--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เปิดวิจัยร้อน ชำแหละ ใครคือเสื้อแดงและความคับข้องใจ ?เฮ็ดหยังก็ผิด...เรามันคนไร้เส้น

จุดเปลี่ยนชนบทไทย เป็นงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ผศ.ดร. อภิชาติ สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์และ อาจารย์ยุติ มุกดาวิจิตร และทีมงานวิจัยชุดใหญ่ที่มาจากจุฬาฯและธรรมศาสตร์ งานวิจัยเฟสแรกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้  ขอนำมาเสนอ ดังนี้

จากการประมวลผลการตอบแบบสอบถาม 99 ชุดที่ได้สุ่มจากหมู่บ้านคลองโยง (73 ชุด) และพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย (26 ชุด) พบว่า ในแง่ของเศรษฐกิจสังคมเราพบว่าคนเสื้อแดงที่ตอบแบบสอบถามนั้นมีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพทางการเกษตร และรับจ้างนอกระบบมากกว่าคนเสื้อเหลือง

จากการวิจัย จะเห็นได้ว่า 53% ของคนเสื้อแดงเป็นเกษตรกรในขณะที่เพียง 35% ของคนเสื้อเหลืองเป็นเกษตรกร และจะเห็นได้ว่า 9% ของคนเสื้อแดงประกอบอาชีพรับจ้างนอกระบบ ในขณะที่เพียง 4% และ 2% ของคนเสื้อเหลือง และคนที่เป็นกลางนั้นประกอบอาชีพรับจ้างนอกระบบ ในทางกลับกันเราพบว่า 35% ของคนเสื้อเหลืองนั้นมีอาชีพเป็นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าในกรณีของคนเสื้อแดง (22%) และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด (15%)

นอกจากนี้แล้วเรายังพบว่าคนเสื้อเหลืองมีอาชีพค้าขายเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ โดย 27% ของคนเสื้อเหลืองประกอบอาชีพค้าขาย ในขณะที่เพียง 6% และ 7% ของคนเสื้อแดงและคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดนั้นประกอบอาชีพค้าขายตามลำดับ

ในแง่ระดับการศึกษา เป็นที่ชัดเจนว่าคนเสื้อเหลืองจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่า (38.46%) มากกว่าคนเสื้อแดง (18.73%) นอกจากจะมีการศึกษาสูงกว่าแล้ว คนเสื้อเหลืองยังมีระดับรายได้สูงกว่าทั้งคนเสื้อแดง และผู้ไม่สนับสนุนฝ่ายใดค่อนข้างมาก โดยเสื้อเหลืองมีรายได้ 31,427 บาทต่อเดือน

ในขณะที่เสื้อแดงและผู้เป็นกลางมีรายได้ 17,034 และ 11,955 บาทต่อเดือน ตามลำดับ ทั้งที่คนสองกลุ่มหลังนี้ก็มิใช่กลุ่มชนที่จนที่สุดของสังคมไทย
ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และนโยบายประชานิยมกับสาเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง

@ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

จากผลสำรวจพบว่าคนเสื้อแดงมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนน้อยกว่าคนเสื้อเหลือง แต่มากกว่าคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด คือประมาณคนละ 17,034 บาท ในขณะที่คนเสื้อเหลืองนั้นมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 31,427 บาท และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 11,955 บาท

ดังนั้นคนเสื้อแดงที่ตอบแบบสอบถามของเรา ถึงแม้ว่าจะจนกว่าเสื้อเหลืองแต่ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่จนที่สุด เอาเข้าจริงแล้วด้วยระดับรายได้ 17,034 บาทต่อเดือนนั้น เราอาจจัดได้ว่าคนเสื้อแดงคือ "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ไม่ใช่คนจน ดังนั้น ความยากจนในเชิงภาวะวิสัยของคนเสื้อแดงจึงไม่น่าจะใช่สาเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

แต่ถึงแม้กระนั้น เมื่อเราถามผู้ตอบแบบสอบถามให้ประเมินฐานะของตัวเอง เราพบว่าทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงมีแนวโน้มที่จะคิดว่าตนเองมีฐานะแย่กว่าคนส่วนใหญ่ มากกว่าคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดเลย โดย 18.75% และ 23.08% ของคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองนั้นคิดว่าตนเองมีรายได้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ ในขณะที่เพียง 14.63% ของคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดนั้นคิดว่าตนเองมีรายได้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ ในทางกลับกันคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดได้ประเมินว่าตนเองมีฐานะปานกลางเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดคือ 78.05% ส่วนคนเสื้อแดงจำนวน 50% และคนเสื้อเหลืองจำนวน 61.54% คิดว่าตนเองมีฐานะปานกลาง

เมื่อประเมินที่ทัศนะคติเกี่ยวกันความเหลื่อมล้ำทางรายได้แล้ว เรากลับพบว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองนั้นรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนนั้นนั้นห่างกันจนรับไม่ได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จากการวิจัย เราพบว่า 42.31% ของคนเสื้อเหลืองคิดว่าช่องว่าระหว่างคนรวยกับคนจนห่างมากจนรับไม่ได้ ในขณะที่เพียง 25% ของคนเสื้อแดง และ 12.2% ของคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดมีความคิดเช่นนี้ เราอาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือคนเสื้อแดงจำนวน 75% และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดจำนวน 87.8% คิดว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นไม่ห่างมากถึงยังพอรับได้ แต่คนเสื้อเหลืองจำนวน 57.7% เท่านั้นที่คิดเช่นนี้

ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าความคับข้องใจของคนเสื้อแดง (อย่างน้อยที่ได้ตอบแบบสอบถามนี้) ไม่ได้อยู่ที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เนื่องจาก 75% ของพวกเขายังคิดว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นยังพอรับได้ ในทางกลับกันเราพบว่าความคับข้องใจเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้นี้เกิดกับคนเสื้อเหลืองมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ เสียอีก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สรุปได้ว่า ในแง่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เชิงอัตวิสัย (perceived inequality) คนเสื้อเหลืองประเมินว่าตนเป็นคนจน และเห็นว่าช่องว่างทางรายได้ที่เป็นอยู่สูงจนรับไม่ได้มากกว่าคนเสื้อแดง

@ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของคนเสื้อแดง

การสนทนากลุ่มย่อยที่อุบลราชธานีแสดงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยการอ้างถึงนักวิชาการบางท่านว่า เคยพูดว่า "คนอีสานเป็นได้แค่คนรับใช้กับเด็กปั๊ม" พร้อมกับระบายความอัดอั้นตันใจของตนออกมาว่า

- รู้สึกว่าตนถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะตนมีฐานะยากจน ความรู้น้อย
- รู้สึกว่าสังคมมีการแบ่งชนชั้น
- รู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมในสังคม เพราะ "เสื้อแดงทำอะไรก็ผิด" โดยยกตัวอย่างเรื่องการเดินทางเข้าไปร่วมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์กับกลุ่ม นปช ที่กรุงเทพฯ ว่า "ไปม็อบ นั่งพื้นก็ผิด" คนเสื้อแดง "เฮ็ดหยังก็ผิด" จนทำให้ตนรู้สึกคับแค้นใจ ยิ่งรู้สึกว่าตนต้องต่อสู้ ต้องเข้ามาร่วมในการประท้วงของคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เพื่อ "ขอสิทธิเราคืน" (ด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่)
- สังคมมีปัญหาความไม่เท่าเทียม มีเรื่องเงินใต้โต๊ะ เรื่องเส้นสาย ลูกสาวสอบครูติดสำรองอันดับ 6 แต่ถูกอันดับ 10 แย่งไป "เรามันคนไร้เส้น ม็อบก็ม็อบไม่มีเส้น" (เสื้อแดงอุบลราชธานี)

ตรงกันข้ามคนเสื้อแดงนครปฐมไม่ได้แสดงความน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนใหญ่คิดว่าฐานะทางเศรษฐกิจของตนดีขึ้น สภาพทั่วไปและการดำเนินชีวิตในปัจจุบันก็ดีกว่าสมัยก่อนที่ไม่มีความเจริญทางเทคโนโลยีเช่นสมัยนี้

กล่าวคือ เมื่อก่อนนี้ไม่มีถนนเข้าออกหมู่บ้าน การเดินทางส่วนใหญ่จึงต้องเดินด้วยเท้า ทำให้มีความยากลำบากและเสียเวลามาก ไฟฟ้าและน้ำประปาก็ไม่มี เป็นต้น ลูก ๆ ของตนมีการศึกษาสูงกว่าตน สถานภาพทางสังคมจึงดีกว่า ทำให้มีโอกาสในชีวิตมากขึ้น นอกจากนี้คนกลุ่มนี้เห็นว่าการประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ความขยัน และความกระตือรือล้นของปัจเจกชนแต่ละคน

เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงเชียงใหม่ ที่มิได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกดูถูกดูแคลนหรือถูกเหยียดหยาม และยอมรับว่ามีความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นกว่าอดีตทั้งในแง่รายได้ ความเจริญ และความสะดวกสบาย แต่ก็มิได้แสดงความมั่นใจกับภาวะอนาคตมากเท่าแดงนครปฐม

กล่าวคือ เมื่อเราถามว่าให้ประเมินไปข้างหน้า 10-20 ต่อสภาพความเป็นอยู่ของตนและลูกหลานว่าจะเป็นอย่างไร แดงนครปฐมทุกคนกล่าวอย่างมั่นใจว่า อนาคตจะต้องดีขึ้นแน่ ตรงข้ามกับแดงเชียงใหม่ ซึ่งตอบคำถามนี้ด้วยความไม่แน่ใจ และไม่มีความเชื่อมั่นในอนาคตของตนเอง ในแง่นี้เราอาจเข้าใจความแตกต่างระหว่างเสื้อแดงทั้งสามจังหวัดได้ว่าเป็นไปตามความแตกต่างของสภาพพื้นฐานเศรษฐกิจของแต่ละภาค จากการสังเกตของเรา เห็นได้ชัดเจนว่าฐานะทางเศรษฐกิจของแดงนครปฐมสูงกว่าแดงอุบลฯ โดยมีแดงเชียงใหม่อยู่ตรงกลาง

@นโยบายประชานิยม

เราพบว่าคนเสื้อแดงได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการต่าง ๆ ของทักษิณมากกว่าคนเสื้อเหลืองและกลุ่มที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ 81% าของคนเสื้อแดงกล่าวว่าได้รับประโยชน์ ในขณะที่เพียง 54% ของคนเสื้อเหลืองเท่านั้นได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งข้อมูลนี้มีนัยยะว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในระบบที่อำนวยสวัสดิการทางการประกันสุขภาพและอนามัย หรือไม่มีรายได้พอที่จะจ่ายค่าประกันสุขภาพได้ ซึ่งสอดคล้องกับอาชีพที่เราพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรและภาคแรงงานนอกระบบ

