--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เจาะเครือข่าย 2 ท่อน้ำเลี้ยงแดง? สะพัด740 ล้าน ที่แท้หุ้นส่วน บ.เมียรัฐมนตรี นักร้องดัง ชนชั้นสูง

เจาะขุมข่าย 2 นักธุรกิจโนเนมติดบ่วงท่อน้ำเลี้ยงแดง โอละพ่อ! ที่แท้หุ้นส่วน บ.เมียรัฐมนตรี ครม.มาร์ค ชนชั้นสูง คุณหญิงอ้อ และนักร้องดัง

ภายหลังจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เรียกบุคคลและนิติบุคคล จำนวน 83 รายที่ตรวจพบว่าทำธุรกรรมทางการเงินผิดปกติ โดยมีบุคคลทยอยเข้าให้ถ้อยคำในช่วงต่อมาจำนวนมาก ปรากฏว่ามีบุคคลที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักทางการเมืองรวมอยู่ด้วย คือนายฑัศ เชาวนเสถียร และ นางสุกัญญา ประจวบเหมาะ

กรณีของนายฑัศ เชาวเสถียร ก่อนหน้านี้มีข้อมูลระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตรวจพบในช่วง 9 เดือนหรือระหว่างเดือนกันยายน 2552- พฤษภาคม 2553 บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียน ประมาณ 720 ล้านบาท แบ่งเป็นฝากประมาณ 394 ล้านบาท ถอน ประมาณ 426 ล้านบาท

ในช่วงเวลาเดียวกัน กรณีของนางสุกัญญา ประจวบเหมาะ บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียนประมาณ 24 ล้านบาท เป็นการฝากเงินประมาณ 12 ล้านบาท และ ถอนเงินประมาณ 12 ล้านบาท

ทำให้เกิดคำถามว่าทั้งสองคนทำธุรกิจอะไรหรือไม่?

ล่าสุด ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้

นายฑัศ เชาวนเสถียร ธุรกิจปัจจุบัน 2 แห่งคือ

บริษัท จี เนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ขายโทรศัพท์ บริการซ่อมโทรศัพท์ จดทะเบียนวันที่ 29 มกราคม 2544 (ชื่อเดิม บริษัท ไวร์เลสแอ๊ดวานซ์ซิสเต็ม จำกัด-เพิ่งเปลี่ยนชื่อเมื่อ 3 สิงหาคม 2552 ) ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท วันที่ 13 มีนาคม 2552 เพิ่มทุนจาก 30 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 5 อาคารฟอร์จูนทาวน์ ชั้น 2 ชั้น 2 ห้อง 59 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ นายฑัศ เชาวนเสถียร ถือหุ้น 79.9% นางไพจิตร จารุวัชรวรรณ 8% (เจ้าของบริษัท รักษาความปลอกภัย ชื่อบริษัท การ์ดซมาร์ค โปรเท็คชั่น จำกัด) นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 4% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 4% นายหาญชัย ยุทธ์ธนพิพัฒน์ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นางสาว พรรณทิพย์ เข็มทอง 0.02% มีนาง ไพจิตร จารุวัชรวรรณ นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ เป็นกรรมการ

ผลประกอบการ ปี 2549 รายได้ 151.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.3 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 129.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 47,153 บาท ปี 2551 รายได้ 919.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.7 ล้านบาท

และบริษัท เดดมิลเลนเนียม จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจขายหนังสือ ที่ตั้งเลขที่ 3/5-6 อาคารศุภาลัยปาร์ค 2 ชั้น 1 ซอยพหลโยธิน 21 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายฑัศ ถือหุ้น 90% นายประทีป หาญลิ่วลมวิบูลย์ 2% นางสาวมัณฑนุช พืชมงคล 2% นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นายลม ต่อปัญญา 1% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 1%

ผลประกอบการ ปี 2550 รายได้ 43.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 864,881 บาท ปี 2551 รายได้ 23.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 995,317 บาท

เลิกกิจการแล้ว 2 แห่งชื่อ บริษัท สยาม แอ๊ดวานซ์ โปรดักซ์ จำกัด ค้าพลาสติก บริษัท กรีนไลฟ์ นิวทริชั่น จำกัด ขายเครื่องสำอาง อาหารเสริม

ส่วนนางสุกัญญา ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ใน บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส จำกัด ก่อตั้งปี 2536 ประกอบธุรกิจทัวร์ร่วมกับกลุ่มท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย เจ้าของกลุ่มดุสิตธานี ,บริษัทของนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ภรรยานายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร

เป็นกรรมการบริษัท เพลินดำริ จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับหม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ หม่อมราชวงศ์ ดำรงดิศ ดิศกุล นาง ศิริกาญจน์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ณ อยุธยา นาย จุลพยัพ ศรีกาญจนา

เป็นกรรมการร่วมกับนาย มนู อรดีดลเชษฐ์ นายณรงค์ ศุภพิพัฒน์ นายไปรเทพ ซอโสตถิกุล นายจักร ติงศภัทิย์ ในกลุ่มบริษัทดาต้าแมท จำกัด

เป็นกรรมการบริษัท ซีคอม จำกัด ร่วมกับนายชัย โสภณพนิช หม่อมราชวงศ์ โอภาศ กาญจนะวิชัย

เป็นกรรมการบริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด (บริการโทรคมนาคม) นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจร้านอาหารชื่อบริษัท คาฟเฟ เครท จำกัด ร่วมกับนายปกรณ์ ลัม นักร้องดัง และคนอื่นๆ

เป็นกรรมการร่วมกับนายนุกูล ประจวบเหมาะ ในชื่อบริษัท ไฮ-โปรฟิท ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (อพาร์ทเม้นท์)

เบ็ดเสร็จนางสุกัญญาเป็นกรรมการทั้งหมด 26 บริษัท ในจำนวนนี้เปิดดำเนินการ 11 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด บริษัท คาฟเฟ เครซ จำกัด บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส บริษัท ทรัพย์สินวิภพ จำกัด บริษัท เพลินดำริ จำกัด บริษัท โฟลิเอจส์ แอนด์ ออคิดส์ แลนด์ จำกัด บริษัท สลิลธารา จำกัด บริษัท สหปฐพี จำกัด บริษัท อโศก เฮ้าส์ จำกัด บริษัท อินเตอร์ คาเฟรสท์ จำกัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอื้องฟ้า

ขณะเดียวกัน ยังพบนางสุนิสา ประจวบเหมาะ และ นายธัญญวัฒน์ ประจวบเหมาะ ซึ่งมีนามสกุลเดียวกับนางสุกัญญา ถือหุ้นและเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทเอ็มโซลูชั่น เครือเอ็มลิงค์ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อีกด้วย

จากข้อมูลเห็นได้ว่าคอนเนกชั่นธุรกิจของนางสุกัญญาไม่ธรรมดา ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ตามข้อสงสัยของ ศอฉ.หรือไม่?

คงต้องให้ ศอฉ.เป็นผู้ให้คำตอบ

ที่มา.มติชนออนไลน์

รอด-ไม่รอด? คณะกรรมการ"ปฏิรูปประเทศ"

เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย โดยมี “นายอานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการปฎิรูป และ “นพ.ประเวศ วะสี” ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัว คณะกรรมการปฎิรูปประเทศจำนวน 19 คน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศจำนวน 27 คน

โดยนายอานันท์ กล่าวว่า ความแตกต่างในการทำงานระหว่างคณะกรรมการของตน กับ นพ.ประเวศ คือ คณะกรรมการ นพ. ประเวศ จะทำงาน เก็บข้อมูลข้อคิดเห็น และสังเคราะห์ปัญหา เพื่อนำเสนอ ข้อมูลข้อเท็จจริง ต่อคณะกรรมการชุดตน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปจะทำหน้าที่ยกร่างเป็นแผนปฏิบัติการ ที่สามารถ นำไปปฏิบัติและแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ทั้งภาครัฐบาล ภาคข้าราชการ และเอกชน สามารถนำไปใช้ได้

ทั้งนี้ยืนยันว่า...ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป เป็นเวลา 3 ปี ตามระเบียบสำนักนายกฯ แต่หากรัฐบาลใด จะยกเลิกระเบียบดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่เชื่อมั่นว่า สังคม จะสนับสนุน ให้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดทำหน้าที่ต่อไป

ด้าน นพ.ประเวศ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะส่งเสริมสนับสนุน ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการจัดตั้ สมัชชาจังหวัดขึ้นทั่วประเทศ สมัชชาประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอ และสมัชชาแห่งชาติขึ้นมาทำงานรวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นนโยบาย และที่สำคัญคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานคู่ขนานกับคณะกรรมการปฏิรูปฯของนายอานันท์

สำหรับรายนามของคณะกรรมการทั้งสองชุดมีดังนี้
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ...1.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร 2.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา 3.นายชัยอนันต์ สมุทวณิช 4.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ 5.นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ 6.นายบัญชา อ่อนดำ 7.นางปราณี ทินกร 8.นายพงศ์โพยม วาศภูติ 9.นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ 10.พระไพศาล วิสาโล 11.นางรัชนี ธงไชย 12.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 13.นางวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์ 14.นายศรีศักดิ วัลลิโภดม 15.นายสมชัย ฤชุพันธุ์ 16.นางสมปอง เวียงจันทร์ 17.น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา 18.นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล 19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์

คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ...1.นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย 2.ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย 3.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 4.ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5.ประธานสมาคมธนาคารไทย 6.เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ปงระเทสไทย 7. นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ 8.นายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ 9.ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา 10.นายณรงค์ เพชรประเสริฐ 11.นายต่อพงศ์ เสลานนท์ 12.นางเตือนใจ ดีเทศน์ 13.รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร 14.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ 15. นางปรีดา คงแต้ม 16. นายปรีดา เตียสุวรรณ์ 17.นางเปรมฤดี ชามภูนนท์ 18.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป 19.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม 20.นายมานิจ สุขสมจิตร 21.นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ 22.นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข 23.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 24.นายสน รูปสูง 25.นายสมพร ใช้บางยาง 26.นางสาลี อ๋องสมหวัง 27.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ

สุดท้ายนี้มีผู้กล่าวไว้ว่า...สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประชาชนคนไทย คือ ผู้มีอำนาจมักไม่รู้จักเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาด และนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาประเทศชาติและประชาชนอย่างมีเมตตา...เพราะทุกคนเชื่อในเหตุและผลของตนเอง...ใครที่เห็นด้วยก็ว่ากันไป...แต่หากใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกจ้องมองด้วย “ดวงตาที่เขียวปั๊ด” แล้วแบบนี้ประเทศชาติจะเจริญ มีความสุข และอยู่กันอย่างสันติสามัคคีได้อย่างไร

