--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

สภาสหภาพครูโวยไล่ขรก.ออกตอน58ปีไม่มีแรงทำอย่างอื่น แนะใช้เกณฑ์"เออร์ลี่รีไทร์"เดิมลดเงินขวัญถุงแทน

สภาสหภาพครูแห่งชาติโวยเออร์ลี่รีไทร์ขรก.ที่เหลืออายุราชการ 2 ปี เสียสิทธิเข้าร่วมโครงการอื้อ แนะใช้เกณฑ์เดิมให้ลดเงินขวัญถุง ระบุให้ออกตอนอายุ 58 ปี ไม่มีแรงไปทำมาหากินอย่างอื่น

จากกรณีที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) มีมติที่จะลดจำนวนข้าราชการลง 30% หรือประมาณ 6 แสนคน ภายใน 3 ปี และเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเกษียณก่อน 60 ปี (เออร์ลี่รีไทร์) จากปัจจุบันที่ต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือรับราชการมาไม่น้อยกว่า 25 ปี เป็นผู้ที่อายุราชการไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น

เมื่อวันที่ 24 เมษายน นายพิษณุ ตุลสุข ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนการปฏิบัติ หลังจากที่ คปร.มีมติเรื่องนี้ออกมาแล้ว จะต้องมีมติของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตามมาเพื่อกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ของโครงการ ซึ่งหน่วยงานราชการที่มีอัตราข้าราชการจำนวนมาก จะมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการที่มีอัตราข้าราชการน้อย ในส่วนของ สพฐ. ซึ่งมีอัตรากำลังข้าราชการมาก จึงขอรอดูมติ ก.พ.ก่อนว่าจะกำหนดรายละเอียดอย่างไรบ้าง

นายพิษณุกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาตามเงื่อนไขเดิมของปีที่ผ่านมาที่กำหนดให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ จะต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปหรือทำงานราชการมาแล้ว 25 ปีนั้น จะมีข้าราชการสังกัด สพฐ.ที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ประมาณ 15,000 คน แต่หากปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ว่าให้มีอายุราชการเหลืออยู่ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น จึงจะเข้าร่วมโครงการได้ สพฐ.ก็คงต้องมาคำนวณไล่อายุกันใหม่ว่าผู้ที่มีอายุ 58-59 ปีจะมีจำนวนเท่าใด ซึ่งไม่มั่นใจว่าจะลดลงเท่าใด ขณะที่รัฐบาลต้องลดอัตรากำลังข้าราชการถึง 6 แสนคน ภายใน 3 ปี ดังนั้น ต้องดูรายละเอียดของมติ ก.พ.อีกครั้ง จากนั้นตนจึงจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำรวจว่าจะมีข้าราชการสังกัด สพฐ.ที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ.และสามารถเข้าร่วมโครงการได้สักกี่ราย

ด้านนายมานะ สุดสงวน ประธานสภาสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ จะต้องมีอายุ 58-59 ปีเท่านั้น ซึ่งช่วงอายุดังกล่าวไม่สามารถออกไปประกอบอาชีพอื่นได้แล้ว ต่างกับอายุ 50 ปีตามหลักเกณฑ์เดิม เมื่อออกจากราชการในช่วงอายุ 50 ไป ยังพอจะทำงานอื่นได้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศได้ ดังนั้น ส่วนตัวมองว่าควรจะคงตามหลักเกณฑ์เดิม เพียงแต่อาจจะลดเงินขวัญถุงที่จากเดิมให้ผู้ที่เออร์ลี่รีไทร์ คนละ 15 เท่าของเงินเดือน ก็อาจจะปรับลดลงบ้าง แต่ไม่ควรน้อยกว่า 12 เท่าของเงินเดือน ก็จะช่วยลดงบประมาณตามที่รัฐบาลต้องการได้

นายมานะกล่าวว่า แต่ขอฝากถึงรัฐบาลว่าอย่าไปเสียดายเงินที่จะจ่ายให้กับข้าราชการเหล่านี้ โดยเฉพาะกับข้าราชการครู เพราะกลุ่มนี้ได้ช่วยราชการมาถึง 25 ปีแล้ว ทางที่ดีควรลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่า รัฐบาลก็จะมีเงินมากมายที่จะจ่ายให้กับข้าราชการที่เออร์ลี่รีไทร์ได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ และยังเหลือเงินเป็นจำนวนมากสำหรับการพัฒนาประเทศอีกด้วย แต่ปัญหาคือ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีการทุจริตคอร์รัปชั่น

"หลังจากมีข่าวปรับเปลี่ยนเกณฑ์ว่าต้องมีอายุราชการเหลืออยู่ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น ถึงจะเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ ส่งผลให้มีครูจำนวนมากโวยวายกับผมถึงความเสียเปรียบเพราะพวกเขามีอายุ 52-53 ปี ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2554 ได้ ต้องรอไปอีก 4-5 ปี ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะรอดหรือไม่" นายมานะกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีข่าว คปร.มีมติปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการเออร์ลี่รีไทร์ ทำให้มีข้าราชการจำนวนมากไม่พอใจ อาทิ มีข้าราชการสังกัด สพฐ.โทรศัพท์มาร้องเรียนกับ "มติชน" ว่าเสียสิทธิที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ยื่นความจำนงขอเข้าร่วมโครงการกับ สพฐ. แต่เพราะมีผู้เข้าร่วมโครงการมาก จึงไม่ได้รับการอนุมัติและได้รับการแจ้งว่าให้รอเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2554 แต่เมื่อถึงเวลารัฐบาลกลับมาปรับเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าโครงการได้


ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

"จาตุรนต์"หนุนรัฐบาล-แกนนำเสื้อแดง เจรจารอบ 3 หวังยุติความเสียหายทั้งสองฝ่าย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ เปิดการเจรจารอบ 3 ว่า ควรจะเป็นอย่างนั้นมาถึงขั้นนี้แล้ว เพราะการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.เห็นแล้วว่าทำให้เกิดการเสียหายทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถหยุดการชุมนุมได้ ทั้งนี้ศาลแพ่งได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวการดำเนินการต้องจากเบาไปหาหนัก เท่ากับเป็นการส่งเสริมไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง ซึ่งทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้ประกาศแล้วพร้อมที่จะเจรจา และเปลี่ยนข้อเสนอไปบ้างแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ทางออกที่ดีที่สุดควรเจรจากัน เหลือแต่ทางรัฐบาลว่าพร้อมที่จะเจรจากันหรือไม่ แต่เท่าที่ดูนายกรัฐมนตรีเองก็ยังพูดว่า จะดำเนินการตามกฎหมาย จะไม่ทำตามคำข่มขู่ พูดคล้าย ๆ ว่า ยังไม่ต้องการเจรจา ทั้ง ๆ ที่การชุมนุมผิดแค่การปิดการจราจรกับเรื่องความสะอาดและจะให้เลิกการชุมนุมไปเลย

"แต่สิ่งที่สำคัญในเวลานี้นายกฯควรจะคิดก็คือ การเจรจายุบสภาเร็วขึ้น ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เป็นการแพ้หรือยอมแพ้เสื้อแดง แต่เป็นการหาทางออกประเทศ หลีกเลี่ยงคนไทยรบลาฆ่าฟันกันเอง หลีกเลี่ยงการรัฐประหาร เนื่องจากคุมสถานการณ์ไม่ได้ การตัดสินใจไม่ควรมองเรื่องแพ้หรือชนะ หรือเป็นการยอมคนเสื้อแดง และการเจรจาไม่ควรเจรจาออกทีวี แต่ควรมีการพูดคุยกันนอกรอบ หาข้อสรุปสาระที่สำคัญ แล้วเปิดการพบปะกันอย่างเปิดเผย และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วรัฐบาลควรยกเลิกกฎอัยการศึก ส่วนคนเสื้อแดงย้ายการชุมนุมกลับไปที่ผ่านฟ้าหรือสนามหลวง ส่วนเรื่องของเงื่อนไขเวลาน่าจะมากกว่า 3 เดือน เพราะต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นห่วงเรื่องของการยุบพรรคที่คดี 29 ล้านที่น่าจะใช้เวลาเดือนกว่าที่จะได้ข้อยุติ ตรงนี้ 2 เดือนก็น่าจะพอ แต่ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยก็น่าไม่เกิน 3 เดือน"

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เวลานี้ต่างฝ่ายต่างรับข้อมูลที่ไม่ตรงกัน พบหลักฐานสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเจ้าหน้าที่และมือที่สามอย่างต่อเนื่อง มีการขวางระเบิดขวดเข้าไปยังผู้ชุมนุมตำรวจจะจับทหารก็ขวางไว้ ฝ่ายที่สามยิงใส่คนสีลม จึงเห็นได้เลยว่าข้อมูลไม่ตรงกัน ยิงมาจากทางไหน รัฐบาลกลับด่วนสรุปว่ามาจากฝั่งเสื้อแดง ออกข่าวฝ่ายเดียว ทำให้คนไทยเกลียดชังกันจึงต้องรีบเปิดการเจรจาหยุดทำให้คนไทยเกลียดชังกัน และหยุดการสูญเสีย ซึ่งทูตประเทศต่างๆ รัฐบาลอีกหลายประเทศ รวมทั้งเลขาฯยูเอ็นก็ห่วงใย ไม่อยากให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อยากให้แก้ไขปัญหาอย่างสันติ ส่วนที่ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.ระบุว่า ถ้าผู้ชุมนุมเหลือน้อยก็ต้องมีการสลายนั้น ก็เป็นการสวนทางของทุกฝ่ายที่ต้องการให้มีการเจรจา เพราะทางศอฉ.พูดจาจนทำให้น่ากลัวไปหมดแล้ว และเชื่อว่าเป็นการข่มขู่เท่านั้น

เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายกฯเปลี่ยนคนเจรจาจากนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่นแล้ว นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ถ้ามีการเปลี่ยนตัวจริงก็ต้องดูกันก่อน ที่จริงนายกอร์ปศักดิ์มีท่าทีที่อยากให้มีการเจรจาอย่างชัดเจน และจากประสบการณ์ในการเป็นคนกลางประสานการเจรจาระหว่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.กับนายกอร์ปศักดิ์ เพื่อหยุดการปะทะในวันที่ 10 เม.ย.ก็เห็นชัดเจนว่านายกอร์ปศักดิ์มีความตั้งใจยุติสถานการณ์ แต่หากเป็นคนอื่นโดยไม่ตั้งใจจะมาแก้ไขปัญหาก็น่าจะเสียหาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงเวลานี้แล้วการที่นายกฯยังไม่ตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งรวมถึงการเจรจา มองได้หรือไม่ว่านายกฯถูกบีบจากหลายด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า จะมีใครบีบนายกฯหรือไม่นั้นพูดยาก ซึ่งเรื่องที่ทำให้นายกฯตัดสินใจได้ยากมีอยู่ 2 เรื่องคือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก เพราะนายกฯอยากอยู่ถึงการแต่งตั้ง ซึ่งถ้าอยู่ถึงการแต่งตั้งเดือนส.ค.ก็น่าจะแต่งตั้งได้แล้ว ส่วนอีกเรื่องคือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสสูงที่จะถูกยุบพรรค หากมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ในทันที จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบอย่างมาก พรรคประชาธิปัตย์อยากมีความชัดเจนก่อนในคดียุบพรรค หากถูกยุบในคดี 29 ล้าน พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องหาพรรคใหม่ จาก 2 เรื่องนี้ทำให้นายกฯตัดสินใจได้ยาก ส่วนจะใครบีบนายกฯหรือไม่นั้น ตนก็มองว่าหลายฝ่ายก็วิเคราะห์ไปในทางนั้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
********************************************

แม้วทวิตอัดรัฐบาล ปัดเจรจาแดง ห่วงตั้งพล.อ.ประยุทธ์

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โผล่ทวิตโต้กระแสข่าวกำลังป่วยเป็นมะเร็ง ยันยังแข็งแรงดี ซัด รัฐบาล ไม่รับข้อเสนอยุบสภา 30 วัน ของแกนนำเสื้อแดง เพราะห่วง ไม่ได้ตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่...

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาทวิตข้อความอีกครั้ง หลังหายหน้าหายตาไปเป็นระยะเวลานาน โดยระบุข้อความ สวัสดีประเทศไทยครับ ต้องขอโทษท่ีหายไปนานเพราะไม่อยากให้ถูกนำไป ผูกกับการเรียกร้องของพี่น้อง ผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมซึ่งกำลังเรียกร้อง สิ่งท่ียิ่งใหญ่และสำคัญ กว่าเรื่องของผมมากมาย แต่ก็ไม่วายถูกปล่อยข่าวว่าเป็นมะเร็งขั้นท่ี 3 ต้องให้คีโมถึงกับชัก โถผมสงสารจังท่ีมันไม่จริงครับ ผมสุขภาพแข็งแรงดีครับ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร หมอพระราม 9 ก็ไม่ได้บินมารักษาผมเหมือนท่ีปล่อยข่าว

ที่ผ่านมาเดินทางไปหลายประเทศครับ แต่ก็ติดตามข่าว เมืองไทยตลอดเวลา รู้สึกยกย่องแกนนำท่ียอมถอยจากให้ยุบสภาทันทีเป็น 30 วัน ซึ่งถ้ารวมรักษาการ เลือกตั้งอีกก็เป็น 90 วันเพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันเอง แต่น่าเสียดายท่ีรัฐบาล ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงและส่งสัญญาณว่าจะปราบรัฐบาลคงห่วงงบประมาณเพราะกำลังเพลินและการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธฯ เป็น ผบ.ทบ.แต่ไม่ห่วง ประชาชนเลย สรุปว่ารัฐบาลและผู้ค้ำรัฐบาลไม่ได้มองคนเสื้อแดงเป็นคนไทยพร้อมใช้ กฎหมาย 2 มาตรฐานและอาวุธหนักกับคนเสื้อแดงเหมือนไม่ใช่ผู้มาเรียกร้อง

น้ำตา-น้ำใจ-คำพูด ′สุเทพ′ ในนิทาน ′แพะและพระราชา′

เดิมพันของการได้ชัยชนะเหนือศัตรู และพรรคการเมืองคู่แข่ง คือการ ได้ครอบครอง ′อำนาจ′

แต่ ′ชัยชนะ′ และ ′เดิมพัน′ อาจไร้ค่า หากผู้ครอบครองอำนาจมิอาจครอบครองน้ำใจคน

พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ-นักการเมือง จึงอาจไม่ใช่พื้นที่แห่งชัยชนะเหนือสงคราม

แต่เป็นพื้นที่ที่นักรบสามารถครอบคลุมเกาะกุมจิตใจผู้คน และสั่งสม ′บารมี′

′สุเทพ เทือกสุบรรณ′ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์-ผู้จัดการรัฐบาล จึงฝึกฝนศาสตร์และศิลป์ในการครองใจคนการเมือง

หลายคนเคยเป็น ′ศัตรู′ จึงพลิกขั้วกลับมาเป็น ′มิตร′

หลายคนเคยไม่ไว้วางใจ แต่กลับกลายมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

กองกำลังที่ไม่เคย ′เลือกข้าง′ ทางการเมือง ปรากฏตัวร่วมมือ สนับสนุน

ทั้ง ′เนวิน ชิดชอบ′ และ ′บรรหาร ศิลปอาชา′ และกองทัพ จึงพลิกกระดานการเมืองมาอยู่ข้างเดียวกับ ′สุเทพ′

ในนามของรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เมื่อต้องอรรถาธิบายเหตุการณ์ ′เมษาเลือด′ ที่ปลายกระบอกปืนหันมาจาก ′กองกำลังไม่ทราบฝ่าย′ จึงมีคนเห็นเขาน้ำตาคลอ

เมื่อเขายกหลักเหตุผล หมดแม่น้ำ ทั้งห้าสาย เพื่อให้สมาชิกพรรคตัวเอง เห็นชอบกับ ′ธงในใจ′ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประคองรัฐนาวา ′อภิสิทธิ์′ ไม่ให้ล่ม-ล้มก่อนเวลาอันควร เขาถูกครหาว่า ′ข่มขู่′ คนในพรรค

′ความจริงการคบกันเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน ก็ต้องพึ่งพากัน เขาช่วยเหลือเราใน เรื่องต่าง ๆ เขาขอความเอื้อเฟื้อจากเราบ้างเล็กน้อย เราก็ควรพิจารณาให้เขาไป′

คำจากใจ-ออกจากปาก-ส่งสัญญาณการเมืองที่ซับซ้อน ′ผมรักเพื่อนพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน และผมเชื่อว่าเขามีใจให้รัฐบาล′

คุณธรรม-น้ำมิตร-มืออาชีพ และกลเกมการเมืองของ ′สุเทพ′ ทำให้เขาคลุกอยู่กับพวก 8 เหลี่ยม 12 คม

ใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล มาแล้ว 1 ปี 4 เดือน กับภารกิจประธานคณะกรรมการระดับชาติไม่น้อยกว่า 30 ชุด

′เอกนัฎ พร้อมพันธุ์′ ลูกชายของ ′ศรีสกุล พร้อมพันธุ์′ ภรรยา ′สุเทพ′ ที่แทรกตัวอยู่ทุกอณูการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขา การันตี ′พ่อบุญธรรม′

′ท่านเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ชีวิต คุณลุง 100% ให้การเมืองหมด ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องการเมืองอย่างเดียว เป็นคนรักษา คำพูด ทำงานเพื่อประเทศชาติ ทำงานเพื่อปกป้องสถาบัน เป็นคนจริงจังกับงาน ทำอะไรก็จะต้องทำให้สำเร็จ ทำให้ดีที่สุด′

ดังนั้นนอกจากอาชีพ ′นักการเมือง′ แล้ว จึงไม่อาจเห็น ′สุเทพ′ ทำอาชีพอื่น อย่างน้อยก็อีก 10 ปี

พรรคประชาธิปัตย์ในห้วง 63 ปี แม้มีมรสุม ′คดียุบพรรค′ แผ้วพาน-ผ่านพบ เข้ามาปะทะ

อีกทั้งยังมีพายุ ′เสื้อแดง′ ที่พัดโหมกระหน่ำกราดเกรี้ยว หวังขุดราก-ถอนโคน ผลักนายกรัฐมนตรี และ 35 รัฐมนตรี ให้พ้นจากระบบ

ยิ่งทำให้ ′สุเทพ′ ไม่คิดวางมือ

ตรงกันข้าม เขากลับคิดค้นเครื่องมือทางการเมือง เข้ามาเป็น ′ตัวช่วย′ ในหมากกลการเมืองที่เข้า ′ตาอับ′

การหยิบวาระ ′แก้รัฐธรรมนูญ′ ที่ ′บรรหาร-เนวิน′ ชงเป็นยาหอมพร้อมดื่ม ไว้ล่วงหน้า เป็นวาระประเทศไทย ทำให้ ′สุเทพ′ คลายความวิงเวียนจากวิกฤตไปหลายชั่วยาม

พิธีกรรมการแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็น ทั้งยาคลายความอึดอัดให้ 5 พรรคร่วมรัฐบาล และเป็นสายลมเย็นพัดเข้าสู่รูระบายให้มวลชน แนวร่วม สมาชิกรัฐสภาได้หาทางลง ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลกระดูกเบอร์ใหญ่ ไขรหัส กลเกม แก้รัฐธรรมนูญ อย่างเข้าใจ ′คนการเมือง′

′ที่พรรคร่วมต้องเคลื่อนไหว เขาจำเป็นต้องทำ มันเป็นชีวิตทางการเมืองของเขา เป็นความเป็นความตายของเขา เป็นอนาคตของเขา ถ้าเขาไม่ทำ เขาก็จะเล็กลง แล้วก็จะสูญพันธุ์ในทางการเมือง′

การร่วมวง-ขับเคลื่อนเกมการเมืองกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร โดย ′ชัย ชิดชอบ′ และเสียงตามสายโทรศัพท์จาก ′บรรหาร′ สะกดให้ ′สุเทพ′ นิ่ง-นอนใจ รอคอยด้วยความเชื่อมั่น

