14 กรกฎาคม คือวันก่อตั้งพรรคไทยรักไทย 26 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันเกิด "ทักษิณ ชินวัตร"
และในเชิงสัญลักษณ์ 14 กรกฎาคม คือวัน "ปฏิวัติฝรั่งเศส"
12 ปี กลายเป็นพรรคที่มีจุดแข็งเรื่องการรวมตัว-รวมพลัง จัดกิจกรรมเฉพาะกิจ
ทำให้จุดแข็งด้านนโยบายประชานิยมถูกเล่นแร่แปรธาตุ
จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และเป็นมรสุมพรรคเพื่อไทย
คนในพรรค 3 ชื่อ 3 รุ่น กะเทาะเปลือก "พรรคทักษิณ"
----------------------------------------------
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ฉายภาพ พัฒนาการ 12 ปี ของพรรค
"พรรคไทยรักไทยเป็นผลจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ประชาชนเลือกพรรคการเมืองมากขึ้น และเนื่องจากพรรคไทยรักไทยเกิดในช่วงวิกฤต จึงทำให้พรรคนี้ถูกบีบให้ต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องนโยบาย ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่ประชาชนเลือกพรรคและนโยบาย"
ส่วนพรรคพลังประชาชนก็มีความพยายามนำเอาอุดมการณ์แนวคิดของพรรคไทยรักไทยมาทำต่อ แต่อ่อนแอเพราะขาดบุคลากร จาก "111" หลังจากนั้นพรรคพลังประชาชนก็ถูกทำลายต่อ
จนกระทั่งมีพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีจุดอ่อน นอกจากจุดอ่อนเรื่องบุคลากรแล้ว บุคลากรจำนวนมากที่มีศักยภาพ ก็ไม่อยากดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากเกรงว่าพรรคจะถูกยุบแล้วตนเองจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ ทำให้พรรคเพื่อไทยมีความอ่อนแอ
ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำภารกิจต่อเนื่องจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนได้หรือไม่ ในการทำให้ประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย
การที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีคนที่มีบทบาทประสบการณ์มาเป็นกรรมการบริหารมากเกินไป ทำให้การทำงานของพรรคไม่ใช่ "ระบบพรรคการเมือง" การตัดสินใจไม่มีความชัดเจนว่าตัดสินใจจากที่ไหน นักการเมืองมีส่วนร่วมน้อยลง ถ้าปล่อยเป็นอย่างนี้จะเหลือเหตุผลเดียวที่นักการเมืองยังอยู่ คือถ้าไม่อยู่ก็สอบตก
คำเตือน-จากรุ่นพี่บ้านเลขที่ 111 คือ
"พรรคเพื่อไทยต้องทำพรรคให้เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของคนไม่กี่คนอย่างที่เป็นอยู่ พรรคเพื่อไทยต้องหันมาเน้นนโยบาย ลดการต่อล้อ ต่อเถียงรายวันให้เหลือน้อย และเน้นนโยบาย ซึ่งการทำแบบนี้ต้องจัดระบบพรรคการเมืองเสียก่อน"
"จาตุรนต์" พูดทุกครั้ง ทุกเวที เรื่อง "การก้าวข้ามทักษิณ"
"คนที่นิยมพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย นิยมผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดขาดออกไปเสียเลยก็คงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันการเอาพรรคไปผูกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกินไปอย่างที่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้เป็นของดี"
"ต้องทำให้พรรคเป็นของประชามหาชน ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์ไปด้วย ก็เป็น เรื่องธรรมดา แต่ต้องไม่ใช่ทำให้คนรู้สึกว่าต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน"
---------------------------------
นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดกับไทยรักไทยและพลังประชาชน
จากการทำโพลของพรรคเพื่อไทยพบว่า นโยบายที่คนคิดถึงมากที่สุดคือการปราบปรามยาเสพติด และนโยบายต่อมาคือ 30 บาทรักษาทุกโรค และนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายหลัก ๆ
"นโยบายธงเหล่านี้ได้วางรกรากเป็นการถาวรแล้ว ต้องได้รับการต่อยอดและสานต่อไป เพื่อสังคมเศรษฐกิจรากหญ้าเราต้องดำเนินการต่อ โดยทำถ้วนหน้าทั้งรากหญ้าชนบทและในกรุงเทพฯ นโยบายของพรรคเพื่อไทย 70-80% ของนโยบาย มุ่งแก้ปัญหาความยากจนเป็นหลัก"
ช่วงรอยต่อที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมใช้มาตรการภาษี ต่อยอดประชานิยมเข้าสู่รัฐสวัสดิการ "คณวัฒน์" อ่านทางการเมืองว่า เป็นยุทธศาสตร์ในการหารายได้ของรัฐบาลทุกรัฐบาล
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยที่ได้ศึกษาเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การปรับโครงสร้างภาษี เตรียมพร้อมระหว่างที่ยังไม่เป็นรัฐบาล และกำลังเฝ้าดูความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าจะดำเนินการเรื่องภาษีที่ดิน เพราะมีการพูดมานาน
"คงเป็นกุศโลบายของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ที่ชูธงเรื่องรัฐสวัสดิการ เป็นแค่โวหารในการที่จะล่อใจเพื่อหาคะแนนนิยม เป็นกุศโลบายที่จะต่อสู้ทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับนโยบายที่ทำสำเร็จแล้ว"
เมื่อเปรียบเทียบรัฐ "ประชานิยม" หรือ "รัฐสวัสดิการ"
เทียบประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย "คณวัฒน์" อธิบายว่า
เมื่อประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล ได้ทำ สิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลในการใช้จ่ายงบประมาณ จ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เรียกว่าประชานิยมในความหมายที่เลวร้าย
"ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำรัฐสวัสดิการ เราจะจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และตามสถานะทางการคลังภาครัฐ ถ้าต้องปรับโครงสร้างภาษีก็ต้องไม่กระทบการ ฟื้นตัวเศรษฐกิจ ถ้าจะพูดถึงรัฐสวัสดิการ พรรคเพื่อไทยได้ทำมาตั้งแต่ปี 2544 ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย"
แม้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของ "คนจน" จัดลำดับความสำคัญการสร้างรายได้ให้ภาคเอกชนทั้งธุรกิจ อุตสาหกรรม และประชาชนโดยทั่วไปก่อน จากนั้นจะเป็นภาษีของรัฐ ซึ่งได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราทำมาคือสวัสดิการของรากหญ้า
และแน่นอนที่สุดว่า ความเชื่อของ "คณวัฒน์" ชื่อ "ทักษิณ" คือ "แบรนด์" ที่ทำให้ "ไทยรักไทย-พลังประชาชน และเพื่อไทย" มีผลงาน
ตัวบุคคลยังเป็นแม่เหล็กมากกว่านโยบาย
"คุณทักษิณไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว แต่อานิสงส์ที่พรรคพลังประชาชนกับพรรคเพื่อไทยรับมา เป็นอานิสงส์ของนโยบายที่คุณทักษิณผลักดันจนสำเร็จ"
"ฉะนั้นเป็นมรดกตกทอดที่พรรคเพื่อไทยรับมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย ประชาชนเขาฝังใจกับคนคนหนึ่ง กับสิ่งที่คุณทักษิณทำ"
------------------------------------
เช่นเดียวกับ นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ที่ยังคงคลุกวงในพรรคเพื่อไทย
เขาบอกว่า นโยบายไทยรักไทยไม่ใช่ "ประชานิยม" เพราะคำนี้มาจากผู้ที่ต่อต้านคุณทักษิณ
"ในสายตานักวิชาการตะวันตก ประชานิยมเป็นคำเลวร้าย เป็นการเอาใจชาวบ้านโดยไร้เหตุผล พรรคไทยรักไทยไม่ได้คิดเรื่องประชานิยม เพราะประชานิยมคือการไม่สนใจวินัยการคลัง"
ข้อวิเคราะห์การลงคะแนนเลือกตั้งครั้งหน้า ของคนรุ่นที่ 2 ของไทยรักไทย คือ
"เหมือนดูหนัง อาจจะดูใครแสดงด้วย คละเคล้ากันแต่ละเขต ภาคเหนือกับอีสานอาจจะเห็นเรื่องบทบาทคุณทักษิณมากกว่านโยบาย เป็น 60 ต่อ 40 แต่ภาคกลาง อาจจะ 65 ต่อ 35 เชื่อว่ามีทั้ง 2 ส่วน ไม่มีใครแยกแยะได้"
สมานบอกว่า "จุดแข็งของคุณทักษิณ คือช่างคิด ช่างเลือก"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อำนาจใหม่ผลัดใบ
“สมบัติผลัดกันชม” นั่นคือธรรมชาติแห่งการ เมืองโลก ถ้าจดจ่อจนหูดับ ทำใจยอมรับไม่ได้ วิบากกรรม ที่กำลังเกิดกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯมันก็น่าบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าคำตอบสุดท้ายของการฝืนสัจธรรมประชาธิปไตยจะลงเอยในสภาพใด
แต่ดูเหมือนบทเรียนอำนาจในวันวาน มันไม่ได้ทำให้ตัวละครบนหน้าฉากอำนาจใหม่ยี่หระ ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ นักการเมือง ถลำลึกเสพติดอำนาจอย่างงอมแงม มิต่างไปจากมิจฉาทิฐิในจิตใจขั้วอำนาจเก่าแม้แต่น้อย
ความทะยานอยากในการลากยาวอำนาจ ยังคงมุ่งมั่นใส่เกียร์ห้า เดินหน้าแล้วฆ่ามันเพื่อให้ไปถึงหลักกิโลเมตรแรกแห่งฝั่งฝันในห้วงสิงหาฯ กลางปีหน้าให้จงได้!!!
ขบวนคาราวานคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า ถูกปล่อยออกจากครรภ์รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อันมีหลักชัยเดียว กันและเงื่อนเวลาในการปฏิบัติภารกิจที่ผูกโยงกันอย่างเหมาะเจาะ ในการนำพาสยามประเทศไปสู่ความปรองดอง กระนั้นก็ตาม ข้ออ้างแห่งการปรองดอง ยังมีเควสชั่น “มาร์ค” ว่าความจริงแล้วมันคือเป้าหลักหรือเป้าหลอกทางการเมือง???
เพราะความจริงที่รัฐบาลยังพูดไม่ชัดและพูดไม่หมด นั่นคือ สิงหาฯ กลางปีหน้า ประเทศนี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงอย่าง ที่ประชาชนคาดหวังหรือเปล่า???
เนื่องด้วยงบประมาณรัฐสวัสดิการจำแลง 3 แสนล้านที่โปรยปรายดั่งพระพิรุณ ลงสู่กลางใจรากหญ้า มันยังไม่สามารถตอบ โจทย์ “เหลื่อมล้ำ” ของฝ่ายกุมอำนาจประเทศ ได้อย่างชัดเจน จนรากหญ้าผู้ภักดีต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะยอมถอด “เสื้อคลุมแดง” และเปลี่ยนมาสวมใส่ยูนิฟอร์ม “สีฟ้า” หรือ “สีน้ำเงิน” ตามที่ “อภิสิทธิ์แอนด์เดอะแก๊ง” หวังใจไว้
ประกอบกับทางแยก ทางเบี่ยงบนไฮเวย์ การเมืองอันยาวไกล รถบรรทุกนักเลือกตั้งพะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ก็พร้อมจะพลิกคว่ำพลิกหงายและพร้อมยุบได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้รถ สำรองอย่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อแผ่นดิน” พร้อมจะตีรถเปล่า กลับมาช้อนรับสินค้าจากรถบรรทุกใหญ่ที่จอดตายอยู่กลางทาง
หากสมมติฐานดังกล่าวไม่ผิดพลาดหรือแม้ผิดแค่ครึ่ง มันก็ย่อมเอื้ออำนวยให้ พรรคไซส์เอ็มคู่นี้ ต่างอ้วนพีราศีจับขึ้นมาในพลัน เมื่อโมเมนตัมดุลอำนาจเปลี่ยน “รัฐนาวาเทพประทาน” ย่อมมีอานิสงส์โน้มเอียงไปตามลมฟ้าอากาศเช่นเดียวกัน แต่จะ ถึงขั้นล่มกลางอ่าวหรือไม่นั้น คงต้องยกหูถามกระตังค์ 4 แสนล้านในกระเป๋า “เสี่ยมอนเตรเนโกร” ว่ายังคงอิทธิฤทธิ์ ต่อ“ผู้ทรงเกียรติ” ได้ดังเดิมหรือไม่???
แต่ที่น่าสนใจคือ อาการไม่ยอมตก “รถด่วนขบวนรัฐบาล แห่งชาติ” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เพราะถ้าหากเงื่อนไขโน้มเอียงไปข้างไหนไม่ว่าจะเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” ตำหรับ “ยาสามัญประจำบ้านยี่ห้อจิ๋ว” ก็น่าจะเป็นยาวิเศษชุดพิเศษในการเยียวยาอำนาจไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่ายกุมอำนาจประเทศ
ด้วยกระบวนการอำนาจที่เคลื่อนอย่างมีนัย สุดท้ายปริศนาการเมือง ล้วนรวมศูนย์ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมๆ นั่นคือ...สิงหาฯ กลางปีหน้าประเทศนี้จะมีการเลือกตั้ง เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
โฟกัสแรกที่พอจะบอกใบ้ปริศนานี้ได้ มันก็น่าจะเป็น ท่าทีเอิ๊กอ๊ากเป็นพิเศษระหว่าง “เนวิน ชิดชอบ” กับ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่จ่าฝูงกองทัพบก รวมไปถึงข่าวลือเรื่องรางวัลปลอบใจใน เก้าอี้ รมช.กลาโหมของ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
หรือแม้กระทั่ง ราศีเจ้ากรมปทุมวันที่ฉายจับไป ที่ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ “เพื่อนเนวิน” มันก็พอจะพิสูจน์ทราบได้ถึงเค้าโครงแห่งวาระผลัดใบอำนาจพิเศษในอุ้งมือขั้วอำนาจใหม่
บนเกมลากยาวที่บรรทัดสุดท้ายต้องไม่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ที่มา.สยามธุรกิจ
แต่ดูเหมือนบทเรียนอำนาจในวันวาน มันไม่ได้ทำให้ตัวละครบนหน้าฉากอำนาจใหม่ยี่หระ ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ นักการเมือง ถลำลึกเสพติดอำนาจอย่างงอมแงม มิต่างไปจากมิจฉาทิฐิในจิตใจขั้วอำนาจเก่าแม้แต่น้อย
ความทะยานอยากในการลากยาวอำนาจ ยังคงมุ่งมั่นใส่เกียร์ห้า เดินหน้าแล้วฆ่ามันเพื่อให้ไปถึงหลักกิโลเมตรแรกแห่งฝั่งฝันในห้วงสิงหาฯ กลางปีหน้าให้จงได้!!!
ขบวนคาราวานคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า ถูกปล่อยออกจากครรภ์รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อันมีหลักชัยเดียว กันและเงื่อนเวลาในการปฏิบัติภารกิจที่ผูกโยงกันอย่างเหมาะเจาะ ในการนำพาสยามประเทศไปสู่ความปรองดอง กระนั้นก็ตาม ข้ออ้างแห่งการปรองดอง ยังมีเควสชั่น “มาร์ค” ว่าความจริงแล้วมันคือเป้าหลักหรือเป้าหลอกทางการเมือง???
เพราะความจริงที่รัฐบาลยังพูดไม่ชัดและพูดไม่หมด นั่นคือ สิงหาฯ กลางปีหน้า ประเทศนี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงอย่าง ที่ประชาชนคาดหวังหรือเปล่า???
เนื่องด้วยงบประมาณรัฐสวัสดิการจำแลง 3 แสนล้านที่โปรยปรายดั่งพระพิรุณ ลงสู่กลางใจรากหญ้า มันยังไม่สามารถตอบ โจทย์ “เหลื่อมล้ำ” ของฝ่ายกุมอำนาจประเทศ ได้อย่างชัดเจน จนรากหญ้าผู้ภักดีต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะยอมถอด “เสื้อคลุมแดง” และเปลี่ยนมาสวมใส่ยูนิฟอร์ม “สีฟ้า” หรือ “สีน้ำเงิน” ตามที่ “อภิสิทธิ์แอนด์เดอะแก๊ง” หวังใจไว้
ประกอบกับทางแยก ทางเบี่ยงบนไฮเวย์ การเมืองอันยาวไกล รถบรรทุกนักเลือกตั้งพะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ก็พร้อมจะพลิกคว่ำพลิกหงายและพร้อมยุบได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้รถ สำรองอย่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อแผ่นดิน” พร้อมจะตีรถเปล่า กลับมาช้อนรับสินค้าจากรถบรรทุกใหญ่ที่จอดตายอยู่กลางทาง
หากสมมติฐานดังกล่าวไม่ผิดพลาดหรือแม้ผิดแค่ครึ่ง มันก็ย่อมเอื้ออำนวยให้ พรรคไซส์เอ็มคู่นี้ ต่างอ้วนพีราศีจับขึ้นมาในพลัน เมื่อโมเมนตัมดุลอำนาจเปลี่ยน “รัฐนาวาเทพประทาน” ย่อมมีอานิสงส์โน้มเอียงไปตามลมฟ้าอากาศเช่นเดียวกัน แต่จะ ถึงขั้นล่มกลางอ่าวหรือไม่นั้น คงต้องยกหูถามกระตังค์ 4 แสนล้านในกระเป๋า “เสี่ยมอนเตรเนโกร” ว่ายังคงอิทธิฤทธิ์ ต่อ“ผู้ทรงเกียรติ” ได้ดังเดิมหรือไม่???
แต่ที่น่าสนใจคือ อาการไม่ยอมตก “รถด่วนขบวนรัฐบาล แห่งชาติ” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เพราะถ้าหากเงื่อนไขโน้มเอียงไปข้างไหนไม่ว่าจะเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” ตำหรับ “ยาสามัญประจำบ้านยี่ห้อจิ๋ว” ก็น่าจะเป็นยาวิเศษชุดพิเศษในการเยียวยาอำนาจไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่ายกุมอำนาจประเทศ
ด้วยกระบวนการอำนาจที่เคลื่อนอย่างมีนัย สุดท้ายปริศนาการเมือง ล้วนรวมศูนย์ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมๆ นั่นคือ...สิงหาฯ กลางปีหน้าประเทศนี้จะมีการเลือกตั้ง เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
โฟกัสแรกที่พอจะบอกใบ้ปริศนานี้ได้ มันก็น่าจะเป็น ท่าทีเอิ๊กอ๊ากเป็นพิเศษระหว่าง “เนวิน ชิดชอบ” กับ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่จ่าฝูงกองทัพบก รวมไปถึงข่าวลือเรื่องรางวัลปลอบใจใน เก้าอี้ รมช.กลาโหมของ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
หรือแม้กระทั่ง ราศีเจ้ากรมปทุมวันที่ฉายจับไป ที่ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ “เพื่อนเนวิน” มันก็พอจะพิสูจน์ทราบได้ถึงเค้าโครงแห่งวาระผลัดใบอำนาจพิเศษในอุ้งมือขั้วอำนาจใหม่
บนเกมลากยาวที่บรรทัดสุดท้ายต้องไม่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ที่มา.สยามธุรกิจ
งูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย
ตอนที่แล้วทุกท่านคงทราบถึงสงครามสื่อ และการใส่ไคร้ข้อหาคอมมิวนิสต์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยกันไปแล้ว ซึ่งหลังจาก “พระยามโนปกรณ์นิติธาดา” ได้ถือโอกาสสั่งปิดหนังสือของคณะราษฎรแล้ว ก็ได้สร้างวิกฤตการณ์ทาง การเมือง โดยรวบรวมกลุ่มอำนาจเก่าและผู้สนับสนุน หมายกำจัดคณะราษฎรให้สิ้นซาก
โดยพุ่งเป้าไปที่มันสมองอย่าง “ปรีดี พนมยงค์” โดยนายกฯ คนแรกก็ได้เริ่มเดินเกมให้ “ปรีดี” เป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อร่างเสร็จแล้ว แม้จะผ่านความเห็นของมติเสียงส่วนใหญ่ แต่ในท้ายที่สุด โครงการเศรษฐกิจ ดังกล่าว กลับถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะทางสื่อหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และนี่คือการใส่ร้ายข้อหาคอมมิวนิสต์อีกครั้งของประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อ กว่า 60 ปีก่อน!!!
ต่อมาก็มีการตีพิมพ์พระราชวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจออกเผยแพร่ ทำให้รัฐบาลของ “พระยามโนปกรณ์” ออกกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป็นคอม มิวนิสต์ กฎหมายนี้ครอบคลุมถึงโครงการทั้งหลายที่มีจุดมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเฉพาะโครงการที่ปฏิเสธหรือเลิกล้มกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล จากนั้นก็มี การตั้ง “คณะชาติ” ซึ่งเป็นฝ่ายขุนนางเก่าขึ้นมาทาบรัศมี “คณะราษฎร”
“พระยามโนปกรณ์” เริ่มเดินเกมเข้มข้นขึ้นอีกในพฤษภาคม 2476 เมื่อตั้งนายพล ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงกลาโหม และออกคำสั่งให้ย้ายหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรออกไปจากกรุงเทพฯ ต่อมาก็ใช้อำนาจทหารค้นอาวุธทุกคนที่เดินทางมาประชุมสภา ทำให้เกิดความไม่พอใจจากสมาชิกจนทำให้เกิดการอภิปรายอย่างรุนแรง จนเป็นที่มาของการปฏิวัติ ตัวเองของนายกฯ คนแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยอ้างว่า ครม.เสียงแตก ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อทำการปฏิวัติเป็นที่สำเร็จแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยตัว “พระยามโนปกรณ์” รับตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง พร้อมกับแต่งตั้งขุนนางเก่าใน ครม.ทั้งสิ้น ในขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถูกก่อกวนอย่างหนัก ถูกบีบให้ลาออกจากราชการบ้าง ผู้เกี่ยวข้อง ถูกโยกย้ายตลอด รวมไปถึงปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่สนับสนุนคณะราษฎร จน ในที่สุด “ปรีดี” ก็ถูกเนรเทศไปฝรั่งเศส......
จนวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ภายใต้การนำของ “พระยาพหลพลพยุหเสนา” และ “พลโทแปลก ขีตตะสังคะ” หรือ “หลวงพิบูลสงคราม” (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ซึ่งกำลังเป็นขวัญใจของบรรดาทหารในขณะนั้น ก็ได้กระทำการรัฐประหารเป็นครั้งที่สอง เพื่อป้องกันการต่อต้านการปฏิวัติและเพื่อให้คณะปฏิวัติ ยังคงอำนาจไว้ และขับ “พระยามโนปกรณ์” และพรรคพวกออกไป หลังจากนั้น คณะรัฐประหารพยายามสร้างความนิยมในบรรดาข้าราชการ โดยนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งบริหารและให้ดูแลกระทรวงสำคัญ
และเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดสภา ในวันที่ 21 เมษายน 2476 “พระยาพหล” ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่สองในระบอบประชาธิปไตย จากนั้นก็เชิญ “ปรีดี” กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน พร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาท่านก็พ้นข้อกล่าวหา พร้อมไปกับการจัดเลี้ยงแสดงความยินดีกับ “ปรีดี” โดยครั้งนั้นสมาชิกสภาทุกคนเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่มีการใช้เงินหลวง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขายังมีอยู่หรือเปล่า กับการที่แชร์กันจัดงานเลี้ยง ใหญ่ๆ แบบนี้ หรือดีแต่ใช้เงินหลวง
...ลองนึกภาพเอาว่า ถ้าให้นายกฯ คนแรกของเราใส่เสื้อน้ำเงิน แล้วจะเหมือน ใคร? ก็แบบเนี้ย “งูเห่าดีๆ นี่เอง” แถมยังเป็นงูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย ด้วย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
โดยพุ่งเป้าไปที่มันสมองอย่าง “ปรีดี พนมยงค์” โดยนายกฯ คนแรกก็ได้เริ่มเดินเกมให้ “ปรีดี” เป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อร่างเสร็จแล้ว แม้จะผ่านความเห็นของมติเสียงส่วนใหญ่ แต่ในท้ายที่สุด โครงการเศรษฐกิจ ดังกล่าว กลับถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะทางสื่อหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และนี่คือการใส่ร้ายข้อหาคอมมิวนิสต์อีกครั้งของประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อ กว่า 60 ปีก่อน!!!
ต่อมาก็มีการตีพิมพ์พระราชวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจออกเผยแพร่ ทำให้รัฐบาลของ “พระยามโนปกรณ์” ออกกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป็นคอม มิวนิสต์ กฎหมายนี้ครอบคลุมถึงโครงการทั้งหลายที่มีจุดมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเฉพาะโครงการที่ปฏิเสธหรือเลิกล้มกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล จากนั้นก็มี การตั้ง “คณะชาติ” ซึ่งเป็นฝ่ายขุนนางเก่าขึ้นมาทาบรัศมี “คณะราษฎร”
“พระยามโนปกรณ์” เริ่มเดินเกมเข้มข้นขึ้นอีกในพฤษภาคม 2476 เมื่อตั้งนายพล ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงกลาโหม และออกคำสั่งให้ย้ายหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรออกไปจากกรุงเทพฯ ต่อมาก็ใช้อำนาจทหารค้นอาวุธทุกคนที่เดินทางมาประชุมสภา ทำให้เกิดความไม่พอใจจากสมาชิกจนทำให้เกิดการอภิปรายอย่างรุนแรง จนเป็นที่มาของการปฏิวัติ ตัวเองของนายกฯ คนแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยอ้างว่า ครม.เสียงแตก ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อทำการปฏิวัติเป็นที่สำเร็จแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยตัว “พระยามโนปกรณ์” รับตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง พร้อมกับแต่งตั้งขุนนางเก่าใน ครม.ทั้งสิ้น ในขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถูกก่อกวนอย่างหนัก ถูกบีบให้ลาออกจากราชการบ้าง ผู้เกี่ยวข้อง ถูกโยกย้ายตลอด รวมไปถึงปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่สนับสนุนคณะราษฎร จน ในที่สุด “ปรีดี” ก็ถูกเนรเทศไปฝรั่งเศส......
จนวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ภายใต้การนำของ “พระยาพหลพลพยุหเสนา” และ “พลโทแปลก ขีตตะสังคะ” หรือ “หลวงพิบูลสงคราม” (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ซึ่งกำลังเป็นขวัญใจของบรรดาทหารในขณะนั้น ก็ได้กระทำการรัฐประหารเป็นครั้งที่สอง เพื่อป้องกันการต่อต้านการปฏิวัติและเพื่อให้คณะปฏิวัติ ยังคงอำนาจไว้ และขับ “พระยามโนปกรณ์” และพรรคพวกออกไป หลังจากนั้น คณะรัฐประหารพยายามสร้างความนิยมในบรรดาข้าราชการ โดยนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งบริหารและให้ดูแลกระทรวงสำคัญ
และเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดสภา ในวันที่ 21 เมษายน 2476 “พระยาพหล” ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่สองในระบอบประชาธิปไตย จากนั้นก็เชิญ “ปรีดี” กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน พร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาท่านก็พ้นข้อกล่าวหา พร้อมไปกับการจัดเลี้ยงแสดงความยินดีกับ “ปรีดี” โดยครั้งนั้นสมาชิกสภาทุกคนเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่มีการใช้เงินหลวง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขายังมีอยู่หรือเปล่า กับการที่แชร์กันจัดงานเลี้ยง ใหญ่ๆ แบบนี้ หรือดีแต่ใช้เงินหลวง
...ลองนึกภาพเอาว่า ถ้าให้นายกฯ คนแรกของเราใส่เสื้อน้ำเงิน แล้วจะเหมือน ใคร? ก็แบบเนี้ย “งูเห่าดีๆ นี่เอง” แถมยังเป็นงูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย ด้วย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
บันทึกของ วิสา คัญทัพ (ฉบับที่ 3) แนวทางการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยจะเดินต่อไปอย่างไร
เป็นคำถามจากผู้ต้องการประชาธิปไตยอันแท้จริง เจาะจงถามมาที่ผม สืบเนื่องจาก การได้อ่านบันทึกสองฉบับ ผมขอตอบในฐานะของคนธรรมดาที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนหนึ่ง ไม่ใช่ แกนนำ นปช. ดังนี้
หนึ่ง / ต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรประชาธิปไตยเสื้อแดง (นปช.และหรือ ฯลฯ) กับพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และหรือ ฯลฯ) ให้ดี กล่าวคือ องค์กรประชาธิปไตยต้องสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่ามีข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อถูกต้อง และผิดพลาดอย่างไร (อย่างเป็นระบบ) กล้าที่จะวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง โดยเฉพาะประเด็น “การนำ” นำไปบนพื้นฐานแห่งหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับภววิสัยที่เป็นจริง หรือนำไปโดยอัตวิสัยแห่งอารมณ์ความรู้สึก หรือจากแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาด
จักต้องยึดกุม “การนำรวมหมู่” ให้ได้อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ “การนำโดยบุคคล” อยู่ในฐานะที่ครอบงำ ปัญหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหว เมื่อตั้งไว้แล้วต้องยึดกุมให้ได้ ไม่ใช่วางขั้นตอนไว้ระดับหนึ่ง แล้วไปเปลี่ยนแปลงภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือว่า “อำพราง” กันภายใน ปิดบังกันเอง สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความแปลกแยกทางการนำในท้ายที่สุด
ในส่วนของพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และอาจมีพรรคอื่นๆฯลฯ) ต้องจัดความสัมพันธ์ในการเป็น ”แนวร่วม” ต่อสู้ให้เหมาะสม พรรคก็คือพรรค ต้องดำเนินสถานะและบทบาทที่แตกต่างจากองค์กรเคลื่อนไหว เพราะพื้นที่ในการทำงานของพรรคมีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพรรคต่อสู้ในระบอบรัฐสภา จะเคลื่อนไหวนอกกรอบแบบองค์กรอิสระคงไม่เหมาะสม จึงควรมีการจัดการทั้งงานเปิดและงานปิดให้ดี อันที่จริง แนวยุทธศาสตร์ “สองขา” ของ นปช. ในทางทฤษฎีที่เรียนกันอยู่ในโรงเรียน นปช.นั้นถูกต้องแล้ว หากแต่มิได้นำมาปฏิบัติในท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริงอย่าง เอาจริงเอาจัง กล่าวคือ เกิดอาการ “สัมพันธ์ขวาง” “สัมพันธ์ซ้อน” “สัมพันธ์แทรกแซง” “เปลี่ยนแปลงการนำ” “ไม่ทำตามมติ” ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ปัญหานี้ต้องสรุปทบทวน
ภาระหน้าที่ของพรรคต้องมีทั้งส่วนที่เป็นงานลับและงานเปิดเผย การจัดบุคลากรในการทำงานมีความสำคัญยิ่ง ใครเหมาะสมกับหน้าที่อะไร อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องมีการจัดตั้งขึ้นมาทำงานอย่างจริ งจัง กรณีพรรคเพื่อไทยกับ นปช.มีคนทำงานซ้อนสองฝั่ง สองขา สองหน้าที่อยู่ไม่น้อย ทำงานพรรคด้วยทำงาน นปช.ด้วย งาน “สองขา” ดังกล่าวจึงต้องจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการต่อสู้
ที่ผ่านมา ขบวนการประชาธิปไตยมีความสันทัดจัดเจนในเรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นความสันทัดของพรรคปฏิวัติ หรือขบวนปฏิวัติในอดีต ยุคก่อน นโยบาย 66/23 ซึ่งไม่มีการถ่ายทอดบทเรียนแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด จึงเป็นเพียงความเข้าใจของบางบุคคลที่เคยผ่านประสบการณ์การสู้รบในเขตป่าเขามาเท่านั้น มีข้อเท็จจริงมากมายที่สามารถยกขึ้นมาอภิปรายในองค์ประชุมกลุ่มย่อยได้
ในบางประเทศที่การต่อสู้ได้รับ ชัยชนะ อย่างประเทศเวียดนาม กัมพูชา และ ลาว งานจัดการด้าน “แนวร่วม” จะถือเป็นหัวใจสำคัญ กรณีลาว การเคลื่อนไหวของ “พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” ดำเนินไปในระยะแรกภายใต้องค์กรแนวร่วมที่ชื่อว่า “แนวลาวฮักชาติ” สามารถสามัคคีเอาเจ้าชายองค์น้องของเจ้าสุวรรณภูมาที่ชื่อ “สุภานุวงษ์” เชื้อสายเจ้า ผู้มีหัวเอียงข้างประชาชนมาเป็นผู้นำการต่อสู้ ชูขึ้นโดดเด่น ทำให้สามัคคีคนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นต้น
สอง / ต้องเข้าใจว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทยวันนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เราคิดว่า เราจะได้ประชาธิปไตยก่อน 100 ปีหรือไม่ โดยนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งขณะนี้ก็ 78 ปีแล้ว
ลักษณะพิเศษประการแรกคือโครงสร้างของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยแข็งแกร่งมั่นคงยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง ที่สำคัญเป็นเรื่องรูปการจิตสำนึก นั่นคือ โครงสร้างการครอบงำทางวัฒนธรรมที่ลงรากลึกอย่างเหลือเชื่อ ผ่านระบบการศึกษาด้วยคำพูดง่ายๆว่า “เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน” ปลูกฝังจิตสำนึกยกระดับจากคนชั้นล่างขึ้นไปเป็นชนชั้นกลาง แล้วเติมแต่งด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์อย่าง “เจ้าขุนมูลนาย” ให้กลายเป็นชนชั้นข้าราชการและชนชั้นผู้ปกครอง
ที่สุดก็ลืมกำพืดตัวเอง ได้ใส่เครื่องแบบราชการหรือชุดทหารก็กล้ากระทั่งยิงพ่อแม่พี่น้องของตนเองได้แล้ว
ที่พูดถึงนี้กล่าวเฉพาะในภาคส่วนของระบบราชการ ทีนี้พูดถึงภาคการเมืองบ้าง ความจำเป็นที่ต้องเอาประชาธิปไตยมาให้ มิใช่ด้วยความเต็มใจแต่ประการใด หากแต่เป็นภววิสัยสากลตามพัฒนาการของโลกที่จักต้องเปลี่ยนไป รูปแบบเศรษฐกิจ และการเมืองที่ก้าวหน้าต้องเข้าแทนที่สิ่งที่ล้าหลัง ประชาธิปไตยในเมืองไทยจึงมีลักษณะพิเศษคือ เริ่มต้นจำเป็นต้องให้อำนาจกับคนชั้นขุนนาง ขุนศึก และพลเรือนผู้มีการศึกษาสูง เพราะพวกนี้เรียกร้องต้องการ กระทั่งขู่บังคับเอา
หากมองให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของ “ส่วนบน” มาตลอด จะมาแตะหรือมาสัมผัสเอา “ชาวไพร่” บ้าง ก็เมื่อลูกหลานชาวไพร่ได้มีโอกาศเรียนหนังสือสูงๆ แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมปลูกฝังแห่งระบบ การศึกษาไทย นานๆเราจึงได้คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์, เตียง ศิริขันธ์, อัศนี พลจันทร์, กุหลาบ สายประดิษฐ์. จิตร ภูมิศักดิ์ และนักสู้เพื่อสังคมในยุค พ.ศ.2500 อีกหลายคน เกิดขึ้นมา แต่ก็เพือจะถูกปราบปราม จับคุมคุมข้ง กระทั่งเข่นฆ่าล่าสังหารตลอดมาในฐานะผู้รู้ความจริงก่อนชาวบ้าน หรือ “ผู้มาก่อนกาล” ตามคำศัพท์ของนักวิชาการในยุคต่อมา
กลุ่มนักการเมืองในยุคต้นๆ ยังเป็น “คนชั้นบน” อยู่เหมือนเดิม ได้แก่ ขุนนาง ขุนศึก พลเรือนผู้มีการศึกษาสูง จากนั้นจึงค่อยขยายมาสู่ ผู้มีการศึกษาที่มักใหญ่ใฝ่สูง และพวกพ่อค้า หลังยุคเปลี่ยนความเชื่อจากเดิมที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าพญาเลี้ยง” ซึ่งนั่นคือยุคศักดินา
เพราะฉนั้นสำนึกเชิงวัฒนธรรมในทางการเมืองของนักการเมืองยุคแรกๆ ลึกๆแล้วจึงไม่มี “ความใฝ่ฝันจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง” หากแต่เป็นนักการเมืองเพื่อแสวงอำนาจและผลประโยชน์เพื่อตน เองและพวกพ้อง พรรคการเมือง รัฐสภา และรัฐบาล จึงเต็มไปด้วย พ่อค้า นักธุรกิจ ผู้รับเหมา ขุนศึกขุนทหาร และผู้มักใหญ่ใฝ่สูงที่ต้องการไต่เต้าขึ้นเป็นอำมาตย์
สรุป เมื่อทั้งระบบราชการที่คัดเลือกเอาเฉพาะไพร่ที่พร้อมเปลี่ยนรูปการจิตสำนึกเป็นอำมาตย์ และระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้เฉพาะพวกแสวงหาผลประโยชน์ พวกมักใหญ่ใฝ่สูง ผู้ต้องการไต่เต้าเป็นอำมาตย์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อประกอบกับโครงสร้างอันแข็งแกร่งของระบบศักดินาอำมาตยาธิปไตย ทำให้การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากและมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ประการสำคัญที่สุดจึงต้องมองให้เห็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยดังกล่าว กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละระยะให้ชัดเจน มีสายตายาวไกล มองเห็นผู้นำ และสันทัดในการสร้างผู้นำ ไม่ปล่อยให้เป็นไปอย่างเสรี ไร้การจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นสู้ไปก็รังแต่จะพ่ายแพ้ซ้ำซาก
สาม / ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยควรเป็นบุคคลแบบใด ต้องกำหนดภาพให้ชัดเจนแน่นอน ในส่วนของพรรคการเมืองก็ต้องสร้างและสนับสนุนผู้นำขึ้นมา ควรทำให้ต่อเนื่อง เห็นลำดับเป็นหนึ่ง.สอง.สาม.สี่ ยอมรับบทบาทการนำ และเชิดชูให้โดดเด่น ไม่ขัดแย้งแก่งแย่งและช่วงชิงการนำกันเอง วางไว้สำหรับอนาคตข้างหน้าอย่างน้อย 3-5 ปี หรือกว่านั้น ภาพผู้นำดังกล่าวต้องเป็นที่ยอมรับของมวลชน มีบทบาทต่อสู้เพื่อประชาธิปไต ยยาวนานต่อเนื่อง มีแนวคิดแหลมคม แจ่มชัด มีท่วงทำนองสุภาพสุขุม มีสัมพันธภาพกับสื่อมวลชน และบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเพรียบพร้อมในภาพความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญ เป็นคนมีอุดมการประชาธิปไตยที่แท้จริง กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม พรรคเพื่อไทยควรมีจินตนาการในเรื่องนี้
สมมุติว่า เรามอง จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นบุคคลที่เข้าข่ายที่กล่าวมา พรรคต้องกล้าสนับสนุนให้เป็นผู้นำ ผู้นำมิได้หมายความถึงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคปัจจุบันที่ต้องเป็นหัวหน้าพรรค หรือตำแหน่งสำคัญอื่นใด เราสามารถสร้างภาพผู้นำเชิงจินตนาการได้ สร้างภาพให้เป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคต เชิดชูขึ้นให้แข็งแกร่งและมีพลัง เพราะในความเป็นจริง หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 53 เราอาจ
ต้องใช้เวลาพลิกฟื้นสถานการณ์ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย (เวลานั้น จาตุรนต์ พ้นภาวะบ้านเลขที่ 111 ไปแล้ว) ซึ่งนี้คือสิ่งที่พรรคการเมืองต้องมีจินตนาการ มองข้ามไปในอนาคต และสร้างรูปการสำหรับการต่อสู้ขึ้นมารองรับ แล้วพาไปในทิศทางนั้น เมื่อก่อนเวียดนามในยุคแรกๆมี โฮจิมินห์ เคลื่อนไหวเป็นผู้นำสูงสุด แต่ก็ยังมี ฝ่ามวันดง และคนอื่นๆเป็นผู้นำร่วมต่อสู้ เรื่องอย่างนี้ ทักษิณ ชินวัตร ควรเริ่มคิดอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าง นปช. และ/หรือองค์กรอื่นๆ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ สรุปข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น ประชุมถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ผ่านการต่อสู้ที่เป็นจริง ทุกฝ่ายต่างได้รับบทเรียน เกิดกลุ่มก้อนกำลังพลที่หลากหลาย ซึ่งต้องคิดว่า จะสู้ต่อไปอย่างไรให้ได้ชัยชนะ จินตนาการถึงภาพอนาคต การนำ แกนนำ คณะนำ งานปิดลับ เปิดเผย ใต้ดิน บนดิน รูปแบบการต่อสู้อันพลิกแพลงแตกต่าง รูปแบบงานแนวร่วม คำชี้นำชี้แนะต่างๆ ควรเกิดขึ้นจากการวิคราะห์กลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนรอบคอบโดยคณะนำ มิใช่จากบุคคลที่แสดงความเห็นโดยเสรี เคลื่อนไหวอย่างวีรชนเอกชน และอื่นๆอีกมากมาย
สี่ / เรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องบอกว่ารัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ทุบทักษิณมา 4 ปี ทุบทำลายไม่สำเร็จ เข้าภาษิตโบราณ “จันทน์หอม ยิ่งทุบยิ่งหอม” ทักษิณไม่หายไปจากความทรงจำของประชาชน และที่สำคัญ รัฐบาลไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อว่า ทักษิณเป็นคนชั่วร้ายได้ เหมือนกับที่เมื่อก่อนทำให้คนเกลียดชังคอมมิวนิสต์ รัฐบาลพยายามทำให้ทักษิณเป็นเหมือนคอมมิวนิสต์ในอดีต ด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” แต่ประชาชนกลับคิดว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ทักษิณถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ที่สุด ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะฉนั้นไม่ว่าทักษิณจะอยู่ที่ไหน จะไม่อยู่ หรือชื่อนี้หายไปจากโลก แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ยังดำรงอยู่
เมื่อทักษิณกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้ ปัญหาจึงอยู่ที่ “บทบาท” ที่ผ่านมา บทบาทในฐาะผู้ร่วมต่อสู้นั้นชัดเจน แต่บทบาท “การนำ” ยังเป็นปัญหา ฝ่ายรัฐบาลปักใจเชื่อว่า ทักษิณนำการต่อสู้ แต่ขณะที่ทักษิณเองกลับปฏิเสธ ประเด็นนี้ ความจริงแห่งการเคลื่อนไหวต่อสู้เป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการสำรวจทบทวนเป็นอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่าในส่วนของ นปช.มีอิสระเต็มที่ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึง เหตุการณ์หน้าทำเนียบ เมษายน ปี 52 บทบาทการนำจะอยู่ที่ “สามเกลอ”เป็นตัวหลัก
หลังจากนั้นมีการขยายการนำ เพิ่มจำนวนแกนนำ มีการประชุมบ่อยครั้ง ในช่วงหนึ่งปีก่อนเคลื่อนไหวใหญ่ที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ การเพิ่มแกนนำก็ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยใคร ต่างมาโดยธรรมชาติของคนในขบวนการที่ทำงานต่อเนื่องกันมา มีบทบาทบนเวทีปราศรัย มีเวลาให้กับการทำงานเต็มที่ ร้อยรัดรวมตัวกันเข้ามาโดยสมัครใจ เมื่อไม่การแต่งตั้ง เลือกตั้ง ก็ไม่มีกฎระเบียบในการรับคนเข้าคนออก กรณีทำความผิดพลาดใดๆจึงไม่มีอำนาจไปถอดถอนใครออกจากแกนนำได้ บ่อยครั้งตกลงกันในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ออกไปปฏิบัติจริงกลับเป็นไปคนละทิศทางกับที่ประชุมมา
การประชุมทุกครั้ง ไม่มีคำชี้แนะชี้นำอะไรจากทักษิณ การโฟนอินหรือวิดีโอลิงค์เข้ามาแต่ละครั้งไม่มีการกำหนดหัวข้อหรือประเด็น ทักษิณพูดได้โดยอิสระเสรี การสื่อสารถึงทักษิณเท่าที่ทราบเป็นการสื่อสารหลายทาง ใครก็โทรศัพท์คุยกับทักษิณได้ ทั้งนักการเมืองในส่วนของพรรค และแกนนำ นปช.ทุกระดับ รวมไปถึงทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศ ปัญหาที่ตามมาก็คือ แล้วทักษิณจะเชื่อใคร โดยเฉพาะช่วงปลายหรือช่วงวิกฤติของการต่อสู้ ความขัดแย้งระหว่างแนวทางฮาร์ดคอร์ กับสันติวิธีเริ่มไม่ลงรอยกันชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้การต่อสู้เดินหน้าไปอย่างปั่นป่วน สับสน ไร้การควบคุม
ไม่ว่าจะอย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็น “สัญญลักษณ์ประชาธิปไตย” ของสังคมเสื้อแดงไปแล้ว และในความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้ยอมรับโดยไม่ต้องคัดเลือก ท่ามกลางสถานการณ์ต่อสู้ ให้เป็นหนึ่งในคณะนำสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ในการต่อสู้ครั้งต่อไปจึงน่าพิจารณาว่า ทักษิณคือแนวร่วมซึ่งต้องมีที่อยู่ที่ยืนและมีบทบาทที่แจ่มชัด เมื่อพวกเราก้าวพ้น “ผู้ก่อการร้าย” ไปได้แล้ว ก็จะเหลือสถานะต่อไปเพียงประการเดียวคือ “ผู้กอบกู้ประเทศชาติพ้นวิกฤติสู่ศิวิไล” เท่านั้น
ห้า / ภาพทั้งหมดที่ลำดับมาในสี่ข้อสะท้อนให้เห็นอะไร และเรียกร้องให้เกิดอะไร คำตอบมีดังนี้
หนึ่งคือสะท้อนให้เห็นลักษณะไร้การจัดตั้ง ไม่มีระเบียบวินัย และไร้การนำที่มีรูปการอย่างแท้จริง สองสะท้อนให้เห็นความไม่พร้อมขององค์กรฯ ที่ยังไม่เข้มแข็งพอจะยกระดับการต่อสู้
สามคือเรียกร้องให้เกิดองค์กรประชาธิปไตย เกิดแนวร่วมประชาธิปไตยที่มีรูปการ
สี่เรียกร้องให้เกิดคณะผู้นำสูงสุดในการต่อสู้ที่ชัดเจน
ห้าถึงเวลาหรือยังที่จะจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติรักประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทย ทั้งก่อนและหลังการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน
หกทักษิณต้องจัดวางตนเองไว้ในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้เหมาะสม อย่างไรจึงเหมาะสมเป็นเรื่องต้องช่วยกันคิด
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิพากษ์ตรงๆว่า การต่อสู้ที่ผ่านมา ไม่แสดงให้เห็นลักษณะ “การมีสุขภาพดี” (healthy) ของขบวนการแต่อย่างใด ดังนี้
”การพ่ายแพ้ครั้งหลังสุดนี้ เป็นการพ่ายแพ้ที่รุนแรง และเสียหายอย่างมาก (เฉพาะเรื่องชีวิตคนเรื่องเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้) โดยไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น (วันยุบสภาตามที่เรียกร้อง) แต่ยังเสียหายในแง่กลไกต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น อีกมหาศาล (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์)
ถ้าพ่ายแพ้ และเสียหายถึงขั้นนี้ แล้วยังไม่สามารถ "ก่อให้เกิด" (generate) การอภิปราย แสวงหา สรุป ในแง่ความผิดพลาด ในแง่แนวทาง ทิศทาง ไปถึงในแง่บุคคลากรอีก (คือยังคง อับจนในเรื่องเหล่านี้อีก เช่นที่ผ่านๆมา)”
ต้องถือเป็นเรื่องผิดปกติ
คนเสื้อแดงควรต้องเปิดใจให้กว้าง น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จากมิตรและแนวร่วม เพื่อปรับขบวนการต่อสู้ให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งต้องรู้ว่า เราสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา จะมุทะลุดุดัน หัวชนฝา ไร้เดียงสา ต่อไปอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด อีกสองทศวรรษ ราว 22 ปี ก็จะถึงหนึ่ง 100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว เราจะชนะได้อย่างไร ชนะก่อนร้อยปีไหม เป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิดอ่านอย่างจริงจัง
ดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันให้ดี ถนอมรักษาชีวิต ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าทำลายทำร้ายกันเอง นี้คือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าว เดินไปข้างหน้า เรายังคงต้อง “สู้ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ จนกว่าชัยจะได้มา” ขอให้ทุกท่านโชคดี เดินทางสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไป สวัสดี.