การปฏิรูปประเทศจึงไม่ใช่กระบวนการปรองดองเพื่อสร้างภาพ...หากแต่เป็น “การปฏิวัติ” พฤติกรรมของผู้มีอำนาจและความคิดของคนไทย...รู้จักสำนึกในบทบาทและหน้าที่ที่ทำ...และรู้จักสำเหนียกในการรับรู้ “ผิดชอบชั่วดี” เพราะที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ทุกวันนี้บ้านเมืองกลับจาก “หน้ามือเป็นหลังมือ” คนดีอยู่ไม่ได้...แต่ทำไม “คนจัญไร” ถึงมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง...ดังนั้นการปฏิรูปประเทศไทยคือการกำจัดบุคคลเหล่านี้ออกไปให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่ว่าจะ “กล้าทำ” กันหรือไม่? เพราะเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง หากหันซ้ายหันขวาแล้วไปเจอแต่คนที่เป็นพวกพ้องฝ่ายตน

ประชาชนจะสามารถฝากความหวังได้หรือไม่กับการปฏิรูปประเทศชาติครั้งใหญ่...ซึ่งคงไม่ใครตอบได้นอกจาก “ต้องดูกันต่อไปยาวๆ” โดยจะจดจำคำที่พวกท่านให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า...จะดำเนินการขับเคลื่อนและปฏิรูปแบบโครงสร้างต่างๆ ในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พร้อมเสริมสร้างสมรรถนะในความเข้มแข็งและความเป็นธรรมอันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ และสันติสุข

คำพูดนี้ประชาชนจะไม่ลืม...และหวังว่าพวกท่านจะไม่ลืมเช่นเดียวกัน!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมมันถึงเรียกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

โดย คุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร น.บ. (ธรรมศาสตร์), ป.บัณฑิตทางกฎหมายมหาชน (ธรรมศาสตร์), นักศึกษาปริญญาโท สาชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ

บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น

การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ

นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?

การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น

หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)

จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย

การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก

อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ

แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)

สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ

เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"

เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"

รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก

บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)

การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป

เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง

พท.เหนือทำบุญวันเกิด "แม้ว" 29 ก.ค. นี้ ส.ส.น่านยืนยันไม่ใช่การปลุกระดม ไม่ยืนยันมีวิดีโอลิงก์หรือไม่

นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ส.ส.น่าน พรรค พท. กล่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ถึงกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธานส.ส.พรรค พท. จะไปปราศรัยเพื่อปลุกระดมประชาชนทั่วประเทศในวันที่ 26 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า งานดังกล่าวจะเลื่อนไปวันที่ 29 กรกฎาคมแทน เนื่องจากวันที่ 25-28 กรกฎาคมนั้นเป็นวันหยุดยาวช่วงวันเข้าพรรษา ทางส.ส.ต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ทั้งนี้การจัดเวทีปราศรัยดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายการขับเคลื่อนของพรรค พท.ที่ให้ส.ส.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ และนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนผ่านการจัดนิทรรศการ และจัดเวทีปราศรัย โดยเน้นการบริหารประเทศที่ไม่ชอบพามากล และการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงการนำเสนอนโยบายของพรรค พท.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย ในภาคเหนือจะจัด 2 จุดคือ จ.ลำพูน วันที่ 29 กรกฎาคม และจ.กำแพงเพชร จะมีขึ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม เนื่องจากทั้ง 2 จังหวัดไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

“ไม่แน่ใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์หรือโฟนอินเข้ามายังเวทีหรือไม่ แต่การปราศรัยครั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การปลุกระดม แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบหลังจากถูกปิดสื่อมานาน ” นายวัลลภกล่าวและว่า สำหรับงานวันคล้ายวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 กรกฎาคม ส.ส.เหนือยังรำลึกถึงพ.ต.ท.ทักษิณอยู่จะจัดงานทำบุญวัดเกิดให้ที่วัดพระธาตูหริภุญชัย จ.ลำพูน เนื่องจากเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ

นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรค พท. กล่าวว่า การปราศรัย ที่ จ.ลำพูน เป็นการจัดประจำช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่จะไม่มีการระดมทุน จัดเลี้ยงโต๊ะจีน และพูดคุยปัญหาเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด คาดว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดง และสมาชิกพรรค จาก 17 จังหวัดทั่วภาคเหนือ ประมาณหมื่นคน เข้าร่วมรับฟังการปราศรัย

ที่มา.มติชนออนไลน์

ลุยค่ายทหารกาญจน์กรรมการสิทธิฯขอตรวจสอบหาคนเสื้อแดง

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเตรียมเรียกหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวกักขังแนวร่วมคนเสื้อแดงนานกว่ากฎหมายให้อำนาจ พร้อมขอลงพื้นที่ตรวจสอบค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรีทุกซอกทุกมุมเพื่อความโปร่งใส เตือนรัฐบาลใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ คุมเจ้าหน้าที่ให้ทำงานในกรอบ ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งร่วมกันร่อนแถลงการณ์ต้านต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ทำลายหลักการตรวจสอบ ขัดขวางสร้างความปรองดอง “สุเทพ” ยืนยันตรวจสอบแล้วไม่มีคนเสื้อแดงหลงเหลืออยู่ในค่ายทหาร ซัด “พร้อมพงศ์-จตุพร” โกหก เชียร์ ศอฉ. เอาผิดหากชี้แจงไม่ได้ สั่งจับตาทีวี.เสื้อแดงช่องใหม่พบผิดฟันทันที

ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึงประธาน กสม. ผ่าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการ กสม. และประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง สิทธิการเมือง และสิทธิชุมชน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวคนเสื้อแดงถูกคุมขังในค่ายทหารที่จังหวัดกาญจนบุรี

ยันมีเสื้อแดงสูญหาย 70 คน

“วันนี้ยังมีบุคคลที่สูญหายและญาติออกตามหาอีกประมาณ 70 คนที่มาร้องเรียนไว้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงา เมื่อมีข่าวว่ามีคนเสื้อแดงถูกขังอยู่ในค่ายทหารก็อยากให้ กสม. ไปช่วยตรวจสอบว่ามีจริงหรือไม่ หากมีควรปล่อยตัวคืนกลับสู่ครอบครัว เพราะนับจากวันที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาถึงวันนี้เกินกำหนด 30 วันที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจควบคุมตัวแล้ว”

ท้าเปิดค่ายทหารตรวจสอบ

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันว่าไม่มีการควบคุมคนเสื้อแดงเอาไว้ในค่ายทหารก็ควรเปิดให้ทีมงานของพรรคเพื่อไทย สื่อมวลชน และ กสม. เข้าไปตรวจสอบ เพื่อแสดงความจริงใจว่าต้องการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองตามที่ประกาศไว้

“พร้อมพงศ์” พร้อมชี้แจง ศอฉ.

“ผมแปลกใจที่ ศอฉ. ให้ตำรวจเรียกตัวไปสอบเรื่องที่พูดว่ายังมีคนเสื้อแดงถูกขังในค่ายทหาร ถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่หากมีหมายเรียกส่งมาก็พร้อมเข้าชี้แจง สิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามคือวันนี้บ้านเมืองเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เพราะการทำหน้าที่ของผมทำตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งการออกมาพูดเรื่องการกักขังคนเสื้อแดงก็เป็นการทำหน้าที่ตามที่ประชาชนร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่รัฐบาลกลับแสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีอำนาจเหนือว่ารัฐธรรมนูญ ถือเป็นการใช้กฎหมายคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้าน”

จี้กรรมการสิทธิฯทำหน้าที่

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า เมื่อรัฐบาลพยายามใช้กฎหมายพิเศษจำกัดการตรวจสอบพรรคการเมืองจึงไม่อาจทำงานได้โดยลำพัง ต้องมาขอให้ กสม. ช่วยตรวจสอบ เพราะรัฐบาลกำลังใช้กฎหมายพิเศษปิดกั้นการตรวจสอบเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน

“ขนาดคนที่เป็นโฆษกพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภายังโดนอำนาจรัฐกลั่นแกล้งแบบนี้ แล้วจะมีใครหน้าไหนกล้าตรวจสอบรัฐบาล” นายพร้อมพงศ์กล่าว

กสม. จ่อเรียกทหารชี้แจง

นพ.นิรันดร์กล่าวว่า จำเป็นต้องเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง และต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบตามข้อร้องเรียนด้วย

นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. กล่าวว่า แม้จะเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการให้บ้านเมืองสงบจึงคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป แต่ พ.ร.ก. ให้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจตามกฎหมาย อย่าทำในลักษณะเลือกปฏิบัติหรือทำอะไรเกินกว่าเหตุ การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ละครั้งต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นได้ ที่สำคัญต้องตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าอยู่ในกรอบที่เหมาะสมหรือไม่ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นต้องยกเลิกการใช้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดเวลา 3 เดือน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวว่า หากคำพูดของนายพร้อมพงศ์เข้าข่ายทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ยันตรวจสอบแล้วไม่มีเสื้อแดงถูกขัง

“ผมตรวจสอบแล้วได้รับคำยืนยันว่าไม่มีการขังประชาชนไว้ที่ค่ายทหาร และไม่มีเจ้าหน้าที่ทำอะไรเกินกว่ากฎหมายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง คำพูดของนายพร้อมพงศ์และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นการโกหกทั้งสิ้น ผมขอประณามคนเหล่านี้ เพราะออกมาพูดจนทำให้ประชาชนเกิดความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ไม่มีใครใช้อำนาจข่มเหงรังแกประชาชนหรือทำอะไรตามอำเภอใจ” นายสุเทพกล่าว

“สุเทพ” ไม่อยากทะเลาะกรรมการสิทธิฯ

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิทธิฯออกมาตำหนิการกระทำของรัฐบาลหลายเรื่อง นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากทะเลาะกับกรรมการสิทธิฯ แต่อยากให้ช่วยดูข้อมูลให้ชัดเจนก่อนพูดหรือทำอะไร เพราะการสื่อสารด้วยความเข้าใจผิดจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย

นายสุเทพกล่าวถึงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องใหม่ “เอเชี่ยนอัพเดท” ของคนเสื้อแดงว่า เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ หากเป็นการใช้สื่อเพื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ระบุนายทุนเสื้อแดงสั่งลุยต่อ

นายสุเทพให้สัมภาษณ์หลังการทำบุญในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 61 ว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะยังมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากหัวขบวนที่เป็นนายทุนยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังสั่งให้เคลื่อนไหวต่อ ต้องรอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการยุยงปลุกปั่นแล้วจึงยกเลิก