นอกจากนี้ เรายังพบว่าคนเสื้อแดงยังได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการ OTOP (One Tambol One Product : หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์), กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน, การพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เกษตรกร และโครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ มากกว่าคนเสื้อเหลืองและกลุ่มที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด

ข้อมูลจากการสนทนากลุ่มสอดคล้องกับภาพที่ได้จากการสำรวจข้างต้น นโยบายประชานิยมหลายโครงการเป็นประโยชน์โดยตรงกับคนเสื้อแดง ตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ทำให้เขามีแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำที่ทุกคนมีสิทธิกู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการเพาะปลูกหรือการผลิตด้านอื่น ๆ

เช่น คนเสื้อแดงอุบลราชธานีผู้หนึ่งกู้เงินกองทุนฯ มา 10,000 บาท เพื่อซื้อลูกเป็ด 100 ตัวมาเลี้ยงไว้ 3 เดือนแล้วขาย ได้กำไรประมาณ 3,000-3,500 บาท อีกคนหนึ่งกู้เงินมาขุดบ่อน้ำบาดาลเพื่อสูบน้ำมารดต้นไม้ที่ปลูกไว้ขาย โดยพูดจากความรู้สึกว่า "พอได้เงินมารู้สึกว่าได้ผุดได้เกิด เมื่อก่อนกู้มาเฟีย ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน ถ้าเป็นกู้แบบรายวันคิด (ดอกเบี้ย) ร้อยละ 2 บาทต่อวัน (ตัวเองต้องกลาย) เป็นหนี้รายวัน คนที่ให้กู้ก็เป็นคนกันเองในตลาด มีหลายเจ้า... พอกู้จากกองทุนหมู่บ้าน ดอกเบี้ย (เพียงร้อยละ) 6 บาทต่อปี"

ในขณะที่ชาวนาคนเสื้อแดงนครปฐมได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งในช่วงที่ราคาข้าวสูง ชาวบ้านอาจจำนำได้สูงถึงเกวียนละ 12,000 บาท ในขณะที่การประกันราคาข้าวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ราคาข้าวตกลงเหลือราว 7,000-8,000 บาทต่อเกวียน ส่วนโครงการสุขภาพถ้วนหน้า "สามสิบบาทรักษาทุกโรค" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวบ้านผู้มีรายได้ต่ำ นั้นทำให้เขารู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตสูงขึ้นมาก เสื้อแดงเชียงใหม่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นลูกจ้างร้านขายข้าวมันไก่ชื่อดังแห่งหนึ่งกล่าวว่า "พี่ชายเป็นโรคไต ต้องฟอกอาทิตย์ละครั้ง หากไม่มี 30 บาท เรามันเป็นคนจน คงไม่มีปัญญารักษา ตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว"

นอกจากนี้แดงเชียงใหม่ยังยกตัวอย่างโครงการเงินทุนการศึกษาที่ให้แก่คนจน (หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน หรือโครงการโรงเรียนในฝัน) โดยนำมาจากรายได้ที่ได้จากหวยบนดิน รวมทั้งข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยก็กล่าวว่า ตนได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นและเบิกค่าเล่าเรียนบุตรได้จนถึงระดับปริญญาตรี

ดังนั้น โครงการ "ประชานิยม" ในความหมายกว้างทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับคนเสื้อแดงที่ผู้วิจัยพูดคุยด้วย เสื้อแดงคนหนึ่ง (นครปฐม) จึงสรุปประเด็นนี้ว่า "นโยบายของทักษิณนั้นกินได้) ส่วนอีกคนพูดว่า นี่คือ "ประชาธิปไตยแบบเป็นรูปธรรม จับต้องได้"

นอกจากโครงการประชานิยมแล้ว คนเสื้อแดงยังนิยมชมชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลที่ว่าในสมัยที่เป็นรัฐบาล เขาทำให้เศรษบกิจของประเทศดี เกิดสภาพคล่อง ประชาชนโดยทั่วไปทำมาหากินได้ มีตลาดเกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ตนสามารถนำผลผลิตของตนมาขายได้ ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของตนดีขึ้น ซึ่งส่งผลไปถึงลูก ๆ ของตน ดังคำพูดของคนเสื้อแดงนครปฐมผู้หนึ่งว่า "ทักษิณช่วยให้มีเงินส่งลูกเรียน" หรือมีการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเดิม "เป็นเมืองปิด" ไม่ค่อยมีคนเดินทางเข้าไป แล้วทักษิณ "ดึงการท่องเที่ยว" เข้าสู่จังหวัดนี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาเที่ยวและจับจ่ายซื้อสินค้า ทำให้ชาวบ้านทั่วไปมีรายได้และ "บ้านเมืองเจริญขึ้น" ทำให้ท้องถิ่น "มีหน้ามีตา"

นอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจแล้ว คนเสื้อแดงยังชื่นชมอดีตนายกฯ ทักษิณอีกด้วยว่า ปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งช่วยลดปัญหายาเสพติด ทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะต่อลูกหลานของตนที่เสี่ยงต่อการติดยา แต่หลังจากรัฐประหารปี 2549 ปัญหายาเสพติดก็กลับมาอีก ทำให้เกิดความวิตกกังวล (เชียงใหม่) รวมทั้งการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นหรือ "เจ้าพ่อ" ซึ่งส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านหลายประการ

เช่น ชาวบ้านเสื้อแดงนครปฐมผู้หนึ่งกล่าวว่า ก่อนหน้าสมัยทักษิณ เมื่อตนนำดอกบัวที่ปลูกไปขายที่ปากคลองตลาด จะมี "มาเฟีย" มาคอยเก็บค่าตะกร้า ๆ ละ 10 บาท ตนต้องจ่ายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับมาเฟีย แต่พอทักษิณขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็สั่งปราบ จึงไม่มีมาเฟียมาเก็บค่าตะกร้าอีก ในปัจจุบันมีเทศกิจมาเรียกเก็บเงินเดือนละ 300 บาท ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าเป็นค่าอะไร แต่ก็จ่ายให้แก่เทศกิจเพราะเห็นว่าจำนวนไม่สูงและไม่อยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่

ยิ่งไปกว่านั้น คนเสื้อแดงก็ชื่นชมอดีตนายกฯ ว่าเป็นผู้นี้มีความเห็นอกเห็นใจคนจน หลายคนกล่าวว่าทักษิณ "ยื่นความเป็นคนให้กับคนไทย" (เชียงใหม่) หรือ "มืองเห็นคนเป็นคน" (อุบลราชธานี) เพราะสามารถ "จัดการ" กับระบบราชการได้ ทำให้ข้าราชการ (เช่นที่อำเภอ) พูดจาไพเราะขึ้น "ให้เกียรติ" ชาวบ้าน และปฏิบัติงานรวดเร็วขึ้น (อุบลราชธานี) ให้บริการดีขึ้น เช่น โรงพยาบาลจัดให้มีระบบบัตรคิว ทำให้การแซงคิวและความสับสนลดน้อยลง (เชียงใหม่)

แล้วอะไรคือความคับข้องใจของคนเสื้อแดง ? จากผลการสำรวจเราพบว่าเหตุผลหลักในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของของคนเสื้อแดง 1) เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร (28.13%) 2) ปัญหาสองมาตรฐาน และความอยุติธรรม (28.13%) และ 3) การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (18.75%) ส่วนเหตุผลเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน จากนั้นไม่มีคนเสื้อแดงคนใดเลือกให้เป็นเหตุผลหลักของการต่อสู้ของพวกเขาเลย จากข้อมูลข้างต้นเราอาจสรุปได้ว่าสาเหตุของความคับข้องใจของคนเสื้อแดงคือ ความไม่เป็นธรรมทางการเมือง มากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

สรุป จากที่ได้อภิปรายมาทั้งหมดข้างต้น คณะวิจัยมีความเห็นดังนี้คือ หนึ่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิงภาวะวิสัย ไม่น่าจะเป็นสาเหตุความคับข้องใจของคนเสื้อแดง เนื่องจากคนเสื้อแดงไม่ใช่คนจนในแง่รายได้หรือสินทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผู้เป็นกลาง แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อแดงจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาต่ำกว่าคนเสื้อเหลือง ตรงข้าม คนเสื้อเหลืองจำนวนมากกลับจัดตัวเองว่าเป็นคนจน เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ และเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวยที่เป็นอยู่สูงมากจนรับไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกนี้กลับมีน้อยกว่าในหมู่คนเสื้อแดง

สอง แม้ว่าความเหลื่อมล้ำและความยากจนเชิงภาวะวิสัยจะไม่ได้เป็นที่มาของความคับข้องใจของคนเสื้อแดง แต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกลับมีอยู่มากในหมู่คนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่แดงอีสาน เขารู้สึกเจ็บปวดจากการดูถูกดูแคลน จนฝังใจกับคำกล่าวของนักวิชาการมหาวิทยาลัยบางท่านที่ว่า "คนอีสานเป็นได้แค่คนรับใช้กับเด็กปั๊ม" นอกจากนี้ คนเสื้อแดงยังรู้สึกว่าสังคมไม่มีความยุติธรรม มีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม มีปัญหาการใช้เส้น-ใช้สายในหน้าที่การงาน และการรับบริการจากระบบราชการ รวมทั้งความไม่เท่าเทียมทางการเมือง (ปัญหาสองมาตรฐาน)

สาม เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของเสื้อแดงต่ำกว่าเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการประชานิยมมากกว่าคนเสื้อเหลือง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือแรงงานนอกภาคเกษตร จะเป็นผู้อยู่นอกระบบประกันสังคมอย่างเป็นทางการทุกประเภท ในขณะที่เขามีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจสัมพันธ์กับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมหภาคอย่างแนบแน่น

ดังนั้นโครงการประชานิยม ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจเพื่อเป็นหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรักษาพยาบาล 30 บาท และกองทุนหมู่บ้านจึงตอบสนองความต้องการของคนเหล่านี้ได้ดี ยิ่งเมื่อรัฐบาลทักษิณใช้มาตรการรุนแรง-เด็ดขาดใน "สงครามฆ่าตัดตอน ปราบปรามยาเสพติด 2,500 ศพ" รวมทั้งการจัดการกับ "มาเฟีย" ทั้งหลาย ซึ่งก็เป็นผลงานที่ "ชาวบ้าน" พอใจมาก ในแง่โครงการประชานิยมและการปราบปราม "นักเลง" และ "เจ้าพ่อ" ทั้งหลายจึงอาจตีความได้ว่า รัฐไทยในยุคทักษิณกระทำตัวเป็น "เจ้าพ่อใหญ่" โดยปราบปราม "เจ้าพ่อ" อื่นๆ พร้อมกับการสร้างพระคุณผ่านโครงการประชานิยมกับชาวบ้าน

