณบนท้องถนน

กลับบ้านก็ถูกตามไล่ล่า หนีหัวซุกหัวซุนจนแทบไม่มีที่อยู่

ขณะที่คนสั่งฆ่า คนลงมือฆ่า ยังลอยนวล

******************************************************

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตร.สรรพาวุธไม่รู้ จนท.รัฐใช้ "สไนเปอร์" สลายเสื้อแดงหรือไม่ แต่ไม่ใช่ ตร.แน่นอน

วันจันทร์ ที่ 23 ส.ค. 2553 รัฐสภา 23 ส.ค. - กรรมการติดตามเหตุสลายม็อบเสื้อแดง ส.ว. เรียกตำรวจสรรพาวุธแจงการใช้สไนเปอร์ พบสั่งซื้อมาให้หน่วย "นเรศวร-อรินทราช" ใช้ปราบก่อการร้าย-ชิงตัวประกัน ระบุหน่วยงานอื่นก็มีใช้ ยอมรับเป็นอาวุธที่น่ากลัว ยืนยันตำรวจไม่ได้นำมาใช้สลายม็อบเพราะกระสุนคนละชนิด แต่ตรวจสอบไม่ได้ว่าคนใช้ปืนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (23 ส.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการเพื่อติดตามสถานการณ์บ้านเมือง โดยมีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน โดยได้เชิญ พ.ต.อ.รณกร ศุภสมุทร รองผู้บังคับการกองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนสไนเปอร์ และแก๊สน้ำตา ในการสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค.ที่ผ่านมา

พ.ต.อ.รณกร ชี้แจงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งซื้ออาวุธปืนสไนเปอร์เพียง 2 กระบอก คือ เมื่อปี 2542 สั่งซื้อสไนเปอร์ ยี่ห้อเรมิงตัน เอ็ม.24 ขนาด 7.62 ให้กับหน่วยนเรศวร 261 และในปี 2552 ซื้อให้กับหน่วยอรินทราชของตำรวจนครบาล ยี่ห้อ เอชเค ทีเอชคิว 1 ขนาด 7.62 เพื่อใช้ในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายและชิงตัวประกัน ซึ่งภายหลังได้รับอาวุธก็ได้จัดส่งอาวุธดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่ต้องการแล้ว และหน่วยงานได้ลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ขณะที่หน่วยงานอื่น เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองทัพบก กองทัพเรือ ทราบว่า มีสไนเปอร์ใช้ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอน ยอมรับว่าการนำอาวุธปืนวิถีไกล อย่างสไนเปอร์มาใช้ ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะอาวุธดังกล่าวสามารถใช้ก่อเหตุได้ตลอดเวลา

ส่วนการสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นอาวุธของตำรวจหรือไม่นั้น พ.ต.อ.รณกร กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบกระสุนแล้วพบว่าเป็นยี่ห้อลากัวร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยใช้กระสุนยี่ห้อดังกล่าว และผู้ใช้ปืนจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครตรวจสอบได้ เพราะการแต่งกายคล้ายกัน คือ สวมเสื้อผ้าสีดำ สวมหมวกปิดหน้า. - สำนักข่าวไทย

***********************************************************************

ความเหลื่อมล้ำ

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนั้นพูดกันมาโดยตลอด แต่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถแก้ไข นับวันยิ่งมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างด้านรายได้ ช่องว่างทางการเมือง หรือช่องว่างทางชนชั้น

ล่าสุดการสัมมนาวิชาการประจำปีในหัวข้อ “ยกเครื่องเศรษฐกิจการคลัง ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม” ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปัญหาการกระจายรายได้และความเหลื่อมล้ำในสังคมนับจากปี 2535 ถือว่าแตกต่างกันสูงมาก หากดูในแง่รายได้ของคนรวย 20% แรก แต่มีเม็ดเงินรายได้สูงถึง 54% ของรายได้ของประเทศ ขณะที่คนจน 20% สุดท้ายของประเทศมีรายได้รวมกันเพียง 4.8% ของรายได้รวม

ขณะที่ฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรพบว่ามีผู้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเพียง 9 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 64 ล้านคน ในจำนวนที่ยื่นแบบเสียภาษีมีผู้เสียภาษีจริงเพียง 2.3 ล้านคน อีกประมาณ 7 ล้านคนไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีต่างๆที่มีจำนวนมาก และในผู้เสียภาษีจริงนั้นมีเพียง 60,000 คนเท่านั้นที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด 37% สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามีการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มคนรวยเพียงไม่กี่คน และเพียงไม่กี่คนที่เลี้ยงคนทั้งประเทศเช่นกัน

นอกจากนี้การจัดอันดับการกระจายรายได้ของไทยอยู่ในอันดับที่ 50 ของโลก สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมยังมีมาก รวมทั้งความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตที่ไม่เป็นธรรมสูงมาก ทั้งยังมีอุปสรรคในข้อกฎหมายและการตีความต่างๆ

สอดคล้องกับผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2535 การกระจายรายได้ของประเทศไทยแย่มากขึ้น โดยประชาชน 50-60% ทำงานนอกระบบ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและมีรายได้ไม่แน่นอน การกระจายการถือครองที่ดินกระจุกอยู่กับคนส่วนน้อย คือ 10% ของคนทั้งประเทศเป็นผู้ถือครองที่ดินมากว่า 100 ไร่ ส่วนที่เหลือ 90% เป็นผู้ถือครองที่ดินน้อยกว่าหรือ 1 ไร่เท่านั้น

เช่นเดียวกับตัวชี้วัดความมั่งคั่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า 42% ของเงินฝาก 70,000 บัญชี มีเงินมากกว่า 10 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.09% ของจำนวนบัญชีทั้งหมดในประเทศไทย หรือเท่ากับ 42% ของเงินฝากทั้งหมดมีคนเพียง 35,000 คนเป็นเจ้าของ ส่วนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯระหว่างปี 2538-2547 พบว่า 11 ตระกูลเท่านั้นที่ผลัดกันเป็นเจ้าของหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก

นี่คือความจริงที่สังคมไทยไม่ยอมรับคำว่า “ไพร่-อำมาตย์” เหมือนความอยุติธรรมหรือ 2 มาตรฐานที่อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการที่ฆ่าประชาชนโดยไม่มีความผิด

**********************************************************************

จี้ปล่อยนปช.พ้นคุก‘คณิต’นำผลชันสูตรศพเสื้อแดงเข้าที่ประชุมคอป.