บันทึกนี้เขียนเสร็จวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 (แก้ไขปรับปรุงเผยแพร่ 11 กรกฎาคม)
หนึ่ง / ต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรประชาธิปไตยเสื้อแดง (นปช.และหรือ ฯลฯ) กับพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และหรือ ฯลฯ) ให้ดี กล่าวคือ องค์กรประชาธิปไตยต้องสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่ามีข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อถูกต้อง และผิดพลาดอย่างไร (อย่างเป็นระบบ) กล้าที่จะวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง โดยเฉพาะประเด็น “การนำ” นำไปบนพื้นฐานแห่งหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับภววิสัยที่เป็นจริง หรือนำไปโดยอัตวิสัยแห่งอารมณ์ความรู้สึก หรือจากแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาด
จักต้องยึดกุม “การนำรวมหมู่” ให้ได้อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ “การนำโดยบุคคล” อยู่ในฐานะที่ครอบงำ ปัญหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหว เมื่อตั้งไว้แล้วต้องยึดกุมให้ได้ ไม่ใช่วางขั้นตอนไว้ระดับหนึ่ง แล้วไปเปลี่ยนแปลงภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือว่า “อำพราง” กันภายใน ปิดบังกันเอง สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความแปลกแยกทางการนำในท้ายที่สุด
ในส่วนของพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และอาจมีพรรคอื่นๆฯลฯ) ต้องจัดความสัมพันธ์ในการเป็น ”แนวร่วม” ต่อสู้ให้เหมาะสม พรรคก็คือพรรค ต้องดำเนินสถานะและบทบาทที่แตกต่างจากองค์กรเคลื่อนไหว เพราะพื้นที่ในการทำงานของพรรคมีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพรรคต่อสู้ในระบอบรัฐสภา จะเคลื่อนไหวนอกกรอบแบบองค์กรอิสระคงไม่เหมาะสม จึงควรมีการจัดการทั้งงานเปิดและงานปิดให้ดี อันที่จริง แนวยุทธศาสตร์ “สองขา” ของ นปช. ในทางทฤษฎีที่เรียนกันอยู่ในโรงเรียน นปช.นั้นถูกต้องแล้ว หากแต่มิได้นำมาปฏิบัติในท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริงอย่าง เอาจริงเอาจัง กล่าวคือ เกิดอาการ “สัมพันธ์ขวาง” “สัมพันธ์ซ้อน” “สัมพันธ์แทรกแซง” “เปลี่ยนแปลงการนำ” “ไม่ทำตามมติ” ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ปัญหานี้ต้องสรุปทบทวน
ภาระหน้าที่ของพรรคต้องมีทั้งส่วนที่เป็นงานลับและงานเปิดเผย การจัดบุคลากรในการทำงานมีความสำคัญยิ่ง ใครเหมาะสมกับหน้าที่อะไร อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องมีการจัดตั้งขึ้นมาทำงานอย่างจริ งจัง กรณีพรรคเพื่อไทยกับ นปช.มีคนทำงานซ้อนสองฝั่ง สองขา สองหน้าที่อยู่ไม่น้อย ทำงานพรรคด้วยทำงาน นปช.ด้วย งาน “สองขา” ดังกล่าวจึงต้องจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการต่อสู้
ที่ผ่านมา ขบวนการประชาธิปไตยมีความสันทัดจัดเจนในเรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นความสันทัดของพรรคปฏิวัติ หรือขบวนปฏิวัติในอดีต ยุคก่อน นโยบาย 66/23 ซึ่งไม่มีการถ่ายทอดบทเรียนแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด จึงเป็นเพียงความเข้าใจของบางบุคคลที่เคยผ่านประสบการณ์การสู้รบในเขตป่าเขามาเท่านั้น มีข้อเท็จจริงมากมายที่สามารถยกขึ้นมาอภิปรายในองค์ประชุมกลุ่มย่อยได้
ในบางประเทศที่การต่อสู้ได้รับ ชัยชนะ อย่างประเทศเวียดนาม กัมพูชา และ ลาว งานจัดการด้าน “แนวร่วม” จะถือเป็นหัวใจสำคัญ กรณีลาว การเคลื่อนไหวของ “พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” ดำเนินไปในระยะแรกภายใต้องค์กรแนวร่วมที่ชื่อว่า “แนวลาวฮักชาติ” สามารถสามัคคีเอาเจ้าชายองค์น้องของเจ้าสุวรรณภูมาที่ชื่อ “สุภานุวงษ์” เชื้อสายเจ้า ผู้มีหัวเอียงข้างประชาชนมาเป็นผู้นำการต่อสู้ ชูขึ้นโดดเด่น ทำให้สามัคคีคนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นต้น
สอง / ต้องเข้าใจว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทยวันนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เราคิดว่า เราจะได้ประชาธิปไตยก่อน 100 ปีหรือไม่ โดยนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งขณะนี้ก็ 78 ปีแล้ว
ลักษณะพิเศษประการแรกคือโครงสร้างของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยแข็งแกร่งมั่นคงยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง ที่สำคัญเป็นเรื่องรูปการจิตสำนึก นั่นคือ โครงสร้างการครอบงำทางวัฒนธรรมที่ลงรากลึกอย่างเหลือเชื่อ ผ่านระบบการศึกษาด้วยคำพูดง่ายๆว่า “เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน” ปลูกฝังจิตสำนึกยกระดับจากคนชั้นล่างขึ้นไปเป็นชนชั้นกลาง แล้วเติมแต่งด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์อย่าง “เจ้าขุนมูลนาย” ให้กลายเป็นชนชั้นข้าราชการและชนชั้นผู้ปกครอง
ที่สุดก็ลืมกำพืดตัวเอง ได้ใส่เครื่องแบบราชการหรือชุดทหารก็กล้ากระทั่งยิงพ่อแม่พี่น้องของตนเองได้แล้ว
ที่พูดถึงนี้กล่าวเฉพาะในภาคส่วนของระบบราชการ ทีนี้พูดถึงภาคการเมืองบ้าง ความจำเป็นที่ต้องเอาประชาธิปไตยมาให้ มิใช่ด้วยความเต็มใจแต่ประการใด หากแต่เป็นภววิสัยสากลตามพัฒนาการของโลกที่จักต้องเปลี่ยนไป รูปแบบเศรษฐกิจ และการเมืองที่ก้าวหน้าต้องเข้าแทนที่สิ่งที่ล้าหลัง ประชาธิปไตยในเมืองไทยจึงมีลักษณะพิเศษคือ เริ่มต้นจำเป็นต้องให้อำนาจกับคนชั้นขุนนาง ขุนศึก และพลเรือนผู้มีการศึกษาสูง เพราะพวกนี้เรียกร้องต้องการ กระทั่งขู่บังคับเอา
หากมองให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของ “ส่วนบน” มาตลอด จะมาแตะหรือมาสัมผัสเอา “ชาวไพร่” บ้าง ก็เมื่อลูกหลานชาวไพร่ได้มีโอกาศเรียนหนังสือสูงๆ แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมปลูกฝังแห่งระบบ การศึกษาไทย นานๆเราจึงได้คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์, เตียง ศิริขันธ์, อัศนี พลจันทร์, กุหลาบ สายประดิษฐ์. จิตร ภูมิศักดิ์ และนักสู้เพื่อสังคมในยุค พ.ศ.2500 อีกหลายคน เกิดขึ้นมา แต่ก็เพือจะถูกปราบปราม จับคุมคุมข้ง กระทั่งเข่นฆ่าล่าสังหารตลอดมาในฐานะผู้รู้ความจริงก่อนชาวบ้าน หรือ “ผู้มาก่อนกาล” ตามคำศัพท์ของนักวิชาการในยุคต่อมา
กลุ่มนักการเมืองในยุคต้นๆ ยังเป็น “คนชั้นบน” อยู่เหมือนเดิม ได้แก่ ขุนนาง ขุนศึก พลเรือนผู้มีการศึกษาสูง จากนั้นจึงค่อยขยายมาสู่ ผู้มีการศึกษาที่มักใหญ่ใฝ่สูง และพวกพ่อค้า หลังยุคเปลี่ยนความเชื่อจากเดิมที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าพญาเลี้ยง” ซึ่งนั่นคือยุคศักดินา
เพราะฉนั้นสำนึกเชิงวัฒนธรรมในทางการเมืองของนักการเมืองยุคแรกๆ ลึกๆแล้วจึงไม่มี “ความใฝ่ฝันจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง” หากแต่เป็นนักการเมืองเพื่อแสวงอำนาจและผลประโยชน์เพื่อตน เองและพวกพ้อง พรรคการเมือง รัฐสภา และรัฐบาล จึงเต็มไปด้วย พ่อค้า นักธุรกิจ ผู้รับเหมา ขุนศึกขุนทหาร และผู้มักใหญ่ใฝ่สูงที่ต้องการไต่เต้าขึ้นเป็นอำมาตย์
สรุป เมื่อทั้งระบบราชการที่คัดเลือกเอาเฉพาะไพร่ที่พร้อมเปลี่ยนรูปการจิตสำนึกเป็นอำมาตย์ และระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้เฉพาะพวกแสวงหาผลประโยชน์ พวกมักใหญ่ใฝ่สูง ผู้ต้องการไต่เต้าเป็นอำมาตย์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อประกอบกับโครงสร้างอันแข็งแกร่งของระบบศักดินาอำมาตยาธิปไตย ทำให้การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากและมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ประการสำคัญที่สุดจึงต้องมองให้เห็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยดังกล่าว กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละระยะให้ชัดเจน มีสายตายาวไกล มองเห็นผู้นำ และสันทัดในการสร้างผู้นำ ไม่ปล่อยให้เป็นไปอย่างเสรี ไร้การจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นสู้ไปก็รังแต่จะพ่ายแพ้ซ้ำซาก
สาม / ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยควรเป็นบุคคลแบบใด ต้องกำหนดภาพให้ชัดเจนแน่นอน ในส่วนของพรรคการเมืองก็ต้องสร้างและสนับสนุนผู้นำขึ้นมา ควรทำให้ต่อเนื่อง เห็นลำดับเป็นหนึ่ง.สอง.สาม.สี่ ยอมรับบทบาทการนำ และเชิดชูให้โดดเด่น ไม่ขัดแย้งแก่งแย่งและช่วงชิงการนำกันเอง วางไว้สำหรับอนาคตข้างหน้าอย่างน้อย 3-5 ปี หรือกว่านั้น ภาพผู้นำดังกล่าวต้องเป็นที่ยอมรับของมวลชน มีบทบาทต่อสู้เพื่อประชาธิปไต ยยาวนานต่อเนื่อง มีแนวคิดแหลมคม แจ่มชัด มีท่วงทำนองสุภาพสุขุม มีสัมพันธภาพกับสื่อมวลชน และบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเพรียบพร้อมในภาพความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญ เป็นคนมีอุดมการประชาธิปไตยที่แท้จริง กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม พรรคเพื่อไทยควรมีจินตนาการในเรื่องนี้
สมมุติว่า เรามอง จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นบุคคลที่เข้าข่ายที่กล่าวมา พรรคต้องกล้าสนับสนุนให้เป็นผู้นำ ผู้นำมิได้หมายความถึงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคปัจจุบันที่ต้องเป็นหัวหน้าพรรค หรือตำแหน่งสำคัญอื่นใด เราสามารถสร้างภาพผู้นำเชิงจินตนาการได้ สร้างภาพให้เป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคต เชิดชูขึ้นให้แข็งแกร่งและมีพลัง เพราะในความเป็นจริง หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 53 เราอาจ
ต้องใช้เวลาพลิกฟื้นสถานการณ์ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย (เวลานั้น จาตุรนต์ พ้นภาวะบ้านเลขที่ 111 ไปแล้ว) ซึ่งนี้คือสิ่งที่พรรคการเมืองต้องมีจินตนาการ มองข้ามไปในอนาคต และสร้างรูปการสำหรับการต่อสู้ขึ้นมารองรับ แล้วพาไปในทิศทางนั้น เมื่อก่อนเวียดนามในยุคแรกๆมี โฮจิมินห์ เคลื่อนไหวเป็นผู้นำสูงสุด แต่ก็ยังมี ฝ่ามวันดง และคนอื่นๆเป็นผู้นำร่วมต่อสู้ เรื่องอย่างนี้ ทักษิณ ชินวัตร ควรเริ่มคิดอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าง นปช. และ/หรือองค์กรอื่นๆ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ สรุปข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น ประชุมถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ผ่านการต่อสู้ที่เป็นจริง ทุกฝ่ายต่างได้รับบทเรียน เกิดกลุ่มก้อนกำลังพลที่หลากหลาย ซึ่งต้องคิดว่า จะสู้ต่อไปอย่างไรให้ได้ชัยชนะ จินตนาการถึงภาพอนาคต การนำ แกนนำ คณะนำ งานปิดลับ เปิดเผย ใต้ดิน บนดิน รูปแบบการต่อสู้อันพลิกแพลงแตกต่าง รูปแบบงานแนวร่วม คำชี้นำชี้แนะต่างๆ ควรเกิดขึ้นจากการวิคราะห์กลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนรอบคอบโดยคณะนำ มิใช่จากบุคคลที่แสดงความเห็นโดยเสรี เคลื่อนไหวอย่างวีรชนเอกชน และอื่นๆอีกมากมาย
สี่ / เรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องบอกว่ารัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ทุบทักษิณมา 4 ปี ทุบทำลายไม่สำเร็จ เข้าภาษิตโบราณ “จันทน์หอม ยิ่งทุบยิ่งหอม” ทักษิณไม่หายไปจากความทรงจำของประชาชน และที่สำคัญ รัฐบาลไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อว่า ทักษิณเป็นคนชั่วร้ายได้ เหมือนกับที่เมื่อก่อนทำให้คนเกลียดชังคอมมิวนิสต์ รัฐบาลพยายามทำให้ทักษิณเป็นเหมือนคอมมิวนิสต์ในอดีต ด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” แต่ประชาชนกลับคิดว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ทักษิณถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ที่สุด ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะฉนั้นไม่ว่าทักษิณจะอยู่ที่ไหน จะไม่อยู่ หรือชื่อนี้หายไปจากโลก แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ยังดำรงอยู่
เมื่อทักษิณกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้ ปัญหาจึงอยู่ที่ “บทบาท” ที่ผ่านมา บทบาทในฐาะผู้ร่วมต่อสู้นั้นชัดเจน แต่บทบาท “การนำ” ยังเป็นปัญหา ฝ่ายรัฐบาลปักใจเชื่อว่า ทักษิณนำการต่อสู้ แต่ขณะที่ทักษิณเองกลับปฏิเสธ ประเด็นนี้ ความจริงแห่งการเคลื่อนไหวต่อสู้เป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการสำรวจทบทวนเป็นอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่าในส่วนของ นปช.มีอิสระเต็มที่ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึง เหตุการณ์หน้าทำเนียบ เมษายน ปี 52 บทบาทการนำจะอยู่ที่ “สามเกลอ”เป็นตัวหลัก
หลังจากนั้นมีการขยายการนำ เพิ่มจำนวนแกนนำ มีการประชุมบ่อยครั้ง ในช่วงหนึ่งปีก่อนเคลื่อนไหวใหญ่ที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ การเพิ่มแกนนำก็ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยใคร ต่างมาโดยธรรมชาติของคนในขบวนการที่ทำงานต่อเนื่องกันมา มีบทบาทบนเวทีปราศรัย มีเวลาให้กับการทำงานเต็มที่ ร้อยรัดรวมตัวกันเข้ามาโดยสมัครใจ เมื่อไม่การแต่งตั้ง เลือกตั้ง ก็ไม่มีกฎระเบียบในการรับคนเข้าคนออก กรณีทำความผิดพลาดใดๆจึงไม่มีอำนาจไปถอดถอนใครออกจากแกนนำได้ บ่อยครั้งตกลงกันในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ออกไปปฏิบัติจริงกลับเป็นไปคนละทิศทางกับที่ประชุมมา
การประชุมทุกครั้ง ไม่มีคำชี้แนะชี้นำอะไรจากทักษิณ การโฟนอินหรือวิดีโอลิงค์เข้ามาแต่ละครั้งไม่มีการกำหนดหัวข้อหรือประเด็น ทักษิณพูดได้โดยอิสระเสรี การสื่อสารถึงทักษิณเท่าที่ทราบเป็นการสื่อสารหลายทาง ใครก็โทรศัพท์คุยกับทักษิณได้ ทั้งนักการเมืองในส่วนของพรรค และแกนนำ นปช.ทุกระดับ รวมไปถึงทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศ ปัญหาที่ตามมาก็คือ แล้วทักษิณจะเชื่อใคร โดยเฉพาะช่วงปลายหรือช่วงวิกฤติของการต่อสู้ ความขัดแย้งระหว่างแนวทางฮาร์ดคอร์ กับสันติวิธีเริ่มไม่ลงรอยกันชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้การต่อสู้เดินหน้าไปอย่างปั่นป่วน สับสน ไร้การควบคุม
ไม่ว่าจะอย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็น “สัญญลักษณ์ประชาธิปไตย” ของสังคมเสื้อแดงไปแล้ว และในความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้ยอมรับโดยไม่ต้องคัดเลือก ท่ามกลางสถานการณ์ต่อสู้ ให้เป็นหนึ่งในคณะนำสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ในการต่อสู้ครั้งต่อไปจึงน่าพิจารณาว่า ทักษิณคือแนวร่วมซึ่งต้องมีที่อยู่ที่ยืนและมีบทบาทที่แจ่มชัด เมื่อพวกเราก้าวพ้น “ผู้ก่อการร้าย” ไปได้แล้ว ก็จะเหลือสถานะต่อไปเพียงประการเดียวคือ “ผู้กอบกู้ประเทศชาติพ้นวิกฤติสู่ศิวิไล” เท่านั้น
ห้า / ภาพทั้งหมดที่ลำดับมาในสี่ข้อสะท้อนให้เห็นอะไร และเรียกร้องให้เกิดอะไร คำตอบมีดังนี้
หนึ่งคือสะท้อนให้เห็นลักษณะไร้การจัดตั้ง ไม่มีระเบียบวินัย และไร้การนำที่มีรูปการอย่างแท้จริง สองสะท้อนให้เห็นความไม่พร้อมขององค์กรฯ ที่ยังไม่เข้มแข็งพอจะยกระดับการต่อสู้
สามคือเรียกร้องให้เกิดองค์กรประชาธิปไตย เกิดแนวร่วมประชาธิปไตยที่มีรูปการ
สี่เรียกร้องให้เกิดคณะผู้นำสูงสุดในการต่อสู้ที่ชัดเจน
ห้าถึงเวลาหรือยังที่จะจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติรักประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทย ทั้งก่อนและหลังการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน
หกทักษิณต้องจัดวางตนเองไว้ในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้เหมาะสม อย่างไรจึงเหมาะสมเป็นเรื่องต้องช่วยกันคิด
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิพากษ์ตรงๆว่า การต่อสู้ที่ผ่านมา ไม่แสดงให้เห็นลักษณะ “การมีสุขภาพดี” (healthy) ของขบวนการแต่อย่างใด ดังนี้
”การพ่ายแพ้ครั้งหลังสุดนี้ เป็นการพ่ายแพ้ที่รุนแรง และเสียหายอย่างมาก (เฉพาะเรื่องชีวิตคนเรื่องเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้) โดยไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น (วันยุบสภาตามที่เรียกร้อง) แต่ยังเสียหายในแง่กลไกต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น อีกมหาศาล (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์)
ถ้าพ่ายแพ้ และเสียหายถึงขั้นนี้ แล้วยังไม่สามารถ "ก่อให้เกิด" (generate) การอภิปราย แสวงหา สรุป ในแง่ความผิดพลาด ในแง่แนวทาง ทิศทาง ไปถึงในแง่บุคคลากรอีก (คือยังคง อับจนในเรื่องเหล่านี้อีก เช่นที่ผ่านๆมา)”
ต้องถือเป็นเรื่องผิดปกติ
คนเสื้อแดงควรต้องเปิดใจให้กว้าง น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จากมิตรและแนวร่วม เพื่อปรับขบวนการต่อสู้ให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งต้องรู้ว่า เราสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา จะมุทะลุดุดัน หัวชนฝา ไร้เดียงสา ต่อไปอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด อีกสองทศวรรษ ราว 22 ปี ก็จะถึงหนึ่ง 100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว เราจะชนะได้อย่างไร ชนะก่อนร้อยปีไหม เป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิดอ่านอย่างจริงจัง
ดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันให้ดี ถนอมรักษาชีวิต ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าทำลายทำร้ายกันเอง นี้คือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าว เดินไปข้างหน้า เรายังคงต้อง “สู้ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ จนกว่าชัยจะได้มา” ขอให้ทุกท่านโชคดี เดินทางสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไป สวัสดี.
บันทึกนี้เขียนเสร็จวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 (แก้ไขปรับปรุงเผยแพร่ 11 กรกฎาคม)
สาวเสื้อแดงขอพื้นที่"เฟซบุค"สู้ต่อ
โดย ชฎา ไอยคุปต์
บนพื้นที่สาธารณะที่ไม่จำกัดในระบบอินเตอร์เน็ตที่แสดงความคิดความเห็นได้อย่างอิสระเสรี บางความคิด ความเห็นของบางคนถูกขยายความจนกลายเป็นประเด็นเรื่องราวใหญ่โตโดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ มีหลายคนออกมาแสดงความคิดความเห็นรุนแรงไม่แพ้เหตุการณ์ ส่งข้อความผ่านทางเฟซบุคไปถึงเพื่อนในโลกไซเบอร์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก
จนบางครั้งกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่แฟน ประกาศตัดขาดความเป็นมิตร เพราะคิดเห็นไม่ตรงกัน เฟซบุคจึงกลายเป็นเวทีมวยที่มีคนออกมาสาดเสียเทเสียใส่กัน ในประเด็นสาธารณะดุเดือดยิงกว่าเรื่องส่วนตัว "ผัวเมียทะเลาะกัน" เสียอีก ดังนั้นการแสดงจุดยืนบนเฟซบุค จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากที่จะแสดงตัวและแสดงความเห็นได้อย่างอิสระเพราะมันอาจจะ"ถูกใจ"และ"ไม่ถูกใจ" แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่กล้าแสดงตัวและตอกย้ำความคิดความเห็นของตัวเองผ่านทางเฟซบุคท่ามกลางกระแสกดดันจากอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเห็นแตกต่าง
ขอยกตัวอย่างบรรดาสาวเสื้อแดงที่ประกาศตัวว่ามีเลือดแดงแบบเต็มขั้นบนหน้าจอเฟซบุคทั้งรูปและข้อความลองมาฟังความคิดความเห็นทางการเมืองของกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรกันบ้าง
"Phanitta รักครอบครัว " บอกว่า รักในความเป็นประชาธิปไตย เกลียดสองมาตรฐาน พูดง่ายๆประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเลยต่างหาก รักความยุติธรรม ความไม่เป็นธรรม ที่รัฐมีต่อประชาชนคนเสื้อแดง คนตายพูดไม่ได้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนเสื้อแดงเจ็บช้ำใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าการเรียกร้องแค่ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ (โดยถือว่าเป็นพื้นฐาน ของ ปชต) รัฐจะอำมหิตโหดเหี้ยมได้อย่างนี้ อยากจะถามว่ายังมีจิตใจเป็นคนกันอยู่ไหม คนเสื้อแดงไม่มีสิทธิอะไรเลยหรือย่างไร
"กล้าโพสต์ ไม่อายที่จะบอกใครว่าเราเป็นแดงรักแดงแค่ไหน ทำไมเราจะต้องกลัวว่าใครจะโกรธจะด่าเรายังไงใครไม่เห็นด้วยกะเรา เฟซบุคเป็น พื้นที่ของเรา บางท่านอาจจะยังไม่เคย รู้ผ่านหน้า wall ของเรา เพื่อนบางท่านให้ความสนใจและชอบเรื่องราวต่างๆที่เราโพสต์ ว่ามันเป็นความรู้ใหม่ๆ มุมมอง ใหม่ๆ และ เป็นเรื่องที่ทางสื่อไม่ค่อยนำเสนอแต่เราเอามาโพสต์เพื่อ ถ่ายทอดผ่านทางตัวหนังสือให้เพื่อนๆ ที่แดงไม่แดง และกลางๆได้อ่านกัน"
"แรงกดดันมีอย่ตลอด บนหน้า fb ตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าแสดงตนว่าเป็นแดงแค่ไหน เพื่อน รุ่นน้อง พี่ ใน fb ที่มีความเห็นต่าง ลบเราทิ้งหมด รุ่นน้องบางคน เคยชอบเรามาก แอบปลื้มเรา ดันมาด่าเรามาหาว่าเราเป็นพวกแดงล้มเจ้า ทำเพื่อ คนๆเดียว เราก็อธิบายให้เค้าฟัง ทุกอย่าง จนสุดท้าย มาด่ากันแหลกที่หน้า fb เลิกคบกันถาวรเลย ส่วนเพื่อนๆๆเก่าๆ สมัยมัธยม ก็ไม่ค่อยมาเม้นท์คงเบื่อไม่ชอบการเมืองมั้ง เพราะเราโพสต์แต่การเมือง เรื่องเครียด ๆ ส่วนพวกที่แอดมาด่าก็เยอะ แต่เราจัดการได้ โดยการชวนเพื่อนๆแดง มารุมด่า เดี๋ยวก็หนีไปเอง ช่วงหลังพยายามคัดกรองเพื่อน หรือ ใครที่ยินดีจะแอดมาด่าก็ไม่ว่า เชิญ... การโพสต์ไม่หยุดแน่นอน"
"คนที่ด่าว่าไพร่ ถามหน่อยเหอะว่าเข้าใจความหมายของไพร่ไหม ว่าหมายความว่าไร ก็คือประชาชนทั่วไปนี่แหละ พวกผู้รากมากดี ก็ไพร่เหมือนกัน เอาอะไรมากมาย สังคมตอนนี้ไม่ใช่มีแต่พวกไพร่+ชาวนาเท่านั้นนะที่เป็นแดง ถ้าใครไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่รู้หรอก"
นางสาวศศินันท์ เทศนา (แจม) อายุ 21 ปี กำลังศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล คณะบัญชี ชั้นปีที่ 4 และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เล่าว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันมีอุดมการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนมาโดยตลอด คุณพ่อและเพื่อนๆที่สนิทกันจะรู้ดีค่ะ คือเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนกับเรา จริงๆแล้วสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดงมาเป็นระยะเวลา 3-4 ปีแล้ว ถ้าไม่ติดธุระสำคัญจริงๆ ก็จะไปร่วมทุกครั้ง ไปคนเดียวบ้าง ไปกับคุณพ่อบ้าง หรือบางทีก็เจอใครที่เป็นเสื้อแดงเหมือนกันก็ไปกับ
"ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอะไรได้เลย ช่วงนั้นแจมเครียดมาก กินข้าวไม่ลงเลยอ่าค่ะ จนคุณพ่อต้องเตือนว่าไม่ให้ดูข่าวแล้ว เพราะยิ่งดูเราก็ยิ่งเครียดมากขึ้นๆ จำได้ว่าร้องไห้จนตาบวมทั้งๆที่พี่น้องเสื้อแดงทุกคนไม่ได้มีใครเป็นญาติแจมเลย แต่ด้วยความรู้สึกผูกพันกับการที่เรามีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาตลอด เพราะความรักที่แจมได้รับจากพี่น้องเสื้อแดงทุกคน มันรู้สึกเสียใจมากที่พี่น้องเราต้องมาเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่แจมเคยได้เห็น ภาพของพี่น้องเสื้อแดงที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกทำร้าย มันตอกย้ำให้เลือดอุดมการณ์ของแจมมันฉีดแรงขึ้น ได้แต่คิดในใจว่า แจมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเค้า และเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่"
"แจมเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง จะชอบหนังสือประเภทนี้มาก ประกอบกับมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แจมเลยซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆในเรื่องของความอยุติธรรมในสังคม แจมมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมานานแล้ว ใครที่รู้จักแจมทุกคนก็จะรู้ ไม่ค่อยหวั่นต่อกระแสความกดดันสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่แจมเป็นเสื้อแดงมา ไม่เคยต้องทะเลาะอะไรกับคนที่มีความเห็นที่ต่างกันเลยสักครั้ง เพราะแจมค่อนข้างมีเหตุผลและจะไม่ดูถูกความคิดของใคร ประมาณว่าใครจะมาว่าก็ตามสบาย แต่คุณต้องมีเหตุผลมากพอ ใครที่อยู่ดีๆก็อารมณ์เสียใส่ จะไม่คุยด้วยเด็ดขาด เพราะคุยไปก็เท่านั้น"
"แรกๆเจอ เยอะมาก ตามด่าแจมทุกคอมเม้นท์เลย โดนแบบว่าไม่เคยเจอใครมาด่าแรงขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย ตอนแรกร้องไห้เลย ไม่ได้ร้องไห้ที่เขามาด่าเรา แต่รู้สึกเสียใจที่ทำไมวันนี้คนไทยด้วยกันถึงมาทำร้ายกันด้วยคำพูดที่รุนแรง แบบนี้ แจมเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นคนไทยเหมือนกับพวกเค้าเหล่านั้น เราเป็นสายเลือดคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้ เสียใจมากค่ะ"
"จึงเขียนบทความบรรยายความรู้สึกของเราลงไปในเฟซบุค ฟอเวิดเมล์ บางท่านอาจเคยได้รับบทความ "จากคนไทยคนหนึ่งซึ่งมีหัวใจสีแดง" และ "แค่คนคิดต่าง" หลังจากนั้นกระแสก็ค่อยๆหายไป คือแจมจะพูดอยู่ตลอดค่ะว่า "เราแค่คิดต่างกัน แต่เราเป็นคนไทยเหมือนกัน" คือแจมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาคิดแบบแจม หรือให้แจมไปคิดแบบพวกคุณ แจมขอแค่เราไม่ดูถูกความคิดของกันและกันก็พอ คือในสังคมไทยปัจจุบันนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ ที่เราจะมีอุดมการณ์เหมือนกันทั้งประเทศ มันร้าวลึกจนเกินจะทำเช่นนั้นได้ ฉะนั้นแจมคิดว่า เราควรจะอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ไม่ดูถูกความคิดของกันและกัน แค่นั้นก็พอค่ะ"
"คนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่ไพร่เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมก็จะเป็นคนเหล่านี้ แล้วผิดตรงไหนที่เค้าจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม"
นางสาว ณภัทร เมืองเฉลิม อายุ 22 ปี เรียนที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม ใช้ชื่อในเฟซบุคว่า "Crisiz" บอกว่า ขอเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ คนจนเท่าเทียมกับคนมีเงิน แค่นี้แหละ ความยุติธรรมมีจริงจากนักการเมือง เคยเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงและยืนยันว่าไปบ่อยมาก แต่ในช่วงเหตุการณ์วันสลายที่ราชประสงค์ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่อยู่ที่พระราม4 บ่อนไก่
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษถาคม น.ส.ณภัทร บอกว่า "กรรมมีจริง คนที่คิดชั่วทำชั่ว ฆ่าประชาชนก็จะได้รับกรรมตามสนอง และรู้สึกเสียใจที่คนไทยฆ่ากันเอง ทั้งๆที่การชุมนุมไม่ได้ผิดกฎหมายตามหลักประชาธิปไตย"
เหตุผลของการเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง?