กล่าวอีกแบบหนึ่งรัฐในยุคนี้ทำตัวเป็นผู้ "อุปถัมภ์" แทนผู้อุปถัมภ์รายเล็กรายใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและชนบท เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่รูปแบบใหม่ถอดถ้ามทางการเมืองเสียทีเดียว รูปแบบนี้มีมานานแล้วที่ "บรรหารบุรี" ความใหม่ของรัฐบาลทักษิณคือ การขยายความเป็๋นบรรหารบุรีให้กลายเป็นขอบข่ายทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานและภาคเหนือ และทั้งหมดนี้คือที่มาของความนิยมทางการเมืองของชาวเสื้อแดงต่อทักษิณ พรรคไทยรักไทยและพรรคอนุพันธุ์ของไทยรักไทย

สี่ คณะวิจัยจึงเสนอว่า ความคับข้องใจของคนเสื้อแดงจึงเป็นความคับข้องใจในหลากหลายประเด็นทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ

ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************************************

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สังคมเป็นเช่นไร สื่อก็เป็นเช่นนั้น แล้วจะปฏิรูปอะไรกับสื่อ

โดย : ทศพร โชคชัยผล

คนในแวดวงรัฐบาลและสื่อตื่นตัวกับกระแสการปฏิรูปกันมาก บางครั้งก็มากเกินไปจนไม่ได้ทำอะไร ถามว่ารู้หรือยังว่าสื่อเป็นอย่างไร ก่อนที่จะพูดปฏิรูป

"สื่อ" ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ล้วนแต่ถูกเป็น"เป้า"การปฏิรูป หรือการจัดการทุกครั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองเกิดขึ้น

ในช่วงพฤษภาทมิฬ ปี 2535 เราก็พูดกันมากถึงการปฏิรูป"สื่อ" เนื่องจากในครั้งนั้น คนทั่วไปมองกันว่าปัญหาความรุนแรงทางการเมืองเกิดจากการ"ปิดกั้นข่าวสาร"ของรัฐบาล แต่สิ่งที่ทำได้ก็อย่างที่เห็น

ในครั้งนี้ เขาก็พูดเกี่ยวปฏิรูป นำโดยรัฐบาล เพราะเห็นว่า"สื่อ"มีส่วนอย่างสำคัญกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทั้งการชุมนุมของคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

ในครั้งนี้ สังคมไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหา"ปิดกั้นสื่อ"เหมือนในอดีต แต่"สื่อ"เปิดมากจนรัฐบาลไม่สามารถคุมได้ และเป็นการเปิดอย่างน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มความขัดแย้งทางการเมืองหรือกลุ่มการเมืองต่างก็มีสื่อของตัวเอง อีกทั้งก็ไม่ยอมรับฟังเสียงจาก"สื่ออื่น"อีกด้วย

คำถามก็คือจะปฏิรูปอะไร และรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการปฏิรูปหรือยัง?

ผมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับวงการสื่อมากมายจนสามารถเสนอแนวทางปฏิรูปได้ แต่ได้ยินได้ฟังคนในวงการเขานินทากันว่าการพูดถึงการปฏิรูปสื่อในช่วงที่ผ่านมา "เหมือนพายเรือในอ่าง" และยิ่งเห็นคณะของนายกรัฐมนตรีของเราเดินสายพบสื่อสำนักต่างๆเพื่อขอรับฟังความคิดเห็นว่าจะทำอย่างไรกันดี ก็ยิ่งเห็นอกเห็นใจนักการเมืองอย่างยิ่ง เพราะถึงที่สุดแล้ว ผมก็เชื่อว่า"ไม่มีอะไรในกอไผ่"

เพราะรัฐบาลไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับ"สื่อ"ในปัจจุบัน อีกทั้งมีความเข้าใจบทบาทของสื่อในสังคมอย่างขาดขาดเกินๆ รวมทั้งภาคสังคมที่มีอิทธิพลต่อสื่อด้วย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อนผมที่สำนักข่าวแห่งหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากชายนิรนาม อ้างตัวเองว่าเพิ่งกลับจากอเมริกา หลังจากไปแสวงโชคมานานหลายสิบปี พร้อมกับพูดโวยวายว่า"สื่อทำไมเป็นอย่างนี้ละ อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ไปทางนี้ พออ่านอีกฉบับก็ไปอีกทาง" พร้อมตบท้ายว่า"สื่อเมืองไทยเป็นอะไรไป"

เขาบอกว่าทำไมไม่เหมือนกับตอนที่เขาออกจากเมืองไทยไป "สื่อไม่เป็นยังงี้นี่"

จากนั้น เขาก็ขอคำแนะนำว่าหากอยากรู้ข่าวควรอ่านฉบับไหนดี ซึ่งเพื่อนผมก็ถามกลับว่า "อยากรู้ข่าวอะไรละ" แล้วก็สาธยายให้ฟังว่า"หากคุณต้องการรู้ข่าวการเมือง ต้องอ่านอย่างน้อย 5 ฉบับ แต่หากอยากรู้ข่าวเศรษฐกิจ ก็อ่านบางฉบับก็พอ รวมทั้งหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของหนังสือรายสัปดาห์ก็น่าจะพอ"

ที่เล่าให้ฟัง มีความหมายความว่า "สื่อ"ปัจจุบัน ก็มีสภาพเช่นนี้แหละ แล้วรัฐบาลจะเสนอปฏิรูปอะไร และผมก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่โทรมาว่าเกิดสิ่งที่เรียกว่า" shock culture" ซึ่งทำให้นึกถึงวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์วิธีหนึ่งที่มักสอนผู้วิจัยว่าหากเข้าไปในสังคมที่"แปลกหน้า" เราจะรู้สึกถึง"ความต่าง"เสมอ ในขณะที่คนที่อยู่ในสังคมก็ไม่เห็นว่ารู้สึกแปลกที่ตรงไหน เพราะ"เคยชิน"มานาน

คนในสังคมไม่รู้สึกว่า"ปัญหาอยู่ตรงไหน" แต่คนภายนอกอาจมองเห็นว่าเป็นอย่างไร แม้จะไม่ถูกต้องเสมอไป ซึ่งผมว่าสถานะของ"สื่อ"ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้แหละ

อันที่จริง เป็นเรื่องยากมากที่แยกจะแยก"สื่อ-สังคม"ออกจากกัน จนมีคำกล่าวของคนในแวดวงสื่อว่าสังคมเป็นเช่นไร สื่อก็เป็นเช่นนั้น หากคนในสังคมชอบเรื่อง"ฉาว"ของดารา สื่อก็พยายามหาเรื่อทำนองนี้ รวมถึง"เต้าข่าว" ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ผู้อ่านท่านนี้จะรู้สึกว่า"สื่อเอียงไปข้างโน้นข้างนี้" ก็เพราะสังคมเกิดความแตกแยกทางความคิดกันครั้งใหญ่ และก็เป็นความแตกแยกจริงๆเสียด้วย ไม่ใช่"คิดเอาเอง"

คำถามก็คือ หากเราจะปฏิรูปกันจริงๆ เราควรจะปฏิรูปอะไรก่อน ระหว่าง"สื่อ-สังคม" และว่ากันจริงๆแล้ว "สื่อ"ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเท่านั้น หากรัฐบาลวางแผนปฏิรูปสังคมได้ "สื่อ"ก็ขยับตามไปเอง

ความจริง วงการสื่อ เขาก็มีหลักจรรยาบรรณและกฎหมายฟ้องร้องดูแลกันอยู่แล้ว อีกทั้งคนไทยที่บริโภคข่าวสารก็แยกแยะกันได้มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมเราก็มีการพัฒนาในส่วนนี้มากพอสมควร

ผมเห็นแต่พวกนักการเมืองนั่นแหละ ที่ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน แต่เป็นพวกที่ชอบ"ชี้นิ้ว"ไปที่ส่วนอื่น แล้วจะอาสามาปฏิรูปอะไร
**************************************************************

ท่าน !!!?????

ออกมาพูดตรงกันว่า...ระเบิดที่ระเบิดขึ้นมาที่บิ๊กซี...จนมีคนตายและบาดเจ็บนั้น เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดีและสร้างสถานการณ์

ก็คงจะเถียงท่านไม่ได้...เพราะสิ่งที่ท่านกล่าวถึงนั้น...มันถูกยิ่งกว่าถูก

คนโง่ที่สุดก็ฉลาดได้...กับประโยคแบบนี้
เพราะหากท่านพูดว่า...ที่ระเบิดนี้ เป็นเพราะมีผู้ประสงค์ดี...และอยากจะแสดงให้เห็นว่า ถึงกรุงเทพจะมีพระราชบัญญัติฉุกเฉินปกคลุมอยู่ เหตุแบบนี้ก็เกิดขึ้นมาได้...ดังนั้นหากรัฐบาลอยากจะยกเลิกก็คงยกได้ เพราะเรื่องอาชญากรรมทั้งหลาย ก็มีกฎหมายปกติดูแลอยู่แล้ว และกฎหมายปกติจะลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตก็ยังได้

ท่าน...คงเรียนรู้ยังไม่ถึงว่า...กฎหมายนั้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน...ก็ยังจะมีคนฝ่าฝืนอยู่ดี...และกฎหมายยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นเท่าใด...การฝ่าฝืนก็จะยิ่งลึกลับสลับซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย

ระเบิดลูกนั้นมันไม่ได้ระเบิดหลังกฎหมายฉุกเฉินถูกยกเลิก แต่มันระเบิดบนกฎหมายฉุกเฉิน...ดังนั้นไม่ว่ากฎหมายยังจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่มันก็คนละเรื่องกันกับระเบิด

และหากจะให้ ศอฉ. เสียหน้ามี ศอฉ. ดูจะล่อระเบิดมากกว่า เพราะ ศอฉ.นั่นแหละคือเป้า..เป็นเป้าของคนที่ไม่กลัว ศอฉ.

แต่คนที่กลัว ศอฉ. กับเป็นประชาชนคนธรรมดา...อย่างบริษัทหน้งร้านทั้งหลาย...แบบสนามกอล์ฟสวนสามพราน...คนนิยมเสื้อแดงจะไปแข่งกอล์ฟกันที่นั่น...แต่สนามก็ไม่กล้ารับงาน เพราะกลัว ศอฉ.จะไปขอเปิดดูท่อน้ำเลี้ยงของสนาม

เงินก็อยากได้ เพราะใช้จ่ายเลี้ยงพนักงานทุกวันก็ขาดทุน...แต่ก็เอาไม่ได้เพราะกลัว ศอฉ.
บริษัททัวร์...จะพาคนไปเที่ยวกัมพูชา...ก็ต้องตรวจสอบดูว่า แดงหรือเปล่า...เพราะเกรงว่าจะถูกเปิดดูท่อน้ำเลี้ยง...ทั้งๆ ที่มันมีแต่ท่อเลี้ยงน้ำ...

ธุรกิจวันนี้...มันเลยยุ่งกันไปหมด...วันนี้ประชาธิปัตย์ใช้ กฎหมายพิเศา...วันหน้าเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล...ก็จะใช้ กฎหมายพิเศษ...ใครมีธุรกิจมันก็ต้องให้ห่างการเมือง...แต่เมืองนี้...ห่างการเมืองก็ทำธุรกิจไม่ได้...

