สัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ได้จัดงานประชุมวิชาการ 100 ปี "ศาสตราจารย์บุญชนะ อัตถากร" เมื่อวันที่ 15 ก.ค 2553 ซึ่งคนรุ่นหลังอาจไม่รู้จัก แต่ในอดีตช่วงประเทศชาติของเรากำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ "ศาสตราจารย์บุญชนะ" เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
ในปี 2504 เป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ศาสตราจารย์บุญชนะเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญเสนอแนวคิดในการจัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการสภาพัฒน์ พร้อมกับดำรงตำแหน่งอธิบดีวิเทศสหการคนแรกซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการประสานงานของการสนับสนุนต่างประเทศทั้งด้านการเงินและวิชาการ ขณะเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ที่สำคัญท่านยังเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการผลักดันให้เขียน"แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกในประเทศไทย" เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์กระจายความเจริญสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างมหาวิทยาลัยหัวเมือง อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และยังเป็นอธิการบดี คนแรกของนิด้า นั่นอาจเป็นคุณูปการเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นของศาสตราจารย์บุญชนะ เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ท่านได้ให้แก่ ประเทศไทย
ดังนั้นเพื่อระลึกถึงศาสตราจารย์บุญชนะ ทางนิด้าจึงได้จัดงานประชุมวิชาการเพื่อรำลึกและเชิดชูเกียรติท่าน โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ในฐานะนายกสภานิด้า เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ประเทศไทย : ก้าวไปข้างหน้าด้วยการพัฒนาที่สมดุล"
จากนั้นมีการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บล.จัดการกองทุนรวม MFC จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มบริษัทเศรณี ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการสภาพัฒน์
"ดร.จิรายุ" เปิดประเด็นว่า การจะคิดเกี่ยวกับหัวข้อ "ประเทศไทย" ควรมีการประเมินความสำเร็จและข้อบกพร่องของการพัฒนาที่ผ่านมาและมาวางแผนการพัฒนาในอนาคตให้สอดคล้องกับปัญหาตามความเป็นจริงของประเทศและของโลก
50 ปีที่ผ่านมา (2503-2553) ประเทศไทยประสบผลสำเร็จกับการพัฒนาประเทศหรือไม่ รายงานธนาคารโลกที่จัดทำขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ชื่อ "Strange Report" ระบุว่ามี 13 ประเทศ ที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เกณฑ์ที่ใช้วัดคือ ต้องมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่า 7% เป็นเวลา 25 ปีอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทย ก็เป็น 1 ใน 13 ประเทศ
รายงานบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยน่าจะถือว่าเป็น
"Economic Miracle" หรือเป็นความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจที่ยากจะอธิบาย และแนวโน้มไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกหรือเกิดขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของประเทศไทย ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปูพื้นฐานของผู้ที่มีบทบาทในอดีตอย่างเช่นอาจารย์บุญชนะ เป็นต้น
ธนาคารโลกชี้ว่า 50 ปีประเทศไทยเปลี่ยนไปแค่ไหน... ประชากรไทยเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จาก 27 ล้านคน เป็น 63 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวก็เพิ่มขึ้น 7.5 เท่า จำนวนผู้อยู่ใต้เส้นความยากจน เมื่อปี 2529 มีประมาณ 24 ล้านคน แต่ในปี 2550 ลดลงเหลือประมาณ 5.9 ล้านคน ถือว่าเราก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
ขณะที่ประชาคมภายใต้สหประชาชาติได้ตั้งเป้าหมายสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals ที่เกี่ยวกับประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนา 7 เป้าหมายที่จะต้องบรรลุ ในปี 2015 ได้แก่ 1.ขจัดความยากจน 2.การพัฒนาเศรษฐกิจ 3.การสร้างความเท่าเทียม 4.การลดอัตราการตายของเด็ก 5.การพัฒนาสุภาพของสตรีมีครรภ์ 6.การป้องกันโรคเอดส์ และ 7.การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.จิรายุมองว่าไทยบรรลุข้อ 1-6 แต่ข้อ 7 ยังไม่บรรลุ
นอกจากนี้ ดร.จิรายุได้พูดถึงรายงานของสหประชาชาติในปี 2550 เกี่ยวกับ "การพัฒนาคนของประเทศไทย" ที่พบว่าในระหว่างที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็มีความไม่สมดุลและมีปัญหา ที่เกิดขึ้นหลายมิติในการพัฒนาของประเทศ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจาย รายได้ 2.ความไม่สมดุลในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม 3.ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท และ 4.ปัญหาเรื่องค่านิยม คุณธรรม และศีลธรรม ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงในการพัฒนาช่วงที่ผ่านมา
ปัญหาแรก ความไม่สมดุลในการกระจายรายได้ พบว่าคนรวยที่สุด 20% แรกของประเทศไทยในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 49.3% ปี 2551 อยู่ที่ 54.9% ขณะที่กลุ่มคนที่ยากจนที่สุด 20% ในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 6.1% แต่ในปี 2551 อยู่ที่ 4.4% ข้อมูลนี้สะท้อนว่า แม้คนอยู่ใต้เส้นความยากจนลดลงไปมาก แต่หากมองเรื่องการกระจายได้แล้วความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น
ปัญหาที่ 2 ความไม่สมดุลของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเติบโตในอดีตจากภาคอุตสาหกรรมและการ ท่องเที่ยวได้ไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม เกิดมลพิษ ถ้าปล่อยให้หมักหมมอยู่นาน ๆ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่สะเทือนขึ้นมา เช่น ปัญหามาบตาพุด เป็นต้น
ปัญหาที่ 3 ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองกับชนบท เป็นทั้งปัญหาจริงและปัญหาที่อยู่ในใจเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของเมืองกับชนบท
และปัญหาที่ 4 ปัญหาค่านิยม คุณธรรม เสื่อมโทรมลง ดร.จิรายุ มีความเห็นส่วนตัวว่า น่าห่วงมากที่สุด
นี่คือ 4 ปัญหาใหญ่
ขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เรื่องใหญ่ ๆ เช่น เรื่องโลกร้อน พลังงานขาดแคลน เราได้เห็นสัญญาณแล้ว ข้างนอกเริ่มมีความไม่มีเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสกระทบเรา และ ซ้ำเติมปัญหาที่กล่าวมา ดังนั้นต้องรีบแก้ไขเพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันผลกระทบจากภายนอก
ทางออกที่ ดร.จิรายุนำเสนอ...ต้องเริ่มต้นที่ "หลักคิด" และ "เข็มทิศ" ก่อน ซึ่งน่าจะมาจาก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มจากจุดนี้เราก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้
ขณะเดียวกันก็ต้องมีเครือข่ายจาก ผู้รู้และหน่วยงานมาช่วยขับเคลื่อน เพราะยังมีโครงการต่าง ๆ อีกจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
เพราะฉะนั้น "อนาคตประเทศไทย" เราไม่ได้เริ่มต้นที่ "ศูนย์" แต่อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง น่าจะต้องหารูปแบบที่เหมาะสม คงจะเหมือนแบบนี้ไม่ได้
นี่ถือว่าเป็นโจทย์ของวันนี้
10 ปีข้างหน้าต้องมี 3 เสาหลัก
ในส่วนของการอภิปรายหัวข้อ "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ดร.บัณฑิตชี้ว่า ช่วง20 ปี (2503-2523) เป็นยุคทองของเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตเฉลี่ย 7.5% และเงินเฟ้อต่ำอยู่ที่ 5% สิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วง 50 ปีที่ผ่านมา คือ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐ และยังมีพันธกิจที่ชัดเจนง่าย ๆ คือ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีน้ำใจ" นี่คือจุดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ร่วมกันในอดีต
ในปี 2523 เราเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ เศรษฐกิจไทยต้องปรับตัวมาก เพราะเราไม่ได้มีการเตรียม การปฏิรูปเศรษฐกิจภายในไม่ได้มีการปรับโครงสร้างที่มากพอ ทำให้เศรษฐกิจต้องปรับตัวมาก และรูปแบบการจัดการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคไม่ยืดหยุ่นพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นำไปสู่ปัญหา 3 ด้านด้วยกัน คือ 1.การมีต้นทุนการผลิตสูง 2.การกระจายผลประโยชน์ได้ไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และ 3.ความสามารถของประชาชนที่จะปรับตัวต่อเศรษฐกิจมีน้อยลง ทำให้ต้องพึ่งพารัฐมากขึ้น
ฉะนั้นถ้ามองในอีก 10 ปีข้างหน้า หากประเทศไทยจะเติบโตแบบสมดุลต้องทำอะไรบ้าง ดร.บัณฑิตเสนอ 3 แนวทาง คือ 1.ระเบียบข้อกฎหมาย ต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น 2.ภาคการเงิน ต้องทำให้สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอเพื่อสนับสนุนภาคการผลิต ในเรื่องนี้ทาง ธปท.ได้ให้ความสำคัญและอยู่ในการดูแลโดยเน้นให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงิน และ 3.การศึกษา เพราะหากจะมุ่งไปสู่สินค้าประเภทสร้างสรรค์ การศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้มแข็ง
"นอกจาก 3 แนวทางนั้นแล้ว สิ่งที่เราต้องมีอีกอันหนึ่งคือปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจประสบความสำเร็จในอดีต เราต้องขวนขวายเอาอันนั้นกลับมาคือ 3 เสาหลักด้านเสถียรภาพการเมือง ภาคราชการที่มีความสามารถเข้มแข็ง และภาคเอกชนที่มีพลวัต ผมมั่นใจว่าถ้าเราทำทุกอย่างได้ครบใน 10 ปี 20 ปี หรืออาจจะถึง 100 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็จะเติบโตในเศรษฐกิจภาพรวมในสังคมโลก" ดร.บัณฑิตกล่าว
ศูนย์กลางโลกเปลี่ยนจาก "ตต. สู่ ตอ."
ด้าน ดร.ณรงค์ชัยมองเศรษฐกิจไทยว่า ที่ผ่านมาเติบโตจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน เป็นหลัก แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าคงต้องดูว่าสังคมไทยจะค้าขายอะไรเพื่อที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ดี และทำให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น ขณะเดียวกันต้องดูว่ากระแสโลกจะไปไหนแล้วจับมาเป็นประเด็น
โดยกระแสโลกขณะนี้คือ ศูนย์กลางความเจริญของโลกเปลี่ยนจากตะวันตกมาเป็นตะวันออก และเรากำลังเดินเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคตต้องเสริมสร้างความสมบูรณ์ของข้อตกลงการค้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น เอฟทีเอ เป็นต้น รวมทั้งแสวงหาผลการทำข้อตกลงทางการค้าใหม่กับตะวันออกกลาง สหรัฐ รัสเซีย
ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.ณรงค์ชัยเสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม บริการ และการเกษตร โดยภาคอุตสาหกรรมนั้นควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ต่อยอด หรือเชื่อมโยงกับภาคการเกษตร เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร หรือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจากพืช รวมไปถึงอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน
ส่วนภาคบริการควรเน้นลงทุนและพัฒนาระบบขนส่งและโทรคมนาคม รวมถึงระบบโลจิสติกส์ ที่สำคัญต้องมุ่งส่งเสริมพัฒนาธุรกิจในกลุ่ม hospitality และ wellness หรือด้านสุขภาพทั้งหลาย รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรม เพื่อมุ่งไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์
สำหรับภาคเกษตรควรเน้นด้านอาหาร โดยสามารถทวนสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตระดับไร่นา การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปและการจัดจำหน่ายจนถึงมือผู้บริโภคเป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยอาหาร ได้ตลอดห่วงโซ่อาหาร และสามารถเรียก กลับคืนสินค้าได้ การทวนสอบย้อนกลับอาจดำเนินการในลักษณะ การทวนสอบย้อนกลับจากผลิตภัณฑ์ (backward traceability) หรือการทวนสอบจากการผลิตในระดับไร่นาจนถึงผลิตภัณฑ์ (forward traceability)
จับตาโลก 5 ด้าน
ส่วน ดร.ปรเมธีกล่าวว่า สภาพัฒน์กำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ซึ่งได้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์โลกและจุดอ่อนของประเทศไทย เพื่อจัดทำแผนฉบับที่ 11
สภาพัฒน์ได้มองสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกที่สำคัญ 5 ด้าน ซึ่งมีผลต่อการทำแผนฉบับที่ 11 คือ 1.กฎ กติกาใหม่ของโลก ในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การค้าและการลงทุน การเงิน สิ่งแวดล้อม 2.การปรับตัวเข้าสู่หลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ 3.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 4.ภาวะโลกร้อน 5.ปัญหาในด้านอาหารและพลังงาน และ 6.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ขณะที่ความเสี่ยงหรือจุดอ่อนที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์ว่ามี 5 ปัจจัย ได้แก่ 1.กระบวนการบริหารภาครัฐอ่อนแอ 2.โครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่สามารถรองรับการเจริญ เติบโตอย่างยั่งยืน 3.โครงสร้างประชากรไม่สมดุล 4.การเสื่อมสลายของค่านิยมที่ดีของไทย และ 5.การเปลี่ยนแปลงในฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
จากนั้นสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์จุดแข็งและโอกาสของประเทศไทย เพื่อนำมาสู่การร่างยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาในแผนฉบับที่ 11 ซึ่งมีด้วยกัน 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การสร้างสังคมให้เป็นธรรม 2.การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน 3.การสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้และการสร้างปัจจัยแวดล้อม 4.การสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภูมิภาค 5.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และ 6.การสร้างความสมดุลและมั่นคงของอาหารและพลังงาน
ทั้งนี้การจัดทำแผนฉบับที่ 11 มีวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คือ "สังคมที่อยู่กันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง"
ดร.ปรเมธีบอกว่า นั่นคือ "keyword" ที่สำคัญสำหรับในช่วง 5 ปี ที่สภาพัฒน์ต้องพยายามเรียกกลับมา หรือว่าสร้างให้เกิดขึ้น ในสังคมไทย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*****************************************************
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
“ความรู้” ในแบบสมเกียรติ ตั้งนโม แห่ง ม.เที่ยงคืน
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
สมเกียรติ ตั้งนโม อาจไม่ได้เป็นปัญญาชนชื่อเสียงโด่งดังคับบ้านคับเมือง แต่ในท่ามกลางบรรดาผู้สนใจใฝ่หาความรู้ รวมถึงผู้ที่สนใจความเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนไม่น้อยคงเคยได้ยินชื่อของเขาบ้างในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีส่วนอย่างสำคัญ ทั้งในแง่ของการสร้างฐานความรู้ที่ทันสมัยและกว้างขวางบนสื่ออินเตอร์เน็ตจากการก่อตั้งเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (http://www.midnightuniv.org) และในฐานะสมาชิกคนสำคัญของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นที่มุ่งเน้นถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการสร้างสังคมประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง
สมเกียรติ ได้จากพวกเราทั้งหมดไปอย่างสงบแล้วเมื่อเช้าวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553 (6 เดือนตั้งแต่ได้บอกผมว่ามีก้อนอะไรกลมๆ อยู่ที่ตรงท้องของเขา) โดยได้ทิ้งอะไรหลายอย่างไว้ให้เป็นอนุสติแก่พวกเราทั้งในด้านที่ควรนำมาไตร่ตรอง ขบคิด
เฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ “ความรู้” อันเป็นสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายและความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงการมีชีวิตอยู่ของอาจารย์สมเกียรติ