"เพราะเห็นว่าปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย แต่กลายเป็นเผด็จการซ่อนรูป เลยต้องการมาเข้าร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย กับคนเสื้อแดง เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูด และไม่กลัวใครว่าแม้จะไปโพสต์หน้าเฟซบุคว่าเป็นคนเสื้อแดงเพราะเราเลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
"เพื่อนๆที่เฟสบุ๊คเข้าใจเพราะส่วนมากเป็นคนเสื้อแดง แต่ส่วนน้อยก็เคยเจอด่าในเฟซบุคว่า โง่ โดนหลอก โดนเป่าหู แต่เราก็บอกกลับไปว่า เราโตแล้วคิดเองได้ไม่ได้มีใครเป่าหู เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นแตกต่างกันได้ ก็อธิบายให้เค้าฟัง เราก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง อย่าคิด ว่า ไพร่ ชาวนาโง่นะคะ ถ้าเค้าโง่เค้าคงไม่มาเป็นคนเสื้อแดงหรอกคะ"
สาวเสื้อแดงคนต่อไปทีเพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาใช้นางสาว ใช้ชื่อว่า "ฮานิว ๐เเก๊งมังกรหยก๐" น.ส. นัยนา บุตรศรี ชื่อเล่น ฮานิว อายุ 15 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนสายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมป์ เสนอความเห็นอุดมการทางการเมือง ว่า "การเป็นประชาธิปไตย ต่อคนทุกภาคส่วน ฐานะอะไรต้องมีซึ่งความเป็นประชาธิปไตยคงอยู่ เเละประชาธิปไตยต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์หรือความดีนั่นเอง ไม่ได้มาจาการต้องเข่นฆ่าผู้คนเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการ"
ฮานิว เล่าว่า เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งเต่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจนมาถึงแยกราชประสงค์ ตอนที่อยู่สะพานผ่านฟ้าเกือบตกอยู่ในเหตุการณ์ 10เมษายน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เสียคนรู้จักไป 1 คน เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตที่เด็กอายุ 15 ปี ได้รับรู้เลยก็ว่าได้บางครั้งคิดว่าอยากผ่านเลยไปเหมือนเด็กคนอื่นๆ หรือเเบบเพื่อนๆ เเต่ทำไม่ได้
"แม้คนที่ตายไปไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา เเต่ยอมไม่ได้ คือ ฮานิวรับไม่ได้กับการฆ่าคนที่สุดเเล้ว เล้วเราคนไทยมาฆ่ากันเอง มันไม่ใช่เลย รับไม่ได้ตรงนี้คะเลยทำให้ อยู่เฉยไม่ได้ๆ" ฮานิว ย้ำอีกครั้ง
น.ส.นัยนา บอกถึง เหตุผลของการเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพราะว่า ได้รับน้ำใจที่คนในที่ชุมนุมมีให้แก่กัน รับไม่ได้ที่คนเสื้อเเดง หรือคนรากหญ้า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร คนรากหญ้าก็คนไทย
"ทุกคนต้องได้หมดไม่ใช่ว่า เค้าคนจน เเล้วเราก็ทิ้งขว้าง การที่ฆ่ากันอันนี้ก็รับไม่ได้คะ ที่ทหารฆ่าเสื้อเเดง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเห็นคนเสื้อเเดง ตอนไปชุมนุมอยากอาบน้ำน้ำขอยืมผ้าถุงป้าๆเขาก็ให้ยืมเพราะเราไม่ได้เตรียมไป อาหารการกินก็เเค่เดินผ่านเต้นท์ที่เเจกข้าว เค้าก็เเจกให้ ทั้งๆที่เราก็อิ่มเเล้วเเต่ก็รับไว้ด้วยความมีน้ำใจ ส่วนตัวเคยเอาขนมไปเเจกๆพี่ๆการ์ด เสื้อเเดงด้วย"
ฮานิว อธิบายว่า ที่กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซบุ๊คว่า "จะมีที่ไหนอีกไหมละคะ ที่จะให้เราออกความคิดเห็นได้ ออกไปทำข้างนอกโทงๆ เดี๋ยวได้เป็นผีไม่รู้ตัวพอดีคะ(หัวเราะ)"
"ต้องยอมรับว่าในเฟซบุ๊คก็เจอแรงกดดันเหมือนกันเพราะว่าบางครั้งมีคนที่ไม่ชอบคนเสื้อเเดงก็พิมพ์มาด่าเรากดดันเหมือนกัน ความคิดไม่เหมือนกัน เเต่ถ้ามีคนมาพูดประมาณว่า "คนเสื้อเเดง ตายไปได้ก็ดีหนักเเผ่นดิน" อันนี้ยอมไม่ได้จริงๆคงได้เห็นดีกันแน่ ความเห็นเตกต่างกัน เเต่เราคนไทยด้วยกันคะ เเต่ฮานิวรับไม่ได้กับการทีสนับสนุนให้ฆ่ากัน ทหารที่ยิงประชาชน มีจิตสำนึกที่จะไม่ยิงได้ คุณเป็นทหารคำสอน คือ อะไรให้รักชาติปกป้องคนในชาติเเล้วคุณมายิงคนในชาติ ไปขายปาท่องโก๋ทอดเถอะ"
"ไพร่ ก็คือ สามัญชนคนธรรมาคุณก็ใช่ ชาวนาก็สามัญชน ชาวนาปลูกข้าว ตอนเด็กๆไม่เคยพูดก่อนกินข้าวเหรอชาวนาหนื่อยยาก ลำบากหนักหนา ก็ชาวนานี่หละที่ทำให้คุณมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ ไพร่กะชาวนา ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะมันจน ต่ำต้อย ต้องให้อยู่ ใต้ตีนคุณอย่างเดียวหรือ?" ความคิดความเห็นของสาวแรกรุ่น
สำหรับสาววัยทำงานอย่าง "อุไรวรรณ รอดหลัก" อาชีพsale อายุ 32 ใช้ชื่อว่า "Uraiwan Rodlak" ให้ความเห็นว่า นักการเมืองต้องเห็น คนเท่าเทียมกัน ดูแลเท่าเทียม เลิกให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่ม เคยเข้าร่วมชุมนุมและออกไปเรียกร้องตามจุดต่างๆร่วมกับคนเสื้อแดง
"ไม่ชอบรัฐบาลที่มองคนเป็นควาย หรืองสิ่งไม่มีชีวิต เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีปัญญาแก้ปัญหา ใช้ความทะเยอทะยานที่มีในทางที่ผิด พูดสวยหรูดูดีแต่แฝงความร้ายไว้ สงสาร ประชาชนที่เสียชีวิตไม่เคยมีนายกคนไหนให้ประชาชนมาตีกันเองเหมือน นายกฯคนนี้ ที่ต้องเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเพราะรัฐบาลไม่เห็นคนเป็นคนกล้าทำการสลายสั่งฆ่าได้ กระชับพื้นที่หรือกระชับชีวิตคนกันแน่ ไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษแต่มีแค่เสียใจ ประโคมข่าว บิดเบือน แทรกแซงทุกสิ่งที่กระทบความความมั่นคงของตัวเอง ไม่เคยผิดรัฐบาลลูกเทวดา ไม่เคยกลัวที่จะเป็นเสื้อแดง เราห็นคนเป็นคน เท่าเทียมกันไม่ว่าคนกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด "
"เรากล้าแสดงจุดยืน ไม่ว่าโดดเดี่ยวแค่ไหนเพราะเราเห็นคนเป็นคนเท่ากัน และเชื่อว่ามีพวกมากมายบนfacebook ไม่กดดันใครด่ามาก็ด่าตอบแน่วแน่และมีความสุขที่เป็นเสื้อแดง ตึกรามบ้านช่องเสียไปสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตที่เสียไปสร้างใหม่ไม่ได้ รวมทั้งความผูกพันที่เกิดกับคนมันมากมายมากกว่า ตึกรามบ้านช่องเสียอีก"
นิ้งหน่อง อายุ 21 ปี ศึกษาที่ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปี 4 พยายามบอกทุกคนว่า "รักเสื้อแดงเข้าใจมั้ย" และรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้รัฐบาลลาออกอยากให้ความจิงเปิดเผย เห็นว่ารัฐบาล 2 มาตรฐานและไม่กลัวเพราะมันเป็นอุดมการณ์ของเรา เคยเจอพวกสลิ่มเข้ามาก่อกวน ด่ากลับ ตอกกลับ และก็ลบออกไปค่ะ อยากจะบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ไพร่กะชาวนา คนมีการศึกษาก็มีอีกมากกกค่ะ อยากบอกว่าพวกที่คิดแบบนั้นน่ะ คิดผิด
"Nindë Vardamir รักอินทรีย์ทอง" นางสาว ภัชชารีญา ชัยได้สุข อายุ 18 ปี มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาภาคพายัพ คณะ บริหารธุรกิจ สาขา International Business Management ประกาศตัวเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประชาธิปไตยที่กินได้ รู้สึกหดหู่ และ โกรธแค้นมาก ที่ทำกับคนเสื้อแดงทำไมต้องเป็นแบบนี้ เศร้า ความรู้สึกมันเลวร้ายกว่านั้น เห็นชัดๆ คือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้
"ไม่กลัวที่จะโพสต์ Status เป็นเสื้อแดงน่าภูมิใจออก มีบ้างที่มีคนไม่พอใจเข้ามาโพสต์ด่า ว่าแรงๆ แต่เราไม่สนใจ รู้สึกเฉยๆ ลบข้อความไปหรือไม่ก็ลบออกจากเพื่อน (ถ้าไม่ได้ สนิทหรือเป็นแค่เพื่อนออน์ไลน์) คนที่มองว่าคนเสื้อแดงเป็นไพร่ ถามว่าเป็นไพร่กันทุกคนไม่ใช่เหรอ? ชาวนาเป็นอาชีพที่สุจริต เค้าจะว่าไงก็ช่าง แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แค่ชาวนาเท่านั้น"
"Brandon Boyd " น.ส. ภัทรพร ภูริดำรงกุล นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความต้องการว่า อยากได้ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน มีการถ่วงดุลอำนาจภาคประชาชน ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกความคิดเห็นในรูปแบบประชาธิปไตย เคยไปชุมนุมบ้างถ้ามีโอกาส รัฐบาลปิดกั้นสื่อและสร้างวาทกรรม ว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เลือกปฎิบัติ รู้สึกแย่ที่ทางรัฐบาลออกมาแถลงการณ์บิดเบือนกับ ความเป็นจริง ไม่ต้องการให้อำนาจ รัฐธรรมนูญอยู่กับคณะหนึ่งคณะใด หรือชนชั้นปกครอง
"ต้องการโพสต์ข้อความ เพื่อกระจายข่าวส่งไปยังผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองในทิศทางเดียวกัน และนำเสนอมุมมองความคิดให้ผู้อื่นได้รับทราบ เจอส่งข้อความมาด่า เอารูปไปประจาน แต่รู้สึกเฉย ๆ รู้อยู่แล้วคนไทยบางกลุ่มชอบหยาบคายมากกว่าการใช้เหตุผล และชอบตัดสินคนคิดต่าง และคนที่เรียกคนอื่นว่าไพร่มันเป็นสิ่งที่คนชนชั้นกลางในเมืองสร้างวาทกรรม "เหมารวม" จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงก็มีทุกระดับทางสังคม"
"Tangmoez Kim" อายุ 21 ปีเรียนอยู่ชั้นปีที่4 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม บอกว่า "เคยเข้าร่วมชุมนุม ทั้งอยู่ที่บ้านที่ศาลากลาง และสี่แยกราชประสงค์ เหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม คิดอยู่แล้วจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น รู้สึกแย่ ที่นายกฯให้ความสำคัญกับตึก/อาคาร มากกว่าชีวิตของคนที่ตายไป ไม่ได้สนับสนุนการเผาเลย แต่มองว่ามีแค่ชีวิตเท่านั้นที่เสียไปแล้ว ไม่มีทางได้กลับคืนมา อยากจะถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล รัฐบาลรับผิดชอบเรื่องตึกไหม้ได้ แล้วจะรับผิดชอบชีวิตคนที่ตายในการชุมนุมด้วยได้หรือไม่ อย่า โทษว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย เพราะยังไงเสีย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันก็เกิดขึ้นขณะที่รัฐบาลชุดนี้กำลังปฏิบัติงานอยู่
การแสดงความคิดความเห็นบนเฟซบุคมันเป็นสิทธิเสรีภาพ ...สิทธิเสรีภาพจริงๆ ที่เราสามารถทำได้ พื้นที่บนอินเตอร์เน็ตเปิดกว้าง มีที่ให้สำหรับทุกคน ใครชอบอะไรก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องรักต้องชอบเหมือนกันหมดทั้งโลก แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ชอบเสื้อแดงรักเสื้อแดงผิดหมด ต้องชอบเสื้อเหลือง เท่านั้นถึงจะเป็นเสรีภาพ อันนี้ก็ไม่สนค่ะ...ไม่แคร์"
"ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนที่เข้าหน้าเฟซบุคของเรา เอาเรื่องที่เราเป็นเสื้อแดงไปบอกอีกคนและคนนั้นก็โพสต์ด่าเราใหญ่เลย ในเฟซบุคของเขาที่ เรามองไม่เห็น...มาบอกว่าเราดีแต่ปาก ไม่ยอมออกไปชุมนุม เราก็เลยโพสต์รูปที่เราไปชุมแปะไว้...ท้าตีท้าต่อย...ถ่อยตามกมลสันดานและที่สำคัญก็ คือ ดีแต่ปากสรุปก็ลบออกจากเพื่อนและบล็อค เขาชอบของเเขาได้ ทำไมเราจะชอบบ้างไม่ได้ ใครที่คิดไม่เหมือนกัน ลบออกให้หมด เราไม่ชอบเขาเขาก็ไม่ชอบเราจะเก็บไว้ทำไม ได้แต่ปล่อยเค้าไป ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำคว่ำขัน ชาติหน้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย...สาธุ มีคนอีกตั้งเยอะที่คิดเหมือนเราและ เป็นเพื่อนกันได้"
"จะเรียกว่าพวกเราเป็นไพร่หรืออะไรก็ได้ต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ทำมาหากิน มีธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวย ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจถึงจะทำให้ทำมาหากินได้สะดวกพวกที่แบมือขอเงินพ่อแม่ กินบุญเก่าหรือทำนาบนหลังคน ไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก" นักศึกษาปี 4 ม.สารคามกล่าวทิ้งท้าย
"wran bamboo" อายุ 30 การศึกษาจบปริญญาตรี แสดงความเห็นเรื่อง คำว่า ประชาธิไตย หมายถึงระบอบการปกครองประเทศระบอบหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เคยเข้าร่วมชุนนุม ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ วันที่ 10 เมษายน อยู่ที่บริษัทไทยคม ดูถ่ายทอดสดการสลายผู้ชุนนุมที่นั่น เศร้าใจกับการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาล เสียใจที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิต
"เราคิดว่าพวกเราต้องชนะ เพราะมีคนตายเยอะ รัฐบาลคงจะอยู่ต่อไม่ได้ แต่ไม่เป็นไปตามที่คิดรัฐบาลลอยนวล วันที่ 19 พฤษภาคม ที่สั่งสลายการชุนนุม ช็อคไป สองสามวัน คิดว่าทำไมบ้านเมืองถึงถอยหลังเข้าคลองแบบนี้ ยิ่ง ศอฉ. ออกมาแก้ตัวมากเท่าไร รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มี รัฐบาลพยายามยัดเยียดให้เราเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้สื่อโจมตีเราให้ข่าวบิดเบือน ปิดหูปิดตาประชาชน ทั้งๆ ที่ประชาชนที่มาชุนนุมเป็นเพียงชาวบ้านมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้นเอง"
"wran bamboo" บอกว่า การมาเรียกร้องให้ยุบสภาเป็นการเรียกร้องที่ไม่มากมายจนเกินไป เมื่อรัฐบาลทำงานไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ควรยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล เขามาเรียกร้อง เพราะขาดแคลน เพราะหิวโหย เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เราเป็นชนชั้นกลาง ที่มีการศึกษา มีอินเตอร์เนต มีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้มากกว่าพวกเขา เราจะไม่ออกมาช่วยพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่เขากับเราต้องการ คือ สิ่งเดียวกันนั่น คือ ประชาธิปไตย
"เฟซบุค เป็นพื้นที่ ส่วนตัว เรามีสิทธิ์ที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ จะโพสต์ในกลุ่มของเราเอง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่าในเฟซบุคหรือโลกไซเบอร์ เราเป็นคนกลุ่มน้อย แต่อย่าใส่ใจ ทุกคนมีสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์ ในพื้นที่แห่งนี้ ความเห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉะนั้น อย่าได้แคร์"
"พรชนก แสงวัชระกุล" (ตูน) ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเพราะลาออกมาเรียนต่อทางด้านสื่อสารมวลชน เพราะต้องการที่จะมาทำงานด้านนี้โดยตรง อยากเป็นนักข่าว โดยมีแรงจูงใจก้อมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจบจะทำงานด้านนี้จะตีแผ่ จะต่อสู้กับไอ้พวกสื่อลวงโลก แล้วจะขอเป็นสื่อมวลชนให้กับเสื้อแดงอีกคนหนึ่งในภายภาคหน้า
พรชนกมีอุดมการณ์ทางการเมืองจากเดิมที่ไม่เคยสนใจ แต่พอมีรายการความจริงวันนี้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกได้ว่าเราต้องร่วมต่อสู้เพื่อเอาความยุติธรรมกลับคืนมา ไม่เคยไปร่วมชุมนุมแต่พ่อไป ได้แต่ติดตามสถานการณ์ทางอินเตอร์เน็ต และร่วมต่อสู้ในโลกไซเบอร์ เสียใจกับเหตุการณ์ที่มีคนเสียชีวิต ทำให้รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มีเลยจิงๆในประเทศไทย
"เกลียดพวกที่ชอบดูถูกคนจนทั้งหลาย พวกหัวสูง แต่ใจต่ำ ฆ่าได้แม้กระทั่งชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่กลัวที่จะนำเสนอความจริงผ่านทางเฟซบุค ถ้าเราไม่กล้า ประเทศนี้ก้อจะยิ่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่คนตาบอด เคยเจอคนเข้ามาด่าใน msn ว่าเป็นควายมั่ง โง่มั่ง แต่ก้อไม่แคร์และก็ได้ตอบโต้ไปเรียบร้อย ยังมีพี่น้องอีกมากมายเค้ายังคิดสู้ แล้วทำไมเราจะต้องท้อถอย หัวใจคนเสื้อแดงมันยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาอะไรมาเทียบได้ ยิ่งผ่านเวลาอันโหดร้ายมาด้วยกัน ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้น "
"May-mae Tata Momay " วนิดา พัชรานันทา ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก แต่ขอใช้พื้นที่ทางอินเตอร์เน็ตแสดงความเห็นเพื่อบอกว่า "1ลมหายใจ=1เสียง " เคยร่วมการชุมนุมสมัยพฤษภาทมิฬ แต่เหตุการณ์ล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทย (ซาอุดิอารเบีย) รู้สึกล้าหลัง หดหู่ น่าสมเพศ ประเทศไทย มีจุดยืนเดียวกับเสื้อแดง คือ เรียกร้องความยุติธรรม ไม่กลัวว่าใครจะรู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงเจอคนด่าเสียๆหายๆ เพื่อนๆในชีวิตจริงไม่คุยด้วยแล้ว เลิกคบ คบเพื่อนใหม่ที่เป็นเสื้อแดง ถ้าไม่มีไพร่ศักดินาก็ไม่มีคนให้รีดไถ ชาวนาเป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ได้รู้สึกอะไร ภูมิใจกับความเป็นไพร่"
น.ส.ชิดชนก ชื่อเล่น หนูกิ๊ก อายุ 17ปี กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อธิบายว่า ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการยึดสนามบินนานาชาติ เคยเข้าร่วมการชุมนุมแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุมจึงยังไงเฝ้าติดตามอย่างใกล้
"รู้สึกคือความอบอุ่น ระหว่างพี่น้องเสื้อแดงทุกคน คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันไม่ว่าเราจะผ่านแก๊สน้ำตา ผ่านระเบิด ผ่านสไนเปอร์ อย่างบ้าคลั่งจากผู้มีอำนาจ และเสียใจมากที่สุดในสามโลกที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาแสดงความยินดีที่ รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม และสนับสนุนรัฐบาล(ของพวกเขา)ให้ฆ่าประชาชนอย่างบ้าเลือด พวกเค้าดีใจเป็นที่สุดที่เห็นผู้ที่คิดต่างจากพวกเค้าต้องตายเป็นสถิติ สูงที่สุดในการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมือง"
"รู้ซึ้งและเข้าใจถึงปัญหาคนรากหญ้าตลอดจนคนชั้นกลาง โดยเฉพาะในเขตชนบท เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เรารู้ถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้อง การจริงๆของพวกเค้า อีกอย่างก็คือจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน และคนเสื้อแดงพูดคุยกันได้ ถกเถียงกันได้และยินดีรับฟังความคิดของผู้อื่นเสมอนี่เป็นเรื่องที่ชอบมากที่สุด"
กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซ เป็นคนที่นับถือตัวเองมาก และเคารพในความคิดของตัวเองอย่างสุดพลังไม่สนใจใครหน้าทั้งสิ้น เพราะ"ใคร"ที่ว่ามันหน้าตาไม่เหมือนบรรพุบุรุษของเรา มันไม่เคยให้เรากิน เราไม่แคร์สื่อ เรายินดีและเต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่หลบๆซ่อนๆแล้วอยู่อย่างหวาดระแวง เจอหนักเหมือนเจอมรสุมชีวิตเลย หลักๆก็พวกคำก่นด่าด้วยถ้อยคำที่แบบ...ประมาณว่าสัตว์สี่เท้าไม่เคยคลานออก จากแป้นพิมพ์เลย...แต่มันแย่งกันพุ่งมาดั่งขีปนาวุธ.. "
"ที่สำเหนียกได้ก็คือการศึกษาไม่ได้ช่วย..ยกระดับความคิดของพวกเขาเลย ลำบากหน่อยนะคะกว่าจะพิสูจน์ว่าการไร้มารยาทจะอยู่คู่สังคมไทยยาวนานขนาดนี้ เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพผู้อื่นอีก อยากถามจริงๆว่าชาวนา คือ กระดูกสันหลังของประเทศไทยหรือเปล่า แล้วขอโทษนะคะ..พวกที่บอกว่าคนเสื้อแดงเป็นทาส คือ คุณจะแสดงความโง่เขลาให้คน อื่นรู้ไปถึงไหน"
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเสียงสะท้อนความคิดความเห็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่ยังมีอารมณ์คุกรุ่นไม่อาจจะดับไฟแห่งความโกรธและเคียดแค้นลงได้ ตราบใดที่ยังหาคนรับผิดชอบกับชีวิตของพี่น้องทั้งที่ร่วมอุดมการณ์แต่ไม่ได้ร่วมอุดมการณ์ต้องสังเวยถึง 90 ศพ ที่ต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ขอพื้นที่และกระชับพื้นที่ของรัฐบาลได้
โปรดติดตามฟังความคิดความเห็นของกลุ่มที่เห็นแตกต่างจากสาวกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรในตอนต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
บนพื้นที่สาธารณะที่ไม่จำกัดในระบบอินเตอร์เน็ตที่แสดงความคิดความเห็นได้อย่างอิสระเสรี บางความคิด ความเห็นของบางคนถูกขยายความจนกลายเป็นประเด็นเรื่องราวใหญ่โตโดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ มีหลายคนออกมาแสดงความคิดความเห็นรุนแรงไม่แพ้เหตุการณ์ ส่งข้อความผ่านทางเฟซบุคไปถึงเพื่อนในโลกไซเบอร์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก
จนบางครั้งกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่แฟน ประกาศตัดขาดความเป็นมิตร เพราะคิดเห็นไม่ตรงกัน เฟซบุคจึงกลายเป็นเวทีมวยที่มีคนออกมาสาดเสียเทเสียใส่กัน ในประเด็นสาธารณะดุเดือดยิงกว่าเรื่องส่วนตัว "ผัวเมียทะเลาะกัน" เสียอีก ดังนั้นการแสดงจุดยืนบนเฟซบุค จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากที่จะแสดงตัวและแสดงความเห็นได้อย่างอิสระเพราะมันอาจจะ"ถูกใจ"และ"ไม่ถูกใจ" แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่กล้าแสดงตัวและตอกย้ำความคิดความเห็นของตัวเองผ่านทางเฟซบุคท่ามกลางกระแสกดดันจากอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเห็นแตกต่าง
ขอยกตัวอย่างบรรดาสาวเสื้อแดงที่ประกาศตัวว่ามีเลือดแดงแบบเต็มขั้นบนหน้าจอเฟซบุคทั้งรูปและข้อความลองมาฟังความคิดความเห็นทางการเมืองของกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรกันบ้าง
"Phanitta รักครอบครัว " บอกว่า รักในความเป็นประชาธิปไตย เกลียดสองมาตรฐาน พูดง่ายๆประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเลยต่างหาก รักความยุติธรรม ความไม่เป็นธรรม ที่รัฐมีต่อประชาชนคนเสื้อแดง คนตายพูดไม่ได้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนเสื้อแดงเจ็บช้ำใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าการเรียกร้องแค่ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ (โดยถือว่าเป็นพื้นฐาน ของ ปชต) รัฐจะอำมหิตโหดเหี้ยมได้อย่างนี้ อยากจะถามว่ายังมีจิตใจเป็นคนกันอยู่ไหม คนเสื้อแดงไม่มีสิทธิอะไรเลยหรือย่างไร
"กล้าโพสต์ ไม่อายที่จะบอกใครว่าเราเป็นแดงรักแดงแค่ไหน ทำไมเราจะต้องกลัวว่าใครจะโกรธจะด่าเรายังไงใครไม่เห็นด้วยกะเรา เฟซบุคเป็น พื้นที่ของเรา บางท่านอาจจะยังไม่เคย รู้ผ่านหน้า wall ของเรา เพื่อนบางท่านให้ความสนใจและชอบเรื่องราวต่างๆที่เราโพสต์ ว่ามันเป็นความรู้ใหม่ๆ มุมมอง ใหม่ๆ และ เป็นเรื่องที่ทางสื่อไม่ค่อยนำเสนอแต่เราเอามาโพสต์เพื่อ ถ่ายทอดผ่านทางตัวหนังสือให้เพื่อนๆ ที่แดงไม่แดง และกลางๆได้อ่านกัน"
"แรงกดดันมีอย่ตลอด บนหน้า fb ตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าแสดงตนว่าเป็นแดงแค่ไหน เพื่อน รุ่นน้อง พี่ ใน fb ที่มีความเห็นต่าง ลบเราทิ้งหมด รุ่นน้องบางคน เคยชอบเรามาก แอบปลื้มเรา ดันมาด่าเรามาหาว่าเราเป็นพวกแดงล้มเจ้า ทำเพื่อ คนๆเดียว เราก็อธิบายให้เค้าฟัง ทุกอย่าง จนสุดท้าย มาด่ากันแหลกที่หน้า fb เลิกคบกันถาวรเลย ส่วนเพื่อนๆๆเก่าๆ สมัยมัธยม ก็ไม่ค่อยมาเม้นท์คงเบื่อไม่ชอบการเมืองมั้ง เพราะเราโพสต์แต่การเมือง เรื่องเครียด ๆ ส่วนพวกที่แอดมาด่าก็เยอะ แต่เราจัดการได้ โดยการชวนเพื่อนๆแดง มารุมด่า เดี๋ยวก็หนีไปเอง ช่วงหลังพยายามคัดกรองเพื่อน หรือ ใครที่ยินดีจะแอดมาด่าก็ไม่ว่า เชิญ... การโพสต์ไม่หยุดแน่นอน"
"คนที่ด่าว่าไพร่ ถามหน่อยเหอะว่าเข้าใจความหมายของไพร่ไหม ว่าหมายความว่าไร ก็คือประชาชนทั่วไปนี่แหละ พวกผู้รากมากดี ก็ไพร่เหมือนกัน เอาอะไรมากมาย สังคมตอนนี้ไม่ใช่มีแต่พวกไพร่+ชาวนาเท่านั้นนะที่เป็นแดง ถ้าใครไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่รู้หรอก"
นางสาวศศินันท์ เทศนา (แจม) อายุ 21 ปี กำลังศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล คณะบัญชี ชั้นปีที่ 4 และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เล่าว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันมีอุดมการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนมาโดยตลอด คุณพ่อและเพื่อนๆที่สนิทกันจะรู้ดีค่ะ คือเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนกับเรา จริงๆแล้วสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดงมาเป็นระยะเวลา 3-4 ปีแล้ว ถ้าไม่ติดธุระสำคัญจริงๆ ก็จะไปร่วมทุกครั้ง ไปคนเดียวบ้าง ไปกับคุณพ่อบ้าง หรือบางทีก็เจอใครที่เป็นเสื้อแดงเหมือนกันก็ไปกับ
"ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอะไรได้เลย ช่วงนั้นแจมเครียดมาก กินข้าวไม่ลงเลยอ่าค่ะ จนคุณพ่อต้องเตือนว่าไม่ให้ดูข่าวแล้ว เพราะยิ่งดูเราก็ยิ่งเครียดมากขึ้นๆ จำได้ว่าร้องไห้จนตาบวมทั้งๆที่พี่น้องเสื้อแดงทุกคนไม่ได้มีใครเป็นญาติแจมเลย แต่ด้วยความรู้สึกผูกพันกับการที่เรามีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาตลอด เพราะความรักที่แจมได้รับจากพี่น้องเสื้อแดงทุกคน มันรู้สึกเสียใจมากที่พี่น้องเราต้องมาเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่แจมเคยได้เห็น ภาพของพี่น้องเสื้อแดงที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกทำร้าย มันตอกย้ำให้เลือดอุดมการณ์ของแจมมันฉีดแรงขึ้น ได้แต่คิดในใจว่า แจมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเค้า และเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่"
"แจมเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง จะชอบหนังสือประเภทนี้มาก ประกอบกับมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แจมเลยซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆในเรื่องของความอยุติธรรมในสังคม แจมมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมานานแล้ว ใครที่รู้จักแจมทุกคนก็จะรู้ ไม่ค่อยหวั่นต่อกระแสความกดดันสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่แจมเป็นเสื้อแดงมา ไม่เคยต้องทะเลาะอะไรกับคนที่มีความเห็นที่ต่างกันเลยสักครั้ง เพราะแจมค่อนข้างมีเหตุผลและจะไม่ดูถูกความคิดของใคร ประมาณว่าใครจะมาว่าก็ตามสบาย แต่คุณต้องมีเหตุผลมากพอ ใครที่อยู่ดีๆก็อารมณ์เสียใส่ จะไม่คุยด้วยเด็ดขาด เพราะคุยไปก็เท่านั้น"
"แรกๆเจอ เยอะมาก ตามด่าแจมทุกคอมเม้นท์เลย โดนแบบว่าไม่เคยเจอใครมาด่าแรงขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย ตอนแรกร้องไห้เลย ไม่ได้ร้องไห้ที่เขามาด่าเรา แต่รู้สึกเสียใจที่ทำไมวันนี้คนไทยด้วยกันถึงมาทำร้ายกันด้วยคำพูดที่รุนแรง แบบนี้ แจมเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นคนไทยเหมือนกับพวกเค้าเหล่านั้น เราเป็นสายเลือดคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้ เสียใจมากค่ะ"
"จึงเขียนบทความบรรยายความรู้สึกของเราลงไปในเฟซบุค ฟอเวิดเมล์ บางท่านอาจเคยได้รับบทความ "จากคนไทยคนหนึ่งซึ่งมีหัวใจสีแดง" และ "แค่คนคิดต่าง" หลังจากนั้นกระแสก็ค่อยๆหายไป คือแจมจะพูดอยู่ตลอดค่ะว่า "เราแค่คิดต่างกัน แต่เราเป็นคนไทยเหมือนกัน" คือแจมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาคิดแบบแจม หรือให้แจมไปคิดแบบพวกคุณ แจมขอแค่เราไม่ดูถูกความคิดของกันและกันก็พอ คือในสังคมไทยปัจจุบันนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ ที่เราจะมีอุดมการณ์เหมือนกันทั้งประเทศ มันร้าวลึกจนเกินจะทำเช่นนั้นได้ ฉะนั้นแจมคิดว่า เราควรจะอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ไม่ดูถูกความคิดของกันและกัน แค่นั้นก็พอค่ะ"
"คนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่ไพร่เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมก็จะเป็นคนเหล่านี้ แล้วผิดตรงไหนที่เค้าจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม"
นางสาว ณภัทร เมืองเฉลิม อายุ 22 ปี เรียนที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม ใช้ชื่อในเฟซบุคว่า "Crisiz" บอกว่า ขอเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ คนจนเท่าเทียมกับคนมีเงิน แค่นี้แหละ ความยุติธรรมมีจริงจากนักการเมือง เคยเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงและยืนยันว่าไปบ่อยมาก แต่ในช่วงเหตุการณ์วันสลายที่ราชประสงค์ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่อยู่ที่พระราม4 บ่อนไก่
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษถาคม น.ส.ณภัทร บอกว่า "กรรมมีจริง คนที่คิดชั่วทำชั่ว ฆ่าประชาชนก็จะได้รับกรรมตามสนอง และรู้สึกเสียใจที่คนไทยฆ่ากันเอง ทั้งๆที่การชุมนุมไม่ได้ผิดกฎหมายตามหลักประชาธิปไตย"
เหตุผลของการเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง?
"เพราะเห็นว่าปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย แต่กลายเป็นเผด็จการซ่อนรูป เลยต้องการมาเข้าร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย กับคนเสื้อแดง เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูด และไม่กลัวใครว่าแม้จะไปโพสต์หน้าเฟซบุคว่าเป็นคนเสื้อแดงเพราะเราเลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
"เพื่อนๆที่เฟสบุ๊คเข้าใจเพราะส่วนมากเป็นคนเสื้อแดง แต่ส่วนน้อยก็เคยเจอด่าในเฟซบุคว่า โง่ โดนหลอก โดนเป่าหู แต่เราก็บอกกลับไปว่า เราโตแล้วคิดเองได้ไม่ได้มีใครเป่าหู เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นแตกต่างกันได้ ก็อธิบายให้เค้าฟัง เราก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง อย่าคิด ว่า ไพร่ ชาวนาโง่นะคะ ถ้าเค้าโง่เค้าคงไม่มาเป็นคนเสื้อแดงหรอกคะ"
สาวเสื้อแดงคนต่อไปทีเพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาใช้นางสาว ใช้ชื่อว่า "ฮานิว ๐เเก๊งมังกรหยก๐" น.ส. นัยนา บุตรศรี ชื่อเล่น ฮานิว อายุ 15 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนสายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมป์ เสนอความเห็นอุดมการทางการเมือง ว่า "การเป็นประชาธิปไตย ต่อคนทุกภาคส่วน ฐานะอะไรต้องมีซึ่งความเป็นประชาธิปไตยคงอยู่ เเละประชาธิปไตยต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์หรือความดีนั่นเอง ไม่ได้มาจาการต้องเข่นฆ่าผู้คนเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการ"
ฮานิว เล่าว่า เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งเต่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจนมาถึงแยกราชประสงค์ ตอนที่อยู่สะพานผ่านฟ้าเกือบตกอยู่ในเหตุการณ์ 10เมษายน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เสียคนรู้จักไป 1 คน เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตที่เด็กอายุ 15 ปี ได้รับรู้เลยก็ว่าได้บางครั้งคิดว่าอยากผ่านเลยไปเหมือนเด็กคนอื่นๆ หรือเเบบเพื่อนๆ เเต่ทำไม่ได้
"แม้คนที่ตายไปไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา เเต่ยอมไม่ได้ คือ ฮานิวรับไม่ได้กับการฆ่าคนที่สุดเเล้ว เล้วเราคนไทยมาฆ่ากันเอง มันไม่ใช่เลย รับไม่ได้ตรงนี้คะเลยทำให้ อยู่เฉยไม่ได้ๆ" ฮานิว ย้ำอีกครั้ง
น.ส.นัยนา บอกถึง เหตุผลของการเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพราะว่า ได้รับน้ำใจที่คนในที่ชุมนุมมีให้แก่กัน รับไม่ได้ที่คนเสื้อเเดง หรือคนรากหญ้า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร คนรากหญ้าก็คนไทย
"ทุกคนต้องได้หมดไม่ใช่ว่า เค้าคนจน เเล้วเราก็ทิ้งขว้าง การที่ฆ่ากันอันนี้ก็รับไม่ได้คะ ที่ทหารฆ่าเสื้อเเดง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเห็นคนเสื้อเเดง ตอนไปชุมนุมอยากอาบน้ำน้ำขอยืมผ้าถุงป้าๆเขาก็ให้ยืมเพราะเราไม่ได้เตรียมไป อาหารการกินก็เเค่เดินผ่านเต้นท์ที่เเจกข้าว เค้าก็เเจกให้ ทั้งๆที่เราก็อิ่มเเล้วเเต่ก็รับไว้ด้วยความมีน้ำใจ ส่วนตัวเคยเอาขนมไปเเจกๆพี่ๆการ์ด เสื้อเเดงด้วย"
ฮานิว อธิบายว่า ที่กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซบุ๊คว่า "จะมีที่ไหนอีกไหมละคะ ที่จะให้เราออกความคิดเห็นได้ ออกไปทำข้างนอกโทงๆ เดี๋ยวได้เป็นผีไม่รู้ตัวพอดีคะ(หัวเราะ)"
"ต้องยอมรับว่าในเฟซบุ๊คก็เจอแรงกดดันเหมือนกันเพราะว่าบางครั้งมีคนที่ไม่ชอบคนเสื้อเเดงก็พิมพ์มาด่าเรากดดันเหมือนกัน ความคิดไม่เหมือนกัน เเต่ถ้ามีคนมาพูดประมาณว่า "คนเสื้อเเดง ตายไปได้ก็ดีหนักเเผ่นดิน" อันนี้ยอมไม่ได้จริงๆคงได้เห็นดีกันแน่ ความเห็นเตกต่างกัน เเต่เราคนไทยด้วยกันคะ เเต่ฮานิวรับไม่ได้กับการทีสนับสนุนให้ฆ่ากัน ทหารที่ยิงประชาชน มีจิตสำนึกที่จะไม่ยิงได้ คุณเป็นทหารคำสอน คือ อะไรให้รักชาติปกป้องคนในชาติเเล้วคุณมายิงคนในชาติ ไปขายปาท่องโก๋ทอดเถอะ"
"ไพร่ ก็คือ สามัญชนคนธรรมาคุณก็ใช่ ชาวนาก็สามัญชน ชาวนาปลูกข้าว ตอนเด็กๆไม่เคยพูดก่อนกินข้าวเหรอชาวนาหนื่อยยาก ลำบากหนักหนา ก็ชาวนานี่หละที่ทำให้คุณมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ ไพร่กะชาวนา ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะมันจน ต่ำต้อย ต้องให้อยู่ ใต้ตีนคุณอย่างเดียวหรือ?" ความคิดความเห็นของสาวแรกรุ่น
สำหรับสาววัยทำงานอย่าง "อุไรวรรณ รอดหลัก" อาชีพsale อายุ 32 ใช้ชื่อว่า "Uraiwan Rodlak" ให้ความเห็นว่า นักการเมืองต้องเห็น คนเท่าเทียมกัน ดูแลเท่าเทียม เลิกให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่ม เคยเข้าร่วมชุมนุมและออกไปเรียกร้องตามจุดต่างๆร่วมกับคนเสื้อแดง
"ไม่ชอบรัฐบาลที่มองคนเป็นควาย หรืองสิ่งไม่มีชีวิต เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีปัญญาแก้ปัญหา ใช้ความทะเยอทะยานที่มีในทางที่ผิด พูดสวยหรูดูดีแต่แฝงความร้ายไว้ สงสาร ประชาชนที่เสียชีวิตไม่เคยมีนายกคนไหนให้ประชาชนมาตีกันเองเหมือน นายกฯคนนี้ ที่ต้องเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเพราะรัฐบาลไม่เห็นคนเป็นคนกล้าทำการสลายสั่งฆ่าได้ กระชับพื้นที่หรือกระชับชีวิตคนกันแน่ ไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษแต่มีแค่เสียใจ ประโคมข่าว บิดเบือน แทรกแซงทุกสิ่งที่กระทบความความมั่นคงของตัวเอง ไม่เคยผิดรัฐบาลลูกเทวดา ไม่เคยกลัวที่จะเป็นเสื้อแดง เราห็นคนเป็นคน เท่าเทียมกันไม่ว่าคนกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด "
"เรากล้าแสดงจุดยืน ไม่ว่าโดดเดี่ยวแค่ไหนเพราะเราเห็นคนเป็นคนเท่ากัน และเชื่อว่ามีพวกมากมายบนfacebook ไม่กดดันใครด่ามาก็ด่าตอบแน่วแน่และมีความสุขที่เป็นเสื้อแดง ตึกรามบ้านช่องเสียไปสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตที่เสียไปสร้างใหม่ไม่ได้ รวมทั้งความผูกพันที่เกิดกับคนมันมากมายมากกว่า ตึกรามบ้านช่องเสียอีก"
นิ้งหน่อง อายุ 21 ปี ศึกษาที่ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปี 4 พยายามบอกทุกคนว่า "รักเสื้อแดงเข้าใจมั้ย" และรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้รัฐบาลลาออกอยากให้ความจิงเปิดเผย เห็นว่ารัฐบาล 2 มาตรฐานและไม่กลัวเพราะมันเป็นอุดมการณ์ของเรา เคยเจอพวกสลิ่มเข้ามาก่อกวน ด่ากลับ ตอกกลับ และก็ลบออกไปค่ะ อยากจะบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ไพร่กะชาวนา คนมีการศึกษาก็มีอีกมากกกค่ะ อยากบอกว่าพวกที่คิดแบบนั้นน่ะ คิดผิด
"Nindë Vardamir รักอินทรีย์ทอง" นางสาว ภัชชารีญา ชัยได้สุข อายุ 18 ปี มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาภาคพายัพ คณะ บริหารธุรกิจ สาขา International Business Management ประกาศตัวเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประชาธิปไตยที่กินได้ รู้สึกหดหู่ และ โกรธแค้นมาก ที่ทำกับคนเสื้อแดงทำไมต้องเป็นแบบนี้ เศร้า ความรู้สึกมันเลวร้ายกว่านั้น เห็นชัดๆ คือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้
"ไม่กลัวที่จะโพสต์ Status เป็นเสื้อแดงน่าภูมิใจออก มีบ้างที่มีคนไม่พอใจเข้ามาโพสต์ด่า ว่าแรงๆ แต่เราไม่สนใจ รู้สึกเฉยๆ ลบข้อความไปหรือไม่ก็ลบออกจากเพื่อน (ถ้าไม่ได้ สนิทหรือเป็นแค่เพื่อนออน์ไลน์) คนที่มองว่าคนเสื้อแดงเป็นไพร่ ถามว่าเป็นไพร่กันทุกคนไม่ใช่เหรอ? ชาวนาเป็นอาชีพที่สุจริต เค้าจะว่าไงก็ช่าง แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แค่ชาวนาเท่านั้น"
"Brandon Boyd " น.ส. ภัทรพร ภูริดำรงกุล นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความต้องการว่า อยากได้ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน มีการถ่วงดุลอำนาจภาคประชาชน ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกความคิดเห็นในรูปแบบประชาธิปไตย เคยไปชุมนุมบ้างถ้ามีโอกาส รัฐบาลปิดกั้นสื่อและสร้างวาทกรรม ว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เลือกปฎิบัติ รู้สึกแย่ที่ทางรัฐบาลออกมาแถลงการณ์บิดเบือนกับ ความเป็นจริง ไม่ต้องการให้อำนาจ รัฐธรรมนูญอยู่กับคณะหนึ่งคณะใด หรือชนชั้นปกครอง
"ต้องการโพสต์ข้อความ เพื่อกระจายข่าวส่งไปยังผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองในทิศทางเดียวกัน และนำเสนอมุมมองความคิดให้ผู้อื่นได้รับทราบ เจอส่งข้อความมาด่า เอารูปไปประจาน แต่รู้สึกเฉย ๆ รู้อยู่แล้วคนไทยบางกลุ่มชอบหยาบคายมากกว่าการใช้เหตุผล และชอบตัดสินคนคิดต่าง และคนที่เรียกคนอื่นว่าไพร่มันเป็นสิ่งที่คนชนชั้นกลางในเมืองสร้างวาทกรรม "เหมารวม" จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงก็มีทุกระดับทางสังคม"
"Tangmoez Kim" อายุ 21 ปีเรียนอยู่ชั้นปีที่4 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม บอกว่า "เคยเข้าร่วมชุมนุม ทั้งอยู่ที่บ้านที่ศาลากลาง และสี่แยกราชประสงค์ เหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม คิดอยู่แล้วจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น รู้สึกแย่ ที่นายกฯให้ความสำคัญกับตึก/อาคาร มากกว่าชีวิตของคนที่ตายไป ไม่ได้สนับสนุนการเผาเลย แต่มองว่ามีแค่ชีวิตเท่านั้นที่เสียไปแล้ว ไม่มีทางได้กลับคืนมา อยากจะถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล รัฐบาลรับผิดชอบเรื่องตึกไหม้ได้ แล้วจะรับผิดชอบชีวิตคนที่ตายในการชุมนุมด้วยได้หรือไม่ อย่า โทษว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย เพราะยังไงเสีย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันก็เกิดขึ้นขณะที่รัฐบาลชุดนี้กำลังปฏิบัติงานอยู่
การแสดงความคิดความเห็นบนเฟซบุคมันเป็นสิทธิเสรีภาพ ...สิทธิเสรีภาพจริงๆ ที่เราสามารถทำได้ พื้นที่บนอินเตอร์เน็ตเปิดกว้าง มีที่ให้สำหรับทุกคน ใครชอบอะไรก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องรักต้องชอบเหมือนกันหมดทั้งโลก แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ชอบเสื้อแดงรักเสื้อแดงผิดหมด ต้องชอบเสื้อเหลือง เท่านั้นถึงจะเป็นเสรีภาพ อันนี้ก็ไม่สนค่ะ...ไม่แคร์"
"ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนที่เข้าหน้าเฟซบุคของเรา เอาเรื่องที่เราเป็นเสื้อแดงไปบอกอีกคนและคนนั้นก็โพสต์ด่าเราใหญ่เลย ในเฟซบุคของเขาที่ เรามองไม่เห็น...มาบอกว่าเราดีแต่ปาก ไม่ยอมออกไปชุมนุม เราก็เลยโพสต์รูปที่เราไปชุมแปะไว้...ท้าตีท้าต่อย...ถ่อยตามกมลสันดานและที่สำคัญก็ คือ ดีแต่ปากสรุปก็ลบออกจากเพื่อนและบล็อค เขาชอบของเเขาได้ ทำไมเราจะชอบบ้างไม่ได้ ใครที่คิดไม่เหมือนกัน ลบออกให้หมด เราไม่ชอบเขาเขาก็ไม่ชอบเราจะเก็บไว้ทำไม ได้แต่ปล่อยเค้าไป ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำคว่ำขัน ชาติหน้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย...สาธุ มีคนอีกตั้งเยอะที่คิดเหมือนเราและ เป็นเพื่อนกันได้"
"จะเรียกว่าพวกเราเป็นไพร่หรืออะไรก็ได้ต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ทำมาหากิน มีธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวย ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจถึงจะทำให้ทำมาหากินได้สะดวกพวกที่แบมือขอเงินพ่อแม่ กินบุญเก่าหรือทำนาบนหลังคน ไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก" นักศึกษาปี 4 ม.สารคามกล่าวทิ้งท้าย
"wran bamboo" อายุ 30 การศึกษาจบปริญญาตรี แสดงความเห็นเรื่อง คำว่า ประชาธิไตย หมายถึงระบอบการปกครองประเทศระบอบหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เคยเข้าร่วมชุนนุม ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ วันที่ 10 เมษายน อยู่ที่บริษัทไทยคม ดูถ่ายทอดสดการสลายผู้ชุนนุมที่นั่น เศร้าใจกับการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาล เสียใจที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิต
"เราคิดว่าพวกเราต้องชนะ เพราะมีคนตายเยอะ รัฐบาลคงจะอยู่ต่อไม่ได้ แต่ไม่เป็นไปตามที่คิดรัฐบาลลอยนวล วันที่ 19 พฤษภาคม ที่สั่งสลายการชุนนุม ช็อคไป สองสามวัน คิดว่าทำไมบ้านเมืองถึงถอยหลังเข้าคลองแบบนี้ ยิ่ง ศอฉ. ออกมาแก้ตัวมากเท่าไร รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มี รัฐบาลพยายามยัดเยียดให้เราเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้สื่อโจมตีเราให้ข่าวบิดเบือน ปิดหูปิดตาประชาชน ทั้งๆ ที่ประชาชนที่มาชุนนุมเป็นเพียงชาวบ้านมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้นเอง"
"wran bamboo" บอกว่า การมาเรียกร้องให้ยุบสภาเป็นการเรียกร้องที่ไม่มากมายจนเกินไป เมื่อรัฐบาลทำงานไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ควรยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล เขามาเรียกร้อง เพราะขาดแคลน เพราะหิวโหย เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เราเป็นชนชั้นกลาง ที่มีการศึกษา มีอินเตอร์เนต มีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้มากกว่าพวกเขา เราจะไม่ออกมาช่วยพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่เขากับเราต้องการ คือ สิ่งเดียวกันนั่น คือ ประชาธิปไตย
"เฟซบุค เป็นพื้นที่ ส่วนตัว เรามีสิทธิ์ที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ จะโพสต์ในกลุ่มของเราเอง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่าในเฟซบุคหรือโลกไซเบอร์ เราเป็นคนกลุ่มน้อย แต่อย่าใส่ใจ ทุกคนมีสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์ ในพื้นที่แห่งนี้ ความเห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉะนั้น อย่าได้แคร์"
"พรชนก แสงวัชระกุล" (ตูน) ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเพราะลาออกมาเรียนต่อทางด้านสื่อสารมวลชน เพราะต้องการที่จะมาทำงานด้านนี้โดยตรง อยากเป็นนักข่าว โดยมีแรงจูงใจก้อมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจบจะทำงานด้านนี้จะตีแผ่ จะต่อสู้กับไอ้พวกสื่อลวงโลก แล้วจะขอเป็นสื่อมวลชนให้กับเสื้อแดงอีกคนหนึ่งในภายภาคหน้า
พรชนกมีอุดมการณ์ทางการเมืองจากเดิมที่ไม่เคยสนใจ แต่พอมีรายการความจริงวันนี้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกได้ว่าเราต้องร่วมต่อสู้เพื่อเอาความยุติธรรมกลับคืนมา ไม่เคยไปร่วมชุมนุมแต่พ่อไป ได้แต่ติดตามสถานการณ์ทางอินเตอร์เน็ต และร่วมต่อสู้ในโลกไซเบอร์ เสียใจกับเหตุการณ์ที่มีคนเสียชีวิต ทำให้รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มีเลยจิงๆในประเทศไทย
"เกลียดพวกที่ชอบดูถูกคนจนทั้งหลาย พวกหัวสูง แต่ใจต่ำ ฆ่าได้แม้กระทั่งชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่กลัวที่จะนำเสนอความจริงผ่านทางเฟซบุค ถ้าเราไม่กล้า ประเทศนี้ก้อจะยิ่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่คนตาบอด เคยเจอคนเข้ามาด่าใน msn ว่าเป็นควายมั่ง โง่มั่ง แต่ก้อไม่แคร์และก็ได้ตอบโต้ไปเรียบร้อย ยังมีพี่น้องอีกมากมายเค้ายังคิดสู้ แล้วทำไมเราจะต้องท้อถอย หัวใจคนเสื้อแดงมันยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาอะไรมาเทียบได้ ยิ่งผ่านเวลาอันโหดร้ายมาด้วยกัน ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้น "
"May-mae Tata Momay " วนิดา พัชรานันทา ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก แต่ขอใช้พื้นที่ทางอินเตอร์เน็ตแสดงความเห็นเพื่อบอกว่า "1ลมหายใจ=1เสียง " เคยร่วมการชุมนุมสมัยพฤษภาทมิฬ แต่เหตุการณ์ล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทย (ซาอุดิอารเบีย) รู้สึกล้าหลัง หดหู่ น่าสมเพศ ประเทศไทย มีจุดยืนเดียวกับเสื้อแดง คือ เรียกร้องความยุติธรรม ไม่กลัวว่าใครจะรู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงเจอคนด่าเสียๆหายๆ เพื่อนๆในชีวิตจริงไม่คุยด้วยแล้ว เลิกคบ คบเพื่อนใหม่ที่เป็นเสื้อแดง ถ้าไม่มีไพร่ศักดินาก็ไม่มีคนให้รีดไถ ชาวนาเป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ได้รู้สึกอะไร ภูมิใจกับความเป็นไพร่"
น.ส.ชิดชนก ชื่อเล่น หนูกิ๊ก อายุ 17ปี กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อธิบายว่า ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการยึดสนามบินนานาชาติ เคยเข้าร่วมการชุมนุมแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุมจึงยังไงเฝ้าติดตามอย่างใกล้
"รู้สึกคือความอบอุ่น ระหว่างพี่น้องเสื้อแดงทุกคน คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันไม่ว่าเราจะผ่านแก๊สน้ำตา ผ่านระเบิด ผ่านสไนเปอร์ อย่างบ้าคลั่งจากผู้มีอำนาจ และเสียใจมากที่สุดในสามโลกที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาแสดงความยินดีที่ รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม และสนับสนุนรัฐบาล(ของพวกเขา)ให้ฆ่าประชาชนอย่างบ้าเลือด พวกเค้าดีใจเป็นที่สุดที่เห็นผู้ที่คิดต่างจากพวกเค้าต้องตายเป็นสถิติ สูงที่สุดในการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมือง"
"รู้ซึ้งและเข้าใจถึงปัญหาคนรากหญ้าตลอดจนคนชั้นกลาง โดยเฉพาะในเขตชนบท เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เรารู้ถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้อง การจริงๆของพวกเค้า อีกอย่างก็คือจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน และคนเสื้อแดงพูดคุยกันได้ ถกเถียงกันได้และยินดีรับฟังความคิดของผู้อื่นเสมอนี่เป็นเรื่องที่ชอบมากที่สุด"
กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซ เป็นคนที่นับถือตัวเองมาก และเคารพในความคิดของตัวเองอย่างสุดพลังไม่สนใจใครหน้าทั้งสิ้น เพราะ"ใคร"ที่ว่ามันหน้าตาไม่เหมือนบรรพุบุรุษของเรา มันไม่เคยให้เรากิน เราไม่แคร์สื่อ เรายินดีและเต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่หลบๆซ่อนๆแล้วอยู่อย่างหวาดระแวง เจอหนักเหมือนเจอมรสุมชีวิตเลย หลักๆก็พวกคำก่นด่าด้วยถ้อยคำที่แบบ...ประมาณว่าสัตว์สี่เท้าไม่เคยคลานออก จากแป้นพิมพ์เลย...แต่มันแย่งกันพุ่งมาดั่งขีปนาวุธ.. "
"ที่สำเหนียกได้ก็คือการศึกษาไม่ได้ช่วย..ยกระดับความคิดของพวกเขาเลย ลำบากหน่อยนะคะกว่าจะพิสูจน์ว่าการไร้มารยาทจะอยู่คู่สังคมไทยยาวนานขนาดนี้ เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพผู้อื่นอีก อยากถามจริงๆว่าชาวนา คือ กระดูกสันหลังของประเทศไทยหรือเปล่า แล้วขอโทษนะคะ..พวกที่บอกว่าคนเสื้อแดงเป็นทาส คือ คุณจะแสดงความโง่เขลาให้คน อื่นรู้ไปถึงไหน"
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเสียงสะท้อนความคิดความเห็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่ยังมีอารมณ์คุกรุ่นไม่อาจจะดับไฟแห่งความโกรธและเคียดแค้นลงได้ ตราบใดที่ยังหาคนรับผิดชอบกับชีวิตของพี่น้องทั้งที่ร่วมอุดมการณ์แต่ไม่ได้ร่วมอุดมการณ์ต้องสังเวยถึง 90 ศพ ที่ต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ขอพื้นที่และกระชับพื้นที่ของรัฐบาลได้
โปรดติดตามฟังความคิดความเห็นของกลุ่มที่เห็นแตกต่างจากสาวกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรในตอนต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
‘รัฐบาลเผด็จการ’ยังตายหยังเขียด
นี่, “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ นายกฯ มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยืดอายุต่อลมหายใจได้อย่างไร ท่ามกลาง กระแสคนที่เกลียด??