แบบนี้แล้วใครมันจะเอาเงินใส่ธนาคารหรือเก็บใส่เซฟไว้กับบ้าน...ให้ ศอฉ. เข้ามาค้น...เกิดหล่นหายแบบเพชร 5 ล้าน ที่ป่านนี้ยังไม่รู้...อยู่กับใคร...

เลิกหรือไม่...ก็ฉิบหายพอกัน...

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************************

ปากด่าเขาฉอดๆ !!

ความแตกแยก รอยร้าวอันบาดคม เกิดขึ้นจาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ ตลอด??
มองด้วยจิตใจอันมืดดำ มิดปิ๊ดปี๋ว่า “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ทำลายประเทศไทยสะบั่น
แต่ไม่สำรวจตัวเอง...บ้านเมืองที่เจ๊ง “อภิสิทธิ์” ก็จุดชนวนไว้เหมือนกัน
“ทักษิณ” ตกเป็นขี้ปาก อาหารอันโอชะ ที่ “รัฐบาลเทพประทาน” จะใส่ไคล้ ให้ร้ายอย่างไร .. เค้าก็อยู่รอดในสายตา “ชาวโลก”...เป็นห่วงแต่ “นายกฯอภิสิทธิ์” หมดบุญวาสนา ถูกถีบจากตึกไทยคู่ฟ้า จะอยู่อย่างไร!!!
สร้างศัตรูเอาไว้อื้อ...จะกล้าอยู่เมืองไทยหรือ?...หากตื้ออยู่มีหวัง โดนเหยียบตาย??
___________________________________

เศรษฐกิจดี...ดีตรงไหนกัน!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” เลิกแหกตาชาวบ้าน??
ที่ดีๆ มีเงินใช้กระเป๋าตุง ก็วงศ์วานว่านเครือรัฐมนตรี ที่แฮปปี้เอนดิ้ง
ส่วนชาวบ้านรากหญ้า...หารับประทาน ยากจนเข็ญใจ เสียจริง
นี่, “ขุนคลังกรณ์” ผู้เป็นอะหลั่ย นายกรัฐมนตรีตัวสำรอง เตรียม “รีดเลือดกับปู” ด้วยการขึ้น “แว็ต” เก็บภาษีชาวบ้าน อีกจั๋งหนับ!!!
ตั้งหน้าตั้งตา เก็บภาษีคนจน..ช่างเป็น “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน”? ..ปล้นคนจนเก่งจริงนะครับ
_________________________________

โดนย้อนศร เจ็บแปล๊บ!!
เมื่อ “จตุพร พรหมพันธุ์” ถอนแค้นคืน เจาะยาง“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ เสียแสบ
สวมวิญญาณนกกระปูด..พูดฉูดฉาดกับเงินก้อนมหึมา ที่ไหลเข้าบัญชีแบ็งก์ เมียท่านอธิบดี
เจอคนปาฝาบ้าน... “ท่านธาริต” ได้แต่นั่งอึ้งกิมกี่
ก็เหมือนที่ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ”...ช่างจ้อเป็นรายวัน แถลงเจื้อยแจ้ว เป็นปากนกกระจิบ ในดคี “ก่อการร้าย” ทั้งที่คนไทย ไม่มีหัวใจก่อการร้าย เหมือนที่ได้ยกขึ้นมาพูด!!!
เจ็บเข้าถึงกระดองใจ..แต่“ท่านธาริต”รู้ไว้? .ไม่เท่าใส่ไฟเสื้อแดง ที่เห็นงานเขา อุตลุต??
__________________________________

ปีกกล้าขาแข็ง!!!
ผละหนีไม่ขึ้นสายตรง กับ “ชวน หลีกภัย” ..เดี๋ยวนี้ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รมต. ประจำสำนักนายกฯ เริ่มเหี่ยวแรง??
ขนาดสร้างผลงาน เข้าตากรรมการ..เมื่อครั้นคุมสื่อรัฐตี “เสื้อแดง” เสียกระจุย
มาบัดนี้เป็น “ส่วนเกิน”....เดินร่วม ครม. ไม่มีคนอยากคุย
จากที่เป็น เด็กสร้าง เด็กปั้น อนาคตไกล ที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ และ ผู้จัดการรัฐบาล หนุนให้โด่งดัง เดี๋ยวนี้เงียบฉี่!!
งัดข้อกับใครไม่งัด...เล่นทาบบารมี กับ “บิ๊กชวน”แบบมวยวัด? ..ก็ต้องโดนอัด นะซี่??
_____________________________

เผด็จการซ่อนรูป!!!
ก้อ, ๒ มาตรฐานไร้ขีดจำกัดเช่นนี้.. “ประชาธิปไตย” ประเทศไทย ถึงได้ดับวูบ??
ในเมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ออกตัวแข็งขัน ปากชักยันต์เป็นปืนกลเช่นนี้ จะยกเลิก “พรก.ฉุกเฉิน” ก็รีบทำซะ
มาสะบัดสะบิ้ง....แถได้จริงๆ ไม่งามเลยนะ
หรือไม่มีคำสั่ง จากผู้คอยกำกับหลังฉาก “นายกฯ มาร์ค” ก็ยังตะบิดตะบวย ไม่กล้าบอก!!
เป็น “นายกรัฐมนตรี”...แต่ต้องฟังคำสั่งอีกที?...นี่ไม่ผิดกับ “หุ่น” ที่เค้าชักรอก??
**********************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

พลิกกฎหมาย ฟันธง!"จารุวรรณ"พ้นเก้าอี้ผู้ว่า สตง.แล้ว ประกาศ คปค.เป็นแค่ข้ออ้างอยากอยู่ในตำแหน่งต่อ?

"คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้วหรือยัง?"
เป็นคำถามที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตั้งคำถามด้วยความสับสน

ทั้งๆที่คุณหญิงจารุวรรณ อายุครบ 65 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2553 ต้องพ้นจากตำแหน่งแล้วซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มาตรา 34(2) กำหนดไว้ว่า ผู้ว่าการฯพ้นตำแหน่งเมื่อ "มีอายุครบ หกสิบห้าปีบริบูรณ์"

แต่เมื่อไม่อยากลุกจากเก้าอี้(ด้วยเหตุใดก็ตาม) คุณหญิงจารุวรรณก็หาข้ออ้างว่า ยังมีปัญหาข้อกฎหมายอยู่ดูจากบันทึกเวียนของคุณหญิงจารุวรรณที่ทำถึงเจ้าหน้าที่ สตง.เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 มีใจความว่า

"เนื่องจากยังมีปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ฉบับที่ 29 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ประกอบกับขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ....อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป ระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อยุติในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเพื่อให้การบริหารราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นไปโดยต่อเนื่องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ในการบริหารราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จึงให้ถือปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ 75/2552 เรื่อง แต่งตั้งรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 9 เมษายน 2552 ไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่ยุติเรื่องการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน"

แต่ปรากฏว่า ในระหว่างนี้ มีกระแสข่าวว่า คุณหญิงจารุวรรณ ยังคงเข้าไปทำงานที่ สตง.ทุกวัน นั่งที่ห้องทำงานเดิม และใช้รถประจำตำแหน่งคันเดิม แม้จะมีรองผู้ว่าการ สตง.รักษาการอยู่

ทำให้เงาร่างของคุณหญิงจารุวรรณ ก็ทอดทะมึนเหนือสำนักงานแห่งนี้

มาดูกันว่า ประกาศ คปค.ฉบับที่ 29 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 เขียนว่าอย่างไร คุณหญิงจารุวรรณ จึงหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการไม่ยอมลงจากตำแหน่ง

"ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง(ผู้ว่าฯที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 18 กันยายน 2549 คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2550)ยังคงปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน"

จากข้อความในประกาศ คปค.ฉบับดังกล่าว ที่ระบุว่า "ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่การตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน"

น่าจะหมายความว่า "ผู้ที่"ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ต้องมีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วย เช่น มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ห้ามเป็น ส.ส. ส.ว.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ห้ามถูกคุมขังโดยหมายของศาล อยู่ในระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นบุคคลล้มละลาย วิกลจริตฟั่นเฟือน ตาย ลาออก อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ฯลฯ(ดูมาตรา 34 ประกอบมาตรา 28, มาตรา 29,มาตรา 32 และมาตรา 7)

มิได้หมายความสามารถทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ แม้บุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างไรก็ได้ เช่น ถ้าคุณหญิงจารุวรรณเกิดโอนสัญชาติไปเป็นต่างด้าว ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถูกศาลสั่งจำคุกและไม่ได้รับการประกันตัวหรือถูกคดีถึงที่สุด แม้กระทั่งตายหรือลาออก ก็ต้องพ้นจากการทำหน้าที่อยู่ดี

เช่นเดียวกันเมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้ว่าการตำรวจเงินแผ่นดินต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ก็เท่ากับการขาดคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ต่อไปได้ เพราะเป็นขาดคุณสมบัติพื้นฐานหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯเสียแล้ว

ดังนั้นการอ้างประกาศ คปค.ที่ระบุว่า "ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ยังคงปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน"เพื่อจะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำหน้าที่ต่อไปอาจจะมีความผิดฐานการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นเรื่องน่าหัวร่อที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า คนๆหนึ่งมีความสำนึกในการทำหน้าที่ต่อชาติบ้านเมืองถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ถ้ากลัวเช่นนั้น ก็มีวิธีแก้ง่ายนิดเดียวคือ ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งก็หมดเรื่องแล้ว เพราะคงไม่มีใครมาบังคับให้คนที่ขอลาออกจากตำแหน่งทำหน้าที่ต่อไปได้เหมือนกับการหนีทหารในยามสงคราม

แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นวิธีคิอของคนบางคน ที่ไม่ยอมจบ ไม่ยอมเลิกโดยไม่ได้พินิจดูอายุขัยของตัวเองว่า ร่างกาย สัญญา ย่อมเสื่อมไปตามสภาพที่เป็นจริง

หรืออาจเสื่อมจนสติฟั่นเพื่อนคิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้า

ที่มา. มติชนออนไลน์
**************************************************************************

พลังเงียบเมินการเมืองผลเลือกส.ส.เพิ่มขัดแย้ง

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
นักวิชาการชี้ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 ตอกย้ำให้เห็นความขัดแย้งในสังคมไทย เพราะประชาชน 60% ที่ออกมาใช้สิทธิล้วนเลือกสี เลือกข้างอยู่แล้ว ขณะที่อีก 40% เป็นกลาง ไม่มีสี กลับเมินที่จะออกมาใช้สิทธิของตัวเองเพื่อบอกความต้องการของประชาชนที่เป็นกลางทางการเมือง “สมบัติ” ระบุแม้เพื่อไทยจะแพ้ถือว่าประสบความสำเร็จ เชื่อจะทำให้มีกำลังใจต่อสู้มากขึ้น เพราะประชาชนยอมรับแนวทางที่ทำอยู่ “พร้อมพงศ์”เตรียมยื่น กกต. ตรวจสอบ 3 เรื่องก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้ง “เทพไท” ฟุ้งสำเร็จเกินคาด เพราะคะแนนทิ้งห่างถึง 15% จากที่คาดว่าจะทิ้งกันแค่ 5% เท่านั้น