เขาเป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใครที่เป็นคนใกล้ชิดคงจะได้ฟังเรื่องราวทางวิชาการใหม่ๆ จากปากของอาจารย์สมเกียรติอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่ได้อ่านงานหรือรับฟังการบรรยาย อภิปรายใดๆ เสร็จและมีความประทับใจ จนทำให้เราต้องไปติดตามอ่านงานที่ได้ถูกกล่าวถึง
อาจารย์สมเกียรติเป็นคนที่สนใจในการแปลงานวิชาการอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่างานจำนวนมากของเขาเป็นผลงานการนำความรู้จากตะวันตกมาสู่สังคมไทยอันเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรู้มากเท่าไหร่ ความใฝ่ฝันของเขาซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จก็คือ การจัดตั้งโครงการแปลตาม “อำเภอใจ” เขาได้ขอให้ผมลองช่วยหาทุนมาสนับสนุนการแปลที่จะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเขาโดยไม่มีการกำหนดเนื้อหาเอาไว้ล่วงหน้า
ซึ่งแน่นอนว่าคงยากจะหาแหล่งทุนใดมาสนับสนุนได้เป็นอย่างแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่แหล่งทุนทั้งจากภายในและภายนอกประเทศก็ล้วนต้องอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมคุณภาพเฉกเช่นโรงงานผลิตปลากระป๋อง การให้ทุนจึงเต็มไปด้วยเงื่อนไข ข้อตกลง คำถามการวิจัย หรืออะไรประมาณนี้ที่ชัดเจน
(แม้จะไม่มีใครให้การสนับสนุนต่อโครงการแปลตามอำเภอใจ แต่อาจารย์สมเกียรติในเวลาก่อนหน้าเป็นคณบดีคณะวิจิตรศิลป์และก่อนที่จะรู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง ก็ยังทำงานแปลอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 6 หน้า)
แต่ความรู้ชนิดไหนที่อาจารย์สมเกียรติสนใจ
เขาให้ความสำคัญกับความรู้ในแบบที่สังคมกระแสหลักไม่สู้จะให้ความสนใจ ความรู้ในแบบที่แตกต่างจากกระแสหลัก ความรู้ที่เป็นการโต้แย้ง หรือแม้กระทั่งเป็นอริกับความรู้กระแสหลักคือสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อผมได้พูดถึงแนวคิดเรื่องการดื้อแพ่งต่อกฎหมายเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วในยามที่เพิ่งรู้จักกัน อาจารย์สมเกียรติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อมาในภายหลังจึงเข้าใจว่าเพราะอยู่ในทิศทางของความรู้ที่เขาสนใจ
หากมีเวลาลองไล่เรียงงานของอาจารย์สมเกียรติ บางคนที่ไม่คุ้นเคยอาจมึนงงอยู่บ้างกับงานเขียนหลายชิ้น เช่น แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-colonialism), ความรู้ช้า (Slow knowledge), ลิขซ้าย (Copyleft), วัฒนธรรมทางสายตาหรือ Visual Culture (สำหรับเรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่อาจารย์สมเกียรติมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอ ตอนที่เริ่มอ่านเริ่มแปลเรื่องนี้ใหม่ๆ ทุกครั้งในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ว่าการเมือง สังคม วัฒนธรรม การช้อปปิ้ง การแต่งกาย ล้วนจะต้องมีแนวการวิเคราะห์แบบ Visual Culture โผล่มาด้วยทุกครั้ง)
เขามีความสุขกับการเดินทางไปในโลกแห่งความรู้ การอ่านและการคิดของเขาไม่ใช่เพียงเพราะต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ เราทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดคงตระหนักดีได้ว่าการทำงานของอาจารย์สมเกียรติคือชีวิตที่เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน (ทั้งนี้ความสำราญใจประการหนึ่งที่รับรู้กันดีก็คืออาหารมันๆ ประเภทข้าวขาหมู หรืออะไรที่มีรสหวานจัด ตบท้ายด้วยเป๊ปซี่เย็นๆ) แม้ว่าเวลาทำงานอย่างเพลิดเพลินของเขาอาจไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปมากเท่าไหร่ เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนั้นเป็นการลงแรงของอาจารย์สมเกียรติในห้วงเวลาที่มนุษย์ต่างพากันนอนพักผ่อนเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนมาจนถึงเกือบรุ่งสาง
แต่ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบสนองต่อความกระหายอยากในความรู้ อาจารย์สมเกียรติยังให้ความสำคัญกับการใช้ความรู้ในการสนับสนุนคนตัวเล็กๆ ในสังคมให้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เขาจึงมิได้เพียงนั่งป่าวประกาศสัจธรรมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น มีโครงการหลายอย่างที่ถูกเสนอขึ้นในระหว่างพวกเรา (มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน) นำอาจารย์สมเกียรติออกไปในสถานที่ต่างๆ บ้านกรูด บ่อนอก ที่ประจวบคีรีขันธ์ เขื่อนปากมูล อุบลราชธานี สหภาพแรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน บ้านปางแดง เชียงใหม่ และอีกหลายแห่ง อันทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวางมากขึ้น
การเผยแพร่ความรู้ต่อสังคมนับเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ สมเกียรติได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการคิดและพูดอย่างเสรีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเขาได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถนำบทความไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ภายใต้ระบบ Copyleft (อันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Copyright)
โดยที่แทบไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้อำนาจทางการเมือง อันเป็นบทบาทที่เห็นได้บ่อยครั้งแม้ว่าความเห็นของอาจารย์สมเกียรติอาจไม่เหมือน แตกต่าง หรือแม้กระทั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงส่วนใหญ่หรือเสียงของผู้มีอำนาจก็ตาม จึงไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้มีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (อันนำมาสู่การกล่าวหาว่าเขาไม่จงรักภักดีภายหลังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ แทบไม่น่าเชื่อว่าข้อกล่าวหานี้สามารถทำงานได้แม้ภายในสถาบันการศึกษาระดับสูงของสังคม) ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์แต่เป็นเพราะกฎหมายนี้ได้ทำให้คนต้องปิดปากและถูกปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐ
เมื่อถูกอำนาจรัฐสั่งปิดเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อาจารย์สมเกียรติเลือกที่จะต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายมากกว่าจะไปแอบเปิดเว็บไซต์ในชื่ออื่นเพื่อหลบหลีกการตรวจจับของรัฐบาล แม้การกระทำในแบบหลังจะง่ายกว่ามากนัก แต่เพื่อยืนยันถึงความถูกต้องและเสรีภาพในการแสดงความเห็น แม้อาจลำบากมากกว่าก็เป็นทางที่อาจารย์สมเกียรติได้เลือก
ความกล้าหาญในการยืนยันถึงสิ่งที่เป็นความถูกต้องจากความรู้จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวความรู้นั้นด้วย
ชีวิตของอาจารย์สมเกียรติจึงควบคู่ไปกับความรู้ แต่ความรู้ของอาจารย์สมเกียรติจึงไม่ใช่เป็นการพร่ำบ่นในชั้นเรียนเพื่อนำไปสู่ใบปริญญาของผู้เรียน หากเป็นความรู้ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้และความรู้ที่มีความหมายต่อคนในสังคม อันเป็นสิ่งที่เรามักไม่ค่อยได้เห็นกันมากสักเท่าไหร่ในห้วงเวลาปัจจุบัน
หากจะพอบอกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง การยืนยันในความรู้ตามแบบที่ได้ดำเนินชีวิตมาโดยตลอดของเขาก็เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อความเข้าใจในเรื่อง “ความรู้” ของปัญญาชนและคนในมหาวิทยาลัยในสังคมไทยอย่างสำคัญ
ที่มา.ประชาไท
ถึงเวลา‘บูรพาพยัคฆ์’ขยับ
อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้นที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะส่งไม้ต่อให้กับน้องรักอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ
เข้ามาทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คนต่อไป หลังจาก “บิ๊กป๊อก” นั่งเก้าอี้มานานกว่า 3 ปี ต่อจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
การแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ อาจไม่วุ่นวายยุ่งยากเช่นหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุที่พี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” หลายต่อหลายคนเป็นคนจัดโผด้วยตัวเอง งานนี้จึงอาจไม่มีคลื่นใต้น้ำออกมาป่วนในช่วงโผแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2553
แต่อาจจะมีบ้างสำหรับคนที่อกหัก ไม่ได้ดั่งหวัง ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ก็เชื่อคำสั่ง “นาย” ที่จัดโผในครั้งนี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดคงจะเป็นตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดทางให้พี่น้องตระกูล “บูรพาพยัคฆ์” บางคนได้เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ตามรุ่นพี่ที่กำลังจะขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ทบ.”
ทั้งนี้ ในบรรดา 5 เสือ ทบ. ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นตำแหน่ง “เสนาธิการทหารบก” หรือ เสธ.ทบ. ที่เป็นการชิงดำระหว่าง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บูรพาพยัคฆ์ตัวจริงสายชายแดน กับ เพื่อนซี้ ว่าที่ ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ใครจะเข้าวิน
เหตุที่ต้องจับตาตำแหน่งนี้เพราะว่า นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่เป็นเปรียบเสมือนแม่บ้านของกองทัพ ทั้งการจัดหาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างๆ แล้ว เสธ.ทบ. ยังเป็นเหมือนการเตรียมคนเพื่อขึ้นแท่น ผบ.ทบ. คนต่อไป
ฉะนั้นจึงต้องดูว่า ระหว่าง “บิ๊กป๊อก” ที่เหมือนจะเทคะแนนเชียร์ แม่ทัพภาคที่ 1 มากกว่า รอง เสธ.ทบ. จะเลือกใคร เพราะทั้งสองคนต่างสร้างผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดงมาด้วยกัน ครั้นจะไม่ตบรางวัลเลย อาจถูกน้องๆ ตำหนิในใจเป็นได้
ขณะที่โผหลายสำนักฟันธง มีทัพภาคที่ 1 มีสิทธิ์ นั่งเก้าอี้ เสธ.ทบ. คนต่อไป เพราะดีกรีบูรพาพยัคฆ์บวกกับผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดง ที่ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ถิ่นเก่าของ พล.ท.คณิต รวมทั้งกำลังพลจาก กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพภาคที่ 1
จึงทำให้คะแนนของ พล.ท.คณิต จะขยับขึ้นเป็น พล.อ. ในตำแหน่ง เสธ.ทบ. ได้ไม่ยาก ส่วน พล.ท.ดาว์พงษ์ แม้จะมีความสนิทกับ “บิ๊กตู่” อยู่มาก แต่เมื่อดูจากปมหลังแล้ว ยังมีแผลที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ไลน์ 5 เสือ ทบ. เพราะเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ นายทหารผู้นี้ก็เคยทำงานใกล้ชิดกับคนในตระกูลชินวัตร ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี
ส่วน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก อาจถูกปรับย้ายข้ามห้วยไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะที่บางโผบางสำนัก ระบุว่า เมื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แล้วในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. จะขยับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร อาจจะมีการขยับ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง
ทำให้ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก เป็น พล.ท.ดาว์พงษ์ ที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ เนื่องจาก พล.ท.ดาว์พงษ์ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันวางแผนกระชับวงล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และขยับให้ พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพบก
ไม่ว่าโผครั้งนี้จะเป็นออกมาเช่นใด เหล่า “บูรพาพยัคฆ์” ยังคงผงาดเพื่อค้ำบัลลังก์รัฐบาลอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ที่่มา.บางกอกทูเดย์
........................................
เข้ามาทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คนต่อไป หลังจาก “บิ๊กป๊อก” นั่งเก้าอี้มานานกว่า 3 ปี ต่อจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
การแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ อาจไม่วุ่นวายยุ่งยากเช่นหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุที่พี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” หลายต่อหลายคนเป็นคนจัดโผด้วยตัวเอง งานนี้จึงอาจไม่มีคลื่นใต้น้ำออกมาป่วนในช่วงโผแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2553
แต่อาจจะมีบ้างสำหรับคนที่อกหัก ไม่ได้ดั่งหวัง ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ก็เชื่อคำสั่ง “นาย” ที่จัดโผในครั้งนี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดคงจะเป็นตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดทางให้พี่น้องตระกูล “บูรพาพยัคฆ์” บางคนได้เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ตามรุ่นพี่ที่กำลังจะขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ทบ.”
ทั้งนี้ ในบรรดา 5 เสือ ทบ. ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นตำแหน่ง “เสนาธิการทหารบก” หรือ เสธ.ทบ. ที่เป็นการชิงดำระหว่าง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บูรพาพยัคฆ์ตัวจริงสายชายแดน กับ เพื่อนซี้ ว่าที่ ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ใครจะเข้าวิน
เหตุที่ต้องจับตาตำแหน่งนี้เพราะว่า นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่เป็นเปรียบเสมือนแม่บ้านของกองทัพ ทั้งการจัดหาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างๆ แล้ว เสธ.ทบ. ยังเป็นเหมือนการเตรียมคนเพื่อขึ้นแท่น ผบ.ทบ. คนต่อไป
ฉะนั้นจึงต้องดูว่า ระหว่าง “บิ๊กป๊อก” ที่เหมือนจะเทคะแนนเชียร์ แม่ทัพภาคที่ 1 มากกว่า รอง เสธ.ทบ. จะเลือกใคร เพราะทั้งสองคนต่างสร้างผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดงมาด้วยกัน ครั้นจะไม่ตบรางวัลเลย อาจถูกน้องๆ ตำหนิในใจเป็นได้
ขณะที่โผหลายสำนักฟันธง มีทัพภาคที่ 1 มีสิทธิ์ นั่งเก้าอี้ เสธ.ทบ. คนต่อไป เพราะดีกรีบูรพาพยัคฆ์บวกกับผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดง ที่ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ถิ่นเก่าของ พล.ท.คณิต รวมทั้งกำลังพลจาก กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพภาคที่ 1
จึงทำให้คะแนนของ พล.ท.คณิต จะขยับขึ้นเป็น พล.อ. ในตำแหน่ง เสธ.ทบ. ได้ไม่ยาก ส่วน พล.ท.ดาว์พงษ์ แม้จะมีความสนิทกับ “บิ๊กตู่” อยู่มาก แต่เมื่อดูจากปมหลังแล้ว ยังมีแผลที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ไลน์ 5 เสือ ทบ. เพราะเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ นายทหารผู้นี้ก็เคยทำงานใกล้ชิดกับคนในตระกูลชินวัตร ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี
ส่วน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก อาจถูกปรับย้ายข้ามห้วยไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะที่บางโผบางสำนัก ระบุว่า เมื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แล้วในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. จะขยับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร อาจจะมีการขยับ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง
ทำให้ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก เป็น พล.ท.ดาว์พงษ์ ที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ เนื่องจาก พล.ท.ดาว์พงษ์ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันวางแผนกระชับวงล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และขยับให้ พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพบก
ไม่ว่าโผครั้งนี้จะเป็นออกมาเช่นใด เหล่า “บูรพาพยัคฆ์” ยังคงผงาดเพื่อค้ำบัลลังก์รัฐบาลอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ที่่มา.บางกอกทูเดย์
........................................
อาถรรพ์วัดปทุมฯ
อาถรรพ์วัดปทุมฯ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความแรงของเจ้าที่ย่านราชประสงค์ หรือความอาถรรพ์ของวัดปทุมวนาราม ที่ทำให้เกิดข่าวเพชรหาย ปรากฏออกมาหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค.
เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือนพอดี
สืบเนื่องจากผู้ประกอบการร้านเพชรย่านราชประสงค์รายหนึ่ง เข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมว่า เพชรมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ถูกดีเอสไอยึดไว้ขณะเข้าตรวจค้นในวัดปทุมวนารามในช่วงเช้าวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้หายไปจากเซพกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ทำให้งานนี้ร้อนถึง ดีเอสไอ-ศอฉ.-ตำรวจท้องที่ ที่เข้าเคลียร์พื้นที่ ต้องออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ได้ “อมเพชร”
โดยดีเอสไอออกมายืนยันพร้อมกางบัญชีเครื่องเพชรที่ได้รับมอบจาก ศอฉ. ว่ามี 40 รายการ เช่น กำไลหยก 9 วง, แหวนเงิน 64 วง, แหวนสีทองเหลืองคล้ายทอง 4 วง, เหรียญจีนสีเหลืองคล้ายทอง 1 เหรียญ, สร้อยสีเหลืองคล้ายทอง 3 เส้น, ครุฑสีเหลืองคล้ายทอง 1 อัน, จี้รูปหัวใจคล้ายทอง 3 อัน
เต่าคล้ายทอง 1 อัน, นาฬิกายี่ห้อโอเมก้า 1 เรือน, แหวน 2 วง, หินคล้ายพลอย 164 เม็ด, ต่างหู 1 ข้าง, สร้อยประดับหินคล้ายพลอย 4 เส้น และเครื่องประดับรอซ่อม 46 ถุง
ดีเอสไอย้ำว่าต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการตรวจนับและรับมอบจาก ศอฉ. เมื่อนำของกลางเข้ามายังดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพถ่ายแยกหมวดหมู่เก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เจ้าของร้านจิวเวลรี่ได้ติดต่อมายัง ศอฉ.เพื่อขอทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมคืน และอ้างว่ามีทรัพย์สินของกลางบางรายการสูญหาย ซึ่งเจ้าของร้านชี้จากภาพถ่ายในการตรวจยึดที่วัดปทุมฯ ระบุว่าของที่หายเป็นแหวนเพชรติดป้ายราคา 160,800 บาท
ส่วนต่างหูเพชรที่อ้างว่าหายนั้น ดีเอสไอยังไม่พบในรายการของกลาง แต่เจ้าของร้านเพชรชี้ภาพที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้าน
เมื่อข่าวเพชรของกลางสูญหายในความรับผิดชอบของดีเอสไอถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ดีเอสไอเสียหาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ เลขานุฯ สอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาความจริงมาพิสูจน์ให้ได้ โดยมีกำหนดเตรียมแถลงข่าวในวันที่ 28 ก.ค.นี้
ขณะเดียวกัน การออกมารับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ ทำให้หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการกำหนดวันล่วงหน้าหลายวันเพื่อแถลงข่าว ทั้งๆที่กระทรวงยุติธรรมรู้แล้วว่า “เพชรที่หายไป”ชั่วหรือมั่วนิ่ม
งานนี้จึงต้องรอดูว่าความจริงที่ กระทรวงยุติธรรมจะนำมาแถลงจะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆงานนี้ของเขาแรงจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความแรงของเจ้าที่ย่านราชประสงค์ หรือความอาถรรพ์ของวัดปทุมวนาราม ที่ทำให้เกิดข่าวเพชรหาย ปรากฏออกมาหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค.
เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือนพอดี
สืบเนื่องจากผู้ประกอบการร้านเพชรย่านราชประสงค์รายหนึ่ง เข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมว่า เพชรมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ถูกดีเอสไอยึดไว้ขณะเข้าตรวจค้นในวัดปทุมวนารามในช่วงเช้าวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้หายไปจากเซพกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ทำให้งานนี้ร้อนถึง ดีเอสไอ-ศอฉ.-ตำรวจท้องที่ ที่เข้าเคลียร์พื้นที่ ต้องออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ได้ “อมเพชร”
โดยดีเอสไอออกมายืนยันพร้อมกางบัญชีเครื่องเพชรที่ได้รับมอบจาก ศอฉ. ว่ามี 40 รายการ เช่น กำไลหยก 9 วง, แหวนเงิน 64 วง, แหวนสีทองเหลืองคล้ายทอง 4 วง, เหรียญจีนสีเหลืองคล้ายทอง 1 เหรียญ, สร้อยสีเหลืองคล้ายทอง 3 เส้น, ครุฑสีเหลืองคล้ายทอง 1 อัน, จี้รูปหัวใจคล้ายทอง 3 อัน
เต่าคล้ายทอง 1 อัน, นาฬิกายี่ห้อโอเมก้า 1 เรือน, แหวน 2 วง, หินคล้ายพลอย 164 เม็ด, ต่างหู 1 ข้าง, สร้อยประดับหินคล้ายพลอย 4 เส้น และเครื่องประดับรอซ่อม 46 ถุง
ดีเอสไอย้ำว่าต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการตรวจนับและรับมอบจาก ศอฉ. เมื่อนำของกลางเข้ามายังดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพถ่ายแยกหมวดหมู่เก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เจ้าของร้านจิวเวลรี่ได้ติดต่อมายัง ศอฉ.เพื่อขอทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมคืน และอ้างว่ามีทรัพย์สินของกลางบางรายการสูญหาย ซึ่งเจ้าของร้านชี้จากภาพถ่ายในการตรวจยึดที่วัดปทุมฯ ระบุว่าของที่หายเป็นแหวนเพชรติดป้ายราคา 160,800 บาท
ส่วนต่างหูเพชรที่อ้างว่าหายนั้น ดีเอสไอยังไม่พบในรายการของกลาง แต่เจ้าของร้านเพชรชี้ภาพที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้าน
เมื่อข่าวเพชรของกลางสูญหายในความรับผิดชอบของดีเอสไอถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ดีเอสไอเสียหาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ เลขานุฯ สอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาความจริงมาพิสูจน์ให้ได้ โดยมีกำหนดเตรียมแถลงข่าวในวันที่ 28 ก.ค.นี้
ขณะเดียวกัน การออกมารับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ ทำให้หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการกำหนดวันล่วงหน้าหลายวันเพื่อแถลงข่าว ทั้งๆที่กระทรวงยุติธรรมรู้แล้วว่า “เพชรที่หายไป”ชั่วหรือมั่วนิ่ม
งานนี้จึงต้องรอดูว่าความจริงที่ กระทรวงยุติธรรมจะนำมาแถลงจะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆงานนี้ของเขาแรงจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................
โค้งสุดท้าย "แพ้-ชนะ" รัฐบาล-เสื้อแดง
ผลการเลือกตั้งซ่อมระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจะเป็นคำตอบใหญ่ที่มีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้งใหญ่
เมื่อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิตัดสินอนาคตการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้า เขต 6 กรุงเทพมหานครไปแล้วกว่า 16,000 คน
ที่เหลืออีกไม่น้อยกว่า 3.8 แสนคน ยังมีเวลาตัดสินใจอีกครึ่งสัปดาห์เพื่อหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553
ผลโพลของทั้ง 2 พรรค จาก 16,000 คะแนน ต่างฝ่ายต่างเคลมว่าตัวเองได้คะแนนตุนไว้แล้วมากกว่าฝ่ายตรงข้าม
แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองแพ้หรือชนะ จนกว่าวันเลือกตั้งจริงจะมาถึง
ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายต่างฝ่าย ต่างต้องเร่งหาเสียงทุกรูปแบบ
ฟังใครพูดก็อาจไม่มั่นใจเท่าตัวผู้สมัคร ฝ่ายหนึ่งอยู่ในคุก ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งทั้ง 2 ฝ่าย ปักหมุด เทใจเปิดเผยกลยุทธ์โค้งสุดท้ายผ่าน "ผู้สื่อข่าว"
ก่อแก้ว-เพื่อไทย
"เสียดาย...ไม่ได้หาเสียง"
ก่อแก้ว พิกุลทอง" ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์จากพรรค เพื่อไทย ใช้สิทธิในการพูดผ่านลูกกรงเหล็กว่า "เสียดายที่ไม่ได้หาเสียงด้วยตัวเอง"
แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย เตรียมใช้กลยุทธ์เปิดแผล-คลายปมเรื่องปัญหาเศรษฐกิจแบบเต็มที่หมดหน้าตัก เพื่อชี้ให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่า เพื่อไทยมีตัวเลขใหม่ อีกชุดที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีและการส่งออกแตกต่าง-ตกต่ำกว่าที่ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดไว้
กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ "ก่อแก้ว" มั่นใจในชัยชนะ "เชื่อว่าถ้าหากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในภาวะปกติ ไม่ใช่ในระหว่างประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ ยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้ก็ไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำ ระหว่าง ที่ข้างนอกมีการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อแก้ว เล่าว่า "รู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสพบกับประชาชนที่รักประชาธิปไตย ไม่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง"
ทดแทนเวลาหาเสียง "ก่อแก้ว" ใช้เวลาส่วนใหญ่ในคุกด้วยการอ่านหนังสือ ออกกำลังกายและสวดมนต์ไม่ให้เครียด รักษาสุขภาพตัวเอง และติดตามข่าวภายนอก จากพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียนใน เรือนจำและอ่านหนังสือพิมพ์
"ถ้าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ผมได้คะแนนสูงสุดชนะพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมจะเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ในสภา ในส่วนของฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ"
"การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายถึงการแข่งขันระหว่างฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ความยุติธรรม กับฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน"
พนิช-ประชาธิปัตย์
"หัวหน้าบอก...ต้องถึงลูกถึงคน"
พนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ
ตั้งแต่ลาออกจากตำแหน่ง เขาลงพื้นที่ทุกวันเช้าจนถึงค่ำ ทำให้เห็นภาพว่าประชาชนตื่นตัวมาก โดยเฉพาะสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญตั้งแต่วันคัดเลือกตัวผู้สมัคร
"พนิช" เล่าว่า กว่าเขาจะได้เป็น"ผู้สมัคร" ต้องฝ่าฟันมาถึง 4 ขั้นตอน ทั้งการคัดเลือกจากประธานสาขาพรรค ขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ก. และ ส.ข. เข้าสู่ คณะกรรมการที่มีรองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ จากนั้นส่งชื่อไปยังกรรมการบริหารพรรค 19 คน
ต้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ กรณ์ จาติกวณิช เห็นชอบ-สนับสนุน จึงมีชื่อ "พนิช" ลงสนามแข่งขัน
พร้อมพลังหนุนขั้นเทพจาก "ชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรคที่ลงทุน ลงแรง เข้าถึงพื้นที่เลือกตั้งทั้ง 4 เขต คันนายาว คลองสามวา หนองจอก และบึงกุ่ม มีพื้นที่ 400 กว่าตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ทั้งหมดของ กทม. ที่มี 1,500 ตารางกิโลเมตร มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้งประมาณเกือบ 4 แสนคน
เข้าโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกว่า ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด
"หัวหน้าพรรคได้มอบนโยบายให้ พบปะ สัมผัส รับฟังปัญหา ชี้แจงกับประชาชนให้มากที่สุด ท่านบอกให้พูดคุยอย่างถึงลูก ถึงคน เจอประชาชนให้เขาสอบถามได้สัมผัสได้ แต่รับปากไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย เลือกตั้ง สำหรับสถานที่หาเสียงจะมีลักษณะที่ทำประจำ คือ เป็นจุดที่ประชาชนสัญจรไปมาเยอะ ๆ ตามสี่แยก เดินไปทักทาย ยื่นบัตรแนะนำตัว" กลยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางจะราบรื่น เพราะเขตเลือกตั้งนี้มี "สีแดง" อยู่หลายส่วนการยื่นบัตรแนะนำตัวจึงมีบางทีที่ "พนิช" แจกเก้อ
ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของคู่แข่ง "พนิช" วิเคราะห์ว่า
"อีกฝ่ายหนึ่งเขาเลือกคนที่มาหาเสียงเองไม่ได้ เมื่อประชาธิปัตย์เลือกคนที่มาหาเสียงเองได้ ก็มีคนอื่นมาช่วยหาเสียง ทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี ก็มาช่วยกัน ส่วนเพื่อไทย เขาก็มาหาเสียงช่วยกัน แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนผู้สมัครมาหาเสียงเอง"
"ถ้าจะมองในแง่ผมเสียเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งอยู่บนเวที นปช.มาตลอด มีคนรู้จักเห็นหน้าเห็นตามาก่อน ส่วนผมแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง"
"พนิช" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีนัยถึง 3 ระดับ คือ เป็นการแข่งขันระหว่าง ผู้สมัครในเขต 6 ส่วนที่มากกว่านั้นยังเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง และนอกจากนั้นยังถูกมองว่าเป็นการ แข่งขันกันระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านของผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรืออาจจะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับไม่ประชาธิปไตย แต่เราคิดว่าเราก็เป็นประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง
พนิชบอกว่า หากชนะการเลือกตั้งได้เข้าเป็น ส.ส.ก็พร้อมทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในสภาตั้งแต่วันแรกที่ เปิดสภา คือ 1 ส.ค. ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่หากคนที่ชนะเลือกตั้งอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวตนก็ไม่ทราบว่าเขาจะสามารถเดินทางมา สภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นได้หรือไม่
ในโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกจุดชี้ขาดสำหรับการแพ้-ชนะนั้นยังเป็นเรื่อง "นโยบาย" ของพรรค
"เพราะนโยบายที่ดีของพรรคประกอบกับการลงพื้นที่ของตนที่ทำอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับประชาชนลงพื้นที่จริงร่วมกับ ส.ส. รัฐมนตรี เราไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีเรื่องใต้ดิน ขณะที่เราถูกหาว่าใช้อำนาจรัฐ แต่เราเองก็ถูกกระทำโดยมีการดึงป้ายหาเสียงออกไป ขณะที่เราทำอะไรภายในกรอบกฎหมาย แต่มีคนอื่นที่ทำนอกกรอบกฎหมาย
และส่วนตัวไม่คิดว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ เพราะทุกพรรคก็อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน"
วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เป็นวันประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอีกวันที่จะบันทึกไว้ว่า ผู้สมัคร ส.ส.ที่อยู่ในคุก-กับผู้สมัครที่อยู่ในพื้นที่ ใครคือผู้ชนะ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
เมื่อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิตัดสินอนาคตการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้า เขต 6 กรุงเทพมหานครไปแล้วกว่า 16,000 คน
ที่เหลืออีกไม่น้อยกว่า 3.8 แสนคน ยังมีเวลาตัดสินใจอีกครึ่งสัปดาห์เพื่อหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553
ผลโพลของทั้ง 2 พรรค จาก 16,000 คะแนน ต่างฝ่ายต่างเคลมว่าตัวเองได้คะแนนตุนไว้แล้วมากกว่าฝ่ายตรงข้าม
แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองแพ้หรือชนะ จนกว่าวันเลือกตั้งจริงจะมาถึง
ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายต่างฝ่าย ต่างต้องเร่งหาเสียงทุกรูปแบบ
ฟังใครพูดก็อาจไม่มั่นใจเท่าตัวผู้สมัคร ฝ่ายหนึ่งอยู่ในคุก ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งทั้ง 2 ฝ่าย ปักหมุด เทใจเปิดเผยกลยุทธ์โค้งสุดท้ายผ่าน "ผู้สื่อข่าว"
ก่อแก้ว-เพื่อไทย
"เสียดาย...ไม่ได้หาเสียง"
ก่อแก้ว พิกุลทอง" ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์จากพรรค เพื่อไทย ใช้สิทธิในการพูดผ่านลูกกรงเหล็กว่า "เสียดายที่ไม่ได้หาเสียงด้วยตัวเอง"
แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย เตรียมใช้กลยุทธ์เปิดแผล-คลายปมเรื่องปัญหาเศรษฐกิจแบบเต็มที่หมดหน้าตัก เพื่อชี้ให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่า เพื่อไทยมีตัวเลขใหม่ อีกชุดที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีและการส่งออกแตกต่าง-ตกต่ำกว่าที่ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดไว้
กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ "ก่อแก้ว" มั่นใจในชัยชนะ "เชื่อว่าถ้าหากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในภาวะปกติ ไม่ใช่ในระหว่างประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ ยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้ก็ไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำ ระหว่าง ที่ข้างนอกมีการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อแก้ว เล่าว่า "รู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสพบกับประชาชนที่รักประชาธิปไตย ไม่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง"
ทดแทนเวลาหาเสียง "ก่อแก้ว" ใช้เวลาส่วนใหญ่ในคุกด้วยการอ่านหนังสือ ออกกำลังกายและสวดมนต์ไม่ให้เครียด รักษาสุขภาพตัวเอง และติดตามข่าวภายนอก จากพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียนใน เรือนจำและอ่านหนังสือพิมพ์
"ถ้าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ผมได้คะแนนสูงสุดชนะพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมจะเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ในสภา ในส่วนของฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ"
"การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายถึงการแข่งขันระหว่างฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ความยุติธรรม กับฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน"
พนิช-ประชาธิปัตย์
"หัวหน้าบอก...ต้องถึงลูกถึงคน"
พนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ
ตั้งแต่ลาออกจากตำแหน่ง เขาลงพื้นที่ทุกวันเช้าจนถึงค่ำ ทำให้เห็นภาพว่าประชาชนตื่นตัวมาก โดยเฉพาะสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญตั้งแต่วันคัดเลือกตัวผู้สมัคร
"พนิช" เล่าว่า กว่าเขาจะได้เป็น"ผู้สมัคร" ต้องฝ่าฟันมาถึง 4 ขั้นตอน ทั้งการคัดเลือกจากประธานสาขาพรรค ขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ก. และ ส.ข. เข้าสู่ คณะกรรมการที่มีรองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ จากนั้นส่งชื่อไปยังกรรมการบริหารพรรค 19 คน
ต้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ กรณ์ จาติกวณิช เห็นชอบ-สนับสนุน จึงมีชื่อ "พนิช" ลงสนามแข่งขัน
พร้อมพลังหนุนขั้นเทพจาก "ชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรคที่ลงทุน ลงแรง เข้าถึงพื้นที่เลือกตั้งทั้ง 4 เขต คันนายาว คลองสามวา หนองจอก และบึงกุ่ม มีพื้นที่ 400 กว่าตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ทั้งหมดของ กทม. ที่มี 1,500 ตารางกิโลเมตร มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้งประมาณเกือบ 4 แสนคน
เข้าโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกว่า ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด
"หัวหน้าพรรคได้มอบนโยบายให้ พบปะ สัมผัส รับฟังปัญหา ชี้แจงกับประชาชนให้มากที่สุด ท่านบอกให้พูดคุยอย่างถึงลูก ถึงคน เจอประชาชนให้เขาสอบถามได้สัมผัสได้ แต่รับปากไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย เลือกตั้ง สำหรับสถานที่หาเสียงจะมีลักษณะที่ทำประจำ คือ เป็นจุดที่ประชาชนสัญจรไปมาเยอะ ๆ ตามสี่แยก เดินไปทักทาย ยื่นบัตรแนะนำตัว" กลยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางจะราบรื่น เพราะเขตเลือกตั้งนี้มี "สีแดง" อยู่หลายส่วนการยื่นบัตรแนะนำตัวจึงมีบางทีที่ "พนิช" แจกเก้อ
ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของคู่แข่ง "พนิช" วิเคราะห์ว่า
"อีกฝ่ายหนึ่งเขาเลือกคนที่มาหาเสียงเองไม่ได้ เมื่อประชาธิปัตย์เลือกคนที่มาหาเสียงเองได้ ก็มีคนอื่นมาช่วยหาเสียง ทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี ก็มาช่วยกัน ส่วนเพื่อไทย เขาก็มาหาเสียงช่วยกัน แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนผู้สมัครมาหาเสียงเอง"
"ถ้าจะมองในแง่ผมเสียเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งอยู่บนเวที นปช.มาตลอด มีคนรู้จักเห็นหน้าเห็นตามาก่อน ส่วนผมแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง"
"พนิช" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีนัยถึง 3 ระดับ คือ เป็นการแข่งขันระหว่าง ผู้สมัครในเขต 6 ส่วนที่มากกว่านั้นยังเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง และนอกจากนั้นยังถูกมองว่าเป็นการ แข่งขันกันระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านของผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรืออาจจะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับไม่ประชาธิปไตย แต่เราคิดว่าเราก็เป็นประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง
พนิชบอกว่า หากชนะการเลือกตั้งได้เข้าเป็น ส.ส.ก็พร้อมทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในสภาตั้งแต่วันแรกที่ เปิดสภา คือ 1 ส.ค. ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่หากคนที่ชนะเลือกตั้งอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวตนก็ไม่ทราบว่าเขาจะสามารถเดินทางมา สภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นได้หรือไม่
ในโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกจุดชี้ขาดสำหรับการแพ้-ชนะนั้นยังเป็นเรื่อง "นโยบาย" ของพรรค
"เพราะนโยบายที่ดีของพรรคประกอบกับการลงพื้นที่ของตนที่ทำอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับประชาชนลงพื้นที่จริงร่วมกับ ส.ส. รัฐมนตรี เราไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีเรื่องใต้ดิน ขณะที่เราถูกหาว่าใช้อำนาจรัฐ แต่เราเองก็ถูกกระทำโดยมีการดึงป้ายหาเสียงออกไป ขณะที่เราทำอะไรภายในกรอบกฎหมาย แต่มีคนอื่นที่ทำนอกกรอบกฎหมาย
และส่วนตัวไม่คิดว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ เพราะทุกพรรคก็อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน"
วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เป็นวันประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอีกวันที่จะบันทึกไว้ว่า ผู้สมัคร ส.ส.ที่อยู่ในคุก-กับผู้สมัครที่อยู่ในพื้นที่ ใครคือผู้ชนะ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
เปิดสำนวนในมือ ป.ป.ช. "บิ๊กการเมือง" ถูกกล่าวหาเพียบ !