ผู้จัดการรัฐบาลมั่นใจว่า เมื่อกระบวนการในสภาผู้แทนฯเริ่มต้นขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จะมี ′ธง′ คำตอบให้กับพรรคร่วมรัฐบาลที่น่าพอใจ ในการอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างราบรื่น

วันเวลาที่ได้ร่วมหัว จมท้าย กับ ′อภิสิทธิ์′ มาไม่น้อยกว่า 30 ปี บทบาทของ ′สุเทพ′ ในฐานะผู้ช่วย ′พระเอก′ วาดภาพนายกรัฐมนตรีได้แจ่มชัด

′นายกรัฐมนตรีเป็นพระเอก ก็ต้องหาทางออกให้สง่างามสมบทบาท′

ทั้งศึกใน-ศึกนอกของ ′สุเทพ-อภิสิทธิ์′ มีมากกว่า 4 ด้าน 4 ทิศ

ทิศแรก-แก้รัฐธรรมนูญ ′สุเทพ′ บอกทางแก้ว่า

ไม่จำเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็น ′หัวขบวน′ ออกจากสถานีหัวลำโพง แต่สามารถไป ′ดัก′ ขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน หรือสถานีต่อไปก็ได้ ท้ายที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟขบวนแก้ไขรัฐธรรมนูญทันเวลาเหมือนกัน

ทิศที่สอง-เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ทิศที่สาม-ปัญหากับดักเสื้อแดง

ทิศที่สี่-ความแตกร้าวของนายพลในกองทัพ

ปัญหาจากสารทิศ ′สุเทพ′ ไม่มีคำตอบที่เป็น ′สูตรสำเร็จ′

มีแต่นิทานสอนใจการเมือง ที่ ′สุเทพ′ ตั้งใจเล่าอย่างเป็นระบบ ตอนจบน่าพิศวง

′สุเทพ′ เริ่มต้นว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

′มีพระราชาองค์หนึ่ง มีแพะ 1 ตัว เฝ้าพยายามทำให้แพะพูดได้ แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที จึงมีประกาศไปทั่วเมืองว่า หากมี ชายหนุ่มคนใดทำให้แพะพระราชาพูดได้ จะให้เงินรางวัลครึ่งหนึ่งที่พระราชา ครอบครอง′

′และจะยกพระธิดาให้แต่งงานด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะถูกประหารชีวิต′

′....ไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางเข้ามาบอกพระราชาว่า เขาจะทำให้แพะพระราชาพูดได้ พร้อมเสนอเงื่อนไข ให้พระราชา 2 ข้อ...′

คือ 1.พระราชาต้องจ่ายเงินรางวัลก่อน 15% และ 2.เขาต้องได้แต่งงานอยู่กินกับพระธิดาก่อน แล้วจึงทำให้แพะพูดได้

′...พระราชาก็ตกลง โดยให้เงินรางวัล 15% และมอบพระธิดาให้ไปอยู่กินกับชายหนุ่มคนนั้น′

ฉากจบอันพิศวงของเรื่อง เป็นภาพ ชายหนุ่มคนนั้นก็จูงแพะกลับบ้านพร้อมเงินรางวัล พร้อมพระธิดาเป็นภรรยา

คำถามของคนฟัง ดังทั่วสารทิศคือ ชายหนุ่มคนนั้นทำให้แพะพูดได้หรือไม่′

สุเทพตอบว่า ′ไม่ทราบ...เพราะคาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องอนาคต เป็นความพยายามของชายหนุ่ม แต่ที่สำคัญคือเขาได้ครอบครองทรัพย์สินแล้ว ได้ภรรยาแล้ว แพะจะพูดได้หรือไม่...ไม่มีใครรู้ เพราะเรื่องจบแล้ว′

′สุเทพ′ บอกว่า ′นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจอะไรมา มีแต่ต้องพยายาม...พยายามเท่านั้น ส่วนผลลัพธ์ตอนจบจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครคาดเดาได้′

′ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่าย เขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยาก จึงเป็นงานที่เราต้องทำ′

คอลัมน์.มนุษย์การเมือง
โดย.อิศรินทร์ หนูเมือง
**********************************************

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

นปช.ล้มเจรจายกระดับ"ยุบทันที-เลิกใส่สีแดง"กันถูกสกัด

นายวีระ มุสิกพงษ์ ปราศรัยว่า จากที่นปช.ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาใน 30 วัน จากนั้นมีการเจรจากับตัวแทนรัฐบาล ตั้งแต่คืนวานและกลางวันนี้ แต่ระหว่างการเจรจามีการสั่งการให้ตัวแทนรัฐบาลยุติการเจรจาโดยพลัน ดังนั้นเราไม่มีทางเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากรัฐบาลมั่นใจว่ามีศักยภาพที่จะสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ สั่งการให้ตัวแทนรัฐบาลยุติการเจรจา เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ หันหลังให้กับการหาทางออกโดยสันติวิธี เมื่อไม่มีการเจรจา เราจึงขอยึดมุ่งหมายเดิมคือให้ยุบสภาในทันที ส่วนข้อเรียกร้องให้ยุบสภา 30 วันถือเป็นอันยุติ นายอภิสิทธิ์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อไปและพร้อมจะเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงภายใน 48 ชั่วโมง

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้กองกำลังตำรวจทหาร จำนวนมากสกัดกั้นคนเสื้อแดงไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมมีการตรวจบัตรประชาชนเพื่อนำไปสู่การสลาย ดังนั้นจึงขอประกาศมาตรการที่ 1.ตั้งแต่บัดนี้จะถอดเสื้อแดงออกเป็นนักรบนอกเครื่องแบบ วางสัญลักษณ์ตีนตบและอื่นๆเพื่อป้องกันการสกัดกั้นและเมื่อต่อสู้จนประสบชัยชนะค่อยสวมเสื้อแดงฉลองชัยชนะ 2.ให้อาสาสมัครมอเตอร์ไซต์ไปรายงานตัวใน 6 ด่าน ด่านละ 2 พันคันเพื่อป้องกันการบุกเข้ามาของทหารตำรวจ 3.ขอให้คนเสื้อแดงทั่วประเทศ สกัดกั้นการเข้ามาของทหารตำรวจที่จะมาสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ หากพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขอให้ปฎิบัติโดยยึดแนวทางขอนแก่นโมเดล หยุดยั้งการเคลื่อนขบวนโดยให้กักไว้อย่าง 1-2 วัน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า มาตรการที่ 4 หากทหารลั่นกระสุนใส่คนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ขอให้คนเสื้อแดงแสดงการต่อต้านอย่างมีเสรีภายใต้หลักสันติวิธีพร้อมกันทั่วประเทศ และมาตรการที่ 5.ขอให้คนเสื้อแดงจับกลุ่มกันอย่างน้อย 5 คนแลกเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ สร้างช่องทางติดต่อเมื่อเผชิญกับสถานการณ์รุนแรงให้รีบติดต่อกันทันที นอกจาก 5 มาตรการแล้วขอให้คนเสื้อแดงอย่าลืมมาตรพื้นฐานคือเมื่อมีการสลายการชุมนุมให้แสดงอาการตกใจตอบโต้ทันที


ที่มา.เนชั่น
*************************************************

"จตุพร" เปิดคำสั่ง "อนุพงษ์" เตรียมสลายชุมนุม

นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. ได้แถลงข่าวด่วนว่า ตนได้รับเอกสารที่สรุปการสั่งการของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่สั่งการเมื่อคืนเรื่องสลายการชุมนุม แม้จะมีคำวินิจฉัยของศาลแพ่งมาแล้วก็ตามแนวคิดเรื่องการสลายการชุมนุมก็ยังไม่หยุด ตอนสายวันนี้พล.อ.อนุพงษ์ ก็ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกเข้าพบเรื่องที่ นปช. เรียกร้องให้ยุบสภาในหนึ่งเดือน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ แจ้งว่าไม่ยุบ และสั่งให้สลายการชุมนุมในทันที พร้อมทั้งถามว่าทำได้ไหม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กำลังรอจังหวะในการดำเนินการ นายอภิสิทธิ์จึงถามว่าดำเนินการอะไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ระบุว่า ตอนนี้ได้เรียกแกนนำระดับล่างเข้ารายงานตัวเพื่อไม่ให้เสื้อแดงมาเติมที่ราชประสงค์ แต่สาระอยู่ที่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้สั่งให้เพิ่มกำลังตำรวจ 70 กองร้อย และให้รายงานตัวที่ กรมทหารราบที่ 11 รอ. ภายในเที่ยงวัน

ส่วน พล.ม.2 รอ.ปรับกำลัง 23 กองร้อย โดยขณะนี้ขยับเข้าจุดสวนลุมพินี นอกจากี้ยังมีการจัดกำลังจากพล1.รอ. เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว สามกองร้อย มีจักรยานยนต์ 200 คัน และรถกระบะ ส่วน พล.ร.2 และ พล.ร.9 และพล.ม.2 จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเป็นจักรยานยนต์กองพลละ 150 คัน ซึ่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วนี้แต่ตัวนอกเครื่องแบบและมีอาวุธครบมือคือเอ็ม 16 เอ 2 ส่วนชุดซุ่มยิงแกนนำจะแต่งตัวนอกเครื่องแบบมาปะปนกับคนเสื้อแดง 80 คน จะลงมือยิงแกนนำในวันสลายการชุมนุม

นายจตุพร ระบุว่า การปฏิบัติการจะพร้อมในเวลา 1 ชั่วโมงที่จะเข้าสลายได้ทันที การบัญชาการจะใช้เฮลิคอปเตอร์ แบล็กฮอว์ก 4 ลำ ถ้าจับแกนนำจะใช้เฮลิคอปเตอร์ชีนุก มารับทันที ในเครื่องจะมีหน่วย ฉก. 20 นายโรยตัวลงมารับ ซึ่งขณะนี้ ผบ.พลบอกพร้อมแล้วและรอคำสั่งเท่านั้น และพล.อ.อนุพงษ์ย้ำว่า ถ.สีลมทั้งสายห้ามเสื้อแดงผ่าน ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตรียมปืนลูกซองไว้ ขณะนี้ได้แล้ว 2,000 กระบอก ส่วนที่จะนำมาเติมจากต่างจังหวัดให้นำมาประกอบที่ กทม.

“นี่คือบันทึกรายงานจากทหารแตงโมที่ข้อมูลไม่เคยพลาด เป็นแตงโมที่อยู่ใน ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ทำเป็นพูดว่าจะไม่สลายการชุมนุม แต่หลังจากนั้นไม่รู้ จ.จ. ที่ไหนสั่งเพิ่มเติม เวลานี้พล.อ.อนุพงษ์เหมือนมนุษย์สองหน้า หน้าหนึ่งรู้ว่าหากสลายความรุนแรงจะเกิดขึ้น แต่อีกด้านก็รอรับคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คนสื้อแดงพยายามมอง พล.อ.อนุพงษ์ด้วยถ้อยทีที่เห็นใจ แต่หากเลือกปราบปรามประชาชนและรักษาตำแหน่งมากกว่าชีวิตของประชาชน พล.อ.อนุพงษ์ก็จะเป็นศัตรูของประชาชนตลอดชาติ” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ที่รายงานให้ทราบเพราะเขาไม่ต้องการให้เราประมาท รัฐบาลใช้ช่วงเที่เราถอยเพื่ออธิบายว่าเราสันติวิธีโดยเปลี่ยนข้อเรียกร้องเป็นการให้ยุบสภาในหนึ่งเดือน เพื่อเข้าสลายการชุมนม จะสังเกตได้ว่าการรายงานข่าวของสื่อขณะนี้ มีการสั่งห้ามรายงานสด และให้ถ่ายภาพข่าวช่วงไม่มีคน สถานการณ์เวลานี้ต้องไม่ประมาท วันพรุ่งนี้และวันมะรืนนี้คือหัวใจสำคัญ ชุดที่จะปราบปรามครั้งนี้ไปเชื่อดวงเมืองว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2310 เราเสียกรุงครั้งที่สอง เขาต้องจัดการก่อนวันกรุงแตก เราพร้อมจะสู้ตาย ไม่ว่าจะเอาอาวุธมากขนาดไหน และจะไม่เฉพาะ กทม. แต่จะเป็นทั่วประเทศ ด่านใดที่สกัดประชาชนวันนี้จะไปแหกด่านกันอีก


ที่มา.เนชั่น
*********************************************

30 องค์กรแถลงการณ์สนับสนุนแนวทางการต่อสูแบบสันติวิธีของนปช. ย้ำยุติการใช้ความรุนแรง

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้แถลง เงื่อนไขใหม่เสนอเปิดเจรจา และให้นายกรัฐมนตรียุบสภาภายใน 30 วัน ให้ตั้งคณะกรรมการกลาง เป็นอิสระ ติดตามหาข้อเท็จจริงกรณีวิปโยค 10 เมษายน และกรณีการสร้างสถานการณ์ จากมือที่สาม โดยการยิง M 79 ถล่มผู้ชุมนุม(บางส่วนเป็นเสื้อเหลืองจำแลง)ที่ ถนนสีลม เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา

เรา-กลุ่ม –องค์กร-เคือข่ายประชาชน ผู้รักประชาธิปไตย ดังรายชื่อข้างล่างมีข้อเรียกร้องและความคิดเห็น ดังนี้

1.เราขอสนับสนุนการเสนอเงื่อนไขใหม่ของนปช.ให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ยุบสภาภายใน 30 วันและขอให้นายกรัฐมนตรียอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เพราะข้อเสนอของนปช.ดังกล่าวนั้น มิใช่เป็นการคุกคามข่มขู่แต่อย่างใด แต่เป็นการเปิดทางเจรจาและแก้ไขวิกฤตการเมืองที่ยึดมั่นแนวทางสันติวิธีอย่างชัดเจนและมีความยุติธรรม

2.ในทางกลับกันการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงอย่างที่รัฐบาลกระทำอยู่นั้นเป็นแนวทางแห่งความรุนแรงในการข่มขู่คุกคามโดยมีเจตนาปราบปรามประชาชนด้วยกำลังทหารที่ติดอาวุธ จนอาจทำให้ต้องสูญเสียชีวิตประชาชนผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเช่นเหตุการณ์วิปโยค 10 เมษายนที่ผ่านมา

3.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ กองทัพ และผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ รับข้อเสนอของนปช.โดยทันที และต้องยอมรับว่า ในโลกสมัยใหม่ปัจจุบันหนทางแห่งความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่างๆ นั้น ล้วนแล้วแต่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีหลักการสำคัญในการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ มีความเชื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกันมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากัน

4.เราขอเรียกร้องให้กลุ่มประชาชนหลากสี(ซึ่งก็คือเสื้อเหลืองจำแลง) องค์กรภาคประชาชน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรภาคพลเมือง องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรธุรกิจ องค์กรสื่อมวลชน นักวิชาการ นักสันติวิธีและประชาชนทั่วไป ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีความชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตยแต่อย่างใด มีการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ ดังนั้นเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าขึ้นในสังคมไทย จึงต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนทุกคนทุกสี ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอันแท้จริงโดยการยุบสภาเท่านั้น

5.ตราบใดที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับข้อเสนอของนปช.ก็เท่ากับว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงยึดแนวทางแห่งความรุนแรงในการปราบปรามคนเสื้อแดง มองคนเสื้อแดงเป็นศัตรู ไม่ใช่คนไทย เป็นผู้ก่อการร้ายที่รัฐสร้างขึ้น ซึ่งมีแต่ผู้ปกครองที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยม ทรราชย์ กระหายเลือดเท่านั้นที่มองประชาชนในประเทศตนเองเป็นศัตรู เราจึงขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกองค์กรร่วมกันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ยุบสภา ก่อนที่ชีวิตผู้คนจะสูญเสียและประเทศจะเสียหายมากกว่านี้

1. เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน (คอป.อ.)
2. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน (คอซ.)
3. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต จังหวัดเลย
5. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6. แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี
8. กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9. กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
29. กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้
30. กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************

คณบดีนิติ มธ.แนะ "รัฐ-ม็อบแดง" ถอยคนละก้าว

ที่หอประชุมรักตะนิษฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต และผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวชนระดับสูง (บสส.)รุ่นที่ 2 จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง "ผ่าทางตันเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย" โดยนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้การชุมนุมของเสื้อแดง และรัฐบาลมีการสร้างเงื่อนไข เล่นเกมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง โดยใช้ชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน ถือเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตทางการเมืองที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ยอมมาพูดคุย อีกทั้งผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็ปิดรับข่าวสาร ฟังเพียงแกนนำฝ่ายเดียวทำให้แม้แต่เหตุการณ์ระเบิดที่สีลม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานที่ชุมนุมเอง ก็ไม่ค่อยมีคนรับรู้ จนแกนนำต้องขึ้นพูดบนเวที

รศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร. 40 และ 50 )กล่าวว่า ตนมองว่าม็อบจะอยู่ได้ยาวแค่ไหนส่วนหนึ่งต้องขึ้นกับอารมณ์ของคนกรุงเทพฯ เพราะพันธมิตรฯ ยังชุมนุมได้เกือบ 200 วัน ทั้งนี้เชื่อว่าการยุบสภาน่าจะเกิดปลายปี เพราะต้องให้งบประมาณปี 54 ผ่านก่อน รวมถึงรัฐบาลต้องมีการจัดกำลังทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองใหม่ก่อนถึงจะยุบสภา ทั้งนี้ทางออกของประเทศมีแต่ถ้านึกถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักด้วยการถอยคนละก้าว โดยเสื้อแดงถอนจากราชประสงค์ศูนย์กลางเศรษฐกิจไปอยู่ทำเนียบรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ปล่อย โดยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วปล่อยไปสักระยะ ค่อยมาเจรจายุบสภาอีกครั้ง

“ข้อเสนอของ นปช. ให้ยุบภายใน 30 วัน แม้จะมีการรักษาการอีก 60 วัน ก็เชื่อว่านายกรัฐมตรีไม่ยอมแน่ แต่ถ้ามีการเจรจาต่อรองให้ยุบสภาภายใน 60 วัน และรัฐบาลรักษาการอีก 60 วัน เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีอาจจะยอม วันนี้มันมาตันที่ระบบที่ต้องตัดสินใจ โดยอีกฝ่ายต้องรับได้ด้วย” รศ.สมคิด กล่าว


ที่มา.เนชั่น
************************************************

วิพากษ์ "เสื้อแดง" ในมุม "ธนาธร" สิ่งที่เสื้อแดงเสนอ คือการปลดแอก "คนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน

"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หรือ "เอก" รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท เป็นนักธุรกิจหนุ่ม ไฟแรง เพียงไม่กี่คนในประเทศไทยที่กล้า วิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองไทยได้อย่าง ถึงกึ๋น ตรงไปตรงมา นอกจากนี้เขายังกล้าที่จะสนับสนุนเครือข่ายประชาธิปไตยอย่างเปิดเผย

ปัจจุบันธนาธรกำลังสนุกกับการสร้างอาญาจักรไทยซัมมิท ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ ให้มั่นคงแข็งแกร่ง ด้วยทีมงาน "The Best Team" ที่เขา ภาคภูมิใจ

อะไรทำให้นักธุรกิจหนุ่มวัย 30 ปีผู้นี้มีมุมมองที่แตกต่างจากนักธุรกิจทั่วไป หากคุณอยากรู้ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ที่ เผ็ดร้อนชิ้นนี้โดยพลัน !