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ว่าแม้พรรคเพื่อไทยจะแพ้แต่ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดีจากการส่งนายก่อแก้วลงสมัคร เพราะเอื้อต่อกลยุทธ์ที่ใช้ในการหาเสียง ทำให้คะแนนออกมาไม่ห่างกันมาก ผลที่ออกมาจะทำให้พรรคเพื่อไทยมีกำลังใจมากขึ้น เพราะเสียงสนับสนุนใน กทม. ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แม้จะชนะเลือกตั้ง แต่ผลคะแนนที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าต้องออกแรงหนักมากขึ้น และควรใช้โอกาสที่ยังเป็นรัฐบาลทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อดึงเสียงสนับสนุน

“แม้การเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ครั้งนี้จะส่งผลต่อการเมืองปัจจุบันไม่มาก แต่จะมีผลต่อการเมืองในอนาคต เพราะเสียงตอบรับพรรคเพื่อไทยทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งจะทำให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนได้มากขึ้น เพราะประชาชนยังให้การสนับสนุนอยู่” ศ.ดร.สมบัติกล่าว

ผลการเลือกตั้งตอกย้ำความขัดแย้ง

ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานกรรมการประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า คนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งคิดมานานแล้วว่าจะเลือกใคร เรียกว่ามีสีอยู่ในใจแล้ว ส่วนคนที่ไม่ออกมาเลือกตั้งประมาณ 40% คือคนกลางที่เป็นพลังเงียบ ทำให้ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นการตอกย้ำความขัดแย้ง ความแบ่งแยก มองไม่เห็นพัฒนาการของการสร้างความสมานฉันท์

ทั้ง 2 พรรคควรสรุปบทเรียนที่ได้

“ผมอยากเห็นบรรยากาศเป็นไปในทางที่ดี และหวังว่าหลังการเลือกตั้งแล้วการเมืองน่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยพรรคเพื่อไทยน่าจะมีการสรุปบทเรียน ส่วนฝ่ายรัฐบาลต้องพิจารณาตัวเองและดำเนินการนโยบายที่เป็นภาพลักษณ์ที่ดีจะทำให้การเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในอนาคตดีขึ้น” ผศ.ดร.ทวีกล่าว

เพื่อไทยร้องสอบ 3 เรื่องก่อนรับรอง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคจะนำเรื่องผิดปรกติที่พบในการเลือกตั้ง ส ส.เขต 6 คือเรื่องที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวระบุว่าถ้าเลือกนายก่อแก้วเป็นการก่อก่วน ก่อการร้าย เรื่องนักจัดรายการชื่อจ่าพงศ์ สารคาม ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 103 จัดรายการโจมตีพรรคเพื่อไทย และเรื่องที่มีคนแต่งตัวคล้ายคอมมานโดไปข่มขู่ประชาชนที่แฟลตเอื้ออาทรปัญญารามอินทราไม่ให้เลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบก่อนจะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ปชป. ชี้มีความหมายมากกว่าชัยชนะ

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมามีความหมายมากกว่าชัยชนะ เพราะเป็นการสะท้อนให้เห็นความต้องการของประชาชนที่อยากก้าวข้ามวิกฤตความขัดแย้ง ผลที่อกมาสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลหลายเรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง

อ้างประชาชนส่งสัญญาณเบื่อขัดแย้ง

“ผลที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าคนไทยเริ่มเบื่อความแตกแยก จึงถึงเวลาที่ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องหันหน้าเข้าหากัน คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องไม่ให้คนบางกลุ่ม บางพวกเข้ามาครอบงำทิศทางของบ้านเมือง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวและว่า พรรคขอให้คำมั่นสัญญาว่าทุกคะแนนที่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ถือเป็นกำลังใจที่ดีที่พรรคจะตอบแทนด้วยการมุ่งมั่นและทุมเททำงานหนักต่อไป ส่วนผู้ไม่ได้ลงคะแนนให้กับพรรคขอให้มั่นใจว่าพรรคพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นที่แตกต่าง และจะรักษาแนวทางการทำงานเพื่อทุกคนด้วยการเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศต่อไป

แขวะเพื่อไทยจริงใจยอมรับความพ่าย

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคพอใจผลการเลือกตั้งที่ออกมาแม้จะมีคนนำไปวิเคราะห์ในมุมมองที่แตกต่างกัน และอยากฝากไปถึงพรรคเพื่อไทยที่ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ขอให้ยอมรับจากใจจริง ไม่ใช่แกนนำพรรคยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ลูกพรรคจะไปร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งกับ กกต. โดยอ้าง 3 กรณีที่ไม่มีมูลความจริงแม้แต่เรื่องเดียว หากยอมรับเสียงของประชาชนจริงควรเลิกพฤติกรรมขี้แพ้ชวนตี

คะแนนห่างร้อยละ 15 เกินคาดหมาย

“ผลคะแนนที่ห่างกันมากถึง 14,704 คะแนน คิดเป็นอัตราร้อยละ 15 มากกว่าที่พรรคสำรวจเอาไว้ว่าคะแนนจะห่างกันเพียงร้อยละ 5 ถือว่าผิดความคาดหมายค่อนข้างมาก เพราะพื้นที่เขต 6 เป็นพื้นที่ฐานเสียงเดิมของพรรคไทยรักไทยทั้ง 4 เขต โดยเขตบึงกุ่ม คันนายาว เป็นฐานเสียงของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เขตคลองสามวาเป็นฐานเสียงของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ เขตหนองจอกเป็นฐานเสียงของนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ เมื่อผลออกมาพรรคประชาธิปัตย์ชนะทุกเขตถือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิใจ

เยาะเย้ย “เฉลิม” ถูกประชาชนตบหน้า

“ผมขอถามหาความรับผิดชอบจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศว่าจะเอาผลการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้ไปเป็นของขวัญวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และให้ประชาชนเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเพื่อเป็นการตบหน้ารัฐบาล เมื่อผลออกมาอย่างนี้แม่ทัพใหญ่อย่าง ร.ต.อ.เฉลิมจะรับผิดชอบอย่างไร เพราะประชาชนไม่ได้ตบหน้ารัฐบาลอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมชักชวน แต่หันไปตบหน้า ร.ต.อ.เฉลิมแทน อยากให้ไปดูว่าขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิมหน้าบวมไปเท่าไร ฟันหักไปแล้วกี่ซี่” นายเทพไทกล่าว

**********************************************************************

รัฐบาลประชาธิปไตย ต้องกำจัดวงจรอุบาทว์

บทบรรณาธิการ

บรรจบประจวบเหมาะ เหตุระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ถนนราชดำริ เกิดขึ้นระหว่างเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกคำสั่งประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งเสียงถามหาความถูกต้องเหมาะสมของการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ภายใต้การดูแลในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 หรือพื้นที่เขตภาคเหนือของประเทศไทย ด้วยงบประมาณถึง 1 หมื่นล้านบาท จะมีนัยสำคัญเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนปฏิเสธยากแล้วว่า ก้าวเดินของการเปลี่ยนแปลง หรือ ปฏิรูปประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตินั้น ไม่ผิดกับการพายเรือวนอยู่ในอ่างฉันใดฉันนั้น

เหตุระเบิดบริเวณป้ายจอดรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เวลาประมาณ 17.00 น.เศษ ไม่อาจถูกมองว่าเป็นแค่การป่วนเมืองธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อมีผู้เสียชีวิตแล้วและยังมีผู้บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งกรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งย่อมหมายความว่าอำนาจรัฐภายใต้มาตรการปกครองแบบพิเศษล้มเหลว ปราศจากความศักดิ์สิทธิ์ หาความเชื่อถือไม่ได้ และที่ไม่อาจมองข้ามอีกต่อไปคือ การขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของฝ่ายความมั่นคง

แต่อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลว ความอ่อนแอของอำนาจรัฐ ในการกำกับดูแลความมั่นคงภายในของประเทศผ่านเหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงนี้ ก็ไม่อาจได้รับการยอมรับจากสังคมไทยอย่างแน่นอน หากรัฐบาล ทหาร ตำรวจ รวมทั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. จะรวบรัดตัดตอนใช้เป็นเหตุผลในการคงไว้ซึ่งการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ท่ามกลางเสียงสะท้อนของทุกฝ่ายที่เห็นสมควรว่า กฎหมายพิเศษฉบับนี้ควรจะถูกเก็บใส่ลิ้นชักเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการปรองดองของคนในชาติ และที่สำคัญเพื่อยืนยันถึงการเคารพในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยภายใต้รัฐบาลที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วย

แม้กระทั่งความเคลื่อนไหวที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาข้อเสนอของกองทัพในการจัดตั้งกองพลใหม่ด้วยเหตุผลว่า เพื่อความมั่นคง มิใช่การทำลายล้างฝ่ายเสื้อแดง หรือฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลนั้น ก็พึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากจะหยิบยกกรณีระเบิดบิ๊กซีมาเป็นเหตุผลชอบธรรมตอกย้ำว่า ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการก่อการร้าย ทำให้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทุ่มงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทเพื่อป้องกันและปราบปรามเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาดังกล่าว เพราะเป็นที่ตระหนักรับรู้กันอยู่แล้วว่า กลุ่มผู้กระทำการอันอุกอาจสามารถลงมือประกอบอาวุธร้ายแรงได้นั้น ส่วนใหญ่ไม่พ้นคนในเครื่องแบบ นอกจากนั้นผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ล้วนเป็นคนมีสีและผู้มีอำนาจในทำเนียบรัฐบาลทั้งสิ้น

จึงเชื่อได้ว่า คำแถลงของรัฐบาลตลอดจนเจ้าพนักงานตำรวจจนถึงหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงเกี่ยวกับกรณีระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ที่จะหยิบยกออกมาก็ตาม คงไม่สามารถละลายความรู้สึกและความคิดเห็นของสังคมไทยในวันนี้ ที่จะตั้งข้อสังเกตโดยไม่ต้องสงสัยว่า ระเบิดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสถานการณ์ หวังผลทางการเมือง ท่ามกลางการถูกตั้งข้อถามถึงความถูกต้องเหมาะสมในการคงไว้ซึ่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความพยายามในการตั้งหน่วยงานทหารกองพลใหม่ ตราบเท่าที่รัฐบาลไม่อาจจับมือวางระเบิดมาลงโทษ หรือดำเนินการตามกฎหมายให้ปรากฏแก่สายตาสาธารณชน

