--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไชยา พรหมา ส.ส.อีสาน "ตอกตะปูปิดฝาโลง...พรรคอื่น เข้าไม่ได้"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

ปรากฏการณ์ซื้อตัว ส.ส.และการลงพื้นที่ชิงตัว-ชิงพื้นที่ภาคอีสานทำให้การเลือกตั้ง พื้นที่อีสาน คือจุดยุทธศาสตร์ ชี้ชะตาประเทศ

"ไชยา พรหมา" ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย สัมผัสรูป-รส-กลิ่น-เสียง ภาคอีสานมาแล้ว 7 สมัย

ตั้งใจบอก ส.ส.ภาคอีสานด้วยกัน และส่งสัญญาณถึง ส.ส.ภาคอื่น ว่า

"นิสัยคนอีสานมีมิตรไมตรีกับคนทุกภาค เป็นคนให้อภัย ทำให้เมื่อใครเข้าไปทำ อะไรในพื้นที่ก็มีการตอบแทนบุญคุณ"

ประกอบกับ "การเมืองพัฒนามาถึงปัจจุบัน คนอยู่ตามท้องไร่ท้องนา อยู่ในภูเขาในป่า ก็สามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้ ทุกวันนี้จานดาวเทียมเครื่องหนึ่งประมาณ 2-3 พันบาท ถูกกว่ามอเตอร์ไซค์ เขาสามารถเลือกดูทีวีที่มีหลากหลาย"

คนอีสาน ไม่จน-ไม่โง่ อีกแล้ว

"ในอดีต คนที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยง ก็เชื่อผู้นำ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมีอิทธิพลต่อชาวบ้าน เพราะชาวบ้านต้องอยู่โดดเดี่ยว การสื่อสารก็ไม่มี การคมนาคมไม่สะดวก การศึกษาไปไม่ถึง ต้องอาศัยผู้นำ ผู้นำว่าไงก็เชื่อตามนั้น นี่เป็นจุดอ่อน ทำให้ "เจ้าบุญทุ่ม" การเมืองประเภทซื้อเสียงมีอิทธิพลในอดีต"

"ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ถนนมีทุกหมู่บ้าน เดินทางจากชั่วโมง แต่วันนี้ใช้เวลาไม่กี่สิบนาที แต่ก่อนไม่มีโทรศัพท์ ไฟฟ้า เดี๋ยวนี้โครงสร้างพื้นฐานมีส่วนทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เร็วขึ้น"

"ดาวเทียม โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต มีไปถึงตำบล นี่คือโลกไซเบอร์ ไปได้รวดเร็ว วันนี้โทรศัพท์เครื่องละพันกว่าบาท และค่ายมือถือมีโปรโมชั่นราคาไม่แพง ทำให้ติดต่อสื่อสารเร็วขึ้น"

"โดยเฉพาะการอพยพของแรงงานอีสานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความเปลี่ยนแปลงของสังคม เพราะมาเจอความศิวิไลซ์ การได้รับรู้การเมืองในเมืองหลวง มีการชุมนุมการเมืองอะไรต่าง ๆ ก็กลับไปถ่ายทอดให้ที่บ้านฟัง เขารู้ว่ามีการปราศรัยที่สนามหลวง และที่กรุงเทพฯมีความนิยมเรื่องอะไร"

การซื้อตัว-ซื้อหัวคะแนน-ซื้อเสียงอาจจะยังมี แต่ไม่มาก เพราะสมมติฐานที่ว่า "คนอีสานโง่...ซื้อได้" ใช้ไม่ได้อีกแล้ว

"แนวคิดนี้เป็นจุดอ่อนของการเมืองในภาคอีสาน ที่ทำให้นักการเมืองเอามาเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงและอาศัยจุดอ่อนตรงนี้มาเป็นเป้าหมายในการเอาชนะ เราจะเห็นว่าในอดีตมี "เจ้าบุญทุ่ม" หิ้ว กระเป๋าเจมส์ บอนด์ไป แล้วไปซื้อเสียงในภาคอีสาน ก็อาจจะประสบความสำเร็จ"

"การเมืองในภาคอีสานเปลี่ยน เห็นได้ชัดคือวันนี้ ประชาชนเขาเลือกนโยบายที่เขาได้ประโยชน์ จากการลงคะแนนให้พรรคการเมืองแล้วได้เป็นรัฐบาล ได้ผลประโยชน์จีรังยั่งยืนกว่าผลประโยชน์ เล็กน้อยก่อนการเลือกตั้ง"

"ในอดีตเลือกผู้แทนฯได้รัฐบาลมาก็เป็นช่วงระยะสั้น ๆ ไม่มีความต่อเนื่องทางการเมือง ทำให้รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้การเลือกตั้งมุ่งเอาชนะเพื่อมา จัดตั้งรัฐบาล ในอดีตประชาชนจึงลงคะแนนให้แก่ผู้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เห็น ๆ ในทันที ไม่ได้คิดอะไรมาก"

"ทำให้เกิด ส.ส.นกแล ในยุคสมัยที่พรรคไทยรักไทย เพราะประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าถ้าเลือกพรรคนี้ ได้ผู้นำคนนี้และนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ สามารถที่จะแก้ไขปัญหา ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ผลคือหลังจากเลือกตั้งปี"44 พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯอยู่ครบเทอมแล้ว เลือกตั้งปี"48 พรรคไทยรักไทยได้ 377 เสียง เป็นรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรก"

"นั่นจะเห็นได้ว่าประชาชนไม่ได้ตัดสินใจเลือกเพราะเงิน แต่ตัดสินใจเพราะนโยบายที่ดี และเขาได้รับผลจากการปฏิบัติของรัฐบาล มีผลมาสู่วิธีคิด ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง กระทั่งปัจจุบันสภาพแบบนี้ก็คงอยู่ ประชาชนต้องการผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ผลประโยชน์รายตัว อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าไปในสายเลือด"

พื้นที่อีสานและภาคเหนือจึงเป็นเค้กการเมืองที่ทุกพรรคต้องการ แต่ "ไชยา" บอกว่า "ไม่ง่าย"

"พรรคจะได้ขับเคลื่อนในสถานการณ์ปัจจุบัน ตรงไหนที่เรามั่นใจแล้ว ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างขวัญกำลังใจ สิ่งสำคัญในพื้นที่อีสาน คือเมื่อพรรคลงพื้นที่แล้วเกิดความอบอุ่น ฉะนั้นกระแสตอบรับในภาคอีสานและภาคเหนือ มันจะทำให้เป็นกระแสที่ส่งผลไปยังภาคอื่น ๆ อย่างน้อยภาคอีสานก็เป็นพื้นที่เป้าหมายของเรา"

"มวลชนเราก็อยู่ที่นั่น คะแนนนิยมเราก็อยู่ที่นั่น ภาคเหนือก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการไปกระตุ้น ไปรีชาร์จแบตเตอรี่ของมวลชน ก็จะทำให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจมากขึ้น"

"อีสาน เหนือ เป็นพื้นที่หลักอยู่แล้ว เราต้องเน้นหนัก เหมือนกับภาษาที่เขาเรียกว่า "ตอกตะปูปิดฝาโลง" หมายความว่า พรรคการเมืองอื่นเข้าไปไม่ได้เลย มันก็ต้องไม่ให้เกิดการแย่งชิงมวลชน"

"เพราะการขับเคลื่อนในแต่ละภาคมีฟีดแบ็กไปถึงภาคอื่น แต่ถ้ามวลชนใน ภาคอีสานและภาคเหนือ สามารถจะตรึง ไว้ซึ่งฐานหลักของพรรค ก็จะทำให้การทำงานง่าย"

"เขตพื้นที่หลักเราก็ตรึงกำลังเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงมวลชน หรือการแทรกของพรรคการเมืองอื่น เราก็มีเวลาไปทุ่มยังพื้นที่ที่จัดเป็นระดับลงมา อีสาน เหนือ อาจจะเป็นพื้นที่สีเขียว คือสอบผ่าน แต่พื้นที่ภาคกลางเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว ก็อาจจะเป็นอีกสีที่ไม่แดงไม่เขียว ก็จัดลำดับความสำคัญ เพราะฉะนั้นเป้าหมายการทำงานต้องแยกระดับ"

"ตรงไหนเป็นฐานของเขา เราเจาะไม่ได้ เราแตะไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาในการทุ่มเท"

"วันนี้บอกได้ว่าความเข้าใจการเมืองของคนอีสานมีมากขึ้นกว่าเดิม ประชาชนทำนาเสร็จแล้วมีเวลาดูทีวี ช่องสาม ห้า เจ็ด เก้า และสัญญาณดาวเทียมมีผลอย่างมาก"

ขณะที่ ส.ส.ทุกพรรค ทุกขั้ว ล้วนจับตาการเปลี่ยน "หัว" และการปรับโครงสร้าง "ก๊ก" ในพรรคเพื่อไทย "ไชยา" บอกว่า "หัวของอีสาน" แม้จะไม่ใช่คนอีสาน แต่ขอให้เป็น "หัวชินวัตร" ก็ขายได้

"อย่างน้อยต้องยอมรับว่าตอนที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบมาเป็นพรรคเพื่อไทย ในจังหวะเราซวนเซ เราก็ได้ใช้สถานที่ ได้การอุปถัมภ์จากท่านพายัพ (ชินวัตร) ในจังหวะซวนเซท่านก็มาซัพพอร์ต และท่านก็เป็นน้องชายอดีตนายกฯทักษิณ ถึงแม้ท่านไม่ใช่คนอีสาน แต่เราก็สามารถเอามาเป็นจุดขายได้"

เพราะสุดท้ายการหาเสียงในภาคอีสาน หากใครไม่เอ่ยชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" อาจสอบตก

****************************************************************************

ปชป.-พท.แย่ง (เสียง) สางหนี้คนจน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