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

เสื้อแดงเชียงใหม่จัดกิจกรรมคึกคักหลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประเดิมด้วยการจัดนิทรรศการภาพถ่ายบันทึกเหตุการณ์และแจกซีดีให้ข้อมูลอีกด้านกับประชาชน นัดรวมตัว 26 ส.ค. บุกศาลากลางจังหวัดยื่นหนังสือผ่านผู้ว่าฯถึงนายกรัฐมนตรีให้ปล่อยตัวแกนนำและแนวร่วมทุกคนที่อยู่ในเรือนจำเพราะถือเป็นนักโทษการเมือง “คณิต” เล็งนำผลชันสูตรศพผู้ตายของดีเอสไอเข้าที่ประชุม คอป. ยังยืนยันไม่มีหน้าที่ตามหาคนผิด จะทำแค่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น สะกิด “อภิสิทธิ์” เอ่ยขอโทษเพื่อเป็นก้าวแรกสร้างความปรองดอง ทำง่ายหรือไม่ให้คิดเอาเอง โฆษก “มาร์ค” เรียกร้องฝ่ายความมั่นคงจับตาหลังพบเสื้อแดงเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวหลายพื้นที่โดยใช้การเสวนา ทำบุญบังหน้า

นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมสรุปผลชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า คอป. จะนำผลการชันสูตรศพมาพิจารณา แต่คงไม่ใช้ผลนี้เป็นตัวตั้งของการทำงานเพราะต้องพิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆประกอบด้วย เช่น เรื่องวิถีกระสุน คำให้การของพยาน ผลทางนิติวิทยาศาสตร์ และข้อสรุปของผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

“เป็นเรื่องดีที่ดีเอสไอจะนำผลการชันสูตรศพมาเปิดเผยเพื่อไขข้อข้องใจของประชาชน เมื่อมีการเปิดเผยออกมาแล้วจะเรียกประชุม คอป. เพื่อรับทราบต่อไป คาดว่าจะเป็นวันที่ 25 ส.ค. นี้ ส่วนการเสียชีวิตของนักข่าวจากญี่ปุ่นและอิตาลี คอป. จะไม่หยิบมาพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ เพราะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับผู้เสียชีวิตรายอื่น” นายคณิตกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายคณิตระบุว่า การหาคนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชนไม่ใช่หน้าที่ของ คอป. แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล คอป. มีหน้าที่เพียงทำความจริงให้ปรากฏออกมาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้เวลา

“ขอให้ให้เวลา คอป. ได้ทำงานด้วย เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ง่าย ส่วนคำว่าขอโทษจะเป็นคำเบื้องต้นที่รัฐบาลควรทำเป็นอันดับแรกในขณะนี้หรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องไปคิดและดำเนินการเอง” นายคณิตกล่าว

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังรัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ พบว่ามีการเคลื่อนไหวของนักการเมืองฝ่ายค้านและคนเสื้อแดงเพื่อปลุกระดมมากขึ้น โดยจัดในรูปแบบของงานเสวนา การแสดงละครเวที หรือการทำบุญบังหน้า

“พบการเคลื่อนไหวในหลายพื้นที่ ทั้งที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพะเยา หรือแม้แต่ในพื้นที่กรุงเทพฯที่ยังไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็เคลื่อนไหวกันมาก โดยใช้รูปแบบงานต่างๆขึ้นมาบังหน้า แต่มีการโฟนอินเข้ามาพูดคุยของผู้ต้องหาคดีต่างๆหลายคน เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นักโทษหนีคดี ซึ่งเสี่ยงต่อการปลุกระดมและสร้างความแตกแยกได้ง่าย จึงขอให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด” นายเสพไทกล่าว

โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังฝากถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ให้กล้าประกาศตัวหากอยากเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง เพราะจะได้รู้ว่ามีคนในพรรคเดียวกันเองต่อต้านหรือไม่

“พล.อ.ชวลิตอย่าแอบฝัน แน่จริงให้ประกาศตัวออกมา แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำ พล.อ.ชวลิตควรไปดูแลสุขภาพของตัวเองมากกว่า เพราะไปดำนาสาธิตก้ม 2-3 ครั้งก็หน้ามืดถึงกับต้องมีคนพยุงแล้ว” นายเทพไทกล่าว

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง พร้อมสมาชิก ได้ขึ้นไปจัดกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีคนเสื้อแดงเชียงใหม่กว่า 200 คนเข้าร่วม

กลุ่มของนายสมบัติได้ร่วมกันสักการะอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ก่อนที่จะเดินแจกจ่ายซีดีบันทึกเหตุการณ์สลายการชุมนุมเพื่อให้ข้อมูลอีกด้านกับประชาชนที่ถนนคนเดินท่าแพ และจัดนิทรรศการภาพถ่ายที่ประตูท่าแพด้วย อย่างไรก็ตาม การตั้งเวทีปราศรัยต้องล้มเลิกไปเพราะว่าเกิดฝนตกหนักในช่วงเย็น

ทั้งนี้ การจัดนิทรรศการและการแจกจ่ายซีดีบันทึกเหตุการณ์ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก และในวันที่ 26 ส.ค. นี้กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวไปยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้ปล่อยตัวแกนนำและแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าผู้ถูกจับกุมเป็นนักโทษการเมือง

**********************************************************************

ยี่สิบปีรำลึก สืบ นาคะเสถียร

มติชนออนไลน์
โดย วันชัย ตัน

คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย อาจเป็นความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ แล้วเราก็หยิบสิ่งที่ธรรมชาติให้มาหยุดยั้งความเจ็บปวดนั้น"

แล้วอะไรที่ทำให้พี่สืบเจ็บปวดหัวใจขนาดนั้น

.............