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงการพิจารณาคดีสำคัญ และรายงานผลเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 625 เรื่อง อาทิ
1.เรื่องกล่าวหานางจุฑามาศ ศิริวรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับพวก เรียกร้องเงินตอบแทนจากบริษัทที่ได้สิทธิ์ในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ
2.เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับเอกชน กระทำการออกเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3 และ น.ส.3 ก.โดยมิชอบ ทับที่สาธารณประโยชน์ "ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกเขากระโดง" ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
3.เรื่องกล่าวหานายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กับพวก ใช้อำนาจแทรกแซงสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้สนับสนุนเงิน จำนวน 30 ล้านบาทให้กับสมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน
4.เรื่องกล่าวหานายสมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก ทุจริตการดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
5.เรื่องกล่าวหานายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครองกับพวก ดำเนินการสอบเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าโรงเรียนนายอำเภอประจำปี 2552 โดยมิชอบ
6.เรื่องกล่าวหานางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวกทุจริตเงินงบประมาณของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการจัดทำโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤตโลกร้อน (ฝายต้นน้ำ)
7.เรื่องกล่าวหานายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศรีสุข จันทรางศุ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมและกรรมการประสานงาน โครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศกับพวก อนุมัติโครงการดาวเทียม IPSTAR โดยมิชอบด้วยสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
8.เรื่องกล่าวหานายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการขัดต่อสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
9.เรื่องกล่าวหานายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัทชินแซทฯ จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
10.เรื่องกล่าวหานายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพวก ทุจริตในโครงการรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ
11.เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการและผู้บริหาร บมจ.ทศท คอร์ปอเรชั่นและผู้บริหาร บมจ.กสท โทรคมนาคม แก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัทเอไอเอส ดำเนินการกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ครั้งที่ 7) เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (roaming) ระหว่างผู้ให้บริการรายอื่นและอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายจากการ roaming ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บมจ.ทีโอทีและปรับลดอัตราค่าใช้จ่าย เครือข่ายร่วม ระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม กับบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด
12.เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการ ทศทฯ คณะกรรมการบริหารงาน (กบง.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ เพื่อให้มีการพิจารณาลดอัตราส่วนแบ่ง รายได้ แก้ไขสัญญาสัมปทาน (ครั้งที่ 6) ให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (prepaid card) โดยมิชอบ
13.เรื่องกล่าวหานายสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ประธานกรรมการสรรหาผู้ว่าการ รฟม. กับพวก ขยายเวลารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครรายหนึ่ง และกล่าวหานายชูเกียรติ โพธยานุวัตร รองผู้ว่าการ รฟม. (วิศวกรรมและก่อสร้าง) กับพวก รายงานเท็จต่อคณะกรรมการ รฟม. เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เสนอราคาบางราย โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่
14.เรื่องกล่าวหาการทุจริตโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของกระทรวงสาธารณสุข
15.เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี จำหน่าย 19,147 คัน พร้อมอุปกรณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
16.เรื่องกล่าวหาร้อยตรี (หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสรรหาและแต่งตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
นี่คือ วิบากกรรมของบิ๊กการเมืองโดยแท้ !
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
****************************************************
1.เรื่องกล่าวหานางจุฑามาศ ศิริวรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับพวก เรียกร้องเงินตอบแทนจากบริษัทที่ได้สิทธิ์ในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ
2.เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับเอกชน กระทำการออกเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3 และ น.ส.3 ก.โดยมิชอบ ทับที่สาธารณประโยชน์ "ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกเขากระโดง" ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
3.เรื่องกล่าวหานายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กับพวก ใช้อำนาจแทรกแซงสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้สนับสนุนเงิน จำนวน 30 ล้านบาทให้กับสมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน
4.เรื่องกล่าวหานายสมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก ทุจริตการดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
5.เรื่องกล่าวหานายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครองกับพวก ดำเนินการสอบเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าโรงเรียนนายอำเภอประจำปี 2552 โดยมิชอบ
6.เรื่องกล่าวหานางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวกทุจริตเงินงบประมาณของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการจัดทำโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤตโลกร้อน (ฝายต้นน้ำ)
7.เรื่องกล่าวหานายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศรีสุข จันทรางศุ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมและกรรมการประสานงาน โครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศกับพวก อนุมัติโครงการดาวเทียม IPSTAR โดยมิชอบด้วยสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
8.เรื่องกล่าวหานายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการขัดต่อสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
9.เรื่องกล่าวหานายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัทชินแซทฯ จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
10.เรื่องกล่าวหานายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพวก ทุจริตในโครงการรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ
11.เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการและผู้บริหาร บมจ.ทศท คอร์ปอเรชั่นและผู้บริหาร บมจ.กสท โทรคมนาคม แก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัทเอไอเอส ดำเนินการกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ครั้งที่ 7) เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (roaming) ระหว่างผู้ให้บริการรายอื่นและอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายจากการ roaming ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บมจ.ทีโอทีและปรับลดอัตราค่าใช้จ่าย เครือข่ายร่วม ระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม กับบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด
12.เรื่องกล่าวหาคณะกรรมการ ทศทฯ คณะกรรมการบริหารงาน (กบง.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ เพื่อให้มีการพิจารณาลดอัตราส่วนแบ่ง รายได้ แก้ไขสัญญาสัมปทาน (ครั้งที่ 6) ให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (prepaid card) โดยมิชอบ
13.เรื่องกล่าวหานายสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ประธานกรรมการสรรหาผู้ว่าการ รฟม. กับพวก ขยายเวลารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครรายหนึ่ง และกล่าวหานายชูเกียรติ โพธยานุวัตร รองผู้ว่าการ รฟม. (วิศวกรรมและก่อสร้าง) กับพวก รายงานเท็จต่อคณะกรรมการ รฟม. เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เสนอราคาบางราย โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่
14.เรื่องกล่าวหาการทุจริตโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของกระทรวงสาธารณสุข
15.เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี จำหน่าย 19,147 คัน พร้อมอุปกรณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
16.เรื่องกล่าวหาร้อยตรี (หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสรรหาและแต่งตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
นี่คือ วิบากกรรมของบิ๊กการเมืองโดยแท้ !
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
****************************************************
ทำลายตัวเอง
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
แรงกดดันจากนานาชาติที่ต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และให้มีการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ใช่จะมีเฉพาะองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างชาติเท่านั้น แต่รัฐบาลหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรืออังกฤษต่างก็แสดงท่าทีชัดเจนให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
ล่าสุดนายเจเรมี่ บราวน์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอังกฤษ ที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และได้พบกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง พูดชัดเจนว่า สถานการณ์การเมืองไทยยังไม่สามารถเรียกได้ว่ามีเสถียรภาพตราบใดที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยในอนาคตด้วย
โดยเฉพาะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่า กวาดล้าง กล่าวหา และจับกุมฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง นักวิชาการ และสื่อโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติไปกว่า 400 คน และไม่รู้ว่ามีอีกมากน้อยแค่ไหนที่ไม่มีการเปิดเผยนั้น ประชาคมโลกถือเป็นนักโทษการเมืองไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย” อย่างที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวหา ทั้งยังเห็นว่าเป็นการยัดเยียดข้อหาโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนอีกด้วย
เหมือนกรณีนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ “หรั่ง” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) และมีหลักฐานชัดเจนว่ากระทำผิดอย่างน้อย 8 คดี โดยยืนยันว่านายสุรชัยเป็นกลุ่มคนเสื้อดำที่ได้รับการฝึกอาวุธและสั่งการจากเสธ.แดง ไปฝึกใช้อาวุธและยุทธวิธีการรบ รวมทั้งการสลับเปลี่ยนซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ไต้หวัน
แต่มีรายงานข่าวว่าสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่านายสุรชัยไม่เคยเข้าประเทศไต้หวันแต่อย่างใด ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีเอสไอ ก็ออกมากลับคำว่า นายสุรชัยเดินทางไปท่องเที่ยวที่จีน โดยไม่ชี้แจงกรณีพาดพิงไต้หวันแต่ประการใด ซึ่ง ศอฉ. และดีเอสไอต้องตอบเรื่องนี้กับสังคมให้ได้
เพราะมิฉะนั้น ศอฉ. และดีเอสไอ รวมทั้งรัฐบาลจะถูกประณามว่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อใส่ร้ายป้ายสีและสร้างความชอบธรรม เพื่อไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น โดยเลือกโจมตีตัวบุคคลและใช้วาทกรรมต่างๆผ่านสื่อเพื่อให้เชื่อว่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบัน ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน แต่ใช้การสร้างหลักฐานและเทคนิคต่างๆมาบิดเบือน
ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นและแทรกแซงสื่อที่เสนอข้อมูลข่าวสารตรงกันข้าม ซึ่งสวนทางกลับแผนปรองดองและปฏิรูปประเทศแล้ว ยังทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลกอีกด้วย
**********************************************************************
แรงกดดันจากนานาชาติที่ต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และให้มีการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ใช่จะมีเฉพาะองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างชาติเท่านั้น แต่รัฐบาลหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรืออังกฤษต่างก็แสดงท่าทีชัดเจนให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
ล่าสุดนายเจเรมี่ บราวน์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอังกฤษ ที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และได้พบกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง พูดชัดเจนว่า สถานการณ์การเมืองไทยยังไม่สามารถเรียกได้ว่ามีเสถียรภาพตราบใดที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยในอนาคตด้วย
โดยเฉพาะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่า กวาดล้าง กล่าวหา และจับกุมฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง นักวิชาการ และสื่อโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติไปกว่า 400 คน และไม่รู้ว่ามีอีกมากน้อยแค่ไหนที่ไม่มีการเปิดเผยนั้น ประชาคมโลกถือเป็นนักโทษการเมืองไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย” อย่างที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวหา ทั้งยังเห็นว่าเป็นการยัดเยียดข้อหาโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนอีกด้วย
เหมือนกรณีนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ “หรั่ง” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) และมีหลักฐานชัดเจนว่ากระทำผิดอย่างน้อย 8 คดี โดยยืนยันว่านายสุรชัยเป็นกลุ่มคนเสื้อดำที่ได้รับการฝึกอาวุธและสั่งการจากเสธ.แดง ไปฝึกใช้อาวุธและยุทธวิธีการรบ รวมทั้งการสลับเปลี่ยนซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ไต้หวัน
แต่มีรายงานข่าวว่าสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่านายสุรชัยไม่เคยเข้าประเทศไต้หวันแต่อย่างใด ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีเอสไอ ก็ออกมากลับคำว่า นายสุรชัยเดินทางไปท่องเที่ยวที่จีน โดยไม่ชี้แจงกรณีพาดพิงไต้หวันแต่ประการใด ซึ่ง ศอฉ. และดีเอสไอต้องตอบเรื่องนี้กับสังคมให้ได้