หัวข้อหลักที่ฝ่ายค้านเดินสายหาเสียง คือ "การแก้หนี้"

หัวข้อหลักในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ระหว่างชนชั้น คนรวยคนจน คือ "การแก้หนี้"

เพราะโจทย์-ปัญหา-ความต้องการของคนเป็นหนี้ คือ ต้องการปลดแอกจากมูลหนี้

ข้อเท็จจริงคือ ขณะนี้มีคนเป็นหนี้ "นอกระบบ" ถึง 1.6 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มขยับขึ้น 20% ทุกปี

ส่วนหนี้ "ในระบบ" ที่กระทรวงการคลัง-กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพมีอีกไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้าน

ทั้งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "ดร.สุชาติ ธาดาดำรงเวช" และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "กรณ์ จาติกวณิช" ต่างนำเสนอ "ตัวเลขหนี้" เป็นธงในการหาเสียง

ฝ่าย "ดร.สุชาติ" ทีมเศรษฐกิจของเพื่อไทย จัดทำโมเดลหนี้ และคาดการณ์หนี้ในอนาคตไว้ว่า ขณะนี้ปี 2553 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะทั้งสิ้น 4.54 ล้านล้านบาท ขณะที่ประเทศมีรายได้ประชาชาติ (จีดีพี) รวม 9.7 ล้านล้านบาท ประชาชนมีหนี้ต่อหัวประมาณคนละ 70,000 บาท ทำให้อัตราหนี้สาธารณะต่อ จีดีพีสูงถึง 46%

ตัวเลขของฝ่ายค้านคาดการณ์ว่า ในปี 2557 ประเทศจะมีหนี้ 6.83 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตัวเลขจีดีพี 12.36 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ 55.23% ต่อจีดีพี และประชาชนจะมีหนี้ต่อหัวประมาณ 100,892 บาท

นโยบายสางหนี้ของเพื่อไทย คือ ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ และพักหนี้-ปรับโครงสร้างหนี้

ตัวเลขและนโยบาย "สางหนี้" ของ รัฐบาลประชาธิปัตย์ทั้งใน-นอกระบบ คือ ย้ายหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารพาณิชย์รวม 8 แห่ง

การช่วยเหลือจะให้น้ำหนักเป็นพิเศษกับกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยมีเป้าหมายให้ความช่วยเหลือตาม "กระบวนการยุติธรรม" ด้วย

สำหรับกลุ่มลูกหนี้ในระบบที่ถูกฟ้องร้องในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา 1.2 แสนรายทั่วประเทศ และบางรายถูกเจ้าหนี้ฟ้องศาลโดยใช้สัญญาเงินกู้ระบุมูลหนี้สูงกว่ามูลหนี้จริงถึง 200-500% กระทรวงยุติธรรมจะช่วยเหลือตามหลักการ "ประชาธิปัตย์"

ด้วยการให้คำปรึกษากฎหมาย เช่น ให้ลูกหนี้รวมตัวกันต่อสู้คดี เป็นต้นควบคู่ไปกับการตรวจสอบบัญชี การเงิน ไกล่เกลี่ยเพื่อลดหนี้ และดำเนินคดีกับเจ้าหนี้ที่กระทำผิดโดยใช้มาตรการด้านภาษีและกฎหมายฟอกเงิน

ส่วนกลุ่มที่ถูกยึดทรัพย์บังคับคดี และที่ถูกพิพากษาล้มละลาย รัฐบาลคาดว่าจะช่วยลดจำนวนหนี้ที่ถูกฟ้องร้องจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 ล้านบาท

ยังมีกลุ่มที่ถูกบังคับคดีและถูกพิพากษาให้ล้มละลาย จากข้อมูลการขึ้นทะเบียน พบว่าขณะนี้มีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างถูกบังคับคดี 2.3 แสนคดี จำนวนทุนทรัพย์ 3.4 แสนล้านบาท และคดีล้มละลาย 6.3 หมื่นคดี จำนวนทุนทรัพย์ 3.8 แสนล้านบาท

รวมแล้วมีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างถูกบังคับคดีและอยู่ในคดีล้มละลาย 2.93 แสนคดี ทุนทรัพย์ 7.2 แสนล้านบาท แต่หากรวมลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องและอยู่ระหว่างตั้งเรื่องอีกจำนวนมาก จำนวนทุนทรัพย์น่าจะสูงถึง 800,000-1,000,000 ล้านบาท

ส่วน "หนี้นอกระบบ" ฝ่ายรัฐบาลมีตัวเลขที่ลงทะเบียนไว้กับกระทรวงการคลังมีทั้งหมด 1,194,710 ราย มูลหนี้รวม 122,794,319 บาท มีเจ้าหนี้นอกระบบทั้งสิ้นประมาณ 4.9 พันราย

ในจำนวนนี้มีทั้งเจ้าหนี้รายใหญ่-รายย่อยเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และทุนนอกระบบที่เจ้าหนี้เป็นนักการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่มักดำเนินการในลักษณะเป็น ตัวแทน หรือนอมินีให้กับนายทุนหรือนักการเมือง

ในจำนวนลูกหนี้ 1,194,710 ราย มูลหนี้รวม 122,794,319 บาท เป็นลูกหนี้ที่กระทรวงมหาดไทยรับมาดำเนินการเข้าสู่กระบวนการเจรจามูลหนี้ตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท รวม 756,073 ราย มูลหนี้ 91,713,236,606 บาท

มีรายงานว่าธนาคาร-สถาบันการเงิน อนุมัติสินเชื่อและดำเนินการโอนเงินให้แล้ว 28,946 ราย ธนาคารพิจารณา สินเชื่อแต่ลูกหนี้ไม่สามารถหาหลักประกันได้ 8,288 ราย ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อ 7,195 ราย และอยู่ระหว่างการพิจารณา 509,840 ราย

มหกรรม-ตัวเลขหนี้ยังเป็นยาหอมที่ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาลใช้เป็น "เบี้ย" หาเสียงได้อีกหลายสมัย

****************************************************************************

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจาะใจ"เลขาธิการ ก.พ."ขรก.ล้มละลายปิดไม่มิด-เผย14กรมดาวแดงกลุ่มสูงอายุพุ่ง-องค์การมหาชนอื้อซ่า

ที่มา.มติชนออนไลน์

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ทำให้หน่วยงานนี้ถูกจับตามองจากทุกภาคส่วน
จากบทบาท พี่เลี้ยง สำนักงาน ก.พ.ดูแลคนของภาครัฐและหน่วยราชการ หลายแสนคน ล่าสุด มติชนออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ “เบญจวรรณ สร่างนิทร” เลขาธิการ ก.พ. ในประเด็นสำคัญ หลายประเด็น ดังนี้

ปัจจุบัน ข้าราชการถูกฟ้องล้มละลาย ทำให้ขาดคุณสมบัติ ต้องพ้นจากตำแหน่ง มีมากน้อยแค่ไหน ?

เราพูดไม่ได้ว่า มาก หรือ น้อย แค่ไหน เพราะไม่มีตัวเลขข้อมูลที่เป็นทางการ แต่ปัญหาว่า ถ้าล้มละลายแล้วขาดคุณสมบัติของการเป็นข้าราชการ ปัญหานี้ ในช่วงที่เขียนเรื่องคุณสมบัติทั่วไปสำหรับคนที่เป็นราชการ เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันมากว่า ควรจะใส่รายละเอียดว่าอย่างไร เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เห็นด้วยให้ใส่ไว้ แต่ถ้าจะถามว่าวันนี้ตัวเลขข้าราชการถูกฟ้องล้มละลายมีจำนวนมากหรือน้อยเท่าไร ไม่รู้เพราะทางสำนักงาน ก.พ.ไม่เคยมีการเก็บตัวเลขตรงนี้

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าราชการคนไหน ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ เพราะไม่มีการตรวจสอบไม่มีข้อมูล

จริงๆแล้วต้องมาบอก แต่ถ้าสมมติว่า นาย ก. ล้มละลายแล้ว ปกปิด ก็ปิดไม่มีมิดหรอก เพราะการทำงานทุกวันนี้ทุกคนก็จ้องเรื่อยขาเก้าอี้กันทั้งนั้น
สิ้นปี 2553 มีข้าราชการเกษียณอายุเท่าไหร่

จากการเก็บสถิติทุกปีตัวเลขข้าราชการเกษียณอายุจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 คนไม่หนีกันเท่าไหร่ อย่างปีที่ผ่านมามีข้าราชการเกษียณอายุทั้งหมด 3,300 คน ทำให้สามารถรับคนใหม่เพิ่มเข้าในหน่วยราชการอีก 3,000 กว่าคนเพราะวันนี้อัตราข้าราชการที่เกษียณอายุไม่ได้ถูกยุบไปด้วยแต่จะรับใหม่ทดแทนแล้วจัดสรรให้กับหน่วยราชการที่มีความต้องการบุคลากร

หากมองไปข้างหน้า ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุที่เยอะขึ้น ตรงนี้กระทบกับระบบราชการไหม

เรื่องโครงสร้างอายุ ทางก.พ.ได้ทำการสำรวจข้อมูลเหมือนกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ในหน่วยราชการหลายแห่งมีผู้สูงวัยอยู่เยอะมาก ข้อมูลรายกระทรวงที่เก็บได้ พบว่ากระทรวงสาธารณะสุขเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีคนสูงวัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่อายุเฉลี่ยน้อยกว่าหน่วยงานรัฐอื่น เมื่อไปดูในรายละเอียดพบว่า เป็นผลมาจากกระทรวงสาธารณสุขมีแพทย์และพยาบาลที่ถูกบังคับให้รับราชการเพื่อใช้ทุนจึงดึงอายุเฉลี่ยของข้าราชการในกระทรวงให้ต่ำลง

