--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ้นหวัง

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังยืนยันว่าวาทกรรมสร้างความปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชาตินี้ก็ไม่สำเร็จ ซึ่งนายอภิสิทธิ์เองก็ออกมายอมรับ

นอกจากนี้นายบรรหารยังท้วงติงการใช้งบประมาณเกือบ 600 ล้านบาทของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ว่าไม่ควรใช้เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการให้อภัยซึ่งกันและกันก่อน ตราบใดที่ยังให้อภัยกันไม่ได้การปรองดองก็เป็นไปไม่ได้

นายบรรหารจึงสรุปว่า “สิ้นหวัง” กับการแก้ปัญหาบ้านเมืองหรือการหาทางออกของประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นเช่นเดียวกับนายบรรหาร เพราะตราบใดที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ยังแก้ปัญหาด้วยคำพูดหรือวาทกรรมสวยหรู แต่ในทางปฏิบัติยังเหมือน “มือถือสาก ปากถือศีล” ก็ไม่มีใครเชื่อว่ามีความจริงใจ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไว้โดยไม่ปฏิเสธเลยว่าเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามต่อไป

ขณะที่รัฐบาลก็เพิกเฉยหรือพยายามกลบเกลื่อนการสังหารโหดในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่วันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย แต่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บพิการก็ไม่รู้จะเรียกร้องความเป็นธรรมและความยุติธรรมได้จากใคร เพราะรัฐบาลยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินข่มขู่ คุกคาม และจับกุมฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง

ภาพลักษณ์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขณะนี้จึงไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลเผด็จการที่ถูกประจานไปทั่วโลก อย่างคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (Committee to Protect Journalists-CPJ) เผยแพร่รายงานพิเศษประจานรัฐบาลไทยที่ไม่จริงจังในการดำเนินการสอบสวนประชาชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งมีผู้สื่อข่าวต่างชาติ 2 รายถูกยิงเสียชีวิตด้วย

แม้นายอภิสิทธิ์จะแถลงว่าทหารใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น และมาตรการควบคุมฝูงชนก็ดำเนินการตามมาตรฐานสากล แต่การตรวจสอบของ CPJ กลับพบว่าทหารยิงปืนใส่ประชาชนที่ไม่มีอาวุธในหลายพื้นที่ รวมทั้งกรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่รัฐบาลอ้างว่ายิงกระสุนและระเบิดใส่ทหารนั้น การสืบสวนก็เป็นไปอย่างคลุมเครือ เช่นเดียวกับการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต ซึ่งองค์กร สถานทูต และญาติผู้เสียชีวิตไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาล และไม่มีการมาแสดงความรับผิดชอบการสังหารโหดครั้งนี้เลย

แต่นายอภิสิทธิ์กลับดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับเสียงของประชาชนและประชาคมโลก ยังยิ้มระรื่นเรียกร้องความปรองดองเหมือน “ที่นี่ไม่มีคนตาย” เลย

**********************************************************************

ไอเดีย "คิดใหม่ประเทศไทย" ของ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ก้าวข้ามวิกฤต สลัดหลุมดำแห่งความขัดแย้ง !!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ประเทศไทยขาดผู้นำเชิงรัฐบุรุษที่พร้อมจะทำเพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ใช่แค่เพื่อพรรคและบุคคลเท่านั้น"

มูลนิธิสัมมาชีพ ร่วมกับ เครือมติชนจัดโครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง" ระหว่างวันที่ 31 ก.ค. - 5 ก.ย. เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับผู้นำรุ่นใหม่ในทุกภาคส่วนของสังคมที่มีความตั้งใจจริงและมีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในสังคมไทย และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป ในการอบรมวันแรกมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมมากมายอาทิ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ,ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย, ดร.คณิศ แสงสุพรรณ, ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

การอบรมในวันแรก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ "คิดใหม่ประเทศไทย" ว่าอยากบอกกับประเทศไทยว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป นิตยสาร"นิวส์วีค"กล่าวถึงความสำเร็จในอดีตของไทยว่าในอดีต เรากลายเป็นเสือแห่งเอชียที่หลายคนยกย่อง ไทยเสมือนแดนสวรรค์ในสายตาโลก แต่แล้วจากประเทศที่ทุกคนคิดว่าเป็นประเทศที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้กลายเป็นสังคมที่แตกแยกพร้อมที่จะปะทุขึ้นทุกขณะ

ความผิดพลาดที่มากที่สุดของประเทศไทยคือ ไม่เคยจริงจังกับการปฎิรูปไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่เลวร้ายหรือรุ่งโรจน์ เราไม่เคยคิดจะปฎิรูปการศึกษา อุตสาหกรรม และภาคเอกชนยังขาดความสามารถที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก เรามีการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งแต่เราไม่รักษา ฟูมฟัก เรากลายเป็นสูญเสียทรัพยากรไป

ประเทศไทยขาดผู้นำเชิงรัฐบุรุษที่พร้อมจะทำเพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ใช่แค่เพื่อพรรคและบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่นิตยสาร"นิวส์วีค" ที่มองเราแบบนี้แต่ทั่วโลกมองเราแบบนี้ทั้งนั้น

ปัญหาใหญ่ของชาติในวันนี้คือเราไม่สามารถก้าวข้ามวิกฤติการความขัดแย้งซึ่งเหมือนหลุมดำที่ดูดความก้าวหน้าเข้าไปอยู่ในวังวนเหล่านี้ ประเด็นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเราวนเวียนอยู่กับเรื่อง"ทักษิณ" การเมืองและกระบวนการของเราไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาสร้างบ้านเมือง แต่ถูกใช้เพื่อเอาชนะ ใช้บนพื้นฐานว่า"ถ้าเราไม่ชนะเขามาแน่" เสมือนหนึ่งประเทศไทยไม่มีปัญหาอื่นที่ต้องแก้ไขนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ประเทศไทยเราจมปลักอยู่กับที่ ประเทศอื่นเขาปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของโลก ยิ่งนานวันเราก็ยิ่งอ่อนแอ

ลองหลับตานึกภาพถ้าเราไม่คิดเรื่องความขัดแย้ง ลองมองที่ประเทศไทยว่ามีปัญหาอะไรที่ท้าทายเรา รอการบริหารจัดการ ลองมองที่ภาคใต้มันสงบแล้วหรือ วันนี้แทบจะไม่มีปฎิสัมพันธ์ระหว่าง 4 จังหวัดภาคใต้เลยได้แต่ดูจากข่าวที่โผล่มาทีละอย่างว่าตรงนั้นระเบิด งบประมาณหมดไปเท่าไหร่แล้ว คนตายไปเท่าไหร่แล้ว ความคิดที่จะไปฟื้นฟูเศรษฐกิจที่นั่น ฟื้นฟูความกลมเกลียวที่นั่นอยู่ที่ไหน ? ถ้าเป็นแบบนี้ใครจะมาเชื่อมั่นเรา นี่คือปัญหาที่รอการจัดการอย่างเป็นระบบและโปร่งใส

ลองมองไปที่การจัดการประเทศในเรื่องยุทธศาสตร์ เราไปทางไหน เป้าหมายคืออะไร การขับเคลื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ลองดูที่มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศที่ฉลาด เขาประกาศจะขยับจากประเทศรายได้หลักกลางไปสู่รายได้ระดับสูง เขามีเป้าชัดเจน เขาลงทุนในการพัฒนาบุคคลากร เขารู้ว่าความกลมเกลียวในชาติเป็นสิ่งสำคัญ เขายกเลิกสิทธิของชนชาติมาเลย์ดั้งเดิมให้ลดลงมาอย่างเท่าเทียม

ผมเชื่อว่าเรามีภาระทางนโยบาย 2 ประการคือ การเปลี่ยนเข็มเป้า จากที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนไปสู่การยกระดับรายได้ความเท่าเทียมในชีวิตและลดความยากจน ตัวนี้มันก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม ยิ่งนานวันความเจริญก็ยิ่งถ่างออกไป

ในทางสังคมความไม่เท่าเทียม เราเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ ในประเทศเรามีความต่างกันทางรายได้ประมาณ 14- 15 เท่า การเกลี่ยความยุติธรรมนั้นจำเป็น

ส่วนในทางการเมืองหากประชาชนที่ยากจนต้องหาเลี้ยงชีพ การเมืองจะดีก็จ่อเมื่อประชาชนแข็งแรง ฉะนั้นการยกระดับรายได้และเกลี่ยความยุติธรรมคือสิ่งแรกที่ต้องทำ

การปฎิรูปการเกษตรไม่ใช่ว่าเราไม่มีแผน แต่เราไม่ขับเคลื่อนอย่างมีพลัง ผมสนับสนุนแนวทางท่านประเวศที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วม เรารู้ว่าการแก้ไขปัญหาเกษตรกรรายบุคคลแก้ปัญหาไม่ได้ การรวมกลุ่มและสหกรณ์คือหัวใจ โจทย์คือ ทำอย่างไรที่จะยกระดับผู้นำชุมชนทั่วประเทศให้มีความเข้มแข็งทางปัญญา โครงการอะไรต้องทำ โลกเปลี่ยนแปลงอย่างไร บทบาทของการปฎิรูปจากรากหญ้าสำคัญมาก

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสังคมสำคัญมาก ต้องไม่ใช่การแจกเงินและไม่ใช่กู้มาแจก ทำอย่างไรให้มีการแบ่งและกระจายอำนาจซึ่งเป็นหัวใจของการจัดการ 76 จังหวัดต้องให้เขามียุทธศาสตร์ร่วมกัน จังหวัดที่มีศักยภาพสามารถให้เป็นซุปเปอร์ซิตี้ได้ ยุทธศาสตร์ของส่วนกลางมันก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดแบบนี้ กลายเป็นว่าเราเอาขนมเค้กที่หายากมากไปแบ่งกัน

ประการที่สองคือ การเปลี่ยนโครงสร้างเป็นการขับเคลื่อนด้วยวิทนาการไม่ใช่จินตนาการ สิ่งที่มาเลย์ผลิตได้ไม่ใช่แค่ความรู้พื้นฐาน ไทยเราต้องเปลี่ยนความคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางการผลิต แต่ต้องเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางความคิดให้มากขึ้น ซึ่งการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องของครู ไอที หลักสูตร นักการศึกษารู้ปัญหาดีอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณจะเคาะขับเคลื่อนอย่างไร

เรื่องของเทคโนโลยีคือหัวใจของอนาคตข้างหน้า ของอย่างนี้ไม่ใช่แค่ว่ามีแล้วจบ มันต้องมียุทธศาสตร์ ดูอย่างสิงค์โปร์ เขามีโครงการเอยนต์ซี่รีเสิด จุดคือพัฒนาทุนสามตัว คือมนุษย์ ปัญญาหรืองานวิจัย และทุนอุตสาหกรรม ดึงเอกชนมาร่วม ทุนมนุษย์ต้องสร้างบุคคลากร ทุนปัญญาเขาเอาเงินผลิตงานวิจัย ทุนอุตสาหกรรมเขาเอาเงินกระตุ้นให้เอกชนเข้ามาลงทุนเชิงพาณิชย์ เขารู้ว่านวัตกรรมเหมือนไข่กบมีเป็นร้อยแต่มีไม่มีฟองจะออกเป็นตัวได้ สิ่งเหล่านี้เขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง เมืองไทยทำอย่างเขาได้หรือไม่

นี่คือตัวอย่างของทิศทาง ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ถูกต้อง ชัดเจนแล้ว เราก็ต้องมาดูว่าจุดแข็งของเรามีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ นั่นคือภารกิจที่สามที่จะตามมา ความสามารถเชิงนวัตกรรมของเราอยู่อันดับที่ 59 เวียดนามอยู่ที่ 33 งบประมาณและการคลังต้องบริหารจัดการให้ดีๆ มันไม่เกี่ยวว่าจะกระทบตอนนี้หรือตอนไหน แต่มันอยู่ที่"อนาคต" อนาคตข้างหน้ามันขึ้นอยู่ที่วันนี้

สำหรับต่างประเทศ ทุกประเทศต่างปรับตัวทั้งนั้น อเมริกาวันนี้มองกลับมาถ้าปล่อยให้จีนใหญ่ต้องยุ่งแน่ ก็เข้ามาสัมพันธ์กับอาเซียน อินเดียก็ไม่ยอมให้จีนใหญ่ก็เข้ามาสัมพันธ์กับอาเซียน ไทยอยู่ตรงไหน? เราต้องเดินความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ ผมมองว่าวันหนึ่งข้างหน้าข้าวของเราจะมีปัญหาในWTO ส่วนเขาพระวิหารก็มีปัญหาเราต้องเร่งสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก เราไม่ใช่มหาอำนาจ พลังของเราอยู่ที่ประเทศเหล่านี้จะช่วยหรือไม่

ตอนนี้เรากำลังรอการบริหารจัดการอยู่ เราวนเวียนอยู่กับการจัดการตัวบุคคล ยิ่งนานยิ่งวนเวียนน เราเสียเวลาไปมากแล้ว บราซิลใช้เวลา 7 ปีเป็นมหาอำนาจ แต่อาร์เจนตินาทุกวันนี้ยังเบี้ยวหนี้อยู่เลย เพราะเป็นชาติที่ไม่เคยมีฟอร์ม และทำตัวเป็นเด็กดีที่แกล้งโง่เดินตามตะวันตก ทำตามเรตติ้งฝรั่ง กู้มาแล้วก็มาโกง การเมืองไม่สนใจเรื่องความโปร่งใส กู้มาเรื่อยๆแล้วไม่ทำประโยชน์ดอกเบี้ยก็บาน พัฒนาไม่ถูกจุดก็ไม่เกิดรายได้ ดอกเบี้ยก็ถมไปเรื่อยๆ จนตอนนี้กลายเป็นบราซิลเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก คุณมีทางให้เลือกจะเป็นมีความคิดอ่านในโลกมีศักดิ์ศรี หรือจะเป็นหนี้

"มีคนบอกว่ายุคนี้ต้องเลือกข้าง ผมว่าอันนั้นเป็นการขุดหลุมฝังประเทศ ถ้าคุณนำประโยชน์ของชาติมาไว้ก่อน ไม่ใช่แค่ประโยชน์ของความขัดแย้งแค่นี้ทำไมจะก้าวข้ามไปไม่ได้ ทำไมมันแก้ไม่ได้ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องคิดใหม่แล้ว"

การบรรยายของผมขอจบด้วยคำกล่าวของเนลสัน แมนเดล่า ที่กล่าวว่า"ชีวิตของผมต่อสู้เพื่อประชาชนแอฟริกาใต้ ต่อสู่กับชนชั้นปกครองผิวขาวและผิวดำที่แบ่งแยก ผมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่คนทุกคนอยู่ร่วมกันเพื่อประเทศ ผมอยู่เพื่อเห็นวันนั้น ถ้าต้องตายเพื่อที่จะได้เห็นวันนั้น ผมก็ยอม"

****************************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“เป็ด”ชรา อย่าอาวรณ์!!

อายุ65! ได้เวลากลับบ้าน!!
บรรดาผู้ครบเกษียณอายุราชการทั้งในอดีตและปัจจุบัน หนีไม่พ้นที่ต้องอุทานว่าเหลือเชื่อ และอดอิจฉาลึกๆในใจไม่ได้

ก็ขนาดคนที่กุมอำนาจกองทัพ คุมตำรวจนับแสนๆคน เมื่อถึงเวลาอายุครบตามกฎหมายกำหนด จะเป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะเป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จะอยากลุกจากเก้าอี้หรือไม่อยากลุก เพราะอยากครองตำแหน่งต่อ

หรืออยากที่จะอยู่เพื่อให้ได้เป็นผบ.ตร.ตัวจริงเสียก่อน แต่พออายุครบ 60 ปุ๊บ 30 กันยายนปั๊บ ก็ต้องเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ตุลาคมในทันที

โยกโย้ โยเย หรือยึกยื้อเก้าอี้ไม่ได้เด็ดขาด

แต่ปรากฏการณ์เหนือปาฏิหาริย์ ชนิดที่ไม่เคยมีหรือเคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อน ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และทำให้เห็นถึงมาตรฐานในยุคปัจจุบันว่ามีมากน้อยเพียงใด

ดับเบิ้ลสแตนดาร์ดหรือไม่???