ต้นฤดูฝนที่ผ่านมา ผมเดินทางกลับไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายปี พร้อมกับพรรคพวกหลายสิบคนที่อยากมาตามรอยอดีตข้าราชการกรมป่าไม้คนหนึ่ง

สำหรับหลายคน เขื่อนเชี่ยวหลานอาจจะเป็นสถานท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพแปลกตา เห็นเกาะหินปูนรูปร่างแปลกอยู่กลางอ่างเก็บน้ำ ราวกับทะเลสาบกุ้ยหลินของเมืองจีน

แต่สำหรับผมแล้ว การไปเขื่อนเชี่ยวหลานครั้งแรกของผมเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เป็นภาพที่อยู่ในใจไปตลอดชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร

ผมดั้นด้นไปตามหาสืบ นาคะเสถียร กลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน เมื่อได้ทราบว่าเขาเป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่หนีตายจากน้ำท่วมไปติดค้างอยู่ตามต้นไม้และเกาะกลางอ่างเก็บน้ำภายหลังการสร้างเขื่อน

ผมจำได้แม่นยำว่า วันหนึ่งขณะที่เราผูกเรือกับตอไม้กลางทะเลสาบ เพื่อช่วยชีวิตชะนีตัวหนึ่ง ปรากฏว่างูจงอางสีดำมะเมื่อมขนาดลำข้อมือ ยาวร่วม 3 เมตรพุ่งทะยานออกมาจากโพรงในตอไม้ ทุกคนบนเรืออ้าปากค้างด้วยความตกใจ และโล่งอกเมื่องูจงอางพุ่งลงน้ำ

"ตามมันไป จับมันให้ได้" พี่สืบบอกพวกเรา และเมื่อเราช่วยกันใช้สวิงจับงูขึ้นมาบนเรือแล้ว คราวนี้ทุกคนหันหน้ามามองกันเลิกลั่ก ใครจะเสี่ยงตายเป็นคนจับงูพิษยัดใส่กระสอบ...ยังไม่ทันไรพี่สืบใช้มือกดหัวจงอาง เจ้าจงอางใช้เขี้ยวพิษกัดสวิงอย่างแรงพร้อมทั้งปล่อยน้ำพิษสีเหลืองใสๆ ไหลเยิ้มออกมาจนหมด จับมันใส่ถุงกระสอบ ใช้เชือกผูกมัดแน่นหนา

ผมเดินไปพูดกับพี่สืบว่า ไปเรียนจับงูมาตั้งแต่เมื่อใด พี่สืบบอกว่า "ผมก็เพิ่งหัดจับงูพิษเป็นครั้งแรกในชีวิต" ผมนับถือน้ำใจของพี่สืบที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานเต็มที่ แกมีลูกน้องหลายคน แต่เมื่อต้องเสี่ยงอันตราย พี่สืบออกหน้ารับเอง

หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสพบกันสม่ำเสมอในงานต่างๆ โดยเฉพาะการรณรงค์คัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่พี่สืบเป็นแกนนำในการคัดค้านอย่างแข็งขันแม้ว่าจะเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ และเขาขึ้นไปพูดตามเวทีสาธารณะต่างๆ จนคนทั่วไปรู้จักสืบดี เพราะทุกครั้งสืบจะพูดออกมาจากหัวใจ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า "วันนี้ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่าทุกตัว เพราะพวกเขาพูดเพื่อตัวเองไม่ได้"

ปลายปี 2532 พี่สืบเล่าให้ผมฟังว่า กำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต คือพี่สืบได้รับทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะเดียวกันทางผู้ใหญ่ก็สั่งให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ตอนนั้นแทบจะไม่มีใครรู้จัก

หากเป็นคนทั่วไป ก็คงจะเลือกการไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่สำหรับพี่สืบแล้ว เขารู้ดีว่าป่าห้วยขาแข้งมีความสำคัญอย่างไร หากปกป้องไม่ได้ ป่าด้านตะวันตกของเมืองไทยก็คงพินาศ

ไม่กี่ปีต่อมา ข้าราชการกรมป่าไม้ตัวเล็กๆ ผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลในตำนาน ภายหลังการยิงตัวตายในป่าห้วยขาแข้ง และเหนืออื่นใด ความตายของเขาได้สั่นสะเทือนผู้คนในสังคมไทยที่ทราบข่าวอย่างรุนแรง

มีผู้คนมากมายพากันตั้งคำถามว่า เหตุใดหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จึงตัดสินใจยิงตัวตาย

วันที่ผมไปรอรับศพพี่สืบที่นำมาจากป่าห้วยขาแข้ง เอามาตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุบางเขน จำได้ดีว่าวันแรกไม่มีศาลาว่าง ต้องฝากโลงเอาไว้ ในความรู้สึกถึงเพื่อนและพี่ชายคนนี้ ผมเขียนบันทึกสั้นๆ ไว้ว่า

"คนส่วนใหญ่อาจมีชีวิตเพื่อครอบครัวและตัวเอง แต่สำหรับสืบ นาคะเสถียรแล้ว เขารักและหวงแหนชีวิตสัตว์ป่าและป่ามากกว่าตัวเองและครอบครัวเสียอีก เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสิ่งอันเป็นที่รักยิ่ง เขาวิ่งพล่านไปทั่ว เพื่อส่งเสียงบอกให้ผู้ใหญ่ และผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสภาพการล่าสัตว์และทำลายป่าห้วยขาแข้ง

...ไม่มีใครสนใจ เสียงตะโกนของเขาไม่มีใครอยากได้ยิน

ก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2533 เสียงปืนนัดหนึ่งจึงดังกึกก้องขึ้นในป่าห้วยขาแข้ง

สองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังไม่กี่สิบเมตร ข้าราชการระดับสูงจากกรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนับร้อยคน ได้แห่กันมาประชุมปรึกษาหารือในการป้องกันการทำลายเขตรักษาป่าห้วยขาแข้งอย่างแข็งขัน

สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแห่งนี้ เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านเมืองหันมาสนใจปัญหาอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนจะมีเพียงความนิ่งเงียบในระบบราชการไทย

ก่อนตายไม่นาน พี่สืบได้เล่าให้ฟังว่า มีโอกาสได้พบรัฐมนตรีคนหนึ่งและพยายามอธิบายปัญหาการตัดไม้ในห้วยขาแข้งที่พัวพันกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย แต่รัฐมนตรีตัดบทไม่ใส่ใจ และทุกวันนี้ก็ยังลอยหน้าลอยตาดำรงตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน

พี่สืบคงเจ็บปวดกับระบบราชการจนถึงที่สุด

หากไม่มีเสียงปืนในราวป่านัดนั้น การประชุมครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

พี่สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกยิงตายจากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย

พี่สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งลูกน้องซึ่งเขาเป็นคนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้

พี่สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด

เขาพยายามทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากประชาชนให้ดีที่สุดเท่านั้น

เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการ และผู้มีอำนาจในเมืองไทย ที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง

เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อหน้าที่ของเขา

แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้

สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการ และความมุ่งมั่นของตัวเอง

บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้

ภายหลังการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร ได้ก่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์ครั้งใหญ่ในสังคมไทย และต่อมาไม่นาน ยูเนสโก ได้ประกาศให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามเจตนารมณ์ของพี่สืบ ส่งผลให้เกิดความหวงแหนดูแลป่าทั้งสองผืนอย่างจริงจังจากคนทั้งประเทศ ปริมาณสัตว์ป่าในรอบหลายปีได้เพิ่มขึ้น อันเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้ทำงานอย่างจริงจังในการอนุรักษ์ผืนป่าเหล่านี้ รวมถึงการขยายพื้นที่ดูแลไปทางผืนป่าตะวันตก อันประกอบด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 11 แห่ง เป็นผืนป่าติดต่อกัน 11.7 ล้านไร่ โดยประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เคยขัดแย้งกันมาตลอด ให้หันมาจับมือกันดูแลรักษาป่า สืบทอดความฝันของสืบ นาคะเสถียร

เสียงปืนในราวป่าห้วยขาแข้งเมื่อยี่สิบปีก่อน ยังคงดังกึกก้องมาจนถึงบัดนี้

หมายเหตุ : เชิญร่วมงาน 20 ปีสืบ นาคะเสถียร ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-19 ก.ย. 2553 และร่วมชมคอนเสิร์ต 20 ปีสืบ นาคะเสถียร วันที่ 19 ก.ย. 2553 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบถามรายละเอียดได้ที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โทร.0-2224-7838-9

ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวันฉบับวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 11852

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดเอกสารลับมาก"บิ๊กก.พาณิชย์" อ้างใบสั่ง"บิ๊กรัฐบาล"ขายข้าวสารล้านตัน หึ่ง!เอื้อ 4 บริษัทยักษ์

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กรณีกระทรวงพาณิชย์สั่งขายข้าวในสต๊อกจำนวน 1 ล้านตันกำลังถูกตั้งคำถามอย่างมากว่ามีเงื่อนงำหรือไม่? "ทีมข่าว"เปิด "เอกสารลับมาก" ที่ระบุที่มาของเรื่องดังกล่าวดังนี้

เนื่องจากมีข้อมูลระบุว่า 1.เป็นการขายให้เอกชนรายใหญ่จำนวน 4 รายโดยไม่เรียกผู้ประกอบการรายอื่นเข้าร่วมประมูล 2.การขายครั้งนี้ของรัฐบาลเป็นการข้าวใหม่ปี 2552 ในทางปฏิบัติควรขายข้าวเก่าก่อน เพื่อมิให้เกิดปัญหาข้าวเก่าเสื่อมราคา

"ทีมข่าว"เปิด "เอกสารลับมาก" ที่ระบุที่มาของเรื่องดังกล่าวดังนี้

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2553 นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร ได้ทำหนังสือ "ลับมาก" ถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องอ้างว่า

สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรับบาลเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และมีมติให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายจำหน่ายข้าวสารพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตามกรอบยุทธศาสตร์รวมถึงปริมาณการจำหน่ายด้วยความระมัดระวังโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาดและให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารเป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ แล้วเสนอให้ประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือรองประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามกับคู่สัญญาต่อไป

คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลของบริษัทผู้ส่งออก ซึ่งประกอบด้วยชนิดข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลดังนี้

(1) ข้าวหอมปทุมธานี นาปี ปี 2551/52 และ นาปรัง ปี 2552
(2) ข้าวเหนียวขาว 10% นาปี ปี 2551/52 และ นาปรังปี 2552
(3) ข้าวขาว 5% นาปรัง ปี 2551 นาปี ปี 2551/52 และ นาปรัง ปี 2552

โดยคณะทำงานฯได้เจรจาต่อรองกับผู้เสนอราคาซื้อข้าวสารดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วและได้นำเสนอผลการเจรจาต่อรองต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารเพื่อพิจารณาอนุมัติและนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) รองประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

กรมการค้าต่างประเทศขอเรียนว่ารองนายกรับมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ในฐานะรองประธาน กขช.ได้ให้ความเห็นชอบการจำหน่ายข่าวสารในสต๊อกของรัฐบาลตามชนิดและโครงการรับจำนำข้าวเลปือกของรัฐบาล ตามข้อ (1)-ข้อ (3) ในส่วนของคลังสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกรดังนี้

1.ข้าวหอมปทุมธานี

เห็นชอบให้จำหน่ายข้าวหอมปทุมธานี นาปี ปี 2551/52 และนาปรัง ปี 2552 เมือ่วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 โดยมีรายละเอียดรายชื่อบริษัท ชนิด และปริมาณข้าว ราคาจำหน่าย และคลังสินค้า รวม 7 คลัง ตามเอกสาร 1

2.ข้าวเหนียวขาว 100%
เห็นชอบให้จำหน่ายข้าวเหนียวขาว 10% นาปี ปี 2551/52 เมื่อวันที่ 6 าสิงหาคม 2553 โดยมีรายละเอียดรายชื่อบริษัท ชนิด และปริมาณข้าว ราคาจำหน่าย และคลังสินค้า รวม 1 คลัง ตามเอกสาร 2

3.ข้าวขาว 5%
เห็นชอบให้จำหนย่ายข้าวขาว 5% นาปรัง ปี 2551 ,นาปี ปี 2551/52 และ นาปรัง ปี 2552 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 โดยมีรายละเอียดรายชื่อบริษัท ชนิด และปริมาณข้าว ราคาจำหน่าย และคลังสินค้า รวม 18 คลัง ตามเอกสาร 3