ข้อมูลที่ได้จึงไม่สามารถบ่งชี้สถานะที่แท้จริงในเรื่องอายุของข้าราชการได้ ก.พ.จึงได้เจาะลึกไปในส่วนของกรม คราวนี้เจอ 14 กรมที่มีดาวแดงในเรื่องกลุ่มผู้สูงอายุอยู่เยอะ

พอเอาเรื่องเข้าที่ประชุมก.พ.ก็มีคนอยากเห็นเรื่องนี้นำไปสู่การปฏิบัติ จึงได้เชิญหัวหน้าส่วนราชการใน 14 กรมดาวแดงมาหารือ ซึ่งถ้าจะเอาจริงทั้ง 14 กรมเลยคงต้องใช้กำลังมาก และต้องใช้เวลานาน ในเบื้องต้นจึงขอแค่ 3 กรมที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการหาวิธีการรองรับกับผู้สูงวัยที่กำลังจะไป

กรมนำร่อง ก็มี กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมการค้าภายใน

อีกโครงการหนึ่งที่ สำนักงานก.พ.ทำมาตั้งแต่ปี 2552 จะไปสิ้นสุดโครงการในปี 2555 คือ โครงการเออร์ลี่รีไทร์ เพื่อดึงโครงสร้างอายุของข้าราชการให้ลดลง ซึ่งตอนนี้ได้ดำเนินการไปสองปีแล้ว มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการประมาณ 10,000 กว่าคน ส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการครูที่สนใจเข้าร่วมโครงการกันเยอะ

ในขณะที่ระบบราชการพยายามกระชับพื้นที่ไม่ให้มีการขยายตัวมากนัก แต่ปรากฏว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีองค์การมหาชน พิเศษ เกือบ 60 แห่ง จะสวนทางกันไหม ?

ตรงนี้เป็นเรื่องที่มีการพูดกันเยอะเหมือนกัน วันนี้จำนวนราชการคุมอยู่แต่พอไปออกหน่วยงานอื่นในรูปขององค์การมหาชนรัฐก็ต้องมีระบบที่ไปกำกับติดตามการทำงานที่ชัดเจน

ที่สำคัญต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ของรัฐมีกี่ประเภทแน่ แล้วประเภทไหนใช้งบประมาณไปเท่าไหร่ ประเภทไหนมีผลผลิตให้ประเทศชัดเจนแค่ไหน

องค์การมหาชน ที่ผุดเป็นดอกเห็ด ถือเป็นการสร้างอาณาจักรใหม่ ไม่รู้จบ

มันไม่ใช่อาณาจักรใหม่ วันนี้เราต้องยอมรับว่า โลกไม่ได้อยู่กับที่ โลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราก้าวไม่ทันในบางเรื่อง เราก็ล้าสมัย

วันก่อนตามเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ไปศูนย์ซินโครตรอนที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ศูนย์ซินโครตรอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ญี่ปุ่น อันดับสองอยู่อเมริกา อันดับสี่อยู่นครเซี่ยงไฮ้ เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ศึกษาช่วงของแสงที่มีจุดโฟกัสที่ตัวเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นทำให้สามารถเห็นโครงสร้างของเชื้อโรค แล้วบอกได้ว่าเชื้อโรคแต่ละชนิดประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งประโยชน์ที่ได้มหาศาล

ดังนั้นถ้าคนอื่นเขาไปแล้วเรายังทำเหมือนเดิม ก็หมายความว่าเราล้าสมัย เพราะวิทยาการทั้งหลายมันเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา องค์กรใหม่ๆ สำหรับประเทศไทยก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เพียงแต่ว่าต้องทำบทบาทให้มีประสิทธิภาพมีศักยภาพ แล้วตอบคำตอบประชาชนให้ได้ว่า งานที่หน่วยงานพิเศษเหล่านี้ทำคุ้มค่ากับภาษีราษฏรหรือไม่

ทิศทางการพัฒนาคนของภาครัฐนับจากนี้ไป 3 ปี 5 ปีจะเป็นอย่างไร

เรื่องการพัฒนาคนเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆตั้งแต่การเตรียมกำลังคน การให้ความสำคัญกับกลุ่มกำลังคนบางประเภท เช่น ผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์สูง กลุ่มคลื่นลูกใหม่ของระบบ ยังไม่รวมกลุ่มคนเก่ง(Talent)ที่ต้องดูแล

ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการออกแนวปฏิบัติในเรื่องมาตรฐานสมรรถนะของข้าราชการทั้งระบบ ทุกเก้าอี้มีรายเอียดหมด โดยข้าราชการ 381,000 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ บริหาร อำนวยการ วิชาการ ทั่วไป และแต่ละประเภทจะมีมาตรฐานกำหนดตำแหน่งซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายในการกำหนดคุณสมบัติต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น ตำแหน่งวิชาการจะต้องมีความรู้ ความสามารถ ทักษะและสมรรรถนะเรื่องอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งนี้

ในเรื่องสมรรถนะหลักก็จะมุ่งไปที่ผลสัมฤทธิ์ของการทำงาน การทำงานเป็นทีม เอาเป็นว่าถ้าจำแนกลงไปในรายละเอียดแล้วคนเหล่านี้ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ ความสามารถหรือสมรรถนะด้านใดก็ตาม บทบาทสำคัญของส่วนราชการคือต้องพัฒนาคนให้ได้มาตรฐานที่กำหนดก็มหาศาลแล้วยังไม่พูดถึงการพัฒนาบุคลากรให้เหนือมาตรฐาน

ส่วนการเตรียมคนเพื่อที่จะก้าวเป็นผู้บริหารลำดับถัดไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเริ่มสร้างให้ทัน

หน่วยราชการต่างๆต้องคิดแล้วว่าจะสร้างคนอย่างไร ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามารับราชการหรือเปล่า ถ้าใครที่มีศักยภาพที่ดีระบบใหม่เปิดให้สร้างคนเก่งเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้ ไม่ใช่ว่าใครเกิดตรงไหนต้องตายตรงนั้น

ทุกสายงานต้องมีความก้าวหน้าในอาชีพให้กับข้าราชการทุกคน และต้องสร้างระบบให้มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนการทำงานกันได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการได้พัฒนาความสามารถเรียนรู้งานใหม่ๆในส่วนงานอื่นๆ นอกจากภารกิจงานที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนั้นหน่วยราชการต้องโฟกัสไปเลยว่า ข้าราชการแต่ละคนจะต้องพัฒนาตรงไหน ถ้าทุกหน่วยงานตระหนักถึงการยกระดับบุคลากรภาครัฐให้ได้มาตรฐาน ผลผลิตของภาครัฐก็น่าจะตอบสนองกับความพึงพอใจของประชาชนทั้งประเทศไทย

และสิ่งเหล่านี้คือพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ที่พลิกระบบการบริหารจัดการด้านบุคลากรที่หลากหลายมากขึ้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยุค ‘คนไทย’ ‘ตายเป็นเบือ’!!

ยังมีน้ำหน้า มายกก้น เชิดบั้นเอว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็น “อภิสิทธัตถะ” เทียบ “พระพุทธเจ้า” อย่างไม่น่าเชื่อ??
“ไพบูลย์ วัฒนธรรมศิริ” ประโคมยก “มาร์ค” จนตัวลอย
หลุดฉายานี้ออกมา...คนด่ากระหึ่มไม่น้อย
ว่าเป็นสัตบุรุษ ที่มีปณิธานสร้างความปรองดองแก่ชาติ เร่งปฏิรูปประเทศให้ดีกว่าเก่า...แต่ไม่มอง กองกระดูก เลือดท่วมซากศพ ที่ตายพะเนินเทินทึก ไม่มีรัฐบาลใด สร้างสถิติได้มากเท่านี้!!!
ประเทศนี้ยับเยิน.... “มาร์ค” ยังได้รับคำสรรเสริญ?..ไม่เขินหัวใจมั่งเลยนะ นายกรัฐมนตรี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใหญ่ยกแผง!!