นั่นก็คือคำแหน่ง ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ ผู้ว่าการ สตง. ซึ่งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นั่งผงาดคุมเก้าอี้อยู่

ตามกฎหมาย สตง. เมื่อผู้ว่า สตง.อายุครบ 65 ปี ก็ต้องเกษียณอายุราชการ

วันนี้ คุณหญิงจารุวรรณ หรือคุณหญิงเป็ด อายุครบ 65 ปีเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าบอก หรือกล้ากระซิบสักแอะว่า ให้คุณหญิงเป็ดเกษียณอายุเถอะ...

นิ่งอมพะนำกันโดยถ้วนหน้า

เหตุผลทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะการไปยึดว่า คุณหญิงเป็ดถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยกฎหมายพิเศษนั่นคือโดยคำประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน หรือ คปค. ทั้งๆที่ คปค.ก็หายสาบสูญ แปลงสภาพไปเป็น คมช. เรียบร้อยเนิ่นนานแล้ว

แม้แต่ประธาน คมช. อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็ยังไปเวียนว่ายตายเกิดบนถนนการเมืองมาหลายรอบแล้วเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนยึดติดที่จะใช้อำนาจ คปค. เป็นเกราะให้คุณหญิงเป็ดนั่งเป็นผู้ว่าการ สตง. ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องแคร์กติกาเรื่องอายุครบ 65 ปีแล้ว

ล่าสุดแม้แต่ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยังออกตัวเกี่ยวกับความล่าช้าในการสรรหาผู้ว่า สตง. แทนคุณหญิงจารุวรรณ ว่า คณะกรรมการสรรหาผู้ว่า สตง.ที่มีประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ได้ประชุมแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะติดขัดในข้อกฎหมาย

เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ที่วุฒิสภาลงมติไปโดยเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งร่างดังกล่าวจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ซึ่งนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นหนึ่งในกรรมการสรรหาฯรับปากต่อที่ประชุม ว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์ที่ 2 เมื่อเปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติ หากสภาผู้แทนราษฎรยืนยันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว รัฐบาลก็หยิบยกขึ้นมาประกาศใช้ได้ใน 180 วัน

แต่หากไม่เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวก็ตกไป ต้องนำเสนอมาใหม่

ในส่วนของ สตง.เองได้ทำหนังสือมายังตนเพื่อสอบถามในกรณีดังกล่าว รวมทั้งแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้ได้ทำหนังสือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า คุณหญิงจารุวรรณ ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่

นายประสพสุข กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหาฯไม่ได้ล่าช้า แต่เมื่อกฎหมายไม่ออกจะทำอย่างไร ถ้ามีกฎหมายบังคับใช้ก็คงไม่มีปัญหา เพราะกรรมการสรรหา พร้อมที่จะดำเนินการสรรหาอยู่แล้ว บางคนบอกว่าสรรหาได้เลย แต่บางคนก็บอกว่ายังทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะตีความ ซึ่งไม่มีใครตอบข้อสงสัยได้

ทางที่ดีก็คือส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพื่อให้เป็นข้อยุติผูกพันทุกองค์กร
โยนกลองไปเป็นว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้สินิจฉัยดีกว่า

แต่นายประสบสุขก็ยอมรับเองว่าเรื่องที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น ต้องเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กร แต่เรื่องนี้ถามว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างใครกับใคร ต้องตอบให้ได้ และ ต้องหาคู่ขัดแย้งเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

งานนี้จึงเท่ากับนายประสพสุขชิ่งหนีเอาดื้อๆว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเป็นแค่ตัวกลางหรือเป็นเพียงฝ่ายเลขานุการทำหน้าที่นัดประชุมกรรมการสรรหาเท่านั้น ไม่มีอำนาจทำอย่างอื่น

สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า สตง.ก็กลายเป็ดง่อยไปเรื่อยๆ เพราะคุณหญิงเป็ดจะมานั่งทำงานก็กระดาก เนื่องจากมีคนจับตามองไปทั่วว่าจะกล้ามานั่งทำงานหรือไม่

โดยเฉพาะคุณปลื้ม หรือ ม.ล.ณัฐกรณ์ เทวกุลที่ประกาศหรากลางรายการทาง Voice TV ว่าจะไปดูที่ สตง. ว่าคุณหญิงจารุวรรณมานั่งทำงานหรือไม่???

จริงๆ แล้ววันนี้ คุณหญิงเป็ดนั่นแหละคือผู้ที่สามารถจะถอดสลักคำครหาในสังคมได้ดีที่สุด ด้วยการตัดสินใจยื่นใบลาออกด้วยตนเอง
เพราะในโลกนี้ไม่มีกฎหมายใด ที่จะห้ามคนไม่ให้ลาออกจากตำแหน่งได้

ถ้าคุณหญิงเป็ดตัดสินใจให้เด็ดขาด ยึดเจตนารมณ์ของกฎหมาย สตง.ปกติเป็นเกณฑ์ ว่าไม่ว่าใครก็ตามเป็นผู้ว่า สตง. อายุครบ 65 ปี ก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านด้วยกันทั้งนั้น

อย่าได้บอกว่า เป็นห่วง สตง. หรือกลัวว่า สตง.จะไม่มีคนทำงานต่อไปได้ เพราะหากเป็นแบบนั้น คุณหญิงเป็ดมิต้องอยู่ไปจนหงำเหงือกเลยหรือ

ที่สำคัญเป็นการดูถูกคน สตง. ตั้งแต่ระดับ รองผู้ว่าการ เรื่อยลงไป ว่าไม่มีความสามารถที่จะทำงานได้ถ้าไม่มีคุณหญิงเป็ด... ซึ่งแน่นอนว่าไม่จริงแน่นอน

ย้ำนักย้ำหนา กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี วันนี้คุณหญิงเป็ดสามารถตัดสินใจลาออกได้เอง แล้วให้รองผู้ว่า สตง.ขึ้นมารักษาการดูซิว่า จะทำได้หรือไม่???

ถ้าคุณหญิงเป็ด ซึ่งที่ผ่านมาเน้นการสร้างภาพลักษณ์ในแง่ของคนเคร่งครัดต่อกฎหมาย ครั้งนี้ก็น่าจะเคารพกฎหมายปกติ

แต่หากยึดติดยึดมั่นถือมั่นกับอำนาจรัฐประหารที่แต่งตั้งขึ้นมา... ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งลาออกเถอะ ไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรอก
ความสง่างามนั้นหาซื้อไม่ได้ ... ถ้าอยากได้ต้องประพฤติปฏิบัติให้สง่างามที่แท้จริงเท่านั้น
ทาง 2 แพร่งนี้... คุณหญิงเป็ดต้องเลือกแล้วล่ะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
............................................................................

การปรับโครงสร้างภาษีอากร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์.คนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่ากระทรวงการคลังมีดำริว่าจะต้องปรับปรุงโครงสร้างภาษีอากร เพราะภาระของรัฐบาลที่ผูกพันกู้หนี้ยืมสินจากประชาชนมีมาก อีก 5-6 ปีข้างหน้า ปัญหาสัดส่วนหนี้สินของรัฐบาลอาจจะเกินเพดาน 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติซึ่งอาจจะเป็นอันตราย

ประเด็นนี้ก็น่าจะถูกต้อง และต้องชมเชยข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่ยังเป็นนักการคลังที่มีจิตสำนึกต่อความมั่นคงของประเทศชาติ และได้ชี้แจงจนรัฐมนตรีคลังเห็นด้วย ก็ขอชมเชยรัฐมนตรีคลัง ที่เห็นด้วย แม้ว่าการเปลี่ยนโครงสร้างภาษีไปในทางที่ถูกต้อง มักจะได้รับการต่อต้านจากสื่อมวลชน และนักวิจารณ์ที่ไม่เข้าใจเรื่องภาษีอากรอย่างถ่องแท้ ในสมัยโลกาภิวัตน์นี้ ความเห็นในเรื่องภาษีอากรเปลี่ยนไปหมดแล้ว

มีประเด็นที่เราควรจะตระหนักในระดับเศรษฐกิจมหภาค และระดับการปฏิบัติมีอยู่หลายประการ

เรื่องแรกที่ต้องตระหนัก คือยอดหนี้ ภาครัฐไม่ควรจะเกินเพดานเท่านั้นเท่านี้ ขึ้นกับความแข็งแกร่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์ที่กระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ว่ายอดหนี้สาธารณะไม่ควรเกินร้อยละ 50 ของรายได้ประชาชาติ ก็น่าจะถูกต้อง ถ้าอยากกู้มากขึ้น รัฐบาลก็ต้องเร่งให้เศรษฐกิจขยายตัวมากกว่านี้ ถ้าอยากเพิ่มเพดานยอดหนี้สาธารณะ ก็ต้องเร่งการส่งออกให้สูงกว่านี้ ความมั่นคงทางการคลังและการเงินจะได้ไม่เสียไป

เรื่องที่สอง โดยส่วนรวมแล้ว รายได้ของรัฐบาลต่อรายได้ประชาชาติของเราค่อนข้างต่ำอยู่ระหว่าง 16-17 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ สังเกตดูก็ไม่ใช่ เรื่องแปลก

โครงสร้างภาษีอากรของเรามีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสูง กล่าวคือ ถ้ารายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ภาษีอากรจะเพิ่มมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจหดตัว 1 เปอร์เซ็นต์ รายได้ของรัฐบาลก็จะหดตัวมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ โครงสร้างแบบนี้ดี เพราะเป็นตัวสร้างเสถียรภาพในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงโดยอัตโนมัติฝรั่งเรียกว่า ′automatic stabilizer′

ถ้าเมื่อใดเศรษฐกิจขยายตัวดี รายได้จากภาษีหลายตัวก็จะกระโดด เช่น ภาษี เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราใช้เป็นตัวแทนของภาษีทรัพย์สิน ภาษีสรรพสามิตจากน้ำมัน เป็นตัวแทนของภาษีการใช้ถนนหนทาง ภาษีเงินได้จากนิติบุคคล เป็นต้น

ดังนั้น ในยามเศรษฐกิจซบเซา สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลจะต่ำลงเกิน 16-17 เปอร์เซ็นต์ในยามเศรษฐกิจรุ่งเรือง สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลต่อรายได้ประชาชาติก็จะขยับสูงขึ้นเป็น 20-22 เปอร์เซ็นต์โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปแก้ไขมาก ในแง่โครงสร้าง

เรื่องที่สาม ภาษีเป็นเครื่องมือที่เลวที่สุด ที่จะสร้างความเท่าเทียมกันในเรื่องรายได้และทรัพย์สิน เพราะในภาคปฏิบัติได้มีการพิสูจน์กันมากมายว่า ทฤษฎีภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อมนั้น ภาระภาษีตกอยู่กับ คนชั้นกลางและคนชั้นล่างมากที่สุด ส่วนคนชั้นสูงกลับเสียภาษีทางตรง เป็นสัดส่วนของรายได้น้อยกว่าคนชั้นกลาง กว่าร้อยละ 80 ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาจากเงินเดือน ค่าจ้าง ส่วนค่าเช่า เงินปันผล กำไร มีสัดส่วนน้อยกว่า ถ้ายิ่งขึ้นอัตราการเก็บเข้าไป ก็ยิ่งมีการหลบเลี่ยงมากยิ่งขึ้น

เรื่องที่สี่ อัตราภาษีของแต่ละชนิดนั้นมีจุดพอดี ถ้าอัตราภาษีสูงเกินไปจะได้ภาษีน้อยลง และการหนีภาษีจะเกิดขึ้นเพราะความคุ้มค่าหากหนีได้ สำหรับประเทศ ด้อยพัฒนาหรือกึ่งพัฒนาอย่างประเทศไทย อาจจะมีสาเหตุที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการจัดเก็บ ระบบข้อมูล ระบบการบังคับใช้ ระบบเครือญาติระบบอุปถัมภ์ ระบบการเมืองท้องถิ่น ร้อยแปด ฯลฯ

กรมจัดเก็บของกระทรวงการคลังมีประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการจัดเก็บมากกว่าท้องถิ่น แถมท้องถิ่น หัวหน้า อบต. อบจ. เป็นนักการเมืองการบิดเบือนในทางปฏิบัติจึงมีสูงมากไม่เหมือนฝรั่งเขา ที่ชาวบ้านคอยควบคุม แต่ของเราไม่เหมือนกัน ต้องคอยรักษาดุลระหว่างให้ท้องถิ่นจัดเก็บ กับให้ส่วนกลางจัดเก็บ แต่ก็ควรให้ท้องถิ่นทำด้วย ต่อไปคงจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

เรื่องที่ห้า เรามีหลักอยู่ว่า รายจ่ายประจำไม่ควรเกินรายได้ การกู้หนี้ของรัฐบาลต้องเอามาเพื่อการลงทุนเท่านั้น วินัยข้อนี้ต้องรักษาไว้ให้ดี

หลักต่าง ๆ ของภาษีจึงมีอยู่ว่า ภาระภาษีไม่ควรตกอยู่กับผู้ผลิต ภาระภาษีไม่ควรตกอยู่กับผู้ส่งออก เพราะเราจะ แข่งขันกับเขาไม่ได้ เงินออมไม่ควรรวมอยู่ในฐานภาษี เพราะเงินออมไม่ใช่ผู้เอาจากสังคม แต่เป็นผู้ให้กับสังคม ภาษีใดที่การจัดเก็บยุ่งยาก และค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาษี ภาษีนั้นควรเลิก

ขณะเดียวกัน ก็ควรเหลียวดูประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่งว่า ภาษีเงินได้นิติบุคคลของเราสูงกว่า หรือต่ำกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง มีความเหมาะสมและน่าดึงดูดการลงทุน ทั้งการลงทุนของบริษัทไทย หรือบริษัทต่างชาติ เพราะเดี๋ยวนี้ทั่วโลกแย่งกันดึงดูดการลงทุน ไม่เว้นแม้แต่อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน และอื่น ๆ

หน้าที่ภาษีควรจะมีหน้าที่เดียวคือหา รายได้ให้รัฐบาล ส่วนการสร้างความเท่าเทียมกันในด้านความเป็นอยู่ อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่งและการคมนาคม บริการสาธารณสุข การป้องกัน และการรักษาพยาบาล การเท่าเทียมทางด้านโอกาสในการศึกษา การมีคุณภาพชีวิต อย่างที่อาจารย์ ดร.ป๋วยท่านเขียนไว้ในบทความเรื่อง ′จากครรภ์มารดาถึง เชิงตะกอน′

การมีความเท่าเทียมกันทางการเมือง การได้รับการอำนวยความยุติธรรม การให้เกียรติกัน ไม่แบ่งชาติกำเนิด ศาสนา ความเชื่อถือ และภาษา การมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสมศักดิ์ศรี ตำแหน่ง หน้าที่ ภูมิภาค การทะนุบำรุงวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะภาษาท้องถิ่น ฯลฯ ความมั่นคงของชาติอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่การใช้ ′อำนาจเป็นธรรม′ แต่ใช้ ′ธรรมเป็นอำนาจ′

เมื่อรัฐบาลเห็นว่า 4-5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลต่อรายได้ประชาชาติจะเกินเพดานที่กำหนดไว้ เพื่อความมั่นคงทางการคลัง สมควรที่รัฐบาล จะปรับปรุงโครงสร้างภาษีอากร ก็เห็นสมควรแล้ว

แต่พอมาถึงเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างภาษีจริง ๆ ก็เริ่มมีปัญหา เริ่มตั้งแต่มีเสียงเรียกร้องให้ใช้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน หรือช่องว่างระหว่างรายได้กับช่องว่างระหว่างผู้มีทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสังหาริมทรัพย์ เพราะทรัพย์สินอย่างอื่น เช่น เงินฝาก หุ้นกู้ พันธบัตร หลักทรัพย์ หุ้นสามัญ ฯลฯ ไม่ค่อยได้พูดกัน ทั้ง ๆ ที่ทรัพย์สินมีหลายชนิด ไม่ได้มีแต่อสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว

เรื่องภาษีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์พูดกันมากว่า 30 ปีแล้ว ในที่สุดท่านสมหมาย ฮุนตระกูล ท่านใช้ทางสายกลาง คือคงอัตราภาษีบำรุงท้องที่และภาษีโรงเรือนเอาไว้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อัตราภาษี ปัญหาอยู่ที่การจัดเก็บ โดยเก็บภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แทน เพราะคนที่ถืออสังหาริมทรัพย์ มีทั้งคนรวย คนชั้นกลาง และคนจน แต่ถ้าเก็บเป็นรายปีอย่างภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีโรงเรือนก็คงเดือดร้อนกันทั่ว สู้เอาภาษีตอนขายดีกว่า โดยผู้ขายเป็นผู้เสียภาษี จะอ้างว่าไม่มีเงินเสียก็คงยาก เวลาเศรษฐกิจดี คนซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์มาก คนก็ยินดีจ่าย ภาษีก็ได้มาก เวลาเศรษฐกิจไม่ดี การซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ก็มีน้อย การเก็บภาษีน้อย ก็ไม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจ

ภาษีมรดก ขณะนี้ทั้งโลกต่างทยอยกันลดและยกเลิก อเมริกาก็ยกเลิกไป สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบุช ผู้ลูก เหตุผล อันแรก มรดกเป็นเงินออมของผู้ขายเงินออมไม่ควรเป็นฐานภาษี อันมีการจัดทำยุ่งยาก ต้องมีการลดหย่อนมากมาย วิธีปฏิบัติยุ่งยาก ได้รายได้เล็กน้อย ไม่คุ้มเสีย

ส่วนเงินได้ของคนรวย เช่น ดอกเบี้ย เงินฝากและพันธบัตรก็เสียในอัตราต่ำ คือ15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประเภทดอกเบี้ย แต่ถ้าสูงกว่านี้ ก็กลัวคนเอาเงินออกไปฝากประเทศที่อัตราภาษีต่ำกว่า กำไรจากการซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ของบุคคลธรรมดา ก็ไม่ต้องเสียภาษี เวลาขาดทุนก็ไม่ให้หักเป็นรายจ่าย ก็ยุติธรรมดี หากจะเก็บภาษีตอนกำไรตอนขาดทุน ก็ควรให้ หักเป็นรายจ่าย ซึ่งฝรั่งทำได้ แต่ไทยเรา ทำไม่ได้ แต่ไม่ค่อยมีประเทศไหนทำกัน นอกจากอเมริกา

ดังนั้น ทางที่ถูกที่ควร รัฐบาลควรพูดว่า ต้องปรับโครงสร้างภาษีให้เราแข่งขันกับประเทศอื่นได้ โดยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจากร้อยละ 30 ของกำไรเป็นร้อยละ 25 อัตราสูงสุดของเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 37 ลงมาเป็นร้อยละ 30 หรือ 35 ก็ว่าไป เพราะร้อยละ 37 สูงกว่าประเทศอื่น ๆ

ปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่และภาษีโรงเรือนโดยไม่ต้องขึ้นอัตราภาษี
เพื่อให้ได้รายได้มาใช้จ่าย ลดช่องว่างในเรื่องความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม และ ลดช่องว่างในเรื่องคุณภาพชีวิต โอกาส ในทางเศรษฐกิจ จะได้ทำโครงการประชานิยมที่เป็นประโยชน์ต่อคะแนนเสียงของรัฐบาล ไม่ต้องฝันเฟื่องไปถึงเรื่อง ′รัฐสวัสดิการ′เพราะโครงการประชานิยม ถ้าทำเป็นการถาวรก็เป็นรัฐสวัสดิการ แต่เงื่อนไขของประชานิยมดีกว่า คือช่วยให้เขามีทุน และมีตลาดมากขึ้น เงินภาษีทุกบาทได้คืน ไม่เป็นภาระแก่ผู้เสียภาษีในระยะยาว
ภาษีที่ถูกหลักการข้างต้นทั้งหมดนี้คือ ′ภาษีมูลค่าเพิ่ม′ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม7 เปอร์เซ็นต์ของเราต่ำกว่าใครในโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป หรือเอเชีย ตอนทำภาษีนี้ กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ท่านนายกรัฐมนตรีขอให้เป็น 7 เปอร์เซ็นต์ก่อน แล้วค่อย ๆ ขึ้น แต่เกือบ 20 ปีแล้ว ก็ยังขึ้นไม่ได้ ในขณะที่ประเทศอื่นมีตั้งแต่ 15 เปอร์เซ็นต์ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ รายได้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้น 50,000 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเท่าเดิม พ่อค้าไม่ชอบภาษีนี่พอเข้าใจ แต่หนังสือพิมพ์ไม่ชอบนี่ไม่เข้าใจ ชอบภาษีที่ฟังดูแล้วโก้ ๆ แต่ในทางปฏิบัติทำไม่ได้ และเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเป็นธรรม เพราะเก็บจากการบริโภค และหนีภาษีได้ยาก

ขอสนับสนุนรัฐมนตรีคลัง แม้นายกรัฐมนตรีจะยิงตกไปแล้ว

*******************************************************************************************************

สมการ-สถิติ ในสายตา "คนแพ้"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

โพลหลายสำนักออกมาตรงกันว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนน "สูสี" ทุกพื้นที่ ทุกระดับการเลือกตั้ง

แต่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย มีความเชื่อส่วนตัวว่า

"แม้จะไม่ได้จำนวน ส.ส.เพิ่มจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าชนะการเลือกตั้ง เพราะได้คะแนนสูสีกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการแพ้-ชนะ ครั้งนี้ไม่ได้วัดกันที่การได้ ส.ส."

จากผลสำรวจความนิยมของทุก ๆ ค่าย ตั้งแต่แรกประเมินว่าพรรค ประชาธิปัตย์จะชนะพรรคเพื่อไทย 65 : 35 บ้าง 70 : 30 บ้าง หรือกระทั่ง 60 : 40 ก็มี ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าผลคะแนนระหว่าง 2 พรรคจะออกมาใกล้เคียงกันแบบนี้ โดยเฉพาะหากนับคะแนนเฉพาะในวันเลือกตั้งโดยไม่นับรวมกับวันเลือกตั้งล่วงหน้าก็จะพบว่า พรรค เพื่อไทยแพ้ไม่ถึง 8 พันคะแนนเศษ แสดงว่าช่องว่างที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้แคบลงมา เรื่อย ๆ เป็นผลมาจากการหาเสียงในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ ในการทำความเข้าใจ ประชาชนที่เคยลังเลก็กลับมาเลือกพรรคเพื่อไทย

ถ้าแบ่งเป็นเขตจะยิ่งเห็นชัดว่า ที่ คะแนนแพ้มากมีเพียงในเขตบึงกุ่มเขตเดียวเท่านั้น แต่หากดูจากเขตอื่น ๆ แล้วทุกเขตมีคะแนนสูสีกัน และคะแนนในวันเลือกตั้งล่วงหน้าพรรค ประชาธิปัตย์นำเพื่อไทย 2 ต่อ 1

สาเหตุที่คะแนนออกมาสูสีกันเช่นนี้ น.อ.อนุดิษฐ์มองว่า จำนวนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ออกไปกากบาทช่อง ไม่เลือกใครในการเลือก ส.ข.คราวที่แล้วเพราะได้รับการชี้แจงเหตุการณ์ความไม่สงบจากทางรัฐบาลเพียง ฝ่ายเดียวในตอนนั้น ขณะนี้ได้กลับมาเลือกพรรคเพื่อไทยแล้ว หลังจากได้ฟังคำชี้แจงที่ไม่ใช่จากรัฐบาลฝ่ายเดียว

นอกจากนั้นเป็นเพราะประชาชน ได้เห็นความบกพร่องและทุจริตของรัฐบาล
****************************************************************************

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โดยเร็ว”ไม่ใช่“ทันที”...“ศีลห้า”จึงเป็นแค่ ศีล ฮ่าๆๆ

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรสีดำ อะไรสีเทา หรืออะไรสีขาว
จริงๆแล้วสังคมไทยรู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่กลับยอมปิดตา ปล่อยให้สังคมไปตามยถากรรม ไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง

“ปัจจุบันการกระทำที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงมีความหลากหลายมาก แต่กฎหมายทุกฉบับจะพยายามนิยามให้ครอบคลุมกว้างๆ โดยไม่จำแนกแยกแยะ และมักใช้เครื่องมือตามกฎหมายโดยไม่มีการแยกแยะเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเกิดความเสี่ยงที่ “ภัยคุกคาม” บางชนิดจะป้องกันปราบปรามไม่ได้ ขณะที่อาจมีการใช้อำนาจตามกฎหมายในทางที่ผิด”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความเห็นในบทความ “กฎหมายความมั่นคงกับสถานการณ์ปัจจุบัน” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2550 คัดค้านการผ่านร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพราะหากนิยาม “ภัยคุกคามความมั่นคง” อย่างไม่แยกแยะอาจมีการใช้กฎหมายในทางที่ผิด ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้จึงควรกระทำด้วยความรอบคอบ และยึดถือหลักการที่ถูกต้องสอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ส่วนการชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีตราบเท่าที่ไม่ใช้ความรุนแรง การควบคุมต้องแตกต่างจากการก่อการร้ายอย่างชัดเจน

แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับเห็นดีเห็นชอบกับการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมากมาย แม้แต่การจับกุมโดยไม่มีข้อกล่าวหาหรือหลักฐานใดๆ แม้แต่การฆ่าและทำร้ายประชาชนยังไม่มีความผิดจนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้ถูกสังหารโหดถึง 90 ศพ บาดเจ็บและพิการเกือบ 2,000 คน

ฆ่าคนบาปหนัก

ตามหลักศาสนาพุทธนั้น การฆ่าสิ่งมีชีวิตถือเป็นบาปทั้งสิ้น โดยเฉพาะการฆ่าคนถือว่าเป็นบาปมาก อย่างที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวถึงการฆ่าเมื่อ 1.สัตว์นั้นมีชีวิต 2.เรารู้อยู่แล้วว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3.มีจิตที่จะฆ่า 4.พยายามฆ่า และ 5.มีคนตายตามความพยายามนั้นถ้าครบทั้ง 5 ประการถือเป็นการฆ่าที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคนสั่งฆ่าหรือคนลงมือฆ่าก็บาปพอๆกัน เพราะมีเจตนาประกอบทั้งคู่ บาปจากการฆ่าคนจะส่งผลทั้งทางโลกและทางธรรม เริ่มตั้งแต่ถูกติติงจากคนในสังคม ติดคุก หรือถูกประหารชีวิต ขณะที่จิตใจของผู้สั่งฆ่าและลงมือฆ่าจะหม่นหมอง เมื่อตายไปแล้วต้องชดใช้กรรมไม่หมดสิ้น

มือถือสาก ปากถือศีล

วันนี้ประชาคมโลกต่างไม่เชื่อว่าประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธและให้ความสำคัญกับเรื่องบาปบุญคุณโทษกลับเกิดเหตุการณ์โหดเหี้ยมอำมหิต รัฐบาลและกองทัพสามารถฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น เพราะประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตย โดยสังคมไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉยและจมปลักกับกระแสการปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลที่กล่าวหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน”

โดยเฉพาะความไม่ยุติธรรมและสองมาตรฐาน การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ทำให้มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย รวมทั้งช่างภาพอิตาลีและญี่ปุ่น แต่ 2 เดือนที่ผ่านมานอกจากจะไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบและเปิดเผยผลการชันสูตรพลิกศพแล้ว รัฐบาลยังไล่ล่าและกวาดล้างจับกุมคนเสื้อแดงไปคุมขังกว่า 400 คน ไม่ต่างกับการกวาดจับนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ในข้อหา “ภัยสังคม”

องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลหลายประเทศ นักวิชาการ และภาคประชาชน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที ไม่ใช่ทยอยยกเลิก หรืออ้างสถานการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมหรือกลบเกลื่อนและบิดเบือนการสังหารโหดที่เกิดขึ้น

ประจานการสังหารโหด

ดังนั้น ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะยัดเยียดหรือกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรือล้มสถาบันก็ไม่สามารถลบความจริงการสังหารโหด 90 ศพได้ แม้นายอภิสิทธิ์และพวกจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุ้มครอง แต่การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริงตามกระบวนการยุติธรรมปรกติจะยังมีต่อไป

อย่างกรณีนายบดินทร์ วัชโรบล ผู้สื่อข่าวอิสระ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กับนายทหารรวม 13 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัสจากกรณีสั่งทหารพร้อมอาวุธเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้นายบดินทร์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บกระสุนฝังใน

หรือกรณีพี่สาวของช่างภาพอิตาลีที่เสียชีวิตจากวาทกรรม “กระชับวงล้อม” ก็ออกมาแสดงความไม่พอใจที่คดีไม่มีความคืบหน้าหรือไม่มีการเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย เช่นเดียวกับช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองสื่อมวลชนโดยชอว์น คริสพิน ตัวแทนของคณะกรรมการพิทักษ์สื่อมวลชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกมากดดันรัฐบาลไทยด้วยการแถลงข่าว โดยเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับสื่อและการเมืองในประเทศไทยตีแผ่ข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา

คืนความเป็นมนุษย์

แม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ยังออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน “โดยเร็ว” เพราะไม่สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการสร้างความสมานฉันท์และการปฏิรูปประเทศอีกด้วย แม้นายอภิสิทธิ์จะเล่นลิ้นใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป เพราะ คปร. ไม่ได้เรียกร้องให้ยกเลิก “ทันที” แต่ต้องการให้ยกเลิก “โดยเร็ว” เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

ขณะที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนและแก้ไขแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตีตรวนผู้ต้องขังให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หลังจากเห็นภาพของแกนนำคนเสื้อแดงถูกตีตรวนมาขึ้นศาล แม้รัฐบาลจะอ้างทำตามกฎของกรมราชทัณฑ์กับนักโทษอาญา แต่ประชาคมโลกถือว่าแกนนำคนเสื้อแดงและคนเสื้อแดงกว่า 400 คนที่ถูกจับกุมนั้นเป็น “นักโทษการเมือง” ไม่ใช่นักโทษคดีอาญาแต่อย่างใด

นอกจากความเห็นของ คอป. ไม่เพียงให้รัฐบาลยกเลิกการตีตรวนผู้ต้องขังเพื่อไม่ให้กระทบต่อหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งขัดต่อมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติ ยังถือว่าการแก้ไขดังกล่าวจะทำให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมและการปรองดองทั้งคนในชาติและผู้ต้องขังทั่วไปอีกด้วย ไม่ใช่เฉพาะแกนนำคนเสื้อแดงหรือนักโทษทางการเมืองเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นการเรียกความเชื่อและความศรัทธาให้กับกระบวนการยุติธรรมอีกทางหนึ่งด้วย

ไม่เว้นแม้แต่ภาคการท่องเที่ยว นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ยังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้วันนี้จะเอาเหตุการณ์วางระเบิดที่หน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ มาเป็นข้ออ้าง แต่ก็เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่จำเป็นเลย หากเจ้าหน้าที่รัฐตั้งใจทำงานและรับผิดชอบหน้าที่ โดยดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากนักท่องเที่ยวขาดความมั่นใจ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการประกันภัยต่างๆที่ไม่คุ้มครองนักท่องเที่ยวอีกด้วย

สองมาตรฐาน

ไม่ใช่แค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ต่างกับรัฐบาลเผด็จการภายใต้กองทัพ ปัญหาสองมาตรฐานยังปรากฏให้เห็นชัดเจน อย่างล่าสุดกรณี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำคนเสื้อเหลืองประมาณ 700 คนไปยื่นหนังสือต่อองค์การยูเนสโกในประเทศไทย เพื่อคัดค้านกัมพูชาที่ขอบริหารจัดการพื้นที่รอบประสาทพระวิหารเป็นเขตมรดกโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาททางชายแดนกับไทย ทำให้การจราจรบนถนนสุขุมวิทชะงัก รวมทั้งเส้นทางสายสำคัญที่เชื่อมต่อ

สำนักข่าว DPA (Deutsche Presse-Agentur) ของเยอรมนีรายงานว่า เป็นการชุมนุมที่ถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ เพราะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินห้ามไม่ให้มีการชุมนุมเกิน 5 คน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ได้รับคำสั่งให้จับกุม พล.ต.จำลองและคนเสื้อเหลือง ซึ่งแตกต่างกับการจับกุมคนเสื้อแดงไปแล้วกว่า 400 คน

สื่อเยอรมนียังกล่าวถึงการยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายนับแสนล้าน แต่จนจึงขณะนี้ พล.ต.จำลองและแกนนำพันธมิตรฯยังไม่ถูกดำเนินคดีและควบคุมตัวใดๆ โดยสำนักข่าวของเยอรมนีกล่าวสรุปว่า...“เรารู้ว่ามีสองมาตรฐานในประเทศไทย”

ขณะที่นายนที ศรวารี สมาชิกเครือข่ายเฟซบุ๊ค สมาชิกเครือข่ายวันอาทิตย์สีแดงเพียงคนเดียว ยืนตะโกนที่แยกราชประสงค์ว่า “ที่นี่มีคนตาย” และให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกรณีนักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ซึ่งแสดงออกทางการเมืองโดยใช้ผ้าปิดปากและป้ายข้อความ “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” และเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับถูกจับกุมและตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ไม่เพียงสะท้อนสองมาตรฐานแล้ว ยังถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่งของการเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ประกาศเป็นนักการเมืองประชาธิปไตย แต่กลับใช้กฎหมายเยี่ยงเผด็จการมาบังคับ รวมทั้งกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้าย

ผิดเฉพาะเสื้อแดง!

ปัญหาของสังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น เพราะสังคมไทยและคนไทยต่างเห็นและรู้ดีว่า 90 ศพที่ตายนั้นใครฆ่า จะเป็นคนมีสีหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นคนที่มีอาวุธแน่นอน ไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น จนวันนี้ก็จับได้แค่ “ไอ้หรั่ง-สุรชัย เทวรัตน์” ที่ถูกยัดเยียดถึง 9 คดี ไม่ต่างกับซูเปอร์แมนที่วิ่งรอกก่อกวนวันหนึ่งได้ถึง 2 แห่ง

รวมทั้งการรวบตัว “ไอ้กบ-ส.ต.รชต วงค์ยอด” ที่เป็นคนขับรถ เสธ.แดง ซึ่งดีเอสไอระบุว่าเป็นคู่หู “ไอ้หรั่ง” ทั้งที่ “ไอ้กบ” ที่ตัวเองบอกว่าชื่อ “ป๊อด” ไม่เคยชื่อ “กบ” ยืนยันว่าช่วงที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงตนเองเป็นทหารอยู่ในสังกัดตลอดเวลา ไม่เคยไปร่วมชุมนุมแม้แต่ครั้งเดียว พร้อมทั้งอ้างพยานและที่อยู่ให้กับผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบอีกด้วย ซึ่งไม่รู้เรื่องจะเงียบหายไปเหมือน “ไอ้โม่ง” ที่เผากลางเมืองหรือไม่ จนถึงวันนี้ยังจับใครไม่ได้ แต่คนเสื้อแดงถูกประณามว่าเผาบ้านเผาเมืองไปเรียบร้อยแล้ว

ศอฉ. และดีเอสไอจึงต้องตอบคำถามเหล่านี้กับสังคมให้ได้เช่นกัน ไม่ใช่ใช้อำนาจที่มีมากมายจาก พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปกล่าวหาหรือจับกุมใครก็ได้ หรือจะนำมาใช้เฉพาะกับคนเสื้อแดง ขณะที่คนเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช่นกันแต่กลับไม่จับกุม พันธมิตรฯปิดถนนสุขุมวิท ประท้วงยูเนสโกได้ไม่ผิด แถมนายอภิสิทธิ์ยังเรียนเชิญแกนนำพันธมิตรฯเปิดบ้านพิษณุโลกให้เข้าปรึกษาหารืออีกด้วย

อีกทั้งข้อหาก่อการร้ายกรณีปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯที่ตำรวจไม่กล้าดำเนินการใดๆ แม้จะเบี้ยวไม่มาตามหมายเรียก ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงถูกจับติดคุกและ เร่งคดีเพื่อดำเนินการส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว

สังคมไร้สติ!

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรสีดำ อะไรสีเทา หรืออะไรสีขาว จริงๆแล้วสังคมไทยรู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่กลับยอมปิดตา ปล่อยให้สังคมไปตามยถากรรม ไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ไม่ใช่เพราะโง่หรือไม่รู้ แต่ยอมเหยียบ ย่ำซ้ำเติม ยอมให้เกิดความอยุติธรรมเพียงเพราะเพื่อให้ได้ชัยชนะ และเพราะความโกรธเหมือนคำพระที่ว่า “โกรธเพราะความเกลียด โกรธเพราะความกลัว โกรธเพราะความเสียใจ และโกรธเพราะความอิจฉาริษยา”

ผู้นำประเทศสอนให้คนไทยรู้จักรักษาศีลห้า ในขณะที่แค่ศีลข้อแรก “ปาณาติปาตา เวรมณีฯ” ที่ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้ว 90 ศพที่ตายเกลื่อนนั้นคือสัตว์ที่มีชีวิตหรือไม่?

“อทินนาทานา เวรมณีฯ” ที่ให้งดเว้นการถือเอาของผู้อื่น ซึ่งใช้ไม่ได้เลยกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันจนต้องปลดและสับเปลี่ยนรัฐมนตรี ขณะที่ “มุสาวาทา เวรมณีฯ” ที่ให้งดเว้นจากการกล่าวเท็จ มีนักการเมืองสักกี่คนที่รักษาศีลข้อนี้ได้ ส่วน “กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณีฯ” ที่ห้ามประพฤติผิดในกาม คงเป็นเรื่องน่าขำและน่าอายที่จะต้องพูดถึงรัฐมนตรีหรือระดับบิ๊กในบางพรรคที่ไม่เว้นแม้แต่เมียเพื่อน

ส่วนข้อสุดท้าย “สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณีฯ” อาจมีบางคนงดเว้นจากการเสพสุรายาเมาก็จริง แต่กลับเสพติดอำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา ติดใจในรสอำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ต่างอะไรกับติดยาเสพติดจนเลิกไม่ได้

ความปรองดองและปฏิรูปประเทศจึงเป็นเพียงวาทกรรม “ตอแหล” ท่ามกลางบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยซากศพและกองเลือด

ผู้นำบางประเทศกล้าสอนคนอื่นให้ถือศีลห้า ในขณะที่ตนเองทำได้แค่ “มือถือสาก ปากถือศีล”

การโกหกคือบาปแรกที่จะนำไปสู่บาปอื่นๆ

“กระชับพื้นที่” มีคนตายเป็นสิบ

“กระชับวงล้อม” ตายไปเกือบร้อย

“โดยเร็ว” ไม่ใช่ “ทันที” จึงไม่ต้องรีบร้อน

“ศีลห้า” ของคนบางคนจึงเป็นแค่ “ศีลฮ่า” ที่น่าหัวเราะและน่าละอายอย่างที่สุด!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 270 วันที่ 31 กรกฎาคม–6 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน

********************************************************************

ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน!!

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร

คิดใช้ไม้แข็ง เหมือนตี “คนรากหญ้า” ผู้รักประชาธิปไตยเสื้อแดง ให้งอเป็นขี้กอง..แต่งานนี้ คงไม่สำเร็จ หรอกนะท่าน??
เพราะ “พม่า” และ “กัมพูชา”..ไม่ใช่เป็นที่ รองมือ! รองเท้า! รองเกือก! ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” นายมาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เหมือนคน “เสื้อแดง”
ใช้ทหารเข้ามาสู้... “พม่า-เขมร” เค้าพร้อมพันตู ตอบโต้ อย่างรุนแรง
“นายกฯ อภิสิทธิ์” จะเปิดศึกรบ กับเพื่อนบ้าน..ไม่ได้ “กินหมู” เหมือนปราบเสื้อแดง จนร่วงผล็อย!!
“พม่า-เขมร” ล้วนนักรบมือเก๋า... พวกนี้ไม่ใช่เสื้อแดงมือเปล่า?...ทำเป็นงี่เง่า เดี๋ยว “มาร์ค” ก็เรียบร้อย??
*****************************************************
‘ขนหน้าแข้ง’ หลุด!!!
เชลียร์น้ำลายมันแผล็บๆ กันอย่างสุดสุด!!
“น.พ.ประเวศ วะสี” ผู้ยกก้นเป็นราษฎรอาวุโส ในฐานะ “ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป” เอาใจ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนที่ตั้งมากับมือ อย่างไม่เขินอาย......
ไม่สน ที่จะเสนอยกเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”....ไม่ขัดไม่เขิน ไม่อายฟ้าดิน ใดใด
การกระทำ ของ “น.พ.ประเวศ วะสี” สวนทาง กับ “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” อานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และ “คณิต ณ นคร” ประธานคณะกรรมการอิสระสอบสวนข้อเท็จจริง..ต่างส่งเสียงให้ยกเลิก “กฎหมายติดหนวด” พ.ร.ก.ฉุกเฉินเผด็จการ เสร็จสรรพ
“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เป็นอันตราย..แต่ “หมอประเวศ” ไม่สนใจ?. ให้ท้ายรัฐบาลท่าเดียว ขอรับ

****************************************************
‘โต’ แบบ ‘ขาลีบ’!!
เศรษฐกิจไทย ง่อยเปลี้ยเสียขา .. “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” ยังมีน้ำหน้า มาตีปี๊บ???
“จีดีพี” ที่กะปีนี้ จะโตพรวด ผงาดพราด ทะลุดทะลาด ไปกว่า ๗% “คนไทยได้อะไร”
ส่งออก เครื่องไฟฟ้า กับ รถยนต์...ฝรั่ง ญี่ปุ่น เป็นคนขนผลประโยชน์ กลับไป
โดยคนไทยได้เศษเนื้อข้างเขียง แรงงานราคาถูก..แต่ฝรั่งมังค่า ญี่ปุ่นผิวขาว ได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ ...โดย “ภาษี” ไม่ต้องเสีย!!!
ทั้ง “มาร์ค” ทั้ง “กรณ์”...สร้างแต่ความเดือดร้อน?..ยังมีน้ำหน้ามาอ้อน อีกเหรอเนี่ย??

****************************************************
‘ถอนขนห่าน’ จนเกลี้ยง!!
ธุรกิจคนไทย พากันตกตาย เจ๊งระเนระนาด เป็นเสี่ยง??
เมื่อ “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” สั่งให้ “สรรพากรเขต” ตามบี้ ตามเก็บ ภาษีเพิ่มอีกเขตละ ๑ หมื่นล้าน....
รีดเลือดกับปู...กับ “ต่างชาติ” ให้รวยอู้ฟู่ ไม่เก็บภาษี เสียงั้น
เหมือนหยั่งกะที่เขาว่า ชนชั้นใดย่อมทำเพื่อชนชั้นนั้น... “กรณ์ จาติกวณิช” คาบช้อนเงินช้อนทอง รวยมาจากท้องพ่อท้องแม่ตั้งแต่กำเนิด...จึงไม่สนใจตามเก็บภาษี จาก “คนรวย”!!!
ธุรกิจคนไทย ที่หาเช้ากินค่ำ....ถูกเก็บภาษีจนหน้าดำ?..เพราะมีกรรม ที่ได้รัฐบาล ห่วยๆ??.

**************************************************
ถูกโยงเข้าไปพัวพัน!!!
“นายพลแม็คอาร์เธอร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี โดนไขว้ไปเกี่ยวกับ ระเบิดบิ๊กซี ที่ราชประสงค์ ได้ยังไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน???
“บิ๊กพัลลภ” นั้น..ใครต่างก็ทราบว่า ท่านล้างมือในอ่างทองคำ ไปแล้วอย่างหมดจด
ภาพความเป็นนักสู้ เลือดบู๊ลิ้ม....เจอเจอะใครเป็นทิ่ม นั้นเหลือเพียงภาพพจน์
วันนี้ ถ้ามีเวลาว่าง “บิ๊กพัลลภ” ก็ไปออกรอบตีกอล์ฟ ที่สนาม ทบ. บางเขน ..ถ้าไม่มีการหวดวงสวิง ท่านก็อยู่บ้าน ตามประสาคนแก่!!!!
เลิกยัดข้อกล่าวหา.....แบบไม่เข้าท่า?....อย่างไร้น้ำยา มาให้แก??????

----------------------------------------------------------------------------

ดร.อภิวันท์ ปราศรัย จ.ลำพูน 29-07-53

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กู้ศักดิ์ศรี! ธรรมศาสตร์-หมดยุคใบสั่ง?

ที่มา.บางกอกทูเดย์

ทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง
การปลูกฝังประชาธิปไตย จะต้องสร้างตั้งแต่ในวัยเด็ก ในวัยศึกษา เพื่อที่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต จะได้รังสรรค์ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดกับประเทศชาติบ้านเมือง

ด้วยหลักคิดเช่นนี้ ทำให้บรรดาประเทศแม่แบบประชาธิปไตยในยุโรป ในสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญกับการสร้างประชาธิปไตยในสถาบันการศึกษาเป็นอย่างมาก

แต่สำหรับประเทศไทยในช่วงหลังจากการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา การปลูกฝังประชาธิปไตยในสถาบันการศึกษาหลักของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา กลับอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

ในอดีตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยมีชื่อเต็มว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ถือเป็นหนึ่งเสาหลักด้านประชาธิปไตยในสถาบันการศึกษาของประเทศ

เช่นเดียวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ถือเป็นอีกสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง
หรือไม่น้อยหน้า ก็ต้องยกให้มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของเมืองไทย คือมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอีกสถาบันที่เคียงคู่กับบทบาทประชาธิปไตยและการเมือง โดยไม่น้อยหน้าใคร

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และอีกมากมายหลายหลาก ก็ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง

จนหากมองด้วยสายตาภายนอก ก็น่าที่จะอดเชื่อมั่นไม่ได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยน่าที่จะเข้มแข็ง

แต่หลังวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา มุมมองที่มีต่อผู้นำสถาบันการศึกษาหลักของเมืองไทยก็เปลี่ยนไป... ประเทศชาติเกิดการแตกแยกแบ่งขั้ว มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างรุนแรง มีการใช้อำนาจทหารและปากกระบอกปืน รวมทั้งการใช้อำนาจนอกระบบ เข้ามาย่ำยีประชาธิปไตย เข้ามาฉีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

แต่ผู้นำสถาบันมหาวิทยาลัยที่เคยมีบทบาททางประชาธิปไตย และไม่กลัวเกรงอำนาจการเมืองและอำนาจทหาร กลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไป

นิ่ง! อมพะนำ! ไม่คิดที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แถมบางคนยังกลับสนับสนุนการทำรัฐประหาร สนับสนุนให้ต่อต้านประชาธิปไตย โดยอาศัยข้ออ้างอารยะขัดขืนขึ้นมาฉาบทา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง คือการเลือกขั้วเลือกข้างอย่างชัดเจน

เหตุผลเป็นเพราะว่า บรรดาผู้ที่ดำรงตำแหน่งในสภามหาวิทยาลัยหลายๆ แห่ง ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยหลายที่ ถูกกำหนดตัวเข้ามา และวนเวียนอยู่เฉพาะกลุ่มใช่หรือไม่?

หลายคนเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยหลายแห่ง อย่างเช่น นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ที่เป็นทั้งนายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เช่นเดียวกับ นพ.จรัส สุวรรณเวลา นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ดำรงตำแหน่งหลายมหาวิทยาลัยเช่นกัน หรือแม้แต่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เป็นผู้ที่มีภารกิจมากมายหลากหลาย

และรวมถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังดำรงตำแหน่งดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยศิลปากร และอุปนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จนถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ทำหนังสือถึง นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ตรวจสอบสมาชิกภาพว่า จะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า ส.ส.หรือ ส.ว. ไม่สามารถเป็นกรรมการในหน่วยงานของฝ่ายบริหารได้...หรือไม่

กรณีต่างๆ เกี่ยวกับสภามหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้น เมื่อมาผสมกับการที่บรรดาอธิการบดีของมหาวิทยาลัยหลายๆแห่ง ที่นอกจากจะไม่เน้นการปลูกฝังประชาธิปไตยให้กับนักศึกษายุคปัจจุบันเท่าที่ควรแล้ว ยังทำตัวไม่เป็นแบอย่างทางประชาธิปไตยให้กับนิสิต นักศีกษา อีกด้วย

ไม่เช่นนั้น เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551กลุ่มนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เรียกว่ากลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ คงจะไม่รวมตัวกันนำพวงหรีดไปมอบให้ นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี เพราะทนไม่ได้ที่มีบทบาททางการเมืองน่าเคลือบแคลง

แถลงการณ์ของนักศึกษาระบุชัดเจนเป็นที่ฮือฮาอย่างมากในขณะนั้นว่า เป็นการไว้อาลัยกับแนวคิดทางการเมืองของนายสุรพลที่ฝักใฝ่อำนาจนอกระบบ!!!

ดังนั้น น่าจะถึงเวลาหรือยังที่ควรจะต้องมีการสังคายนา บุคคลที่จะเป็นแกนนำทางความคิดในมหาวิทยาลัยต่างๆ
โดยเริ่มต้นทวงศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในอดีตให้กลับคืนมา เนื่องจากว่า ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ จะครบวาระในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ในราวเดือนกันยายน 53นี้พอดี

โดยรายชื่อของผู้ลงชิงตำแหน่ง 3 ราย ประกอบด้วย รศ.ดร.กำชัย จงจักรพันธ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ประกาศลงชิงชัยตำแหน่งอธิการบดี มธ.คนใหม่ ต่อจาก ดร.สุรพล

ต้องถือว่ามุ่งมั่นและกล้าหาญมาก เพราะ รศ.ดร.กำชัย เป็นคนแรกที่ประกาศตัวเข้า ชิงชัย และหากดูเส้นทางการทำงานที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ต้องถือว่ามีคะแนนนิยมพอฟัดพอเหวี่ยงกับ ดร.สุรพล เลยทีเดียว

รายที่ 2 คือ “อาจารย์ตู่” ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ นิติศาสตร์รุ่น 21 เพื่อนซี้ของ ดร.สุรพล หรือ “อาจารย์คุง” ที่เปรียบเสมือนฝาแฝด
ชนิดที่เลือก ดร.สมคิด ก็ได้ ดร.สุรพล แถมกลับมาอีกคนนั่นเอง

ส่วนรายที่ 3 คือ รศ.ม.ร.ว. พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม ผู้ชูสโลแกน ว่า “เปิดใจให้กว้าง เราร่วมกันสร้างธรรมศาสตร์”

มอตโต้หลักของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือ “เป็นเลิศ เป็นธรรม ร่วมนำสังคม” ในขณะที่วาทะหัวใจที่ติดปากชาวเหลืองแดงทุกคนก็คือ “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” ดังนั้น การเลือกอธิการบดีในครั้งนี้
จึงถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอย่างยิ่งในการเป็นสถาบันการศึกษาที่หนุนค้ำประชาธิปไตยของเมืองไทย

สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ ในช่วงสมัยของ ดร.สุรพล ได้มีการวางฐานทางการเมืองเพื่อยึดธรรมศาสตร์เอาไว้อย่างต่อเนื่อง ดร.สุรพลเป็นอธิการบดีมา 2 สมัย แล้วเตรียมหาทางส่งไม่ต่อให้ ดร.สมคิด โดยเมื่อ ดร.สมคิด หมดวาระ คณบดี คณะนิติศาสตร์ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คนที่ก้าวขึ้นมาแทนก็คือ รศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล รองอธิการบดีฝ่ายการคลัง พันธมิตรของ อธิการบดีสุรพลนั่นเอง

ได้มาแบบกำลังภายในที่ ทำกันอย่างเนียน ๆ ยึดเงียบได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ ดร.สุรพล หนุนหลัง
แม้วันนี้กระบวนการหนุน ดร.สมคิด จะเดินหน้าจนถือแต้มต่อ แต่ ดร. สมคิด ก็มีจุดอ่อน คือ ภาพลักษณ์ที่ถูกวิจารณ์จาก ปัญญาชน ฝ่ายก้าวหน้า ในประชาคมธรรมศาสตร์ ที่ไม่เห็นด้วยกับ ท่าทีและจุดยืนของ “สุรพลและสมคิด”ที่เข้าไปเป็นมือกฎหมาย หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะ ดร.สมคิด เข้าไปเป็นเลขานุการของสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550

แต่แม้ว่า ดร.กำชัย อาจจะต้องเหนื่อยหนักหน่อย แต่หากดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อครั้งลงชิงชัยตำแหน่งอธิการบดีกับ ดร.สุรพล
ครั้งนั้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 ดร.สุรพล ได้รับการเสนอชื่อทั้งสายอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา เป็นจำนวน 2,502 เสียง ส่วนผู้ประกาศชิงเก้าอี้อธิการบดี คือ รศ. ดร.กำชัย จงจักรพันธ์ ครั้งนั้นได้รับการเสนอชื่อมากถึง 3,016 เสียง
มากกว่าถึงห้าร้อยกว่าคะแนน

ที่น่าสนใจในครั้งนั้น ก็น่าจะเป็นผลการเสนอชื่อของบุคคลากรในสำนักงานอธิการบดี ที่ปรากฏว่า รศ. ดร. กำชัย ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุด
แต่สุดท้ายแล้ว ดร.สุรพล ก็คว้าเก้าอี้อธิการบดีไปครองได้ โดยที่มี รศ.ดร.กำชัย เป็นตำนานคู่ขนาน

นี่คือเครดิตการันตีให้เห็นว่า ดร.กำชัย ไม่ใช่ไม้ประดับที่ กลุ่ม ดร.สุรพล จะมองข้ามได้ง่ายๆ
และการแข่งขันชิงเก้าอี้อธิการบดีครั้งนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ด้วยว่า ประชาคมธรรมศาสตร์ยังมีอิสระเพียงใด

นายวีระชัย เอื้อสิทธิชัย อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า มธ.ควรใช้หลักวิชาการนำการเมือง และควรยึดถือผลประโยชน์ของ มธ.เป็นหลัก อธิการบดีคนใหม่ควรมีวิสัยทัศน์และโยบายทางวิชาการที่ชัดเจน เพื่อรองรับต่อการพัฒนาสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ต้องมีเวลา มีหลักธรรมาภิบาล

ขณะที่นายดาบมนต์ ศรีพงศ์สานต์ นศ.ชั้นปีที่ 5 คณะรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้นักศึกษาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาอธิการบดีเท่าที่ควร ตนมองว่าอธิการบดีของ มธ.ควรจะมาจากการเลือกตั้งของนักศึกษาเป็นหลัก

ส่วนนายไพโรจน์ เบญจนนท์ รองประธานสภาข้าราชการ มธ. กล่าวว่า ประชาคมของ มธ.ไม่สนใจและเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเรื่องการสรรหาอธิการบดี เพราะทุกคนเห็นว่าอำนาจการสรรหาอธิการบดีอยู่ที่สภามหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ตามนายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงวุฒิ ในฐานะกรรมการสรรหา กล่าวว่า จะรวบรวมความคิดเห็น เพื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา 29 ก.ค.นี้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการรับสมัครและเสนอชื่อจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการแถลงนโยบายและวิสัยทัศน์ต่อไป

ก้าวสำคัญครั้งนี้จึงอยู่ที่ ประชาคมธรรมศาสตร์เองนั่นแหละ จะกู้ศักดิ์ศรีและสร้างความแข็งแกร่งให้กลับคืนมาสู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือไม่???
หวังว่าคงไม่ลืมนะว่า ธรรมศาตร์นั้น

“พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”
-------------------------------------------------------------------------

"จัดระเบียบการค้าชายแดน" ปมร้อน...พม่าปิดด่านเมียวดี

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

การออกมาแถลงว่า ปัญหาการปิดด่านพรมแดนเมียวดี-แม่สอด ของทางการพม่า เกิดจากผู้รับเหมาไทยถมดินลงในแม่น้ำเมย เพื่อก่อสร้างหลักรอบริเวณท่าเรือเอกชน ท่าที่ 16 อ.แม่สอด จ.ตาก ของนายกรัฐมนตรีไทย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นั้น แน่นอนว่ามาจากรายงานที่ได้รับจากข้าราชการไทย น่าสงสัยว่านายกรัฐมนตรีได้รับรายงานเพียงเท่านี้จริง ๆ หรือ

การถมดินลงแม่น้ำเมยนั้นเกิดขึ้นจริง แต่ถูกสั่งหยุดและระงับสัญญาไม่กี่วัน หลังจากที่ฝ่ายพม่าแจ้งปิดด่านเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่การปิดด่านยังคงมีมา ต่อเนื่องหลังจากนั้น ที่จริงมีการปิดด่านหลายครั้งตั้งแต่ มิ.ย.ที่ผ่านมา เพียงแต่เป็นการปิดชั่วคราวครั้งละไม่กี่ชั่วโมงบ้าง หรือครั้งละ 1 วันบ้าง โดยเจ้าหน้าที่พม่าระบุเหตุผลแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง เช่น ผู้ใหญ่มาตรวจงาน ฝ่ายทหารต้องการปิดชั่วคราวเพื่อเตรียมงานใหญ่

แต่ก็ได้สร้างผลกระทบสะสมต่อการขนส่งสินค้าเข้า-ออกระหว่างสองประเทศพอสมควร เฉพาะที่ปิด 2-3 วัน ในช่วงกลางเดือน ก.ค. ตัวเลขจากด่านศุลกากรแม่สอดระบุว่า สินค้าที่ได้รับผลกระทบมีมูลค่า 26 ล้านบาท แต่หากนับรวมการขนส่งผ่านท่าเรือเอกชน 19 แห่ง จะมี มูลค่าใกล้ 100 ล้านบาท

การประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 53ที่มีทั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก หอการค้าจังหวัดตาก ฝ่ายทหาร ตัวแทนผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกจากพม่า และผู้ประกอบการท่าเรือเอกชน 19 แห่ง ริมแม่น้ำเมย สรุปตรงกันว่า การถมดิน ริมแม่น้ำเมยไม่ใช่เหตุผลหลัก หากแต่เป็นส่วนเสริมให้การปิดด่านมีเหตุผลมากขึ้น

เหตุผลที่แท้จริงของการปิดด่านครั้งแล้วครั้งเล่าของทางการพม่าคือ ความพยายามที่จะ "จัดระเบียบการค้าชายแดน" เพื่อให้รัฐบาลควบคุมได้เบ็ดเสร็จมากขึ้น ทั้งการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม รวมทั้งการควบคุมการส่งออก-นำเข้าสินค้าทุกอย่าง โดยมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อยู่ในลักษณะทำ ๆ หยุด ๆ เพราะ พบอุปสรรคไม่น้อย ทั้งอิทธิพลของ ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ การหลบหลีกที่เป็น มืออาชีพบริเวณชายแดน และความอ่อนด้อยของระบบราชการภายในเอง

แต่ครั้งล่าสุดเดิมพันของรัฐบาลพม่าใหญ่กว่าทุกครั้ง เพราะกำลังจะมีการ เลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้เป็นแรงบันดาลใจใหญ่ให้เข้าควบคุมการค้าชายแดน หลังจากที่บางส่วนตกอยู่ในมือชนกลุ่มน้อยมานาน เพื่อลดอิทธิพลชนกลุ่มน้อย และเพื่อจัดระเบียบด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ตามมาโดยง่าย

ที่ผ่านมา มูลค่าการค้าชายแดน ไทย-พม่า ฝั่ง อ.แมสอด จ.ตาก มีมูลค่าสูงสุดในภาคเหนือปีละ 2 หมื่นล้านบาท ล่าสุดปีงบประมาณ 2553 (ต.ค. 52-มิ.ย. 53) มีการส่งออกผ่านด่านศุลกากรแม่สอด 2.4 หมื่นล้านบาท และมีการนำเข้าประมาณ 808 ล้านบาท สินค้าส่งออกสูงสุด คือ สินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันปาล์ม ผงชูรส อาหารปรุงแต่ง

เจ้าหน้าที่ศุลกากรไทยระบุกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สินค้าไทยที่ส่งไปพม่าส่วนใหญ่อยู่ในบัญชีสินค้าต้องห้ามนำเข้าของพม่า แต่ที่ผ่านมามีการผ่อนปรนเพราะความต้องการในพม่าเองมีสูง ประกอบกับรัฐบาลพม่าไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ ทั้งในส่วนที่อยู่ในความดูแลของชนกลุ่มน้อย หรือที่ดูแลโดยข้าราชการ พม่าเอง มีการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเมียวดีบ่อยครั้ง

"รู้มาก่อนหน้านี้เป็นเดือนว่าจะมีการ ปิดด่าน เป็นเหตุผลการเมืองภายในพม่าเอง สินค้าบางตัวที่ชนกลุ่มน้อยมีอิทธิพลหรือเป็นผู้ดูแลประโยชน์อยู่ รัฐบาลต้องการดึงไปทำเอง รายได้ที่ชนกลุ่มน้อยส่งให้รัฐบาลหรือที่รัฐบาลจัดเก็บเองก็น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าสินค้านำเข้า สถานการณ์จะดีขึ้นต่อเมื่อ การเลือกตั้งเสร็จ"

ตัวแทนผู้ส่งออกรายหนึ่งกล่าวว่า การส่งออกสินค้าบางตัวมีปัญหาหนัก เช่น น้ำมันปาล์ม รัฐบาลพม่าสนับสนุนให้นำเข้าผ่านท่าเรือย่างกุ้งเป็นหลัก เนื่องจากมีบริษัทที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการนำเข้าอยู่แล้ว จึงมีความพยายามจะสกัดกั้นการนำเข้าจากชายแดน

ก่อนนี้มีความพยายามสกัดกั้นการนำเข้ารถยนต์ด้วย แต่ต่อมามีการเจรจาประนีประนอมเรื่องการเสียภาษี โดยให้ผู้นำเข้าเสียภาษีกับศุลกากรพม่ามี 2 อัตรา คือ อัตราภาษี 85% ของราคารถยนต์จะใช้รถได้ทั่วประเทศ ถ้าเสียภาษี 35% จะใช้รถได้ในบางพื้นที่เท่านั้น รัฐบาลพม่าจึงยอมให้มีการนำรถเข้าทางชายแดนโดยกำหนดให้ด่านเมียวดีเป็นจุดตรวจนับและสำแดงภาษี

ผู้นำเข้าอีกรายเปิดเผย ว่า ปัจจุบันรัฐบาลยังเข้มงวดตรวจตราใบอนุญาตนำเข้า หรือ Import License สินค้าที่นำเข้าจะต้องตรงกับที่ระบุในใบขออนุญาตนำเข้าทั้งชนิด เครื่องหมายการค้า และปริมาณ หากไม่ตรงจะถูกปรับหรือจับทันที การเข้มงวดนี้เพื่อควบคุมสินค้าห้ามนำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทย และเพื่อเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้า ก่อนนี้สินค้าที่นำเข้ากับใบอนุญาตมักไม่ตรงกันทำให้พม่าเสียรายได้มาก

ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้ "ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นคนแม่สอด ที่เพิ่งยกขบวนนักอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไปประชุมร่วมกับนักอุตสาหกรรมจากพม่า ต่างรับรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด

ดังนั้นควรจะเป็นคนเริ่มเสนอแง่มุมนี้ ให้นายกรัฐมนตรีไทยทราบ เพื่อรู้ว่า ควรจะแก้ไขตรงจุดไหน อย่างไร หรือแสดงท่าทีอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์

ไม่เช่นนั้นเราจะจมอยู่กับเหตุผลเดิม คือข้อโต้แย้งเรื่องการรุกล้ำลำน้ำ ทั้งที่มันเป็นข้อโต้แย้งปลีกย่อยชายแดน ที่สองฝ่ายต่างใช้เป็นเครื่องมือมาตั้งแต่ปี 2525 แล้ว

****************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของชาติ: พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 พ.ร.ก.การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551

โดย อาจารย์ พัชร์ นิยมศิลป คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาระหน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐ คือ การรักษาความสงบภายในและการป้องกันภัยจากภายนอก ภาระหน้าที่การรักษาความสงบได้ส่งผลให้รัฐต้องมีโครงสร้าง มีองค์กรที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการรักษาความสงบโดยเฉพาะ อันได้แก่ องค์กรฝ่ายปกครอง องค์กรตำรวจและองค์กรทหารโดยมีรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหารเป็นผู้บังคับบัญชา องค์กรเหล่านี้ก็จะต้องอาศัยอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากไล่พิจารณาบรรดากฎหมายทั้งหลายที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารแล้วก็จะพบว่ากฎหมายที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษที่สุด กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ผิดปรกติ เป็นเหตุฉุกเฉินและมีความร้ายแรงถึงขนาดที่กฎหมายที่บังคับใช้ในยามปรกติไม่สามารถจัดการสถานการณ์นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเพราะกฎหมายที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงเป็นกฎหมายที่มีทั้งพระเดชและพระคุณ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่นักนิติศาสตร์จะให้ความสนใจกับกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษเหล่านี้

แนวคิดเกี่ยวกับความมั่นคง

พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ(1) กล่าวว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ หมายถึง การทรงตัวอยู่อย่างแน่นหนาถาวร ดำรงเอกราช มีเสรีภาพแห่งชาติ มีความสงบสุขภายในประเทศ มีความแน่นอนในชีวิตเศรษฐกิจของพลเมือง คาดหมายรายได้ของรัฐได้ถูกต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริง ค่าของเงินตรามีเสถียรภาพ รัฐไม่ต้องประสบความยุ่งยากระส่ำระสาย ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ง่าย ผู้คนพลเมือง รู้สึกมีความปลอดภัยมีความหวังและความไว้วางใจในอนาคต และยังไว้วางใจต่อไปอีกว่า ถึงแม้ผันผวนหรือเหตุร้ายอันใดจะเกิดขึ้นมา รัฐสามารถจะต่อสู้หรือป้องกันได้”

พ.อ. ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง(2) ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ได้ให้ความหมายของความมั่นคงแห่งชาติ ว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ คือ ความแน่นหนาและทนทานของกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ภายใต้โครงสร้าง เดียวกันและอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกลาง หรือ อีกนัยหนึ่งคือ ความแน่นหนาและทนทานต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ของกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ภายใต้โครงสร้างเดียวกันและอยู่ภายใต้ การปกครองของรัฐบาลกลาง”

เอกสารประการศึกษาวิชาความมั่นคงศึกษา (Security Studies) ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ได้ให้ความหมายของความมั่นคงแห่งชาติไว้ว่า "ความมั่นคงแห่งชาติ หมายถึงสภาวการณ์หรือสภาพที่รัฐชาติ ภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองดินแดนดังกล่าวด้วยตนเอง ที่สามารถดำรงอยู่ด้วยความปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็น เกณฑ์การเสี่ยงใด ๆ ความเกรงกลัว ความกังวล และความสงสัย มีความเจริญก้าวหน้า มีเสรีต่อแรงกดดันต่าง ๆ ซึ่งจะประกันให้เกิดอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนภายในชาติดำเนินไปได้อย่าง อิสระ มีความแน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่น มีความแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงไปโดยง่าย มีความอดทนต่อแรงกดดันต่าง ๆ ที่มากระทบในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านเอกราช อธิปไตย ในด้าน

บูรณภาพแห่งดินแดน ในด้านสวัสดิภาพ ความปลอดภัยและผาสุกของประชาชน ในด้านการปกครองของประเทศและวิถีการดำเนินชีวิตของตน อีกทั้งจะต้องมีขีดความสามารถที่จะพร้อมเผชิญต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น"(3) ดังนี้วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจึงได้แบ่งประเภทของความมั่นคงแห่งชาติออกเป็น 5 ด้าน คือ ความมั่นคงแห่งชาติด้านการเมือง ความมั่นคงแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงแห่งชาติด้านสังคมจิตวิทยา ความมั่นคงแห่งชาติด้านป้องกันประเทศ และลำดับสุดท้ายคือความมั่นคงแห่งชาติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การพลังงานและสิ่งแวดล้อม(4)

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า “ความมั่นคงของชาติ” นั้นมีลักษณะร่วมคือการรักษาความเป็นอิสระของรัฐและความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชนในรัฐ แต่เดิมรัฐจะมองว่าความมั่นคงของชาติจะถูกกระทบโดยภัยคุกคามจากต่างชาติเป็นหลัก แต่หลังจากการก่อวินาศกรรมถล่มตึกเวิร์ดเทรด ณ นครนิวยอร์ก ภัยจากการก่อการร้ายได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐที่กำลังได้รับความสนใจ(5) และส่งผลให้แนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติเปลี่ยนไป ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” มิได้จำกัดอยู่เฉพาะความมั่นคงของ “รัฐ” ในฐานะนิติบุคคลสมมุติเท่านั้น แต่จะกินความรวมไปถึง “ความมั่นของของมนุษย์” (human Security) ในชาตินั้นๆ ด้วย ทั้งนี้สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) ได้แบ่งประเภทความมั่นคงของมนุษย์ในรายงานการพัฒนาคนของประเทศไทย ปี 2552 ออกเป็น 6 มิติ(6) ได้แก่ ความมั่นคงทางเศษรฐกิจ ความั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางสุขภาพ ความมั่นคงของปัจเจกบุคคล และความมั่นคงทางการเมือง ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าเมื่อพิจารณาถึง “ความมั่นคงของรัฐ” เราจะต้องมองรัฐในองค์รวมโดยคำนึงถึงประชาชนและความเป็นอยู่ของประชาชนที่อยู่ในรัฐนั้น ๆ ด้วย มิใช่มองเพียงแต่ผู้ใช้อำนาจหรือองค์กรที่ใช้อำนาจในรัฐเท่านั้น

กฎหมายพิเศษเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ

ปัจจุบันเทคโนโลยีที่เจริญขึ้นของมนุษย์และกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ส่งผลให้ภัยคุกคามที่จะกระทบต่อความมั่นคงของชาตินั้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีความรุนแรงและสามารถขยายตัวส่งผลกระทบได้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้รัฐต้องมีกฎหมายพิเศษเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติไว้เป็นการเฉพาะ หลากประเทศได้มีการกำหนดให้รัฐมีอำนาจพิเศษที่จะรักษาความมั่นคงของชาติในยามวิกฤติ ซึ่งที่มาของกฎหมายพิเศษนี้จะมาจากสองแหล่งสำคัญ คือ รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ สำหรับกรณีที่จัดว่าเป็นเหตุฉุกเฉินมีความจำเป็นต้องใช้อำนาจพิเศษสามารถเป็นได้ตั้งแต่ภัยธรรมชาติไปจนถึงระดับสงครามระหว่างประเทศ โดยผู้มีอำนาจประกาศใช้ส่วนใหญ่จะเป็นประมุขของรัฐหรือผู้ที่ใช้อำนาจสูงสุดในการบริหาร ส่วนการสิ้นผลของกฎหมายพิเศษนั้นจะแบ่งออกเป็นตามข้อเท็จจริงและตามกำหนดระยะเวลา (โปรดดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงในประเทศแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร(7) (Nan D. Hunter: 2009)

ประเทศแคนาดา ที่มาของกฎหมาย Emergencies Act ประเภทความฉุกเฉิน สงคราม
ภัยคุกคามระหว่างประเทศ

ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ผู้มีอำนาจประกาศใช้ นายกรัฐมนตรี การสิ้นผล 90 วัน หลังจากประกาศใช้ เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะขยายระยะเวลา หรือถูกยกเลิกโดยนายกรัฐมนตรีหรือรัฐสภา

ประเทศฝรั่งเศส ที่มาของกฎหมาย รัฐธรรมนูญ / รัฐบัญญัติ ประเภทความฉุกเฉิน ตามข้อยกเว้นรัฐธรรมนูญ การยึดครอง (Siege) เหตุฉุกเฉิน ผู้มีอำนาจประกาศใช้ ประธานาธิบดี การสิ้นผล 12 วันหลักจากประกาศใช้ เว้นแต่รัฐสภาจะเห็นชอบให้ขยายระยะเวลา

ประเทศเยอรมนี ที่มาของกฎหมาย Emergency Acts
(constitutional and statutory components) ประเภทความฉุกเฉิน การป้องกันรัฐจากภัยภายนอก ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ภัยคุกคามภายใน ภัยธรรมชาติ

ผู้มีอำนาจประกาศใช้ รัฐสภา (Bundestag)การสิ้นผล 1.ยกเลิกโดยรัฐสภา
2.ยกเลิกเมื่อเหตุฉุกเฉินสิ้นสุดลง

ประเทศสหราชอาณาจักร ที่มาของกฎหมาย Civil Contingencies Act ประเภทความฉุกเฉิน สงคราม ภัยก่อการร้าย ภัยต่อชีวิต สวัสดิภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ผู้มีอำนาจประกาศใช้ พระมหากษัตริย์/สมเด็จพระราชินีนาถ สภาที่ปฤกษาในพระองค์ (Privy Council) นายกรัฐมนตรี
การสิ้นผล 7 วันหลักจากประกาศใช้ เว้นแต่รัฐสภาจะเห็นชอบให้ขยายระยะเวลา

เปรียบเทียบกฎหมายความมั่นคงของไทย

ในประเทศไทยมีกฎหมายพิเศษในลักษณะนี้อยู่ 3 ฉบับ ได้แก่ (1) พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 (2) พ.ร.ก. การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ (3) พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 กฎหมายทั้ง 3 ฉบับข้างต้นนี้ต่างก็มีจุดประสงค์เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ โดยจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง โดยมีลักษณะที่คล้ายกันคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถออกข้อกำหนดที่มีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ทั้งนี้เพื่อควบคุมให้สังคมกลับสู่สถานการณ์ปรกติ กระนั้นหากได้พิจารณาโดยละเอียดแล้วจะพบว่ากฎหมายทั้งสามฉบับมีความแตกต่างกันทั้งใน รูปแบบการจัดการภัยต่อความมั่นคงและระดับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ด้วยมูลเหตุดังกล่าวผู้เขียนจึงปรารถนาให้บทความชิ้นนี้เป็นความรู้เบื้องต้นในการทำความเข้าใจความแตกต่างของกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงทั้ง 3 ฉบับ โดยจะทำการเปรียบเทียบจากเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (1) องค์กรผู้ใช้อำนาจ (2) การให้ความหมาย “ภัยต่อความมั่นคง” (3) อำนาจหน้าที่ (4) ระวางโทษ (5) กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจและข้อจำกัด (6) การเยียวยาความเสียหาย (โปรดดูตารางที่ 2 ประกอบการเปรียบเทียบ)
(1) องค์กรผู้ใช้อำนาจ

พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้กำหนดให้มีหน่วยงานหนึ่ง เรียกว่า “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” หรือที่รู้จักกันโดยย่อว่า “กอ.รมน.” หน่วยงานนี้จะอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรีแต่มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(8) ผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการฯและเสนาธิการทหารบกเป็นเลขาธิการ รับผิดชอบงานอำนวยการและธุรการของ กอ.รมน. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประกอบด้วยข้าราชการการเมือง ข้าราชการ

พลเรือนและข้าราชการทหารระดับสูง ทำหน้าที่กำกับ ให้คำปรึกษาและเสนอแนะต่อ กอ.รมน.ในการปฏิบัติงาน หากมีกรณีจำเป็นที่จะรักษาความมั่นคงในพื้นที่ของกองทัพภาคใด คณะกรรมการอำนวยการฯ โดยคำเสนอของผู้อำนวยการฯ

(ผอ.กอ.รมน.) จะมีมติให้ตั้ง “กอ.รมน.ภาค”(9) มีแม่ทัพภาคเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน.ภาค ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคตามที่ผู้อำนวยการฯ มอบหมาย นอกจาก ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค ก็สามารถตั้ง กอ.รมน.จังหวัด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีนี้จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน.จังหวัด

พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตรา 7 ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบังคับบัญชาสั่งการข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร นายกรัฐมนตรียังสามารถแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจหรือทหารซึ่งมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี ผู้บัญชาการตำรวจ แม่ทัพ หรือเทียบเท่า ให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีสามารถมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้ใช้อำนาจตาม

พระราชกำหนดได้ ในกรณีที่มีความจำเป็น คณะรัฐมนตรีอาจให้มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเป็นการเฉพาะเพี่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้เป็นการชั่วคราวได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าองค์กรผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น คือ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูง โดยอาจมีหน่วยงานพิเศษเพื่อจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนหน่วยงานที่ได้รับคำสั่งจะเป็นผู้ปฏิบัติงาน ประการนี้แตกต่างจากลักษณะของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่กำหนดให้ กอ.รมน. เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจและ องค์ประกอบของ กอ.รมน.ก็ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนซึ่งแตกต่างกับ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินตรงที่นายกรัฐมนตรีจะต้องไปแต่งตั้งผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือที่คณะรัฐมนตรีจะต้องไปจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเป็นการเฉพาะเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดเป็นการชั่วคราว

พ.ร.บ. กฎอัยการศึกกำหนดให้องค์กรผู้ใช้อำนาจคือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร โดยในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร(10) ดังนี้จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่มีการประกาศกฎอัยการศึกแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะมีอำนาจเต็มในพื้นที่ นอกจากนั้นเมื่อได้มีการประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ศาลทหารจะเข้ามาเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจตุลาการในคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาศึกและคดีอาญาที่ระบุไว้ในบัญชีต่อท้าย พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ตัวอย่างเช่น ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เป็นต้น

เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าระดับขององค์กรผู้ใช้อำนาจ หรือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจตามกฎหมายแต่ละฉบับนั้นแตกต่างกัน โดยพ.ร.บ.กฎอัยการศึก นั้นจะให้อำนาจเต็มที่แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารให้สามารถปฏิบัติการยุทธวิธีได้ตามที่เห็นสมควร อีกทั้งยังเป็นองค์กรผู้ใช้ทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นจะรวมอำนาจบังคับบัญชาเข้าสู่นายกรัฐมนตรีโดยมีคณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรตรวจสอบ

ดุลยพินิจภายในฝ่ายปกครอง ส่วน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จะมี กอ.รมน. เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจที่มีลักษณะถาวร เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาก่อนสถานการณ์ไม่ปรกติจะอุบัติขึ้น ครั้นเมื่อเกิดปัญหา กอ.รมน.ก็จะสามารถเข้าแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการแต่งตั้ง
(2) การให้ความหมาย “ภัยต่อความมั่นคง”

พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมีเจตนารมณ์ให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรตลอดจนบูรณาการและประสานงานการปฏิบัติร่วมกับทุกส่วนราชการซึ่งจะก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการแก้ไขปัญหา ดังนี้การที่จะทราบเงื่อนไขในการใช้อำนาจจึงต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรคืออะไร

พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ให้นิยาม “การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” หมายความว่า การดำเนินการเพื่อ ป้องกัน ควบคุม และฟื้นฟูสถานการณ์ใด ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ ให้กลับสู่สภาวะปกติเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ(11) ดังนี้จะเห็นได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ได้ให้นิยามอย่างกว้างไว้ เปิดช่องให้ตีความถึง “ภัยคุกคามด้านความมั่นคง” เมื่อได้พิจารณาประกอบกับมาตรา 7 (1) แล้วจะพบว่าผู้ที่ใช้ดุลยพินิจในส่วนนี้คือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งมีหน้าที่ประเมินแนวโน้มของสถานการณ์และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป นอกจากนั้นในมาตรา 15 ได้ระบุเงื่อนไขในการเริ่มใช้อำนาจไว้ สรุปได้ดังนี้
(ก) เป็นกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรแต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

(ข) เหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานานทั้งอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน

(ค) คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ กอ.รมน.เป็นผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนดได้ โดยให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป

พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้กำหนดนิยาม “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ไว้อย่างกว้างเช่นเดียวกับ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หากแต่ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ได้ให้นิยามที่ชัดเจนและเจาะจงกว่าคำว่า “ภัยต่อความมั่นคงของรัฐ” ที่ปรากฎใน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คำว่า “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ตามพระราชกำหนดนี้มีความชัดเจนกว่า ดังต่อไปนี้

(ก) เป็นสถานการณ์ที่กระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความั่นคงหรืออาจทำให้ประเทศส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศตกอยู่ในสภาวะคับขัน หรือเป็นกรณีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา การรบหรือการสงคราม

(ข) มีความจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ รักษาเอกราช ผลประโยชน์ของชาติ การปฏิบัติตามกฎหมาย ความปลอดภัยของประชาชน การดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์ด้วยส่วนรวมหรือการป้องปัดหรือแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะอันมีมาอย่างฉุกเฉินและร้ายแรง

ดังนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เมื่อเห็นสมควรใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเข้าแก้ไขสถานการณ์ก็สามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใช้ในท้องที่หรือใช้ทั่วประเทศเพื่อควบคุมสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ดีในกรณีที่ไม่อาจขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีได้ทันท่วงที นายกรัฐมนตรีก็สามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปก่อนแล้วดำเนินการขอความเห็นชอบภายหลังภายในสามวันก็ได้ หากพ้นระยะเวลา 3 วัน ยังมิได้รับความเห็นชอบ หรือคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็เป็นอันสิ้นสุดลง(12)

พ.ร.บ.กฎอัยการศึกมิได้ให้นิยามใดๆเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นต้นเหตุให้ใช้อำนาจพิเศษ หากแต่วางหลักการกว้าง ๆ ว่าให้ใช้ได้ในสองกรณี คือ

(ก) เมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์จะมีพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึก(13)

(ข) เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ณ แห่งใดให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป้นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆ ของทหารมีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก เฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้นได้แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด(14)

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะพบว่ากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้ให้ความหมายของภัยต่อความมั่นคงอย่างกว้างเพื่อให้

ดุลยพินิจแก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการเลือกกลไกการแก้ปัญหาตามกฎหมายพิเศษมาบังคับใช้ หากแต่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้กำหนดเงื่อนไขถึงภัยต่อความมั่นคงที่เป็นการเฉพาะ อาทิ การก่อการร้าย การรบหรือการสงคราม ในขณะที่ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกก็ได้ให้แนวทางกว้าง ๆ ว่าอาจเป็นภัยจากภายนอกหรือภัยจากภายในราชอาณาจักร โดยยกตัวอย่างไว้ 2 กรณี คือ ภัยจากสงครามและภัยจากการจลาจล สำหรับ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไม่ได้กล่าวไว้เฉพาะเจาะจงว่าภัยต่อความมั่นคงนี้ได้แก่อะไรบ้าง

(3) อำนาจหน้าที่

กฎหมายทั้ง 3 ฉบับนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้งและแก้ไขบรรเทาเหตุการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ดังนั้นกฎหมายเหล่านี้จึงกรอบอำนาจหน้าที่ที่เหมือนกัน ได้แก่
(1) ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำหรือไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด
(2) กำหนดพื้นที่ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ที่กำหนด
(3) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด
(4) ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
(5) ควบคุมการใช้เส้นทางคมนาคม
(6) กำหนดข้อปฏิบัติหรือข้องดเว้นการใช้เครื่องมือหรืออุปการณ์อิเล็กทรอนิกส์

ส่วนอำนาจที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ให้อำนาจเพิ่มขึ้นมากกว่าพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้แก่
(1) ห้ามชุมนุมมั่วสุมหรือกระทำการอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
(2) ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจนกระทบค่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในบางเขตพื้นที่หรือทั้งประเทศ
(3) ห้ามการใช้อาคารหรือเข้าไปอยู่ในสถานที่ใด ๆ
(4) กำหนดให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่
(5) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมหรือควบคุมผู้ต้องสงสัยโดยมีหมายศาล
(6) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงานตัว ให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่
(7) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึด อายัดอาวุธ สินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัตถุอื่นใด
(8) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจค้น รื้อ ถอน หรือทำลายซึ่งอาคาร สิ่งปลูกสร้าง โดยไม่ต้องมีหมายศาล
(9) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนระงับการสื่อสาร โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษโดยอนุโลม
(10) ประกาศห้ามมิให้กระทำการใด ๆ หรือสั่งให้กระทำการใด ๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศหรือความปลอดภัยของประชาชน
(11) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดออกไปนอกราชอาณาจักร
(12) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งการให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักร
(13) ควบคุมการซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจใช้ในการก่อความไม่สงบหรือก่อการร้าย
(14) ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจระงับเหตุการณ์ร้ายแรง

เมื่อพิจารณากรอบอำนาจ ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกแล้วจะพบว่ากฎหมายได้ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเป็นอย่างมาก โดยกำหนดไว้ใน มาตรา 6 ว่า ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้น ที่จะเกณฑ์ ที่จะห้าม ที่จะยึด ที่จะเข้าอาศัย ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ ที่จะขับไล่ ดังนี้เมื่อใดที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ทหารก็จะเข้ามามีบทบาทในการรักษาความสงบอย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะถอยทัพ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มาตรา 14 (1) กำหนดให้อำนาจแก่ทหารในการที่จะเผาบ้านและสิ่งซึ่งเห็นว่าจะเป็นกำลังแก่ราชศัตรู หรือถ้าแม้ว่าสิ่งใด ๆ อยู่ในที่ซึ่งกีดกับการสู้รบก็ทำลายได้ทั้งสิ้น

กล่าวโดยย่อ กฎหมาย 3 ฉบับข้างต้นนี้สามารถจัดอันดับกรอบการใช้อำนาจของรัฐ จากเบาไปหาหนักโดยเริ่มจาก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ไปสู่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และท้ายสุดคือ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก

(4) ระวางโทษ
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาตรา 24 ได้กำหนดโทษ ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในขณะที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตรา 16 กำหนดให้ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ดีแม้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกนั้นมิได้กำหนดระวางโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไว้เป็นการเฉพาะ แต่เป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาให้ได้รับโทษทางอาญาตามฐานความผิดที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายประกอบกับ พ.ร.บ. กฎอัยการศึก ทั้งนี้การพิจารณาคดีดังกล่าวจะพิจารณาโดยศาลยุติธรรม ศาลอาญาศึก หรือศาลทหาร แล้วแต่กรณี

(5) กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจและข้อจำกัด
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรวางกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจทางการเมืองไว้ โดยให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานที่ กอ.รมน. เสนอ(15) นอกจากนั้นยังกำหนดให้ภายหลังจากที่เหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงสิ้นสุดลงหรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบตามปรกติก็ให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ที่ได้รับมอบหมายสิ้นสุดลงและให้นายกรัฐมนตรีรายงานผลต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว(16) สำหรับข้อจำกัดการตรวจสอบอำนาจตามกฎหมายฉบับนี้ได้แก่การที่กำหนดให้ บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามหมวด 2 ภารกิจการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และการดำเนินคดีใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องก็จะอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ทั้งนี้ยังกำหนดอีกด้วยว่าในการพิจารณาใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลจะต้องเรียกเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจ้งข้อเท็จจริง รายงาน หรือแสดงเหตุผลประกอบการพิจารณาด้วย(17)

พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้กำหนดการตรวจสอบดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรีโดยให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สำหรับการจับและควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยตามประกาศใน มาตรา 11 (1) กฎหมายกำหนดให้ต้องขออนุญาตจากศาล โดยให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการขอออกหมายอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาบังคับใช้โดยอนุโลม(18) ส่วนข้อจำกัดในการตรวจสอบการใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้กำหนดให้ ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง(19) ดังนี้จึงเป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลปกครองเช่นเดียวกับ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

สำหรับการตรวจสอบการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกนั้น การจะประกาศใช้กฎอัยการศึกได้จะต้องมีประกาศพระบรมราชโองการ แม้เมื่อจะเลิกใช้กฎอัยการศึกก็จะต้องมีประกาศพระบรมราชโองการเช่นเดียวกัน ในส่วนการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการเป็นการเฉพาะ โดย พ.ร.บ.กฎอัยการศึกได้กำหนดให้ศาลพลเรือนคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้อย่างปรกติ เว้นแต่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาศึกหรือเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร อำนาจพิเศษนี้จะมีอยู่แม้กระทั้งเมื่อได้เลิกใช้กฎอัยการศึกแล้วศาลทหารก็ยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ยังคงค้างอยู่ในศาลนั้น อีกทั้งยังมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ยังมิได้ฟ้องร้องในระหว่างเวลาที่ใช้กฎอัยการศึกได้ด้วย

(6) การเยียวยาความเสียหาย
เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ออกมาตรการ ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงแล้ว กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้

กอ.รมน. จัดให้ผู้ที่สุจริตและได้รับความเสียหายได้รับค่าชดเชยค่าเสียหายตามควรแก่กรณีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ในขณะที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดว่าพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดตามกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่(20)

ซึ่งในกรณีนี้ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจะต้องนำความไปฟ้องกับศาลยุติธรรมไม่สามารถฟ้องต่อศาลปกครองได้ ทั้งนี้เนื่องจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ปฏิเสธอำนาจของศาลปกครอง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองซึ่งในปัจจุบันจะเป็นองค์กรหลักที่วินิจฉัยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่(21) จุดน่าสังเกตในกรณีนี้คือ ผลลัพธ์แห่งคดีจะแตกต่างกันหรือไม่ถ้าการละเมิดของเจ้าหน้าที่ถูกพิจารณาโดยศาลซึ่งมีวิธีพิจารณาที่แตกต่างกันและผู้พิพากษาก็มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นหากมองในมุมผู้ได้รับความเสียหาย ต้นทุนในการเรียกร้องความเสียหายและกระบวนการในการฟ้องต่อศาลปกครองก็สร้างภาระแก่ผู้เสียหายน้อยกว่ากว่าการเป็นโจทก์ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐต่อศาลยุติธรรมเพราะการฟ้องคดีต่อศาลปกครองนั้นผู้ฟ้องไม่ต้องแต่งทนาย อีกทั้งศาลปกครองก็ดำเนินการพิจารณาแบบไต่สวนซึ่งศาลสามารถหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้เองซึ่งจะแบ่งเบาภาระในการพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดี

ในกรณีที่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก บุคคลหรือบริษัทใด ๆ จะร้องขอค่าเสียหายอย่างใดๆ แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย(22) ทั้งนี้กฎหมายฉบับนี้ได้ให้เหตุผลว่าอำนาจทั้งปวงที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้ปฏิบัติและดำเนินการตามกฎอัยการศึกนี้เป็นการใช้อำนาจเพื่อป้องกันพระมหากษัตริย์ ชาติ ศาสนา ให้ดำรงอยู่ได้โดยสงบเรียบร้อยปราศจากราชศัตรูภายนอกและภายใน อนึ่งบทบัญญัติปฏิเสธความรับผิดอย่างใด ๆ นี้มีข้อน่าสังเกตว่า พ.ร.บ.กฎอัยการศึกเป็นบทบัญญัติที่มีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งยังใช้รูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งแนวคิดในสมัยนั้นยังมิได้คำนึงถึงสิทธิของเอกชนเท่าใดนัก หากเป็นการเพื่อจะรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้วรัฐก็มิต้องเยียวยาความเสียหายให้เอกชน กระนั้นหากพิจารณาตามบริบทในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) มาตรา 60 ได้รับรองสิทธิของบุคคลในการฟ้องหน่วยงานของรัฐไว้ โดยบัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล ให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น” นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 32 วรรคห้าได้รับรองสิทธิของผู้เสียหายในการที่จะร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือ

เพิกถอนการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายเพื่อให้ศาลสั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น หรือร้องให้ศาลกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ดังนี้ ผู้เขียนเห็นว่าบทตัดความรับผิดชอบตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มาตรา 16 นี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประเด็นนี้จะต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยหรือต้องรอให้ฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินการแก้ไขกฎหมายไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญต่อไป

ตารางที่ 2: แสดงความแตกต่างของกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงในประเทศไทย

เกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน พ.ร.บ.กฎอัยการศึก

(1) องค์กรผู้ใช้อำนาจ มี กอ.รมน.เป็นหน่วยงานเฉพาะ มีลักษณะถาวร นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลผู้ใช้อำนาจ หรือคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งหน่วยงานพิเศษเป็นการเฉพาะ องค์กรทหารเป็นผู้ใช้อำนาจเหนือองค์กรพลเรือน

(2) การให้ความหมาย “ภัยต่อความมั่นคง” ให้นิยามอย่างกว้าง แต่มิได้ให้ตัวอย่าง ให้นิยามอย่างกว้าง โดยมีการยกตัวอย่าง เช่น การก่อการร้าย การรบหรือสงคราม ภัยพิบัติสาธารณะที่มีมาอย่างฉุกเฉินและร้ายแรง ให้นิยามอย่างกว้าง โดยมีตัวอย่างเช่น การจลาจล การสงคราม

(3) อำนาจหน้าที่ น้อยที่สุด ปานกลาง มากที่สุด

(4) ระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มิได้กำหนดไว้

(5) กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจและข้อจำกัด 1) มีการตรวจสอบทางการเมืองโดยให้ ครม.เป็นผู้ให้ความเห็นชอบและ

ตรวจสอบการการเมืองภายหลังโดยรัฐสภา

2) ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และการดำเนินคดีใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องจะอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม 1) มีการตรวจสอบทางการเมืองโดยให้ ครม.เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ

2) ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 1) จะประกาศหรือเลิกกฎอัยการศึกต้องมีพระบรมราชโองการ
2) ตรวจสอบโดยศาลทหารและศาลพลเรือนแล้วแต่กรณี

(6) การเยียวยาความเสียหาย
ผู้ที่สุจริตและได้รับความเสียหายจะได้รับค่าชดเชยค่าเสียหายตามควรแก่กรณีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ต่อศาลยุติธรรม จะร้องขอค่าเสียหายอย่างใดๆ แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย

บทส่งท้าย
หากตั้งคำถามว่าประเทศไทยจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีกฎหมายความมั่นคง คำตอบที่สามารถตอบได้ทันทีคือ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายความมั่นคง ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุที่ทุกรัฐในโลกปัจจุบันมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในลักษณะนี้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม นานาอารยประเทศที่พึ่งพากฎหมายในการปกครองประเทศต่างก็มีกฎหมายความมั่นคงบังคับใช้ในระบบกฎหมายของประเทศตนเอง แต่ทั้งนี้ก็มีสิ่งที่นักนิติศาสตร์ควรจะพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วน คือ การให้นิยามและความหมายแก่ “ภัยต่อความมั่นคง” หรือ “ภัยต่อความสงบสุขเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน” เพื่อให้กรอบของกฎหมายมีความชัดเจน จริงอยู่ที่การศึกษาวิเคราะห์ภัยคุกคาม (Threat) ประเภทต่าง ๆ รวมไปถึงการศึกษาเรื่องความมั่นคงของชาติ (national security)จะเป็นหน้าที่ของนักรัฐศาสตร์ กระนั้นผู้เขียนเห็นว่านักนิติศาสตร์ไทยมีหน้าที่จะต้องนำนิยามที่