ในการนี้ขอให้.....ดำเนินการตามทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทตามข้อ 1-3 โดยถือปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในข้อ 10-12 ตามหนังสือกรมการค้าต่างประเทศด่วนที่สุด ที่ พณ 0307/ว.598 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 อย่างเคร่งครัด (เอกสาร4) โดยในส่วนของเงื่อนไขการรับมอบและขนย้าย รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) มีบัญชาให้บริษัทรับและขนย้ายข้าวสารตามข้อ 1-2 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย และ ตามข้อ 3 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ทั้งนี้ให้เป็นการดำเนินการในทางลับจนกว่าจะมีการขนย้ายข้าวสารออกจากคลังสินค้าเพื่อประโยชน์ของทางราชการ และเมื่อได้ดำเนินการทำสัญญาแล้วขอให้ส่งมอบสำเนาสัญญาพร้อมเอกสารประกอบสัญญาให้กรมการค้าต่างประเทศทราบด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จะขอบคุณมาก

นายมนัส สร้อยทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร

ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าวยังแนบ หนังสือด่วนที่สุดที่ พณ 0307/ว.598 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ที่อ้างข้างต้น ส่งให้หน่วยงานด้วย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คดีพธม. (อีกที)

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน

ศุกร์ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง นำตัว นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กับ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาฯ

พร้อมสำนวนสอบสวนสั่งฟ้องฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กรณีร่วมกันแถลงข่าวหน้ามูลนิธิบ้านเลขที่ 111 เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ส่งให้อัยการพิจารณาสั่งคดี

วันเดียวกัน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของทั้ง 2 คน ก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการว่า

วันเกิดเหตุเป็นเพียงการแถลงข่าวแค่ 2-3 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบการสลายม็อบเสื้อแดงที่มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก

ไม่ได้เป็นการชุมนุมเกิน 5 คน

เพียงแต่ขณะนั้นมีประชาชนสนใจมาฟังและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ทนายยังร้องให้สอบ พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐผล ผกก.สน.นางเลิ้ง และ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ด้วยว่า

ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับเดียวกัน ทำไมถึงปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ จัดชุมนุมหลายครั้งโดยไม่ดำเนินคดี

จะว่าไปแล้วคำถามทำนองนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการดำเนินคดีกับเสื้อแดง ว่าแล้วทำไมไม่ดำเนินคดีกับกลุ่ม พันธมิตรฯ หรือเสื้อเหลืองบ้าง

ทำไมคดีเสื้อแดงถึงรวดเร็ว ทำไมคดีเสื้อเหลืองถึงอืดอาด

โดยเฉพาะคดีพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบิน มักถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างคำถามวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้

สุดท้ายคำตอบคงหนีไม่พ้นเรื่องสองมาตรฐาน

อย่างล่าสุด พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดียึดสนามบิน ได้ออกหมายเรียกพันธมิตรฯ 79 คนให้มารับข้อกล่าวหา

แต่ก็ยังโดนขัดขวางจากส.ว.บางกลุ่มที่เตรียมทำหนังสือถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้พิจารณาโอนคดีดังกล่าวไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการแทน

เพื่อคดีจะได้กลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

แบไต๋กันซึ่งๆ หน้าโดยไม่แคร์ว่าสังคมจะมองอย่างไร

อย่างไรก็ตามมี 2 คนที่จะชี้ขาดเรื่องนี้คือนายกฯ อภิสิทธิ์ ผู้ถืออำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรม การคดีพิเศษ (กคพ.)

สำหรับนายสุเทพนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะถึงจะร้ายกับเสื้อแดง แต่ก็ไม่เคยหงอให้เสื้อเหลืองเช่นกัน

พูดตรงๆ จะห่วงก็ตรงนายกฯ อภิสิทธิ์นี่แหละ

************************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไทยเชื่อ"หมีขาว"รุกหนัก หวั่น"บูท"เปิดข้อมูลลับในศาลนิวยอร์ค "มาร์ค"ยอมรับเจอ2ชาติมหาอำนาจกดดันหนัก

มติชนออนไลน์

"อธิบดีคุก"สั่งจนท.ดูแลเข้มความปลอดภัย"วิคเตอร์ บูท" เชื่อไร้เหตุหลบหนีและชิงตัวระหว่างรอส่งไปสหรัฐ "บัวแก้ว"เผยรัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวังคำตัดสิน เชื่อไม่กระทบสัมพันธ์ ยันเป็นไปตามกม. ผู้ช่วยปธน.สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ พอใจอย่างยิ่งร่วมมือ รอส่งตัวโดยเร็ว จนท.ฝ่ายต่อต้านก่อการร้ายเชื่อไทยเจอหมีขาวรุกหนัก หวั่น"บูท"เปิดข้อมูลในศาลนิวยอร์ค "มาร์ค"ยอมรับสถานการณ์2ชาติมหาอำนาจกดดัน พร้อมทำความเข้าใจ

"มาร์ค"ยันรบ.ไม่ได้จุ้นคดีวิคเตอร์

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ยันต้องทำความเข้าใจกับทางการสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ว่ารัฐบาลไทยไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซงต่อกรณีศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ส่งตัว นายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 43 ปี พ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่สัญชาติรัสเซียและอดีตทหารหน่วยเคจีบีรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีอาญาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมทีผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าผู้อื่น ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการจัดหาและใช้อาวุธสงครามต่อต้านอากาศยาน และร่วมสมรู้ร่วมคิดในการสนับสนุนอย่างมีสาระสำคัญให้กับองค์การก่อการร้ายต่างประเทศ ซึ่งละเมิดกฎหมายสหรัฐอเมริกา รวม4ข้อหา และศาลอุทธรณ์ยังมีคำสั่งให้คุมขังนายวิคเตอร์ บูท เพื่อรอดำเนินการส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนภายในเวลา 3 เดือน หากถึงกำหนดยังไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ให้ปล่อยตัวนั้น

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม ระหว่างมาร่วมทำบุญวันคล้าวยวันเกิดครอบรอบ 86 ปีของนายมารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่วัดเญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กทม. กรณีทางการรัสเชียไม่พอใจที่ไทยจะมอบตัวนายวิคเตอร์ บูทไปให้สหรัฐอเมริกาดำเนินคดี ว่า ทั้งหมดต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมและศาลเป็นผู้วินิจฉัย โดยที่รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซง

ปัดถูกสหรัฐบีบย้ำเรื่องของศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่าทางรัสเชียไม่พอใจที่ไทยถูกบีบจากทางการสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีการมาบีบ เพราะไทยได้ชี้แจงกับทุกฝ่ายมาโดยตลอด และทราบดีว่าทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเชียต่างให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีการพบปะกัน ตนและรัฐบาลก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องของศาลที่จะพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีเรื่องที่จะไปแทรกแซงได้ เมื่อถามว่าต้องทำความเข้าใจกับรัสเชียด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าก็คงต้องทำความเข้าใจ โดยน่าจะมีการสอบถามกันมา ส่วนการดำเนินการต่อไปก็ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอีก เนื่องจากทางสหรัฐอเมริกาได้ยื่นมาอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีที่ 2 ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีเก่าแล้วก็เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป

เมื่อถามว่าทางรัสเชียระบุว่าจะต้องเอาตัวกลับให้ได้ แล้วจะเป็นปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัสเชียก็ติดตามคดีมาตลอด ตั้งแต่อยู่ในศาลชั้นต้นแล้ว และได้ยืนยันกับทั้ง 2 ฝ่ายมาตลอดว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงได้

รับเจอแรงกดดัน2มหาอำนาจ

เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ไทยอยู่ระหว่างปัญหาของ 2 ประเทศมหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีแรงกดดัน แต่ทุกอย่างนั้นจะดีที่สุดหากเราดำเนินการตรงไปตรงมาเพราะจะมีคำตอบ เมื่อถามว่าคดีที่ทางสหรัฐอเมริกายื่นมาใหม่นั้นจะต้องตัดสินในไทยหรือส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาไปดำเนินการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สหรัฐฯยื่นเรื่องผ่านอัยการมาให้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นการขอตัว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเข้ามาก่อคดีในไทย และเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม อัยการก็ได้ส่งฟ้องแล้วพร้อมๆกับการที่มีการตัดสินของศาลอุทธรณ์

อธิบดีคุกสั่งดูแลปลอดภัยเข้ม

นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการให้ส่งตัวนายวิกเตอร์ บูท ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศสหรัฐฯว่า จะต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเข้ามาว่าจะนำตัวนายวิกเตอร์ บูท ออกไปเมื่อไหร่ แต่ระหว่างนี้เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งชี้ขาดแล้ว จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหาที่ศาลมีคำสั่งชี้ขาดให้เข้มงวดมากขึ้น ส่วนเรื่องที่กังวลว่าจะมีการชิงตัวผู้ต้องหาหรือผู้ต้องหาจะเกิดอาการเครียดระหว่างที่รอการส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องดูแลไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนีและคงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน

รัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวัง

ขณะที่ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ(กต.)รัสเซียเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซียเพื่อแจ้งความห่วงกังวลเรื่องการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ให้สหรัฐว่า ช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาตามเวลาในรัสเซีย นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย ได้รับเชิญไปยังกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งฝ่ายรัสเซียได้แสดงความผิดหวังในเรื่องดังกล่าว ขณะที่เอกอัครราชทูตไทยชี้แจงว่ากระบวนการพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามตัวบทกฎหมายไทย

"อย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในความสัมพันธ์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของสองประเทศ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในภาพรวมที่จะเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ดียอมรับไม่ว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไรคดีนี้ก็มีผลกับไทยทั้งนั้นแต่กระบวนการยุติธรรมต้องยึดตามข้อเท็จจริง"รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศระบุ

อัยการรอ"มะกัน"ประสานส่งตัว

นายธานีกล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท หลังจากนี้อัยการจะต้องส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มายังกรมสนธิสัญญาและกฏหมาย กระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นก็จะส่งเรื่องให้ฝ่ายสหรัฐ ส่วนขั้นตอนการรับตัวทางสหรัฐจะประสานกับอัยการได้โดยตรง

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า คำตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายไม่ใช่สิ่งสูงสุด แต่เป็นเพราะถูกแรงกดดันทางการเมืองจากนอกประเทศโดยทางการสหรัฐได้ยื่นคำร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ไทย

ด้านนายจอห์น เบรนแนน ผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฝ่ายกิจการต่อต้านการการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวแสดงความขอบคุณที่ศาลอุทธรณ์ไทยได้พิพากษาตัดสินให้ส่งตัวนายบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ ระบุพอใจเป็นอย่างยิ่งกับความร่วมมือที่ได้รับจากฝ่ายไทย และรอคอยให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูท มาพิจารณาคดีในนิวยอร์กได้โดยเร็ว โดยย้ำว่าบูทมีส่วนรับผิดชอบต่อการค้าอาวุธและการให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายในหลายพื้นที่ทั้งเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ การนำตัววิคเตอร์ บูทมาดำเนินคดียังจะมีส่วนช่วยยับยั้งขบวนการลักลอบค้าอาวุธ และบ่อนทำลายศักยภาพขององค์กรก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆที่จ้องจะก่อเหตุทั่วโลกด้วย

ประหลาดใจกลับคำพิพากษา

สำนักข่าวเอพีระบุว่าช่วงปีแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐให้ความสำคัญกับการยื่นคำร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวบูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างมาก โดยเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมารัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐเดินทางไปยังกรุงเทพระหว่างไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่สิงคโปร์เพียงเพื่อจะหารือกับหน่วยราชการไทยในประเด็นการยื่นคำร้องขอให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนเพียงประเด็นเดียว อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐเองก็ยังประหลาดใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำตัดสินให้ส่งตัววิคเตอร์ บูทให้สหรัฐ

ชี้รัสเซียกดดันหนักหวั่นข้อมูล"บูท"

นายฟิลลิป เจ. โครว์ลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐทำงานภายใต้กรอบกฎหมายไทยซึ่งกระบวนการยุติธรรมของไทยก็มีความเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี สหรัฐรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการนำเอาหลักฐานที่ฝ่ายสหรัฐนำเสนอไปใช้ประกอบการพิจารณา ทำให้ได้ข้อยุติซึ่งสหรัฐเห็นว่าบทสรุปที่เหมาะสม

นายฮวน ซาเรท เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านต่อต้านการก่อการร้าย ในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ทางการรัสเซียจะต้องกดดันอย่างหนักหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ไทยตัดสินให้ส่งตัวบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ เพราะฝ่ายรัสเซียไม่ชอบความจริงที่ว่าพลเมืองรัสเซียที่มีชื่อเสียงในด้านไม่ค่อยดีกำลังจะถูกนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในสหรัฐ เนื่องจากวิคเตอร์ บูทเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับองค์กรบางแห่ง ของทางการรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้หลายคนหวั่นวิตกเกี่ยวกับข้อมูลที่วิคเตอร์ บูทรู้และสิ่งที่วิคเตอร์ บูทอาจจะพูดระหว่างถูกนำตัวมาพิจารณาคดีในศาลนิวยอร์ก