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้กันยาวนานเหมือนที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า อายุเริ่มเข้าปีที่ 62 แล้ว เตรียมจะรีไทร์ตัวเองกลับไปทำงานให้ครอบครัว แต่อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยก่อน ไม่ได้คิดหวังบ้าอำนาจอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องสนุกที่ต้องมาทำงานตรงนี้

พร้อมประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใหม่

“เอาเป็นว่าหากจังหวัดไหนไม่มีสถานการณ์อะไรแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจสามารถดูแลกันได้ก็จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” นายสุเทพกล่าวพร้อมระบุว่าการที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีว่าขบวนการเสื้อแดงจะกลับมาเร็วกว่าเดือน เม.ย. ปีหน้าเป็นการสรุปตามข้อมูลที่มี ก็อย่างที่บอกว่าแกนนำเขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วน 5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วหากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นก็ประกาศใช้ใหม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการลักลอบฝึกใช้อาวุธอย่างที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไรให้เกิดความตื่นตระหนก เอาเป็นว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจนน่ากังวล

“5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายปรกติให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตามรายงานที่เสนอผ่านมาทางกระทรวงมหาดไทยทั้ง 5 จังหวัดอยากให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้” นายสุเทพกล่าว

การเมืองใหม่เชื่อคุมเสื้อแดงไม่อยู่

นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ เชื่อว่าแม้รัฐบาลจะยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่หยุดการเคลื่อนไหว และจะต่อสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยพลิกแพลงการต่อสู้ไปตามสถานการณ์ ล่าสุดกลับไปเปิดทีวี.ดาวเทียมช่องใหม่ ซึ่งรัฐบาลก็ไม่รู้ว่าจะเอากฎหมายอะไรไปห้าม ทำได้อย่างเดียวคือการเฝ้าดู หากทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีอำนาจ

องค์กรสิทธิมนุษยชนร่วมต่อต้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานหลังรัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 3 เดือนใน 19 จังหวัด ทำให้องค์กรต่างๆเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน เพราะเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายลิดรอนสิทธิของประชาชน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เกินความจำเป็น เช่น ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ครส.) เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

แถลงการณ์ขององค์กรเหล่านี้ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันได้คลี่คลายลงแล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่สภาวะปรกติได้ จึงไม่มีเหตุความจำเป็นใดๆให้ต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงไว้อีกต่อไป

ลิดรอนสิทธิประชาชน

“นับแต่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้ใช้อำนาจพิเศษลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและความเชื่อทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามมิให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุม การจัดกิจกรรมต่างๆที่เห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาล อีกทั้งการประกาศห้าม ระงับ ยับยั้งการติดต่อสื่อสาร โดยการปิดสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์จำนวนมากที่เป็นการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง”

ทำลายระบบตรวจสอบ

แถลงการณ์ระบุอีกว่า การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเป็นการลิดรอนสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 16 ยังได้ยกเว้นอำนาจศาลปกครองไว้ การยกเว้นอำนาจศาลปกครองทำให้การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายไม่สามารถถูกตรวจสอบถ่วงดุลโดยอำนาจศาลปกครองได้ แม้จะสามารถดำเนินการในศาลยุติธรรม แต่ก็เป็นเฉพาะกรณีไป ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลปกครองเพื่อตรวจสอบกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ จึงขัดต่อหลักการตรวจสอบถ่วงดุลและหลักการแบ่งแยกอำนาจ การที่รัฐบาลยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองของคนในชาติและการสร้างความร่วมมือเพื่อปฏิรูปประเทศ อันเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สันติภาพ

ส.ส.เพื่อไทยรุมยำอธิบดีดีเอสไอ

ด้านการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมาได้พิจารณางบประมาณของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนที่เป็นกรรมาธิการใช้โอกาสนี้สอบถามเกี่ยวกับการทำงานของดีเอสไอ เช่น นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ถามว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและคดีผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นดีเอสไอให้คำนิยามคำว่าผู้ก่อการร้ายอย่างไร และคดีที่เป็นภัยต่อสถาบันมีจริงหรือไม่ อยากทราบว่าการดำเนินงานของดีเอสไอในบางเรื่องมีใบสั่งจากการเมืองจริงหรือไม่ ขณะที่ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างไร พร้อมฝากให้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมา เพื่อทำให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดอง ส่วนนางนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอรับคดียึดสนามบินทั้ง 2 แห่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคดีพิเศษแล้วหรือไม่ เพราะมีข้อกล่าวหาก่อการร้ายเหมือนคนเสื้อแดง

“ธาริต” ยันมีหน้าที่แค่ทำสำนวน

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ชี้แจงว่า คดีที่เป็นภัยต่อสถาบันและคดีก่อความไม่สงบเป็นคดีที่ตั้งต้นมาจาก ศอฉ. ดีเอสไอทำหน้าที่เป็นคนกลางในฐานะพนักงานสอบสวนเท่านั้น ยืนยันว่าการทำงานตรงไปตรงมา เพราะไม่ได้ทำคนเดียว แต่ทำร่วมกับอีก 12 หน่วยงานและอัยการ ส่วนการประเมินผลการทำงานนั้นดีเอสไอประเมินเชิงคุณภาพ ไม่ได้ประเมินจากปริมาณคดี สำหรับคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรฯเห็นด้วยในหลักการว่าควรเป็นคดีพิเศษ แต่การจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ 20 คนเป็นผู้พิจารณา ไม่สามารถตัดสินใจอะไรคนเดียวได้

ฝากขังสองผู้ต้องหาจ้างวานระเบิด

สำหรับความคืบหน้าคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขัง น.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อ และนายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย 2 ผู้ต้องหาจ้างวาน ตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ผลัดแรกตั้งแต่วันที่ 7-18 ก.ค. แต่ไม่อนุญาตให้นำผู้ต้องหาทั้งสองกลับไปสอบสวนต่อที่ดีเอสไอตามคำขอ โดยให้นำตัวนายกอบชัยไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน น.ส.วริศรียาถูกนำตัวไปควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ฝากขังนายกำพล คำคง นายเดชพล พุทธจง และนายเอนก สิงขุนทด ผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดใกล้พรรคภูมิใจไทยที่ถูกจับกุมตัวก่อนหน้านี้เป็นผลัดที่ 2 จนถึงวันที่ 19 ก.ค.

"จิรายุ" กร้าว!! ซัด "มาร์ค-สุเทพ" ลงแดงอำนาจ ชี้อาการแบบนี้ต้องบ้องหู ลั่น"เอเชีย อัพเดท"ถูกปิดก็เปิดใหม่ได้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยและผู้ดำเนินรายการ “ประเทศไทยก็ของเรา” ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เอเชีย อัพเดท กล่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชีชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งให้จับตาการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชีย อัพเดท และพร้อมสั่งให้ปิดสถานีหากพบว่ามีการปลุกระดมประชาชนอย่างผิดกฎหมาย ว่า พฤติกรรมลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงอาการลงแดงอำนาจ ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าการเสพติดอำนาจ เพราะเริ่มเห็นอาการทุรนทุรายกลัวว่าใครจะมาทำให้อำนาจตัวเองสั่นคลอน ซึ่งบอกได้เลยว่าคนที่มีอาการแบบนี้ส่วนใหญ่จบไม่สวย หากไม่ถูกบ้องหูก็ต้องประสาทตายไปเอง เพราะวันนี้สถานีโทรทัศน์เอเชีพ อัพเดทนั้นเพียงแค่ทดลองออกอากาศ ยังไม่ได้มีการออกอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ก็จะสั่งปิดสถานีและกล่าวหาว่าคนอื่นจะก่อการร้ายเสียแล้ว อย่างนี้มันทำตัวเหมือนมาเฟียร์มากกว่าจะเป็นรัฐบาล

“นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ รวมไปถึงนายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพวกชอบฝันกลางวันแล้วหาโน่นนี่มาปะติดปะต่อเพื่อให้ฝันของตัวเองเป็นจริง ซึ่งการเอาการทำสื่อไปโยงกับการชุมนุมใหญ่ช่วงปลายปีนั้นคิดอะไรไปไม่ได้ นอกจากคนพวกนี้ฝันกลางวัน เพราะการทำสื่อกับการชุมนุมของประชาชนนั้นมันเป็นคนละเรื่อง ซึ่งผมยืนยันได้ว่าเอเชีพ อัพเดท นั้นเป็นสื่อมวลชน ที่ดำเนินการเพื่อตรวจสอบรัฐบาล หากรัฐบาลไม่ได้ทำผิดหรือทุจริตอะไรก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่หากกลัวก็ขอให้ลองติดกล่องรับสัญญาณดาวเทียมและรับชมดูก็ได้ว่าวันนี้มันมีทีวีดาวเทียมในประเทศไทยเป็นร้อยๆช่อง” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า หากรัฐบาลจะปิดสถานีโทรทัศน์เอเชีย อัพเดทนั้นก็ต้องถามว่าจะเอากฎหมายอะไรมาปิด เพราะกฎหมายในประเทศไทยยังไม่ครอบคลุมไปถึงการทำสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ใครๆก็สามารถออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้ แต่หากรัฐบาลจะปิดเอเชียอัพเดทจริงๆ เราก็ต้องบอกว่าเราเปิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาเราก็ต้องคิดหนทางต่างๆไว้ทั้งหมด คือบอกได้เลยว่าหากรัฐบาลสั่งปิด เราก็เปิดใหม่ เมื่อรัฐบาลมาปิด เราก็เปิดสถานีใหม่ เพราะขณะนี้พูดได้ว่าด้านฮาร์ทแวร์ คือสถานี อุปกรณ์ทางเทคนิคนั้นทางทีมงานมีความพร้อมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ส่วนที่ต้องดำเนินการผลิตก็คือซอร์ฟแวร์หรือคอนเทนท์รายการต่างๆ เท่านั้น

ที่มา.มติชนออนไลน์

ปลัดคลังเบี้ยวชี้แจงงบฯ เบิกจ่าย ศอฉ. "ประธาน กมธ.ทหารฯ"แฉข้อมูลในการใช้เงิน 2 แหล่งต่างกันเกือบพันล.