ไล่เรียงมาดูกัน “รัฐบาลเผด็จการ” ไม่ว่าจะเป็น “ถนอม-ประภาส”, “เกรียงศักดิ์”, “สุจินดา” “สุรยุทธ์” ที่อาศัยอำนาจ “ปลายกระบอกปืน” ยังไม่กล้าทำทุเรศ! ทุรัง! ทุกเรื่องเช่นนี้
“คอร์รัปชั่น” กันอ้าซ่า...ใจกล้ารับประทานเปิดเผย แบบประเทศนี้ไม่เคยมี
หนำซ้ำทำร้าย “ข้าราชการ” ผู้มีจิตใจเป็นธรรม วางตัวเป็นกลาง อย่างไม่อีนังขังขอบ สร้างแรงเกลียดชังไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด-นายอำเภอ-ทหาร-ตำรวจ-ครู” ต่างชัง “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ไปทั่ว...ไม่ชอบก็ปลด! ..ใคร “เชลียร์” ก็แต่งตั้งเป็นใหญ่ เสร็จสรรพ!!!
นี่กล้ายิ่งกว่า “รัฐบาลเผด็จการ”....เห็นถ้าจะอยู่ไม่นาน?..ใกล้เวลากลับบ้าน แล้วสิครับ??
******************************
ใกล้บรรลุแผน ‘บันได ๓ ขั้น’!!
กระชับพื้นที่ ใกล้แค่เอื้อมมาทุกที ..โอกาส การเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย ไงล่ะทั่น???
เลือกตั้งเที่ยวหน้า วางหมากจะทำพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคขนาดกลางเอ็มเอสอี ให้ได้ ส.ส.ระดับ “๖๐-๗๐คน” ทั่วทั้งประเทศ
โดน “เดอะห้อยเนวิน”...กะคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน เป็น “นายกรัฐมนตรี” เบ็ดเสร็จ
โดยจะเขี่ย และโล๊ะเมี๊ยะทิ้ง “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับที่เคย แปรพักตร์หนี จาก “อดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา”, “นายกฯ จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ..ซึ่งเลือกตั้งครั้งหน้า “เนวิน” ก็ครบกำหนด “เว้นวรรค” กลับมาเล่นการเมืองได้..ประกอบกับการเลือกตั้งที่จะถึง ไม่มีพรรคใหญ่พรรคไหน ชนะอย่างแบเบอร์!!!
ด้วยเสียงส.ส. ๖๐-๗๐ คน.. “เนวิน” เชื่อส้มจะหล่น?..ส่งตนเป็นนายกฯ สบายเลยล่ะเธอ??
********************************
เหมือน‘กบ’ที่อยู่ในกะลา!!
“นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่างเป็นหมูในอวย ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สำหรับ “บัตรสมาร์ทการ์ด” ที่มีปัญหา???
ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องมีสายตามองทะลุปรุโปร่งกันทุกเรื่อง...แต่เรื่องนี้มีคนใน “กระทรวงมหาดไทย” ไปเคาะเรียกเงินใต้โต๊ะ จากบัตรสมาร์ทการ์ด ๒๖ ล้านใบ..ใบละ ๕๐ สตางค์ เป็นเงิน “๑๓ ล้าน”
“ผู้ประมูล” จนปัญญา....ไม่รู้ว่า จะหาเงินที่ไหนมา จ่ายกัน
เพราะเท่าที่ประมูล “บัตรสมาร์ทการ์ด” นั้น...ต่าง “ฟันราคา” กันต่ำติดดิน...จากยอดประมูล “๙๐ บาท”... ลดพรวดพราด เหลือแค่ “๓๔ บาท”.. ขืนจ่ายหัวคิว “๑๓ ล้านบาท” ก็เจ๊งกะบ๊งเท่านั้น...ที่แน่ๆ การส่งบัตรสมาร์ทการ์ดคืน ประชาชนทั้งประเทศเดือนร้อนกันทั่วหน้า!!!!
“มาร์ค” ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ...ช่วยตามล้างตามเช็ด?...ฟันเรื่องนี้ให้เสร็จ หน่อยเถิดหนา?
************************************
ใช้นโยบาย ‘อ้อลู่ลม’!!
ไม่ขัดไม่ขืน ไม่เป็นจระเข้ไปขวางคลองใคร..ทุกสิ่งทุกอย่าง “คุณพี่มานิตย์ วัฒนเสน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย รู้จักเอามา ประสาน ประสม??
จะเห็นว่า ในฐานะเดี่ยวมือหนึ่ง “ท่านปลัดฯ มานิตย์” ไม่เคยไปเหยียบตาปลาใคร
ด้วยสโลแกนที่ว่า “เห็นด้วย-ช่วยเงียบ -เหยียบเอาไว้”
ดังนั้น, จึงไม่มีแรงกดดัน จากการซีกนักการเมือง ในการโยกย้ายให้ “คุณพี่มานิตย์” ปลัดจากตำแหน่งปลัด!..เพราะมีอะไร ท่านก็เก็บทุกเรื่อง เอาไว้ “เป็นความลับ”???
ไม่มีปัญหากับนักการเมือง.....ไม่ทำให้เค้าเคือง?..ท่านจึงอยู่โดยไม่เปลืองตัว ไงล่ะครับ??
*********************************
ไม่ต้อง “สร้างภาพ”จนคนด่า!!
ทำดี ใครก็เห็น ก้อ.. “คุณพี่สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้คุมกฎแห่งพรรครวมชาติพัฒนา??
ยามนี้ “ประเทศไทย” ถอยหลังสุดกู่ตกถนนจนโงหัวไม่ขึ้น...แต่ “คุณพี่สุวัจน์” ก็สร้างเครดิต ให้คนทั่วโลกยอมรับประเทศไทย
ผลงานเยี่ยมเปี่ยมคุณภาพเช่นนี้ ไม่เชียร์ คงไม่ได้
เมื่อ “ท่านสุวัจน์” เป็นหัวหอกในการจัด “เทนนิสไทยแลนด์โอเพ่น” ในเดือนกันยายน ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเชิญนักเทนนิสเบอร์หนึ่งของโลก “ราฟาเอล นาดาล” ยอดนักหวดลูกสักหลาด เมืองกระทิงดุ สเปน มาเป็นตัวชูโรง ในรายการนี้!!!!
“อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์” ทำงานหนัก...เพื่อกู้ภาพลักษณ์?..ให้ไทยกลับมาประจักษ์อีกที
-----------------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ไล่เรียงมาดูกัน “รัฐบาลเผด็จการ” ไม่ว่าจะเป็น “ถนอม-ประภาส”, “เกรียงศักดิ์”, “สุจินดา” “สุรยุทธ์” ที่อาศัยอำนาจ “ปลายกระบอกปืน” ยังไม่กล้าทำทุเรศ! ทุรัง! ทุกเรื่องเช่นนี้
“คอร์รัปชั่น” กันอ้าซ่า...ใจกล้ารับประทานเปิดเผย แบบประเทศนี้ไม่เคยมี
หนำซ้ำทำร้าย “ข้าราชการ” ผู้มีจิตใจเป็นธรรม วางตัวเป็นกลาง อย่างไม่อีนังขังขอบ สร้างแรงเกลียดชังไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด-นายอำเภอ-ทหาร-ตำรวจ-ครู” ต่างชัง “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ไปทั่ว...ไม่ชอบก็ปลด! ..ใคร “เชลียร์” ก็แต่งตั้งเป็นใหญ่ เสร็จสรรพ!!!
นี่กล้ายิ่งกว่า “รัฐบาลเผด็จการ”....เห็นถ้าจะอยู่ไม่นาน?..ใกล้เวลากลับบ้าน แล้วสิครับ??
******************************
ใกล้บรรลุแผน ‘บันได ๓ ขั้น’!!
กระชับพื้นที่ ใกล้แค่เอื้อมมาทุกที ..โอกาส การเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย ไงล่ะทั่น???
เลือกตั้งเที่ยวหน้า วางหมากจะทำพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคขนาดกลางเอ็มเอสอี ให้ได้ ส.ส.ระดับ “๖๐-๗๐คน” ทั่วทั้งประเทศ
โดน “เดอะห้อยเนวิน”...กะคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน เป็น “นายกรัฐมนตรี” เบ็ดเสร็จ
โดยจะเขี่ย และโล๊ะเมี๊ยะทิ้ง “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับที่เคย แปรพักตร์หนี จาก “อดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา”, “นายกฯ จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ..ซึ่งเลือกตั้งครั้งหน้า “เนวิน” ก็ครบกำหนด “เว้นวรรค” กลับมาเล่นการเมืองได้..ประกอบกับการเลือกตั้งที่จะถึง ไม่มีพรรคใหญ่พรรคไหน ชนะอย่างแบเบอร์!!!
ด้วยเสียงส.ส. ๖๐-๗๐ คน.. “เนวิน” เชื่อส้มจะหล่น?..ส่งตนเป็นนายกฯ สบายเลยล่ะเธอ??
********************************
เหมือน‘กบ’ที่อยู่ในกะลา!!
“นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่างเป็นหมูในอวย ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สำหรับ “บัตรสมาร์ทการ์ด” ที่มีปัญหา???
ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องมีสายตามองทะลุปรุโปร่งกันทุกเรื่อง...แต่เรื่องนี้มีคนใน “กระทรวงมหาดไทย” ไปเคาะเรียกเงินใต้โต๊ะ จากบัตรสมาร์ทการ์ด ๒๖ ล้านใบ..ใบละ ๕๐ สตางค์ เป็นเงิน “๑๓ ล้าน”
“ผู้ประมูล” จนปัญญา....ไม่รู้ว่า จะหาเงินที่ไหนมา จ่ายกัน
เพราะเท่าที่ประมูล “บัตรสมาร์ทการ์ด” นั้น...ต่าง “ฟันราคา” กันต่ำติดดิน...จากยอดประมูล “๙๐ บาท”... ลดพรวดพราด เหลือแค่ “๓๔ บาท”.. ขืนจ่ายหัวคิว “๑๓ ล้านบาท” ก็เจ๊งกะบ๊งเท่านั้น...ที่แน่ๆ การส่งบัตรสมาร์ทการ์ดคืน ประชาชนทั้งประเทศเดือนร้อนกันทั่วหน้า!!!!
“มาร์ค” ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ...ช่วยตามล้างตามเช็ด?...ฟันเรื่องนี้ให้เสร็จ หน่อยเถิดหนา?
************************************
ใช้นโยบาย ‘อ้อลู่ลม’!!
ไม่ขัดไม่ขืน ไม่เป็นจระเข้ไปขวางคลองใคร..ทุกสิ่งทุกอย่าง “คุณพี่มานิตย์ วัฒนเสน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย รู้จักเอามา ประสาน ประสม??
จะเห็นว่า ในฐานะเดี่ยวมือหนึ่ง “ท่านปลัดฯ มานิตย์” ไม่เคยไปเหยียบตาปลาใคร
ด้วยสโลแกนที่ว่า “เห็นด้วย-ช่วยเงียบ -เหยียบเอาไว้”
ดังนั้น, จึงไม่มีแรงกดดัน จากการซีกนักการเมือง ในการโยกย้ายให้ “คุณพี่มานิตย์” ปลัดจากตำแหน่งปลัด!..เพราะมีอะไร ท่านก็เก็บทุกเรื่อง เอาไว้ “เป็นความลับ”???
ไม่มีปัญหากับนักการเมือง.....ไม่ทำให้เค้าเคือง?..ท่านจึงอยู่โดยไม่เปลืองตัว ไงล่ะครับ??
*********************************
ไม่ต้อง “สร้างภาพ”จนคนด่า!!
ทำดี ใครก็เห็น ก้อ.. “คุณพี่สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้คุมกฎแห่งพรรครวมชาติพัฒนา??
ยามนี้ “ประเทศไทย” ถอยหลังสุดกู่ตกถนนจนโงหัวไม่ขึ้น...แต่ “คุณพี่สุวัจน์” ก็สร้างเครดิต ให้คนทั่วโลกยอมรับประเทศไทย
ผลงานเยี่ยมเปี่ยมคุณภาพเช่นนี้ ไม่เชียร์ คงไม่ได้
เมื่อ “ท่านสุวัจน์” เป็นหัวหอกในการจัด “เทนนิสไทยแลนด์โอเพ่น” ในเดือนกันยายน ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเชิญนักเทนนิสเบอร์หนึ่งของโลก “ราฟาเอล นาดาล” ยอดนักหวดลูกสักหลาด เมืองกระทิงดุ สเปน มาเป็นตัวชูโรง ในรายการนี้!!!!
“อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์” ทำงานหนัก...เพื่อกู้ภาพลักษณ์?..ให้ไทยกลับมาประจักษ์อีกที
-----------------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
สงสารตำรวจ อะไรก็(กรู) "ศ.แสวง" ชงไอเดียปฎิรูปสีกากี แบบแฮปปี้ ๆ
ชั่วโมงนี้ เป็นยุคปฎิรูป อะไรก็ต้องปฎิรูป ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย หรือ รัฐธรรมนูญก็ต้องปฎิรูป ความจริงก็ต้องปฎิรูป รวมถึงตำรวจก็ต้องจับมาปฎิรูป
แต่ดูเหมือน ตำรวจ จะไม่ค่อยแน่ใจว่า ปฎิรูปแล้ว ตำรวจเอง จะดีขึ้นหรือเลวลง ?
เพราะลึกๆ แล้ว ฝ่ายการเมืองอาจแค่ อยากปฎิรูปตำรวจ เพราะต้องการจัดการ ตำรวจมะเขือเทศ มากกว่าอยากทำให้ตำรวจดีขึ้นจริงๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์สอนกฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มายาวนานหลายทศวรรษ เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาขนานแท้และดั้งเดิมไป พูดเรื่องการปฎิรูปตำรวจที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
เห็นว่าสาระสำคัญมีประโยชน์ เป็นอย่างยิ่ง จึงนำแนวคิดผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอดังนี้
@ โครงสร้างตำรวจใหญ่ เกินไปแล้ว !!!
การที่ตำรวจยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปฎิรูปตำรวจ อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดแรงต่อต้าน ทั้งๆ ที่ความจริง ทุกวันนี้ ตำรวจเดือดร้อน จึงต้องมาช่วยกันให้ประชาชนได้ประโยชน์ และทำให้ชีวิตตำรวจดีขึ้น ไม่ต้องโดนกล่าวหา แบบทุกวันนี้
ประการแรก โครงสร้างตำรวจ ใหญ่มาก ทั้งๆ ที่โครงสร้างตำรวจ ขนาดใหญ่แบบประเทศไทย ไม่ค่อยมีแล้วในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการซอยโครงสร้างตำรวจให้เล็กลง บางประเทศกลายเป็นตำรวจท้องถิ่น มีแต่ของเราเองที่โครงสร้างตำรวจยังรวมศูนย์ และใหญ่มาก ในอดีตเป็นแค่ อธิบดีกรมตำรวจ แต่เป็นอธิบดีที่ใหญ่กว่าทุกอธิบดีในประเทศนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม
แต่สังเกตไหมว่า เมื่อตำรวจต้องมาขึ้นกับตรงนี้ ตำรวจเองก็ลำบาก เพราะต้องดูว่า นาย จะเอาอย่างไร ขณะที่นายเองก็ต้องดูว่า การเมือง จะเอาอย่างไร เมื่อการเมืองมานั่งเป็นประธานบอร์ดตำรวจ หรือ การเมืองก็ต้องมองมากว่า มีใครสั่งมาหรือไม่ เป็นปัญหาของตำรวจ เราจึงได้ยินข่าวเสมอๆ ว่า เวลาตำรวจ เดือดร้อน ต้องวิ่งหาใคร การซื้อขายตำแหน่ง ก็เป็นข่าวอยู่เรื่อยๆ
ในหลายประเทศมีการซอยตำรวจลงเป็นตำรวจท้องถิ่น แล้วให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นการทำงานไปด้วยกัน ตรงนี้ ถ้าเราทำได้จะเป็นประโยชน์ เพราะท้องถิ่น ก็รู้จักตำรวจของเขาเอง แล้วตำรวจจะเข้ามาร่วมดูแลท้องถิ่นของเขาเอง ขณะเดียวกันเวลาตำรวจมีปัญหาก็มีภาคประชาชนหนุนช่วย
ตำรวจไม่ต้องวิ่งดั้งด้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบจ่าเพียร เพื่อหาคนช่วย ซึ่งที่สุด ก็ไม่มีใครช่วยจ่าเพียร ได้
@ ชงไอเดีย ตำรวจท้องถิ่น ต่อไป ตำรวจจะมีประชาชนเป็น แบ็ค
แต่ถ้าเป็นระบบตำรวจท้องถิ่น ภาคประชาชน หนุนช่วยตำรวจได้แน่นอน และจริงๆ ในแผ่นดินนี้ ถ้าคุณทำงานเกี่ยวกับประชาชน ต้องมีประชาชนมาหนุนช่วย ทำงานไปด้วยกัน หากมีประชาชนหนุนช่วย เรื่องใหญ่ ก็ทำได้สำเร็จ เหมือนที่ นพ. ประเวศ วะสี พูดเรื่องสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
นอกจากนี้ ภาคเอกชน จะเข้ามามีบทบาทเรื่องตำรวจบ้าน ที่จะเข้ามาช่วยตำรวจอีกแรง ฉะนั้นแล้ว โครงสร้างตำรวจจะเล็กลง กว่าปัจจุบัน แต่จะมีภาคประชาชนเข้ามาหนุนช่วย รูปแบบนี้มีข้อดี เพราะฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแทรกได้ยาก เพราะภาคประชาชนหนุนช่วยตำรวจ หากมองมุมนี้ ตำรวจอบอุ่นขึ้นแน่นอน
ประการที่สอง ต้องกำหนดบทบาทของตำรวจให้ชัดเจน ปัจจุบันตำรวจรับงานมากมายไปหมด อะไร ๆ ก็ตำรวจ แล้วยังหาเรื่องไม่ถนัดมาให้ตำรวจ ทุกเรื่อง เห็นได้จากกฎหมายใหม่ๆ หลายฉบับ หางานให้ตำรวจในสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ให้ตำรวจไปจับ ซึ่งตำรวจจะไปรู้ได้อย่างไรว่า โฆษณาแบบไหนผิดกฎหมาย โฆษณาแบบไหนไม่ผิดกฎหมาย ในภาวะที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว
หรือ กฎหมายสุขภาพจิต เขียนให้ตำรวจไปจับผู้ป่วยมาบำบัด ตำรวจต้องทำงานสารพัด จิปาถะ หรือ เวลาตายไม่ปกติ ตำรวจก็ต้องไปชันสูตรพลิกศพ
@ สงสารตำรวจไทย งานเยอะไปหมด
จริงๆ แล้ว ควรกำหนดบทบาทตำรวจให้ชัดเจน ผมมีข้อเสนอที่ชัดเจน หนึ่ง ถ้าเป็นงานดูแลความสงบเรียบร้อย ผมถือว่าเป็นงานหลักของตำรวจ แต่งานคดี ผมเสนอว่าต้องหาคนมาช่วยงานตำรวจ เพราะบางคดีมีความซับซ้อนมาก ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งตำรวจไม่มีความถนัด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้อาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยไปช่วยงานตำรวจ แต่ก็มีปัญหาว่า อาจารย์สอนกฎหมายจะเข้าไปในฐานะอะไร
ผมจึงเสนอว่า ผู้ที่จะเข้าไปช่วยตำรวจก็คือ อัยการ นั่นเอง ในต่างประเทศ อำนวจสอบสวนกับอำนาจฟ้องคดี ต่างประเทศเขาไปด้วยกัน ในระบบกล่าวหา ในระบบนี้ แยกงานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ งานสอบสวนกับอำนาจฟ้องร้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจกับอัยการ
กลุ่มที่สองคือ อำนาจพิพากษา ส่วนนี้เป็นของผู้พิพากษา แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ แต่บ้านเราแยกเป็น 3 กลุ่ม สอบสวนเป็นของตำรวจ ฟ้องเป็นของอัยการ ส่วนพิพากษาเป็นของศาล ผมว่าเป็นเรื่องแปลก ที่ถูกต้องแล้ว ตำรวจกับอัยการ ต้องไปด้วยกัน
หากเราปรับระบบนี้ ผมเชื่อว่า ตำรวจจะหายใจคล่องขึ้น โดยเฉพาะคดีที่มีอิทธิพล หรือ คดีการเมือง ตำรวจจะมีอัยการเป็นมาหนุนหลัง การเอาอัยการมช่วยตำรวจ จะทำให้ระบบเราเป็นสากลมากขึ้น ส่วนงานส่วนอื่นๆที่ตำรวจไม่ถนัด ควรเอาออกไป เช่น การชันสูตรพลิกศพ เอาไปให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ รับไปดำเนินการ
@ เหลียวดูโมเดลประเทศที่เจริญแล้ว เขาทำกันอย่างไร
ทุกวันนี้ งานคดีอาญา ถ้าตายผิดธรรมชาติ ต้องชันสูตร โดยกฎหมายเขียนให้ ตำรวจเป็นเจ้าภาพ ตำรวจต้องไปตามหมอ ถ้าหมอไม่มา ตำรวจจะทำอย่างไร เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วที่ รถชนกันกลางถนน ศพอยู่บนถนน ตำรวจเคลื่อนย้านศพไม่ได้ ขณะที่หมอก็ไม่มาสักที แล้วทำอย่างไร นี่คือ ปัญหา แต่ในต่างประเทศ เขาไม่ได้ให้ตำรวจทำทั้งหมด ในประเทศอังกฤษ กรณีตายผิดธรรมชาติ คนที่ออกไปชันสูตร ไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ศาลแต่งตั้ง หรือ โคโลเนอร์ ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่จะออกไปชันสูตร แต่ถ้าไม่รู้ต้องไปตามหมอมาชันสูตร อีกรูปแบบหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ระบบนี้ใช้หมอ ถ้าเมืองที่มีหมอเพียงพอก็ใช้หมอ ถ้ามีหมอไม่พอก็ใช้โคโลเนอร์ แต่บ้านเราใช้ตำรวจทำทั้งหมด ซึ่งเป็นงานที่หนักและตำรวจไม่มีความถนัด
ผมเป็นเสนองานวิจัย เรื่องชันสูตรปี 2547 ผมเสนอแนวคิดให้เอางานชันสูตรออกจากตำรวจ โดยจะมี 2 สำนวน สำนวนแรก เป็นสำนวนชันสูตรพลิกศพ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ เป็นคนทำสำนวนชันสูตร ส่วนสำนวนการสอบสวนเป็นหน้าที่ของตำรวจ 2 สำนวน จะส่งไปให้อัยการ แต่รูปแบบนี้จะทำได้ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แนวคิดในการปฎิรูปตำรวจ ผมเสนออีกว่า ควรฝ่ายจับกับฝ่ายสอบสวนออกจากกัน ฝ่ายจับก็จับไป ฝ่ายสอบสวนก็สอบสวนไป แยกงานตามความถนัด เพราะการจับเอง สอบสวนเอง บางที่ตำรวจก็มีใจโน้มเอียงได้ เมื่อแยกบทบาทชัดเจนแล้ว งานตำรวจจะเหลือน้อยลง
ส่วนสุดท้ายคือ งบประมาณ เมื่อ เอาตำรวจไปอยู่กับท้องถิ่น จะทำให้ท้องถิ่นดูแลตำรวจ ประชาชนจะดูแลตำรวจ รูปแบบนี้ จะทำให้ตำรวจ ไม่ต้องไปรีดไถ การปฎิรูปตำรวจ จะทำให้ตำรวจดีขึ้น และประชาชนก็ได้รับประโยชน์ วิธีการนี้ ประชาชนจะเข้ามาช่วยตำรวจ
ข้อเสนอปฎิรูปตำรวจ ตามสูตร ศ. แสวง อาจทำให้ ตำรวจ 1.4 แสนคน สบายใจมากกว่า สูตรปฎิรูปเวอร์ชั่น นักการเมือง อย่างไม่ต้องสงสัย !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
แต่ดูเหมือน ตำรวจ จะไม่ค่อยแน่ใจว่า ปฎิรูปแล้ว ตำรวจเอง จะดีขึ้นหรือเลวลง ?