“ตู่”ชี้ซ้ำรอยจับอาวุธดอนเมือง

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีศาลอุทธรณ์ให้ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูทไปดำเนินคดีสหรัฐ จนทางการรัสเชียไม่พอใจว่า ตนและคนเสื้อแดงเคยนำเสนอเรื่องนี้ในช่วงที่ทางการสหรัฐแสดงความเสียใจต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ตั้งแต่ยังอยู่ในศาลชั้นต้น และพอมาถึงศาลอุทธรณ์ ทางการรัสเชียก็แสดงความเสียใจต่อศาลอุทธรณ์ไทย ทำให้หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องวางบทบาทตัวเองให้ดี เพราะเรื่องนี้ยังมีอะไรอีกมาก

"ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็พยายามบิดบังไม่ให้คนไทยรับรู้เรื่องนี้มาตลอด ซึ่งสุดท้ายคดีนี้อาจจะต้องจบลงเหมือนกรณีการจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ ที่ขนขึ้นเครื่องบินมาผ่านสนามบินดอนเมืองแต่จนแล้วจนรอดรัฐบาลก็ต้องดำเนินการคืนอาวุธสงครามให้กับเจ้าของเขาอย่างเงียบๆ จนทำให้รัฐบาลไทย ที่เริ่มต้นอย่างกับเสือ ต้องจบลงแบบแมวเหมียวตัวหนึ่ง"

***************************************************************************************

ข่มคนที่ข่มได้

พม่ายังตั้งธงเพื่อ “เลือกตั้ง” ในอีกสามเดือนข้างหน้า..

ใครที่อ่านเกมว่า “เมืองไทย” จะหนีการเลือกตั้งด้วยการให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” มาขัดตาทัพบริหารประเทศไปพลางๆ.. เลิกคิดได้เลย

เพราะผู้คนทั้งประเทศไม่รู้จะเอาหน้าซุกหนีชาวโลกไปหลบที่หีบใบไหน!!

ทุกคนอ่านเกมทลุพอๆ กัน!

“การเมืองใหม่” ภายใต้การขับเคลื่อนของ สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเริ่ม “ตัดริบบิ้น” ด้วยการส่งผู้สมัคร สก.และ สข. เป็นการปูพื้นนำร่อง

ใช้แผน “เปิดกรงนก” เพื่อปล่อยให้นกบินสะดวก...ด้วยการ “แอ็คชั่น” โขก นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จังๆ เรื่องที่ทำ เอ็ม.โอ.ยู.ไว้กับเขมรสมัย ชวน หลีกภัย โน่น!

เป็นการสร้างรันเวย์ให้นกกระพือปีก..เพราะเช็คกระแสแล้วไม่ฮือเท่าที่ควร

เอาเป็นว่าทั้ง “พ่อยก-แม่ยก” ระหว่าง “การเมืองใหม่” กับ “ประชาธิปัตย์” ใช้หม้อหุงข้าวหม้อเดียวกัน

ยุทธการ “แย่งหม้อข้าว” จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น!!

ในขณะที่ “ประชาธิปัตย์” รู้ทันเหลี่ยม..ทาง “วอร์รูม” จึงนำแผน “แหอำมหิต” ยัดใส่มือ “อภิสิทธิ์” เพื่อใช้เหวี่ยงออกมาครอบนกทั้งกรง

และก็ได้ผล..เมื่อ “อภิสิทธิ์” โดดขึ้นเวทีพันธมิตร เข้าคลุกวงในกอดปล้ำรัดเอวตีเข่าโดยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถ “ออกอาวุธ”ได้ถนัด..

วันรุ่งขึ้นยังลากศพ เอ๊ยลากคู่ต่อสู้มาที่เวทีของตนอัดไปอีกดอกทีนี้ “อยู่หมัด”

“การเมืองใหม่” รู้ทั้งรู้.. แต่ดันไปหลงเหลี่ยมโดดขึ้นเวทีศัตรู เลยโดนรังสีจาก “แหอำมหิต” เข้าเต็มเปา ได้แต่ดิ้นขลุกๆ อยู่ภายใต้บ่วงแห

ภาษิตจอมยุทธว่า ซือ อี้ เชี่ยน, จั่ง อี้ จื้อ
แปลเป็นไทยว่า “ตกหลุมครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นครั้งหนึ่ง”
แม้จะฉลาดขึ้นมาบ้าง..แต่ในทาง “การเมือง” จะตกหลุมพรางใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น

อันนี้นับเป็นบทเรียนมีค่ายิ่งของ “การเมืองใหม่” ที่ได้รู้ได้เห็นฤทธิ์เดชของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ว่าจะประมาทไม่ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต

คิดเอา ประชาธิปัตย์ ให้ราคา พันธมิตร และ การเมืองใหม่ แค่ไหน!!

ดูได้จาก “ศิริโชค โสภา” ในวันนั้นได้ออกมายืนแถวหน้าทันที..มีหน้าที่คอยชูป้ายให้คนอ่าน..สู้กับ “พันธมิตร” เอาแค่ “วอลเปเปอร์” ออกศึกก็เหลือเฟือแล้ว!!