กมธ.ทหาร ฉุน ปลัดคลังเบี้ยว ส่งตัวแทนแจงเบิกจ่ายงบ ศอฉ. ประธาน กมธ.ทหารฯ ระบุ ข้อมูลการใช้เงิน 2 แหล่งต่างกันเกือบพันล้าน

ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร สภาผู้แทนราษฎร มีพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุม พิจารณากรณีหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ในส่วนงบกลางเพื่อเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมเชิญนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง มาชี้แจง แต่นายสถิต มอบหมายให้น.ส.เยาวนุช วิยาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมบัญชีกลาง มาชี้แจงแทน โดยกมธ.ในส่วนพรรคเพื่อไทย สอบถามถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่มีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) จนมาถึงการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่ามีการใช้ไปจำนวนเท่าไหร แต่น.ส.เยาวนุช ชี้แจงว่าในประเด็นนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงบประมาณในการจัดสรรเม็ดเงินให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชี้แจงจากน.ส.เยาวนุช ทำให้กมธ.หลายคนแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพ.ต.ท.สมชาย ถึงกับกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากมธ.ได้รับการชี้แจงจากสำนักงบประมาณและกองทัพว่าเป็นเรื่องของกระทรวงการคลังในการตกลงกับกองทัพ จึงทำให้กมธ.ต้องเชิญกระทรวงการคลังมาชี้แจง แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงแม้ว่าจะส่งตัวแทนมาชี้แจงแต่ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือกับกมธ.ในการร่วมกันตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน

“เท่าที่ทราบตอนนี้มีข้อมูลแตกต่างกัน 2 ส่วน คือ1.กองทัพได้ชี้แจงต่อกมธ.งบประมาณแล้วว่ามีการใช้เงินไปประมาณ 1.8 พันล้านบาท และ2. จำนวน 1 พันล้านบาท ซึ่งได้จากการประชุมกมธ.ทหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มียังตัวเลขที่ต่างกันอยู่เกือบพันล้านบาท นอกจากนี้ กมธ.มีการคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นแล้วว่ากำลังพล 6 หมื่นนายที่ปฏิบัติหน้าที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 400 บาทคิดเป็นภาระงบประมาณเฉพาะเรื่องนี้วันละ 24 ล้านบาทโดยประมาณยังไม่นับค่าบริหารจัดการอีกจำนวนมาก ทำให้กมธ.มีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการให้ข้อมูล” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นที่ประชุมกมธ.ได้มีการอภิปรายกันอย่างหลากหลาย โดยนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.ได้เสนอให้กมธ.ชุดนี้ตั้งคณะทำงานหรือมอบหมายให้คณะอนุกมธ.ชุดใดชุดหนึ่งในกมธ.ทำหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะโดยให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำไปเปรียบเทียบกับใช้งบประมาณในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถ้าทำแบบนี้จะได้ประโยชน์มากกว่าการเชิญตัวแทนมาให้กมธ.นั่งซักถามเพียงแค่จะต้องการข้อมูลที่ต้องการจะได้เท่านั้น ซึ่งพ.ต.ท.สมชาย ได้แสดงความเห็นด้วยที่จะมอบหมายให้คณะอนุกมธ.ชุดใดชุดหนึ่งทำหน้าที่และจะกำหนดระยะเวลาในการทำงาน เพราะเห็นว่าจะได้เข้าไปดูในรายละเอียดของการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวทั้งหมดต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์

ต่างชาติ รุมถล่มยับ!! รัฐบาลซุกสลายชุมนุม

กระแสฟุตบอลโลก ก็ยังช่วยกลบไม่ไหว

รัฐบาลมาร์คเจอเผือกร้อนอีกฉากใหญ่ เอ็นจีโอสากล ระบุชัด มุ่งกลบเกลื่อนเหตุการสลายการชุมนุมพฤษภาอำมะหิต ทั้งๆ ที่มีผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตมากมาย โดยเฉพาะกรณีที่วัดปทุมวนาราม

การเมือง ณ วินาที กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากที่จะสนใจ ว่ารัฐบาล หรือ ศอฉ. จะแสดงพลังอำนาจอะไรอีก เพราะกระแสฟุตบอลโลก ได้มากลบบรรยากาศทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าปลาหมึกยักษ์ “พอล” น่าสนใจกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยเป็นกอง

ยิ่งระหว่างปลาหมึก กับ ไก่อูด้วยแล้ว ยิ่งหนังคนละม้วน

เพราะปลาหมึกพอง ดังเพราะความสามารถจริง ส่วน ไก่อูนั้น ดังเพราะฉวยโอกาสสร้างกระแสเสียมากกว่า

ยิ่งหลังจากที่ทีมสเปนเฉือนเอาชนะทีมเยอรมัน 1-0 ในศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบรองชนะเลิศ แล้วทำให้ผลการทำนายของปลาหมึก พอล แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ยิ่งทำให้เรทติ้งความดังของ พอล ยิ่งพุ่งกระฉูด

บรรดาสำนักข่าวต่างประเทศให้ความสนใจ รายงานข่าวปลาหมึกพอล ว่าได้ทำสถิติทายถูกทั้ง 6 นัดที่เยอรมันลงสนาม นั่นก็คือชนะ 4 และแพ้อีก 2

แม้ว่าแฟนบอลอินทรีเหล็กที่อยู่ใสนามโมเซส มาบิดา สเตเดี้ยม อุตส่าห์ชูป้ายว่าคำทำนายของปลาหมึกพอลผิดแน่นอน แต่สุดท้ายเป็นปลาหมึกที่ทำนายได้ถูกต้อง

ดังนั้นตอนนี้ มีแต่คนสนใจลุ้นว่า คู่ชิงชนะเลิศ ระหว่าง สเปน กับ ฮอลแลนด์ สุดท้ายแล้วใครจะคว้าแชมป์มาครองกันแน่ ซึ่งไม่ว่าใครได้แชมป์ก็ตาม ก็ล้วนแต่จะเป็นการเพิ่มสถิติครั้งใหม่ให้กับฟุตบอลโลกทั้งสิ้น เนื่องจากทั้ง 2 ทีมยังไม่เคยมีใครได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาก่อนเลย

แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 จึงจะเท่ากับว่า เป็นแชมป์ครั้งแรก เปิดซิงให้กับทีมเลยทีเดียว

และเพราะฟุตบอลโลกน่าสนใจแบบนี้แหละ ที่ทำให้การเมืองถือเป็นช่วงปลอด ขนาดต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนส่วนใหญ่ก็บอกว่า... แน่นอนอยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว ว่าต้องออกมาเช่นนี้แน่

แม้จะมีกระแสข่าวว่า จริงๆ แล้ว ศอฉ.เสนอให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 24 จังหวัด แต่นายอภิสิทธิ์ ไม่เห็นด้วย จึงตัดสินใจให้คงไว้เพียง 19 จังหวัด แต่ก็ถูกมองว่า ก็แค่เกมลดแรงกดดันทางการเมืองเท่านั้น

พรรคเพื่อไทยถึงกับระบุว่า จริงๆ แล้วเดิมทีตั้งแต่แรกรัฐบาลมีเป้าอยู่แล้วว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ 19 จังหวัด แต่เพื่อจะให้ดูดีว่า เห็นมั้ยแคร์ในเรื่องนี้จริงๆ จึงได้ให้ ศอฉ.เสนอมา 24 จังหวัด จะได้เห็นว่า รัฐบาลทำเพื่อประชาชน โดยยอมเห็นแตกต่างจาก ศอฉ.

แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ได้สวนหรือหักมติอะไรทั้งนั้น... ก็แค่เกม แค่เพียงการสร้างข่าวเท่านั้น

เพราะหากรับฟังความเห็นประชาชนจริงๆ จะต้องรู้อยู่แก่ใจว่า แม้แต่โครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ยังมีการเรียกร้องให้เลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ ก็เห็นพ้องว่าควรยกเลิก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้อยู่ดี

ฉะนั้นไม่แปลกที่ เมื่อท่าทีของรัฐบาลไม่อีนังขังขอบกับเรื่องการใช้อำนาจ แถมยังไม่สนใจที่จะตรวจสอบความจริงในการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ หากความจริงกระจ่าง

เมื่อรัฐบาลทำเฉยๆ ตีกรรเชียง เรื่อยๆ ไปเรียงๆ กับการทำความจริงให้กระจ่าง เลยทำให้กลุ่มเอ็นจีโอ “International Crisis Group” หรือ “ไอซีจี” องค์กรพัฒนาเอกชนชื่อดัง ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ในประเทศเบลเยียม ได้ออกรายงานฉบับล่าสุด ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงทางการเมืองของไทย ในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ที่ผ่านมา

รายงานฉบับดังกล่าวของไอซีจีมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่อ้างว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ออกมาปกป้องกองทัพโดยพยายามระบุว่า ฝ่ายทหารจำเป็นต้องใช้ "กระสุนจริง" ยิงเข้าใส่ "กลุ่มคนเสื้อแดง" เนื่องจากมี "พวกผู้ก่อการร้าย" แฝงตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุม

ไอซีจีระบุว่า ท่าทีของรัฐบาลไทย ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อมูลของบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่ยืนยันว่า การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองของทางการไทยนั้นเป็นการกระทำที่รุนแรง “เกินขอบเขตอันสมควร”

เนื่องจากมีการยืนยันมากมาย ทั้งจากบรรดาผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่ และผู้สังเกตการณ์จากหลายประเทศที่ระบุตรงกันว่า กลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่นั้นปักหลักสู้กับทหารด้วย “มือเปล่า” หรือไม่ก็มีเพียงหนังสติ๊ก และประทัดเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายทหารกลับมีการยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธทั้งที่มีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกัน ไอซีจี ยังตั้งข้อสงสัยถึงคำกล่าวอ้างของรัฐบาลไทยที่ระบุว่ามีกลุ่มติดอาวุธยิงอาวุธประเภท “ลูกระเบิด” ขนาดต่างๆ มากกว่า 100 ลูกเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารตลอดระยะเวลา 6 วันของการเผชิญหน้ากัน

องค์กรเอ็นจีโอชื่อดังแห่งนี้ ยังประณามเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ภายในบริเวณวัดปทุมวนารามในช่วงค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีพลเรือนถูกยิงเสียชีวิตถึง 6 รายรวมทั้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย 1 ราย และพยาบาลอาสาอีก 2 รายเช่นกัน

ขณะที่สถาบัน “The International Press Institute” หรือ “ไอพีไอ” ซึ่งเป็นองค์กรด้านการปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชนระดับโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1950 และมีสมาชิกในกว่า 120 ประเทศได้ออกมาเผยแพร่รายงานที่อ้างว่ามาจากคำบอกเล่าของนายไมเคิล มาส ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ที่เดินทางเข้ามาทำข่าวเหตุการณ์รุนแรงในไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ออกมาระบุว่าทหารไทย “จงใจ” ยิงผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติระหว่างเข้าปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้มีผู้สื่อข่าวบาดเจ็บหลายราย ขณะที่ตัวของนายมาสเองก็ถูกยิงด้วยกระสุนปืนชนิด “เอ็ม 16” โดยกระสุนทะลุเฉียดปอดของเขาไปเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น

หลังหมดกระแสฟุตบอลโลกเมื่อไหร่ สงสัยว่ารัฐบาลมาร์ค คงต้องเจอศึกหนักเรื่องการสลายการชุมนุมแน่ๆ