คุมอำนาจไว้หมด สำหรับ “บูรพาพยัคฆ์” และ “ตท.๑๒” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึด “๕ เสือทัพบก” เอาไว้ได้ ทุกตำแหน่ง
“บิ๊กประยุทธ์” ใครก็ฉุดไม่อยู่ ...เป็น “ผบ.ทบ.” ที่มาแรง อำนาจไม่ตก
“พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” เพื่อนรัก ตท.รุ่น๑๒...ก็ขึ้นมาเป็นมันสมอง ในตำแหน่ง “เสนาธิการทหารบก”
มากันใหญ่ยกก๊วน มากันใหญ่ยกแก๊ง..ก็ต้องไปพลิกอดีตกันดู เมื่อคราว “จปร.๕” ของ “พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ “จปร. ๗” ของ “พล.ต.มนูญกฤติ รูปขจร”, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ใหญ่คับประเทศ แต่ไม่สามารถครองใจกองทัพได้ ทั้งที่มีบารมี!!
ขอให้ “บิ๊กตู่” ทหารจอมเก๋าส์..อย่าได้เดินตามรอยเท้า?..ถูกเขาบอยคอต เหมือนรุ่นพี่??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปัดกันวุ่น!!!
ฝ่ายทหาร โยนกลอง โทษนักการเมือง...นักการเมือง ก็ปัดสวะ ให้ทหาร เหมือนกันแหละคุณ?
เพราะการสังหารหมู่ คนไทยรากหญ้า ผู้รักประชาธิปไตย ที่ผ่านฝ้า และ ราชประสงค์ ไป ๙๐ ศพ และบาดเจ็บเหยียบ ๒,๐๐๐ คนนั้น...เป็น “บาปที่ล้างไม่หมด”
“ศอฉ.” ปริปากมาแล้ว...รัฐบาลอภิสิทธิ์ชนสั่งชักแถว ให้เข้าบี้เข้าบด
มาถึงวันนี้ ฝ่ายทหาร ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ ให้ลูกแถวมายัน ว่าเป็นฝีมือ ของ “ฝ่ายรัฐบาล” ที่สั่งการกันเต็มๆ!!!
ซัดให้ “มาร์ค” รับไปสุดๆ ...ไม่อยากจะพูด...เดี๋ยวนี้ “มาร์ค” เป็น “บุรุษที่ใจเค็ม”??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อยู่ได้ คนไทย ก็หวาดหวั่น!!!
ทำท่าเป็นกิจวัตรไปแล้ว สำหรับ การวางระเบิด ในกรุงเทพมหานคร ที่เกิดขึ้นแบบรายวัน!
“เจ้าพ่อวังน้ำเย็น” เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เป็นห่วงอย่างยิ่ง
ระเบิดที่ราชประสงค์ ซอยรางน้ำ....เป็นเรื่องที่น่าเกรงขาม กว่าเรื่องใดทุกสิ่ง
แต่ไม่ใช่หมายความว่า ระเบิดที่เกิดขึ้น ณ สองแห่งนี้ จะหมดไป... “ท่านเสนาะ” กระเทาะหัวใจ ยันว่า ระเบิดกลางเมืองหลวง จะเกิดขึ้น และรุนแรงมากกว่านี้!!!
ระเบิดจะหมดไป...ต้องได้รัฐบาลใหม่?... “ประชาธิปัตย์” ต้องถูกขจัดไป ในทันที???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เอาดีใส่ตัว!!!
นี่แหละ ผลงานที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดีเด่นมาอย่างเดียว พ่อคุณทูนหัว??
สมอ้าง ว่าการเลื่อนยก “ปราสาทเขาพระวิหาร” ไปเป็นปีหน้า...เป็นชัยชนะประเทศไทย
“วีระ สมความคิด”....จับผิดไล่ทันจะบอกให้
การออกมาลักไก่ ของ “นายกฯ มาร์ค” นั้น...เป็นการซื้อผ้าเอาหน้ารอด เพื่อให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ได้ใจคนไทย.. แต่เรานั้นได้เสียรู้ “เขมร” ของ “สมเด็จฯ ฮุน เซน” เขาไปเต็มคราบ!!!
“พันธมิตรฯ” เลี้ยงต้อย รัฐบาลนี้มา....ตอนนี้แสนจะระอา?..จะหันหน้า พามาด่ากันให้ยับ?

*************************************************************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ศอออฉอ

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
เชื่อกันหรือไม่ว่า...ในที่สุดของที่สุดแล้ว...ศอฉ.ก็คงจะทำให้ประเทศนี้เติบโตไปสู่ความสงบและสันติสุขไม่ได้...

และที่จะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการ เปิดฉากสังหารและการเข่นฆ่าครั้งใหม่
และที่แน่นอนยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...การเข่นฆ่ายิ่งมากครั้งยิ่งขึ้นเท่าไหร่...โอกาสที่ประเทศนี้จะยิ่งล่มสลายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

การปรากฏตัวของคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้...ก็ไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนไหวในอดีตที่ผ่านมา...เขาเหล่านั้น...ทำในสิ่งที่ประชาชนที่เปลี่ยนแปลงประเทศทั้งหลายในโลกเขาเคยทำมา...

นั่นคือกระทำการอารยะขัดขืนต่อการปกครองของรัฐบาล...ใช้การคุ้มครองของกฎหมาย...และไต่ไปบนเส้นแบ่งครึ่งระหว่าง ถูกกับผิด...ละเมิดหรือไม่...ฯลฯ

เมื่อเกิดภาวะอึดอัดในการถูกปกครอง...ผู้คนทั้งหลายก็จะทำให้สิ่งเดียวกัน...นั่นคือ...ปรับทุกข์ ผูกมิตร จัดตั้ง...

ผู้คนจำนวนหนึ่งถูกไล่ล่า...ผู้คนอีกจำนวนหนึ่งปรากฏตัวออกมาสานต่อ...เป็นเช่นนี้...ไม่ใช่เช่นประเทศไทย แต่ไม่ว่าที่ไหนๆ ในโลก ก็เช่นกัน

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...การคงไว้ซึ่ง ศอออฉอ เสียอีก...จะกลายเป็นปัญหาของท่านในอนาคต...อันใกล้...เพราะท่านจะถูกท้าทาย และโดนลองของอีกนับครั้งไม่ถ้วน ในขณะที่การสอบสวนจับกุมจะกลายเป็นการใช้อำนาจที่สากลไม่ยอมรับ

ในที่สุดของที่สุด...ประสิทธิภาพของ ศอออฉอ ก็จะเสื่อมสลาย...และหากใช้อำนาจนั้นมากักขังจับกุมหรือเข่นฆ่าครั้งใหม่

ท่านก็เดินไปสู่ความเป็นผู้บริหารที่ล้มเหลว และผู้ปกครองที่ชั่วช้า นั่นคือหายนะ...ที่จะเปลี่ยนท่านจากการเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไปสู่การเป็นทรราชย์

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า...ท่านจะอยู่ไม่ครบสมัย...นั่นคือความคิดที่ถูกต้องสมบูรณ์..มีแต่การเลือกตั้งที่ประชาชนยอมรับเท่านั้น...ประเทศนี้ถึงจะก้าวพ้นวิกฤติ...ไปพร้อมๆ กับรัฐบาลของท่าน...

เมื่อพรรคใหญ่ 2 พรรค ร่วมกันเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งใหญ่...ประชาธิปไตยของชาติก็จะกลับมาพร้อมกับภูมิต้านทานมหึมา...ที่ไม่ทำให้ประเทศนี้แกว่งไกว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************************************************

สภาแถลงความพร้อมสร้างรัฐสภาใหม่ เตรียมเปิดประมูลก่อสร้างปีหน้า 'ชัย'ยันโครงการเดินหน้าไม่มีสะดุด คาดสร้างเสร็จปี'56

นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร และนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยนายพิทูร กล่าวว่า จากการหารือระหว่างผู้นำฝ่ายบริหาร และผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ ได้ตกลงเลือกพื้นที่เกียกกาย เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบในรายละเอียดพื้นที่ใช้สอยให้ได้ประโยชน์สูงสุด 3 แสนตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในช่วงปลายปี และเปิดประมูลได้ในต้นปีหน้า

ทั้งนี้ในวันที่ 12 ส.ค. เวลา 10.09 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์ โดยจะมีพิธีบูชาพระฤกษ์ ในเวลา 08.00 น. ทั้งนี้ได้ออกบัตรเชิญจำนวน 4,785 ใบให้มาร่วมงาน

นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า รัฐสภาถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นจึงขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมมาเป็นสักขีพยาน โดยในวันดังกล่าวจะเห็นภาพจำลองของรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นอาคาร 11 ชั้น และอีก 2 ชั้นใต้ดินที่ใช้เป็นลานจอดรถ โดยรัฐสภาแห่งใหม่นี้มีความเด่นสง่าเพื่อให้ทั่วโลกได้มาทัศนะศึกษา

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้วางแผนงานต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นความร่วมมือตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งนี้ คาดว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาดังกล่าวจะแล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ภายในปี 2556 โดยใช้เวลาก่อสร้าง 900 วัน นับตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง หรืออาจจะเร็วกว่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย

สำหรับพื้นที่ใช้ก่อสร้างขณะนี้ได้ดำเนินการเวนคืน และจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบไปแล้ว 57 ราย รวมทั้งได้สร้างอาคารให้กับพนักงานองค์การทอผ้า 92 ห้อง ในส่วนของโรงเรียนโยธินบูรณะขณะนี้ได้หาที่ดินก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งไม่ไกลจากที่ตั้งเดิมในพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมจาก 8 ไร่ เป็น 16 ไร่ และจะก่อสร้างอาคารในวงงบประมาณ 1,000 ล้านบาท

"ยืนยันว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร นอกจากนี้ยังวางแผนรองรับในส่วนการจราจรซึ่งจะเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน"

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะส่งผลให้การก่อสร้างอาคารชะงักไปหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า การก่อสร้างได้มีหมายวางศิลาฤกษ์แล้ว และครม.มีมติให้ความเห็นชอบตั้งแต่ ปี 2552 สมัยรัฐบาลนายสมัครแล้ว และที่สำคัญได้รับงบประมาณตั้งแต่ปี 2554 และได้รับต่อเนื่องในปี 2555-57 ซึ่งรวมทั้งหมดเป็นงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าการก่อสร้างจะเรียบร้อยไม่มีปัญหา ซึ่งหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไป สมาชิกรัฐสภาจะให้ความร่วมมือ เพราะสมาชิกแต่ละคนก็ต้องการรัฐสภาแห่งใหม่ และที่สำคัญ ได้กราบบังคมถวายคืนอาคารรัฐสภาปัจจุบันแล้ว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
******************************************************************************

บทเรียน "พระวิหาร" ทำไมไทยเสียเปรียบตลอด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก้) จะตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาในประเด็นรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของประเทศกัมพูชา ด้วยเหตุผลที่อยากให้ประเทศไทยและกัมพูชาได้พูดคุยกันก่อน หลังจากท่าทีของประเทศไทยยังยืนกรานที่จะคัดค้านแผนดังกล่าวอย่างแข็งขัน แต่ดูเหมือนอุณหภูมิความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ยังไม่ลดดีกรีลงสักเท่าไหร่

ส่วนหนึ่งของการตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาออกไป อาจมาจากท่าทีของฝ่ายไทยที่มีการเคลื่อนไหวอย่างแข็งกร้าว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ที่รวมตัวกันไปชุมนุมหน้าสำนักงานยูเนสโก้ในประเทศไทย ยื่นหนังสือคัดค้าน ไปจนถึงขั้นประณามยูเนสโก้ ตลอดจนปฏิกิริยาจากรัฐบาลไทย ซึ่งมีมติ ครม.ออกมาอย่างชัดเจน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในวันที่ 28 ก.ค. 2553 สั่งการให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวแทนของไทยดำเนินการ ตอบโต้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการงดออกเสียง วอล์กเอาต์ ไปจนถึงขั้นถอนตัวจากภาคีของยูเนสโก้