เพราะลึกๆ แล้ว ฝ่ายการเมืองอาจแค่ อยากปฎิรูปตำรวจ เพราะต้องการจัดการ ตำรวจมะเขือเทศ มากกว่าอยากทำให้ตำรวจดีขึ้นจริงๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์สอนกฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มายาวนานหลายทศวรรษ เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาขนานแท้และดั้งเดิมไป พูดเรื่องการปฎิรูปตำรวจที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
เห็นว่าสาระสำคัญมีประโยชน์ เป็นอย่างยิ่ง จึงนำแนวคิดผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอดังนี้
@ โครงสร้างตำรวจใหญ่ เกินไปแล้ว !!!
การที่ตำรวจยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปฎิรูปตำรวจ อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดแรงต่อต้าน ทั้งๆ ที่ความจริง ทุกวันนี้ ตำรวจเดือดร้อน จึงต้องมาช่วยกันให้ประชาชนได้ประโยชน์ และทำให้ชีวิตตำรวจดีขึ้น ไม่ต้องโดนกล่าวหา แบบทุกวันนี้
ประการแรก โครงสร้างตำรวจ ใหญ่มาก ทั้งๆ ที่โครงสร้างตำรวจ ขนาดใหญ่แบบประเทศไทย ไม่ค่อยมีแล้วในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการซอยโครงสร้างตำรวจให้เล็กลง บางประเทศกลายเป็นตำรวจท้องถิ่น มีแต่ของเราเองที่โครงสร้างตำรวจยังรวมศูนย์ และใหญ่มาก ในอดีตเป็นแค่ อธิบดีกรมตำรวจ แต่เป็นอธิบดีที่ใหญ่กว่าทุกอธิบดีในประเทศนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม
แต่สังเกตไหมว่า เมื่อตำรวจต้องมาขึ้นกับตรงนี้ ตำรวจเองก็ลำบาก เพราะต้องดูว่า นาย จะเอาอย่างไร ขณะที่นายเองก็ต้องดูว่า การเมือง จะเอาอย่างไร เมื่อการเมืองมานั่งเป็นประธานบอร์ดตำรวจ หรือ การเมืองก็ต้องมองมากว่า มีใครสั่งมาหรือไม่ เป็นปัญหาของตำรวจ เราจึงได้ยินข่าวเสมอๆ ว่า เวลาตำรวจ เดือดร้อน ต้องวิ่งหาใคร การซื้อขายตำแหน่ง ก็เป็นข่าวอยู่เรื่อยๆ
ในหลายประเทศมีการซอยตำรวจลงเป็นตำรวจท้องถิ่น แล้วให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นการทำงานไปด้วยกัน ตรงนี้ ถ้าเราทำได้จะเป็นประโยชน์ เพราะท้องถิ่น ก็รู้จักตำรวจของเขาเอง แล้วตำรวจจะเข้ามาร่วมดูแลท้องถิ่นของเขาเอง ขณะเดียวกันเวลาตำรวจมีปัญหาก็มีภาคประชาชนหนุนช่วย
ตำรวจไม่ต้องวิ่งดั้งด้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบจ่าเพียร เพื่อหาคนช่วย ซึ่งที่สุด ก็ไม่มีใครช่วยจ่าเพียร ได้
@ ชงไอเดีย ตำรวจท้องถิ่น ต่อไป ตำรวจจะมีประชาชนเป็น แบ็ค
แต่ถ้าเป็นระบบตำรวจท้องถิ่น ภาคประชาชน หนุนช่วยตำรวจได้แน่นอน และจริงๆ ในแผ่นดินนี้ ถ้าคุณทำงานเกี่ยวกับประชาชน ต้องมีประชาชนมาหนุนช่วย ทำงานไปด้วยกัน หากมีประชาชนหนุนช่วย เรื่องใหญ่ ก็ทำได้สำเร็จ เหมือนที่ นพ. ประเวศ วะสี พูดเรื่องสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
นอกจากนี้ ภาคเอกชน จะเข้ามามีบทบาทเรื่องตำรวจบ้าน ที่จะเข้ามาช่วยตำรวจอีกแรง ฉะนั้นแล้ว โครงสร้างตำรวจจะเล็กลง กว่าปัจจุบัน แต่จะมีภาคประชาชนเข้ามาหนุนช่วย รูปแบบนี้มีข้อดี เพราะฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแทรกได้ยาก เพราะภาคประชาชนหนุนช่วยตำรวจ หากมองมุมนี้ ตำรวจอบอุ่นขึ้นแน่นอน
ประการที่สอง ต้องกำหนดบทบาทของตำรวจให้ชัดเจน ปัจจุบันตำรวจรับงานมากมายไปหมด อะไร ๆ ก็ตำรวจ แล้วยังหาเรื่องไม่ถนัดมาให้ตำรวจ ทุกเรื่อง เห็นได้จากกฎหมายใหม่ๆ หลายฉบับ หางานให้ตำรวจในสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ให้ตำรวจไปจับ ซึ่งตำรวจจะไปรู้ได้อย่างไรว่า โฆษณาแบบไหนผิดกฎหมาย โฆษณาแบบไหนไม่ผิดกฎหมาย ในภาวะที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว
หรือ กฎหมายสุขภาพจิต เขียนให้ตำรวจไปจับผู้ป่วยมาบำบัด ตำรวจต้องทำงานสารพัด จิปาถะ หรือ เวลาตายไม่ปกติ ตำรวจก็ต้องไปชันสูตรพลิกศพ
@ สงสารตำรวจไทย งานเยอะไปหมด
จริงๆ แล้ว ควรกำหนดบทบาทตำรวจให้ชัดเจน ผมมีข้อเสนอที่ชัดเจน หนึ่ง ถ้าเป็นงานดูแลความสงบเรียบร้อย ผมถือว่าเป็นงานหลักของตำรวจ แต่งานคดี ผมเสนอว่าต้องหาคนมาช่วยงานตำรวจ เพราะบางคดีมีความซับซ้อนมาก ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งตำรวจไม่มีความถนัด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้อาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยไปช่วยงานตำรวจ แต่ก็มีปัญหาว่า อาจารย์สอนกฎหมายจะเข้าไปในฐานะอะไร
ผมจึงเสนอว่า ผู้ที่จะเข้าไปช่วยตำรวจก็คือ อัยการ นั่นเอง ในต่างประเทศ อำนวจสอบสวนกับอำนาจฟ้องคดี ต่างประเทศเขาไปด้วยกัน ในระบบกล่าวหา ในระบบนี้ แยกงานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ งานสอบสวนกับอำนาจฟ้องร้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจกับอัยการ
กลุ่มที่สองคือ อำนาจพิพากษา ส่วนนี้เป็นของผู้พิพากษา แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ แต่บ้านเราแยกเป็น 3 กลุ่ม สอบสวนเป็นของตำรวจ ฟ้องเป็นของอัยการ ส่วนพิพากษาเป็นของศาล ผมว่าเป็นเรื่องแปลก ที่ถูกต้องแล้ว ตำรวจกับอัยการ ต้องไปด้วยกัน
หากเราปรับระบบนี้ ผมเชื่อว่า ตำรวจจะหายใจคล่องขึ้น โดยเฉพาะคดีที่มีอิทธิพล หรือ คดีการเมือง ตำรวจจะมีอัยการเป็นมาหนุนหลัง การเอาอัยการมช่วยตำรวจ จะทำให้ระบบเราเป็นสากลมากขึ้น ส่วนงานส่วนอื่นๆที่ตำรวจไม่ถนัด ควรเอาออกไป เช่น การชันสูตรพลิกศพ เอาไปให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ รับไปดำเนินการ
@ เหลียวดูโมเดลประเทศที่เจริญแล้ว เขาทำกันอย่างไร
ทุกวันนี้ งานคดีอาญา ถ้าตายผิดธรรมชาติ ต้องชันสูตร โดยกฎหมายเขียนให้ ตำรวจเป็นเจ้าภาพ ตำรวจต้องไปตามหมอ ถ้าหมอไม่มา ตำรวจจะทำอย่างไร เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วที่ รถชนกันกลางถนน ศพอยู่บนถนน ตำรวจเคลื่อนย้านศพไม่ได้ ขณะที่หมอก็ไม่มาสักที แล้วทำอย่างไร นี่คือ ปัญหา แต่ในต่างประเทศ เขาไม่ได้ให้ตำรวจทำทั้งหมด ในประเทศอังกฤษ กรณีตายผิดธรรมชาติ คนที่ออกไปชันสูตร ไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ศาลแต่งตั้ง หรือ โคโลเนอร์ ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่จะออกไปชันสูตร แต่ถ้าไม่รู้ต้องไปตามหมอมาชันสูตร อีกรูปแบบหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ระบบนี้ใช้หมอ ถ้าเมืองที่มีหมอเพียงพอก็ใช้หมอ ถ้ามีหมอไม่พอก็ใช้โคโลเนอร์ แต่บ้านเราใช้ตำรวจทำทั้งหมด ซึ่งเป็นงานที่หนักและตำรวจไม่มีความถนัด
ผมเป็นเสนองานวิจัย เรื่องชันสูตรปี 2547 ผมเสนอแนวคิดให้เอางานชันสูตรออกจากตำรวจ โดยจะมี 2 สำนวน สำนวนแรก เป็นสำนวนชันสูตรพลิกศพ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ เป็นคนทำสำนวนชันสูตร ส่วนสำนวนการสอบสวนเป็นหน้าที่ของตำรวจ 2 สำนวน จะส่งไปให้อัยการ แต่รูปแบบนี้จะทำได้ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แนวคิดในการปฎิรูปตำรวจ ผมเสนออีกว่า ควรฝ่ายจับกับฝ่ายสอบสวนออกจากกัน ฝ่ายจับก็จับไป ฝ่ายสอบสวนก็สอบสวนไป แยกงานตามความถนัด เพราะการจับเอง สอบสวนเอง บางที่ตำรวจก็มีใจโน้มเอียงได้ เมื่อแยกบทบาทชัดเจนแล้ว งานตำรวจจะเหลือน้อยลง
ส่วนสุดท้ายคือ งบประมาณ เมื่อ เอาตำรวจไปอยู่กับท้องถิ่น จะทำให้ท้องถิ่นดูแลตำรวจ ประชาชนจะดูแลตำรวจ รูปแบบนี้ จะทำให้ตำรวจ ไม่ต้องไปรีดไถ การปฎิรูปตำรวจ จะทำให้ตำรวจดีขึ้น และประชาชนก็ได้รับประโยชน์ วิธีการนี้ ประชาชนจะเข้ามาช่วยตำรวจ
ข้อเสนอปฎิรูปตำรวจ ตามสูตร ศ. แสวง อาจทำให้ ตำรวจ 1.4 แสนคน สบายใจมากกว่า สูตรปฎิรูปเวอร์ชั่น นักการเมือง อย่างไม่ต้องสงสัย !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
เลิกติดหล่ม ทักษิณ ชินวัตร ได้แล้ว
ควรมองเป็น ‘คนๆหนึ่ง’
ประชานิยม’ ตลอดชีพ!
ระวังทุ่มงบฯ ที่สูญเปล่า
กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย กับกรณีที่ “รัฐบาลเทพประทาน-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศโครงการ “ประชานิยมตลอดชีพ” ทั้งขึ้นรถเมล์ฟรี-รถไฟฟ้าชั้น 3 ฟรี-ใช้ไฟฟ้าฟรี ฯลฯ
ชนิดที่เมื่อก่อนนี้ ยังมีรายการ “เหนียมอาย” ต่ออายุมาตรการเหล่านี้ ทุกๆ 6 เดือน แต่พอทำไป ทำมา “ชักติดใจ” เหลียวซ้าย-แลขวา...แล้ว ต้อง “หาเสียงล่วงหน้า” กันไว้ก่อน...เพราะอย่างไรเสีย “ปีหน้า” ก็คงหนีการเลือกตั้งไปไม่พ้นแน่ๆ
ถ้าจะว่าไปแล้ว “ประชานิยม” หลายประเทศ ทั่วโลก...ต่างก็ทำกันทั้งนั้น เพื่อช่วยเหลือ “ผู้มีรายได้ น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” เพียงแต่จะมีเทคนิค-วิธีการที่แตกต่างกันไป แม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” ในยุคที่เรืองอำนาจ คิดนโยบายประชานิยมออกมา สารพัดเรื่อง...ก็ “ก๊อบปี้” คนอื่นมาทั้งสิ้น เพียงแต่ ว่า เมื่อนำมา “เริ่มใช้คนแรก” ในประเทศไทย ก็เลยดูเหมือนว่า...เป็นต้นตำรับความคิดนี้
แต่กับ “นโยบายประชานิยมตลอดชีพ” ในหลายรูปแบบของ “รัฐบาลเทพประทาน” ครั้งนี้... ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ยังสลัดไม่หลุดกับสิ่งที่ “ทักษิณ” ทำเอาไว้ และคิดแต่เรื่อง “คะแนนเสียง” เพียงอย่างเดียว โดยลืมนึกถึง “คนหาเลี้ยง ทั้งประเทศ” ซึ่งก็คือ “ผู้เสียภาษี” นั่นเอง
ซึ่งคนเหล่านี้...แทบจะไม่เคย “ได้อะไร” จากรัฐบาลเลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน จะกี่ปี-กี่ชาติ “ผู้เสียภาษี” ก็คือ “ผู้ที่เสียเปรียบ...ที่สุด” จะเรียกร้องอะไร “ผู้มีอำนาจ” ก็ไม่เคยเห็นหัว นั่นเป็นเพราะ...ประเทศเรายังไม่มี “องค์กรผู้เสียภาษี” อย่างเป็นระบบ-อย่างเป็นทางการ เพื่อมาปกป้อง “ผู้-เสียภาษี” ให้ได้สิ่งที่ “ตัวเอง...ควรจะได้” เหมือนเช่น “ผู้ด้อยโอกาส-ผู้มีรายได้น้อย” ที่มักออกมา เรียกร้อง และถ้าไม่ได้ก็จะทำการปิดถนน “ประท้วง”
เมื่อมองข้ามไปอีกขั้น...ยังไม่เห็นหนทาง “การหาเงินเข้าประเทศ” อย่างเป็นระบบจากรัฐบาลชุดนี้เลย ก็เลยทำให้เป็นห่วง “ปัญหาเงิน เฟ้อ” ว่าจะ “เกิดสะสม” จนเกินเยียวยา เพราะรัฐบาลมุ่งแต่ “ทุ่มงบที่สูญเปล่า” แต่ไม่ได้คิดถึง “รายได้” ที่จะเข้ามาในหลากหลายหนทาง และไม่ได้คิดจะแสวงหา “รายได้” จากสิ่งใหม่ๆ เพื่อมา ทดแทนในส่วนที่ “ต้องจ่าย” ออกไปเลย
นอกจากนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ “สอน” ให้ “คนไทย” โดยเฉพาะ “ผู้มีรายได้น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ “ได้รับ” และควรสร้างจิตสำนึก สอนลู่ทางให้คนเหล่านี้...ควรพึ่งพาตัวเองด้วย ไม่ใช่คิดแต่ “แบมือขอ” จนกลายเป็นนิสัย...เพราะไม่เช่นนั้น จะอีกกี่ปี-อีกกี่ชาติ ปัญหาเดิมๆ แบบนี้ ก็ไม่มีวันจบสิ้น
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด “คนในรัฐบาล” ต้องคิดข้ามกรอบของ “คนชื่อ...ทักษิณ ชินวัตร” ให้ได้ เพราะเวลานี้ “ทักษิณ” นั้น...จบไปแล้ว ถ้าไปยิ่งให้ความสำคัญ ก็ยิ่งเท่ากับไปเพิ่มคุณค่าให้เขา แต่ถ้ามองข้าม...ทำเสมือนหนึ่งว่า “ทัก ษิณ” เป็นแค่ “คนๆหนึ่ง...ที่ “ไม่มีเงา” เราก็ไม่ จำเป็นต้องไป “กลัวเงาของเขา” ใช่หรือไม่!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
ประชานิยม’ ตลอดชีพ!
ระวังทุ่มงบฯ ที่สูญเปล่า
กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย กับกรณีที่ “รัฐบาลเทพประทาน-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศโครงการ “ประชานิยมตลอดชีพ” ทั้งขึ้นรถเมล์ฟรี-รถไฟฟ้าชั้น 3 ฟรี-ใช้ไฟฟ้าฟรี ฯลฯ
ชนิดที่เมื่อก่อนนี้ ยังมีรายการ “เหนียมอาย” ต่ออายุมาตรการเหล่านี้ ทุกๆ 6 เดือน แต่พอทำไป ทำมา “ชักติดใจ” เหลียวซ้าย-แลขวา...แล้ว ต้อง “หาเสียงล่วงหน้า” กันไว้ก่อน...เพราะอย่างไรเสีย “ปีหน้า” ก็คงหนีการเลือกตั้งไปไม่พ้นแน่ๆ
ถ้าจะว่าไปแล้ว “ประชานิยม” หลายประเทศ ทั่วโลก...ต่างก็ทำกันทั้งนั้น เพื่อช่วยเหลือ “ผู้มีรายได้ น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” เพียงแต่จะมีเทคนิค-วิธีการที่แตกต่างกันไป แม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” ในยุคที่เรืองอำนาจ คิดนโยบายประชานิยมออกมา สารพัดเรื่อง...ก็ “ก๊อบปี้” คนอื่นมาทั้งสิ้น เพียงแต่ ว่า เมื่อนำมา “เริ่มใช้คนแรก” ในประเทศไทย ก็เลยดูเหมือนว่า...เป็นต้นตำรับความคิดนี้
แต่กับ “นโยบายประชานิยมตลอดชีพ” ในหลายรูปแบบของ “รัฐบาลเทพประทาน” ครั้งนี้... ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ยังสลัดไม่หลุดกับสิ่งที่ “ทักษิณ” ทำเอาไว้ และคิดแต่เรื่อง “คะแนนเสียง” เพียงอย่างเดียว โดยลืมนึกถึง “คนหาเลี้ยง ทั้งประเทศ” ซึ่งก็คือ “ผู้เสียภาษี” นั่นเอง
ซึ่งคนเหล่านี้...แทบจะไม่เคย “ได้อะไร” จากรัฐบาลเลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน จะกี่ปี-กี่ชาติ “ผู้เสียภาษี” ก็คือ “ผู้ที่เสียเปรียบ...ที่สุด” จะเรียกร้องอะไร “ผู้มีอำนาจ” ก็ไม่เคยเห็นหัว นั่นเป็นเพราะ...ประเทศเรายังไม่มี “องค์กรผู้เสียภาษี” อย่างเป็นระบบ-อย่างเป็นทางการ เพื่อมาปกป้อง “ผู้-เสียภาษี” ให้ได้สิ่งที่ “ตัวเอง...ควรจะได้” เหมือนเช่น “ผู้ด้อยโอกาส-ผู้มีรายได้น้อย” ที่มักออกมา เรียกร้อง และถ้าไม่ได้ก็จะทำการปิดถนน “ประท้วง”
เมื่อมองข้ามไปอีกขั้น...ยังไม่เห็นหนทาง “การหาเงินเข้าประเทศ” อย่างเป็นระบบจากรัฐบาลชุดนี้เลย ก็เลยทำให้เป็นห่วง “ปัญหาเงิน เฟ้อ” ว่าจะ “เกิดสะสม” จนเกินเยียวยา เพราะรัฐบาลมุ่งแต่ “ทุ่มงบที่สูญเปล่า” แต่ไม่ได้คิดถึง “รายได้” ที่จะเข้ามาในหลากหลายหนทาง และไม่ได้คิดจะแสวงหา “รายได้” จากสิ่งใหม่ๆ เพื่อมา ทดแทนในส่วนที่ “ต้องจ่าย” ออกไปเลย
นอกจากนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ “สอน” ให้ “คนไทย” โดยเฉพาะ “ผู้มีรายได้น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ “ได้รับ” และควรสร้างจิตสำนึก สอนลู่ทางให้คนเหล่านี้...ควรพึ่งพาตัวเองด้วย ไม่ใช่คิดแต่ “แบมือขอ” จนกลายเป็นนิสัย...เพราะไม่เช่นนั้น จะอีกกี่ปี-อีกกี่ชาติ ปัญหาเดิมๆ แบบนี้ ก็ไม่มีวันจบสิ้น
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด “คนในรัฐบาล” ต้องคิดข้ามกรอบของ “คนชื่อ...ทักษิณ ชินวัตร” ให้ได้ เพราะเวลานี้ “ทักษิณ” นั้น...จบไปแล้ว ถ้าไปยิ่งให้ความสำคัญ ก็ยิ่งเท่ากับไปเพิ่มคุณค่าให้เขา แต่ถ้ามองข้าม...ทำเสมือนหนึ่งว่า “ทัก ษิณ” เป็นแค่ “คนๆหนึ่ง...ที่ “ไม่มีเงา” เราก็ไม่ จำเป็นต้องไป “กลัวเงาของเขา” ใช่หรือไม่!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
เรื่องจริง
ยิ่งกลัวว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ ถ้าปราศจากอำนาจตามกฎหมาย ฉุกเฉิน.. รัฐบาลจึงคงอำนาจนั้นไว้..
แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นการประ จานต่อประชาชนทั่วไปว่า.. รัฐบาลนี้ไม่ได้รับ การยอมรับจากประชาชน จนไม่ดำรงความเป็น รัฐบาลในสภาวะปกติได้
สถานะเช่นนี้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เพราะทำให้ชาติอ่อนแอ..และไม่ได้รับความเชื่อมั่น
สำหรับประชาชนคนไทยนั้น.. เมื่อไม่เชื่อถือในรัฐบาลเขาก็จะลังเลที่จะลงทุน ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
สำหรับคนต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ ก็ จะบอกกับประชาชนของเขา ไม่ให้เข้ามาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ประเทศก็จะยิ่งอ่อนแอย่อยยับลงไปอีกจากการที่รัฐบาลใช้กฎหมายฉุกเฉิน..
หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภา 2553 ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปที่ใครจะมาชุมนุมเรียกร้องใดๆ กับรัฐบาล..