สถานการณ์ความรุนแรงที่กลายเป็นวงจรอุบาทว์นี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่อาจหลีกหนีข้อครหาวิเคราะห์วิจารณ์ในความเกี่ยวพันกับความมีส่วนได้-ส่วนเสียของหน่วยงานความมั่นคง เพราะถ้าไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ก็ย่อมถูกปรามาสว่ารัฐบาลไร้น้ำยาในการดูแลความเรียบร้อยสงบสุขในสังคมไทย ทั้งๆ ที่มีกฎหมายการปกครองพิเศษอยู่ในมือ และในขณะที่ประกาศเสมอว่าเพื่อความเรียบร้อยจำเป็นต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่

ในฐานะของรัฐบาลผู้บริหารราชการแผ่นดินที่อาสาเข้ามาแก้ไขวิกฤติของประเทศภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว เราเห็นว่า แทนที่รัฐบาลตลอดจนฝ่ายความมั่นคงจะมองหาเครื่องมือกำกับ ควบคุมความเคลื่อนไหวของประชาชนที่คิดต่างจากรัฐบาล แทนการสร้างสถานการณ์เพื่อการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำไมไม่เลือกเผชิญหน้ากับความจริงว่า ปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองทุกวันนี้ คือ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ล้มเหลวและไม่มีประสิทธิภาพ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของใคร กลุ่มไหนก็ตาม สมควรต้องถูกประณาม เพราะไม่เพียงทำร้ายประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพื่อนมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยด้วยกันเท่านั้น แต่ยังทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากสายตาคนทั่วโลก แต่การอ้างเอาระเบิดครั้งนี้ซื้อเวลาให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ เร่งรัดการตั้งกองพลใหม่โดยไม่สามารถตอบข้อสังเกตและข้อสงสัยได้ก็ยิ่งต้องถูกตำหนิติเตียน เพราะภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบใหม่ที่มีการกล่าวอ้างจากหน่วยข่าวกรองหรือฝ่ายความมั่นคงนั้น ไม่อาจจะลดน้อยถอยจากลงไปได้เลย ตราบเท่าที่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับการสังคายนา และความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมิได้ถูกกำจัดให้บรรเทาเบาบาง และที่น่ารังเกียจที่สุด คือ วงจรอุบาทว์ สร้างความรุนแรงหวังผลทางการเมืองนั่นเอง.

ที่มา.ไทยโพสต์
*************************************************************************

สังคมพุทธกับสันติวัฒนธรรม

สุรพศ ทวีศักดิ์

ในเชิงปริมาณเราภูมิใจกันว่า คนไทยกว่าร้อยละ 90 เป็นชาวพุทธ แต่ในเชิงคุณภาพ เราถามตัวเองตลอดมาว่า ทำไมสังคมพุทธจึงเต็มไปด้วยอบายมุข และภายใต้คำโฆษณาว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เรากลับพบเห็นแต่ความงมงายไร้เหตุผล โดยการยืนยันความเป็นศาสนาแห่งเมตตาธรรมและสันติภาพ เรากับกลับกำลังเผชิญกับความเกลียดชังและความรุนแรง

ผู้เขียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้เห็นความรุนแรงจนชินตา คือครอบครัวที่อยู่หลังบ้านผู้เขียนเอง สามีมักเมากลับบ้านแทบทุกคืน แล้วก็พาลทะเลาะกับภรรยา เสียงด่าทอตบตีดังสนั่น แต่พอรุ่งเช้ากลับได้ยินเสียงสามีร้องบอกภรรยาว่า “พระมาแล้ว มาใส่บาตรได้แล้ว” ทำให้น่าคิดว่าความเป็นชาวพุทธที่ใส่บาตรพระทุกวัน กับความรุนแรงในครอบครัวเป็นเป็นวิถีชีวิตประจำวัน 2 วิถีที่ดำเนินไปอย่างคู่ขนานกัน

ในปีนี้ก็เช่นทุกปี เราเห็นการรณรงค์ “งดเหล้าเข้าพรรษา” เพราะว่าสังคมพุทธบ้านเรานั้น มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงจากการเมาแล้วขับ ทำให้ปีหนึ่งๆ รัฐต้องเสียงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท แต่นอกเหนือจากความรุนแรงในครอบครัว อบายมุขจะดำรงอยู่คู่กับสังคมพุทธแล้ว ความรุนแรงทางการเมืองก็ดำรงอยู่คู่กับสังคมพุทธมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดความรุนแรงทางการเมือง เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 นอกจากชาวพุทธส่วนใหญ่และพุทธศาสนาเชิงสถาบัน เช่น สถาบันสงฆ์ จะ “วางเฉย” ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้ว ยังปรากฏว่ามีพระนักเทศน์ชื่อดังออกมาพูดต่อสาธารณะว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ซ้ำในประวัติศาสตร์ความรุนแรงเดือนเมษา-พฤษภา 53 ยังมีวลีทองหลุดออกมาจากพระชื่อดังอีกว่า “ฆ่าเวลาบาปมากกว่าฆ่าคน”

ทั้งที่เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะหาไม่พบในพระไตรปิฎกเล่มไหนๆเลยว่า การฆ่าคนไม่บาป หรือบาปน้อยกว่าการฆ่าเวลา พุทธศาสนายืนยันว่าการฆ่ามนุษย์เป็นบาปเสมอ ไม่ว่าจะฆ่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

การห้ามฆ่าตามหลักศีล 5 ข้อที่ 1 นอกจากเพื่อปกป้องสิทธิในชีวิตของมนุษย์ (และสัตว์อื่นๆ) แล้ว ยังเป็นข้อเรียกร้องขั้นต่ำสุดของ “สันติวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม พุทธศาสนาถือว่ามนุษย์มีสิทธิในชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่อาจเพิกถอนได้ เนื่องจากสิทธิดังกล่าวมีมาพร้อมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์

นักวิชาการทางพุทธศาสนาบางคนอธิบายว่า สิ่งที่แสดงว่ามนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ คือ มนุษย์มี “ตัวตนทางศีลธรรม” (moral self) ซึ่งคนอื่นๆ ต้องเคารพ หมายถึงตัวตนที่แสดงศักยภาพทางศีลธรรม เช่น การมีมโนสำนึกผิดชอบชั่วดี ใฝ่ปรารถนาและมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองให้ดีงาม ตั้งแต่ความดีงามระดับพื้นฐานไปจนถึงความดีงามระดับสูงสุด คือความมีอิสรภาพจากความทุกข์

การฆ่าเป็นสิ่งที่ผิดก็เพราะเป็นการทำลายโอกาส (ซึ่งเป็นไปได้ตลอดเวลา) ที่ตัวตนทางศีลธรรมของปัจเจกบุคคลจะได้พัฒนาให้เต็มเปี่ยม และสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีอื่นๆ แก่โลก

ฉะนั้น เงื่อนไขแรกสุดที่ปัจเจกบุคคลจะมีโอกาสพัฒนาตัวตนทางศีลธรรมให้งอกงามเต็มเปี่ยม คือการเคารพในตัวตนทางศีลธรรมของกันและกันโดยการไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย หรือทำทารุณกรรมต่อกัน หากแต่พึงมีคุณธรรมคู่กับศีลข้อที่ 1 คือ เมตตา หรือความรัก ความเป็นมิตรไมตรี ปรารถนาความสุข ความดีงามแก่กันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างมีภราดรภาพอันเป็นวิถีแห่งสันติวัฒนธรรม

แต่วันนี้สังคมพุทธบ้านเราดูราวกับเป็นสังคมที่ไร้หัวใจ เรากำลังเห็นภาพการฆ่าเป็นเรื่องปกติ ผู้นำที่ลุแก่อำนาจนั้นตัดสินใจเชิงนโยบายในทางที่ทำให้เกิดการฆ่าได้อย่างง่ายดาย สังคมนี้ไม่ได้ส่งเสียงห้ามปรามการฆ่าอย่างจริงจังพอ และไม่เรียกร้องอย่างเข้มข้นให้ผู้ฆ่าและผู้สั่งฆ่าประชาชนต้องรับผิดชอบใดๆ

อาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ เคยพูดกับผู้เขียนว่า

“มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ในสังคมพุทธ เราได้ยินแต่เสียงเทศนาที่ฟังดูดีมีเหตุผล แต่ไม่แน่ว่าผู้เทศนานั้นมีหัวใจที่เชื่ออย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ตนเองพร่ำสอนคนอื่นหรือไม่ มีหัวใจที่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความอยุติธรรม ความทุกข์ ความเจ็บปวด และความตายของเพื่อนมนุษย์หรือไม่ เมื่อไม่มีหัวใจเชื่ออย่างลึกซึ้งในคุณค่าของมนุษย์ และอ่อนไหวต่อความไม่เป็นธรรม ความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ ศาสนาก็ไม่มีอยู่จริง”

ที่จริงแล้วคนที่รักประชาธิปไตยและคระหนักในคุณค่าแห่ง “เสรีภาพ” และคนที่เป็นชาวพุทธที่ตระหนักในคุณค่าแห่ง “ตัวตนทางศีลธรรม” ของคนอื่นๆ ย่อมรู้สึกอย่างลึกซึ้งจริงจังต่อการปกป้องชีวิตของประชาชน

ฉะนั้น การที่จะเดินหน้าปรองดองโดยละเลยที่จะพิสูจน์ความผิดในการฆ่าประชาชนอย่างถึงที่สุด และละเลยที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการฆ่าและการสั่งฆ่าประชาชน นับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งที่เรายังจะหลอกตัวเองว่า สังคมเราเป็นสังคมประชาธิปไตย และเป็นสังคมพุทธ!

ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เขาแพง แพงเท่าอนาคต!!

นิพนธ์ พร้อมพันธ์-สุเทพ เทือกสุบรรณ-นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
6 ข้อพิรุธ...ที่ต้องการคำตอบ

“ที่ดิน” ไม่ว่าจะยากดีมีจน ใครๆก็ต้องอยากได้ ... แต่การได้มาควรจะต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และไม่มีข้อครหาใดๆ ตามมา โดยเฉพาะกับกรณีของบุคคลสาธารณะ ที่มีโอกาสในการเข้าไปกุมกลไกอำนาจรัฐ
อย่างเช่นนักการเมืองทั้งหลาย ควรจะต้องเป็นตัวอย่างสังคม แต่กลับกลายเป็นว่า มีนักการเมืองหรือเครือญาตินักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่เป็นประจำ
ล่าสุดที่ดินเขาแพง กำลังทำให้ครอบครัวเทือกสุบรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ ผอ.ศอฉ. ซึ่งถือว่ามีอำนาจรัฐในมืออย่างมหาศาล ต้องถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากสังคม...

ว่าจริงๆ แล้วที่ดินเขาแพง ที่อยู่ในความครอบครองของนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพนั้น ได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่อย่างไร และเอกสารสิทธิที่อยู่ในมือนั้นเป็นของจริงและถูกต้องเพียงใด
เพราะประเด็นในเรื่องที่ดินเขาแพงนั้น ถูกตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น

1. คือ เรื่องชื่อผู้ครอบครองที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันเป็นของนายแทน เทือกสุบรรณ แต่ไม่ตรงกันในระหว่างแปลงเอกสารสิทธิจาก ส.ค.1 เป็น น.ส.3 ก.