อย่างไรก็ตาม การกำหนดท่าทีที่เข้มข้นในลักษณะดังกล่าว ก็ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่จะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า เท่าที่พอทำได้เท่านั้น เพราะหากพิจารณาจากสถานะของไทยในกระบวนการพิจารณาตามกรอบที่คณะกรรมการมรดกโลกได้รับข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องนั้น กระทั่งนายสุวิทย์ก็ยอมรับว่าไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่มาก โดยเฉพาะกรณีที่ศาลโลกมีมติรับรองการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวไปแล้ว นอกจากนี้ ประเทศที่เป็นสมาชิกในภาคี ก็มีท่าทีสนับสนุนกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่

จุดสำคัญที่น่าจะนำกลับมาทบทวน เพื่อกำหนดแนวทาง หรือยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการแก้ไขปัญหา ก็คือ เพราะเหตุใด ในเวทีการเจรจาต่อรอง ภายใต้กฎ กติกาของคณะกรรมการมรดกโลก หรือบนเวทีระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบมาโดยตลอด กลยุทธ์ในการดำเนินการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีจุดอ่อน หรือมีช่องโหว่อย่างไร ควรปรับปรุงในจุดไหน หรือต้องใช้กระบวนการล็อบบี้ในระยะยาวอย่างไร นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายของไทยต้องกลับมาร่วมคิดมากกว่าที่จะเลือกวิธีแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าว ตอบโต้อย่างรุนแรงกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับไทย จนอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน

การรักษาสิทธิ ข้อตกลงเรื่องเขตแดน อธิปไตย หรือผลประโยชน์ที่ต้องทำสัญญา ข้อตกลง ซึ่งรัฐบาล หรือองค์กรตัวแทนภาครัฐจะต้องกระทำภายใต้กติกาของสังคมโลกยังมีอีกมากมายหลายกรณี ไม่เฉพาะแต่เพียงเรื่องของพื้นที่เขาพระวิหารเท่านั้น ปัญหาที่ควรนำมาทบทวน กำหนดท่าที หรือเตรียมความพร้อมมากกว่า ก็คือ ทำอย่างไร จึงจะศึกษารายละเอียด พิจารณาข้อดีข้อเสียในสัญญา หรือข้อตกลงเหล่านั้นให้รอบคอบ รัดกุมมากที่สุด แทนที่จะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการทำข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือระหว่างรัฐไทยกับองค์กรเอกชน ดังที่มีตัวอย่าง "ค่าโง่" ให้เห็นมาแล้วโดยตลอด

****************************************************************************

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มือปั้น มือสร้าง ‘นายกฯ’!!

ผลิต “นายกรัฐมนตรี” รุ่นเบญจภาคี ประดับประเทศเอาไว้หลายคน..บัดนี้ “เจ้าพ่อวังน้ำเย็น” เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช มีแต่ ความหวาดวิตก???
เมื่อ “กองทัพ” ปล่อยให้ “นักการเมืองโจร” คุมอำนาจ และ ออกคำสั่ง
ปล่อยให้ “นักเลงหัวไม้” คอนโทรล..ปล่อยให้โจรเหลิงอำนาจ ประเทศก็พัง
“ป๋าเหนาะ” แสนอึดอัดหาวเร้อชะเง้อเหียนเสียจริง... “คนในกองทัพ”?...ยอมศิโรราบ แก่ “โจร” ที่มีอำนาจ ขึ้นมาครองเมืองได้ อย่างไรกัน!!!
โจรย่อมเป็นโจร...ควรหลีกหนีให้พ้น?..ถึงให้ประโยชน์เหลือล้น อย่าไปร่วมมือกับมัน??
...................................................

‘เขมร’ ยังมีแค่ ‘๓ ฝ่าย’!!!

ถึงขนาดนั้นยัง ละเลงเลือด สังหารหมู่ ฆ่าและล้มตาย กันอย่างมากมาย??
หันดู “ประเทศไทย” ใต้อำนาจปกครอง แห่ง “นักฆ่าเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถูกแบ่งเป็น ไทยเหนือ ไทยใต้ ไทยอีสาน ไทยภาคกลาง แตกเป็นภาค จนน่าห่วง
“เสนาะ เทียนทอง” ชี้แนะ...ปัญหานี้แหละ นับเป็นอันตราย ใหญ่หลวง
คนไทยแตกสามัคคี แบ่งฝัก-แบ่งฝ่าย กันเป็น “คนละภาค”..ซึ่งรุนแรง! เกิดความ ระราน! ขยายความ ระรัว! จนคนไทยต้องหันมา “ฆ่ากันเอง” อย่างไม่มีทางเลี่ยง!!!
“ป๋าเหนาะ” ชี้ “มาร์ค” ทบทวน.เร่งแก้ปัญหานี้ด่วน?.ไม่สมควรเอาประเทศไทยมาเสี่ยง
...................................................

‘คนจริงของแท้’!!!
ปัญหาของชาติ นุงนังพัลเกที่ใด..“ลุงจิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ก็ลงไปแก้??
เสาร์ที่ผ่าน “ลุงจิ้น” เสาหลักแห่งกระทรวงมหาดไทย ลงไปภาคใต้ ถึงปัตตานี ร่วมฟังและแก้ปัญหา ของเขา อย่างเป็นระบบ
“ลุงจิ้น” ยืนยันดิบดี...จังหวัดปัตตานี มิใช่ พื้นที่ เขตสนามรบ
ชาวบ้านอยู่อย่างสงบ, ได้พบถามสารทุกข์สุกดิบกัน...เขามีปัญหาประการใด “ลุงจิ้น” ก็จัดการแก้ไขให้ด่วนจี๋..โดยเฉพาะการขอให้ “ลุงจิ้น” สร้างสะพาน ๓ แห่งก็สั่งการให้เสร็จสรรพ!
“ลุงจิ้น”ลงไปจังหวัดไหน..ใครเดือดร้อนเรื่องอะไร?..แก้ปัญหาทันใจ ทุกจังหวัดเลยครับ
...................................................

‘รวมพลคนข่าว’!!
แจกรางวัล “ภาพยอดเยี่ยม” ถ้วยพระราชทาน ของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ..โดย สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ของ “นายกฯ วิชัย วลาพล” ..ในวันพฤหัสบดีที่ ๕ สิงหาคม ณ ร.ร. โซฟิเทล ทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปเป็นอาคันตุกะ ทัวร์ราชการต่างประเทศ.. กลับมาตอนเย็น มาร่วมเป็น “ประธาน” แจกรางวัล “ภาพยอดเยี่ยม” ทันเวลา...
มางานนี้ “สื่อ” มากันแน่น...ฉะนั้น, ไม่ต้องหวั่นแผน โดนสั่งเก็บ สั่งฆ่า
อีกทั้ง “๒ นายพลมือปราบขวัญใจประชาชน” อย่าง “บิ๊กตุ๊” พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์” ผบก. ปคบ. และ “มือปราบหูดำ” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้การ น. ๑ ได้รับรางวัล “บุคคลดีเด่น” ย่อมไม่ให้มีการ “แหย่หนวดเสือ”!!!
ขืนใครมากระทบ “นายกฯ อภิสิทธิ์”...เป็นความคิดที่ผิด?...ชีวิตจะโดนปิดบัญชีไม่เหลือ?
.....................................................

เป็น ‘ขวัญใจชาว กทม.’
ถามว่า “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำอะไรให้ชาวเมืองหลวงมั่งล่ะรูปหล่อ
“ปชป.” กวาดเก้าอี้ ส.ส. เป็นอันดับหนึ่ง
“สข.” นักการเมืองท้องถิ่น...ท่านก็คว้าเก้าอี้ไปกิน จนหน้าทึ่ง
นี่, ในวันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม ก็จะเลือก “สก.” กันอีก.... “ประชาธิปัตย์” ตั้งเป้าฟันธง จะกวาดเก้าอี้ให้เรียบวุธ...แต่ขณะที่ “ชาวเมืองฟ้าอมรรัตนโกสินทร์” แห่เลือกประชาธิปัตย์มืดฟ้ามัวดิน ...แต่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ไม่ยักคิดแก้ปัญหา “การจราจร” ให้ดีขึ้นเลย!!!!
ปล่อยให้รถติดเป็นกิโล.....ไม่มีผลงานออกมาโชว์?...ไม่เคยโผล่หัว ออกมา เช่นเคย??
____________________________________________________

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

สะกิด DSI เลิกพล่ามก่อการร้าย

เหวง โตจิราการ - ก่อแก้ว พิกุลทอง
ลุ้น ‘ก่อแก้ว-เหวง’ รอลุ้นต่อ
ขยับเดินเกมต่อหลังจากที่มีกรณีประกันตัว นายวีระ มุสิกพงศ์​ ได้แล้ว เป้าหมายต่อไปคือการที่จะขอประกันตัว นายก่อแก้ว พิกุลทอง และ น.พ.เหวง โตจิราการ ทั้งนี้ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช. เผยว่า ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวนายก่อแก้ว พิกุลแก้ว และ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. โดยอ้างอิงถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ที่อนุญาตปล่อย ตัวชั่วคราว นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ซึ่งทั้งสองคนพร้อมจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดทุกประการ ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

ก่อนหน้านี้นายก่อแก้ว ยื่นหลักทรัพย์เงินสด จำนวน 2 ล้านบาท ขณะที่ น.พ.เหวง ใช้เงินสด 2 ล้านบาท บวกกับที่ดินอีกรวม 7 ล้านบาท ขอประกันตัวมาแล้ว แต่ศาลไม่อนุญาต คาดว่าจะยื่นประกันในวันพรุ่งนี้ (3 ส.ค.)