ไม่รู้ว่า หากจะให้ปลาหมึกพอลมาทำนายอายุรัฐบาลนายอภิสิทธิ์... พอลจะรู้มั้ยนะ???
ที่มา.บางกอกทูเดย์

"เพื่อไทย" จัดทัพ-แท็กทีม ปรับขบวน 111+37 และ "ชินวัตร" ตั้งเป้า-เข้าทำเนียบ "พรรคเดียว"

รายงานพิเศษ

หากพรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยคน 2 รุ่น ระหว่างหัวขบวนรุ่น "ชวน หลีกภัย" กับหัวหน้าปัจจุบัน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

พรรคเพื่อไทยก็ไม่แตกต่าง เพราะอยู่ในระหว่างปรับขบวนให้ขับเคลื่อน 2 ทาง

ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนรุ่น "ทักษิณ ชินวัตร" และนักการเมืองรุ่นบ้านเลขที่ 111

ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนปัจจุบัน ที่มี "เฉลิม อยู่บำรุง" และกรรมการบริหารพรรค 13 คน

หลังเสร็จสิ้นภารกิจการเมืองทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 พรรคเตรียม จัดทัพ-เตรียมทีม สำหรับการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า

พรรคเพื่อไทยชิงลงมือก่อน ด้วยการ จัดสัมมนา ส.ส.และผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมลองบีช การ์เด้นท์ โฮเต็ลแอนด์ สปา พัทยา ช่วงสัปดาห์ต้นเดือนกรกฎาคม

องค์ประชุมมี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในฐานะทีมเตรียม "ตัวจริง"

มีทีมสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ จากเครือข่ายตระกูล "ชินวัตร" เต็มทีมหนาตา อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีต รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีต รมช.คลัง และ นายพายัพ ชินวัตร ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

สมทบด้วยทีมตามโครงสร้างอำนาจ ทั้ง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร

แม้ไม่ใช่การชุมนุมข้างถนนและไม่ใช่การสัมมนาองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เสื้อแดง แต่การสัมมนาพรรคการเมือง ครั้งนี้มีมวลชนเสื้อแดงร่วมขบวนอย่างเป็นทางการกับ "จตุพร พรหมพันธุ์"

กลมกลืนเป็นทีมเดียวกับ "ตัวแทน" เจ้าแม่ กทม. "ดนุพร ปุณณกันต์" และ "ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ"

ครบเครื่องด้วย "โฆษกพรรค" พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ฉายา "เด็จพี่" ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรากหญ้าได้เป็นอย่างดี

มวลชน "จัดตั้ง" ส่วนหนึ่งมาจาก จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ตำรวจชั้นประทวน ผู้สวมเครื่องแบบขึ้นเวที นปช. ในสถานะประธานสมาพันธ์คนเสื้อแดง ภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่อาจเป็นมือวาง จ่อคิวลงสมัคร ส.ส.จังหวัดสุรินทร์

วงประชุมมีการปรับขบวน จัดแถวนักการเมืองของพรรคและเครือข่ายใหม่

"วราเทพ รัตนากร" แกนนำภาคเหนือ "สายเยาวภา" สะท้อนเงื่อนไข-ปัจจัยภายใน-ภายนอก อันเป็นสาเหตุของความไม่แนบแน่นภายในพรรคว่า

"ส.ส.เรามีที่มาแตกต่างกัน บางท่าน เป็น ส.ส.ครั้งแรก บางคนเป็น ส.ส. มาหลายครั้ง บางคนเป็น ส.ส.มาหลายพรรค ช่วงชนะการเลือกตั้ง เราได้เป็นรัฐบาล นายกฯสมัคร สุนทรเวช และนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เจอปัญหาการชุมนุม ทำให้ไม่มีโอกาสคุ้นเคยกัน พอมาเป็นฝ่ายค้าน ก็เจอปัญหาหลายเรื่องไม่มีโอกาสดี รู้จักในร้อยกว่าคน บางคน ไม่เคยคุยกัน อาจจะรู้ชื่อ แต่จำนามสกุล ไม่ได้ จะทำยังไง ปล่อยให้องค์กรร้อย กว่าคน ทำงานร่วมกัน แต่ไม่เคยรู้จักกัน"

จึงจำเป็นต้องสร้างความคุ้นเคย-รวมทีม ทั้งกับอดีตข้าราชการทหาร ตำรวจอดีตข้าราชการหลายกระทรวง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน 37 คน

ปัญหาข้อขัดแย้ง-แรงงัดข้อ ที่มีภายในพรรค ถูกสงบศึกชั่วคราว

ไม่ว่าจะเป็นขั้วของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ และประธานกรรมาธิการการ เงินการคลังและการธนาคาร สภาผู้แทนราษฎร ที่เคยคิด จะเสนอให้ปลด นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ออกจากตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ทีม 111 อยู่เสมอ แต่ในหน้างาน-ที่มี "ทีมทักษิณ" กำกับบท

"เฉลิม" บรรยายแนวทางหาเสียงด้วยการเชื่อม "ทักษิณ" กับสนามเลือกตั้งว่า

"เราจะชนะด้วย 3 ฐาน คือ 1.ความศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ 2.ความขยันของ ผู้สมัคร และ 3. พรรคมีความสามัคคี สถานการณ์ตอนนี้ เราก้าวพ้นอดีตนายกฯไม่ได้ จำเป็นต้องใช้ มั่นใจพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแน่ เราไม่หนักใจใน นโยบายการหาเสียง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณนอนคิด 3 วัน ก็เสร็จหมดแล้ว"

ตำแหน่ง-พื้นที่-เป้าหมายในการแข่งขัน "เฉลิม" กำหนดคู่ต่อสู้เป็นพรรคการเมือง "เบอร์ใหม่" กระดูกใหญ่ อย่างพรรค ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์เป็นคู่แข่งสำคัญ

"ในภาคอีสานจะแข่งกับพรรคภูมิใจไทย ประเมินแล้ว ภูมิใจไทยได้ไม่เกิน 15 ที่นั่ง ทั้งประเทศไม่เกิน 18 ส่วนใน กทม. แพ้หมด ไม่ได้แม้แต่คนเดียว คู่แข่งของเราคือพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว เน้นนโยบายอย่าไปโจมตี เพราะเขาจะเอาผิดไม่ได้ และถ้าไปบอกประชาชนว่าเมื่อได้เป็น ส.ส.แล้วจะให้โน่นให้นี่ ก็อาจจะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ผมมั่นใจชนะขาด"

เป้าหมายของเพื่อไทย ไม่ใช่เฉพาะการชนะการเลือกตั้ง แต่มีเป้าใหญ่คือแคมเปญ "ทักษิณกลับบ้าน"

"สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องทำ คือลดศัตรูให้เหลือน้อย แล้วพุ่งไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสาน ประชาธิปัตย์ถือว่าตลาดปิด เขาลงลำบาก ที่น่ากลัว คือพรรค ภูมิใจไทย มีทั้งเงิน อำนาจรัฐ แต่ยังดี ที่คนอีสานปฏิเสธ ทุกอย่างเราดีหมด เราต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ ถึงเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านได้"

แผนปรองดองของเพื่อไทย จะมีอายุจนถึงเลือกตั้งใหญ่เสร็จสิ้น เพราะ "เฉลิม" ขีดเส้นไว้ล่วงหน้า

"ก่อนออกศึก ต้องมีพลัง ความสามัคคี สร้างความมั่นใจให้เต็มที่ พอมีอำนาจแล้วมาจัดระเบียบ เสร็จศึกค่อยมาทะเลาะกัน...ผมไม่ต้องการเป็นอะไรใหญ่โต เพราะรู้ว่ามาทีหลัง ไม่อยากก้าวกระโดด อยากอยู่อีกปีสองปี ถ้าท่านไว้วางใจมากกว่านี้ ผมก็ยินดี แต่วันนี้ยังไม่ใช่เวลา ของผม ผมต้องหล่อหลอมความผูกพัน สร้างความเข้าใจ ยินดีรับใช้ทุกภาค"

แนวทางหาเสียง คือ "บี้-ขยี้-ขยาย" แผลทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นภาคต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข้อวิเคราะห์ที่แนบท้ายเป็น "กลเกม" ที่ว่าด้วยการยุบพรรค

"ผมไม่อยากให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้ายุบไป คนก็รู้สึกว่ายุบไปแล้ว ลงโทษไปแล้ว จบแล้ว แต่ถ้าไม่ยุบ จะสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า ถ้าไม่ยุบ จะเกิดพลังต่อต้านเข้มข้นกว่า นำไปสู่การหาเสียงง่ายขึ้น ออกซ้ายก็ได้ ออกขวาก็ได้ แต่อย่าตรงกลาง คือหมายถึงอย่าต่อเวลาให้รัฐบาล อยู่ได้

ทั้งแผนปรองดองในเพื่อไทย การเยียวยาความขัดแย้ง และโจทย์การเลือกตั้ง ถูกเฉลยหมดเปลือก เมื่อเวลา "วิดีโอลิงก์" จาก "ทักษิณ ชินวัตร" เดินทางมาถึงห้องประชุม

เริ่มจากการจัดทีมเศรษฐกิจ "เสียง" ของ "ทักษิณ" สั่งข้ามโลก

"เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องภายในพรรค ผมเป็นห่วงทีมเศรษฐกิจ ปานปรีย์ออกไป ก็เหลือ 3 คน ซึ่งเป็นคนเก่ง เพราะฉะนั้น ต้องผูกไว้เป็นคนเดียว 3 คนนี้ ไปไหน ต้องไปด้วยกัน และผูกไว้เป็นคนเดียว ดร.สุรพงษ์ (โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธาน กมธ.เศรษฐกิจการคลัง เป็นนักชกทางเศรษฐกิจ "รื้อ ลุย ล็อก สู้" คนอื่นก็ทำอย่างนี้ไม่ได้"

"ส่วนท่าน มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ใช่ นักชก แต่เป็นนักการตลาด เป็นนักพรีเซนต์ ท่านพรีเซนต์ได้ดี มีการตลาดดี ส่วน ดร.สุชาติ เป็นนักวิชาการ ทั้ง 3 คน ก็ไม่ใช่นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง ทั้ง 3 คน มีวิชาการ มีการตลาด มีการลุย เป็นทีมที่ดีมาก เดี๋ยวถ้ามีนโยบาย ผมจะแนะนำ รับรองพลิกประเทศได้ในเวลาแป๊บเดียว..."