- ก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร เคยไปดูการชุมนุมของประชาชนบนท้องถนนมั้ยครับ

ผมไปจนถึงตอนประกาศก่อนมาตรา 7 พอประกาศมาตรา 7 เราก็รู้แล้วว่า นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องในแนวทางประชาธิปไตย ผมเคยให้สัมภาษณ์สื่อที่ criticize ทั้งคุณทักษิณ (ชินวัตร) criticize ทั้งคุณอาผม (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ผมก็ออกมาเป็นคนแรก ๆ ที่ criticize เรื่องผลประโยชน์ ทับซ้อนเหมือนกัน แน่นอนที่สุด ถ้ามี ผลประโยชน์ทับซ้อนก็ต้องว่ากัน แต่ผม คิดว่าการแก้ปัญหาควรอยู่ในกรอบหลักประชาธิปไตย ซึ่งการที่พันธมิตรฯเรียกร้องมาตรา 7 ผมคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบที่ 19 กันยายน 2549

ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วม ตอนที่ผมเข้าร่วมสังเกตการณ์ผู้ชุมนุม ตอนนั้นยังไม่เป็นเสื้อเหลืองด้วยซ้ำไป ตอนที่มันเป็นเสื้อเหลืองมาเป็นหลัง ๆ แต่ช่วงแรก ๆ ของคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) ยังไม่ได้เริ่มเสื้อเหลืองด้วยซ้ำไป แต่พอประกาศมาตรา 7 ผมก็ถอยเลย

- แล้วตอนนั้นทำยังไงครับ ซ้ายก็ไม่ใช่ ขวาก็ไม่ใช่

อืม...ผมก็พยายามหาที่ลงทางการเมืองเหมือนกัน (นะ) ในทางจุดยืน แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่าพอมันเริ่มชัดเจนว่าเสื้อสีเหลืองยืนเพื่ออะไร และเสื้อสีแดงยืนเพื่ออะไร ก็คิดว่าเราชัดเจนในจุดยืนทางการเมือง ผมก็พูดไม่ถูกว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ แต่อย่างแรกเรารู้สึกในเชิงหลักการ เราไม่เอาด้วยกับเสื้อเหลืองแน่นอนอยู่แล้ว พอเสื้อแดงมาแรก ๆ ก็มีข้อกังขาเยอะในเชิงจุดยืน แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่าคนเสื้อแดงได้พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควร โอเค อาจจะมีเรื่องทักษิณบ้าง อะไรบ้าง แต่ว่าข้อเสนอของเขาส่วนใหญ่มันตอบโจทย์ประชาธิปไตยของไทยได้

- รู้สึกยังไง ตอนเสื้อเหลืองก็ไม่เอาทักษิณเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เสื้อแดงวันนี้ก็มีเรื่องของทักษิณอยู่

ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องทักษิณแล้ว ณ วันนี้จะ defend ทักษิณก็ต้อง defend ทักษิณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบทักษิณก็ตาม แต่ต้อง defend ทักษิณในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ถูกรัฐประหาร

ฉะนั้น ผมคิดว่าเวลาเราดูข้อเสนอของคนเสื้อแดง ณ วันนี้ คำว่าไพร่กับคำว่าอำมาตย์ ใครศึกษาโพสต์โมเดิร์น อาจต้องไปศึกษาหน่อยว่า คำว่าไพร่และอำมาตย์ วันนี้มันกลับมามีความหมายอีกครั้งอย่างทรงพลังด้วย ที่เสื้อแดงนำเสนอ

ทำไมเราถึงต้องสนับสนุนเสื้อแดง ผมคิดว่าดูที่ข้อเสนอคำว่าไพร่กับอำมาตย์ มันเป็นคีย์เวิร์ด ไม่ได้ถูกคิดมาอย่างลอย ๆ อำมาตย์ อะไรคือความหมายของคำว่าอำมาตย์ ผมคิดว่าความหมายของอำมาตย์ มันไม่ใช่ข้าราชการอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ผมคิดว่าถ้าจะนิยามให้ถูกว่าอำมาตย์ในภาวะปัจจุบันคืออะไร ผมคิดว่าคือคนที่มีอำนาจ และไม่ถูกตรวจสอบ คนที่มีอำนาจ และไม่มีกลไก check and balance และในสังคมประชาธิปไตย อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ

ณ วันนี้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ที่มีอำนาจและปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ เลย มีคนที่มีอำนาจและไม่ถูกตรวจสอบ ผมเคยพูดว่า ผมคิดว่าไม่มีใครบอกว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทน แบบรัฐสภาคือระบบที่ดีที่สุดในโลก แต่มันเป็นระบบที่เลวร้ายน้อยที่สุด เพราะต่อให้ทักษิณเลวร้ายเท่าไหน คุณตรวจสอบทักษิณได้ คนรู้ว่าในช่วง 2 ปี สุดท้ายของทักษิณ ทักษิณโดนตรวจสอบทุกเรื่อง

นี่คือเหตุผลที่เราต้องต่อสู้ ที่วันนี้เราต้องกล้าฟันธงว่าจุดยืนของเราในฐานะมนุษย์คุณเลือกอะไร คุณเลือกอำนาจที่คุณมีสิทธิ์ตรวจสอบ มีสิทธิ์ลงโทษได้ กับอำนาจที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้เลย คุณเลือกอะไร นี่คือโจทย์ใหญ่ ซึ่งเสื้อแดงเสนอว่า สังคมจะเลือกอะไร

วีระ มุสิกพงศ์ เปรียบเทียบว่า นี่คือ การต่อสู้ระหว่างคนที่ได้เปรียบและเสียเปรียบทางสังคม

วันนี้สิ่งที่เสื้อแดงเสนอคือ การปลดแอก ไม่เพียงแต่รากหญ้า แต่กำลังปลดแอกว่าคนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกันในสังคม ไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาคนชั้นใน เพื่อที่จะเติบโตในเศรษฐกิจ ฉะนั้น ในแง่นี้ผมก็เป็นไพร่คนหนึ่ง เพราะผมไม่ต้องการให้คู่แข่งของผมมาเอาชนะผมได้เพราะอำนาจรัฐ แต่เรามาแข่งกันอย่างเสรี คุณกับผมมา แข่งกัน พัฒนาเทคโนโลยี ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใครทำได้ดีกว่าคนนั้นเอาชนะใจลูกค้าไป

- เข้าไปดูม็อบเสื้อแดงช่วงนี้เห็นอะไรบ้าง ได้คุยกับชาวบ้านบ้างมั้ย

ก็มีบ้าง คือ ผมเห็นม็อบเขาอยากจะ บีบสิวให้แตกซะทีนะ แต่ปัญหาคือ ผมคิดว่าผู้นำของม็อบตอนนี้กำลังพยายามที่จะตอบสนองความรู้สึกของชนชั้นกลางมากกว่าตอบสนองความรู้สึกมวลชนตัวเอง เหมือนมีสิวที่คาอยู่หลายปี จะหายมันต้องบีบสิว ทำให้มันแตกออกมา แต่ปัญหาคือ แกนนำยืนหยัดในสันติวิธี แกนนำมั่นคงในเส้นทางนี้ ซึ่งต้องชื่นชม

ถ้าเสาร์แรกมาแล้วลุยเลย เกมนี้เสื้อแดงแพ้ไปแล้ว ทีแรกผมยังไม่คิดว่าเสื้อแดงจะยืนหยัดได้นานขนาดนี้

ตอนนี้ปัญหาน่าจะกลับมาอยู่ที่สื่อแล้วก็คนเมือง อาจต้องช่วยขยายความด้วยว่า อย่าเอาความสุขเฉพาะหน้ามาแลกกับประชาธิปไตยระยะยาว คนชั้นกลางพูดอย่างเดียวว่ารถติด นักลงทุนไม่มา นักท่องเที่ยวไม่มา คือ เฉพาะหน้าทั้งนั้นเลย แต่ผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เสื้อแดงต่อสู้ ณ วันนี้ มันมีค่ากว่านักท่องเที่ยวอีก ล้านคนในปีนี้มากนัก

มันกำลังกำหนดเส้นทางอนาคตของประเทศ ว่าเราจะไปยังไงกันดี เราจะอยู่ในระบบที่มีผู้มีอำนาจแล้วตรวจสอบไม่ได้อีกต่อไปหรือเปล่า นี่คือคำถาม ณ วันนี้ที่สังคมไทยต้องตอบ

ฉะนั้น สังคมไทยต้องเลือก อย่าให้คำถามเฉพาะหน้าพวกนี้มาบดบังคำตอบของประชาธิปไตยไทยว่าเราจะเดินไปทางไหน ไม่เกี่ยวกับทักษิณด้วย

ต่อให้ผู้มีอำนาจเลวร้าย โกงกิน ผมยังยืนยันว่า ผมเลือกสังคมไทยที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นสิทธิ์ของมนุษย์ในสังคมที่ซับซ้อนอย่างวันนี้ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกผู้นำ ผมต้องเลือกผู้นำ ของผมได้ว่าใครจะมานำผม

- สมมติถ้าม็อบแดงแพ้ สลายไป สังคมไทยได้อะไรบ้าง

จิตนาการหลุดไปแล้วหนึ่ง อย่างที่ผมพูด คือ 5 ปีที่แล้ว ไม่มีใครพูดเรื่องพลเอกเปรม เป็นไปได้ในสังคมไทย ผมคิดว่าต่อให้เสื้อแดงถูกปราบ แต่อุดมการณ์แบบนี้มันไปไกลกว่านั้น ต่อให้ไม่มีเสื้อแดง พรุ่งนี้ก็จะมีเสื้อสีเขียวมาต่อแดง ต้องมีใครมาต่อจากคุณวีระ ผมว่ามันมาไกลกว่าที่จะย้อนกลับไปจุดเดิม

ในสายตาผมคนเสื้อแดงไม่มีทางแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าจะชนะยังไง แล้วเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ฉะนั้นวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นองเลือด เงื่อนไขแรกคือ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยุบสภาก่อนตุลาคม เพราะว่าคุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ได้ขึ้น ตุลาฯนี้ยังไงก็แล้วแต่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชาต้องขึ้นสถานเดียว ไม่มีออปชั่นอื่น รัฐบาลจะยุบสภาก่อนคุณประยุทธ์ขึ้นไม่ได้ นั่นถึงทำไม 9 เดือน หรือ 3 เดือนไม่ได้

หลังจากนั้นผมคิดว่ารัฐบาลไม่ซื้อเวลาเพื่อหาทางว่าจะเลือกตั้งชนะยังไง ทุกคนรู้ว่าเลือกตั้งแพ้ความเสียหายมันใหญ่หลวงแค่ไหนกับอำมาตย์ ฉะนั้น ยุบสภาไม่ได้ อย่างแรกคือต้องตรึงทหารไว้ก่อนคุณ ประยุทธ์ขึ้น

อย่างที่ 2 ต้องคิดต่อว่า ทำยังไง ประชาธิปัตย์ถึงกลับมา ปัญหาคือ ถ้าเสื้อแดงกลับมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จัดวางระบบสังคมใหม่ เอาอำมาตย์ เอาทหารออกไป ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่ยอม

ถ้าเสื้อแดงสู้แล้วดัน หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือรูปแบบการต่อสู้ คือ สู้วันนี้แล้วกดดันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ หรือหลังการเลือกตั้ง พยายามไปเปลี่ยนแปลงบริบทกฎเกณฑ์ที่ไปกระทบตรงนั้นเมื่อไหร่ ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็นรัฐประหารกันอีกรอบ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย เพราะเขารู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้มันสูงขนาดไหน

การเดิมพันครั้งนี้มันสูงมาก แพ้ไม่ได้ ถ้าต้องเอารถถังมาอีกรอบก็เอา ผมคิดอย่างนั้นเลยนะ ถ้าคุณจะกดเสื้อแดงลงอีกรอบ แต่อย่างที่บอก อาจจะชั่วคราว เสื้อแดงอาจจะแพ้สลายตัว แต่สิ่งที่เสื้อแดงทิ้งไว้มันคือเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจแบบนี้อยู่ไม่ได้

รัฐบาลยังถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี เสื้อแดงยังหาทางชนะยาก คุณลุยกดดันมากกว่านี้ รัฐประหารออกมา คุณยุบสภาแล้ว เลือกตั้งชนะ แล้วไปแตะต้องมากไป ทหารก็ออกมาอีก

- คิดว่าสุดท้ายเสื้อแดงจะจบยังไง

ในการเจรจาที่ผ่านมา ผมคิดว่าในเชิงความมันส์ ในเชิงการซัดหน้ากัน เสื้อแดงซัดได้เข้าเป้ามากกว่า แต่ในเชิงผลการเจรจา เสื้อแดงเสียมวยไปนิดหนึ่ง ถามว่าหมัดตรงเข้าหน้าคุณอภิสิทธิ์มันเยอะมาก นับไม่ถูกเลย แต่ถ้าถามผลการเจรจา ความมันส์เสื้อแดงมันส์กว่าแต่แพ้คะแนน

แต่อย่างที่บอก เราต้องคิดว่า การรบครั้งนี้เป็นการรบระยะยาว เป็นจินตนาการของสังคมใหม่ ถ้าเราอธิบายให้มวลชนเข้าใจได้ว่า นี่คือจินตนาการของสังคมใหม่ที่ไม่ได้สร้างในวันเดียว ต้องมารวมตัวกันอีก 10 ครั้ง 100 ครั้ง คนก็มา ถ้ารู้ว่ามันไปสู่อะไร ผมคิดว่าอาจจะต้องปูทางตรงนั้น แต่ตอนนี้มันไกลไปกว่ามานั่งเถียงตรงนั้น วันนี้คือ จะจบยังไง จะลงยังไง ไม่ให้เสียมวลชน เอาไปลุยผิดแน่นอน ดีไม่ดีพาคนไปตาย ทางเลือกของคุณวีระมีน้อยจริง ๆ

- สรุปแล้วเราอาจอยู่ในวังวนกับอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ไปอีกยาวนานหรือเปล่า

ผมยังเชื่อว่า แนวคิดแบบนี้ในสังคมมนุษย์มันเป็นสากล มันเลวน้อยที่สุด ผมยังยืนยันในหลักการ ยืนยันในความเชื่อแบบนี้ว่าท้ายที่สุด ความเชื่อ ความหวัง แบบนี้ จะได้รับชัยชนะ ผมยังโรแมนติกอยู่ (หัวเราะ)

- ทำไมคุณถึงอยากเป็นไพร่

เอ่อ...ทำไมถึงต้องมาให้สัมภาษณ์เนี่ย (หัวเราะ) ไม่เป็นผลประโยชน์ที่ดีกับธุรกิจเลย (หัวเราะ) เข้าเรื่องดีกว่า คือ ต้นทุนของผม คือความเป็นไปของธุรกิจว่า ถ้าให้สัมภาษณ์แล้วเนี่ย ครอบครัว ธุรกิจ อาจจะโดนผลกระทบ แบงก์อาจจะไม่ให้กู้ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ผมยกตัวอย่าง ผมมานั่งคิดว่าทำไมต้องซัพพอร์ต

อย่างนี้ดีกว่า ยามหมู่บ้านผมลางาน 5 วัน ไปม็อบเสื้อแดง คือคนที่ไปอยู่ในนั้นต้นทุนเขากับต้นทุนเราคนละแบบกัน แล้วเขาไปนั่งอยู่ในนั้น มันเป็นอะไรที่มีความหมายกับชีวิตเขา

ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันวัดกันไม่ได้ คือ ถ้าไม่ออกมาพูดเรื่องความเป็นธรรม ไม่ออกมาพูดเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมวันนี้ ก็ไม่รู้จะไปพูดวันไหนแล้ว


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************

"การปะทะทางวัฒนธรรมบนท้องถนนในกรุงเทพฯ"

สองวันหลังเมษาฯวิปโยค ผมพาครอบครัวไปโรงหมอที่เพื่อนอาจารย์แนะนำแถวสุขุมวิทตรวจรักษาเสร็จแล้วก็ชวนกันไปทานเที่ยงที่ร้านอาหารอินเดียมีชื่อย่านนั้น

ระหว่างทางเพื่อนอาจารย์ชี้ให้ดูบ้านพักของนายกฯซึ่งอยู่เยื้องร้านอาหารไปไม่กี่มากน้อย มีตาข่ายโลหะเสริมกำแพงบ้านกั้นสูงขึ้นไปและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเฝ้าระวังรักษาการณ์หลายนาย

ร้านค่อนข้างโล่งว่าง อาหารรสเข้มข้นถูกปาก เมื่ออิ่มหนำเช็คบิลเสร็จสรรพก็พบว่าไม่สามารถขับรถกลับออกไป

ด้วยสาเหตุที่น่าจะคาดเดาได้ล่วงหน้า

ผมออกไปยืนดูขบวนคนเสื้อแดงหน้าร้านริมถนนข้างๆ พนักงานเสิร์ฟของร้าน ทั้งรถทั้งคนและตีนตบแดงเถือกละลานตาแน่นขนัดซอยไปหมด มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ว่อนไปมาคอยโบกรถจัดแถวเคลื่อนขบวน เสียงเพลงจากลำโพงเสียงแตรเสียงตะโกนและปรบมือโห่ร้องสนั่นอื้ออึงดึงดูดพนักงานออฟฟิศและชาวบ้านแถวนั้นออกมายืนดูบนทางเท้ากันสลอน

รถส่วนใหญ่เป็นปิคอัพเปิดประทุนติดทะเบียนต่างจังหวัดบรรทุกคนทุกเพศทุกวัยใส่เสื้อแดง แต่ก็มีรถเก๋งติดทะเบียน กทม.ประดับธง-สติ๊กเกอร์-สัญลักษณ์สีแดงแซมผสมพอควร บรรยากาศค่อนข้างอึกทึกครึกโครม คึกคักฮึกเหิม เปล่งมวลพลังเร่าร้อนระอุตัว เหมือนขบวนฉิ่งฉับทัวร์ผสมพาเหรดประกาศสัจธรรมและชัยชนะ มากกว่าขบวนแห่ศพผู้เสียสละอย่างโศกสลดเคร่งขรึม

มันชวนให้นึกถึงเต๊นท์ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจากจังหวัดอำเภอต่างๆ และส้วมชั่วคราวตั้งเรียงรายยาวเหยียดตลอดย่านผ่านฟ้า-ราชดำเนินจรดลานพระบรมรูปทรงม้าที่ผมไปเดินตระเวนสำรวจมาไม่กี่วันก่อน

นอกจากแผ่นผ้าและป้ายคำขวัญติดเต๊นท์ที่สู้รบดุเดือดเป็นพิเศษแล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือน เต๊นท์สมัชชาคนจนของพ่อใหญ่แม่ใหญ่ที่นั่งๆ นอนๆ พัดวีหุงข้าวตำน้ำพริกข้างทำเนียบรัฐบาลหลายปีก่อนโน้นมาก

"บ้านนายกฯอยู่เหิงบ่?" น้าผู้หญิงวัยราว 50 ต้นๆ ในชุดเสื้อแดงหยุดถาม

"บ่เหิงปานใด๋ดอก อยู่พุ่นแหละ"

ผมชี้มือไปทางขวาพลางตอบเสียงแปร่งเพราะบ่ได้เว้าลาวมาโดนเติบหลังออกจากป่า

"นายกฯบ่ควรสิเฮ็ดจังซี่...ดูสิ ประชาชนตายหลายคน" เธอสลับภาษาจากลาวเป็นไทยกลางคันพลางคลี่ภาพถ่ายศพผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ถูกยิงเสียชีวิตสองสามใบในมือให้ดู ผมก้มลงมองครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออย่างใส่ใจ

"อภิสิทธิ์เป็นทรราช อภิสิทธิ์เป็นฆาตกร!" เธอเน้นเสียง

ผมนิ่งฟัง มันมีช่วงจังหวะขึงเครียดสองสามวินาทีเมื่อเธอเหมือนรอปฏิกิริยาเห็นชอบตอบรับ ขณะผมเพียงแต่ครุ่นคิดใคร่ครวญคำพูดของเธออยู่เงียบๆ...และแล้วเธอก็เบือนหน้าเดินจากไป