นอกจากนี้ ทีมทนายความจะยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการในคดี ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนสั่งฟ้อง 25 แกนนำ นปช. ในข้อหาก่อการร้าย ส่วนรายละเอียดนั้นไม่สามารถเปิดเผยได้

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ องค์คณะศาลอุทธรณ์ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งกรณีทนายความของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันใช้ หรือสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135 / 1-3 ยื่นขอประกันตัว

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้ความจากจากการสืบพยาน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าได้เคยประสานงานกับนายวีระ แล้ว ผู้ต้องหาไม่มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง ขณะที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็จัดกลุ่มผู้ต้องหาให้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ใช้ความรุนแรง และผู้ต้องหาก็ได้เข้ามอบตัว ประกอบกับสถานการณ์คลี่คลายลงแลัว เชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี ไม่ไปยุ่งเหยิงกับพยาน จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาหลักทรัพย์ประกันตัว 6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งห้ามนายวีระ เดินทางออกนอกประเทศ รวมทั้งพื้นที่ กทม. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และห้ามนายวีระ ร่วมกับกลุ่มบุคคลชุมนุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เว้นแต่จะเป็นการอยู่กับกลุ่มญาติ และห้ามนายวีระ ให้ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะด้วย โดยศาลยังได้มีคำสั่งให้นายวีระ รายงานตัวต่อศาลชั้นต้น ทุก 15 วัน

ซึ่งการที่ศาลให้ประกันตัวนายวีระ และการที่นายกอร์ปศักดิ์ เบิกความช่วยนายวีระ จนได้ประกันตัว ได้ก่อให้เกิดปฏิกริยาตามมาพอสมควร เพราะนอกจากจะมีการยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวนายก่อแก้ว และ น.พ.เหวง ตามมาอีกระลอก เพราะนายก่อแก้ว ถึงขนาดที่กล้าลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 6 กทม. ย่อมสะท้อนชัดเจนว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหนีอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกันปฏิกริยาที่ตามมาจากการที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นพยานยืนยันว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้ต้องหาก่อการร้าย ไม่มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงจนได้รับการประกันตัว ได้ทำให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รีบออกมาให้ความเห็น ว่า จะไม่ส่งผลต่อคดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอ สรุปสำนวนโดยมีความเห็นสั่งฟ้อง และส่งให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษพิจารณาหลักฐานในสำนวนคดี เนื่องจากการก่อการร้ายไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ความรุนแรง

แต่เป็นรูปแบบการกระทำความผิดที่แบ่งแยกหน้าที่กันทำ เช่น การเป็นผู้นำในการปราศรัย ซึ่งตามแนวทางการสอบสวนของดีเอสไอระบุว่า นายวีระ ไม่ใช่กลุ่มฮาร์ดคอร์ที่นิยมความรุนแรง แต่เป็นแกนนำมีหน้าที่ประสานงาน เพื่อให้เกิดการวางแผนก่อการร้าย

อธิบดีดีเอสไอ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองก่อนหน้านี้ว่า หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีที่เกี่ยวข้องกับ 4 ข้อหาหลักให้เป็นคดีพิเศษ ประกอบด้วย การก่อการร้าย การข่มขู่รัฐบาล การทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน และการกระทำผิดต่ออาวุธยุทโธปกรณ์ ขณะนี้ดีเอสไอสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องอัยการไปแล้ว 21 คดี โดยคดีก่อการร้ายที่สั่งฟ้องไปเป็นสำนวนคดีที่ 21 ส่วนอีก 20 คดีเป็นการก่อเหตุวางระเบิดในจุดต่างๆ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้เร่งรัดสั่งฟ้องคดีใดเป็นพิเศษ แต่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน หากคดีใดหลักฐานครบถ้วนจะสรุปสำนวนส่งฟ้องทันที ซึ่งที่ผ่านมาได้ทยอยสั่งฟ้องคดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะคดีก่อการร้ายที่เพิ่งส่งฟ้องไปเท่านั้น

ส่วนคดีระเบิดที่กลางซอยรางน้ำตรงข้ามห้างคิงพาวเวอร์ว่า เหตุระเบิดตำรวจต้องเป็นฝ่ายสืบสวนหาข่าว ส่วนดีเอสไอเป็นฝ่ายสอบสวน กรณีระเบิดเฉพาะหน้าห้างบิ๊กซี ราชประสงค์ ตำรวจได้โอนคดีให้ดีเอสไอแล้ว ส่วนเหตุระเบิดที่ซอยรางน้ำยังไม่โอนคดีมา ตำรวจและดีเอสไอกำลังช่วยกันเร่งตรวจสอบเหตุระเบิดทั้ง 2 จุด

การที่นายธาริต ยังคงพยายามที่จะเอาใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการที่ยังคงรับลูกจาก ศอฉ. ในเรื่องของการกำหนดกรอบว่าการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นเรื่องของการก่อการร้าย ยิ่งทำให้บรรยากาศการปรองดองยากที่จะเกิดขึ้น

และที่สำคัญด้วยการยืนกรานว่ามีการก่อการร้ายเช่นนี้เอง ได้ทำให้บรรดาผู้ที่เสียหายจากกรณีการสลายการชุมนุมพฤษภาอำมหิต 53 รวมทั้งการเผาสถานที่อาคารต่างๆ แม้จะมีการทำประกันเอาไว้ ก็ไม่ได้รับการชดเชยเลยกระทั่งบัดนี้ เพราะบริษัทประกันต่างหยิบยกประเด็นก่อการร้ายขึ้นมาเป็นข้อปฏิเสธว่า การประกันวินาศภัยไม่ได้คุ้มครองถึงกรณีการก่อการร้าย

ดังนั้นผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย จึงอดเกิดความรู้สึกกับท่าทีของรัฐบาลและท่าทีของนายธาริต ไม่ได้ ที่ยังคงยืนกรานว่าเป็นเรื่องของการก่อการร้าย

“ก็เข้าใจว่านายธาริต ต้องการเติบโตในหน้าที่ราชการ ต้องการขยับไปเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม แต่โดยข้อเท็จริงที่นายธาริต เองทำงานร่วมกับ ศอฉ. ก็รู้ๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร รวมทั้งสามัญสำนึกน่าจะรู้ดีว่า จริงๆ แล้วการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นการก่อการร้ายจริงหรือไม่ ดังนั้น การที่นายธาริต ยังออกมาเล่นงานในคดีก่อการร้ายไปเรื่อยๆ แบบนี้ การต่อสู้ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ประกันจ่ายเงินชดเชย ก็คงเป็นความหวังที่ริบหรี่เต็มทน อยากให้นายธาริต หันมามองมุมนี้บ้าง แทนที่จะมองในมุมของตนเองและการก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอย่างเดียว” ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้และยังไม่สามารถเคลมประกันได้กล่าว

ที่มา.บางกอกทูเดย์
...........................................................................

น่าตกใจ!หนี้ครูทั้งระบบ1ล.ล.

สรุปตัวเลขหนี้สินครูทั้งระบบสูงน่าตกใจ 1 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู 7 แสนล้านบาท ชพค.1-5 1.5 แสนล้าน เฉลียวยันส่วนใหญ่เป็นหนี้ดีไม่ใช่หนี้เสีย ชี้จะได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล

นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะคณะกรรมการศึกษาวิเคราะห์การดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูทั้งระบบ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้เสนอข้อมูลไปให้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อประกอบการพิจารณาหารือกับทางกระทรวงการคลังและรัฐบาลเพื่อแก้ไขหนี้สินครูทั้งระบบแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่นำเสนอไปพบว่าจากการสำรวจหนี้สินครูจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 87 แห่งทั่วประเทศ โครงการพัฒนาชีวิตครู โครงการเงินกู้สมาชิกกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และกองทุนหมุนเวียนแก้ไขปัญหาหนี้สินครูนั้น ครูทั่วประเทศมีครูเป็นหนี้ประมาณกว่า 4 แสนคน และมีมูลค่าหนี้สินรวมกันประมาณ 1 ล้านล้านบาท และมีเงินออมรวมประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งหนี้สินดังกล่าวของครูเป็นหนี้สินที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมดและไม่ใช่หนี้เสีย

โดยหนี้สินของครูส่วนใหญ่จะเป็นหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 87 แห่ง ประมาณ 7 แสนล้านบาท มีครูเป็นหนี้จำนวน 4.6 แสนคน, โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.1-5 มูลค่าหนี้สิน 1.5 แสนล้านบาท มีครูเป็นหนี้ประมาณกว่า 3 แสนคน, โครงการพัฒนาชีวิตครู มูลค่าหนี้ 5 หมื่นล้านบาท มีครูเป็นหนี้กว่า 6 หมื่นคน และกองทุนหมุนเวียนฯ มูลค่าหนี้ 1 พันล้านบาท มีครูเป็นหนี้จำนวน 8,500 คน

"ข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์เพื่อนำไปหารือกับทางรัฐบาลว่าจะกำหนดนโยบายเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้สินครูได้อย่างไร ส่วนจำนวนหนี้สินที่มากมายนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขเรื่องนี้ เพราะขณะนี้ครูที่มีหนี้สินส่วนใหญ่ก็อยู่กันได้" ปลัด ศธ.กล่าว และว่า จากข้อมูลการสำรวจพบจำนวนหนี้เสียค่อนข้างน้อย อย่างสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มีครูที่เบี้ยวหนี้แค่กว่า 1,000 คน โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.ก็ไม่มีหนี้เสียตามที่รายงานมา ส่วนกองทุนพัฒนาชีวิตครูฯ หนี้เสียแค่กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้นไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ แต่เป็นเรื่องของทางรัฐบาลที่จะดำเนินการกัน ซึ่งตนก็ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร.