แม้แต่วาระการปฏิบัติหน้าที่ในสภา ผู้แทนราษฎร "ทักษิณ" ยังรู้ราวกับตาเห็น แม้แต่ประเด็นเล็ก-ประเด็นน้อย

"ขอพูดถึง นายไพจิตร ศรีวรขาน ว่า... มีคนเล่าให้ผมฟัง วันก่อนที่ไปนั่งคุยกัน 10 กว่าคน 20 คน มีคนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ว่าอึดอัดเรื่องอะไรกันบ้าง รู้ประเด็นหมด...เพราะฉะนั้น ไม่มีปัญหา ทุกคน ก็ขอให้สังสรรค์กันให้มีความสุข รักษาสุขภาพจิตไว้ อดใจอึดกันอีกนิดเดียว ไม่นานเกินรอ บ้านเมืองจะกลับมาสู่ภาวะปกติ..."

"เรื่องในพรรค ได้ข่าวว่า ขณะนี้กำลังจัดระเบียบกัน ต้องขอบคุณกรรมการ พรรคทุกคน ทำงานขยันขยันแข็ง คนคนเดียว ไม่มีใครสมบูรณ์หรอก ดูอย่างผมสิ ยังต้องมานั่งระเหเร่ร่อนอยู่เมืองนอก ไม่มีใครสมบูรณ์ มันต้องมีอะไรอัปลักษณ์สักอย่างหนึ่ง ก็ให้เป็นกำลังใจช่วยกัน และถือว่าท่านช่วยกันให้กำลังใจกัน ก็คือกำลังใจให้ผมนั่นเอง ยังไง ปีนี้กลับไปเจอกันแน่นอน"

นักการเมืองฝ่ายแดง ที่อยู่ระหว่างลังเล ตัดสินใจเปลี่ยนพรรค เมื่อฟัง "เสียง" จาก "ทักษิณ" แล้ว อาจต้องทบทวน

"ผมเป็นคนไม่ทิ้งใครก่อน แต่ถ้าใครจำเป็นจะทิ้งผม ก็ไม่ว่ากัน แต่เชื่อว่า ส่วนใหญ่แล้ว คงจะไม่ทิ้งกันในยามนี้...เมื่อความจริงปรากฏ...ของจริงก็จะอยู่ได้ ของปลอมก็จะอยู่ไม่ได้"

เสร็จภารกิจชุมนุมสามัคคีเฉพาะกิจ ส.ส.หลายคนแยกย้ายไปสังเคราะห์ถอดรหัสแนวคิด "ทักษิณ-เฉลิม และทีม 111"

ได้บรรทัดเดียวตรงกันทุกกลุ่มว่า ทั้งทีมเพื่อไทยต้องตั้งเป้าชนะเลือกตั้งให้ได้แบบพรรคเดียวเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล

นับนิ้วคำนวณ-ดีดลูกคิดรางกันแล้ว ปัจจุบันมีเพียง 189 เสียง หากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแบบ "แลนด์สไลด์" ต้องได้ 270 เสียงเท่านั้น

ภารกิจพิชิตทำเนียบรัฐบาล ถูกวางไว้บนบ่านักการเมืองค่ายเพื่อไทย ทั้ง 3 ทีม

หากจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ คือความเป็น "สถาบันพรรค" ที่เก่าแก่

จุดแข็งของพรรคเพื่อไทย คือความเป็น "พรรคเฉพาะกิจ" ที่รวมตัวเร็ว-แรง

การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งอีก 6 เดือนข้างหน้า จะผลิกโฉมหน้ากากเมืองไทย... อีกครั้ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เสร็จสมอารมณ์หมาย!!

เสร็จสมอารมณ์หมาย!!

ไม่เสียที ที่ร่วมกันเตี๊ยม เพื่อคงอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” กันเอาไว้???

โดย “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง “มัดตราสัง” ฝังประเทศไทย ไม่ให้เหลือซาก ความเป็น “ประชาธิปไตย” กันอีกแล้ว

ครม.สามัคคีหมู่...ชูมือหนุน “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เป็นแถว

ไว้ซึ่งอำนาจเขตปกครอง ด้วยทหารเป็นใหญ่กว่า “รัฐธรรมนูญ”..โดยยกเมฆขึ้นมากล่าวอ้าง “๒๔ จังหวัด” เป็นเขตอันตราย เป็น “พื้นที่โซนแดง” คนเสื้อแดงเตรียมสรรพกำลัง ที่จะออกมาเคลื่อนไหว กันอย่างเสร็จสรรพ!!!

รัฐบาลได้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”อยู่ในมือ...แต่ประเทศไทยนะหรือ?....เจ๊งอื้อไปสิครับ??

.................................

ประโยชน์ของ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’!!

“นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ, “ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ รับทั้งเนื้อทั้งน้ำ กันอย่างเพลิดเพลิน???

มีอำนาจเหนือ “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” ที่คิดจะทำอะไรก็ได้...ภายใต้กระบอกปืนที่คุมอำนาจประเทศไทย เอาไว้

“เสื้อแดง” ถูกคุมกำเนิด...ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ไม่ให้มีที่หายใจ

ความเป็น “ประชาธิปไตย” ถูกรอนสิทธิ์ ตัดเจี๋ยนหั่นซอย ไม่เหลือสภาพ...รัฐบาลโดย “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งเป็น สาขา ๒ ของ “พรรคแม่ธรณีบีบมวยผม” ร่วมกัน “รวบอำนาจ” บริหารบ้านเมือง กันอย่างสะดวก!!!!

ใครออกมาเต้นขัดขวาง....ก็ยก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ขึ้นมาอ้าง?...ฟันไม่ยั้ง เล่นงานจนอ้วก??

..................................

ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ!!

ตั้งป้อมค่าย เปิดหน้าเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย...จุดอ่อนเปิดตรงไหน เป็นเอาออกมาซัดเสียเรียบ???

นับวัน สายสัมพันธ์ทางรูสะดือ ระหว่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกแห่งบ้านพระอาทิตย์ กับ ๒ พี่น้องสองเสือ แห่งบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แตกกันหนักมือ ยิ่งขึ้นทุกวัน

“ม็อบเหลือง” กับ “สีเขียว”....ออกลูกเบี้ยวเข้าใส่กัน

ยิ่งในกรณี “รถถังหุ้มเกราะล้อยาง” ดูจะเป็น “แผลใหญ่” ที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตามขุดตามเจาะ ตามเล่นงาน “บิ๊กป้อม” และ “บิ๊กป๊อก” หมายเอาไว้อยู่!!!

“สนธิ” มีแค้นฝังใจ....เพราะเคยถูกเล่นงานเอาไว้?...จึงตามเช็คบิล เพื่อให้ตายทั้งคู่??
..........................................

อย่ามัว ‘กบดานเป็นจระเข้’!!

อำนาจ “นายกรัฐมนตรี” ที่ท่านได้มา “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะมาลอยชายไม่แก้ปัญหาอะไรเลย มันก็ไม่เท่????

ยิ่งในกรณีที่ “บริษัทรับประกัน” ไม่ยอมเคลมความเสียหาย ให้กับ บริษัทร้านค้า ห้างสรรพสินค้านั้น “เอกชน” เสียหายจมกระเบื้อง

โดยยกคำว่า “ผู้ก่อการร้าย”....ไม่ต้องชดใช้ ไม่ต้องจ่ายเงิน ให้สิ้นเปลือง

ขณะนี้, มีการวิ่งล๊อบบี้ใต้ดิน ที่จะให้ ข้อหาการก่อการร้าย มีผลโดยเร็ว..เพื่อที่ “บริษัทประกันภัย” จะนำไปต่อสู้คดี..โดย “เบี้ยประกัน” ที่ต้องจ่ายสูงถึง สองแสนล้านบาทนั้น ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย!!!

“นายกฯ มาร์ค” เงี่ยหูมา...เรื่องนี้ “เตะหมูเข้าปากหมา”?..เค้าว่า มีคนรับเงินอ้าซ่าไปก้อนใหญ่???

.................................

‘คนดวงดี’ ขายขี้ ก็รวย!!!

มีสมอง มีปัญญา อยู่กับตัวจะกลัวอะไร...ถึงวันนี้ “อดีต นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” รวยเพิ่มพูน โดยไม่ต้องมีใครช่วย???

จากการทุ่มเงินก้อนใหญ่ ไปทำเหมืองทอง เหมืองเพชรสีเลือด ที่อาฟริกา..บัดนี้ผลิดอกออกผล ประสบความสำเร็จเป็นอันมากส์

ผิดกับ “รัฐบาลฟ้าประทาน”.....วิ่งกู้เงินกัน ด้วยความยากลำบาก

นี่, “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “กรณ์ จาติกวณิช” ขุนคลังมือนักกู้..เตรียมกู้เงินให้คนทั้งประเทศเป็นหนี้กันอีกบานตะไท เพื่อมาละเลงเป็น “ประชานิยม” แจกฟรี แถมฟรี..แต่ไม่มีปัญญาหาเงิน มาทำนโยบาย!!!

กู้เงินกันตะบันยอ...ประเทศนี้เป็นหนี้ท่วมถึงคอ?...ยังไม่พออีกหรือเจ้านาย????
...............................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เปิดร่าง พ.ร.บ.คุมม็อบก่อนชุมนุมต้องขออนุญาต!

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....
ตามที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ เสร็จสิ้นแล้ว และจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอบรรจุเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ แบ่งเป็น 5 หมวด รวมทั้งสิ้น 39 มาตรา สรุปได้ดังนี้

ให้นิยามคำว่า "การชุมนุมสาธารณะ" ว่าหมายถึง การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน คัดค้านหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถเข้าร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่

มาตรา 4 ระบุว่า การชุมนุมสาธารณะในระหว่างที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก และการชุมนุมสาธารณะที่จัดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา 7 ได้วางหลักการการ "ชุมนุมสาธารณะ" เอาไว้ว่า จะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ และในวรรคสองมาตราเดียวกันระบุว่า "การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมในระหว่างการชุมนุมสาธารณะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย"

นอกจากนั้น มาตรา 8 ยังกำหนดห้ามการชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกสถานที่สำคัญ คือ (1) สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท และสถานที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (2) รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาลและหน่วยงานของรัฐ (3) ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งสาธารณะ (4) โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน และ (5) สถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ

ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ ได้กำหนดกรอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้ก่อความเดือดร้อนต่อประชาชนทั่วไป โดยในหมวด 2 กำหนดให้ผู้จัดชุมนุมต้องมีหนังสือแจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน รวมทั้งต้องขออนุญาตการใช้สถานที่และการใช้เครื่องขยายเสียงด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้

ทั้งนี้ เงื่อนไขที่จะพิจารณาว่าการชุมนุมรูปแบบใดส่งผลกระทบต่อประชาชน คือ การชุมนุมขัดขวางการเดินทางในที่สาธารณะของประชาชนหรือไม่ และขัดขวางการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ หรือไม่ หากมีการขัดขวาง เจ้าหน้าที่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลห้ามการชุมนุมได้