กฎหมายระบุไว้โดยกว้าง มาตีความและจำแนกให้ชัดเจนมากขึ้น มิเช่นนั้นฝ่ายรัฐเองจะอาศัยอำนาจที่มีอยู่อย่างเด็ดขาดตามกฎหมายความมั่นคงเหล่านี้ในการชิงความได้เปรียบทางการเมือง หรือแม้กระทั่งทำลายคู่แข่งทางการเมืองได้ ผู้เขียนขอยกอุทาหรณ์การใช้กฎหมายความมั่นคงเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองที่ปรากฎให้เห็นในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทางทิศใต้มีประเทศมาเลเซียที่มีกฎหมายความมั่นคงเรียกว่า Internal Security Act 1960 (Akta Keselamatan Dalam Negeri) กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า “ISA” ซึ่งพัฒนามาจากกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น แม้ต่อมาสงครามเย็นจะจบลงแล้วกฎหมายฉบับนี้ก็มิได้ลดบทบาทลงแต่อย่างใด รัฐบาลกลางกลับใช้ ISA ในการสร้างเสถียรภาพให้แก่รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมสื่อ การดักฟัง การจับกุม การลดทอนเสรีภาพทางวิชาการ และการอื่น ๆ ที่สร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้แก่รัฐบาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีอดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม ที่ถูก ISA ทำลายอนาคตทางการเมือง

ในขณะที่ทางทิศตะวันตกของไทยก็มีประเทศพม่าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในจำกัดอนาคตทางการเมืองของนาง ออง ซาน ซูจี หรือการปราบปรามการประท้วงที่นำโดยพระสงฆ์พม่าในปี พ.ศ. 2550 ดังนี้ เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย เราควรที่จะตระหนักเสมอว่ากฎหมายความมั่นคงนั้นเป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งนั้นมีคุณอนันต์สามารถนำพาความสงบสุขมาให้แก่ประเทศชาติและประชาชนได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นมันก็สามารถทำลายสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองเพราะ การใช้สิทธิเสรีภาพประเภทนี้จะกระทบทางตรงต่อความมั่นคงของรัฐบาลซึ่งหากไม่แยกความมั่นคงของรัฐบาลออกจากความมั่นคงของรัฐก็จะส่งผลให้การใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษนั้นบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะฉะนั้นหากนักกฎหมายไทยไม่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบความชอบธรรมในการใช้อำนาจตามของกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงเหล่านี้ ก็เห็นที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยคงจะไม่ใช่กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงที่สุดอีกต่อไป

เชิงอรรถ
1. วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร, “เอกสาร วปอ. หมายเลข 008 คู่มือเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ”, ม.ป.ท., 2548, หน้า 3.
2. ธีรนันท์ นันทขว้าง, ความมั่นคงของชาติในยุคหลังสงครามเย็น, เผยแพร่วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ที่ http://www.tortaharn.net/contents/index.php?option=com_content&task=view&id=131&Itemid=75 , เข้าถึงเมื่อ 15 พ.ค. 2552
3. วิชัย ชูเชิด, “เอกสารประการศึกษาวิชาความมั่นคงศึกษา (Security Studies) ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก” ม.ป.ท., 2547: หน้าที่ 15
4. วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร, เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
5. Sadako Ogata, “State Security- Human Security”, Fridtjof Nansen Memorial Lecture 2001, United Nations University Public Lectures, UN House, Tokyo, 12 December 2001, page 9-10.
6. สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย, “ความมั่นคงของมนุษย์ในปัจจุบันและอนาคต รายงานการพัฒนาคนของประเทศไทย ปี 2552”, ม.ป.ท. , กรุงเทพ, 2553, หน้า 8.
7. Nan D. Hunter, “The Law of Emergencies: public health and disaster management”, Burlington, Butterworth-Heinemann, 2009, page 74
8. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 5
9. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 11
10. พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 6
11. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 3
12. อนึ่ง พ.ร.ก. การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5 วางหลักว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ในครั้งหนึ่ง ๆ นั้นจะประกาศได้คราวละไม่เกินสามเดือน หากมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลานายกรัฐมนตรีจะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นคราวๆ ไป
13. พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 2
14. พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 4
15. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 7 (2)
16. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 15 วรรคสอง
17. พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 23
18. พ.ร.ก. การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 12
19. พ.ร.ก. การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 16
20. พ.ร.ก. การบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 17
21. โปรดดู พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (3)
22. พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 16

ความจริงและความเท็จ บทเรียนจากอดีต เพื่อความปรองดองของแพทย์และผู้ป่วย

ที่มา.มติชนออนไลน์

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับชมรมแพทย์ชนบท ชมรมเภสัชชนบท และเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้ร่วมจัดการแถลงข่าวขึ้นในหัวข้อ "พูดกันให้ชัด ทำไมต้องมี... พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข" เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 ณ สำนักงานชั่วคราว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยมีนายแพทย์วีรพันธ์ สุพรรณไชยมาศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น นายแพทย์วชิระ บถพิบูลย์ ชมรมแพทย์ชนบท เภสัชกรหญิงศิริพร จิตร์ประสิทธิศิริ ชมรมเภสัชชนบท เข้าร่วมการแถลงข่าว โดยสามารถสรุปใจความสำคัญของการแถลงข่าวครั้งนี้ โดยอ้างอิงร่วมกับเอกสารแจกของนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้ดังนี้

เนื่องจากเป็นเพราะใกล้จะถึงช่วงหาเสียงเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา ทำให้มีแพทย์กลุ่มหนึ่ง ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข ซึ่งกำลังจะถึงคิวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยเหตุผลสำคัญที่มีการหยิบยกขึ้นมาคัดค้านคือ

1. กฏหมายนี้จะทำให้มีการฟ้องร้องแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขมากขึ้น

2. รัฐและคนไข้ทั่วไป จะเสียเงินจำนวนมากเพื่อจ่ายเป็นค่าเสียหาย ให้แก่ผู้ป่วยที่ฉวยโอกาสจากกฏหมายฉบับนี้

3. คนไข้ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีอาการหนักมาก จะเข้ารับการรักษาที่โรงพย่าบาลมากขึ้น เพื่อหาผลประโยชน์จากกฏหมายฉบับนี้ ทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระมากขึ้น และคนไข้ที่จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลจะประสบความยากลำบากมากขึ้น

ที่น่าสงสัยว่าการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จะเกี่ยวโยงกับการหาเสียงเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา เพราะร่างกฏหมายฉบับนี้ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เสนอต่อประธานรัฐสภาตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552 หลังจากนั้นมีร่างฉบับอื่นอีก 3 ฉบับ เสนอเข้าไปประกบตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 และมี 2 ฉบับ คือ ของนายเจริญ จรรย์โกมล และคณะ เสนอไปตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551 และฉบับของนายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ และคณะ เสนอตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ร่างพระราชบัญญัติฯเหล่านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการตรวจพิจารณาอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว โดยแพทยสภาได้ส่งตัวแทนเข้าไปติดตามให้ความเห็นร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกามาโดยตลอด การที่มีการออกมาคัดค้านในช่วงนี้ แม้จะมีเหตุผลเพื่อสกัดมิให้กฏหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีเหตุชวนสงสัยว่าน่าจะเกี่ยวโยงกับการหาเสียงเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาเป็นสำคัญด้วย

แต่ที่น่าผิดหวังก็คือเหตุผลสำคัญที่มีการหยิบยกขึ้นมาคัดค่านร่างกฏหมายฉบับนี้ทั้ง 3 ข้อ โดยเฉพาะข้อแรก คือเรื่องที่จะทำให้แพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขถูกฟ้องร้องมากขึ้นนั้น เป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะแท้จริงแล้วกฏหมายฉบับนี้ นอกจากจะให้ความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อนแก่คนไข้ที่ได้รับความเสียหายแล้ว ยังมีหลักการสำคัญเพื่อลดคดีการฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาลลงด้วย

กฏหมายฉบับนี้ รัฐบาลได้เสนอร่างเข้าประกบด้วย ซึ่งปรากฏในบันทึกหลักการและเหตุผลชัดเจนของร่างกฏหมายฉบับนี้ของรัฐบาลว่า

"โดยที่ปัจจุบันความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นระบบให้ทันท่วงที ทำให้มีการฟ้องร้องผู้ให้บริการทั้งทางแพ่งและอาญา และทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้รับและผู้ให้บริการสาธารณสุขเปลี่ยนไปจากเดิม อันส่งผลร้ายมายังผู้รับและผู้ให้บริการสาธารณสุข ตลอดจนกระทบถึงการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงระบบบริการสาธารณสุขด้วย สมควรจะได้แก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ผู้ได้รับความเสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาโดยรวดเร็วและเป็นธรรม

โดยการจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหาย ส่งเสริมให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้รับและผู้ให้บริการสาธารณสุขทั้งให้ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลดโทษและไม่ลงโทษผู้ให้บริการสาธารณสุข ในกรณีที่ถูกฟ้องคดีอาญาข้อหากระทำการโดยประมาทด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"

อันที่จริง กฏหมายนี้มิใช่กฏหมายที่ใหม่เลยเสียทีเดียว แต่เป็นการขยายการคุ้มครองผู้เสียหายจากกฏหมายเดิม 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

พ.ร.บ.ความรับผิดฯ คุ้มครองเฉพาะเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ไม่คุ้มครองกรณีการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชน โดยกฏหมายกำหนดให้โรงพยาบาลเป็นผู้รับผิดชอบต่อค่าเสียหายแทนเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่เป็นการจงใจทำให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่วนมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คุ้มครองเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองซึ่งมีอยู่ราว 47-48 ล้านคน ซึ่งเท่ากับร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น ไม่คุ้มครองกรณีเป็นผู้ประกันตนตามกฏหมายประกันสังคม และข้าราชการกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ

โดยในครั้งที่มีการออก พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ก็มีการคัดค้านจากกรรมการแพทยสภา โดยมีการใช้ลูกเล่น "ไว้ทุกข์" และมีการข่มขู่ว่า กฏหมายมาตรานี้จะทำให้มีการฟ้องร้องโรงพยาบาลมากขึ้น แต่จากการบังคับใช้พ.ร.บ. หลักประกันฯมาเป็นเวลา 8 ปี มีการจ่ายชดเชยค่าเสียหายไปเพียง 2,600 กว่าราย และจ่ายเงินไปไม่ถึงร้อยละ 0.05 ของเงินกองทุน จากที่ตั้งไว้ร้อยละ 1.0

กรณีที่ชัดเจนก็คือ กรณีคนไข้ผ่าตัดตาที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ซึ่งมีคนไข้ได้รับความเสียหายถึงขั้นตาบอดไปถึง 10 ราย มาตรา 41 ของพ.ร.บ.หลักประกันฯ ได้ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้เสียหายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเอื้อต่อการเจรจาขอความเห็นใจจากคนไข้และทำให้สถานการณ์ร้ายแรงคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากคนไข้และญาติจะไม่เอาความกับแพทย์และโรงพยาบาลแล้ว ยังเห็นใจแพทย์และโรงพยาบาลอย่างมากด้วย

เรื่องการฟ้องร้องแพทย์ กฏหมายฉบับนี้ก็ไม่มีมาตราใดที่จะเปิดช่องให้ฟ้องแพทย์หรือโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นในโรงพยาบาลเลย ตรงกันข้ามกลับจะช่วยแพทย์และโรงพยาบาลอย่างมาก เพราะร่างมาตรา 34 ฉบับของรัฐบาล กำหนดว่า "หากผู้เสียหายหรือญาติไม่ตกลงยินยอมรับเงินชดเชย และได้ฟ้องร้องผู้ให้บริการสาธารณสุข หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายเป็นคดีต่อศาล ให้สำนักงานยุติการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ผู้เสียหายหรือทายาทไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้อีก"

กฏหมายฉบับนี้จึงเป็นกฏหมายที่ดีที่สุดฉบับหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชน และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนไข้กับหมอ โดยเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่อื่นๆ และต่อโรงพยาบาล ทั้งของรัฐและเอกชน

ตัวอย่างความเสียหายทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อต้นเดือนเมษายน 2545 เมื่อคุณบังอร มีประเสริฐ มีอาการอึดอัด แน่นท้อง และท้องโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากนเองทานยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปีเศษ โดยไม่มีประจำเดือน จึงไม่แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่

จึงตัดสินใจไปสถานีอนามัยเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค แต่สถานีอนามัยไม่มีอุปกรณ์ตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ จึงใช้การคลำท้อง พบว่ามีก้อนเนื้อภายในท้อง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเนื้องอกหรือการตั้งครรภ์ จึงแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลแทน ทั้งนี้โรงพยาบาลได้ตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ซึ่งให้ผลเป็นลบ แพทย์จึงวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอก จึงทำการผ่าตัดผู้ป่วย ผลปรากฏว่าการผ่าตัดคราวนั้น ทำให้เจอเด็กแฝดในเวลาต่อมา


23 พฤษภาคม 2545 คุณบังอร ได้ขอใช้สิทธิในการยื่นเรื่องต่อปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้พิจารณาค่าสินไหมตาม พ.ร.บ.ความรับผิดฯ เนื่องจากถูกผ่าท้องฟรี และวิตกกังวลว่า การผ่าท้องจะส่งผลกระทบต่อทารกแฝดในครรภ์หรือไม่

5 พฤศจิกายน 2545 ผลการสอบของสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาเรื่องนี้และแจ้งว่า การผ่าตัดของแพทย์ถือว่าได้มาตรฐานและเหมาะสมแล้ว เพราะการผ่าท้องเป็นการวินิจฉัยโรค ไม่ใช่การรักษาโรค จึงเป็นเหตุให้คุณบังอร เข้าร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับคุณบังอร เป็นเงินรวม 500,000 บาท กับให้ร่วมกันรับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทน

18 มีนาคม 2546 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ในข้อหาขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชอบชดใช้เงิน แต่รับพิจารณาเฉพาะคำฟ้องในข้อหา จึงขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานปลัดกระทรวงฯ

31 พฤษภาคม 2549 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากกระบวนการในการออกคำสั่งของสำนักงานปลัดกระทรวงฯนั้นชอบด้วยกฏหมายแล้ว จึงใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป

29 มิถุนายน 2549 ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด

15 สิงหาคม 2550 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า เป็นการกระทำละเมิด และให้โอนคดีกลับไปยังศาลยุติธรรม ทั้งนี้โดยศาลจังหวัดสมุทรสงครามมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลปกครองได้โอนสำนวนมายังศาลจังหวัดสมุทรสงคราม เนื่องจากคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสมุทรสงคราม

9 กรกฎาคม 2551 นายเฉลิมพงศ์ กลับดี ทนายโจทก์ พร้อมคุณบังอร มีประเสริฐ ได้เดินทางไปไกล่เกลี่ยในคดีที่คุณบังอร มีประเสริฐ ยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นจำเลย ที่ศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ผลการไกล่เกลี่ย คู่กรณีตัวแทน พญ.รุจิรา กระแสร์ลาภ คือ ทพ.ธีรเทพ กระแสร์ลาภ และผู้แทนสำนักงานปลัดฯ ไม่มีข้อโต้แย้งในข้อตกลงครั้งก่อน คือพญ.รุจิรา กระแสร์ลาภ พร้อมยินดีช่วยเหลือเยียวยาค่าทุนการศึกษาบุตรชายทั้งสองของนางบังอร โดยไม่เกี่ยวกับคดีจำนวน 140,000 บาท โจทก์พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้ใดในกรณีนี้อีกและจะถอนฟ้องจำเลย คดีเป็นอันสิ้นสุด

****************************************************************************