2. การที่มีเอกสารต้นขั้ว ส.ค. 1 ที่จะนำมาขอออกเอกสารสิทธิ ที่ดินแปลงที่ลูกชายท่านถือครองหายไป ขณะที่ที่ดินแปลงอื่นไม่หาย

3. มีการพบชื่อนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล ซึ่งเคยเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ ว่าอาจจะมีลักษณะของการเป็นนอมินีในการซื้อที่ดินเขาแพงหรือไม่?

4. มีการเชื่อมโยงเรื่องหลักฐานเอกสารที่แสดงให้เห็นถึงการบริจาคที่ดินของนายอากร ฮุนตระกูล อดีตนักธุรกิจโรงแรมเกาะสมุย จำนวน 4,870 ไร่ ส่วนใหญ่เป็น ภทบ.5 ที่บริจาคให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทำเป็นป่าต้นน้ำลำธาร ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ดินเขาแพงเจ้าปัญหาที่อยู่ในความครอบครองของนายแทน เทือกสุบรรณ ด้วยหรือไม่?

ที่สำคัญ ปัจจุบันที่ดินที่นายอากรบริจาคมากถึง 4,870 ไร่นั้น ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 300 ไร่เท่านั้น ที่เหลือถูกบุกรุกโดยนายทุน ผู้มีอิทธิพลและนักการเมือง ซึ่งมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการฮุบที่ดินอย่างชัดเจน

5. มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องการจัดซื้อจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะ ส.ค.1 หายไปจากสารบบ ซึ่งบางแปลงเจ้าของที่ดินดั้งเดิมและที่ดินแปลงข้างเคียงยืนยันว่าไม่มี ส.ค.1

และ 6. หนึ่งในเจ้าของที่ดินข้างเคียง คือนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งออกมาระบุว่า พร้อม จะถูกเพิกถอนโฉนดที่ดิน หากไม่มีส.ค. 1

แม้ว่านายสุเทพ จะมีการชี้แจงในเรื่องที่ดินเขาแพงของนายแทนว่า เป็นการซื้อที่ดินมาจาก ห.จ.ก. แห่งหนึ่ง อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนซื้อเขาก็มีเอกสารสิทธิเรียบร้อย นายแทนก็ครอบครอง มา 8-9 ปีแล้ว
ซึ่งนายแทนนั้นทำสวนยาง สวนปาล์ม ทำปาร์มเลี้ยงกุ้ง มีผลผลิตกุ้งขายทุกปีๆ ละประมาณ 5-6 พันตัน ยอดขายสัก 500-600 ล้านบาท จึงมีความสามารถที่จะซื้อที่ดินได้

แต่แน่นอนว่า แม้นายสุเทพจะยกเหตุผลต่างๆ ขึ้นมาอ้าง เพื่อยันกับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในเรื่องที่ดินเขาแพง... แต่งานนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเรียกว่า “งานเข้า”เต็มๆ
เพราะแม้แต่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ก็ยังพูดถึงกรณีที่ดินเขาแพงว่า มีมูลพอที่ดีเอสไอจะสอบสวนได้
และที่สำคัญคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ก็เข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน
เจอเข้าแบบนี้นายสุเทพไม่หงุดหงิดก็แปลกไปแล้ว ทั้งในฐานะที่มีหัวอกเป็นพ่อของนายแทน และในบทบาทหน้าที่ซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ในมือ

เลยทำให้แม้แต่ผู้สื่อข่าวทั้งหลายก็ยังมองเห็นความหงุดหงิดของนายสุเทพ แทบทุกครั้งที่ถูกสื่อตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ดินเขาแพง
อย่างเช่นล่าสุด นายสุเทพ ก็ออกอาการฉุนจัด หลังโดนถาม จนต้องตอบ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“คุณกล่าวหาผมหรือเปล่า? ผมมีหน้าที่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อ ป.ป.ช.โดยจะทำรายงานข้อเท็จจริง และเอกสารหลักฐานยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ตามที่ฝ่ายค้านยื่นเรื่องถอดถอนผมต่อ ป.ป.ช. ถ้าผมผิด ป.ป.ช.ก็จะดำเนินคดีกับผม ดังนั้นขอให้อดใจรอให้ ป.ป.ช.สอบสวนไปตามกระบวนการก่อน อย่าเพิ่งตั้งศาลเตี้ยเล่นงานกันตอนนี้”

หรือก่อนหน้านั้น ก็มีการให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเคร่งเครียดว่า
“ผมจะไม่ตอบอะไรตามกระแสของสื่อบางประเภทที่พยายามจะหาเรื่องทำร้ายผมอยู่ ทุกดำเนินการตามกฎเกณฑ์กฎหมาย เดี๋ยวก็จะรู้ชัดว่าใครเป็นใคร ความถูกความผิดเป็นอย่างไร”
เมื่อถามว่า แสดงว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่าการถือครองที่ดิน เขาแพงถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด
นายสุเทพ กล่าวว่า ได้ยืนยันไปหลายหนแล้ว แต่สื่อมวลชนไม่รายงานให้!!!

แต่เมื่อถูกถามว่า นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ระบุว่าพร้อมจะถูกเพิกถอนโฉนดที่ดิน หากไม่มี ส.ค. 1 กลับปรากฏว่า นายสุเทพ รีบตัดบทว่า ไม่ขอพูดเรื่องนายนิพนธ์!!!
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้สังคมไทย จับตามองกรณีที่ดินเขาแพง ว่าจุดจบสุดท้ายจะออกมาอย่างไร จะซ้ำรอยที่ดินเขายายเที่ยงอีกหรือไม่?
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ กรมที่ดินจะกล้าพอในเรื่องการตรวจสอบการบุกรุกที่ดินเขาแพงเพียงใด!?!

เพราะแม้ว่านายสุเทพ จะยืนยันว่าไม่มีอำนาจหน้าที่สั่งกรมที่ดิน แถมน.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังออกมาช่วยปกป้องถึงกรณีที่มีกระแสว่าข้าราชการอึดอัดกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ดิน เขาแพง จนส่งผลให้การตรวจสอบไม่เดินหน้านั้น ว่า ถึงแม้ว่าเรื่องเขาแพง จะเกี่ยวข้องกับนายสุเทพ แต่ก็เชื่อว่าไม่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง

ที่ดินเขาแพง จึงเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ที่ต้องจับตาอย่ากะพริบไปแล้วในขณะนี้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************************************

สตง.มึน! "จารุวรรณ"ยังมาทำงานทั้งที่เกษียณแล้ว เจ้าตัวอ้างเกรงถูกข้อหาละเว้น เร่งส่งหนังสือถามกฤษฎีกาตีความ

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า มีความสับสนในการทำงานของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ว่ายังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. อยู่หรือไม่ เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณ อายุครบ 65 ปีเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือว่าพ้นตำแหน่งแล้วตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 แต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบัน คุณหญิงจารุวรรณยังเดินทางมาทำงานและใช้ห้องทำงานที่ สตง. เหมือนเดิมแม้จะไม่ได้ลงนามในหนังสือราชการก็ตาม

"คุณหญิงจารุวรรณอ้างว่า ที่ต้องเข้ามาเพราะกลัวถูกข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากประกาศคปค. ฉบับที่ 29 กำหนดให้คุณหญิงจารุวรรณอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการสรรหาผู้ว่า สตง. และคตง. (คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) ชุดใหม่ แต่การทำแบบนี้ สร้างความสับสนและส่งผลทำให้งานหนังสือราชการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าการ สตง. หยุดชะงักไป เพราะเจ้าหน้าที่ ไม่ทราบว่า จะให้ใครเป็นผู้ลงนามดีระหว่าง คุณหญิงจารุวรรณ หรือรองผู้ว่า สตง. ที่รักษาการอยู่"

แหล่งข่าว กล่าวว่า ก่อนที่คุณหญิงจารุวรรณจะอาย ออกมายืนยันว่า คุณหญิงพร้อมที่จะปฎิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง โดยในช่วงก่อนหน้าที่ คุณหญิงจะมีอายุครบ 65 ปี ได้มีการทำหนังสือไปถึงนายกฯ ให้ส่งเรื่องการดำรงตำแหน่งของตนเอง ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ขณะที่ สตง.ก็ได้ทำหนังสืออีกหนึ่งฉบับแจ้งไปยังกฤษฎีกาให้ตีความเรื่องนี้อีกทางหนึ่งด้วย

"ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าผลการตีความจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา กฤษฎีกา ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องไปชี้แจงข้อมูล เพื่อประกอบการพิจารณา แต่กฤษฎีกาก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม สตง.เพิ่งจะมาให้ความสำคัญกับการตีความข้อกฎหมายเรื่องนี้ "


ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************************************

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมดอำนาจ โดนเล่น เสียงอม!!

“บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา จ่าฝูงกองทัพบก ถูกแบล็กเมล์ มีหรือจะยอม??
การออกมาตั้งป้อม เล่นงาน “เรือเหาะ” ๓๐๐ ล้าน รูรั่วเพียบ..และ “รถถังหุ้มเกราะยูเครน” เป็นเศษเหล็ก ที่ใช้ไม่ได้
เป็นเรื่อง “สับขาหลอก”...เล่นงาน “บิ๊กป๊อก” ส่งท้าย
เพราะถึง “บิ๊กป๊อก” จะไม่เป็นที่ปรารถนา ของเพื่อนร่วมรุ่น “ตท.รุ่น ๑๐”..แต่ “บิ๊กพิรุณ แผ้วพลสง” เสนาธิการทหารบก ก็เป็น “มวยสร้าง” ที่ “บิ๊กป๊อก” ยงโย้ ยงหยก ให้เป็น “ผบ.ทบ.” หรือไม่ก็ให้นั่ง “เสธ.ทบ.” ต่อไป...เพื่อดูแลเรื่องปัญหาต่างๆ ของ “บิ๊กป๊อก”!!
นี่แค่จะเกษียณ..เค้าก็เล่นงาน “บิ๊กป๊อก” เสียเนียน?..ปวดเศียรเวียนเกล้า ไปถึงสองดอก??
...................................

‘กฎหมายติดหนวด’!!
“พ.ร.บ.ฉุกเฉิน” ที่เป็นไม้ค้ำยัน ให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” มีแต่คนด่า คนสวด??
ทำตัวเป็น พ่อลิเกผิวบาง ตามวาระซ่อนเงื่อนไม่เปลี่ยนแปลง...เมื่อ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แย้มโอษฐ์ เกริ่นจะยกเลิกทันที
แต่อย่างว่า “ปากกับใจ”...เชื่อได้ที่ไหน เพราะเห็นออกลีลาพริ้วทุกที
ขณะที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ทำตัวเป็น “นักประชาธิปไตยจ๋า”..แต่ทว่า คอหอยและลูกกระเดือก “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ฐานะ ผู้จัดการรัฐบาล ทุ่มเงินนับหมื่นล้าน สร้าง “พล.ร. ๗” ขุมข่ายกองทัพทหาร ขึ้นมาไล่ล่า “เสื้อแดง”!!!
จะยกเลิก ก็ทำเถิดจ้า..ที่เค้ากลัวนักกลัวหนา..ก็กริยาอันเสแสร้าง???
....................................