ร่างกฎหมายยังกำหนดว่า การชุมนุมสาธารณะที่ศาลสั่งห้ามการชุมนุม ให้ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขณะที่ในหมวด 3 กฎหมายได้กำหนดกรอบความรับผิดชอบของผู้จัดชุมนุมและผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยผู้จัดการชุมนุมถือว่ามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติคือ (1) อยู่ร่วมการชุมนุมสาธารณะตลอดระยะเวลาการชุมนุม (2) ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะให้เป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (3) ดูแลไม่ให้เกิดการขัดขวางประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ตลอดจนดูแลและรับผิดชอบให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตาม

(4) ประกาศหน้าที่ของผู้ชุมนุม และเงื่อนไขหรือคำสั่งด้วยวาจาของเจ้าหน้าที่ให้ผู้ชุมนุมทราบ (5) ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานในการดูแลการชุมนุม และ (6) ไม่ยุยงส่งเสริมหรือชักจูงผู้ชุมนุมเพื่อให้ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติที่เรียกว่า "การชุมนุมสาธารณะ"

สำหรับผู้ชุมนุม มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 17 คือ (1) ไม่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกของประชาชนในการใช้ที่สาธารณะ (2) ไม่ปิดบังหรืออำพรางตนโดยจงใจมิให้มีการระบุตัวบุคคลได้ถูกต้อง (3) ไม่นำอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุมไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ (4) ไม่บุกรุกหรือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น (5) ไม่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว (6) ไม่ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือผู้อื่น (7) ไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการคุ้มครองความสะดวกประชาชน

ในกรณีจะเคลื่อนย้ายการชุมนุมโดยไม่แจ้งก่อน ต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าสถานีตำรวจ และผู้ชุมนุมต้องยกเลิกการชุมนุมตามที่ผู้จัดการชุมนุมแจ้งไว้

ในหมวดที่ 4 ว่าด้วยเรื่องการดูแลการชุมนุม ให้หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่การชุมนุมเป็นผู้ดูแล หรือให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ดูแลแทน โดยมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าพนักงานที่เข้ามาดูแลต้องได้รับการฝึกอบรมให้มีความเข้าใจและอดทนต่อสถานการณ์ และต้องแต่งเครื่องแบบแสดงตน และอาจใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ในกรณีที่เป็นการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ เจ้าพนักงานต้องประกาศให้ยกเลิกการชุมนุมตามที่กำหนดไว้ และหากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม ให้ยื่นคำร้องต่อศาล และระหว่างรอคำสั่งศาล เจ้าพนักงานมีอำนาจกระทำตามความจำเป็นเพื่อควบคุมการชุมนุมด้วย ขณะที่ผู้อื่นที่ได้รับความเดือดร้อนก็มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลได้ด้วย

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เลิกการชุมนุมภายในระยะเวลาที่กำหนด คำสั่งศาลถือเป็นที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปิดประกาศคำสั่งศาลในบริเวณที่มีการชุมนุมและประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบ

หากยังไม่ยุติการชุมนุม เจ้าพนักงานสามารถประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม และเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าผู้ชุมนุมกระทำความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานมีอำนาจค้นและจับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุม รวมถึงยึดทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการชุมนุม

ในกรณีที่การชุมนุมมีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สินของผู้อื่น จนเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าดำเนินการควบคุมสถานการณ์ได้

สำหรับบทลงโทษ หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจนกลายเป็นการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย ผู้จัดการชุมนุมมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกรณีผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน วัตถุระเบิด หรือวัตถุอื่นที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ

เบื้องลึกคง"ฉุกเฉิน"หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็ว "มาร์ค"สั่งสอบขังคนค่ายทหาร "สุเทพ" ยังมีหัวขบวนสั่งป่วน

ศอฉ.หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็วกว่าที่คิด "มาร์ค" สั่งสอบขังคนในค่ายทหาร "สุเทพ"ชี้ยังมีหัวขบวนสั่งป่วน
ครม.ยืด"ฉุกเฉิน"19จว.เลิก5

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใน 19 จังหวัดอีก 3 เดือน และยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 5 จังหวัด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่า ครม.พิจารณาถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และหลักคิดว่าเราจะพยายามกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จากรายงานเรื่องความเคลื่อนไหวที่ยังมีอยู่ รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ และมีเสถียรภาพอีกระยะหนึ่ง ครม.จึงมีมติให้ขยายอายุของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 90 วัน ใน 19 จังหวัด และมี 5 จังหวัดที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคงไว้ คือน่าน นครสวรรค์ นครปฐม กาฬสินธุ์ และศรีสะเกษ เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ใช้กฎหมายปกติดูแลได้

เมื่อถามว่า ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เสนอให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้ง 24 จังหวัด นายกฯมีเหตุผลใดที่ยกเลิกใน 5 จังหวัด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่อยากคงไว้ทั้งหมดเป็นมุมมองที่ ศอฉ.กังวลว่ายังมีความเคลื่อนไหวอยู่เกือบทุกจังหวัด แต่เราพิจารณาใน ครม.เห็นว่ามันต้องพยายามปรับไปใช้กลไกปกติ จังหวัดที่คิดว่าน่าจะรับมือได้คือ 5 จังหวัดดังกล่าว แต่ถ้าใน 5 จังหวัดนั้นเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นมาก็สามารถประกาศเข้ามาใหม่

ศอฉ.หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็วกว่าที่คิด

รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. บรรยายสรุปสถานการณ์ พร้อมแจกเอกสารประมาณ 40 หน้า ให้ ครม.ทุกคนอ่าน ก่อนเรียกเก็บเอกสารกลับไปทั้งหมด

ทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวว่า ศอฉ.พิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 24 จังหวัดอย่างถี่ถ้วน ซึ่งเห็นเหตุผลความจำเป็นในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ก่อน เนื่องจากมีหลักฐานความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพราะคนพวกนี้อาจรู้สึกโกรธแค้นที่ญาติสนิทและเพื่อนฝูงบาดเจ็บและเสียชีวิต บางส่วนถูกจับกุม จึงต้องการเดินหน้าโค่นล้มรัฐบาล และพยายามสร้างสถานการณ์ต่างๆ โดยพร้อมก่อเหตุตลอด ทำให้ฝ่ายความมั่นคงกังวลใจมาก

นายสุเทพกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจะจุดชนวนและระดมมวลชนอย่างต่อเนื่อง โดยคนเหล่านี้จะใช้สื่อโทรทัศน์เป็นหลัก ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าจะเปิดทีวีช่องใหม่ชื่อ "ทีวีเอเชีย อัพเดท" โดยมีคนหน้าเดิมๆ มาปรากฏหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นนายการุณ โหสกุล ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค พท. ฯลฯ จึงจำเป็นต้องคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ ศอฉ.เข้าใจเหตุผลและความกดดันของสังคมต่อรัฐบาล แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเวลานี้ เพราะถ้ายกเลิกตนกังวลว่าปฏิบัติการของ นปช. จะกลับมาเร็วกว่าที่คิด

"มาร์ค"ชี้ใช้นานเสพติด"ฉุกเฉิน"

แหล่งข่าวกล่าวว่า ภายหลังนายสุเทพบรรยายจบ นายกฯเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแสดงความคิดเห็น ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่มีข้อท้วงติงเล็กน้อย อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นว่าการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 3 เดือนอาจทำให้รัฐบาลถูกมองว่าซื้อเวลาในการแก้ปัญหาความไม่สงบ

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลัง ครม.อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนี้ขอเป็นเสียงส่วนน้อยใน ครม. ตนเห็นด้วยในหลักการให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหัวเมืองใหญ่ๆ และจังหวัดที่ยังมีการก่อเหตุร้ายรายวัน แต่อยากให้ข้อคิดว่าหน้าที่หลักของรัฐบาลคือการฟื้นฟูประเทศ และเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง หากเราใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวนานเกินไปเหมือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมา 4-5 ปีแล้ว ถ้าใช้ไปนานๆ เราจะเสพติดมันหรือไม่ นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว

ขอเลิก7จว.-ครม.ให้แค่5

จากนั้น นายอภิสิทธิ์หยิบรายงานขึ้นมาพลิกอ่าน ก่อนกล่าวว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินใน 4 จังหวัดที่ ศอฉ.ประเมินว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วคือ นครปฐม นครสวรรค์ ศรีสะเกษ และน่าน นอกจากนี้ ยังมีอีก 2-3 จังหวัดที่ ศอฉ.ประเมินว่าสถานการณ์ค่อนข้างดีคือ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และชัยภูมิ ตนอยากให้ลองหยุดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินสักระยะหนึ่งเพื่อลดภาพความรุนแรง อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีบางส่วนคัดค้านการยกเลิกใน จ.ร้อยเอ็ดและ จ.ชัยภูมิ เนื่องจากอยู่ใกล้จ.ขอนแก่นซึ่งเป็นเมืองหลวงของกลุ่ม นปช. ท้ายที่สุด ครม.จึงสรุปให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 5 จังหวัด

โดยนายสุเทพกล่าวทิ้งท้ายว่า "เมื่อนายกฯสั่งมา ผมก็โอเค ครม.อนุมัติอย่างไรผมก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น แต่หลังยกเลิกแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำงานลำบากขึ้น" ทำให้นายกฯ กล่าวว่า หากมีความจำเป็นก็ค่อยประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในภายหลังก็ได้

สมช.จับตา5จว.หลังเลิก"ฉุกเฉิน"

นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงสาเหตุที่คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 19 จังหวัดอีก 3 เดือน เพราะรัฐบาลรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย แต่การพิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องมองข้ามภาพลวงตา 3 เรื่อง คือ 1.ขณะนี้เหมือนสถานการณ์จะสงบเรียบร้อย แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะยังมีความเคลื่อนไหวใต้ดิน มีการติดต่อกันในรูปแบบต่างๆ อยู่ 2.แม้การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้เกิดภาพไม่น่าดู โดยเฉพาะกับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ต้องมองความจำเป็นว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้สถานการณ์สงบเรียบร้อยได้ อีกทั้งเมื่อฟังประชาชนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะอยู่กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่าอยู่กับการชุมนุมที่เป็นอันตราย และ 3.อย่าไปคิดว่ามีกฎหมายธรรมดาแล้วเอาอยู่ เพราะเหตุการณ์รุนแรงครั้งก่อนก็เกิดในช่วงที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากใช้อำนาจตามกฎหมายธรรมดาอาจเกิดความเสียหายเกิดขึ้น

นายถวิลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวใน 5 จังหวัดหลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากหน่วยงานด้านการข่าวยังรายงานความเคลื่อนไหวทั้ง 24 จังหวัดตลอด หากมีความจำเป็นก็พร้อมกลับดูแลพื้นที่