ที่มา.ไทยโพสต์
****************************************************************************

ยุทธวิธีการต่อสู้แบบ"ไร้หัว"ของคนเสื้อแดง

ภายใต้สภาวะการกดดัน ห้ามส่งเสียง ห้ามรวมกลุ่ม ห้ามถือป้าย หรือเรียกว่าห้ามประท้วงชุมนุมใดๆทั้งสิ้น การต่อสู้ของกลุ่มที่ถูกกดทับด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากฝ่าฝืนจะถูกจับเขาซังเตได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาเย้ยฟ้าท้าดินหาทางดิ้นออกจากกรอบที่ขีดล้อมไว้ทั่วบ้านทั่วเมือง

ความพยายามของคนหนึ่งคนขยายเป็นกลุ่มเล็กๆกระจายกันไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์จากจุดเล็กๆเริ่มจากการผูกผ้าแดงที่เสาป้ายราชประสงค์ การตะโกนบอกที่นี่มีคนตาย การชูป้ายเราเห็นคนตาย กลายเป็นสิ่งต้องห้ามถูกเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคน "วันอาทิตย์แดง" เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ สี่แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน มีการจัดงาน โครงการศิลปะสู่อิสรภาพ ครั้งที่ 1 "คน ตาย ตึก และพรก.ฉุกเฉิน" มีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบมาประจำการรอบพื้นที่อนุสรณ์สถาน

ในงานนี้มีเวทีเสวนา "สามัญชนเปลี่ยนโลก / วิถีแนวนอน การเคลื่อนไหวของแกนนอน" โดยมีวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นแนวทางการต่อสู้ให้สิ่งที่ต้องการสื่อสารปรากฎต่อสาธารณะทั้งทางตรงทางอ้อม ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลดทอนอำนาจ และตีแผ่ความเป็นจริงให้สังคมได้รับรู้ โดยยึดแนวทางการสู้แบบระนาบหวังจะให้ทุกคนเคลื่อนไหวได้เองหากวันหนึ่งแกนนำนำถูก"เด็ด"ไปเพื่อไม่ให้ท้ายขบวนหยุดนิ่ง

ในกระบวนการต่อสู้เชิงลักษณ์เพื่อให้สังคมรู้จักตั้งคำถาม เริ่มจาก "ภควดี" ไม่มีนามสกุล อธิบายถึง การเปลี่ยนแปลงตามวีถีแนวนอน หมายถึง สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่อิงกันมาตั้งแต่ในอดีตสังคมที่มีผู้นำแล้วมีมวลชนเป็นฐาน เปลี่ยนเป็นวิถีแบบระนาบ ต้องอาศัยการจัดตั้งจากคนที่มีความคิดอิสระเริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆสร้างเป็นเครือข่ายคิดกระบวนการเพื่อแสวงหาฉันทามติโดยใช้วิธีส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมแบบโต๊ะกลมไม่ใช่แบบผู้นำเดี่ยว

จากหนังสือ"สามัญชนเปลี่ยนโลก" ของ ภควดี เขียนอธิบายเรื่องวิถีระนาบพอสรุปได้ว่า การจัดตั้งแนวระนาบมีความเชื่อมโยงและได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางอนาธิปไตย (anarchism) กลุ่มเครือสหาย (Affinity Group) และหลายกลุ่มองค์กรในขบวนการสังคมใหม่ใช้วิธีการจัดตั้งแบบนี้ แต่ก็มีหลายองค์กรที่ยังใช้การจัดตั้งองค์กรแบบพีระมิด อย่างไรก็ดี การผนึกกำลังเป็นเครือข่ายของขบวนการสังคมใหม่จะใช้วิธีการจัดตั้งแนวระนาบเป็นหลัก

"วิถีระนาบ" ซึ่งเป็นแนวทางของขบวนการประชาชนหลายขบวนการที่ผุดขึ้นมาในประเทศอาร์เจนตินา ในช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ค.ศ. 2001 "วิถีระนาบ" ของชาวอาร์เจนตินาไม่ได้เกิดมาจากลัทธิความคิดใดๆ ไม่ได้มาจากแนวทางอนาธิปไตยหรือแม้กระทั่งขบวนการซาปาติสตา ในประเทศเม็กซิโกแต่เกิดจากปฏิกิริยาโดยธรรมชาติที่ต้องการตอบโต้ต่อความล้มเหลวของระบบในประเทศรวมทั้งแสวงหาหนทางแก้ไขและข้ามพ้นระบบดังกล่าว

ในทางปฏิบัติ การจัดตั้งองค์กรและการดำเนินชีวิตส่วนใหญ่เป็นขบวนการที่มักเรียกรวมๆ ว่าขบวนการอัตตาณัติ (autonomous movements)ซึ่งเป็นขบวนการประชาชนจำนวนมากที่เกิดขึ้นมาในช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ขบวนการเหล่านี้ล้วนต้องการเป็นอิสระจากรัฐ

"วิถีระนาบ" จึงเป็นปฏิกิริยาตอบโต้โดยสัญชาตญาณเป็นการแสดงความผิดหวังต่อระบบผู้นำเดี่ยวรวมทั้งระบบเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย มีรูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ มากกว่าวิธีการจัดตั้งองค์กรเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างเท่าเทียม โดยไม่ยอมตกอยู่ภายใต้กรอบของเงื่อนไขเดิมๆ มันเป็นวิธีการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันแบบประชาธิปไตยทางตรง และเชื่อมโยงขบวนการต่างๆ เป็นเครือข่าย จัดรูปแบบความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจใหม่ โดยปฏิเสธแนวคิดของ "อำนาจเหนือ" หันมาเน้นการมี "อำนาจร่วมกัน" มีเป้าหมายในการสร้างอำนาจให้สมาชิกและหมู่คณะ โดยเฉพาะอำนาจในการตัดสินใจไม่มุ่งยึดอำนาจรัฐแต่มุ่งสร้าง "อำนาจอีกแบบหนึ่ง" ขึ้นมาด้วยความสัมพันธ์ทางสังคม ยอมรับว่าสมาชิกแต่ละคนแตกต่างกัน มีความคิดแตกต่างกัน และมุ่งสร้างความเป็นหมู่คณะรองรับความเป็นอัตตาณัติ (autonomy)

ขณะที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด ที่เพิ่งออกจากการถูกควบคุมตัวข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นำผ้าแดงมาผูกที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์เพื่อไว้อาลัยให้ประชาชน 90 ศพ ที่ถูกสังหารในเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากเวทีผ่านฟ้าถึงราชประสงค์ ร่วมเสวนากล่าวถึงการต่อสู้จากมวลชนจะต้องพึ่งแกนนำอยากให้เปลี่ยนมาเป็นแกนนอนจากสามเหลี่ยมแนวตั้งคว่ำให้กลับมาเป็นสามเหลี่ยมแนวนอนเคลื่อนไปในระนาบเดียวกันสามารถสลับกันขึ้นไปอยู่แถวหน้าได้ เพราะขณะนี้มวลชนที่อยู่ฐานล่างยังมีพลังอยู่มากพร้อมที่จะเคลื่อนต่อไปเพียงแค่สะดุดเพราะแกนนำถูกจับไป หากเปลี่ยนเป็นสามเหลี่ยนแนวนอนคนทั้งหมดจะเคลื่อนไปด้วยกันได้

นายสมบัติ ได้เสนอวิธีการเคลื่อนในแนวระนาบไว้ว่า ทุกคนต้องสะท้อนศักยภาพของตัวเองออกมาไม่ใช่การรอคำสั่งจากแกนนำเพื่อสั่งให้ไปนั่งเป็น 1 หน่วย ให้สันติบาลนับจำนวนเท่านั้น เปลี่ยนจากมวลชนเป็นผู้ปฏิบัติงาน รวมกลุ่ม 5-20 คน แล้วมาคุยกันมีความฝันร่วมกันวิเคราะห์ศักยภาพของตัวเองว่าทำอะไรได้บ้าง เพื่อหลุดพ้นจากอำนาจนิย คือ การแสวงหาผู้นำที่ดีมาปกครองทำตัวเป็นบ่าวแต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้มวลชนเป็นนายไม่ใช่การหาเจ้านายมาคุ้มกะบาล เช่น กวีบางคนพกปากกาเข้าไปในห้องน้ำแล้วเขียนบทกวีที่ประตูห้องน้ำ สภากาแฟที่ไม่ใช่แค่คุยโม้ให้คิดและปฏิบัติการ เชื่อว่าไม่น่าเกิน 3 เดือน รูปพระอาทิตย์จะขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง

"ผมหมดความหวังกับแกนนำแล้ว อยากเห็นวัฒนธรรมที่เห็นคนเป็นคน และคนมีอำนาจสูงสุด เพราะถ้าเรารู้สึกเป็นเจ้าของก็จะรู้สึกหวงแหนและปกป้อง ถึงวันนั้น การต่อสู้ถึงจะสำเร็จผล ลักษณะนี้เรียกว่า แกนนอน "

ด้านนายพันธุ์ศักดิ์ ศรีเทพ ผู้สูญเสียลูกชาย นายสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ "สุรเฌอ" เด็กหนุ่มวัย 17 ปี เสียชีวิตในเหตุนองเลือดกลางเดือนพฤษภาคมที่กรุงเทพมหานคร ว่า กิจกรรมของคนเสื้อแดงที่พยายามแสดงออกเพื่อให้สังคมรับรู้ว่ามีคนตายด้วยการผูกผ้าแดง การตะโกนถูกจับหมด พอเห็นกลุ่มต่อต้านรวมตัวกันจากคนเล็กๆรัฐก็ไม่ละเว้นเข้ามาครอบงำด้วยอาวุธด้วยอำนาจ ดังนั้นกิจกรรมที่จะสื่อสารไปถึงคนภายนอกจึงถูกตีกรอบหมด จึงได้คิดวิธีการใหม่โดยใช้ร่างกาย คือ การนอนเป็นศพแต่มีข้อจำกัดคือไม่มีบทสนทนาจึงลองเปลี่ยนมาเป็นรณรงค์ให้คนไทยแต่งเป็น "ผี" ที่ออกไปหลอกหลอนความผิดปกติของระบบ