ผมควรบอกด้วยว่าในที่สุดเราก็หาทางขับรถลอดผ่านขบวนแห่ศพเสื้อแดงมาได้โดยอาศัยใบบุญแล่นตามหลวงพ่อรูปหนึ่งซึ่งท่านนั่งรถเข็นผูกติดอยู่บนหลังคารถแวน แล่นตระเวนวนเวียนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ชาวเสื้อแดงและชาวบ้านสองข้างทาง

มันคงไม่ง่ายที่จะให้ชาวบ้านผู้อยู่ในธรรมเนียม "เฮ็ดอีหยังเฮ็ดนำกัน เว้าอีหยังเว้านำกัน" และคาดหวังความเห็นอกเห็นใจ-เห็นชอบตอบรับโดยธรรมชาติจากพวกพ้องหมู่เฮายามคับขันเดือดร้อน-มาเข้าใจอาการนิ่งงันลังเลในทำนองขอคิดตรึกตรองดูก่อนของอินดิวิด้วน บางกอกเกี้ยนส์ (individualistic Bangkokians) ทั้งหลายเมื่อได้ยินคำกล่าวหาฉกาจฉกรรจ์ที่ว่านั้น

มันอาจจะดูเย็นชา-ไม่ไยดี-เพิกเฉยในสายตาพวกเขาไม่เบาทีเดียว

ทำให้ผมนึกถึงตอนเข้าป่าใหม่ๆ ที่ท่าเดินลากเท้าประสาคนกรุงฟุตปาธเรียบของผมพาเท้าให้เตะตอป้าบ หนังหัวแม่ตีนเปิด เลือดไหลซิบเป็นประจำ ข้างสหายชาวนาก็เอาแต่หัวร่อคิกคักก่อนเข้ามาช่วยทำแผลให้

ที่ทำแผลให้นั้นซึ้งใจอยู่ดอก แต่ทำไมต้องหัวร่อล้อด้วยล่ะ ปัดโธ่

ยังไม่ต้องพูดถึงเวลาดำนาแล้วแนวต้นกล้าของผมโค้งไปมาเหมือนงูขณะของสหายชาวนาตรงแน่ว, หรือเวลาไปเลี้ยงควายแล้วผมต้อนฝูงควายเข้านาข้าวหน้าตาเฉยเพราะแยกแยะต้นกล้าอ่อนกับต้นหญ้าไม่ออก, หรือหน้าฝนน้ำมาทำนบทรุด แล้วเราระดมกำลังกันไปขุดดินซ่อมเสริมทำนบไม่หยุดตลอดวันตลอดคืนเพื่อไม่ให้ต้นกล้าในนาที่เพิ่งปักดำถูกน้ำท่วมตาย ขณะผมนึกอยากชวนสหายนำที่เป็นชาวนาอภิปรายแผนซ่อมทำนบโดยรวมก่อน ฯลฯ

เป็นไปได้ว่ากล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว มันคงมีเรื่องของถูก/ผิดประกอบอยู่ด้วยด้านหนึ่งแต่ก่อนอื่น มันเป็นเรื่องของการไม่คุ้นชิน-ไม่เข้าใจ-และปะทะทางวัฒนธรรมมากมายทีเดียว

เรื่องทำนองนี้ต้องอาศัยความเยือกเย็น อดกลั้น เข้าใจและให้อภัย

และก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการกระทบกระทั่งและว่ากล่าวโต้แย้งกันบ้างเป็นธรรมดา

มันไม่ง่ายหรอกครับและต้องผ่านการค่อยๆ เรียนรู้ ปรับตัว ปรับพฤติกรรมกันทั้งสองฝ่าย เหมือนที่สมัยนั้นกว่าผมจะเล่าข่าวต่างประเทศและสถานการณ์สากลให้พ่อใหญ่แม่ใหญ่ฟังเข้าใจตามที่จัดตั้งมอบหมายได้ ก็ต้องหัดเว้าลาวอยู่นานสองนานและเริ่มต้นจากอธิบายภูมิศาสตร์พื้นๆ เรื่องสัณฐานทรงกลมของโลก, แผนที่, ทวีป, ภูมิภาค, ประเทศ ขึ้นมาเป็นลำดับกว่าจะถึงสงครามเย็น, จักรพรรดินิยมอเมริกา, สังคมจักรพรรดินิยมโซเวียต, สังคมนิยมจีน ฯลฯลฯ

ผมได้เรียนรู้ว่าการไม่อ่อนไหวไม่พยายามเข้าใจหรือสดับปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องที่พื้นถิ่น, หากเอาแต่ดื้อรั้นยืนกรานยัดเยียดความคิดความเชื่อของตนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมให้ ตามแบบแผนวิธีการอันคุ้นชินของตัวโดยถือดีว่ากูถูกและไม่รับฟังชาวบ้านเขาเลยนั้น, มันช่างเป็นความอ่อนหัดโง่เขลาไร้เดียงสาทางวัฒนธรรม

ซึ่งมีต้นทุนทางการเมืองที่จะต้องจ่ายออกไป

การปะทะทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ ผู้คนที่ปกติดำเนินชีวิตอยู่ต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างข่ายใยความสัมพันธ์ทางสังคมกัน กลับเข้ามาอยู่ร่วมเวลาและสถานที่เดียวกัน และในกรณีที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ ก็ยังดำเนินกิจกรรมอยู่ในพื้นที่การเมืองบนท้องถนนสายเดียวกันอีกด้วย

สภาพที่ว่านี้ดูจะเกิดขึ้นตั้งแต่ 12 มีนาคมเป็นต้นมา ที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร

การยึดพื้นที่-เคลื่อนขบวนใหญ่ทั้งรถยนต์และเดินเท้าของคนเสื้อแดงแต่ละครั้งสร้างความโกลาหลอลหม่านให้วิถีชีวิตที่กำกับด้วยจังหวะอันเป็นระเบียบประจำสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ของคนกรุงยิ่ง

เพราะชีวิตเมืองสมัยใหม่ที่เป็นระเบียบนั้นเอาเข้าจริงเปราะบางมาก มันดำเนินระเบียบของมันไปได้ก็โดยอาศัยระบบรองรับสนับสนุน (supporting systems) ที่ประสานงานกันอย่างสลับซับซ้อนจำนวนมาก หากระบบเหล่านี้อันหนึ่งอันใดสะดุดหยุดลง ระเบียบชีวิตเมืองทั้งหมดก็จะพลอยชะงักติดขัดตีรวนต่อเนื่องจนเป็นอัมพาตไปด้วย ไม่ว่าระบบไฟฟ้า ประปา จราจร รถเมล์ รถไฟฟ้า สื่อสาร เป็นต้น

เช่น เกิดน้ำประปาไม่ไหล ไฟดับ หรือถนนถูกปิด รถเมล์รถไฟฟ้าหยุดวิ่ง ก็อาจไม่ได้อาบน้ำ ซักผ้า ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ไปทำงานเรียนหนังสือ ไม่ได้หุงข้าว ไม่ได้กินข้าวเช้า ไปทำงานสาย งานลูกค้าชะงักต้องเลื่อนประชุม มติไม่ออก เปิดคอมพิวเตอร์ดูไฟล์ไม่ได้ งานไม่เดิน ครูมาสอนไม่ทัน นักเรียนไม่ได้เรียนหนังสือ หมอไม่ได้มาออกตรวจ คนไข้ไม่ได้รับการรักษา พ่อแม่ไปรับลูกไม่ทัน ลูกรอเคว้งไม่รู้จะไปไหน โทร.มือถือต่อไม่ติด ขับรถพาลูกที่กำลังป่วยไปหาหมอไม่ได้เพราะติดขบวนชุมนุม ฯลฯ

ขณะเดียวกันความสัมพันธ์เกาะกลุ่มเคลื่อนไหวที่ตั้งอยู่บนความคุ้นชินกันเองเป็นส่วนตัวของเครือข่ายชุมชน-อิทธิพลอุปถัมภ์ในชนบทและเมืองกึ่งชนบทก็แตกต่างแปลกแยกและเข้าใจยากสำหรับปัจเจกชนคนกรุงที่ยึดบรรทัดฐานความสัมพันธ์ฉันคนแปลกหน้าอย่างเป็นทางการ อิงกฎกติกาและหลักเหตุผลที่ไม่เป็นส่วนตัว

ในระยะเดือนกว่าที่ผ่านมา คนกรุงจำนวนไม่น้อยจึงรู้สึกชีวิตไม่เป็นไปตามปกติ เหมือนถูกข่มขู่คุกคามกีดขวางล่วงล้ำอยู่เสมอ คล้ายๆ ความรู้สึกปีละหนที่ไม่อยากออกจากบ้านเลยช่วงสงกรานต์ เพราะเบื่อ/กลัว/รำคาญที่จะถูกสาดน้ำประแป้งจนแปดเปื้อนเปียกปอนหรือกระทั่งถูกมือบอนถือวิสาสะลูบไล้ลวนลามทั้งที่ไม่สมัครใจเล่นด้วยจากแก๊งใหญ่น้อยที่ปิดถนนหรือขึ้นปิคอัพตระเวนอาละวาดไล่สาดน้ำอย่างคึกคะนองเมามันไปทั่วกรุงเทพมหานคร

ลองจินตนาการว่าแทนที่จะต้องทนเจอสภาพ "สงกรานต์ภาคบังคับ" อย่างนั้นปีละสี่ซ้าห้าวัน กลับกลายเป็นต้องเจอทุกวี่ทุกวันตลอดทั้งปี คนกรุงจะรู้สึกอึดอัดคับข้องใจเพียงใด?

ผมเกรงว่าสิ่งที่คนกรุงกำลังจะเจอต่อไปเบื้องหน้าก็คืออะไรบางอย่างที่คล้ายๆ "สงกรานต์การเมือง" ปีละ 365 วันนั่นแหละครับ

ด้วยเหตุผลที่ว่าในเมื่ออำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ กทม.นี่ และทรัพยากรของชาติก็ถูกรวบสูบมาสั่งสมกันไว้ที่นี่หนาแน่นกว่าที่อื่น ไม่ว่าสาธารณูปโภคไฟฟ้าประปา งบประมาณ สื่อสารมวลชน แรงงานฝีมือ บริการการแพทย์ ฯลฯ การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนย้ายจัดสรรอำนาจและแบ่งสันปันส่วนทรัพยากรกันใหม่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะประดังมาระเบิดที่นี่เช่นกัน

และมันมาในนาม "ประชาธิปไตย"

สภาพ "สงกรานต์การเมือง" ที่บรรยายมาข้างต้นไม่หน่อมแน้มน่ารัก เป็นระเบียบเรียบร้อย เข้าแถวตรงร้องเพลงเคารพธงชาติพร้อมกันตอน 8 นาฬิกาแล้วแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตัว เหมือนในอุดมคติ "ความเป็นไทย" หรือ "ประชาธิปไตยแบบไทย" อย่างที่เราคุ้นชิน

แต่มันเป็นผลทางการเมืองโดยตรงของ [ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-ความเติบโตตื่นตัวทางชนชั้น-ความไม่เสมอภาคทางอำนาจ] ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นหากอยู่ในระบอบประชาธิปไตย

อันเป็นระบอบที่ผม-น้าผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้น-ท่านผู้อ่าน-แกนนำประท้วงที่ก้าวร้าวดุดันที่สุดและนุ่มนวลมีเหตุผลที่สุด-ขบวนการเสื้อสีที่เรารักชอบที่สุดและเสื้อสีที่เราเกลียดชังที่สุด-ไม่ว่าคนดีหรือคนไม่ดี มีความเป็นไทยมากหรือน้อยหรือต่อให้ไม่มี ฯลฯ ต่างมีหนึ่งคน-หนึ่งเสียงเท่ากันในการเลือกตั้ง ตราบที่เป็นพลเมืองไทยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

เมื่อคนเราเท่ากัน อำนาจย่อมเกิดจากตัวเลข

ใครได้เสียงเลือกตั้งมากกว่า คนนั้นชนะ

ตัวเลขมากกว่ามีอำนาจมากกว่า ตัวเลขน้อยกว่ามีอำนาจน้อยกว่า แต่ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน รวมทั้งสิทธิของเสียงข้างน้อยที่เห็นต่างออกไป

หากเรายังเลือกที่จะอยู่ในระบอบนี้ ก็คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับ "สงกรานต์การเมือง" ดังกล่าว ไม่จำต้องรักชอบ-สามัคคี-สมานฉันท์กับมันดอกเพียงแค่ทนมันได้ และหาทางต่อสู้ผลักดันปรับปรุงให้พลังการเมืองทุกฝ่ายทุกสีทั้งที่เป็นรัฐบาลและฝ่ายค้านค่อยๆ "อารยะ" ขึ้น อยู่ในกรอบในร่องในรอยของระบอบอารยะประชาธิปไตยมากขึ้น

มิฉะนั้น ก็ควรซื่อตรงต่อตัวเองแล้วยอมรับเสียเถิดว่าเอาเข้าจริงเราต้องการระบอบอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย และกระทั่งพร้อมจะเข่นฆ่าทำลายล้างกำราบปราบปรามคนต่างวัฒนธรรมเหล่านั้นให้ราบคาบเพื่อให้ได้ระบอบไม่ประชาธิปไตยมา

นั่นใช่ไหมที่เราต้องการ?


ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย เกษียร เตชะพีระ
**********************************************

แดงถอย-เสนอ 30วัน"ยุบ" มาร์คปัดทันควัน

แกนนำห่วงสังเวยเพิ่ม ดีเอสไอแฉ"เมธี"สารภาพ ยิงทหาร-ซัดทอดคนสั่ง จรุงจิตต์ฝังศพร่มเกล้า

แกนนำม็อบเสื้อแดงประกาศบนเวทีราชประสงค์ ต่อหน้าตัว แทนทูตนานาชาติที่มาสังเกตการณ์ จะขอยอมถอยยื่นเงื่อนไขให้นายกฯยุบสภาใน 30 วัน รวมกับเวลารักษาการรัฐบาลเป็น 90 วัน บอกเป็นห่วงกลัวผู้ชุมนุมจะต้องมีอันตราย ท้าทายถ้ารัฐบาลไม่รับข้อเสนอ ก็จะสู้กันต่อไป ประกาศตัดหางดารา"เมธี" อ้างแค่แนวร่วม ดอดมาฉกปืนทหารที่เตรียมจะคืนให้ทางการไปเอง ขณะที่อธิบดีดีเอสไอแถลงเมธีสารภาพแล้ว กลุ่มตัวเองสาดกระสุนใส่ทหารคืน 10 เม.ย. ซัดทอดถึงตัวคนเสื้อแดงที่สั่งการด้วย ชี้ก่อการร้ายโทษถึงประหารชีวิต "อนุพงษ์"ประชุมหน่วยขึ้นตรง ย้ำไม่สลายม็อบ และไม่ยอมให้มีการยุบสภาด้วย รับความพยายามล้มสถาบันมีจริง ฝีมือของคนๆเดียวต้องการกลับสู่อำนาจ "ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์"เป็นตัวแทนพระองค์ เป็นประธานพิธีฝังศพ"พ.อ.ร่มเกล้า" ย้ำอีกไม่เคยสั่งใครสลายม็อบ "ม็อบหลากสี"ชุมนุมลานพระรูปฯ ดึงคนได้ถึงหมื่น จี้นายกฯสลายม็อบ

-ผบช.น.ประชิดม็อบแต่เช้า

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 23 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช). ที่บริเวณแยกราชประสงค์ ในช่วงเช้าว่า ผู้ชุมนุมต่างอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากเหตุการณ์มือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมเสื้อหลากสี บริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงเมื่อคืนที่ผ่านมา และหวั่นเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะใช้เป็นสาเหตุเข้าสลายคนเสื้อแดง

ขณะเดียวกันบริเวณแยกศาลาแดง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. นำตำรวจนครบาลและบก.ภ.จว.เพชรบุรี ร้อย เอ็ด ชุมพร กาฬสินธุ์ กว่า 20 กองร้อย เข้าตรึงบนถนนพระราม 4 ด้านหน้าโรงแรมดุสิตธานี โดยยืนเผชิญหน้าแนวกำแพงของกลุ่มคนเสื้อแดง หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ซึ่งผู้ชุมนุมเสื้อแดงตั้งกำแพงยางรถยนต์มีไม้ไผ่ปลายแหลมเป็นบังเกอร์อย่างตึงเครียด ส่งผลให้ต้องปิดการจราจรบริเวณดังกล่าวทันที โดยตำรวจรีบระบายยานพาหนะที่ตกค้างอยู่ออกนอกพื้นที่อย่างรวดเร็ว

จากนั้นตำรวจใช้รถกระจายเสียงประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มคนเสื้อแดงคืนพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยให้เวลาดำเนินการ 20 นาที แต่ไม่สำเร็จ กลุ่มผู้ชุมนุมพากันโห่ร้องและวางกำลังป้องกันแนวกำแพงอย่างหนาแน่น ส่งผลให้บรรยากาศตึง เครียดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีตำรวจและกลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นไปสังเกตการณ์บนสะพานไทย-เบลเยียม ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย แพทย์และพยาบาลเตรียมรับมืออยู่รอบบริเวณ ขณะที่โดยรอบยังมีประชาชนจำนวนมากยืนเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

-กล่อมจนม็อบถอยจากรั้ว

ต่อมาเวลา 08.00 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 เป็นตัวแทนเข้าเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยขอให้รื้อถอนสิ่งกีดขวาง และถอยร่นออกไปถึงแยกสารสิน แต่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำนปช. ไม่ยินยอม โดยระบุถอยร่นผู้ชุมนุมได้ แต่ไม่สามารถรื้อถอนสิ่งกีดขวางได้ เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.วิชัยต่อรองขอให้ถอยร่นกลุ่มผู้ชุมนุมไปก่อนและจะไปเจรจากับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. อีกครั้ง

พล.ต.ต.วิชัยขึ้นรถขยายเสียงกล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ตำรวจไม่ได้มาสลายการชุมนุมหรือมายึดพื้นที่คืน แต่เมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา มีการกระทบกระทั่งระหว่างคนเสื้อแดงกับกลุ่มเสื้อหลากสี ไม่อยากให้เกิดปัญหาอีก จึงจำเป็นต้องให้คนเสื้อแดงถอยออกจากแนวกั้นประมาณ 100 เมตร จากนั้นจะเจรจากับแกนนำนปช. เพื่อดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป ส่วนตำรวจจะสั่งถอนกลับไปทั้งหมด ขอให้คนเสื้อแดงเบาใจได้ว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุม

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำนปช. ที่รับผิดชอบพื้นที่ กล่าวตอบโต้ว่า ต้องให้ตำรวจถอยไปก่อน กลุ่มคนเสื้อแดงจึงจะถอย พล.ต.ต.วิชัยจึงให้พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ รองผบก.น.6 สั่งตำรวจถอยหลังไปตั้งแนวที่ริมรั้วโรงแรมดุสิตธานี กลุ่มคนเสื้อแดงจึงปรบมือด้วยความพอใจ ก่อนจะทยอยกันถอยออกจากแนวรั้ว เหลือไว้เพียงการ์ดจำนวนหนึ่งรักษาการณ์อยู่ตามแนวกำแพง

-เสธ.แดงโชว์ตัวราชประสงค์

ก่อนหน้านั้นเวลา 07.30 น. ที่เวทีราชประสงค์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. ขึ้นประกาศว่า บริเวณแยกศาลาแดง สวนลุมพินี มีตำรวจมาตั้งด่านเตรียมเข้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ขอให้ผู้ชุมนุมคอยประจำอยู่หน้าเวทีหลัก เนื่องจากเกรงว่าอาจมีการส่งกำลังเข้ามาสลาย หากมีผู้ชุมนุมเหลือน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำคนสำคัญของนปช. อาทิ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานนปช. นาย อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เข้าประจำการที่เวทีใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้า ต่างจากทุกวันที่ผ่านมาจะเข้ามาช่วงสายๆ นอกจากนั้นพล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ยังปรากฏตัวบริเวณที่ชุมนุมด้วย โดยโฆษกบนเวทีได้ประกาศต้อนรับ จากนั้นเสธ.แดงจึงเดินผ่านหลังเวที แต่ไม่ได้เข้าไปหาแกนนำที่อยู่ในบริเวณที่กั้นไว้เฉพาะ

ต่อมาเวลา 08.00 น. นายจตุพรปราศรัยว่า สถานการณ์เวลานี้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลใชัวิชามารทุกวิชา นำกลุ่มทหาร กลุ่มเสื้อเหลือง และคนของประชาธิปัตย์มาอ้างเป็นคนสีลม สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงสร้างสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่ผ่านมา การที่สีลมพังพินาศเป็นฝีมือของรัฐบาล

-จตุพรโต้-เอ็ม79ยิงจากนปช.