เพราะมิฉะนั้น ศอฉ. และดีเอสไอ รวมทั้งรัฐบาลจะถูกประณามว่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อใส่ร้ายป้ายสีและสร้างความชอบธรรม เพื่อไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น โดยเลือกโจมตีตัวบุคคลและใช้วาทกรรมต่างๆผ่านสื่อเพื่อให้เชื่อว่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบัน ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน แต่ใช้การสร้างหลักฐานและเทคนิคต่างๆมาบิดเบือน
ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นและแทรกแซงสื่อที่เสนอข้อมูลข่าวสารตรงกันข้าม ซึ่งสวนทางกลับแผนปรองดองและปฏิรูปประเทศแล้ว ยังทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลกอีกด้วย
**********************************************************************
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
"ยุกติ มุกดาวิจิตร" เปิดโฉมหน้า"ชนบทใหม่" คนยอดหญ้าผู้ตื่นตัว เจ้าพ่อใหม่ เสื้อเหลืองและเสื้อแดง
"ยุกติ มุกดาวิจิตร" อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาวิจัยเรื่อง"จุดเปลี่ยนชนบทไทย"
เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ยุกติ ไปพูดที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อเดียวกับงานวิจัย
ประเด็นของ อาจารย์ยุกติ น่าสนใจ ตรงที่เป็นการเปิดโฉมหน้า ชนบทไทย ที่กลายเป็น "ชนบทใหม่"
" ทีมออนไลน์ " นำสาระมานำเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้
อาจารย์ยุกติ เปิดภาพว่า “ชนบทใหม่” มีตัวแบบหลายตัวแบบ แต่ตัวแบบที่ถูกพูดถึงมากในสังคมไทยก็คือ ตัวแบบชุมชนท้องถิ่น ที่อาจจะมองว่า ชนบทถูกทุนนิยมทำลาย หรือสูญเสียพลังท้องถิ่นดั้งเดิม
อีกแบบคือ ชุมชนท้องถิ่นอุปถัมภ์ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยความคิดทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งผู้อุปถัมภ์ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทน แล้วการเลือกตั้งไม่สะท้อนนโยบายแต่เป็นการเลือกบุคคล เลือกพรรคมากกว่า นอกจากนี้ ในงานวิจัย กำลังคิดถึงตัวแบบชนชั้นกลางใหม่ คือ คนในชนบทเป็นชนชั้นกลางใหม่ และเป็นพลเมืองผู้ตื่นตัว
เมื่อย้อนกลับไปดูภาพที่กว้างขึ้น สมมติฐานที่เราตั้งไว้ก็คือ เราเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดชนชั้นกลางขึ้นมา แล้วมีพลังเคลื่อนไหว ที่เรียกว่า พลังเคลื่อนไหวนอกระบบราชการ
แต่ปัจจุบัน หลังพฤษภาคม 2535 และหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กระทั่งการนำมาสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ทีมวิจัยมองว่า เราไม่สามารถเข้าใจ ด้วยตัวแบบเก่าต่อไป เพราะตัวแบบชนชั้นกลางเดิมที่เราเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังได้อีกต่อไป
ผมจึงเรียกคนที่เติบโตทางการเมือง ขึ้นมาในช่วง 2516 – 2535 ว่า “ชนชั้นกลางเก่า” แล้ว เราเรียกกลุ่มคนหลังจากนั้นมาว่าเป็น “ชนชั้นกลางใหม่”
ฉะนั้น การเมืองไทยหลัง พฤษภา 2535 ก็จะมีการเมืองของชนชั้นกลางเก่า กับ การเมืองของชนชั้นกลางใหม่ สิ่งเหล่านี้ ผมเชื่อว่า มันเกิดขึ้นคู่ขนานกัน แล้วมันค่อยเป็นค่อยไป และค่อยปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลัง การรัฐประหาร 2549
ทั้งนี้ การเมืองของชนชั้นกลางเก่า อยู่กับราชาชาติธิปไตย ในศัพท์ของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกุล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ สามเส้าระหว่าง สถาบันกษัตริย์ กลุ่มอำมาตย์ และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน มีความพยายามเชิดชูระบบรัฐสภา แต่โครงสร้างที่อยู่นอกระบบรัฐสภานั้นยังอยู่ มีการเติบโตของสื่อมวลชน ปัญญาชน สิ่งสำคัญคือ การเติบโตของการเมืองภาคประชาชนที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ส่วนการเมืองของชนชั้นกลางใหม่ มีความผูกพันกับอิทธิพลท้องถิ่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แล้วส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงในชนบท มากๆ ก็คือ เกิดพลังการเมืองท้องถิ่นที่เป็นระบบ และกล่าวได้ว่าเป็นระบบการเมืองประชาธิปไตยในท้องถิ่น
สรุปก็คือ การเมืองไทยหลังพฤษภาคม 2535 เกิดชนชั้นกลางเก่า ซึ่งเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อเหลือง ส่วนชนชั้นกลางใหม่เป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มีลักษณะท้องถิ่นนิยมกับการเมืองไทยเกิดขึ้น และสิ่งที่เราเคยคิดกันว่าพรรคการเมืองไทยไม่ได้มีผลกับนโยบายเท่าไหร่ ชาวบ้านจะเลือกตัวบุคคล แต่เอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นท้องถิ่นของพรรคการเมืองไทย อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงนโยบายอยู่ ด้วยเหตุที่พรรคการเมืองบางพรรค ดำเนินนโยบายที่มีการส่งกับการดำเนินชีวิตผู้คนใน ท้องถิ่น
ฉะนั้น เราไม่สามารถมองข้ามได้ว่า พรรคการเมือง หรือนโยบายของพรรคการเมือง ไม่มีผลกับชีวิตของผู้คน มีผล แต่มีผลเป็นหย่อมๆ (เท่านั้น)
ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลักษณะท้องถิ่นการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังนโยบายพรรคไทยรักไทย ได้สร้างขั้วของความขัดแย้งในเชิงท้องถิ่นขึ้นมา โดยทำให้เกิดความขัดแย้งที่สอดคล้องกับความขัดแย้งพรรคการเมืองมากขึ้น ฉะนั้น พรรคการเมืองจึงมีส่วนในการกำหนดนโยบาย แล้วชาวบ้านเวลาเลือกตั้ง ก็เลือกนโยบายของพรรคการเมืองด้วย
ทั้งหมดนี้ เพื่อจะปฏิเสธความคิดที่ว่า นักการเมืองหรือพรรคการเมือง สามารถควบคุมคะแนนเสียงได้อย่างง่ายดาย
ฉะนั้น ถามว่า ใครคือชนชั้นกลางที่ว่านี้ คำตอบก็คือ เป็นคน “ยอดหญ้า” ไม่ใช่รากหญ้า หรือไม่ใช่เป็นคนที่จน
แต่คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ถูกกระทำ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นด้านการเมือง ผมใช้คำว่า ประชดตนว่าเป็น “ไพร่” แต่หลายคนไม่ได้เป็นไพร่ในความหมายที่แท้จริง
ที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ชนชั้นกลางใหม่ จริงๆ แล้ว เป็น “พลเมืองโลกในหมู่บ้าน” อย่างที่ ศ.ชาร์ลส์ คายส์ ให้ความหมายไว้ ซึ่งก็คือ เขายังมีลักษณะเชิงท้องถิ่น มีความผูกพันธ์กับท้องถิ่นอยู่ แต่เขามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากขึ้น และไม่ใช่โลกเฉพาะที่อยู่ในเมืองเท่านั้น แต่เป็นโลกที่ไกลออกไปด้วย
หลายคนเป็นสะใภ้ต่างชาติ หรือ หลายคนไปทำงานต่างประเทศ ส่งเงินกลับมา หมู่บ้านบางหมู่บ้านที่ไปสำรวจพบว่า จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ไปทำงานต่างประเทศ อาจะ 10 % แต่รายได้ที่ไปทำงานต่างประเทศ ไปสนับสนุนรายได้ครัวเรือน ไม่น้อยไปกว่าการทำงานภาคเกษตรที่เขาทำอยู่ ประเด็นคือ ชุมชนท้องถิ่น หรือชนบท ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ส่วนการเมืองในชนบท จากงานวิจัยและการเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่า กลุ่มคนที่เราเรียกว่าผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เขามีพลวัตมากขึ้น เกิดเจ้าพ่อใหม่ ส่งลูกเรียน อ๊อกซฟอร์ด ไม่ได้ส่งเรียนธรรมศาสตร์ จุฬาฯ หรือเอแบค อีกแล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นเจ้าพ่อควงปืนแบบเก่าหรือไม่
ขณะเดียวกัน ธุรกิจการเมืองที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นก็เกิดการแข่งขันกันสูง เกิดความเคลื่อนไหวสูง นักธุรกิจบางคนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ฉะนั้น ความมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องผูกพันกับการมีอิทธิพลทางการเมืองอีกต่อไป ตรงนี้มีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์มีพลวัตสูง แล้วระบบอุปถัมภ์ในลักษณะใหม่ ชาวบ้านหรือรักธุรกิจต่อรองได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น นายกฯอบต. บางพื้นที่เลือกหรือกล้าท้าทายอำนาจสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าบ้านใหญ่ เหตุผลที่เขาบอกก็คือ เราไม่เคยขออะไรเขา เขาก็ไม่สามารถมาข่มขู่เราได้
ตรงนี้น่าสนใจว่า อำนาจอิทธิพลต่อรองได้มากขึ้น นอกจากนี้ อบต. ต่างๆ มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินงบประมาณของตัวเองอย่างแท้จริง ที่สำคัญ การกระจายข้อมูลข่าวสาร ให้ภาพเครือข่ายทางการเมืองและสังคมแบบใหม่ที่
ข้ามพ้นชุมชนชนบทแบบเก่า เช่น วิทยุชุมชน ปัญญาชนท้องถิ่น เดินสายทำงานมวลชน ประสานกับปัญญาชนในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองเสมอไป เขามีความอิสระในตัวเองมากขึ้น
ฉะนั้น การรับข้อมูลข่าวสารในชนบทมีพลวัตมากขึ้น เนื่องจากมีคนกระจายตัวแตกต่างไปจากอดีตมากขึ้น เกิดชุมชนใหม่ๆ ขึ้นมา
อีกอย่างเรียกว่า “ประชาธิปไตยท้องถิ่น” การกระจายอำนาจ เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องมานาน และเกิดผลชัดเจนมากขึ้น เกิดการกระจายรายได้ ในการจัดสรรทรัพยากรท้องถิ่นชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่พื้นที่ทางการเมืองในชนบทที่เปลี่ยนไป การพึ่งพิงระบบราชการลดลง คนแทบไม่ต้องเดินทางไปอำเภอ
กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น บางหมู่บ้าน ชาวบ้านกำลัง จะมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน โดยบางคนหาเสียงว่าเขาจะอยู่แค่ 4 ปี ซึ่งน่าสนใจว่า เขาอยากได้การเมืองที่มีพลวัตมากขึ้น
ที่สำคัญ การเมืองเลือกตั้งในท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในหลายพื้นที่ การตัดสินใจอำนาจทางการเมืองอยู่กับผู้คนในท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเมืองกึ่งเลือกตั้ง กึ่งแต่งตั้ง ก็คือ สภาองค์กรชุมชน ซึ่งอาจกำลังมีบทบาทมากขึ้น
ฉะนั้น วัฒนธรรมการเลือกตั้ง มี 2 ตัวแบบที่ผู้วิจัยจะเสนอ อยากจะท้าทายว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดการแพ้ชนะเลือกตั้ง โดยเฉพาะในชุมชนหมู่บ้าน ถ้ามีการเหวี่ยงแห มันจะไม่สำเร็จ เพราะถ้าคุณทอดแหไม่เป็น มันจะไม่ได้ปลา
ระบบหัวคะแนนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่แจกไปทั่ว คือ แจกทั่วชาวบ้านอาจจะรับ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่จริงๆ แล้วคนที่แจกเงินเป็น เขาจะรู้ว่าแจกใครไม่แจกใคร อาจจะมีพื้นที่เสี่ยงบางพื้นที่หรือพื้นที่ที่เขามั่นใจ ว่าได้แน่ๆ เขาก็ไม่ต้องต้องแจกนะ ผู้ลงคะแนน เป็นผู้ตัดสินใจในเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรม แต่ผมไม่ได้บอกว่า ควรนำปัจเจกในชุมชนมาเป็นตัวตัดสินใจเด็ดขาด โดยไม่ได้คำนึงถึงอะไรเลย อย่างนั้นไม่ใช่ เขายังมีเครือข่ายของเขา
แต่การตัดสินใจของเขา ไม่สามารถจะสรุปง่ายๆ ว่า เขาถูกครอบงำในระบบอุปถัมภ์ เช่น ไปถามครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง มี 6 คน ซึ่งมีญาติ 2 ฝ่าย ถามว่าชาวบ้านจะจัดสรรยังไง เขาบอกว่า ตกลงกันเลยว่าฝั่งละ 3 ก็พอ แล้วก็แบ่งกันไป เข้าคูหาก็กาคนละ 3
ฉะนั้น ถามว่าอยู่ในระบบอุปถัมภ์หรือเปล่า ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ แต่ถามว่า เขาไม่ตัดสินใจเหรอ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้น ผมคิดว่าเราต้องละเอียดอ่อนกับตรงนี้มากขึ้น
ฉะนั้น ข้อสรุปก็คือ ชนบทใหม่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ขณะที่พลวัตทางเศรษฐกิจและการเมืองท้องถิ่นเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับคนในชนบทมากขึ้น และต้องการการเมืองของการเลือกตั้ง โดยไม่แบ่งสี ที่สำคัญ ชาวชนบท ไม่สามารถกลับไปสูดอากาศ ประชาธิปไตยน้ำเน่าได้อีกต่อไป
หมายความว่า การเมืองที่ผ่านมา อย่างน้อยในช่วง รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้อากาศแบบใหม่กับคนในชนบท
กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถ ที่จะดำเนินบทบาททางการเมืองในแบบ นอกระบบการเมืองเลือกตั้งได้ เพราะการเมืองระบบเลือกตั้งได้สถาปนาตัวเอง เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ในท้องถิ่นไปแล้ว ซึ่ง อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อ่านงานวิจัยของผม แล้วบอกว่า "ไม่เชื่อว่ามีชนบทไทยอีกต่อไปแล้ว "
นี่คือ โฉมหน้า ชนบทใหม่ ผ่านสายตา "ยุกติ มุกดาวิจิตรและพวก"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ยุกติ ไปพูดที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อเดียวกับงานวิจัย
ประเด็นของ อาจารย์ยุกติ น่าสนใจ ตรงที่เป็นการเปิดโฉมหน้า ชนบทไทย ที่กลายเป็น "ชนบทใหม่"
" ทีมออนไลน์ " นำสาระมานำเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้
อาจารย์ยุกติ เปิดภาพว่า “ชนบทใหม่” มีตัวแบบหลายตัวแบบ แต่ตัวแบบที่ถูกพูดถึงมากในสังคมไทยก็คือ ตัวแบบชุมชนท้องถิ่น ที่อาจจะมองว่า ชนบทถูกทุนนิยมทำลาย หรือสูญเสียพลังท้องถิ่นดั้งเดิม
อีกแบบคือ ชุมชนท้องถิ่นอุปถัมภ์ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยความคิดทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งผู้อุปถัมภ์ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทน แล้วการเลือกตั้งไม่สะท้อนนโยบายแต่เป็นการเลือกบุคคล เลือกพรรคมากกว่า นอกจากนี้ ในงานวิจัย กำลังคิดถึงตัวแบบชนชั้นกลางใหม่ คือ คนในชนบทเป็นชนชั้นกลางใหม่ และเป็นพลเมืองผู้ตื่นตัว
เมื่อย้อนกลับไปดูภาพที่กว้างขึ้น สมมติฐานที่เราตั้งไว้ก็คือ เราเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดชนชั้นกลางขึ้นมา แล้วมีพลังเคลื่อนไหว ที่เรียกว่า พลังเคลื่อนไหวนอกระบบราชการ
แต่ปัจจุบัน หลังพฤษภาคม 2535 และหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กระทั่งการนำมาสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ทีมวิจัยมองว่า เราไม่สามารถเข้าใจ ด้วยตัวแบบเก่าต่อไป เพราะตัวแบบชนชั้นกลางเดิมที่เราเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังได้อีกต่อไป
ผมจึงเรียกคนที่เติบโตทางการเมือง ขึ้นมาในช่วง 2516 – 2535 ว่า “ชนชั้นกลางเก่า” แล้ว เราเรียกกลุ่มคนหลังจากนั้นมาว่าเป็น “ชนชั้นกลางใหม่”
ฉะนั้น การเมืองไทยหลัง พฤษภา 2535 ก็จะมีการเมืองของชนชั้นกลางเก่า กับ การเมืองของชนชั้นกลางใหม่ สิ่งเหล่านี้ ผมเชื่อว่า มันเกิดขึ้นคู่ขนานกัน แล้วมันค่อยเป็นค่อยไป และค่อยปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลัง การรัฐประหาร 2549
ทั้งนี้ การเมืองของชนชั้นกลางเก่า อยู่กับราชาชาติธิปไตย ในศัพท์ของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกุล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ สามเส้าระหว่าง สถาบันกษัตริย์ กลุ่มอำมาตย์ และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน มีความพยายามเชิดชูระบบรัฐสภา แต่โครงสร้างที่อยู่นอกระบบรัฐสภานั้นยังอยู่ มีการเติบโตของสื่อมวลชน ปัญญาชน สิ่งสำคัญคือ การเติบโตของการเมืองภาคประชาชนที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ส่วนการเมืองของชนชั้นกลางใหม่ มีความผูกพันกับอิทธิพลท้องถิ่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แล้วส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงในชนบท มากๆ ก็คือ เกิดพลังการเมืองท้องถิ่นที่เป็นระบบ และกล่าวได้ว่าเป็นระบบการเมืองประชาธิปไตยในท้องถิ่น