"สุเทพ" ยันยังมีหัวขบวนสั่งป่วน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง และผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวก่อนเข้าประชุมคณะ ครม.ว่า ที่ ศอฉ.เสนอต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ ไม่อยากจะไปทำอะไรที่เป็นการเอาใจคนบางกลุ่มแล้วก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศ เมื่อเกิดเหตุเผาบ้านเมืองจนเศรษฐกิจแย่ ประชาชนล้มตาย ไม่รู้ว่าคนที่ออกมาเรียกร้องนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร แสดงความรับผิดชอบอย่างไร

"ศอฉ.เห็นว่ากระบวนการของคนที่คิดร้ายต่อแผ่นดินและบ้านเมือง ที่จะสร้างสถานการณ์วุ่นวายยุ่งยากยังคงดำรงเป้าหมายอยู่ชัดเจน แม้แกนนำ นปช.บางส่วนจะหนีไปต่างประเทศและบางส่วนถูกจับกุมแล้ว แต่ยังมีบางระดับที่ยังไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานไปถึง คนเหล่านี้ยังเป็นหัวขบวนในการสั่งการ การจ่ายเงินและกำกับ จะเห็นได้ในกรณีนำจรวดอาร์พีจีไปยิงคลังน้ำมันกรมพลาธิการทหารบก สั่งการให้วางระเบิดหรือเผาโรงเรียนในบางจังหวัด คนเหล่านี้ยังพร้อมที่จะก่อเหตุร้ายทุกเวลา หากมีการเผาบ้านเผาเมืองคุณเมื่อใดแล้วคุณจะรู้สึก" นายสุเทพกล่าว

ส.ว.จวกรบ.ใช้กม.ติดหนวด

ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 กล่าวถึงกรณีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า การคงกฎหมายฉบับนี้ไว้ยิ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือรัฐบาล อยากให้พิจารณาทบทวน เพราะเจ้าหน้าที่สามารถใช้กฎหมายปกติจัดการกับผู้ก่อเหตุได้อยู่แล้ว หากจะทำจริงๆ ตราบใดที่ยัง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลไม่สามารถบรรลุผลตามแผนปรองดองได้ เพราะยังมีการใช้อำนาจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา กล่าวว่า แม้จะมีการก่อเหตุไม่สงบบ้าง แต่ไม่น่าจะเข้าเงื่อนไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หากนายกฯมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงก็ใช้กฎหมายอื่นจัดการก็น่าจะพอ จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องยืดอายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก ต่างชาติมองตรงกันหมดว่าเป็นการใช้กฎหมายติดหนวด ที่อยากจะเซ็นเซอร์สื่อ สอบธุรกรรมการเงิน หรือกักตัวใครก็ได้ที่ตัวเองสงสัย อยากเตือนนายกฯว่าหลักการบริหารที่ดีต้องใช้อำนาจให้น้อยที่สุด ล่าสุดก็กระทบไปยังวงการกีฬาแล้วโดยทีมรีล มาดริด ระงับการมาเยือนเมืองไทยโดยไม่มีกำหนด

มท.สั่งผู้ว่าฯรปภ.เข้มที่ราชการ

นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ยังมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้น จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญต่างๆ พร้อมเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดให้มีความพร้อม บูรณาการความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและเครือข่ายประชาชนด้านการข่าว โดยตรวจตรา เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนสิ่งผิดปกติ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังสถานการณ์ และแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่มีพฤติการณ์อาจส่งผลต่อความสงบสุขของบ้านเมือง

นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สิ่งบอกเหตุถึงความจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ใน จ.เชียงใหม่ คือพบการทำลายพระบรมสาทิสลักษณ์พระบรมวงศานุวงศ์ในหลายพื้นที่มีการเคลื่อนไหวป่วนเมือง รวมทั้งพบข้อมูลข่าวสารกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่ เป็นภัยต่อความมั่นคงและสถานที่บางแห่ง เรื่องที่เกิดขึ้นมีทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย มีการแอบกระทำที่น่ารังเกียจ มีใบปลิวที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งปรากฏอยู่ การแสดงออกที่ไม่สมควร

พท.จี้สอบค่ายทหารขังนปช.

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พท. แถลงถึงกรณีที่มีการคุมขังผู้ชุมนุม นปช.ในค่ายทหาร จ.กาญจนบุรีว่า คณะทำงานของพรรคลงพื้นที่ตรวจสอบค่ายทหารต่างๆ ใน จ.กาญจนบุรี โดยเราเอารูปกำแพงในค่ายทหารหลายแห่งให้ผู้ชุมนุมที่ถูกกักขังได้ดู เกือบทุกคนเห็นตรงกันว่าน่าจะเป็นกำแพงค่ายฝึกไทรโยค หรือค่ายฝึกไทย-สิงคโปร์

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม ตนจะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว และตนจะขอเข้าร่วมไปตรวจสอบด้วย นอกจากนี้คณะทำงานด้านกฎหมายกำลังร่างคำร้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอให้มีคำสั่งปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ยังถูกคุมขังอยู่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีอยู่อีกประมาณ 70 คน

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นางบุญสร้าง ประสาทศิริศักดิ์ เคยร้องรียนว่าลูกชายคือนายศุภณัฐ ประสาทศิริศักดิ์ อายุ 22 ปี หายตัวไปหลังร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม เชื่อว่าอาจถูกกักขังอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี

นางบุญสร้างกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า "ตามหาลูกชายตั้งแต่หลังการชุมนุม ไปทุกที่ ทั้งโรงพยาบาล มูลนิธิต่างๆ แต่ไม่พบเลย วันนี้ได้ข่าวมีคนถูกกักตัวอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ก็มีความหวังว่าลูกชายอาจจะอยู่ที่นั่น ที่ออกมาพูดก็กลัวว่าลูกจะเป็นอันตราย แต่ไม่มีทางไหนแล้วจริงๆ ตอนนี้สามีก็ป่วย ก็ตามหาลูกตัวคนเดียว เกือบ 2 เดือนแล้ว บางครั้งขับรถอยู่บนสะพานก็อยากขับรถลงไปเลย ไม่อยากอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกแล้ว ขอวิงวอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย"

ผบ.พล.ร.9ยันไม่มีขัง"นปช."

พล.ต.อุทิศ สุนทร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (ผบ.พล.ร.9) ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ นำผู้ชุมนุมเสื้อแดง 8 คน ออกมาแถลงข่าวว่าทั้งหมดถูกคุมขังไว้ในค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรีว่า ตนขอยืนยันไม่เป็นความจริง ใน จ.กาญจนบุรีไม่มีการควบคุมหรือคุมขังกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่กล่าวอ้าง โดยรายงานข้อเท็จจริงให้กับผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว

"ในพื้นที่กองพลทหารราบที่ 9 ไม่มีเรือนจำ จะมีในส่วนของจังหวัดทหารบกกาญจนบุรี แต่ยืนยันว่าเรือนจำของจังหวัดทหารบกกาญจนบุรีก็ไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงถูกคุมขังอยู่แน่นอน จุดที่ใช้ควบคุมตัวกลุ่มคนเสื้อแดงก็เป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนดไว้เท่านั้น แต่จังหวัดกาญจนบุรีไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุม" พล.ต.อุทิศกล่าว และว่า ตนไม่ทราบว่าการออกมาแถลงข่าวดังกล่าวมีวัตถุประสงค์อะไร แต่หากกลุ่มคนเสื้อแดงยังเคลือบแคลงสงสัยและจะขอเข้าตรวจสอบในพื้นที่ความรับผิดชอบของตน ก็ต้องขออนุญาตทางกองทัพบกก่อน

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวยืนยันว่า กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ไม่มีการกักขังกลุ่มคนเสื้อแดง

"มาร์ค" สั่งสอบขังคนในค่ายทหาร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวถึงกรณีมีข่าวการขังลืมผู้ชุมนุมว่า การใช้มาตรการต่างๆ มันมีขอบเขตของกฎหมายอยู่ชัดในเรื่องระยะเวลา คงไม่สามารถไปทำแบบที่ไม่มีกำหนดได้ เมื่อถามว่า มีเรียกร้องว่ามีการขังที่ จ.กาญจนบุรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบ เพราะเวลานี้จะมีข่าวเป็นระยะๆ ว่าเกิดกรณีกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ เป็นอาสาสมัครบ้าง อะไรบ้าง ทุกกรณีที่เป็นข่าวตนให้ตรวจสอบหมด

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เพิ่งเห็นข่าว แต่หลักการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการทุกอย่างภายใต้กรอบกฎหมาย เรื่องนี้จะไปสอบสวนหาความจริงให้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ส่วนที่มีข่าวว่าจับคนไปยังลืมในค่ายทหารและเรือนจำนั้น คงเป็นเรื่องโกหกŽ

นายกฯจี้ขยายผลนปช.ซุกเขมร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณี นายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย และน.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อม 2 ผู้ต้องหาจ้างวานวางระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ถูกส่งตัวจากกัมพูชาระบุว่า ได้พบ น.ส.กัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม กับนายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช.อยู่ในกัมพูชา จะขยายผลติดตามตัวอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องขยายผลติดตาม เมื่อถามว่า จะทำเรื่องขอตัวบุคคลที่ถูกระบุว่าอยู่ในกัมพูชาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงให้เจ้าหน้าที่ดูแล เพราะรายละเอียดพอสมควรที่จะดำเนินการได้ เมื่อถามว่า มีรายงานมาหรือยังว่ามีแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ที่กัมพูชากี่คน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้มีแต่ที่พาดพิงถึง การขยายผลกำลังดำเนินการอยู่

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า การประสานกับกัมพูชาในการจับกุมคนอื่นๆ ที่หลบหนีอยู่ในกัมพูชานั้น ยังตอบไม่ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า การส่งตัวสองคนนี้กลับมาดำเนินคดีจะช่วยปูทางฟื้นสัมพันธ์ของสองประเทศได้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตอบยากจริงๆ ขอดูสักระยะว่าจะพัฒนาอย่างไร เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะส่งทูตไทยกลับไป นายสุเทพกล่าวว่า ค่อยๆ ดู มันเร็วไปที่จะตอบ

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในทางอาชญากรรม การจะจับตัวใหญ่ได้เป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่จะได้พ่อครัวหรือภริยาน้อยมาก่อน เพราะบุคคลที่มีบทบาทในการกำกับ จะไม่มีหลักฐาน พวกหัวหน้ามักไม่ทิ้งร่องรอย หากได้บุคคลระดับรองๆ ไป ก็อาจจับกุมหัวหน้าได้

ที่มา.มติชนออนไลน์