นายจตุพร กล่าวว่า การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ระบุยิงมาจากด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ถือว่านายสุเทพโกหก เพราะระยะยิงของเอ็ม 79 อยู่ที่ 400 เมตร แต่หลังพระบรมราชานุสาวรีย์กับจุดที่ตกห่างกันเกินกว่านั้น ยิงอย่างไรก็ไม่ถึง ขอบอกเลยว่ายิงมาจากตึกสูงโดยรอบ และมีแต่ทหารเท่านั้นที่รัฐบาลนำไปประจำการอยู่

นายจตุพร กล่าวว่า ทันทีที่ศาลมีคำสั่งแพ่งคุ้มครอง มีเหตุระเบิดยิงเอ็ม 79 ดังนั้นแม้จะมีคำสั่งศาล คนเสื้อแดงยังประ มาทไม่ได้ ทุกคนต้องมาร่วมชุมนุมเพราะยังมีภารกิจที่ยังไม่จบ ไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะฟังศาลหรือไม่ หากรัฐบาลฟังคงไม่เอากำลังมาแต่เช้า ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ฟังใครทั้งนั้น วันนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ข่าวที่เกิดขึ้นและเหตุการณ์มวลชนปะทะกันเป็นสูตรรัฐประหาร เมื่อเดือนก.ย.2549

นายจตุพรกล่าวอีกว่า เป้าประสงค์ของการอ้างว่ายิงระเบิดมาจากฝั่งการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 เพราะต้องการรื้อบริเวณดังกล่าว เพื่อนำกำลังทหารเข้ามาที่สวนลุมพินี เพราะต้องการสร้างรังที่บริเวณดังกล่าวและนำมาสลายการชุมนุม

-เผยมาร์คถกศอฉ.ยันตีสอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่ถนนสีลมและแยกศาลาแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผอ.ศอฉ. พร้อมหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้หารือกันตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนถึงเวลา 02.00 น. วันที่ 24 เม.ย.

จากนั้นเวลา 07.50 น. นายกฯ เดินทางออกจากบ้านพักรับรองในร.11 รอ. มายังกองบัญชาการศอฉ. ด้วยสีหน้าอิดโรยและเคร่งเครียด แต่ไม่มีการประชุมศอฉ.ในช่วงเช้าเหมือน ทุกวัน มีเพียงนายสุเทพ หารือกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เท่านั้น

จากนั้นเวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์เป็นประธานประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ที่อาคารศาสนสถาน ในร.11 รอ. โดยมีนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ ก่อนประชุม นายประภัสร์ พู่เจริญ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) พร้อมด้วยนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหลายแห่ง ประ มาณ 20 คน เข้ามอบกระเช้าดอกไม้ให้นายอภิสิทธิ์ เพื่อให้กำลังใจและขอให้สู้ต่อไป

-หมอพรทิพย์ตรวจวิถีเอ็ม 79

ที่บริเวณแยกศาลาแดง บรรยากาศช่วงเช้ายังเป็นปกติ น.ส. บัญชรี บูรณกร อายุ 30 ปี นักธุรกิจขายเสื้อผ้าย่านสีลม นำดอกกุหลาบสีแดง 6 ดอก มาวางไว้ยังจุดที่มีผู้เสียชีวิตหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสีลม เพื่อไว้อาลัยผู้เสียชีวิต พร้อมกล่าวว่า เสียใจและสะเทือนใจ อยากฝากไปยังรัฐบาลว่าขอให้ช่วยออกมาปกป้องและรักษาชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ เหมือนกับที่เคยพูดไว้ด้วย ผู้ที่มาชุมนุมกันที่แยกแห่งนี้ถือเป็นกลุ่มพลังบริสุทธิ์ ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงในสังคม คนไทยต้องมาฆ่ากันเอง ดอกกุหลาบที่นำมาก็เพื่อต้องการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต ขอให้ไปสู่สุคติ พวกที่เหลือก็จะต่อสู้กันต่อไป

ต่อมาเวลา 10.00 น. พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการศอฉ. พร้อมด้วยพ.อ.ไตรเทพ ศรีพันธุ์วงส์ รองผบ.ม. 1 รอ. และเจ้าหน้าที่พฐ. ตร. เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติมบริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา จากการตรวจสอบพบแรงระเบิดทำให้กระจกด้านหน้าของธนาคารได้รับความเสียหายหลายแห่ง บางส่วนถูกสะเก็ดระเบิดจนแตกละเอียด รวมทั้งยังมีกองเลือดตกอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนบริเวณกันสาดของธนาคารยังมีรอยถูกสะเก็ดระเบิด แตกนับสิบรู นอกจากนี้ต้นไม้ใหญ่หน้าธนาคารยังโดนลูกหลง ถูกสะเก็ดระเบิดฉีกขาดทำให้ลำต้นเกือบขาดทั้งหมด เจ้าหน้าที่ต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บสะเก็ดระเบิดที่ยังติดอยู่เป็นจำนวนมาก จากนั้นใช้อุปกรณ์ตรวจหาและเก็บชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดทั้งหมดที่ตกอยู่ในจุดต่างๆ โดยได้ใช้ปากกาเลเซอร์และเข็มทิศ นำมาตรวจสอบวัดหาทิศทางของวิถีระเบิดว่าถูกยิงมาจากทางทิศใด ใช้เวลาตรวจสอบอยู่ประมาณ 20 นาที

-ณัฐวุฒิเสียใจกับม็อบสีลม

เวลา 10.30 น. บริเวณหลังเวทีราชประสงค์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ถ.สีลม ทำให้มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากว่า ในนามนปช.ขอแสดงความเสียใจและความห่วงใยไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกราย เราไม่ประสงค์ให้คนไทยไม่ว่าเสื้อสีอะไรต้องบาดเจ็บล้มตาย เราต้องการเปลี่ยน แปลงการเมืองสู่ประชาธิปไตยโดยสันติวิธี นปช. ขอยืนยันว่าการยิงระเบิดเมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. และทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่การลงมือของเรา ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนปช. เรายืนยันสันติวิธีและไม่เปลี่ยนแนวทางจากนี้

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอเรียกร้องเจ้าหน้าที่ใช้กลไกตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริงจับกุมผู้ก่อเหตุนำมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด เราปฏิเสธและประณามความรุนแรงนี้ ทั้งนี้ นปช. ยืนยันสันติวิธีมาตลอด แต่มีความพยายามจากรัฐบาลที่จะโยนความรุนแรงว่าเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง นายสุเทพแถลงการณ์ทางโทรทัศน์หลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง ระบุจุดยิงกระสุนน่าจะมาจากพื้นที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ซึ่งเป็นจุด ที่คนเสื้อแดงชุมนุมอยู่หลายวัน การพูดของนาย สุเทพหากกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็พอเข้าใจได้ แต่การพูดในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ต้องรับผิดชอบและพูดถึงท่าทีของรัฐบาลไทย จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ระบุในทางเดียวกัน ทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์หลักฐาน เป็นเพียงการสันนิษ ฐาน กล่าวหาลอยๆ เพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดง นปช.ยืนยันว่าเราไม่มีทางทำเช่นนั้น และไม่มีวันยอมให้ใครใช้พื้นที่การชุมนุมก่อเหตุรุนแรง

-โต้แดงยิงเอ็ม 79-ชี้วิถีเกินเหตุ

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอตั้งคำถามว่าจุดที่นายสุเทพระบุนั้น มีคนจำนวนมากและมีสื่อสังเกต การณ์ในพื้นที่ หากมีใครยิงระเบิดจะไม่รู้ได้อย่าง ไร ไม่มีตารางนิ้วใดที่จะมีใครซุกซ่อนหรือซุ่มเล็งเอ็ม 79 ได้ ตนเข้าใจว่าการยิงเพื่อให้ตกตามเป้าหมาย ต้องมีท่าประทับยิง มีมุมเล็ง ดังนั้น จะแอบทำให้ลอดสายตาคนไปได้อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิได้นำภาพถ่ายต้นไม้หน้าอาคารซูริคเฮาส์ ถ.สีลม ซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีรอยฉีกขาดและ รอยระเบิดที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีฯ โดยนายณัฐวุฒิ ระบุว่า ภาพดังกล่าวเป็นต้นไม้ด้านหน้าธนาคาร ติดกับโรงแรมดุสิตธานี มุมที่โดนกระ สุนเป็นมุมที่หันหน้าให้ตึกสูงและหันหลังให้ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ถ้ายิงจากพื้นที่การชุมนุมเป็นไปได้กรณีเดียวคือ ยิงแบบสกรูถอยหลัง คนยิงจะไม่ใช่เพียงเชี่ยวชาญทางอาวุธสงครามเท่านั้น แต่ต้องเชี่ยวชาญการเล่นสนุ้กเกอร์ด้วย นี่เป็นการพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมว่าระเบิดไม่ได้มาจากผู้ชุมนุม

"เหตุที่เกิดในถ.สีลม มีทหารอยู่เต็มไปหมด และที่มีนอกจากทหาร คือคนที่อ้างว่าเป็นคนสีลม พื้นที่ที่มีทหารเต็มขนาดนั้น ใครจะเข้าไปยิงได้ ยกเว้นคนที่ทหารเจตนามองไม่เห็นใช่หรือไม่" นายณัฐวุฒิกล่าว

-ไฟเขียวดำเนินคดีดาราเมธี

ผู้สื่อข่าวถามถึงการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล นักแสดงชื่อดัง ซึ่งมีอาวุธที่ยึดได้จากทหาร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. มีความชุลมุนยึดปืนจากทหารได้ทั่วพื้นที่ และไม่ทราบว่าได้มาเท่าไหร่ไปอยู่ในมือใครบ้าง เพราะอะไรที่อยู่ที่เรา เราคืน เมื่อตรวจพบว่าอยู่ที่ใครก็ว่ากันตามกฎหมาย เอามาปนกันไม่ได้ อย่างอาวุธสงครามที่พันธมิตรฯ ยึดไปจากทำเนียบได้คืนบ้างหรือไม่ นายเมธี เคลื่อนไหวอิสระ ไม่ขึ้นกับองค์กรของเราไม่ทำตามคำสั่งเรา แค่แสดงตนเป็นแนวร่วม เมื่อไรที่มาปรากฏตัวถือว่ามาร่วมกิจกรรม แต่เวลาเคลื่อนไหวก็อิสระ เราก็ไม่ทราบว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีรูปธรรมอย่างไร
สมเกียรติ - ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นประธานพิธีฝังศพพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2 รอ. ที่สุสานศานติคาม จ.นครปฐม วันที่ 23 เม.ย.

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล อายุ 39 ปี เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่จับกุมนายนที เจริญสุข อายุ 38 ปี ซึ่งนั่งมาในรถด้วย โดยทั้งสองถูกดำเนินคดีข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ รับของโจร และมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจสอบภายในรถพบอาวุธปืนทาร์โวของทหาร 1 กระบอก เครื่องกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. 12 นัด ปืนขนาด .38 ลำกล้อง 2 นิ้ว พร้อมกระสุน 5 นัด กระสุนซ้อมขนาด .38 จำนวน 36 นัด โดยนายเมธีถูกควบคุมตัวตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนนายนทีถูกนำส่งศาลอาญาไปฝากขังตั้งแต่เมื่อวานนี้ ตำรวจยังได้ยึดโทร ศัพท์ไปเพื่อตรวจสอบด้วยว่า มีการใช้ติดต่อกับบุคคลใดบ้าง ก่อนจะสอบสวนต่อไป นอกจากนี้ รถกระบะดังกล่าวตรวจสอบแล้วไม่ใช่ของนายเมธี แต่ชื่อเจ้าของรถเป็นคนที่อยู่ย่านสำโรง จ.สมุทรปราการ โดยอยู่ระหว่างติดตามตัวมา สอบปากคำ ซึ่งในส่วนของอาวุธปืนที่หายไปนั้น มีการแจ้งความไว้ที่สน.ชนะสงคราม ว่า อาวุธปืน ทาร์โวของทหารหายไปจำนวน 12 กระบอก และ กระบอกนี้เป็นกระบอกแรกที่ได้คืน นอกจากนี้ ในส่วนของสน.นางเลิ้ง มีการแจ้งความว่าปืนเอ็ม 16 หายไป 4 กระบอก ยังไม่ได้คืนแต่อย่างใด

-ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ฝังร่มเกล้า

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สุสานศานติคาม อ.สาม พราน จ.นครปฐม ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ รองราชเลขานุการในพระ องค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้แทนพระองค์ ทำหน้าที่ประธานพิธีปลงศพแบบคริสต์ศาสนา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2 รอ. ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุขอคืนพื้นที่บริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยวางดินและดอกไม้พระราชทานในพิธีด้วย ทั้งนี้ มีนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผอ.ศอฉ. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ. ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ. วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. และพล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 รวมทั้งพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ เดินทางไปร่วมพิธีด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานดังกล่าวนอกจากครอบครัวและญาติ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ยังมีผู้ที่ทราบข่าวมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยในงานเพื่อนๆ ของพ.อ.ร่มเกล้านำขนมเค้กมาตัดแจกกันเนื่องในโอกาสวันที่ 23 เม.ย. ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของพ.อ.ร่มเกล้าด้วย

ต่อมาที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ จ.นครปฐม ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวถูกกล่าวหาว่า สั่งการให้พล.อ.อนุพงษ์ สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ไม่ทราบจริงๆ ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อถามว่าเหตุใดแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงถึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาผูกโยงถึงท่าน ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เมื่อถามว่าการที่นำท่านมาผูกโยงมีการวางแผนเพื่อนำไปสู่กระแสข่าวที่ต้องการล้มเจ้าหรือไม่ ท่านผู้ หญิงจรุงจิตต์ หันมายิ้มกับผู้สื่อข่าว พร้อมกล่าวว่า "ไม่ทราบจริงๆ" เมื่อถามว่าเจอข่าวแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร ยังปกติดี จากนั้นท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ก็เดินทางขึ้นรถยนต์ประจำตำแหน่งกลับออกจากงานทันที

-ด่านทหารรวบแกนนำแดงอีสาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารชุดเคลื่อนที่เร็วของกองทัพภาคที่ 1 ที่ตั้งด่านอยู่ที่หน้าตลาดปีนัง ถ.พระราม 3 คลองเตย กทม. ได้เรียกให้รถยนต์ฮอนด้า ทะเบียน ณพ 7348 กทม. หยุดเพื่อตรวจสอบ พบว่ามีผู้ที่นั่งมาในรถคันดังกล่าวทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือจ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ หรือ "จ่าประสิทธิ์ เสื้อแดง" อายุ 45 ปี ผบ.หมู่ ฝอ.ภูธร จว.สมุทร สาคร และเป็นประธานสมาพันธ์คนเสื้อแดง ภาคอีสาน 19 จังหวัด จากการตรวจค้นภายในรถพบเสื้อเกราะกันกระสุน 2 ตัว แผ่นซีดี "ความจริง 10 เมษา ใครฆ่าประชาชน" จำนวน 400 แผ่น เอกสารสมาชิกพรรคเพื่อไทย หมวกปราบจลาจลของกองทัพภาคที่ 1 จำนวน 1 ใบ จึงยึดไว้ พร้อมกับควบคุมตัวตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ต่อมาเวลา 03.00 น. วันที่ 23 เม.ย. เจ้าหน้า ที่ทหารก็ได้นำตัวจ.ส.ต.ประสิทธิ์ กับพวก พร้อมของกลางทั้งหมด มาส่งให้พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. ดำเนินคดี ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่ง ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ อ้างว่าของกลางที่พบนั้น เก็บมาจากที่ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อไว้เป็นที่ระลึก ในระหว่างการสอบสวนก็ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 60 คนที่ทราบข่าว รีบเดินทางมาที่กองปราบปราม เพื่อกดดันให้ทางตำรวจปล่อยตัวจ.ส.ต.ประสิทธิ์กับพวก พ.ต.อ.ศานิตย์จึงได้สั่งการให้พนักงานสอบ สวนปล่อยตัวผู้ต้องหาไปชั่วคราว เนื่องจากต้องรอรวบรวมหลักฐาน สำหรับการดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในภายหลัง

-ตรวจพิสูจน์รถเมธีเสื้อแดง

เมื่อเวลา 12.00 น. พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระ ทรวงยุติธรรม และที่ปรึกษาคณะทำงานคดีพิเศษ ศอฉ. เหตุการณ์ปะทะระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับทหารที่สี่แยกคอกวัว วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมคณะทำงานเดินทางมาที่ ลานจอดรถชั้น 3 บช.น. เพื่อตรวจสอบรถนายเมธี อมรวุฒิกุล ดารานักแสดง ซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุม พร้อมอาวุธปืนทาร์โวของทหาร เป็นรถกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน สีดำ ทะเบียน ตท 3483 กรุง เทพฯ ด้านหลังรถติดสติ๊กเกอร์ "หยุดความแตก แยก ยุบสภา" ด้านหน้ารถบริเวณคอนโซลมีดอกกุหลาบสีแดง 1 ดอกวางอยู่ โดยร่วมกับตำรวจ พนักงานสอบสวนบช.น. ร่วมกันตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเลื่อนรถดังกล่าวมาจอดที่ชั้น 4 เพื่อให้แสงสว่างมากขึ้น พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ให้ทีมงานนำกระดาษสีน้ำตาลมาแปะที่พื้นหลายแผ่นเพื่อเตรียมตรวจสอบสิ่งของ โดยต้องการหาสารประกอบระเบิด เขม่าดินปืนและดีเอ็นเอ โดยใช้เครื่องไฟโด้ในการตรวจสอบ สำหรับหลักฐานในรถพบผ้าห่มสีเขียว และแก้วพลาสติกสีชมพูวางอยู่ในกระบะด้านหลัง ภายในมีกระเป๋าเดินทางสีบรอนซ์เงินใบใหญ่ และถุงผ้าสีแดง โดยเมื่อเปิดกระเป๋าเดินทางพบเสื้อผ้าเครื่องใช้ พบเสื้อสีดำ กางเกงขาสั้น กางเกงชั้นในจำนวนหนึ่ง

-สแกนพบสารระเบิดด้วย

ส่วนในรถพบเสื้อแจ๊กเกตสีขาว ด้านหน้าปัก อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ด้านหลังปัก "สถานีประชาธิปไตย" เสื้อแจ๊กเกตสีดำของพรรคไทยรักไทย หมวกไหมพรม (ไอ้โม่ง) 2 ใบ เป็นสีดำ 1 ใบและสีน้ำเงิน 1 ใบ หมวกแก๊ป 2 ใบ ในถุงพลาสติกสีแดงพบเสื้อสีแดงสกรีนหน้าพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลายสิบตัว บางตัวบรรจุห่อพับในถุงพลาสติกและมัดด้วยเชือก ลักษณะคล้ายเตรียมนำไปจำหน่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากการตรวจสอบด้วยเครื่องไฟโด้มีการนำกระดาษ สำลีก้าน ตรวจสอบหาสารๆ ต่าง โดยใช้ทาบแตะกับสิ่งของที่พบในรถ และภายในตัวรถ โดยบริเวณที่วางเท้าด้านหน้าฝั่งคนขับและคนนั่งด้านหน้านั้น พบสารระเบิดจำนวนหนึ่ง และที่นั่งฝั่งด้านหลังคนขับ รวม 3 จุด ซึ่งสารดังกล่าวหากมีผู้สัมผัสเกิน 15 วินาทีก็จะปรากฏขึ้น โดยจะนำหลักฐานที่พบไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งกับเครื่องไอรอนสแกน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจึงเดินทางกลับ

-เหวงฉะเมธีก็ด่า"นปช."