สรุปก็คือ การเมืองไทยหลังพฤษภาคม 2535 เกิดชนชั้นกลางเก่า ซึ่งเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อเหลือง ส่วนชนชั้นกลางใหม่เป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มีลักษณะท้องถิ่นนิยมกับการเมืองไทยเกิดขึ้น และสิ่งที่เราเคยคิดกันว่าพรรคการเมืองไทยไม่ได้มีผลกับนโยบายเท่าไหร่ ชาวบ้านจะเลือกตัวบุคคล แต่เอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นท้องถิ่นของพรรคการเมืองไทย อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงนโยบายอยู่ ด้วยเหตุที่พรรคการเมืองบางพรรค ดำเนินนโยบายที่มีการส่งกับการดำเนินชีวิตผู้คนใน ท้องถิ่น
ฉะนั้น เราไม่สามารถมองข้ามได้ว่า พรรคการเมือง หรือนโยบายของพรรคการเมือง ไม่มีผลกับชีวิตของผู้คน มีผล แต่มีผลเป็นหย่อมๆ (เท่านั้น)
ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลักษณะท้องถิ่นการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังนโยบายพรรคไทยรักไทย ได้สร้างขั้วของความขัดแย้งในเชิงท้องถิ่นขึ้นมา โดยทำให้เกิดความขัดแย้งที่สอดคล้องกับความขัดแย้งพรรคการเมืองมากขึ้น ฉะนั้น พรรคการเมืองจึงมีส่วนในการกำหนดนโยบาย แล้วชาวบ้านเวลาเลือกตั้ง ก็เลือกนโยบายของพรรคการเมืองด้วย
ทั้งหมดนี้ เพื่อจะปฏิเสธความคิดที่ว่า นักการเมืองหรือพรรคการเมือง สามารถควบคุมคะแนนเสียงได้อย่างง่ายดาย
ฉะนั้น ถามว่า ใครคือชนชั้นกลางที่ว่านี้ คำตอบก็คือ เป็นคน “ยอดหญ้า” ไม่ใช่รากหญ้า หรือไม่ใช่เป็นคนที่จน
แต่คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ถูกกระทำ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นด้านการเมือง ผมใช้คำว่า ประชดตนว่าเป็น “ไพร่” แต่หลายคนไม่ได้เป็นไพร่ในความหมายที่แท้จริง
ที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ชนชั้นกลางใหม่ จริงๆ แล้ว เป็น “พลเมืองโลกในหมู่บ้าน” อย่างที่ ศ.ชาร์ลส์ คายส์ ให้ความหมายไว้ ซึ่งก็คือ เขายังมีลักษณะเชิงท้องถิ่น มีความผูกพันธ์กับท้องถิ่นอยู่ แต่เขามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากขึ้น และไม่ใช่โลกเฉพาะที่อยู่ในเมืองเท่านั้น แต่เป็นโลกที่ไกลออกไปด้วย
หลายคนเป็นสะใภ้ต่างชาติ หรือ หลายคนไปทำงานต่างประเทศ ส่งเงินกลับมา หมู่บ้านบางหมู่บ้านที่ไปสำรวจพบว่า จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ไปทำงานต่างประเทศ อาจะ 10 % แต่รายได้ที่ไปทำงานต่างประเทศ ไปสนับสนุนรายได้ครัวเรือน ไม่น้อยไปกว่าการทำงานภาคเกษตรที่เขาทำอยู่ ประเด็นคือ ชุมชนท้องถิ่น หรือชนบท ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ส่วนการเมืองในชนบท จากงานวิจัยและการเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่า กลุ่มคนที่เราเรียกว่าผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เขามีพลวัตมากขึ้น เกิดเจ้าพ่อใหม่ ส่งลูกเรียน อ๊อกซฟอร์ด ไม่ได้ส่งเรียนธรรมศาสตร์ จุฬาฯ หรือเอแบค อีกแล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นเจ้าพ่อควงปืนแบบเก่าหรือไม่
ขณะเดียวกัน ธุรกิจการเมืองที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นก็เกิดการแข่งขันกันสูง เกิดความเคลื่อนไหวสูง นักธุรกิจบางคนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ฉะนั้น ความมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องผูกพันกับการมีอิทธิพลทางการเมืองอีกต่อไป ตรงนี้มีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์มีพลวัตสูง แล้วระบบอุปถัมภ์ในลักษณะใหม่ ชาวบ้านหรือรักธุรกิจต่อรองได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น นายกฯอบต. บางพื้นที่เลือกหรือกล้าท้าทายอำนาจสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าบ้านใหญ่ เหตุผลที่เขาบอกก็คือ เราไม่เคยขออะไรเขา เขาก็ไม่สามารถมาข่มขู่เราได้
ตรงนี้น่าสนใจว่า อำนาจอิทธิพลต่อรองได้มากขึ้น นอกจากนี้ อบต. ต่างๆ มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินงบประมาณของตัวเองอย่างแท้จริง ที่สำคัญ การกระจายข้อมูลข่าวสาร ให้ภาพเครือข่ายทางการเมืองและสังคมแบบใหม่ที่
ข้ามพ้นชุมชนชนบทแบบเก่า เช่น วิทยุชุมชน ปัญญาชนท้องถิ่น เดินสายทำงานมวลชน ประสานกับปัญญาชนในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองเสมอไป เขามีความอิสระในตัวเองมากขึ้น
ฉะนั้น การรับข้อมูลข่าวสารในชนบทมีพลวัตมากขึ้น เนื่องจากมีคนกระจายตัวแตกต่างไปจากอดีตมากขึ้น เกิดชุมชนใหม่ๆ ขึ้นมา
อีกอย่างเรียกว่า “ประชาธิปไตยท้องถิ่น” การกระจายอำนาจ เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องมานาน และเกิดผลชัดเจนมากขึ้น เกิดการกระจายรายได้ ในการจัดสรรทรัพยากรท้องถิ่นชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่พื้นที่ทางการเมืองในชนบทที่เปลี่ยนไป การพึ่งพิงระบบราชการลดลง คนแทบไม่ต้องเดินทางไปอำเภอ
กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น บางหมู่บ้าน ชาวบ้านกำลัง จะมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน โดยบางคนหาเสียงว่าเขาจะอยู่แค่ 4 ปี ซึ่งน่าสนใจว่า เขาอยากได้การเมืองที่มีพลวัตมากขึ้น
ที่สำคัญ การเมืองเลือกตั้งในท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในหลายพื้นที่ การตัดสินใจอำนาจทางการเมืองอยู่กับผู้คนในท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเมืองกึ่งเลือกตั้ง กึ่งแต่งตั้ง ก็คือ สภาองค์กรชุมชน ซึ่งอาจกำลังมีบทบาทมากขึ้น
ฉะนั้น วัฒนธรรมการเลือกตั้ง มี 2 ตัวแบบที่ผู้วิจัยจะเสนอ อยากจะท้าทายว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดการแพ้ชนะเลือกตั้ง โดยเฉพาะในชุมชนหมู่บ้าน ถ้ามีการเหวี่ยงแห มันจะไม่สำเร็จ เพราะถ้าคุณทอดแหไม่เป็น มันจะไม่ได้ปลา
ระบบหัวคะแนนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่แจกไปทั่ว คือ แจกทั่วชาวบ้านอาจจะรับ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่จริงๆ แล้วคนที่แจกเงินเป็น เขาจะรู้ว่าแจกใครไม่แจกใคร อาจจะมีพื้นที่เสี่ยงบางพื้นที่หรือพื้นที่ที่เขามั่นใจ ว่าได้แน่ๆ เขาก็ไม่ต้องต้องแจกนะ ผู้ลงคะแนน เป็นผู้ตัดสินใจในเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรม แต่ผมไม่ได้บอกว่า ควรนำปัจเจกในชุมชนมาเป็นตัวตัดสินใจเด็ดขาด โดยไม่ได้คำนึงถึงอะไรเลย อย่างนั้นไม่ใช่ เขายังมีเครือข่ายของเขา
แต่การตัดสินใจของเขา ไม่สามารถจะสรุปง่ายๆ ว่า เขาถูกครอบงำในระบบอุปถัมภ์ เช่น ไปถามครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง มี 6 คน ซึ่งมีญาติ 2 ฝ่าย ถามว่าชาวบ้านจะจัดสรรยังไง เขาบอกว่า ตกลงกันเลยว่าฝั่งละ 3 ก็พอ แล้วก็แบ่งกันไป เข้าคูหาก็กาคนละ 3
ฉะนั้น ถามว่าอยู่ในระบบอุปถัมภ์หรือเปล่า ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ แต่ถามว่า เขาไม่ตัดสินใจเหรอ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้น ผมคิดว่าเราต้องละเอียดอ่อนกับตรงนี้มากขึ้น
ฉะนั้น ข้อสรุปก็คือ ชนบทใหม่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ขณะที่พลวัตทางเศรษฐกิจและการเมืองท้องถิ่นเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับคนในชนบทมากขึ้น และต้องการการเมืองของการเลือกตั้ง โดยไม่แบ่งสี ที่สำคัญ ชาวชนบท ไม่สามารถกลับไปสูดอากาศ ประชาธิปไตยน้ำเน่าได้อีกต่อไป
หมายความว่า การเมืองที่ผ่านมา อย่างน้อยในช่วง รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้อากาศแบบใหม่กับคนในชนบท
กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถ ที่จะดำเนินบทบาททางการเมืองในแบบ นอกระบบการเมืองเลือกตั้งได้ เพราะการเมืองระบบเลือกตั้งได้สถาปนาตัวเอง เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ในท้องถิ่นไปแล้ว ซึ่ง อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อ่านงานวิจัยของผม แล้วบอกว่า "ไม่เชื่อว่ามีชนบทไทยอีกต่อไปแล้ว "
นี่คือ โฉมหน้า ชนบทใหม่ ผ่านสายตา "ยุกติ มุกดาวิจิตรและพวก"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปชป.รอดยากคดี29ล้านชัดไม่พ้นยุบพรรค
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
รองประธานวุฒิสภาไม่ประหลาดใจที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯไซฟ่อนเงิน ชี้แม้ประชาธิปัตย์จะรอดยุบพรรคจากกรณีนี้แต่คดีใช้เงินกองทุนพรรคการเมือง 29 ล้านคงรอดยากเพราะหลักฐานชัด ประธาน กกต. ไม่พูดตรงๆส่งผลดีต่อประชาธิปัตย์หรือไม่ แต่ระบุถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร อ้างเห็นหน้าทีมสอบดีเอสไอชุดเก่ามายื่นร้องเรียนก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ถูกกล่าวหากระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กรณีไซฟ่อนเงิน 263 ล้านบาท บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า นายธาริตควรลาออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอไปเป็นนักการเมือง เพราะพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมานั้นไม่ได้แตกต่างจากนักการเมือง
สั่งไม่ฟ้องตอนนี้เป็นเรื่องบังเอิญ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คดีของทีพีไอฯดีเอสไอสอบสวนมานานหลายปีแล้ว พอดีผลออกมาในช่วงนี้ไม่ใช่เพิ่งมาทำ
“ใครจะมองว่าการสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเป็นการเอื้อต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสิทธิ สิ่งสำคัญคือการทำงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใครติดใจสงสัยอะไรก็ร้องเรียนกับองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบได้ หากพบว่าผิดก็ต้องรับโทษไปตามกฎหมาย”
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดียุบพรรคหรือไม่ นายสาทิตย์ปฏิเสธว่า ให้ไปถามทีมกฎหมายของพรรค เพราะไม่ได้อยู่ในทีมกฎหมาย
รองประธาน ส.ว. ไม่เชื่อ ปชป. รอดถูกยุบ
นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ผลสรุปของดีเอสไอไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย จากการติดตามการทำงานทราบว่าแต่ละฝ่ายมีธงในใจอยู่แล้ว และจากกรณีนี้ก็จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการยุบพรรคในคดีรับเงินบริจาคจากทีพีไอฯ แต่กรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์คงรอดยาก เพราะมีหลักฐานการใช้จ่ายชัดเจน
ประธาน กกต. ชี้คดีเป็นคนละส่วน
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันว่า การที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นคนละส่วนกับคดียุบพรรค เพราะเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นเรื่องของยักยอกเงินออกจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ การสั่งไม่ฟ้องของดีเอสไอเป็นแค่การชี้ว่ามีการยักยอกหรือไม่เท่านั้น
ต้นทางไม่ลักทรัพย์ก็ไม่รับของโจร
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเมื่อต้นทางไม่ผิด ปลายทางก็ไม่ผิด นายอภิชาตกล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็น แต่ก่อนหน้านี่เคยพูดเอาไว้ชัดเจนว่า “ถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์ แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร” แต่เมื่อคดีถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
อ้างเป็นเสียงข้างน้อยไม่อยากพูดมาก
“ผมเคยแสดงความเห็นชัดเจนไปแล้ว แต่เมื่อเป็น กกต. เสียงข้างน้อยก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากเรื่อง เอาไว้ให้ศาลเขาตัดสินเอง” นายอภิชาตกล่าวและว่า ต้องเข้าใจว่าดีเอสไอที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. กับดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้องเป็นคนละชุด ซึ่งชุดที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. มีคนพูดว่าเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง
ดีเอสไอส่งสำนวนถึงมืออัยการ
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัททีพีไอฯทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาให้พิจารณาแล้ว เบื้องต้นได้มอบหมายให้กับอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 รับผิดชอบพิจารณาสำนวนว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนเพียงพอที่อัยการจะสามารถสั่งคดีได้หรือไม่ หากเห็นว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ก็จะมีคำสั่งแย้งดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้อง เพื่อนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งกลับไปให้ดีเอสไอรับทราบ หากเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พออาจส่งกลับไปให้ดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติม หรือหากเห็นว่าไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาอาจสั่งไม่ฟ้องเหมือนดีเอสไอก็ได้
ยืนยันพิจารณาตามพยานหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหนักใจหรือไม่ เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อัยการส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว นายธนพิชญ์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมอัยการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคด้วยระบุว่า เป็นคนละเรื่องกัน การที่อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีใดเป็นไปตามพยานหลักฐาน และคู่ความทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหาหากเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการได้
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเคารพกระบวนการยุติธรรมกรณีดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯด้วยการระมัดระวังการออกมาให้ความเห็น เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวโยงกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การออกมาให้ความเห็นในทางลบจะเป็นการกดดันศาล
ซัดทีม “ทวี” มุ่งเรื่องการเมือง
“ที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแก่เวลา เพราะคดีไซฟ่อนเงินเป็นคดีหลัก แต่ผู้บริหารดีเอสไอชุดเก่ากลับไม่มุ่งทำคดีหลัก ไปมุ่งทำคดีรองคือยุบพรรคประชาธิปัตย์จนคดีคืบหน้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอที่จะตั้งกรรมการสอบเอาผิดทีมสอบสวนชุดเก่าภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีดีเอสไอ เพราะมีข้อครหาว่าทำคดีนี้เพื่อมุ่งผลทางการเมือง” นายสกลธีกล่าวและว่า ทีมสอบสวนชุดเก่าทราบดีว่าไม่มีอำนาจสอบเอาผิดคดียุบพรรค แต่กลับดึงเวลาเอาไว้นาน 3 เดือนก่อนส่งเรื่องให้ไป กกต. พิจารณา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการตกแต่งพยานหลักฐานในคดียุบพรรคก่อนส่งให้ กกต. หรือไม่
ยัน ปชป. ไม่แทรกแซงดีเอสไอ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีอีกมุมมองว่าพรรคประชาธิปัตย์แทรกแซงดีเอสไอเพื่อให้หลุดจากคดียุบพรรค นายสกลธีกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีแนวคิดที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้คดีนี้จะสอบสวนในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากคิดจะแทรกแซงคงไม่ปล่อยให้คดียุบพรรคเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯ
ซัดเพื่อไทยขู่ย้ายคือแทรกแซง
“ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยที่ออกมาข่มขู่ว่าจะย้ายอธิบดีดีเอสไอหากได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นการกระทำที่หวังผลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน เพราะทำให้ข้าราชการเกิดความลำบากในการทำงาน ซึ่งเหมือนกับตอนที่พรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพียง 2 สัปดาห์ คดีความต่างๆที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ค้างอยู่ในดีเอสไอก็เงียบหายไปทันที โดยเฉพาะคดีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องการให้ดีเอสไอรื้อขึ้นมาพิจารณาใหม่”