"จากประสบการณ์การแต่งผีไปเล่นกับตำรวจที่แยกราชประสงค์ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รู้จะจัดการอย่างไร ทำได้แค่ขอร้องให้เลิก ซึ่งถือว่าเป็นการข้อร้อง จากนี้ชีวิตไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะลูกสอนให้ไม่กลัว การจัดการทางการเมืองคือการจัดการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กลับมาปกติ แต่รัฐบาลกลับสร้างความกลัวขึ้นมาโดยการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างความอาฆาตพยาบาทขึ้นมาอีกครั้ง ใช้โครงการ "ทูเกตเทอร์ วีแคน" คือการสร้างความแตกต่างให้คนด้วยกัน และการผลักคนอีกกลุ่มหนึ่งออกไปข้างนอก ฉะนั้นทุกคนต้องรู้จักการปฏิเสธ แล้วตั้งคำถามกลับ ทุกอย่างจะเป็นประเด็นคำถามต่อรัฐบาล พอรัฐบาลไม่มีคำตอบแสดงว่ารัฐบาลไม่มีทางแก้ไขความขัดแย้งได้"

Tewarit Bus Maneechay กล่าวว่า แนวทางการต่อสู้แบบแกนนอนนี้ยังมีข้อจำกัดเพราะไม่มีสื่อ แต่จะเป็นการต่อสู้ทางตรงที่อาจจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าโดยมีภาพประกอบและเป็นการสื่อสารจากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่งโดยมีสื่ออินเตอร์เน็ต รัฐบาลจะทำให้คำว่าก่อการร้ายมีความศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจ แต่ถ้าเราสามารถสกรีนคำว่า "ก่อการร้าย" ลงบนเสื้อยืดแล้วใส่กัน จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของคำนี้ลดลง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างนวัตกรรมการต่อสู้เชิง สัญลักษณ์และวัฒนธรรมจะทำให้ต้นทุนการต่อสู้ลดลงแต่มีปฏิกิริยาตอบรับสูง

นอกจากนี้ยังมีผู้เข้าร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มองว่า เริ่มแรกที่เห็นนายสมบัติไปผูกผ้าแดงที่แยกราชประสงค์ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้กล้าแสดงออกกล้าใส่เสื้อแดง นับเป็นการต่อสู้ที่ไม่ต้องไปอิงกับแกนนำเหมือนกับบางคน เมื่อแกนนำเข้าคุกเหมือนเข้าคุกไปกับแกนนำด้วย แต่แนวทางการต่อสู้ของกลุ่มย่อยๆแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าเป็นเสรีชนพร้อมที่จะเคลื่อนด้วยตัวเองแบบแกนนอน

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนในแนวระนาบคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทยจนสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบพีระมิดได้

ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************************************

มหากาพย์ 3จี

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
พิชัย นริพทะพันธุ์
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ต้องขอบอกว่าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาเขียนบทความให้ท่านอ่านอีกครั้ง หลังจากที่ได้หายไปหลายอาทิตย์ ผู้เขียนขอเริ่มต้นด้วยเรื่อง ประมูลคลื่นความถี่สำหรับมือถือระบบ 3จี ที่ไม่ทราบว่าทำเวรทำกรรมมาแต่ชาติปางไหน ทำให้ประเทศไทยต้องล้าหลังทางเทคโนโลยีกว่าประเทศอื่นๆ ท้ายสุดนี้รัฐบาลโดยรมว.คลัง ได้ออกมาเสนอความคิดในการเปลี่ยนระบบสัมปทานเป็นระบบใบอนุญาตของระบบ 2จี ที่สร้างความสับสนให้เพิ่มขึ้นไปอีก

ปัญหาแรก คือ ปัญหาข้อกฎหมาย โดย รมว.คลังและ รมว.ไอซีที คงจะลืมไปแล้วว่า รัฐบาลไม่ได้มีสิทธิเป็นผู้กำกับ (Regulator) อีกต่อไปแล้วตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้เป็นของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) โดยที่ กทช. ต้องพิจารณาให้ชัดเจนในข้อกฎหมายจะทำได้หรือไม่

อย่าลืมว่า คลื่นความถี่เป็นสมบัติของชาติ การที่จะขยายการให้ใช้คลื่นออกไปจากเวลาที่เหลือของสัมปทาน คือ 3 ปี 5 ปี และ 8 ปี ไปเป็น 15 ปี จะทำได้หรือไม่ โดยไม่ประมูล อีกทั้งการที่จะลดค่าสัมปทานลงมาเหลือ 12.5% นั้น จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการหรือเปล่า และการที่ไปคิดกันว่าการแปรค่าตอบแทนสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตทำไม่ได้ ยิ่งทำให้การดำเนินการในอนาคตในการจัดเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐจะมีปัญหามาก ต้องหาทางเลี่ยงบาลีกันเป็นขนานใหญ่

ปัญหาต่อมาเป็นปัญหาทางเทคนิค อยากให้ความเข้าใจแบบง่ายๆ คำว่าระบบ 3จี หมายถึง ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงกว่าระบบ 2จี ซึ่งคลื่นมาตรฐานทั่วโลกคือ 2.1 GHz ซึ่งพบว่าเมื่อไรมีการนำระบบมือถือ 3จีมาใช้ ในที่สุดแล้วระบบมือถือ 2จี จะต้องเลิกไปในที่สุด

การติดตั้งระบบมือถือ 3จี ให้ครอบคลุมอาจจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี เป็นอย่างช้า และระบบมือถือ2จี ก็จะต้องยกเลิกไป เพราะผู้ใช้บริการจะหันไปใช้ระบบมือถือ 3จี ทั้งหมด อีกทั้งผู้ให้บริการก็จะพยายามดึงดูดให้ผู้ใช้บริการไปใช้เครือข่าย 3จี เพราะมีการชำระผลตอบแทนให้รัฐที่ต่ำกว่า ในอนาคตบริการใหม่ๆ ก็มีการคิดค้นในรูปแบบ 3จี เท่านั้น และค่าบริการก็ไม่แพงอีก 3-4 ปีข้างหน้าลูกค้าก็เปลี่ยนเครื่องมือถือรุ่นใหม่กันหมดแล้ว และก็เชื่อว่าเครื่องมือถือในระบบ 3จี จะมีราคาถูกลง

การที่จะคิดว่าในอนาคตจะใช้ระบบ 2จี ผสมกับ3จี เป็นความคิดที่ผิด จริงอยู่เมื่อหลายปีก่อนมีการนำระบบมือถือ 3จี มาใช้ในระยะแรกและยังไม่เป็นที่นิยมจึงมีการใช้ผสมกัน แต่หลังจากที่ติดตั้งระบบมือถือ 3จีเกือบทั่วโลกแล้ว ระบบมือถือ 2จี ต้องเลิกไป

สิ่งที่ผู้เขียนผิดหวังมากสุด กลับเป็นการที่ รมว.คลังออกมาบอกว่า ระบบมือถือ 3จี อาจจะเกินความจำเป็นของประเทศไทย เพราะคนไทยใช้บริการการรับ-ส่งข้อมูลน้อย นับเป็นการพูดที่แสดงให้เห็นถึงการขาดวิธีคิดที่ดีและการศึกษาข้อมูลที่แท้จริง เพราะในปัจจุบันคนไทยมีการใช้บริการการรับ-ส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก ในอนาคตโลกจะเป็น Wireless Broadband หรืออินเทอร์เน็ตไร้สาย ซึ่งระบบ 3จี จะรองรับในเรื่องนี้หากไม่เร่งดำเนินการ ประเทศไทยก็จะล้าสมัย จึงอยากให้ท่าน รมว.คลัง ได้ศึกษาให้ดีก่อน

การกระทำของรัฐบาลในเรื่องนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยกันอย่างกว้างขวางว่า จะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ให้บริการบางรายที่สนิทกับรัฐบาล ที่ไม่มั่นใจว่าจะประมูลคลื่นระบบ 3จี ได้ หรืออาจจะมีความตั้งใจว่าจะไม่ประมูล โดยจะใช้คลื่นเดิมที่ได้ขยายไป 15 ปี นำไปทำระบบมือถือ 3จี เพราะในบางประเทศมีการนำคลื่นดังกล่าวไปให้บริการระบบมือถือ 3จี แต่ก็ต่อเมื่อความถี่มาตรฐานที่ 2.1 GHz ถูกใช้จนเต็มหมดแล้วเท่านั้น ซึ่งในประเทศไทยความถี่ดังกล่าวยังมีเหลืออีกมาก

ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องให้มีการดำเนินการ 3 เรื่องคือ 1) ขอให้ กทช. เร่งให้มีการเปิดประมูลคลื่น 3จี โดยเร็วที่สุด โดยรัฐบาลอย่าได้เป็นผู้ถ่วงเวลา 2) พิจารณาหาทางแก้ปัญหาให้กับทีโอทีและกสทฯ เพราะเมื่อมีการประมูลและเริ่มใช้ระบบมือถือ 3จี แล้ว รายได้จากสัมปทานของรัฐวิสาหกิจทั้งสองจะลดลงและหมดไป 3)อยากให้รัฐบาลระมัดระวังในการให้ข้อมูลที่จะออกมากระทบกับมูลค่าหลักทรัพย์ และอย่าได้มีการนำข้อมูลภายในออกมาเพื่อหาประโยชน์กับการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ เหมือนกับที่เกิดกับหุ้นไทยคม.

***************************************************************************