เวลา 14.00 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. เดินทางมาถึงบริเวณพื้นที่ชุมนุม ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายเมธี อมรวุฒิกุล ดารานักแสดง ที่ถูกจับพร้อมอาวุธสงครามของทหาร แต่นายวีระ ปฏิเสธตอบคำถาม กล่าวเพียงว่า ไม่เป็นไร ตนไม่ยุ่งกับเขา เป็นเรื่องของเขา อยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไป

ด้านน.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนายเมธี ไม่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง เป็นการเคลื่อนไหวส่วนตัว และระยะหลังนายเมธีก็ไม่ได้ขึ้นเวทีนปช.แล้ว แต่ไปขึ้นเวทีที่อื่น เขาแยกตัวออกไปและกล่าวโจมตีแกนนำนปช. แต่ที่เราไม่พูดเพราะเป็นเรื่องคนๆ เดียว และนายเมธีไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ขอปฏิเสธสิ่งที่นายเมธีรับสารภาพทุกประ การ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยิงทหาร หรือการประชุมกำหนดท่าทีแต่ละครั้ง นายเมธีไม่เคยเข้าร่วมประชุมด้วย

-หูดำเสนอรื้อบังเกอร์ศาลาแดง

ต่อมาเวลา 16.50 น. นายจตุพรเข้าปรึกษา กับพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พล.ต.ต. อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 โดยทั้งสองฝ่ายต่างหารือกันอย่างเคร่งเครียด ถึงการรื้อบังเกอร์ที่ตั้งไว้ออกจากสี่แยกศาลาแดง โดยพล.ต.ต.วิชัย วาด แผนที่บริเวณแยกศาลาแดงเพื่อกำหนดจุดเคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากพื้นที่ทั้งหมด แต่นายจตุพรแย้งว่าไม่สามารถย้ายสิ่งของออกจากไปทั้งหมดได้ เพราะถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ หลังการหารือ 15 นาที นายจตุพรได้มอบหมายให้นายอารี ไกรนรา และนายขวัญชัย ไพรพนา ไปดูพื้นที่ว่าจะย้ายสิ่งของจุดไหนได้บ้าง ก่อนกลับมาหารือกันอีก

พล.ต.ต.วิชัย เปิดเผยว่า การเจรจาครั้งนี้เพื่อขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอนย้ายบังเกอร์ออกจากสี่แยกศาลาแดง รวมถึงสิ่งกีดขวางทั้งหมด หากเป็นตามนั้นจะเสริมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ไม่ให้ใครมาก่อความวุ่นวายอีก จึงตกลงไปตรวจพื้นที่พร้อมตัวแทนของกลุ่มนปช. เพื่อดูว่าจะขยับอย่างไรได้บ้าง

-จนท.ทูตหลายชาติโผล่ม็อบ

ด้านนายจตุพร กล่าวว่า มอบหมายให้นายขวัญชัย และนายอารี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเป็นไปได้ในการรื้อถอนบังเกอร์ เพราะคนเสื้อแดงไม่เคยมองว่าตำรวจเป็นคู่กรณีหรือเป็นศัตรู หากอะไรที่พอทำได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการชุมนุม พร้อมทำให้ แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้กองกำลังใดใช้สวนลุมพินีเป็นฐานที่มั่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิสา คัญทัพ ประกาศว่าจะมีคณะตัวแทนจากสถานทูตทั่วโลกที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เข้าปรึกษากับแกนนำ และจะเดินดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้ชุมนุม พร้อมประกาศเรียกผู้ชุมนุมที่นั่งพักอยู่ภายในเต็นท์ไปรวมตัวกันที่ด้านหน้าเวที เพื่อแสดงให้ตัวแทนสถานทูตทั้งหมดเห็นความร่วมมือของคนเสื้อแดง พร้อมจัดระเบียบให้ผู้ชุมนุมนั่งจนเต็มพื้นที่

เวลา 17.40 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นำตัวแทนสถานทูตประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก อาร์เจนตินา อิตาลี และเปรู ประจำประเทศไทย เข้าหารือแกนนำด้านหลังเวที ขณะที่รถคณะตัวแทนสถานทูตจอดผู้ชุมนุมต่างปรบมือต้อนรับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และตะโกน ต้อนรับคณะทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ

-กลุ่ม 40 ส.ว.ร่วมม็อบหลากสี

เวลา 16.00 น. บริเวณลานพระบรมรูปทรง ม้า กลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติหรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี ประมาณ 2,000 คน นำโดยน.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้ตั้งเวทีปราศรัย โดยก่อนหน้านี้เวลา 15.30 น. มีการ์ดของกลุ่มคนเสื้อหลากสีไปปิดกั้นถนนพิษณุโลกและถนนศรีอยุธยา โดยระบุเป็นการสั่งการของน.พ.ตุลย์ เนื่องจากในช่วงเย็นจะมีผู้ชุมนุมมามาก จึงต้องปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย ทำให้การจราจรบริเวณแยกลานพระ บรมรูปติดขัดมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมครั้งนี้มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมอาทิ กลุ่ม 40 ส.ว.ประกอบด้วยนายสมชาย แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส นอกจากนี้ยังมีพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายยุพยงค์ ลิ้มเลิศวาที นายวสันต์ สิทธิเขต นายนิติธร ล้ำเหลือ และนายสมชัย ศรีสิทธิยากร นายกิตติชัย ใสสะอาด อดีตหัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ เข้าร่วมดูแลความปลอดภัย

นายกิตติชัย เปิดเผยว่า มาร่วมในฐานะส่วนตัวเพราะมีการร้องขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัยการชุมนุม ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ การชุมนุมครั้งนี้ได้ระดมการ์ดมา 400 คน แบ่งเป็นการ์ดรอบนอกติดสัญลักษณ์ริบบิ้นสีชมพู 200 คนและการ์ดรอบในใช้ริบบิ้นสีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ 200 คนเท่ากัน

-ปฐมพงษ์คาดเอ็ม 79 จากที่สูง

ด้านน.พ.ตุลย์ กล่าวว่า การชุมนุมวันนี้เพื่อ แสดงพลังเรียกร้องว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมคนเสื้อแดง คาดว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุม 5 หมื่นคนและจะกระจายพลังไปทุกพื้นที่ เพื่อแสดงพลังว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมคิดอย่างไร ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นที่สีลม ไม่ควรเกิดขึ้น การชุมนุมวันนี้ ยอมรับว่ากลัว แต่เชื่อว่าไม่เกิดความรุนแรงใดๆ

เวลา 16.15 น. พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ นายกสภาอุณาโลม แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศเดินทางมาร่วมชุมนุม โดยระบุว่าได้รับเชิญมาพูดบนเวทีนี้ และแต่งทหารเพื่อแสดงว่าเป็นทหารทั้งตัวและใจ เพราะทหารไม่ยอมทำอะไร จึงเกิดความสูญเสีย นายทหารหลายคนอาทิ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารมาแล้วทั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สีลมเมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. คนลงมือเป็นมืออาชีพ โหดเหี้ยมอำมหิตมาก ลงมือสังหารคนที่ไม่มีส่วนรู้เห็น ผู้ก่อการน่าจะมี 2-3 คนผ่านการฝึกซ้อมมามาก คิดว่ายิงจากที่สูงลงมา ทำให้ยิงได้แม่นยำ

-วสิษฐร่วม-ฉะจิ๋วขอเข้าเฝ้าฯ

เมื่อถามว่านายสุเทพ ระบุยิงวิถีโค้งมจากหลัง ร.6 หน้าสวนลุม พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า นาย สุเทพ เรียกชื่อปืนยังไม่ถูกเลย ต้องให้นายทหารที่มีความรู้เป็นคนแถลง เมื่อถามว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายครั้ง รัฐบาลไม่สามารถระบุผู้ก่อการได้ พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นก็ควายแล้ว
พิสูจน์บึ้ม - เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบจุดเกิดเหตุระเบิดเอ็ม 79 ถล่มบริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง สีลม เป็นเหตุให้อาคารเสียหายหลายแห่ง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก


ด้านพล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า มาแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบัน และไม่เห็นด้วยที่พล.อ. ชวลิต จะนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพราะพูดอย่างนี้เหมือนไม่เคยเป็นนายกฯ ไปดึงพระองค์ท่านมาสู่การเมือง ทั้งที่เป็นอำนาจรัฐบาลดำเนินการ เมื่อถามว่าพล.อ.ชวลิต มองรัฐบาลไม่สามารถพึ่งได้แล้ว พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตกหลุมพล.อ.ชวลิต รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความสงบอยู่แล้ว แต่การกระทำใดๆ อยู่ที่ว่าต้องการผลอะไร เพราะเมื่อใช้กำลังอาจต้องรอเวลาหรือหาวิธีแนบเนียนกว่านั้น ไม่ให้เกิดความสูญเสีย

-อนุพงษ์ประชุมหน่วยขึ้นตรง

เวลา 13.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นประธานการประชุม ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ระดับนายพลขึ้นไป(ผบ.นขต.ทบ.) โดยมีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ.ธีระ วัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.วีรวลิต์ จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผบ.นปอ. พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. แม่ทัพน้อยที่ 1 แม่ทัพน้อยที่ 2 แม่ทัพน้อยที่ 3 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เจ้ากรมการทหารช่าง เจ้ากรมการสื่อสารทหารบก เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก เจ้ากรมพลาธิการทหารบก รวมถึงผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ผู้บังคับการจังหวัดทหารบก เจ้ากรมฝ่ายเสนาธิการทั้งหมด เข้าร่วมประชุมกว่า 2 ชม.

เวลา 17.45 น. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกทบ. เปิดเผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ ได้ชี้แจงให้กำลังพลทราบถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยขอให้ผู้บังคับหน่วยติดตามสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด รวมถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยยึดหลักมาตรฐานสากลและไม่ใช้ความรุน แรง ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม การใช้ความรุนแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป

-ย้ำจ้องล้มสถาบัน-มีจริง

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ผบ.ทบ.กล่าวถึงการแก้ปัญหาการชุมนุมว่า การใช้กำลังเพื่อสลายการชุมนุมจะเกิดผลกระทบและความเสียหายมาก ไม่สามารถทำให้ปัญหาจบได้ วิธีที่ทำให้ปัญหาจบได้คือการสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำผบ.หน่วยให้ป้องกันไม่ให้ประชาชนทำร้ายกันเพราะทุกคนเป็นคนไทย การทำงานของทหารอาจถูกกดดันจากการชุมนุมในบางพื้นที่ แต่หากใครทำผิดก็ว่ากันตามตัวบทกฎหมาย

เมื่อถามว่าผบ.ทบ.พูดถึงการสลายการชุมนุมหรือไม่ รองโฆษก ทบ.กล่าวว่า ก่อนพูดถึงจุดนั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มชุม นุม รวมถึงการทำงานของทหารในการแก้ไขเหตุ การณ์ต่างๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตร ฐานการทำงานแม้ต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดัน ยังคงมีมาตรฐานเหมือนเดิม

เมื่อถามว่าผบ.ทบ.พูดถึงการล้มล้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของคนที่ทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองมี 2 ประการ คือ การต้องการเข้าสู่ศูนย์อำนาจแห่งการเมือง และเพื่อล้มล้างสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของทุกคน ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหน้าที่หลักและสูงสุดที่ทุกหน่วยในกองทัพบกได้ยึดถือ จะต้องปกป้องและเทิดทูนสถาบัน

-ไม่สลายม็อบ-ไม่ให้ยุบสภา

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า แม่ทัพภาคต่างๆ ได้สะท้อนว่าบางพื้นที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารและทัศนคติในบางอย่าง การสร้างความเข้าใจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำให้กำชับกำลังพลว่าหากไม่มีธุระอย่าเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม เพราะเป็นพื้นที่อันตรายและสุ่มเสี่ยง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เน้นย้ำในที่ประชุมว่า ขณะนี้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารเดินมาถูกทาง โดยทหารจะไม่ใช้วิธีการสลาย หรือใช้วิธีการรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม และจะปกป้องทุกวิถีทางไม่ให้เกิดการยุบสภาจากการกดดันของกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งมั่นใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลต่อการเข้าขอพื้นที่ผ่านฟ้าได้ยึดหลักมาตรฐานสากล ทหารจะไม่ใช้อาวุธยิงประชาชน แต่นึกไม่ถึงที่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้อาวุธหนัก และระเบิดทำร้ายทหาร ที่สำคัญ พล.อ.อนุพงษ์เชื่อว่าสาเหตุหลักของปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีเพียงคนเดียวที่ต้องการเข้าสู่จุดอำนาจทางการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเองโดยใช้วิธีปลุกปั่นมวลชน ถือเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

-ชี้ก่อการร้ายโทษถึงประหาร

ที่ศูนย์แถลงข่าว ศอฉ. ภายในกรมทหารราบที่ 11 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงว่า คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้การกระทำความผิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 4 กรณีต่อไปนี้ เป็นคดีพิเศษที่ต้องสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ ได้แก่ การกระทำผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย การกระทำที่เกี่ยวกับขู่บังคับรัฐบาล การกระทำที่เป็นการประ ทุษร้ายต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ คดีทั้ง หมดเหล่านี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของกรม สอบสวนคดีพิเศษ โดยมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองฯ สำนักงานสภาความมั่นคงฯ และหน่วยงานอื่นๆ อีก 12 หน่วยงานเข้ามาร่วมรับผิดชอบ

นายธาริต กล่าวว่า แต่ยังมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการระเบิดเสาไฟฟ้าสัญ ญาณแรงสูง การยิงจรวดอาร์พีจีใส่คลังน้ำมัน และการใช้ระเบิดทำลายสถานที่และมีประชาชนได้รับอันตรายจำนวนมากที่ถนนสีลม ซึ่งเข้าลักษณะความผิดฐานก่อการร้าย ในนามของดีเอส ไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอประณามการกระทำของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายครั้งนี้ ขอเตือนว่าการกระทำดังกล่าวมีโทษตามกฎหมายถึงขั้นประหารชีวิต และให้ยุติการกระทำความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์เสีย ส่วนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ขอให้หลีกเลี่ยงการชุมนุม ขณะนี้ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย

-เมธีรับยิงใส่ทหาร-ซัดคนสั่ง

นายธาริต กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย. เจ้าหน้าที่ได้จับกุมนายเมธี ดาราเสื้อแดง ตามหมายจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยนายเมธี มีความผิดหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือความผิดฐานใช้อาวุธยุทธ ภัณฑ์ของทางราชการ ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต จากการสอบปากคำนายเมธีให้การสารภาพว่า ร่วมเป็นแนวหน้าในเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา กลุ่มนายเมธีได้ยึดอาวุธของทางราชการไปจำนวนหนึ่ง โดย นำปืนกลของทางราชการไปแจกจ่ายให้บุคคล อื่นหลายคน และเก็บไว้เองด้วย ต่อมานายเมธีปฏิเสธว่าให้คนอื่นไปหมดแล้ว ทั้งนี้จากการตรวจค้นรถยนต์ของนายเมธี เจ้าหน้าที่ค้นพบอาวุธปืนกลมือร้ายแรงของทางราชการ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นายเมธียอมรับว่า มีการยึดอาวุธร้ายแรงของทหารไปใช้ในการต่อสู้จริง

นายธาริต กล่าวว่า นายเมธียังยอมรับว่าในการปะทะกัน กลุ่มของนายเมธีได้ใช้อาวุธร้ายแรงยิงใส่ทหารที่ขอคืนพื้นที่ นายเมธียอมรับว่าได้ยินเสียงคนที่สั่งยิงมาจากฝั่งเสื้อแดง โดยได้ระบุชื่อ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ขอเปิดเผยในขณะนี้ นอกจากนี้นายเมธียังระบุด้วยว่ามีการประชุมของฝ่ายสนับ สนุน เพื่อหารือแนวทางกันทุกวัน เมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ใช้วางแผนการดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ขอระบุว่าเป็นสถานที่ใด แต่เป็นสถานที่เอกชนที่คนทั่วไปเข้าออกได้ และอยู่ใกล้กับสถานที่ชุมนุม ส่วนเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 บริเวณสีลม เมื่อคืนที่ผ่านมา ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ผู้กระทำผิด มีความความเชื่อมโยงกับผู้กระทำผิดในเหตุการณ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเชื่อมโยงกันหมด

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ควบคุมตัวนายเมธีไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ซึ่งตามพระราชกำหนด เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวได้ครั้งละ 7 วัน สูงสุดไม่เกิน 30 วัน แต่หลังจากนั้นอาจจะมีการควบคุมตัวต่อในความผิดฐานอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสืบสวนอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

-วีระถอยแล้วให้ยุบใน 30 วัน

เวลา 17.30 น. ที่เวทีราชประสงค์ พรรคเพื่อไทยนำเอกอัครราชทูตและตัวแทนทูต 5 ประเทศ ประกอบด้วย ออสเตรีย เดนมาร์ก เปรู อิตาลี อาร์เจนตินา มาบริเวณเวที โดยผู้ชุมนุมร้องต้อนรับว่า "เวลคัม ทู เดอะ แลนด์ ออฟ เรดเชิ้ต" จากนั้นคณะทูตหารือกับแกนนำ นปช. 30 นาที โดยน.พ.เหวงเป็นล่าม ผู้แทนทูตออสเตรีย ถามถึงโอกาสเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง นายวีระตอบว่า นปช.เปิดประตูตลอด เบื้องต้นนปช.เสนอยุบสภาใน 15 วัน แต่เมื่อเกิดเหตุ การณ์ 10 เม.ย. กลุ่มคนเสื้อแดงจึงเปลี่ยนข้อเรียกร้องมาเป็นยุบสภาทันที แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ซ้ำในวันที่ 22 เม.ย. ทั้งสองครั้ง มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก กลุ่มคนเสื้อแดงจึงตระหนักถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน เราจึงยินดีเปิดการเจรจากับรัฐบาล โดยมีเงื่อนไขใหม่บนความต้องการรักษาชีวิตของประชาชน จึงยอมเสียสละขอให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 30 วัน เวลาในช่วงนั้น รัฐบาลสามารถดำเนินการเรื่องสำคัญๆ ได้ หลังจากนั้นรัฐบาลยังอยู่ใต้เงื่อนไขรัฐธรรม นูญ คือมีเวลารักษาการอีก 60 วัน รวมระยะเวลาแล้ว รัฐบาลมีเวลา 90 วัน ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขกลางๆ ที่นักวิชาการและกลุ่มอื่นๆ เห็นชอบร่วมกัน เชื่อว่ารัฐบาลคงตัดสินใจได้ หวังว่ารัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบกับการเสียชีวิตของประชา ชน คืนนี้จะพูดจากับคนเสื้อแดงให้สบายใจ

-ประกาศกลางราชประสงค์

นายวีระขึ้นกล่าวถึงผลการหารือกับคณะทูตให้ผู้ชุมนุมบนเวทีฟังว่า แต่ละประเทศเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าต้องการเห็นสันติภาพ การเจรจา และการตกลงกันภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม ไม่มีใครอยากเห็นการเสียชีวิต เลือดเนื้อของคนไทย เราได้รับคำสรรเสริญจากหลายประเทศว่าใช้แนว ทางสันติ อหิงสา เขาสนับสนุน แต่ต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก ทั้งนี้ นปช.มีข้อเสนอไปยังรัฐบาลว่ายินดีเปิดการเจรจาภายใต้เงื่อนไขใหม่ 3 เงื่อนไขคือ 1.รัฐบาลต้องยุติการคุกคามทุกรูปแบบ 2.มีกรรมการอิสระเป็นกลางสอบสวนเหตุการณ์ 10 เม.ย. และ 22 เม.ย. โดยรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ 3.นปช.ยินดียืดเวลาการยุบสภาเป็นภายใน 30 วัน เพื่อรัฐบาลจะได้เตรียมการเท่าที่จำเป็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการหารือ นายวีระพยายามบอกน.พ.เหวงให้เชิญเอกอัครราชทูตขึ้นไปปรากฏตัวบนเวทีหลังเวลาเคารพธงชาติ แต่ทูตได้หารือกันและมีความเห็นตรงกันว่า จะไม่ขึ้น เนื่องจากไม่อยากให้เกิดข้อเปรียบเทียบกับการที่รัฐบาลจะเจรจากับนปช.อีกครั้ง ไม่ให้ใครได้หน้า หรือเสียหน้ากันอีก หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับทันทีภายหลังการหารือเสร็จ

-ม็อบหลากสีถึง 1 หมื่นแล้ว

ส่วนที่ลานพระบรมรูปทรงม้า กระทั่งเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมหลากสีทยอยมารวมตัวประมาณ 1 หมื่นคน จนเต็มลานพระบรมรูปฯ เลยไปถึงถนนศรีอยุธยา และมีบางส่วนเลยไปถึงถนนพิษณุโลก บนเวทีมีการปราศรัยโจมตีการชุมนุมคนเสื้อแดง และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามารับผิดชอบดำเนินการอย่างเด็ดขาด ต่อมาเวลา 18.30 น. น.พ.ตุลย์อ่านแถลงการณ์ รวมพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินตอนหนึ่งว่า ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ แสดงความกล้าหาญและเสียสละ ในการจัดการกับการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามวิถีระบอบประชาธิปไตยโดยเด็ดขาด ด้วยการออกกฎอัยการศึก และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อแก้ปัญหาของแผ่นดินและนำประเทศกลับคืนสู่ความสงบและสันติโดยเร็ว และนัดหมายชุมนุมอีกครั้งวันที่ 24 เม.ย. เวลา 16.00 น. ที่สวน จตุจักร จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัวไปในเวลา 19.00 น.