กุ 2 มาตรฐานกดดันศาล
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกระบวนการสร้างเรื่องให้ประชาชนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมมี 2 มาตรฐานเพื่อสร้างแรงกดดันต่อศาลในคดียุบพรรค เพราะหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกโจมตีว่า 2 มาตรฐาน ทั้งที่การจะยุบหรือไม่ยุบพรรคควรเป็นไปตามพยานหลักฐาน และควรยึดถือเอาคำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุด
เชียร์รื้อโครงสร้างดีเอสไอใหม่
“มีข้าราชการเลวๆ ซึ่งเป็นส่วนน้อยทำให้ดีเอสไอเสียหาย ดีเอสไอเป็นองค์กรที่สามารถรับคดีได้เกือบทุกประเภท หากมีข้าราชการหรือผู้บริหารที่จิตใจไม่เป็นธรรมและฝักใฝ่ทางการเมืองก็จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่น่ากลัวมาก จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการล้างบางปรับโครงสร้างกันใหม่ ซึ่งทราบมาว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็กำลังคิดดำเนินการอยู่ ถ้าไม่ทำช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำตอนไหน” นายสกลธีกล่าว
“ธาริต” ยันทำตรงไปตรงมา
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า คดีทีพีไอมีทีมสอบสวน 10 คน ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งทั้งหมดมีมติเอกฉันท์เห็นควรไม่สั่งฟ้อง เมื่อส่งเรื่องมาถึงตนในฐานะอธิบดีก็มีความเห็นตามพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์กับคดีไซฟ่อนเงินของทีพีไอฯเป็นคนละส่วนกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพนักงานสอบสวนชุดเก่าภายใต้การนำของอดีตอธิบดีดีเอสไอไม่ได้ให้น้ำหนักกับคดีไซฟ่อนเงิน ทำคดีด้วยความล่าช้า การทำงานที่ผ่านมาถือว่าสอบสวนไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค” นายธาริตกล่าว
**********************************************************************
รองประธานวุฒิสภาไม่ประหลาดใจที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯไซฟ่อนเงิน ชี้แม้ประชาธิปัตย์จะรอดยุบพรรคจากกรณีนี้แต่คดีใช้เงินกองทุนพรรคการเมือง 29 ล้านคงรอดยากเพราะหลักฐานชัด ประธาน กกต. ไม่พูดตรงๆส่งผลดีต่อประชาธิปัตย์หรือไม่ แต่ระบุถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร อ้างเห็นหน้าทีมสอบดีเอสไอชุดเก่ามายื่นร้องเรียนก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ถูกกล่าวหากระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กรณีไซฟ่อนเงิน 263 ล้านบาท บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า นายธาริตควรลาออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอไปเป็นนักการเมือง เพราะพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมานั้นไม่ได้แตกต่างจากนักการเมือง
สั่งไม่ฟ้องตอนนี้เป็นเรื่องบังเอิญ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คดีของทีพีไอฯดีเอสไอสอบสวนมานานหลายปีแล้ว พอดีผลออกมาในช่วงนี้ไม่ใช่เพิ่งมาทำ
“ใครจะมองว่าการสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเป็นการเอื้อต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสิทธิ สิ่งสำคัญคือการทำงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใครติดใจสงสัยอะไรก็ร้องเรียนกับองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบได้ หากพบว่าผิดก็ต้องรับโทษไปตามกฎหมาย”
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดียุบพรรคหรือไม่ นายสาทิตย์ปฏิเสธว่า ให้ไปถามทีมกฎหมายของพรรค เพราะไม่ได้อยู่ในทีมกฎหมาย
รองประธาน ส.ว. ไม่เชื่อ ปชป. รอดถูกยุบ
นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ผลสรุปของดีเอสไอไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย จากการติดตามการทำงานทราบว่าแต่ละฝ่ายมีธงในใจอยู่แล้ว และจากกรณีนี้ก็จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการยุบพรรคในคดีรับเงินบริจาคจากทีพีไอฯ แต่กรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์คงรอดยาก เพราะมีหลักฐานการใช้จ่ายชัดเจน
ประธาน กกต. ชี้คดีเป็นคนละส่วน
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันว่า การที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นคนละส่วนกับคดียุบพรรค เพราะเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นเรื่องของยักยอกเงินออกจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ การสั่งไม่ฟ้องของดีเอสไอเป็นแค่การชี้ว่ามีการยักยอกหรือไม่เท่านั้น
ต้นทางไม่ลักทรัพย์ก็ไม่รับของโจร
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเมื่อต้นทางไม่ผิด ปลายทางก็ไม่ผิด นายอภิชาตกล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็น แต่ก่อนหน้านี่เคยพูดเอาไว้ชัดเจนว่า “ถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์ แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร” แต่เมื่อคดีถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
อ้างเป็นเสียงข้างน้อยไม่อยากพูดมาก
“ผมเคยแสดงความเห็นชัดเจนไปแล้ว แต่เมื่อเป็น กกต. เสียงข้างน้อยก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากเรื่อง เอาไว้ให้ศาลเขาตัดสินเอง” นายอภิชาตกล่าวและว่า ต้องเข้าใจว่าดีเอสไอที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. กับดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้องเป็นคนละชุด ซึ่งชุดที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. มีคนพูดว่าเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง
ดีเอสไอส่งสำนวนถึงมืออัยการ
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัททีพีไอฯทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาให้พิจารณาแล้ว เบื้องต้นได้มอบหมายให้กับอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 รับผิดชอบพิจารณาสำนวนว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนเพียงพอที่อัยการจะสามารถสั่งคดีได้หรือไม่ หากเห็นว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ก็จะมีคำสั่งแย้งดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้อง เพื่อนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งกลับไปให้ดีเอสไอรับทราบ หากเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พออาจส่งกลับไปให้ดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติม หรือหากเห็นว่าไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาอาจสั่งไม่ฟ้องเหมือนดีเอสไอก็ได้
ยืนยันพิจารณาตามพยานหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหนักใจหรือไม่ เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อัยการส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว นายธนพิชญ์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมอัยการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคด้วยระบุว่า เป็นคนละเรื่องกัน การที่อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีใดเป็นไปตามพยานหลักฐาน และคู่ความทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหาหากเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการได้
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเคารพกระบวนการยุติธรรมกรณีดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯด้วยการระมัดระวังการออกมาให้ความเห็น เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวโยงกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การออกมาให้ความเห็นในทางลบจะเป็นการกดดันศาล
ซัดทีม “ทวี” มุ่งเรื่องการเมือง
“ที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแก่เวลา เพราะคดีไซฟ่อนเงินเป็นคดีหลัก แต่ผู้บริหารดีเอสไอชุดเก่ากลับไม่มุ่งทำคดีหลัก ไปมุ่งทำคดีรองคือยุบพรรคประชาธิปัตย์จนคดีคืบหน้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอที่จะตั้งกรรมการสอบเอาผิดทีมสอบสวนชุดเก่าภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีดีเอสไอ เพราะมีข้อครหาว่าทำคดีนี้เพื่อมุ่งผลทางการเมือง” นายสกลธีกล่าวและว่า ทีมสอบสวนชุดเก่าทราบดีว่าไม่มีอำนาจสอบเอาผิดคดียุบพรรค แต่กลับดึงเวลาเอาไว้นาน 3 เดือนก่อนส่งเรื่องให้ไป กกต. พิจารณา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการตกแต่งพยานหลักฐานในคดียุบพรรคก่อนส่งให้ กกต. หรือไม่
ยัน ปชป. ไม่แทรกแซงดีเอสไอ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีอีกมุมมองว่าพรรคประชาธิปัตย์แทรกแซงดีเอสไอเพื่อให้หลุดจากคดียุบพรรค นายสกลธีกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีแนวคิดที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้คดีนี้จะสอบสวนในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากคิดจะแทรกแซงคงไม่ปล่อยให้คดียุบพรรคเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯ
ซัดเพื่อไทยขู่ย้ายคือแทรกแซง
“ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยที่ออกมาข่มขู่ว่าจะย้ายอธิบดีดีเอสไอหากได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นการกระทำที่หวังผลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน เพราะทำให้ข้าราชการเกิดความลำบากในการทำงาน ซึ่งเหมือนกับตอนที่พรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพียง 2 สัปดาห์ คดีความต่างๆที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ค้างอยู่ในดีเอสไอก็เงียบหายไปทันที โดยเฉพาะคดีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องการให้ดีเอสไอรื้อขึ้นมาพิจารณาใหม่”
กุ 2 มาตรฐานกดดันศาล
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกระบวนการสร้างเรื่องให้ประชาชนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมมี 2 มาตรฐานเพื่อสร้างแรงกดดันต่อศาลในคดียุบพรรค เพราะหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกโจมตีว่า 2 มาตรฐาน ทั้งที่การจะยุบหรือไม่ยุบพรรคควรเป็นไปตามพยานหลักฐาน และควรยึดถือเอาคำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุด
เชียร์รื้อโครงสร้างดีเอสไอใหม่
“มีข้าราชการเลวๆ ซึ่งเป็นส่วนน้อยทำให้ดีเอสไอเสียหาย ดีเอสไอเป็นองค์กรที่สามารถรับคดีได้เกือบทุกประเภท หากมีข้าราชการหรือผู้บริหารที่จิตใจไม่เป็นธรรมและฝักใฝ่ทางการเมืองก็จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่น่ากลัวมาก จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการล้างบางปรับโครงสร้างกันใหม่ ซึ่งทราบมาว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็กำลังคิดดำเนินการอยู่ ถ้าไม่ทำช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำตอนไหน” นายสกลธีกล่าว
“ธาริต” ยันทำตรงไปตรงมา
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า คดีทีพีไอมีทีมสอบสวน 10 คน ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งทั้งหมดมีมติเอกฉันท์เห็นควรไม่สั่งฟ้อง เมื่อส่งเรื่องมาถึงตนในฐานะอธิบดีก็มีความเห็นตามพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์กับคดีไซฟ่อนเงินของทีพีไอฯเป็นคนละส่วนกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพนักงานสอบสวนชุดเก่าภายใต้การนำของอดีตอธิบดีดีเอสไอไม่ได้ให้น้ำหนักกับคดีไซฟ่อนเงิน ทำคดีด้วยความล่าช้า การทำงานที่ผ่านมาถือว่าสอบสวนไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค” นายธาริตกล่าว
**********************************************************************
ป้ายหาย
กิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” ที่มี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักถือเป็นวิธีการแสดงออกทางการเมืองตามแนวทาง “อหิงสา” อย่างแท้จริง เพราะไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินการด้วยความรุนแรง แต่ใช้การสร้าง “สัญลักษณ์” โดยการ “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์ ประกอบการแสดงที่ทำให้เห็นว่า “ที่นี่มีคนตาย”
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ในระบอบประชาธิปไตย ที่ถึงแม้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะบริหารราชการด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในเมื่อประเทศไทยเรายังมีรัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอยู่ การที่ นายสมบัติ และคณะพากันไปที่สี่แยกราชประสงค์ทุกเย็นวันอาทิตย์ จึงเป็นไปตามครรลองอันควร ที่หากรัฐบาล “ใจกว้าง” พอ ควรปล่อยให้เป็นไป
เพราะถ้ายอมแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะท่องคาถา “ปรองดอง” กันไปทำไม!!
แต่อย่างว่า รัฐบาลมีทีท่า “แข็งกร้าว” แต่แรก ตั้งแต่การจับกุม นายสมบัติ เมื่อครั้งที่ไป “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม และกักกันตัวไว้ร่วม 2 สัปดาห์ จนในที่สุดต้องยอมปล่อยตัวเพราะศาลไม่อนุญาตเนื่องจากไม่มีเหตุเพียงพอที่จะขังไว้ต่อ ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและสื่อมวลชนบางสำนักที่ตั้งคำถามว่า “ผูกผ้าแดง” ผิดกฎหมายด้วยหรือ?
ครั้นเมื่อ นายสมบัติ ได้รับอิสรภาพ ยังคงเจตนารมณ์เดิม เดินหน้าทำกิจกรรมดังกล่าวต่อ ทั้งมีผู้คนที่ร่วมมากขึ้น บวกด้วยผู้สังเกตการณ์ที่ยังกลัวๆกล้าๆ สงสัยปนหมั่นไส้รัฐบาลมายืนดูใกล้บ้างไกลบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน
แหม เย็นๆวันอาทิตย์ เศรษฐกิจอย่างนี้ เงินช็อปปิ้งก็ไม่ค่อยมี มายืนดูการท้าทายอำนาจรัฐสนุกๆ สบายใจดีออก!!
หลังการปล่อยตัวรัฐบาลทำ “ใจดีสู้เสือ” รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แก้เกี้ยวว่าผูกผ้าแดงไม่ผิดกฎหมาย แต่คงหวั่นอยู่ในที เพราะกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทำนองนี้เรียกคนที่ยัง “คับข้องหมองใจ” ให้ออกมาร่วมและรวมตัวกันได้ และถ้ามี “โมเมนตั้ม” เกิดเป็นกระแสต่อเนื่องขึ้นมา ขยายตัวเต็มสี่แยก รัฐบาลจะพลอยอยู่ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องปฏิบัติการ ทำให้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สี่แยกราชประสงค์จึงเป็นทั้ง “วันอาทิตย์สีแดง” และ “วันอาทิตย์สีกากี”!!
และเมื่อ นายนที สรวารี หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดมาอย่างต่อเนื่อง ยืนตะโกนปากเปล่าโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีเครื่องขยายเสียงว่า “ที่นี่มีคนตาย ผมเห็นที่นี่ถูกเผา ผมเห็นคนถูกยิงที่นี่ เอาชีวิตเพื่อนผมคืนมาแล้วเราจะปรองดองด้วย” ตำรวจ (นอกเครื่องแบบ) จึงรวบตัวไปด้วยข้อหา “ส่งเสียงดังเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ” ถูกปรับ 100 บาทก่อนปล่อยตัว
นายนที คงเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตนเสียงดังกึกก้องน่ารำคาญก็วันที่ถูกจับนั่นเอง แต่จะไปทำให้ใคร “รำคาญใจ” และเป็นใครใหญ่โตแค่ไหนไม่รู้ได้!!