มี ‘พรสวรรค์’ หาศัตรู!!!
นอกจาก “เทพเจ้าปักษ์ใต้” นายหัวชวน หลีกภัย จะไม่มองหน้า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แล้ว เท่าที่รู้??
เดี๋ยวนี้เกิด “เกาเหลา” คู่ใหม่อีกคู่ อีกนะจ๊ะ
เมื่อ “รองนายกฯไตรรงค์ สุวรรณคีรี”...เปิดศึกราวีกับ “เทพเทือก” ไม่ลดละ
ว่ากันไปแล้ว เหมือน “รองนายกฯ ไตรรงค์” จะรับเป็นหน้าด่าน มวยแทน ของ “อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย” เพื่อเปิดศึกโดยตรง กับ “เทพเทือก” กันอย่างเจี๊ยวจ๊าว!!!
ไม่รู้ว่า ปี “๕๓”.... “เทพเทือก” จะโดนย่ำ?...โดนถูกหาม จากวงการเมือง หรือเปล่า??
....................................

‘ประชานิยม’ อย่างผิดๆ !!
เดินตามก้นเขาต้อยๆ แบบนั้น มันไม่มีเวอร์ชั่น แห่งความเป็นตัวของตัวเองเลยนะ “นายกฯอภิสิทธิ์”
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งโปรแกรม แจกต้นกล้า “ยางพารา” โดยเอาเงินจาก “องค์การสวนยาง” มาละเลงน้ำ ใช้อย่างบรรลัย
คนปลูกสวนยาง...ล้วนเศรษฐีมีสตังค์ เอามาแจกทำไม?
ทีกับ “ชาวนา” ที่มีหนี้หลังแอ่น ปุ๋ยก็ต้องซื้อ พันธุ์ข้าวก็ต้องหาเอง...มีหนี้จมลึกยิ่งกว่าปลักควายอีก..แต่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” กับตาบอด มองไม่เห็น ไม่ช่วยเหลือ อะไรทั้งสิ้น!!!!
ก้อบริหารประชานิยม...ชาวบ้านจึงด่าให้ระงม?...หันไปชื่นชม แต่ อดีตนายกฯ ทักษิณ??
......................................

เศรษฐกิจทรุด!!
นำพา “พรรคประชาธิปัตย์” ตกต่ำเรี่ยดิน กันอย่างสุดๆ???
แม้นว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะใช้เส้นสายสกลใน ต่อไปยัง “กลุ่ม ๓ พี” พินิจ จารุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ ผู้คุมกฎเหล็กพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้หนุนงบประมาณวาระ ๒-๓ ให้ผ่านไปด้วยดี
ถึงจะมีซิกส่งออกมา....พรรคเพื่อแผ่นดินจะเดินหน้าหนุน อย่างเต็มที่
แต่ทั้งหมดนี้, ต้องดูว่า “เดอะมาร์ค” จริงใจไม่จริงโจ้ ..เหมือนเมื่อครั้ง ให้โหวตสวน ลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ของ “เนวิน ชิดชอบ”.. แต่แล้วในที่สุด “นายกฯ อภิสิทธิ์” กลับบีบ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ให้ออก จน “มิสเตอร์ ๓ พี” เจ็บกระดองใจ!!!
“อภิสิทธิ์” เป็นแบบนี้...พอจวนตัวเต็มที่?...ก็วิ่งรี่ ง้อเค้าร่ำไป??
*****************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

‘มาร์ค วี 11’สอน‘มาร์ค ม.7’

วันนี้ผู้เขียนขอฝากคำกล่าวของ “ลุงโฮจิมินห์” นักต่อสู้ของชาวเวียดนาม ถึง “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” หรือลูกจีนรักชาติว่า

“ข้าพเจ้ามีความปรารถนาสูงสุดอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือทำอย่างไรให้ประเทศของเราได้รับอิสรภาพ และประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมชาติทุกคนมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่ และมีโอกาสได้ศึกษาร่ำเรียน”

นี่เป็นเสรีภาพและประชาชนมีการศึกษา ดังนั้น คนไทยทุกคนต้องเรียนหนังสือมากๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับพลตรีจำลอง จาก “ไพร่คนไทยชาวอีสาน”

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวของเด็กที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงพอสมควร และอาจจะมากกว่านี้หากเด็กคนนั้นไม่รีบขอจบการเป็นข่าวเสียก่อน

ข่าวที่ว่าคือข่าวของ “มาร์ค วี 11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ จากรายการอะคาเดมี แฟนเทเชีย ขอลาออกจากการเข้าร่วมกิจกรรมในบ้านเอเอฟ เพราะถูกวิพากษ์อย่างหนักจากสังคมออนไลน์ เนื่องจาก “มาร์ค วี 11” ไปโพสต์ข้อความโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพถึงขั้นหยาบคายในเฟซบุ๊คของตัวเอง

บิดามารดาของ “มาร์ค วี 11” คงเล็งเห็นแล้วว่าหากจะให้ลูกชายอยู่ในบ้านเอเอฟต่อไปก็มีแต่จะตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ที่ไม่ชอบ จึงให้ “มาร์ค วี 11” ลาออก ซึ่งคงต้องใช้เวลาทำใจอยู่พอสมควรจึงยอมละทิ้งความฝันของตัวเองลาออกจากบ้านเอเอฟ และในวันแถลงข่าวนอกจาก “มาร์ค วี 11” จะยกมือไหว้ขอโทษนายกฯผ่านสื่อแล้วยังบอกว่าหากเป็นไปได้อยากขอโอกาสพบนายกฯเพื่อขอโทษด้วยตัวเองอีก

การใช้ถ้อยคำไม่สุภาพผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต แม้คิดว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่การแสดงออกในที่สาธารณะซึ่งมีชื่อของตนเองปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ค อาจกลายเป็นการประจานตนเองได้

ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นตามกระทู้ต่างๆที่ใช้นามแฝง หรือการขีดเขียนข้อความตามรั้วกำแพงหรือในห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สามารถทราบตัวคนเขียนได้ แต่นั่นก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเศร้าใจกับพื้นฐานอารมณ์ ความคิด และการศึกษาของผู้ที่แสดงความคิดเห็นฝากไว้

อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ทั้งหลายว่า การจะพูดจาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพอาจทำให้ผู้อื่นที่พบเห็นในเวลานั้นรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อพูดจบก็จบกัน แต่การขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นการประจานตัวตนของตนเองให้สังคมได้รับรู้รับทราบไปอีกนาน และอาจกระเทือนไปถึงครอบครัวอย่างกรณีของ “มาร์ค วี 11”

ขอเน้นย้ำว่าไม่ได้สนับสนุนให้เด็กทั้งหลายพูดจากันด้วยคำไม่สุภาพ เพียงแต่บอกว่าไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ต้องขอชื่นชม “มาร์ค วี 11” ที่กล้ายอมรับความจริง โดยไม่สนใจคะแนนเสียงที่จะโหวตให้จากการแข่งขัน และยอมทิ้งความฝันในการเป็นนักร้องเพื่อลดกระแสกดดัน

แม้นายกฯอภิสิทธิ์จะให้สัมภาษณ์ว่าไม่ถือโทษ และผู้บริหารบริษัททรูฯให้สัมภาษณ์เช่นกันว่าไม่ได้กดดัน “มาร์ค วี 11” ทั้งยังเปิดโอกาสให้อยู่ในบ้านเอเอฟต่อก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติมีหลายทางที่สามารถกดดันให้ “มาร์ค วี 11” ต้องออกอย่างนิ่มนวลได้ ไม่ว่าจะเป็นการโหวต หรือการปฏิบัติจากเพื่อนในบ้านเอเอฟ

การลาออกของ “มาร์ค วี 11” จึงเป็นการแสดงสปิริตของเด็กรุ่นใหม่ที่พึงมีและเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆได้จดจำ

ขณะที่หันมามองดูนายกรัฐมนตรี “มาร์ค ม.7” บ้าง แม้จนบัดนี้การชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ผ่านพ้นมาแล้วเนื่องจากการ “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ที่มีคนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน และล้มตายเกือบร้อยรายนั้น นายกฯมาร์คก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางกระแสเรียกร้องของสังคมให้ลาออก โดยที่ยังกอดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการคุ้มครองของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่างเข้มแข็ง

ถามว่ากรณีของ “มาร์ค วี 11” ให้ข้อคิดอะไรกับนายกรัฐมนตรีบ้างหรือไม่

คำตอบคือ คงต้องถามท่านในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” กันเอง และรออ่านคำตอบในหนังสือพิมพ์ ต้องรอให้ท่านไปเรียบเรียงคำพูดก่อน เรื่องนี้จะให้ตอบปัจจุบันทันด่วนคงไม่ได้

ที่ตอบไม่ได้เพราะคงต้องถามต่อไปอีกว่าก่อนหน้านี้เคยมีกรณีเด็กรุ่นใหม่โพสต์ข้อความโจมตีสถาบันจนถูกมหาวิทยาลัยถอดถอนจากการเป็นนิสิตของสถาบันแล้วถึง 2 รายเป็นอย่างน้อยคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งผู้เขียนเคยกล่าวถึงมาแล้ว

ไม่ใช่จะมาประจานมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เคยถามไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบจากผู้เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ การไล่ออกเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เป็นการเกาถูกที่คันแล้วหรือไม่?

เพราะการแสดงความคิดเห็นผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นการสะท้อนความคิดของประชาชนได้ส่วนหนึ่งที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและในวงกว้าง

รัฐบาลจะใช้กระแสกดดันทางสังคมสร้างพ่อมดแม่มดออนไลน์ติดตามประณามคนเหล่านั้นทางสื่ออินเทอร์เน็ตแล้วจบกันเท่านั้นหรือ?

แล้วความเข้าใจผิดของคนในสังคม นายกฯจะแก้ปัญหาและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้อย่างไร?

การปิดสื่อของฝ่ายตรงข้าม การให้ข่าวแต่ฟากฝั่งรัฐบาลโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การแก้ปัญหาข่าวลือหรือลดความแตกแยก และช่วยการสร้างความปรองดองได้

หันหน้ามาเผชิญกับความจริงเหมือน “มาร์ค วี 11” แล้วจะพบว่าสังคมไทยยังพร้อมให้อภัยและมีทางออกให้เสมอ

บทเรียนของเด็กครั้งนี้สอนผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 269 วันที่ 24-30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 12 คอลัมน์ หอคอยความคิด โดย วิษณุ บุญมารัตน์
******************************************************