-โรงเรียนเก่าอัปเปหิ"ณัฐวุฒิ"

จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรม ราช นำโดยนายสุเมธ สอดจิตต์ ออกแถลงการณ์ใบปลิวเชิญชวนศิษย์เก่า ทุกรุ่น ร่วมแสดงพลัง "อัปเปหิ" นายณัฐวุฒิ ออกจากสายสัมพันธ์แห่งเลือดแดง-ขาว (สีสัญลักษณ์ของโรงเรียน) โดยด่วน เชิญพบปะ พูดคุย และลงบัญชีหางว่าว ณ ลานพระบรมรูปเสด็จพ่อ ร.5 ร.ร.เบญจมราชูทิศ จ. นครศรีธรรมราช" วันที่ 26 เม.ย.53 เวลา 09.00 เป็นต้นไป นอกจากนั้นยังเชิญชวนพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชมาร่วมแสดงพลัง ปกป้องประเทศไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่กระทำการเพื่อคนเพียงคนเดียว ยอมทำลายประเทศ ทำลายสถาบันอันเป็นที่หวงแหนของคนทั้งชาติอย่างไม่มียาง อาย

-ประชาไทฟ้องถูกปิด-ศาลยก

เวลา 18.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านพิพากษาในคดีที่ 1455/ 2553 ที่มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน โดย น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กระทรวงไอซีที และกระทรวงการคลัง เป็นจำเลยที่ 1-5 เรื่องละเมิด โดยฟ้องว่าเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ข่าวประชา ไท ซึ่งถูกจำเลยร่วมกันสั่งปิด ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปิดกั้นเว็บไซต์ของโจทก์ และให้จำเลยที่ 1-4 เปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ ข่าวประชาไท และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. และให้ชดใช้ค่าเสียหายรายวัน วันละ 20,000 บาท นับจากวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งเป็นวันฟ้อง จนกว่าจะหยุดกระทำ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อวันที่ 7 เม.ย. เป็นการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ระบุไว้ การกระทำของจำเลยที่ 1- 2 จึงอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะ รมว.ไอซีทีซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้ดำเนินการตามคำสั่ง โดยอาศัยอำนาจของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลย 1- 3 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย 4 -5 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้ พิพากษายกฟ้อง

-จตุพรแจงบนเวที-เหตุถอย

เวลา 19.15 น. นายจตุพร ขึ้นปราศรัยว่า ทราบว่ามีประชาชนไม่สบายใจเรื่องเงื่อนไขให้ยุบสภาภายใน 30 วัน เป็นเพราะวันนี้ตัวแทนทูตจากหลายประเทศมาดูคนเสื้อแดง ในขณะที่เราถูกกล่าวหาว่ารุนแรง แข็งกร้าว ตลอดจนก่อการร้าย นายวีระจึงต้องสื่อสารกับตัวแทนทูต เหมือนกับที่ได้คุยกับองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ว่าคนเสื้อแดงต้องการประชาธิปไตย ไม่ต้องการให้มีการสูญเสียล้มตายเหมือนวันที่ 10 เม.ย.อีก หรือในเหตุการณ์วันที่ 22 เม.ย. ที่ถูกนายสุเทพระบุว่าระเบิดยิงมาจากฝั่งหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ซึ่งเป็นจุดที่คนเสื้อแดงอยู่ ก็เป็นการป้ายสี มีทหารแตงโมแจ้งมาว่าวิถีกระสุนที่น่าสงสัยที่สุด คือมาจากตึกซีพี หรือธนาคารกรุงเทพ สาขาสำนักงานใหญ่ พวกม็อบหลากสีจริงๆ ก็มาจากแก๊งสีน้ำเงินกับพวกเสื้อเหลืองที่ไปเจอกันที่อเมริกา สิ่งที่เกิดขึ้นคือกำลังมีการเอาชีวิตประชาชนต่อชีวิตรัฐบาล แม้กระทั่งใช้เลือดพวกเดียวกันมาอุ้มตัวเองก็ยอม นปช.ประชุมกันและเห็นว่าสถาน การณ์ถัดจากนี้ รัฐบาลกำลังใช้สงครามตัวแทน เอาประชาชนเป็นเครื่องห้ำหั่น

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อทูตมาพบเราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเสื้อแดงใจกว้าง มีเหตุผลกับนานาประเทศ และเสื้อแดงก็มีจุดถอย แต่เงื่อนไขนี้เราไม่เคยคาดหวังกับนายอภิสิทธิ์ หรือรัฐบาลชุดนี้ว่าจะรับข้อเสนอ ยืนยันว่าจุดเดียวที่ไม่ถอยคือ ต้องดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ฐานเข่นฆ่าประชาชน เราต้องการอธิบายโลกว่า เราไม่อยากให้มีความสูญเสียอีก คนที่เป็นแกนนำเจ็บปวดที่สุดที่เวลาเกิดเหตุ ประชาชนตาย แกนนำรอด จึงต้องมีมตินี้ออกมาเพื่อไม่ให้ใครตายอีก ที่หลายคนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าจะรออีก 30 วันหรือ ขอให้คิดว่าเราร่วมกันสู้มา 4 ปี พวกตนไม่ทรยศทุกคน แต่นี่คือยุทธวิธีที่ต้องให้เห็นว่าเราสงบ สันติ อหิงสา พร้อมถอยบางก้าวให้ต่างชาติเห็นว่าคนเสื้อแดงมีเหตุผล เป็นประชาชนต้อง การความเป็นธรรม ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าเพิ่งน้อยใจเก็บผ้ากลับบ้าน เรายังคงปักหลักต่อสู้ต่อไป

-ม็อบสีลมไม่กลัว-มาโห่ต่อ

เวลา 19.00 น. ที่แยกศาลาแดง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเจรจาให้กลุ่มคนเสื้อแดงย้ายเต็นท์ร่นไป 150 เมตร เพื่อป้องกันเหตุปะทะกับคนเสื้อหลากสี เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายประจำการตามจุดต่างๆ โดยรอบ รวมทั้งนำรถผู้ต้องขัง 4 คัน มาขวางไว้ ทั้งนี้เหตุการณ์เป็นไปอย่างปกติ ไม่มีเหตุรุนแรง ฝั่งกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ฟากพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 หลายร้อยคน ร่วมปักหลักฟังการปราศรัยจากแกนนำที่ตั้งเป็นเวทีย่อยที่ดัดแปลงมาจากรถ 6 ล้อติดกับป้อมปราการคนเสื้อแดง ขณะที่ฝั่งกลุ่มคนเสื้อหลากสี ฝั่งสีลมมีกว่า 100 คน ที่ยืนและโบกธงชาติ ต่างโห่ฮาคนเสื้อแดงที่ปราศรัย อยู่เป็นระยะ แต่ไม่มีเหตุรุนแรง

-ณัฐวุฒิฟันธง-มาร์คอยากเลิก

เวลา 19.50 น. ที่เวทีสี่แยกราชประสงค์ นายณัฐวุฒิปราศรัยว่า ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.จนถึงวันนี้ 40 กว่าวันแล้วที่ยืนหยัดต่อสู้ ไม่มีใครเชื่อว่าเราจะเดินมาได้นานขนาดนี้ รัฐบาลดูถูกว่าไปไม่รอด แต่เราก็ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้รัฐบาลไม่สบายใจ เกจิอาจารย์นักวิเคราะห์ต่างเห็นว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย หากจำเป็นต้องต่อสู้อีก 3-5 เดือน หรือต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะก็อยู่ได้ ความสำเร็จของเราแลกมาด้วยคราบเลือดและคราบน้ำตา จากเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.

นายณัฐวุฒิปราศรัยว่า วันนี้นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ตัดสินใจใดๆ ทางการเมือง จากที่ผ่านมานายกฯ คนใดมือเปื้อนเลือดไม่สามารถอยู่ต่อได้ ตั้งแต่จอมพลถนอม กิตติขจร มาถึงพล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกฯ จน ถึงวันนี้กว่า 10 วันแล้วนายอภิสิทธิ์ยังไม่ออก เราต้องมองความจริงว่าสิ่งที่เราสู้อยู่ไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ แต่เป็นกลุ่มคนกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ตนฟันธงล้านเปอร์เซ็นต์นายอภิสิทธิ์ต้องการไปจากเก้าอี้นายกฯ นานแล้ว แต่อำมาตย์ให้นั่งอยู่ต่อ ถ้าเราต้องการชนะเราประสบชัยชนะตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.แล้ว เป็นวันที่นายอภิสิทธิ์ถึงแก่กรรมทาง การเมือง ไม่เหลือความชอบธรรมใดๆ ที่จะอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ได้อีกต่อไป

-ท้า 30 วันคือท้าทายป๋าเปรม

นายณัฐวุฒิปราศรัยว่า การที่ทูต 40 ประเทศมาดูแลแสดงความห่วงใยเรา นายอภิสิทธิ์หมดราคา ตายทางการเมืองไปแล้ว แต่วิญญาณอำมาตย์ยังสิงอยู่ สิ่งที่จะทำคือหาจังหวะสลายการชุมนุม ทำลายความชอบธรรม วันนี้เราประชุมกัน ก่อนแกนนำมีมตินี้เราคิดโดยละเอียด ตั้งแต่การต่อสู้วันที่ 12 มี.ค.ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายอภิสิทธิ์ การประกาศเป็นเงื่อนไขให้ยุบสภาภายใน 30 วัน เป็นการท้าทายอำนาจที่อยู่ข้างหลังนายอภิสิทธิ์คือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าจะทำอย่างไร จะใช้นายอภิสิทธิ์เป็นร่างทรง ใช้กำลังทหารตำรวจสลาย หรือให้นายอภิสิทธิ์ใช้อำนาจของประชาชนยุบสภาเลือกตั้งใหม่

"ถ้าพรุ่งนี้นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาแสดงว่าอำมาตย์ยอมรับเงื่อนไข ถ้าพรุ่งนี้ไม่รับข้อเสนอทั้งโลกจะรู้ว่าอำนาจอำมาตย์ต้องการเข่นฆ่าประชาชน เราต้องการถามพล.อ.เปรม ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน หรือวางแผนฆ่าประชา ชนข้างถนนกันต่อไป ถือเป็นการรุกของเรา การยุบสภาเป็นโอกาสเดียวที่จะยุติการนองเลือด การสูญเสียของประชาชน ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้" นายณัฐวุฒิกล่าว

-ถ้าไม่รับก็จะรบกันต่อ

นายณัฐวุฒิปราศรัยว่า หากนายอภิสิทธิ์ยืนยันจะยุบสภาภายใน 6 เดือนเราไม่ออกจากที่นี่ จะอยู่ต่อไป นายอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจ หากจะเจรจาว่าภายใน 1 เดือนจะยุบสภาต้องเตรียมทำอย่างไรก็มาคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขก็คุยกันไม่ได้ หลังจากวันที่ 24 เม.ย.เราจะได้เตรียมต่อสู้ ไม่ว่าจะเดินหน้ายื่นเรื่องให้ยูเอ็น ส่งกำลังมาสังเกตการณ์ปกป้องเรา การเรียกร้องให้ถอยคน ละก้าว วันนี้เราถอยให้เห็นแล้ว ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับเงื่อนไขก็ต้องสู้กันใหม่ สัปดาห์หน้าประกาศยุทธวิธีการรบใหม่ เพราะเราจะยอมถอยง่ายๆ ได้อย่างไร เป็นยุทธวิธีบี้หัวใจอำมาตย์ จะได้เห็นหน้าเห็นหลังกันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ไม่เกิน 5 วันรู้เรื่อง

นายณัฐวุฒิปราศรัยว่า ถ้านายอภิสิทธิ์ดึงดัน แล้วเราต้องพ่ายแพ้ แกนนำถูกจับ ประชาชนก็กลับบ้านไป แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ดึงดันแล้วเราชนะ จะสอยลงทั้งพวง ทั้งอำมาตย์และรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย คราวนี้จะมัดพวงอำมาตย์ ถ้าชัยชนะของรัฐบาลคือการเข่นฆ่าประชาชน ซากศพของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ชัยชนะของคนเสื้อแดงคือ ยุติการเข่นฆ่า และทุกคนปลอดภัย เปิดเส้นทางประชธิปไตยให้เดินหน้าไปได้

-มาร์ควอนสีลมอย่าเผชิญหน้า

เวลา 20.30 น. ที่ศอฉ. นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า จากเหตุการณ์คืนวันที่ 22 เม.ย. วันนี้มีการปรับปรุงและกำชับเรื่องกำลังเพื่อดูแลและแก้ไขสถานการณ์ สิ่งที่ทำมากที่สุดคือกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเผชิญหน้าระหว่างกัน ทางตำรวจได้ดำเนินการกับผู้ชุมนุมให้ปรับเรื่องเต็นท์และจุดที่ชุมนุม เพื่อถอยห่างออกมาจากสวนลุมพินี ขณะเดียวกันได้ขอร้องผู้ชุมนุมของถนนสีลมว่าถ้าจะแสดงออก ขออย่าออกมาเผชิญหน้าหรืออยู่บริเวณถนน

นายกฯ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าตนและผู้เกี่ยวข้องพยายามแก้ปัญหา ตนเข้าใจความรู้สึกของคนจำนวนมาก และยืนยันว่าไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องจำนนต่อพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้ แต่การจะแก้ไขสถานการณ์ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดในระยะยาว แต่มีข้อจำกัดที่ต้องขจัดทิ้งไป ยอมรับว่าการดำเนินการของภาครัฐไม่สามารถทำได้ตามใจชอบ แม้แต่ที่ศาลแพ่งมีคำวินิจฉัยออกมา ก็ยืนยันว่าการเข้าไปสลายหรือดำเนินการต่างๆ ต้องเป็นกรณีจำเป็น ทำตามหลักสากล ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากในการต่อสู้กับคนที่ใช้นอกรูปแบบและใช้วิธีที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลไม่มีสิทธิทำอะไรที่ผิดกฎหมายในแบบเดียวกัน ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาให้ได้

-แยกผู้ก่อการร้ายออกมาไม่ง่าย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาล รัฐบาลคงไม่อุทธรณ์ สิ่งที่ศาลยืนยันคือการชุมนุมในปัจจุบัน ถือว่าเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญและศาลได้บอกว่าการมาขอความคุ้มครองเด็ดขาดเพื่อไม่ให้สลายการชุมนุมนั้น ศาลให้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ศาลย้ำคือการปฏิบัติการอะไร รัฐบาลต้องทำเท่าที่จำเป็น ต้องมีขั้นตอนและปฏิบัติตามหลักสากล ไม่เช่นนั้นจะถือว่ารัฐบาลทำผิดกฎหมาย

นายกฯ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้ก่อการร้ายกับเด็ก ผู้หญิง ประชาชนที่ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายอยู่ปะปนกัน การกระทำที่จะทำได้ต้องทำกับผู้ก่อเหตุเท่านั้น เราจึงพยายามเดินหน้าแยกกลุ่มคนเหล่านี้ออกมา ซึ่งไม่ง่าย แต่เราจะทำให้ถึงที่สุด และหาทางแก้ไขต่อไป วันนี้ทราบดีว่าอารมณ์ ของคนไปไกลและคงไม่สามารถบอกได้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีเหตุผล หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดหรือรู้สึกเช่นนั้น แต่การแก้ไขปัญหาให้สังคมเกิดความสงบสุขได้อย่างยั่งยืน บางครั้งไม่สามารถใช้วิธีการอย่างที่เรานึกหรือคิดได้ แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยและผลกระทบที่จะตามมา และยืนยันว่าเราจะต้องบริหารไม่ให้ความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก นำไปสู่การปะทะหรือใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน

-ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้-ไม่ขออยู่

เมื่อถามว่าวันนี้ประชาชนรู้สึกไม่สามารถพึ่ง พาอำนาจรัฐได้ จนออกมาแก้ไขเองจะดำเนินการอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า "ผมคงไม่ให้ไปถึงจุดนั้นและผมคงปล่อยไปถึงจุดนั้นไม่ได้ ถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็ไม่ควรอยู่ ผมยืนยันว่าเราพยายามทำทุกอย่าง แต่ทราบดีว่ายังไม่ดีพอในขณะนี้ ซึ่งผมมีการประเมินอยู่ตลอดเวลา ถึงจุดหนึ่งถ้าหากมีความชัดเจนว่าเราทำอะไรไม่ได้ ผมก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องกังวลตรงนั้น เพราะผมไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้เพื่อการต่อสู้ให้ตัวเอง"

เมื่อถามย้ำว่า การที่นายกฯพูดว่าทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างที่พูดไปแล้ว ตนมีหน้าที่แก้ไขปัญหา ถ้าตนแก้ไม่ได้ก็ไม่ควรอยู่ แต่ขณะนี้ตนได้ติดตามและมีแนวทางอยู่ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความคิดของหลายคน แต่ต้องพยายามไม่ให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ต่อไปใครไม่พอใจรัฐบาลจะออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ คนที่เขาไม่พอใจก็อยากให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนบอกให้ลาออกไป ตนก็เพียงบอกว่าตนไม่อยู่ ถ้าตนไม่คิดจะแก้ไขปัญหา และสภาพที่เป็นอยู่เชื่อว่าตนทุกข์ไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน และตนตั้งใจจะแก้ไขปัญหา

-เมินข้อเสนอแดงท้ายุบ 30 วัน

นายกฯ กล่าวถึงการจับกุมนายเมธีว่า มีส่วนช่วยสืบทราบเบาะแสต่างๆ และขยายผล มีภาพที่ต่อได้ชัดเจนขึ้น สามารถขยายผลต่อไปได้ แต่วันนี้ยังไม่สามารถลงรายละเอียดเรื่องการสอบสวนได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้จากการสอบปากคำมา 2 วันเป็นประโยชน์หลายด้าน โดยเฉพาะความชัด เจนของกลุ่มคนชุดดำ และกลุ่มที่ใช้อาวุธ

เมื่อถามถึงนายวีระ เสนอยุบสภาภายใน 30 วัน และมีการเจรจาในคืนวันนี้ นายกฯ กล่าวว่า ที่อ้างว่าจะมีการเจรจาในคืนนี้ ตนเข้าใจว่าเป็นความพยายามนัดหมาย โดยกลุ่มสันติวิธี แต่ไม่มีการพบกัน เมื่อถามว่านายวีระ ยื่นเงื่อนไขยุบสภา 30 วัน นายกฯ กล่าวว่า เบื้องต้นสิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และทุกคนต้องรับผิดชอบกับการกระทำที่เกิดขึ้น ส่วนปัญหาการเมืองเป็นหน้าที่ฝ่ายการเมืองต้องแก้ปัญหากันต่อไป

เมื่อถามว่าทำไมทุกครั้งที่ยื่นเงื่อนไขเจรจา จะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นทุกครั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถามทางฝ่ายเขามากกว่า แต่ตนยืนยันว่าการจะหาคำตอบทางการเมือง ต้องไม่ใช่ลักษณะที่เป็นผลมาจากการใช้วิธีการข่มขู่ เรื่องอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เมื่อถามถึงข้อเสนอตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบอาวุธ คืบหน้าถึงไหน นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีแนวทางต้องให้เข้าไปตรวจค้นให้ได้ การดำเนินการของตำรวจจนผู้ชุมนุมร่นถอย ถือเป็น การคุ้มครองส่วนหนึ่ง ถ้าผู้ชุมนุมยืนยันจะชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต้องเปิดโอกาสให้ตรวจพื้นที่อย่างชัดเจนว่าไม่มีอาวุธ ซึ่งกลไกของรัฐมีการแก้ ไขและกำชับกำลังในการดำเนินการ

เมื่อถามว่าในฐานะผู้นำประเทศ การที่มีคนเสียชีวิตจากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นจะทำอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะแหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวเดินกลับไปที่กองบัญชาการ ศอฉ.ทันที

ที่มา.ข่าวสด
*************************************************

โลกทั้งใบ อยู่กับ "นาย" คนเดียว ...นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ทำไมทหาร ต้องมือเปื้อนเลือด !!!