ที่ตลกยิ่งกว่านั้น เป็นมุขที่แม้โชว์ตลกคาเฟ่ต้องอาย คือป้าย “สี่แยกราชประสงค์” ถูก “มือมืด” เอาสีขาวพ่นทับ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตมีเหตุผลอ้างได้ในการ “ปลดป้าย” ไป “ซ่อม” ทำเอา “ขาเม้นท์ขาเมาท์” ในโลกไซเบอร์ถึงกับ “ฮา” ว่ารัฐบาลนี้ “อุ้ม” แม้กระทั่ง “ป้าย”
นี่ถ้าเปลี่ยน “สี่แยก” เป็น “วงเวียน” ได้คงทำไปแล้ว!!
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่รู้ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รับรู้” และ “ได้รับรายงาน” หรือไม่ หรือเป็นเรื่องของดุลพินิจเจ้าหน้าที่ระดับใด แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตแล้ว รัฐบาลยังนิ่งเฉย ก็ต้องสรุปว่า “รู้และเห็นชอบ” เพราะในทางการเมืองนั้น การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มีความหมายอันทรงพลังที่เมื่อ “โดนใจ” แล้ว ยากที่จะหยุดยั้งไว้ได้ รัฐบาลส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธี “ตัดไฟแต่ต้นลม”
แต่รัฐบาลมักจะ “ลืม” ไปว่า หากการใช้อำนาจที่ผ่านมาไม่ได้มีความชอบธรรม ลมที่พัดย่อมมีแต่จะแรงขึ้น และไฟที่โหมกระหน่ำมีแต่จะลุกโชน ไม่มีอะไรมาทัดทานไว้ได้ ยิ่งมา “เก็บเล็กเก็บน้อย” ไม่มีทีท่าประนีประนอม ป้ายที่หายไปกลับเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่ขาดความมั่นคงและความมั่นใจ
มีเพื่อนบางคนบอกผมว่ารัฐบาลนี้ “Paranoid” คือเห็นอะไรกลัวไปหมด บางคนบอกผมว่าเป็น “Hypocrite” ผมไม่แน่ใจเลยรีบเปิดพจนานุกรมดูได้ความหมายว่า “ผู้ที่ทำตัวเป็นคนดี แต่หัวใจเลวทราม” หรือ “คนชนิดที่มือถือสากปากถือศีล, คนมารยา”
ให้คนจำว่าเป็นรัฐบาลที่ “ใจกว้าง” ไม่ดีกว่าหรือ?!?
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2553
***********************************************
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ในระบอบประชาธิปไตย ที่ถึงแม้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะบริหารราชการด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในเมื่อประเทศไทยเรายังมีรัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอยู่ การที่ นายสมบัติ และคณะพากันไปที่สี่แยกราชประสงค์ทุกเย็นวันอาทิตย์ จึงเป็นไปตามครรลองอันควร ที่หากรัฐบาล “ใจกว้าง” พอ ควรปล่อยให้เป็นไป
เพราะถ้ายอมแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะท่องคาถา “ปรองดอง” กันไปทำไม!!
แต่อย่างว่า รัฐบาลมีทีท่า “แข็งกร้าว” แต่แรก ตั้งแต่การจับกุม นายสมบัติ เมื่อครั้งที่ไป “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม และกักกันตัวไว้ร่วม 2 สัปดาห์ จนในที่สุดต้องยอมปล่อยตัวเพราะศาลไม่อนุญาตเนื่องจากไม่มีเหตุเพียงพอที่จะขังไว้ต่อ ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและสื่อมวลชนบางสำนักที่ตั้งคำถามว่า “ผูกผ้าแดง” ผิดกฎหมายด้วยหรือ?
ครั้นเมื่อ นายสมบัติ ได้รับอิสรภาพ ยังคงเจตนารมณ์เดิม เดินหน้าทำกิจกรรมดังกล่าวต่อ ทั้งมีผู้คนที่ร่วมมากขึ้น บวกด้วยผู้สังเกตการณ์ที่ยังกลัวๆกล้าๆ สงสัยปนหมั่นไส้รัฐบาลมายืนดูใกล้บ้างไกลบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน
แหม เย็นๆวันอาทิตย์ เศรษฐกิจอย่างนี้ เงินช็อปปิ้งก็ไม่ค่อยมี มายืนดูการท้าทายอำนาจรัฐสนุกๆ สบายใจดีออก!!
หลังการปล่อยตัวรัฐบาลทำ “ใจดีสู้เสือ” รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แก้เกี้ยวว่าผูกผ้าแดงไม่ผิดกฎหมาย แต่คงหวั่นอยู่ในที เพราะกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทำนองนี้เรียกคนที่ยัง “คับข้องหมองใจ” ให้ออกมาร่วมและรวมตัวกันได้ และถ้ามี “โมเมนตั้ม” เกิดเป็นกระแสต่อเนื่องขึ้นมา ขยายตัวเต็มสี่แยก รัฐบาลจะพลอยอยู่ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องปฏิบัติการ ทำให้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สี่แยกราชประสงค์จึงเป็นทั้ง “วันอาทิตย์สีแดง” และ “วันอาทิตย์สีกากี”!!
และเมื่อ นายนที สรวารี หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดมาอย่างต่อเนื่อง ยืนตะโกนปากเปล่าโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีเครื่องขยายเสียงว่า “ที่นี่มีคนตาย ผมเห็นที่นี่ถูกเผา ผมเห็นคนถูกยิงที่นี่ เอาชีวิตเพื่อนผมคืนมาแล้วเราจะปรองดองด้วย” ตำรวจ (นอกเครื่องแบบ) จึงรวบตัวไปด้วยข้อหา “ส่งเสียงดังเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ” ถูกปรับ 100 บาทก่อนปล่อยตัว
นายนที คงเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตนเสียงดังกึกก้องน่ารำคาญก็วันที่ถูกจับนั่นเอง แต่จะไปทำให้ใคร “รำคาญใจ” และเป็นใครใหญ่โตแค่ไหนไม่รู้ได้!!
ที่ตลกยิ่งกว่านั้น เป็นมุขที่แม้โชว์ตลกคาเฟ่ต้องอาย คือป้าย “สี่แยกราชประสงค์” ถูก “มือมืด” เอาสีขาวพ่นทับ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตมีเหตุผลอ้างได้ในการ “ปลดป้าย” ไป “ซ่อม” ทำเอา “ขาเม้นท์ขาเมาท์” ในโลกไซเบอร์ถึงกับ “ฮา” ว่ารัฐบาลนี้ “อุ้ม” แม้กระทั่ง “ป้าย”
นี่ถ้าเปลี่ยน “สี่แยก” เป็น “วงเวียน” ได้คงทำไปแล้ว!!
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่รู้ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รับรู้” และ “ได้รับรายงาน” หรือไม่ หรือเป็นเรื่องของดุลพินิจเจ้าหน้าที่ระดับใด แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตแล้ว รัฐบาลยังนิ่งเฉย ก็ต้องสรุปว่า “รู้และเห็นชอบ” เพราะในทางการเมืองนั้น การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มีความหมายอันทรงพลังที่เมื่อ “โดนใจ” แล้ว ยากที่จะหยุดยั้งไว้ได้ รัฐบาลส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธี “ตัดไฟแต่ต้นลม”
แต่รัฐบาลมักจะ “ลืม” ไปว่า หากการใช้อำนาจที่ผ่านมาไม่ได้มีความชอบธรรม ลมที่พัดย่อมมีแต่จะแรงขึ้น และไฟที่โหมกระหน่ำมีแต่จะลุกโชน ไม่มีอะไรมาทัดทานไว้ได้ ยิ่งมา “เก็บเล็กเก็บน้อย” ไม่มีทีท่าประนีประนอม ป้ายที่หายไปกลับเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่ขาดความมั่นคงและความมั่นใจ
มีเพื่อนบางคนบอกผมว่ารัฐบาลนี้ “Paranoid” คือเห็นอะไรกลัวไปหมด บางคนบอกผมว่าเป็น “Hypocrite” ผมไม่แน่ใจเลยรีบเปิดพจนานุกรมดูได้ความหมายว่า “ผู้ที่ทำตัวเป็นคนดี แต่หัวใจเลวทราม” หรือ “คนชนิดที่มือถือสากปากถือศีล, คนมารยา”
ให้คนจำว่าเป็นรัฐบาลที่ “ใจกว้าง” ไม่ดีกว่าหรือ?!?
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2553
***********************************************
โยนกันมั่ว "ไอ้โม่ง"อมเพชร อธิบดีดีเอสไอ โป้ย เครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ส่งมอบให้ทหารแล้ว
ข่าว Nationsiam.com
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกโรงยืนยันไม่มีเครื่องเพชรที่สูญหายในบัญชีคุมของกลางของดีเอสไอ หลังจากเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์เข้าร้องทุกข์ในโครงการ ยุติธรรมสัญจร สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอ้างว่าถูกทุบตู้โจรกรรม เครื่องเพชรไปในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและเกิดความไม่สงบเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา และภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดคืนเครื่องเพชรจากผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบ ในวัดปทุมวนารามฯ ก่อนจะมีการลงบันทึกหลักฐานส่งให้ทหารนำไปแถลงข่าวที่ศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จากนั้นทหารทำบันทึกข้อมูลก่อนส่งมอบของกลางให้ดีเอสไอ จากนั้นเจ้าของไม่ได้เห็นเครื่องเพชรชุดดังกล่าวอีกเลย
นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ได้เรียก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผู้อำนวยการส่วนรักษาของกลาง มาชี้แจง และนำเอกสารการตรวจรับของกลางจาก ศอฉ.มาตรวจสอบ ขอชี้แจงว่าของกลางที่ส่งมายังดีเอสไอมี 2 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการส่งมอบต่อกันเป็นทอดๆ
นายธาริตกล่าวว่า สำหรับเครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ตำรวจส่งมอบให้ทางทหาร และดีเอสไอเป็นเพียงหน่วยงานปลายทางที่รับมอบทอดสุดท้ายเท่านั้น การรับมอบของกลางดีเอสไอมีหลักฐานการเซ็นรับ โดยการส่งมอบมีการแจ้งจำนวนจิวเวลรีทั้งสิ้น 40 รายการจากของกลางใน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายภาพทำบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีบัญชีคุมของกลางค่อนข้างรัดกุม และบันทึกของกลางของดีเอสไอไม่ปรากฏรายการเครื่องเพชรที่สูญหาย
" ดีเอสไอไม่ได้โยนความผิดให้ทหารหรือตำรวจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า พ.อ.เฟื่อง อนิรุธ์เทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำลังตรวจสอบ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับดีเอสไอด้วย เพราะไม่มีของกลางที่หายไปจากดีเอสไอรับผิดชอบ ส่วนสิ่งของจะมีอยู่จริงหรือไม่และสูญหายจริงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจสอบและการทำงานของกระทรวงยุติธรรม" นายธาริตกล่าว
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม เครื่องเพชรที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากกลุ่มคนเสื้อแดงและเก็บรักษาอยู่ที่ดี เอสไอได้สูญหาย ว่า เคยมีรายงานในที่ประชุม ศอฉ. หลังจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ว่า มีการขโมยเพชรของร้านที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่เคยนำเครื่องเพชรเหล่านั้นมาแสดงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และดีเอสไอคงชี้แจงได้ หลังเกิดเหตุแล้วไม่เคยมีรายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.ว่าสามารถจับกุมหรือได้รับเครื่องเพชรกลับคืนมา
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครอมเพชรได้ โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่คงนำหลักฐานไปชี้แจง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึงหรือสอบถามเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องชี้แจง
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกโรงยืนยันไม่มีเครื่องเพชรที่สูญหายในบัญชีคุมของกลางของดีเอสไอ หลังจากเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์เข้าร้องทุกข์ในโครงการ ยุติธรรมสัญจร สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอ้างว่าถูกทุบตู้โจรกรรม เครื่องเพชรไปในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและเกิดความไม่สงบเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา และภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดคืนเครื่องเพชรจากผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบ ในวัดปทุมวนารามฯ ก่อนจะมีการลงบันทึกหลักฐานส่งให้ทหารนำไปแถลงข่าวที่ศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จากนั้นทหารทำบันทึกข้อมูลก่อนส่งมอบของกลางให้ดีเอสไอ จากนั้นเจ้าของไม่ได้เห็นเครื่องเพชรชุดดังกล่าวอีกเลย
นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ได้เรียก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผู้อำนวยการส่วนรักษาของกลาง มาชี้แจง และนำเอกสารการตรวจรับของกลางจาก ศอฉ.มาตรวจสอบ ขอชี้แจงว่าของกลางที่ส่งมายังดีเอสไอมี 2 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการส่งมอบต่อกันเป็นทอดๆ
นายธาริตกล่าวว่า สำหรับเครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ตำรวจส่งมอบให้ทางทหาร และดีเอสไอเป็นเพียงหน่วยงานปลายทางที่รับมอบทอดสุดท้ายเท่านั้น การรับมอบของกลางดีเอสไอมีหลักฐานการเซ็นรับ โดยการส่งมอบมีการแจ้งจำนวนจิวเวลรีทั้งสิ้น 40 รายการจากของกลางใน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายภาพทำบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีบัญชีคุมของกลางค่อนข้างรัดกุม และบันทึกของกลางของดีเอสไอไม่ปรากฏรายการเครื่องเพชรที่สูญหาย
" ดีเอสไอไม่ได้โยนความผิดให้ทหารหรือตำรวจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า พ.อ.เฟื่อง อนิรุธ์เทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำลังตรวจสอบ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับดีเอสไอด้วย เพราะไม่มีของกลางที่หายไปจากดีเอสไอรับผิดชอบ ส่วนสิ่งของจะมีอยู่จริงหรือไม่และสูญหายจริงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจสอบและการทำงานของกระทรวงยุติธรรม" นายธาริตกล่าว
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม เครื่องเพชรที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากกลุ่มคนเสื้อแดงและเก็บรักษาอยู่ที่ดี เอสไอได้สูญหาย ว่า เคยมีรายงานในที่ประชุม ศอฉ. หลังจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ว่า มีการขโมยเพชรของร้านที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่เคยนำเครื่องเพชรเหล่านั้นมาแสดงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และดีเอสไอคงชี้แจงได้ หลังเกิดเหตุแล้วไม่เคยมีรายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.ว่าสามารถจับกุมหรือได้รับเครื่องเพชรกลับคืนมา
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครอมเพชรได้ โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่คงนำหลักฐานไปชี้แจง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึงหรือสอบถามเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องชี้แจง
พวกปัญญาชนผู้รอบรู้ เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบ ประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชีย
ในศัพท์ทางการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “ผู้สูญเสียอำนาจ” เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
อดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ
เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือน
หลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549
คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์
รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัด
การกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตน
เองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ
ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต
แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย
คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความ
ยากจน นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี
2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41
และทำให้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะ
วันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศ
กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990
และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง: การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกิน
ไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น
นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญ
เงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือน
ในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ
แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะ
ห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้
ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือน
ที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรี
ของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง
การลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้
กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ
(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของ
ทางการจีน)
บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อม
กัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราย
งานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้าน
การคลังใน การกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ
ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐ
กิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัว
ให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น ”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมือง
แบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย
ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า
พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบน
ท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน
ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจ
การปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ
ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็น
ไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทย
ได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือน
ขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของ
ครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย
“ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว
แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมัน
ทำงานได้ผลนั่นเอง
ความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่น
โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551
**********************************************************************
อดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ
เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือน
หลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549
คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์
รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัด
การกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตน
เองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ
ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต
แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย
คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความ
ยากจน นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี
2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41
และทำให้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะ
วันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศ
กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990
และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง: การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกิน
ไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น
นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญ
เงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือน
ในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ
แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะ
ห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้
ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือน
ที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรี
ของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง
การลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้
กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ
(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของ
ทางการจีน)
บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อม
กัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราย
งานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้าน
การคลังใน การกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ
ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐ
กิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัว
ให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น ”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมือง
แบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย
ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า
พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบน
ท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน
ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจ
การปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ
ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็น
ไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทย
ได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือน
ขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของ
ครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย
“ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว
แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมัน
ทำงานได้ผลนั่นเอง
ความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่น
โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)