บางกอกทูเดย์
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
*****************************************************************************

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

‘สุขุมพันธุ์’ดึง‘ทักษิณ’เจรจา

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

ลอนดอน : บีบีซีอ้างความเห็นนักการเมืองและนักวิชาการไทยหลังวิกฤตพฤษภาฯผ่านไป 3 เดือน “ไกรศักดิ์” ระบุมาตรการทางกฎหมายช่วยระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงก่อขึ้น “ฐิตินันท์” ชี้แม้สถานการณ์สงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่ ด้าน ”สุขุมพันธุ์” ยืนยันรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องให้ “ทักษิณ” เข้ามาร่วมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง

สำนักข่าวบีบีซีโดยวอดีน อิงแลนด์ เขียนบทความชื่อ Divided Thailand seeks elusive “normalcy“ (ประเทศไทยที่แตกแยกพยายามหวนคืนสู่สภาวะปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ยาก) วิเคราะห์สถานการณ์ในประเทศไทยหลังจากเหตุการณ์รุนแรงจากการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า มองแวบแรกดูเหมือน “สภาวะปรกติ” ได้กลับคืนสู่กรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่งแล้ว การจราจรติดขัดเหมือนเดิม ศูนย์การค้าคึกคัก และข้อความที่แสดงถึงความเป็นสยามเมืองยิ้มยังปรากฏอยู่

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินภารกิจ สภากำลังอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เป็นการให้รางวัลแก่พันธมิตรในรัฐบาลผสมและกองทัพ และยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจน

แต่ 3 เดือนหลังจากที่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลยุติลงด้วยการที่ฝ่ายทหารเข้าปราบปรามผู้ประท้วงจนมีผู้เสียชีวิต 91 คน มีบางคนวิจารณ์ว่า “การหลอกหลวงครั้งใหญ่” กำลังดำเนินอยู่

มองอย่างผิวเผินความเป็นปรกติที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามจะให้เกิดขึ้นดูเหมือนมาถึงแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะที่นำโดยบุคคลชั้นนำในสังคมไทยเพื่อค้นหาความจริงและสร้างความปรองดอง ขณะที่แกนนำผู้ประท้วง 17 คนที่ถูกเรียกว่า ”กลุ่มคนเสื้อแดง” ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้าย

“ผมคิดว่าการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายทำให้เราสามารถระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อขึ้น และการใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินก็ช่วยสกัดกั้นแรงกระตุ้นที่จะนำไปสู่ความรุนแรง” นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า “การสร้างความสมานฉันท์ดำเนินไปค่อนข้างช้า ไม่ว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือผู้ที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลุ่มสุดขั้ว กลุ่มสังคมนิยมแบบเฟเบียน กลุ่มสาธารณรัฐ และนักวิชาการฝ่ายซ้ายซึ่งยากที่จะเอื้อมถึง”

นายไกรศักดิ์กล่าวว่า อยากเห็นกระบวนการทางกฎหมายขับเคลื่อนให้เร็วกว่านี้เพื่อสร้างความยุติธรรม และว่ารัฐบาลยังไม่มีแผนจัดการเลือกตั้งจนกว่าจะถึงเวลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนธันวาคมปีหน้า

แต่การที่รัฐบาลอ้างว่าพยายามทำให้สถานการณ์คืนสู่สภาวะปรกติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า “การหลอกลวงครั้งใหญ่” โดยกล่าวว่า “แม้สถานการณ์ดูสงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่” และว่าคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์เป็นเพียง “เครื่องมือซื้อเวลา” ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอมอย่างแท้จริง

ยิ่งกว่านั้น รศ.ดร.ฐิตินันท์เชื่อว่ารัฐบาลกำลังปราบปรามไม่ใช่สร้างความสมานฉันท์ โดยกล่าวว่า การที่รัฐบาลนำงบประมาณไปใช้สร้างความนิยมในด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งก็ใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อกำราบฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล แต่ที่จริงรัฐบาลน่าจะใช้ทางเลือกอื่นๆด้วยเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของประเทศ

ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยแตกแยกอย่างหนัก โดยวิกฤตการณ์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนกับวิกฤตการณ์เมื่อ 1992 ปี 1976 หรือปี 1973 ความแตกแยกครั้งนี้หยั่งลึกมาก วิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆเป็นเรื่องการเมืองแท้ๆ แต่ครั้งนี้ส่งผลกระทบไปทุกระดับของสังคม

“สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมทางการเมืองกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวพร้อมทั้งยืนยันว่า รัฐบาลต้องเข้าใจว่าจำเป็นที่จะต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาร่วมในการเจรจาใดๆก็ตามเพื่อยุติความขัดแย้ง และสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างความเข้าใจว่า นี่คือรัฐบาลของชาติ ไม่ใช่รัฐบาลของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ทิ้งท้ายว่า มีหลายประเด็นที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้หยิบยกขึ้นมาพูด โดยเรื่องเหล่านี้จะต้องได้รับการพิจารณาไม่ใช้ปล่อยทิ้งไป

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อำนาจมืด

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

เมื่อไม่นานมานี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา รวมทั้งพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางการเมือง ทำให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการถูกวิจารณ์อย่างมากว่ามีความคิดไม่ต่างกับยุคเผด็จการสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

แม้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการจะออกมาอ้างเหตุผลเรื่องบรรยากาศของบ้านเมืองที่ต้องการให้เกิดความปรองดอง ซึ่งไม่เพียงขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ยังเป็นการทำลายทักษะ ความรู้ การแสดงออก และประสบการณ์ทางด้านวิชาการของนิสิตนักศึกษาอย่างยิ่ง รวมทั้งสะท้อนถึงความคิดเผด็จการทางการเมืองอีกด้วย

ที่สำคัญการจัดกิจกรรมทางการเมืองหรือละครเวทีเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนั้นต้องการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาใส่ใจเรื่องการเมือง และเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย

แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นการขอความร่วมมือก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และยังถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่เป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้และแสดงออก ยิ่งมีการห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หรือเอาน้ำมันไปราดกองไฟ

เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีนิสิตประมาณ 7-8 คน ถือป้ายข้อความเกี่ยวกับเสรีภาพและประชาธิปไตย และต้องการยื่นจดหมายร้องเรียนถึงปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและความหวาดกลัวของประชาชนภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ไปกล่าวปาฐกถาเรื่องการกระจายอำนาจในงานครบรอบสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ แต่กลับถูกยึดป้ายและใช้กำลังขัดขวาง ทั้งที่รัฐบาลก็ประกาศให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความปรองดองและสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค

แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งตอกย้ำปัญหาประชาธิปไตยไทยที่อยู่ท่ามกลางความคิดเผด็จการมากกว่า เพราะทั้งภาครัฐและภาควิชาการต่างกลัวความจริงว่าบ้านเมืองวันนี้ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการซ่อนรูปหรือรัฐประหารเงียบ

ขณะที่นิสิตนักศึกษาเพียงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชนและจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เล่นลิ้นการเมืองเพื่อซื้อเวลาของรัฐบาลด้วยการอุปโลกน์คณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปการเมืองบนซากศพและกองเลือด เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากประชาชน เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ใช่จากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

**********************************************************************