สื่อจอมเสี้ยม พาดหัวข่าวในเช้าหลัง ระเบิดลงย่านสีลม เมื่อค่ำวันที่ 22 เมษายน ว่า "มาร์ค-ป๊อก " ปล่อยคนตาย !!! กระแสสังคม"บางส่วน" เรียกร้องให้ ทหารเข้าจัดการสลายม็อบเสื้อแดงโดยเร็ว ถ้า"ป๊อก"หรือ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่ทำก็ให้ปลดออก .. แย่กว่านั้นก็คือ ข้อเสนอให้ ปฎิวัติรัฐประหาร นี่คือ แรงกดดันรอบด้านที่พุ่งเข้าหา"ผบ.ทบ."

หลังความพ่ายแพ้ ทั้งที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เมื่อ 9 เมษายน และโดยเฉพาะเหตุนองเลือด 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัวและถนนดินสอ สถานภาพที่แท้จริงของกองทัพไทยก็ปรากฏโดยพลัน พร้อมๆ กับบทเรียนและบาดแผลจากสงคราม

ชื่อของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. กลับถูกวิพากษ์ลั่นกองทัพ แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็ตาม

ด้วยรู้กันว่าก่อนหน้านั้นบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แม้จะไม่ได้เป็น "ทหารแตงโม" แต่ก็ใส่เกียร์ว่าง รักษาเนื้อรักษาตัวกลัวเป็น ผบ.ทบ. มือเปื้อนเลือด จึงปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มตัว ประหนึ่งเป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.ท.ดาว์พงษ์ ประหนึ่งเป็น เสธ.ทบ. ราวกับเตรียมฝึกงานไว้ก่อน

การเสียหน้าเสียฟอร์ม เสียศักดิ์ศรี ที่ทหารพร้อมใจกันแตกทัพ ถูกคนเสื้อแดงต้อนหนีออกทุ่งนา ไม่ว่าจะเพราะเป็นแตงโม หรือไม่กล้าใช้ความรุนแรง กลัวต้องรับผิดชอบหรือสร้างเงื่อนไข ก็ตาม รวมทั้งความคาดหวังหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าต้องจัดการเด็ดขาด พร้อมทั้ง "คำสั่งพิเศษ" ที่ว่า "ให้จบก่อนสงกรานต์ที่กดดันทั้งรัฐบาลและกองทัพ

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.ดาว์พงษ์ ไม่รีรอที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ที่บังคับให้เรียกอย่างสวยหรูว่า "ขอคืนพื้นที่" หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ต้องการให้ทำมานานแล้ว

แต่ยุทธการ "ยึดผ่านฟ้า" กลับเริ่มต้นตอนบ่ายโมงเศษๆ โดยฉวยโอกาสเมื่อคนเสื้อแดงบุกไล่ทหารที่กองทัพภาค 1 เพราะกลัวว่าจะมาสลายการชุมนุม จึงมีเวลาปฏิบัติการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ซึ่งตามหลักนิยมทหารแล้วจะหลีกเลี่ยงเพราะควรจะเป็นช่วงก่อนรุ่งสางมากกว่า เลือกเวลาที่ม็อบอ่อนล้าอ่อนเพลีย หรือลดจำนวนน้อยลง แถมมีเวลาปฏิบัติการได้ทั้งวันหากจะปิดเกม

ทั้งๆ ที่เพลี่ยงพล้ำก็ควรจะหยุดเพื่อตั้งหลักตามยุทธวิธี แต่อาจด้วยเพราะ "อารมณ์" กลับมีคำสั่งให้เสริมกำลังทหารพร้อมเสียงกรอกใส่โทรศัพท์ว่า "ต้องให้จบในคืนนี้" ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการทางทหารต้องใช้สถานการณ์เป็นตัวตัดสิน ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมีกลยุทธ์ ไม่เร่งรัดหรือขีดเส้นเวลา ที่สำคัญ ต้องไม่ให้ปัจจัยการเมืองมาแทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร

งานนี้ บรรดาทหาร "วงศ์เทวัญ" จากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) รับผิดชอบวงนอก ตั้งแต่พระราชวังจิตรลดาฯ ตามถนนราชดำเนิน ไปสู่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่มีการปะทะกับคนเสื้อแดง แต่ก็แค่ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง

แม้จะ "หัว เสธ." แค่ไหน แต่ก็จบจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกันมา เมื่อกองทัพต้องใช้แผน "ล้อมปราบ" ด้วยการใช้ "ทหารป่า" อย่างกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี บุกมาทางฝั่งธนบุรี สะพานพระปิ่นเกล้า ส่วนกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันโด่งดังในชื่อ "บูรพาพยัคฆ์" ออกจากทั้งที่รวมพลที่กองทัพภาค 1 และ บก.ทบ. เดินหน้าลุยเข้าถนนดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา และแยกไปทางวัดบวรนิเวศน์ฯ บางลำพู เข้าถนนตะนาว ข้าวสาร และแยกคอกวัว

โดยมีกำลังเสริมจาก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาเสริม โดยเฉพาะรถสายพานลำเลียงพล แบบที-85 จากจีน รวม 9 คัน เพื่อหวังเป็นด่านหน้าในการบุกตะลุย และเป็นเกราะกำบังภัยให้ทหาร เพื่อไป "รวมกันตี" ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วบุกเข้ายึดผ่านฟ้า พร้อมกับกำลังจาก พล.1 รอ. ที่จะบุกมาจากทางแยก จปร.

ในเมื่อฝั่งฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ และทหารแตงโมที่เชี่ยวการศึก วางกลยุทธ์ให้ และใช้ข้ออ้าง เมื่อมีกระสุนจากปืนสไนป์เปอร์จากตึกสูงพุ่งเข้าหัวคนเสื้อแดงแตกกระจุย ทั้งเอ็ม 67 และเอ็ม 79 ก็ระดมใส่ทหาร ผ่านฟ้าลีลาศ จึงไม่กลายเป็น "เทียนอันเหมิน" อย่างเช่นที่ทหารจีนใช้รถถังและอาวุธกระสุนจริงปราบปรามนักศึกษาและประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อ 21 ปีก่อน

โดยลูกแรก หมายเด็ดหัวแม่ทัพนายกอง หยอดใส่วงประชุมจัดกำลังของบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่กำลังถกกับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเหล่าบูรพาพยัคฆ์ ทหารม้า และทหารรบพิเศษ 2 ลูกติดกัน จนทัพระส่ำแตกพ่าย เอารถสายพานฯ หนีได้แค่ 3 คัน ที่เหลือถูกยึด รวมทั้งทหารประจำรถและอาวุธต่างๆ เมื่อถอยร่นกันอุตลุต หิ้วลากร่างทหารทั้งที่ไร้วิญญาณและบ้างโชกเลือด ไม่ต่างจากคนเสื้อแดง

การสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสำหรับทหารแล้ว ถือว่าที่เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บอีก 230 คน สาหัส 90 คนนั้น มากกว่าสงครามครั้งใดเลยด้วยซ้ำ แถมนายทหารสัญญาบัตรสายเลือดเตรียมทหาร จปร. ทั้งตายและเจ็บ ที่สำคัญล้วนเป็น "ทหารเสือราชินี" ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เสธ.เปา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. เป็นศพแรก

ส่วน พล.ต.วลิต ขาซ้ายแตกหัก 3 ท่อน ที่ต้องดามเหล็ก ไม่นับแผลตามร่าง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ที่สะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นผู้พันไก่คนเดิม พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.ร.21 รอ.หน่วยทหารเสือราชินี ก็ถูกสะเก็ดฝังที่ต้นขา พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. ที่จู่ๆ ต้องมีสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังอยู่ในขาทั้งสองข้าง โดยหมอไม่ผ่าออก เพราะเกรงกระทบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ ไม่นับรวมระดับรองผู้การกรม ผู้พัน และรองผู้พัน ที่ล้วนเป็น จปร. อีกหลายคน

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อเยี่ยมบรรดาทหารเสือราชินี ที่ล้วนเคยถวายงาน ถึงที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ รวมทั้งพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ด้วยพระองค์เอง

การศึกนี้ นอกจากแพ้พ่ายแล้ว ยังเสียขุนพล และเสียทหารไป 1 กองพล คือ พล.ร.2 รอ. ที่ต้องเรียกว่า "ละลาย" ไปเลย เพราะในจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 200 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบูรพาพยัคฆ์

จึงไม่แปลกที่ พล.ต.วลิต จะรู้ตัวว่า ถูกหมายหัว เพราะมีการชี้เป้า ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหยอดเอ็ม 79 ลงตรงพอดี แถมทั้งบรรดานายทหารที่แต่งกายต่างจากกำลังพลไปยืนรวมเป็นจุดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีรถสายพานเป็นเกราะอยู่ จึงเป็นเสมือนการล้างแค้นที่ พล.ร.2 รอ. เคยปราบปรามเสื้อแดง ที่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว จนได้รับยกย่องจาก ทบ. ไว้ด้วยนั่นเอง ไม่นับรวมความโดดเด่นของหน่วย ที่ในยุค 3 ป.นี้ถือเป็นยุคทอง ที่ทหารหน้าไหนก็พากันหมั่นไส้ จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง บูรพาพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นบทเรียนของสิงห์ตะวันออก ทั้งน้อยใหญ่ รวมทั้ง ป้อม - ป๊อก - ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง

ต่อมา เมื่อกลุ่มเสื้อแดง ทิ้งผ่านฟ้าฯ แล้วคงยึดแยกราชประสงค์ไว้เป็นฐานที่มั่นเดียวไว้อยู่ และยังไม่เห็นทางออกที่จะไม่ให้เกิดการเจ็บตายขึ้นอีก

แม้ว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้าเล่นกับไฟ ด้วยการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นหัวหน้าส่วนราชการในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือที่ภาษาทหารเรียกกันว่า "ผู้บัญชาการเหตุการณ์" แทนนายสุเทพ เพื่อที่จะ "แก้เผ็ด" การที่ พล.อ.อนุพงษ์ ลอยตัว ไม่เต็มที่ เพื่อประคองตนให้เกษียณแบบมือไม่เปื้อนเลือดและไม่มีคดีความติดตัว

ความเป็น "เด็กดื้อ" ของ นายอภิสิทธิ์ ประกอบกับความมั่นใจใน "กองหนุน" ที่มีหลายระดับ ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยปากเหน็บแนมทหาร ที่บิ๊กๆ ฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้ง "เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ท้อแท้" หรือ "หากไม่ทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ แต่เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐและความมั่นคงของประเทศ"

ครั้งหนึ่งก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ เคยปฏิเสธข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ ที่ให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืน ว่า "ทำไม่ได้ เพราะจะเกิดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของทั้งสองฝ่าย" แต่เห็นว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร

หลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" พร้อมเสนอให้ยุบสภา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ "หน่อมแน้ม อ่อนแอ หรือเกียร์ว่าง" แต่ "ประเสริฐสุดยอด" ที่ไม่ยิงประชาชน

จะว่าไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็ไม่ได้เกียร์ว่าง เพราะ 10 เมษายน เขาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเอง เป็นแม่ทัพเสียเอง แม้พื้นที่วงในจะใช้กำลังจาก พล.ร.2 รอ., พล.ร.9 และ พล.ม.2 รอ. แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็สั่งการตรงไปถึงผู้บังคับการกรมเองด้วยซ้ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผยเองว่า พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.ร.2 รอ. โทรศัพท์มาขอถอนกำลังเพราะถูกระเบิดโจมตีทหารเจ็บหนักกว่า 30 คน โดยตนให้ถอยมาที่ สิบสามห้าง บางลำพูก่อน แต่ก็โดนระเบิดตามมาอีก จนต้องมายังสโมสร ทบ. เทเวศร์

รวมทั้งการขึ้น ฮ. บินดูสถานที่และจำนวนผู้ชุมนุมด้วยตนเอง แนวคิดการใช้ ฮ. แจกใบปลิว หรือการใช้ ฮ. โปรยแก๊สน้ำตาลงหน้าเวทีผ่านฟ้า ที่ก็แห้ว แถมทหารยศพันเอกถูกยิง ฮ. ทะลุเท้าเสียอีก แม้แต่การให้กำลังทหารแยกกันเดินเข้าถนนเล็กๆ หลายสาย ที่เป็นรูปตัว S น่าจะช่วยเป็นเกราะกำบังทหารเวลาบุกได้ ก่อนรวมกันตี

"ข่าวที่ออกมา เหมือนผมขัดแย้งกับพี่ป๊อก ว่าพี่ป๊อกไม่เอา ผมเอา ทั้งๆ ที่ความจริง มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันตลอด แต่การตัดสินใจและสั่งการ เขาเป็นนาย เขาเป็นคนรับผิดชอบ" พล.อ.ประยุทธ์ แจงสั้นๆ

แต่ท่าทีโดยภาพรวมของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปรากฏ ยิ่งเมื่อเสนอให้ยุบสภานั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรักอภิสิทธิ์ คนสีเหลือง แม้แต่ นายสุเทพ เอง ที่เคยสนิทสนมก็เริ่มมองหน้ากันไม่สนิทใจ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงขั้นเชียร์ให้ นายอภิสิทธิ์ ปลด ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวพ่อ ที่กล้าได้กล้าเสียและพร้อมลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และอะไรจะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น

แต่วิธีของนายอภิสิทธิ์ก็คือ การตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้มาร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ อันเป็นการมัดมือชกหรือบังคับไม่ให้หนีปัญหาอีกต่อไป จากเดิมที่เป็น ผช.ผอ.ศอฉ. เท่านั้น จนร่ำลือกันว่าหาก พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉย หรือกล้าๆ กลัวๆ รัฐบาลก็จะหาเหตุในการปลด แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบแทน เพื่อที่จะล้อมปราบเสื้อแดงให้ราบคาบ

จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ก็คือ หากเสื้อแดงก่อเหตุป่วนเมืองหรือไปยึดสถานที่อื่น หรือแม้แต่ ร.11 รอ. ฐานบัญชาการ ศอฉ. รัฐบาลและกองทัพก็คงยอมไม่ได้ ต้องประกาศกฏอัยการศึก ปะทะ ตายเจ็บต้องมี แต่หากเสื้อแดงยังคงชุมนุมโดยสงบที่แยกราชประสงค์ ทหารก็จะไม่เข้าสลาย เพราะฝ่ายทหารสีแดงคงตั้งรับเต็มที่ แถมมีอาวุธปืนหลายแบบที่ยึดไปจากทหารมากกว่า 60 กระบอก แม้แต่ปืน Tavor ใหม่เอี่ยมจากอิสราเอล ที่ ทบ. ซื้อมาใช้แทนปืนเอ็ม 16 จึงอาจเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่จะจัดการกับกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มก่อการร้าย และดำเนินคดีตามกฎหมายกับแกนนำที่ออกหมายจับ ทั้งแบบบนดินและใต้ดิน

หากไม่มี "สัญญาณพิเศษ" หรือคำสั่งพิเศษมายัง พล.อ.อนุพงษ์ เขาก็จะประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง หรือให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง หรือบางทีม็อบสีเหลืองอาจเป็นทางออกในที่สุด เพราะหากต้องยึดพื้นที่ราชประสงค์คืนนั้น ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าต้องมีตายเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ไม่ต่างจากเหตุนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ดำมืด และเป็น "ตราบาป" ไปตลอดชีวิต

นักการเมืองมาเป็นรัฐบาล ครองอำนาจอย่างมาก 4 ปี แล้วก็ไป แต่ทหาร หากมือต้องเปื้อนเลือด กองทัพจะอยู่อย่างไร นอกเสียจากเป็นจำเลยของสังคม

ล่าสุด บิ๊กป๊อก ให้สัมภาษณ์ เอเอฟพี ตอนหนึ่งว่า" ถ้าสมมติว่ารัฐบาลอยากให้ทำเรื่องผิดกฎหมาย เราจะบอกว่าทำได้หรือไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอึดอัดหรือต้องเครียดอะไร"

นาทีนี้ จึงไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือ การปฏิวัติรัฐประหาร มาเป็นทางออกสุดท้าย ในเมื่อคำพูดของ ผบ.ทบ. ที่ให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รับการตอบสนอง รัฐบาลคิดแต่จะโยนความรับผิดชอบภาระที่หนักอึ้งมาให้กองทัพ คิดแต่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการทหาร โดยไม่สนใจว่านายทหารหรือพลทหาร จะตายอีกกี่คน เพราะทหารไม่อาจนั่งบัญชาการจากห้องแอร์ได้อย่างนักการเมือง แต่ต้องลงไปเสี่ยงกับลูกน้องด้วย หรือไม่สนใจว่าเสื้อแดงจะตายอีกกี่คน เพราะไม่ได้มองว่าเป็นประชาชน แต่ทว่าเป็นหนามยอกอก ด้วยการประโคมเรื่อง การก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างในการปราบปราม

"ชัยชนะบนซากศพของประชาชน มันช่างเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าใจจริงๆ" บทเรียนแห่ง วอเตอร์ลู หรือ เทียนอันเหมิน มีอยู่แล้ว

โลกทั้งใบ จึงขึ้นอยู่กับ "นาย" คนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ที่มา.มติชน
************************************************