การถูกฆ่าและติดคุก เป็นเรื่องไม่สนุก ของชีวิต โดยเฉพาะประดาแกนนำที่จะเกิดใหม่
ก็แล้วรัฐบาลกลัวอะไร ถึงยังคงใช้กฎหมายฉุกเฉินอยู่.. ถึงวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้
รัฐบาลน่าจะกลัวว่า.. จากการใช้อำนาจดังกล่าว และกระทำอย่างรุนแรงกับประ ชาชนนั้น..
จะทำให้ฝ่ายที่ถืออาวุธอยู่ในกองทัพด้วยกันไม่พอใจและไม่สนับสนุนการกระทำ และนำมาเป็นข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐ ประหารแย่งชิงอำนาจไปจากรัฐบาล..
ถ้ารัฐบาลกลัวเช่นว่า.. รัฐบาลก็จะต้องกลัวอยู่ตลอดไป เพราะเป็นการหวาดกลัวเข้า ไปในพลังอำนาจของตนเอง
แต่การประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉินนานไป ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลยิ่งอ่อนแอ และประชาชนจะไม่ยอมรับมากขึ้น มากขึ้น..
เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายว่า.. กฎหมายฉุกเฉินนั้นเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ..
และอำนาจชนิดนี้ จะทำให้รัฐบาลขาดการยอมรับมากจนกระทั่ง.. และดึงดันจนประชาชนโกรธแค้น.. จนไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาล..
นั่นจะเป็นเรื่องจริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นการประ จานต่อประชาชนทั่วไปว่า.. รัฐบาลนี้ไม่ได้รับ การยอมรับจากประชาชน จนไม่ดำรงความเป็น รัฐบาลในสภาวะปกติได้
สถานะเช่นนี้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เพราะทำให้ชาติอ่อนแอ..และไม่ได้รับความเชื่อมั่น
สำหรับประชาชนคนไทยนั้น.. เมื่อไม่เชื่อถือในรัฐบาลเขาก็จะลังเลที่จะลงทุน ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
สำหรับคนต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ ก็ จะบอกกับประชาชนของเขา ไม่ให้เข้ามาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ประเทศก็จะยิ่งอ่อนแอย่อยยับลงไปอีกจากการที่รัฐบาลใช้กฎหมายฉุกเฉิน..
หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภา 2553 ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปที่ใครจะมาชุมนุมเรียกร้องใดๆ กับรัฐบาล..
การถูกฆ่าและติดคุก เป็นเรื่องไม่สนุก ของชีวิต โดยเฉพาะประดาแกนนำที่จะเกิดใหม่
ก็แล้วรัฐบาลกลัวอะไร ถึงยังคงใช้กฎหมายฉุกเฉินอยู่.. ถึงวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้
รัฐบาลน่าจะกลัวว่า.. จากการใช้อำนาจดังกล่าว และกระทำอย่างรุนแรงกับประ ชาชนนั้น..
จะทำให้ฝ่ายที่ถืออาวุธอยู่ในกองทัพด้วยกันไม่พอใจและไม่สนับสนุนการกระทำ และนำมาเป็นข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐ ประหารแย่งชิงอำนาจไปจากรัฐบาล..
ถ้ารัฐบาลกลัวเช่นว่า.. รัฐบาลก็จะต้องกลัวอยู่ตลอดไป เพราะเป็นการหวาดกลัวเข้า ไปในพลังอำนาจของตนเอง
แต่การประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉินนานไป ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลยิ่งอ่อนแอ และประชาชนจะไม่ยอมรับมากขึ้น มากขึ้น..
เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายว่า.. กฎหมายฉุกเฉินนั้นเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ..
และอำนาจชนิดนี้ จะทำให้รัฐบาลขาดการยอมรับมากจนกระทั่ง.. และดึงดันจนประชาชนโกรธแค้น.. จนไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาล..
นั่นจะเป็นเรื่องจริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม !!???
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น
ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)
นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป
เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้
แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน
ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้
แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น
ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้
เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)
ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร
ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)
ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก
ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน
จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)
นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง
สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?
ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน
มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง
ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม
นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้
ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง
นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา
ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.
แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน
ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง
ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก
ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น
และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป
ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต
ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง
จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ
จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน
ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ
อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว
เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่
จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย
หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น
แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม
ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า
ที่มา.มติชนออนไลน์
คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น
ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)
นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป
เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้
แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน
ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้
แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น
ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้
เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)
ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร
ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)
ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก
ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน
จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)
นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง
สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?
ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน
มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง
ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม
นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม
ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้
ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง
นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา
ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.
แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน
ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง
ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก
ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น
และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป
ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต
ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง
จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ
จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน
ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ
อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว
เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่
จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย
หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น
แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม
ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า
ที่มา.มติชนออนไลน์
สนทนากับ พระเขมจิตโต (สุวิชา ท่าค้อ): อำนาจคือตัวกิเลสที่หยาบที่สุด ใยผู้คนมุ่งแสวงหาอำนาจกันเล่า
ทีมข่าวพิเศษ
บทสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ทีมข่าวพิเศษ มีโอกาสสนทนากับพระเขมจิตโต (สุวิชา ท่าค้อ) ซึ่งผ่านการอุปสมบทในช่วงเช้าของวันเดียวกันวัดชลธารบุญญาวาส ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม
เราสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระเขมจิตโตกล่าวตั้งแต่ช่วงแรกของการสนทนาว่า “ในทางโลก(เรื่องการเมือง) อาตมาก็จะไม่ขอพูดอะไรอีก เพราะอะไรก็ได้รู้ได้เห็นกันหมดแล้ว” พร้อมกล่าวถึงหน้าที่ของตนเองขณะนี้ว่า “ของชาวพุทธคือการเผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน เพราะถือว่าเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ธรรมะคือหนทางพ้นทุกข์ การช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์คือกุศลบุญที่ยิ่งใหญ่”
ผู้สื่อข่าว: ที่หลวงพี่ว่าการช่วยคนจากความทุกข์เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่นั้น สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์เรื่องการเมืองจะช่วยได้ไหม ช่วยอย่างไร
พระเขมจิตโต: ความจริงแล้วพุทธศาสนาสอนไม่ให้เอาทุกข์เข้ามาใส่ตัวหรืออยู่กับทุกข์แต่ไม่ให้ทุกข์ พูดง่ายๆ คืออย่าเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตน แต่สิ่งที่อาตมายังคิดเป็นนิวรณ์อยู่บ้าง(กิเลสระดับกลางที่เป็นอุปสรรคของผู้ปฏิบัติ) คือ สงสารคนที่ยังอยู่ในความทุกข์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะพวกเขาคือประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่กลับต้องมารับเคราะห์อย่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก การช่วยเหลือพวกเขาให้ลดหรือพ้นจากความทุกข์ คือ มหากุศลบุญ
สิ่งที่หลวงพี่จะช่วยได้คือ อยากให้พวกเขาเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ชีวิตเราเป็นของไม่เที่ยง เป็นของสมมุติ ยึดติดมากก็ทุกข์มาก เมื่อเราไม่ยึดติดเราก็จะไม่ทุกข์ สรุปคือต้องยอมรับกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น จากการสูญเสียอิสรภาพ พิการ สูญเสียคนที่รัก ฯลฯ ให้พิจารณาถึงโลกธรรม 8 คือธรรมทีอยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสบ ได้แก่ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เราไม่มีทางหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ไปได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นก็ให้พิจารณามาเป็นสิ่งที่สมมุติให้เป็นเพราะเรากำลังอยู่ในโลกของการสมมุติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเราคิดได้เช่นนี้เราก็ก็ปล่อยวางจากมัน อย่าไปทุกข์กับมัน ให้ถือว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมของเราเอง เมื่อได้ใช้แล้วก็หมดเวรกันไป และขอให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่ได้กระทำต่อเรา เพื่อเราจะได้สบายใจและมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมต่อไป
ผู้สื่อข่าว: หลวงพี่เคยกล่าวว่าหากออกจากคุกได้แล้วก็จะบวช เมื่อได้บวชแล้วท่านรู้สึกอย่างไร
พระเขมจิตโต: ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตอาตมาก็ได้มาถึง คือการได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จะได้ปฏิบัติธรรมเต็มที่ คือการเดินมรรค 8 เต็มกำลังในสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฎิบัติธรรม หลวงพี่จะต้องตัดจากทางโลกโดยสิ้นเชิงเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (อริยทรัพย์) คือการเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาประกอบกันด้วย ทางโลกและทางธรรมมันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทางโลกผู้คนจะแข่งกันเพิ่มกิเลส (ความอยาก) และอาหารที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกิเลสคือการก่อธรรมต่างๆ แต่ทางธรรมนักปฏิบัติธรรม (นักรบกิเลส) จะแข่งกันฆ่าทำลายล้างกิเลส ชัดเจนว่ามันจะเดินสวนทางกัน
ผู้สื่อข่าว: สิ่งที่ตั้งใจจะทำต่อไปคืออะไร
พระเขมจิตโต: ไม่อยากพูดถึงอนาคต เพราะพุทธศาสนาคือปัจจุบัน หน้าที่ขณะนี้ ชาวพุทธคือเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นธรรมทาน การให้ธรรมทานเป็นการให้ที่สูงสุด เป็นการให้อริยทรัพย์ ถ้าได้กลับออกมาก็คงจะเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป ตอนนี้พยายามดึงญาติพี่น้องเดินเข้าสู่ทางธรรม ยอมรับว่าให้คนเห็นธรรมเป็นเรื่องที่ยากมาก หากเขาสร้างบุญบารมีมาก่อนจะไม่มีทางได้เห็นธรรมหรอก อาจจะมืดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีให้เห็นมากต่อมาก ส่วนมากเราก็ต้องปล่อยวางไป ทุกวันนี้อาตมาอยากจะหนีไปสู่ที่สงบอยางเดียว การปฏิธรรมในที่ไม่สัปปายะก็เหมือนขับเรืออยู่ในคลื่นลมแรง แต่พระที่เก่งแล้วก็คือจะอยู่อย่างไรก็ได้ ส่วนยังคงไร้เดียงสาอยู่มาก
ผู้สื่อข่าว: น้องชายบอกว่า หลวงพี่เปลี่ยนไปเยอะ
พระเขมจิตโต: เห็นธรรมแล้วก็อยู่เป็น ถึงจะอยู่ในทุกข์แต่จะไม่เอาทุกข์ ปกติทางธรรมจะเดินสวนทางกับทางโลก คือ ทางโลกเป็นการสะสมกิเลสซึ่งจะเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง หากเปรียบจิตเป็นเหมือนบ้านกิเลสก็คือขโมยที่จ้องจะเข้าบ้านอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดที่เราเผลอ ในทางโลก ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คือเป็นการแข่งขันกันสร้างกิเลส ตัวหล่อเลี้ยงกิเลสก็คือสร้างเวรกรรม แต่ในทางพุทธศาสนาเดินในทางตรงกันข้าม คือนักปฏิบัติธรรมจะแข่งกันทำลายล้างกิเลส ด้วยเหตุนี้จิตใจของเราจะต้องเดินสวนทางกับเขา แต่จะทำอย่างไรถึงจะอยู่กลมกลืนด้วยกัน ทุกวันนี้ถึงเราจะไม่มีงานทำเราก็ไม่ทุกข์ใจเลยเพราะรู้จักพอ พูดง่ายๆ คืออยู่เป็น คนรวยก็คือคนที่รู้พอ คนจนก็คือคนที่ไม่รู้จักพอ
ผู้สื่อข่าว: สังคมไทยบอกว่าเป็นสังคมพุทธ แต่มีความเกลียดแค้นกันมาก
พระเขมจิตโต: ซึ่งก็ไม่ใช่พุทธจริง พุทธศาสนาสอนให้ทำลายกิเลส แต่อำนาจคือตัวกิเลสที่หยาบที่สุด ใยผู้คนมุ่งแสวงหาอำนาจกันเล่า อำนาจให้คนทำได้ทุกอย่าง ทำให้ฆ่าคนได้ ต้นเหตุปัญหาของมันคือ กิเลสอำนาจ ประชาชนที่รับเคราะห์เป็นปลายเหตุของปัญหาหรือพูดง่ายๆคือเหยื่อ เขาไม่รู้เรื่องอะไร แต่กลับต้องมารับความทุกข์เต็มๆ ก็เลยคิดว่าใครที่ช่วยให้คนเหล่านี้พ้นทุกข์ก็จะเป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่
ผู้สื่อข่าว: ที่ว่าช่วยประชาชนนั้น ต้องช่วยอย่างไร
พระเขมจิตโต: ในขั้นต้นเขาต้องช่วยตัวเองให้หลุดจากความทุกข์คือเข้าถึงธรรม แค่นี้ความทุกข์ก็จะบางเบาลงไปมาก แต่คนที่มีอำนาจในการช่วยเขาให้เขาพ้นทุกข์ ก็คือช่วยเยียวยา ปลดปล่อยเขาสู่อิสรภาพ และเยียวยาผู้รับผลกระทบ ทั้งความตาย ความพิการ การสูญเสียคนที่รักไป ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนมนุษย์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน
ในทางกลับกัน คนที่ไปทำบาปกับพวกเขาก็จะได้อกุศลผลบุญตอบกลับมาเหมือนกันเพราะไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรมไปได้
วิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายและดีที่สุด คือการเอาคำสอนท่านพุธทาสมาปฏิบัติ คือ มองในสิ่งดี “เขาจะดีบ้าง เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู สิ่งที่ชั่วอย่าไปรู้เรื่องเขาเลย หากจะเที่ยวหาส่วนดี แต่ฝ่ายเดียว อย่าเที่ยวหาเหนื่อยเปล่าสหายเอย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง สรุปง่ายๆๆ คือ หากคนเราคุยแต่เรื่องดีๆของกันและกัน ก็จะไม่ทะเลาะและมีปัญหากัน สังคมก็จะสงบสุขไปเอง
ที่มา.ประชาไท
บทสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ทีมข่าวพิเศษ มีโอกาสสนทนากับพระเขมจิตโต (สุวิชา ท่าค้อ) ซึ่งผ่านการอุปสมบทในช่วงเช้าของวันเดียวกันวัดชลธารบุญญาวาส ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม
เราสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระเขมจิตโตกล่าวตั้งแต่ช่วงแรกของการสนทนาว่า “ในทางโลก(เรื่องการเมือง) อาตมาก็จะไม่ขอพูดอะไรอีก เพราะอะไรก็ได้รู้ได้เห็นกันหมดแล้ว” พร้อมกล่าวถึงหน้าที่ของตนเองขณะนี้ว่า “ของชาวพุทธคือการเผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน เพราะถือว่าเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ธรรมะคือหนทางพ้นทุกข์ การช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์คือกุศลบุญที่ยิ่งใหญ่”
ผู้สื่อข่าว: ที่หลวงพี่ว่าการช่วยคนจากความทุกข์เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่นั้น สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์เรื่องการเมืองจะช่วยได้ไหม ช่วยอย่างไร
พระเขมจิตโต: ความจริงแล้วพุทธศาสนาสอนไม่ให้เอาทุกข์เข้ามาใส่ตัวหรืออยู่กับทุกข์แต่ไม่ให้ทุกข์ พูดง่ายๆ คืออย่าเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตน แต่สิ่งที่อาตมายังคิดเป็นนิวรณ์อยู่บ้าง(กิเลสระดับกลางที่เป็นอุปสรรคของผู้ปฏิบัติ) คือ สงสารคนที่ยังอยู่ในความทุกข์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะพวกเขาคือประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่กลับต้องมารับเคราะห์อย่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก การช่วยเหลือพวกเขาให้ลดหรือพ้นจากความทุกข์ คือ มหากุศลบุญ
สิ่งที่หลวงพี่จะช่วยได้คือ อยากให้พวกเขาเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ชีวิตเราเป็นของไม่เที่ยง เป็นของสมมุติ ยึดติดมากก็ทุกข์มาก เมื่อเราไม่ยึดติดเราก็จะไม่ทุกข์ สรุปคือต้องยอมรับกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น จากการสูญเสียอิสรภาพ พิการ สูญเสียคนที่รัก ฯลฯ ให้พิจารณาถึงโลกธรรม 8 คือธรรมทีอยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสบ ได้แก่ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เราไม่มีทางหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ไปได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นก็ให้พิจารณามาเป็นสิ่งที่สมมุติให้เป็นเพราะเรากำลังอยู่ในโลกของการสมมุติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเราคิดได้เช่นนี้เราก็ก็ปล่อยวางจากมัน อย่าไปทุกข์กับมัน ให้ถือว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมของเราเอง เมื่อได้ใช้แล้วก็หมดเวรกันไป และขอให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่ได้กระทำต่อเรา เพื่อเราจะได้สบายใจและมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมต่อไป
ผู้สื่อข่าว: หลวงพี่เคยกล่าวว่าหากออกจากคุกได้แล้วก็จะบวช เมื่อได้บวชแล้วท่านรู้สึกอย่างไร
พระเขมจิตโต: ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตอาตมาก็ได้มาถึง คือการได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จะได้ปฏิบัติธรรมเต็มที่ คือการเดินมรรค 8 เต็มกำลังในสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฎิบัติธรรม หลวงพี่จะต้องตัดจากทางโลกโดยสิ้นเชิงเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (อริยทรัพย์) คือการเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาประกอบกันด้วย ทางโลกและทางธรรมมันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทางโลกผู้คนจะแข่งกันเพิ่มกิเลส (ความอยาก) และอาหารที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกิเลสคือการก่อธรรมต่างๆ แต่ทางธรรมนักปฏิบัติธรรม (นักรบกิเลส) จะแข่งกันฆ่าทำลายล้างกิเลส ชัดเจนว่ามันจะเดินสวนทางกัน
ผู้สื่อข่าว: สิ่งที่ตั้งใจจะทำต่อไปคืออะไร
พระเขมจิตโต: ไม่อยากพูดถึงอนาคต เพราะพุทธศาสนาคือปัจจุบัน หน้าที่ขณะนี้ ชาวพุทธคือเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นธรรมทาน การให้ธรรมทานเป็นการให้ที่สูงสุด เป็นการให้อริยทรัพย์ ถ้าได้กลับออกมาก็คงจะเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป ตอนนี้พยายามดึงญาติพี่น้องเดินเข้าสู่ทางธรรม ยอมรับว่าให้คนเห็นธรรมเป็นเรื่องที่ยากมาก หากเขาสร้างบุญบารมีมาก่อนจะไม่มีทางได้เห็นธรรมหรอก อาจจะมืดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีให้เห็นมากต่อมาก ส่วนมากเราก็ต้องปล่อยวางไป ทุกวันนี้อาตมาอยากจะหนีไปสู่ที่สงบอยางเดียว การปฏิธรรมในที่ไม่สัปปายะก็เหมือนขับเรืออยู่ในคลื่นลมแรง แต่พระที่เก่งแล้วก็คือจะอยู่อย่างไรก็ได้ ส่วนยังคงไร้เดียงสาอยู่มาก
ผู้สื่อข่าว: น้องชายบอกว่า หลวงพี่เปลี่ยนไปเยอะ
พระเขมจิตโต: เห็นธรรมแล้วก็อยู่เป็น ถึงจะอยู่ในทุกข์แต่จะไม่เอาทุกข์ ปกติทางธรรมจะเดินสวนทางกับทางโลก คือ ทางโลกเป็นการสะสมกิเลสซึ่งจะเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง หากเปรียบจิตเป็นเหมือนบ้านกิเลสก็คือขโมยที่จ้องจะเข้าบ้านอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดที่เราเผลอ ในทางโลก ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คือเป็นการแข่งขันกันสร้างกิเลส ตัวหล่อเลี้ยงกิเลสก็คือสร้างเวรกรรม แต่ในทางพุทธศาสนาเดินในทางตรงกันข้าม คือนักปฏิบัติธรรมจะแข่งกันทำลายล้างกิเลส ด้วยเหตุนี้จิตใจของเราจะต้องเดินสวนทางกับเขา แต่จะทำอย่างไรถึงจะอยู่กลมกลืนด้วยกัน ทุกวันนี้ถึงเราจะไม่มีงานทำเราก็ไม่ทุกข์ใจเลยเพราะรู้จักพอ พูดง่ายๆ คืออยู่เป็น คนรวยก็คือคนที่รู้พอ คนจนก็คือคนที่ไม่รู้จักพอ
ผู้สื่อข่าว: สังคมไทยบอกว่าเป็นสังคมพุทธ แต่มีความเกลียดแค้นกันมาก
พระเขมจิตโต: ซึ่งก็ไม่ใช่พุทธจริง พุทธศาสนาสอนให้ทำลายกิเลส แต่อำนาจคือตัวกิเลสที่หยาบที่สุด ใยผู้คนมุ่งแสวงหาอำนาจกันเล่า อำนาจให้คนทำได้ทุกอย่าง ทำให้ฆ่าคนได้ ต้นเหตุปัญหาของมันคือ กิเลสอำนาจ ประชาชนที่รับเคราะห์เป็นปลายเหตุของปัญหาหรือพูดง่ายๆคือเหยื่อ เขาไม่รู้เรื่องอะไร แต่กลับต้องมารับความทุกข์เต็มๆ ก็เลยคิดว่าใครที่ช่วยให้คนเหล่านี้พ้นทุกข์ก็จะเป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่
ผู้สื่อข่าว: ที่ว่าช่วยประชาชนนั้น ต้องช่วยอย่างไร
พระเขมจิตโต: ในขั้นต้นเขาต้องช่วยตัวเองให้หลุดจากความทุกข์คือเข้าถึงธรรม แค่นี้ความทุกข์ก็จะบางเบาลงไปมาก แต่คนที่มีอำนาจในการช่วยเขาให้เขาพ้นทุกข์ ก็คือช่วยเยียวยา ปลดปล่อยเขาสู่อิสรภาพ และเยียวยาผู้รับผลกระทบ ทั้งความตาย ความพิการ การสูญเสียคนที่รักไป ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนมนุษย์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน
ในทางกลับกัน คนที่ไปทำบาปกับพวกเขาก็จะได้อกุศลผลบุญตอบกลับมาเหมือนกันเพราะไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรมไปได้
วิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายและดีที่สุด คือการเอาคำสอนท่านพุธทาสมาปฏิบัติ คือ มองในสิ่งดี “เขาจะดีบ้าง เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู สิ่งที่ชั่วอย่าไปรู้เรื่องเขาเลย หากจะเที่ยวหาส่วนดี แต่ฝ่ายเดียว อย่าเที่ยวหาเหนื่อยเปล่าสหายเอย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง สรุปง่ายๆๆ คือ หากคนเราคุยแต่เรื่องดีๆของกันและกัน ก็จะไม่ทะเลาะและมีปัญหากัน สังคมก็จะสงบสุขไปเอง
ที่มา.ประชาไท
“จาตุรนต์” ฟันธง! ถึงขั้นนี้ต้องยุบ ปชป.สถานเดียว แนะจับตากระบวนการพิจารณา หวั่นไม่โปร่งใส
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยกล่าวถึงการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า จากการติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นตนเชื่อว่าโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะถูกสั่งให้ยุบพรรคมีสูงมาก เนื่องจากมีพยานหลักฐานแน่นหนามาตั้งแต่การสอบสวนคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก็มีมติเสนอให้ยุบพรรคจากทั้ง 2 คดี ล่าสุดคณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต.กับอัยการก็มีความเห็นร่วมกันว่าเสนอให้ฟ้องเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ในคดี 258 ล้าน ทำให้เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนเกินกว่าที่ใครจะช่วยให้พ้นผิดได้ ดังนั้นจึงไม่ยุบไม่ได้
“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี ถูกกระแสสังคมติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นสองมาตรฐาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 5 พรรค การพิจารณาคดีพรรคประชาธิปัตย์ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความล่าช้าเกินกว่าปกติ แต่เป็นเพราะในช่วงการชุมนุมของประชาชนได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ จน กกต.ส่วนใหญ่ต้องพิจารณาเรื่องไปตามเนื้อผ้า และมีมติเสนอให้ยุบพรรคในที่สุด ซึ่งทำให้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่น่าสนใจจกฝ่ายประชาธิปไตยที่ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในระหว่างขั้นตอนต่างๆ มีข่าวเรื่องการขโมยข้อมูลจากดีเอสไอ กรณีเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญแอบส่งข้อมูลให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำให้ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะบริสุทธิ์ยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นเรื่องใหญ่มากที่พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดจะต้องยุติบทบาทลง และยิ่งทำให้นักการเมืองอีกจำนวนมากต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปพร้อมกัน อันจะเป็นเหตุทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอลงอย่างมาก และพรรคการเมืองโดยทั่วไปก็จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอทั่วกัน ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบระบบกฎหมาย ตั้งแต่ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ต้องการทำให้ระบบพรรคการเมืองและพรรคการเมืองอ่อนแอ
ที่มา.มติชนออนไลน์
“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี ถูกกระแสสังคมติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นสองมาตรฐาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 5 พรรค การพิจารณาคดีพรรคประชาธิปัตย์ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความล่าช้าเกินกว่าปกติ แต่เป็นเพราะในช่วงการชุมนุมของประชาชนได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ จน กกต.ส่วนใหญ่ต้องพิจารณาเรื่องไปตามเนื้อผ้า และมีมติเสนอให้ยุบพรรคในที่สุด ซึ่งทำให้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่น่าสนใจจกฝ่ายประชาธิปไตยที่ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในระหว่างขั้นตอนต่างๆ มีข่าวเรื่องการขโมยข้อมูลจากดีเอสไอ กรณีเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญแอบส่งข้อมูลให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำให้ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะบริสุทธิ์ยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นเรื่องใหญ่มากที่พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดจะต้องยุติบทบาทลง และยิ่งทำให้นักการเมืองอีกจำนวนมากต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปพร้อมกัน อันจะเป็นเหตุทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอลงอย่างมาก และพรรคการเมืองโดยทั่วไปก็จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอทั่วกัน ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบระบบกฎหมาย ตั้งแต่ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ต้องการทำให้ระบบพรรคการเมืองและพรรคการเมืองอ่อนแอ
ที่มา.มติชนออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)