--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

เกิด-ดับ...!!!?

เกิดขึ้น ตั่งอยู่ และดับไปวิกฤติการณ์ของประเทศไทย..ก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งความเป็นจริง..ดังที่ปรากฏอยู่ในพุทธศาสนา...ที่ยืนยงคงความสถาพรมานานนับ 2553 ปี..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...มีความแตกต่างมากมายเกิดขึ้นมาในชีวิตท่าน...บนถนนการเมืองอันยาวนาน..ในชีวิตของท่านกับพรรคประชาธิปัตย์..เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน..คนหนุ่มหน้าตาดีความรู้สูง..นามอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว..ประกอบกับความสามารถในการเรียบเรียงถ้อยคำ..และสุ้มเสียง..ที่เป็นใจ..ท่านจึงเป็นผู้สรุปคำอภิปรายทุกครั้ง..เมื่อประชาธิปัตย์เปิดฉากทำหน้าที่ฝ่ายค้านในรัฐสภา..วันนี้ อภิสิทธิ์

เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี..บทบาทในฐานะผู้ถูกอภิปราย..เป็นบทบาทที่ท่านมีประสบการณ์น้อยที่สุด..จากเก้าอี้รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตนรี..มาสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีโดยฉับพลันทันทีนั้น..เป็นเรื่องไม่คาดฝันหลายๆ เช้าทุกคราวที่ตื่นขึ้น..ท่านคงแอบหยิกขาตัวเอง..แล้วถามตนเองว่าท่านฝันไปหรือเปล่าในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี..มันเป็นความจริงท่านคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้ง 67 ล้านคน..ท่านมีหน้าที่อภิบาลพวกเขา..เท่าๆ กับที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรค

ประชาธิปัตย์...และดูเหมือนว่า หน้าที่ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี น่าจะมีความสำคัญสูงสุดถึงวันนี้..ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของท่านมีปัญหา..และท่านเองก็รู้ดีว่า...วีธีง่ายที่สุดในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้..ไม่ได้อยู่กับใครที่ไหน...มันอยู่กับตัวท่าน..หากท่านใช้อำนาจยุบสภาของท่าน..ถูกจังหวะถูกเวลา..ก็แน่นอนว่าขบวนการเรียกร้องทั้งหลายก็จะสะดุดหยุดลง..เหล่าผู้เรียกร้อง..จะหมดความชอบธรรมที่จะปักหลักชุมนุมต่อไป ทหารก็จะไม่ต้องมานอนกลางดิน

กินกลางฝุ่น..ทุกหัวระแหงของถนนสุรวงศ์และสีลม..เพียงท่าน..เชื่อในพุทธศาสนา..ที่สั่งสอนให้เห็นถึงความเป็นจริงทุกๆ รูปนามที่ว่า..เกิด-ตั้งอยู่-ดับไป เพียงท่านไม่อาลัยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..ประกาศวันยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน..ทุกข์ของคนไทยทั้งชาติจะปลาศไปสิ้นแบบเฉียบพลัน..ม่านหมอกแห่งความตายก็จะจางหาย..ท่านคนเดียวที่ทำได้..ทำเสียตั้งแต่ยังทำได้...ไม่ว่าท่านจะทำหรือไม่...ในที่สุดท่านก็จะต้องทำ

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

หยุด!! เลิกปิดประตูตีแมว!!

การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศอ.ฉ.กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 (NBT) ช่อง 3,5,7,9 และ Thai PBS จึงเป็นการทำลายล้างและละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยตามหลักนิติธรรม ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และเป็นการละเมิดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นกลาง และเที่ยงธรรม อันเป็นเสาหลักสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่รัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ การรับฟังความคิดเห็น และความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่อง การกระทำของคนในรัฐบาล หรือคนใน ศอ.ฉ.นั่นคือ เรื่องของการปิดกั้นสื่อแน่นอนว่าหากอ้างในเรื่องของการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรง ย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้แต่เสียงสะท้อนว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสมเพียงใดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่พึงรับฟังและไตร่ตรองให้จงหนักเป็นอย่างยิ่งสำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน ว่า องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ออกแถลงการณ์ประณามการปิดกั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีเพิลแชนแนลและเว็บไซต์ 36 เว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่า “เป็นเรื่องน่าตำหนิที่ทางการใช้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีจุดประสงค์เพื่อปิดกั้นสื่อมวลชนที่ทั้งเป็นกลางและสื่อที่มีความเห็นไปในทางเดียวกับฝ่ายค้าน” ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุว่า “ทำไมคนไทยถึงต้องถูกปิดกั้นการฟังข้อมูลจากฝ่ายค้าน เนื่องจากการปิดกั้นสื่อแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงแสดงออกอย่างรุนแรงมากขึ้นอีก เป็นการเดิมพันที่เสี่ยงมาก”ด้านเครือข่ายสิทธิเสรีภาพ

สื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกมาแสดงความกังวลว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอาจจะเป็นการจำกัดเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงออกในเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างเช่นประเด็นทางการเมืองหรือความมั่นคง เช่นเดียวกันกับแถลงการณ์เครือข่ายพลเมืองเน็ต กรณีการปิดกั้นสื่อบางส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์แนวทางการทำงานของรัฐบาล รวมถึงสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของผู้ชุมนุม หรือ นปช. เช่นสื่อโทรทัศน์ดาวเทียมพีทีวีและเว็บไซต์ทางการเมือง อย่าง

1. http://gurakdang.com2. http://norporchorusa2.com3. http://www.uddthailand.com4. http://www.peoplechannel.net5. http://www.newskythailand.us6. http://www.thaipeoplevoice.org7. http://www.thaipeoplevoice.net8. http://www.prachatai.com9. http://www.thaipeoplevoice.info10. http://www.redthai.org11. http://www.redthai.net12. http://rednon.org
เครือข่ายพลเมืองเน็ตซึ่งเป็นองค์กรที่รณรงค์สิทธิเสรีภาพเพื่อการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตคัดค้านแนวทางดังกล่าวด้วยเหตุผล คือ

1. การปิดกั้นเว็บไซต์เป็นการปิดกั้นสื่อ ข้อมูลข่าวสารและลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน ขัดต่อหลักประชาธิปไตยรัฐบาลต้องเปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์

2. การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารเป็นการยั่วยุและทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้นรัฐบาลต้องเชื่อในวิจารณญาณของประชาชนและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

3. การปิดกั้นเว็บไซต์ทำให้ประเทศไทยถดถอยในเรื่องสิทธิเสรีภาพการสื่อสารมากยิ่งขึ้น เครือข่ายพลเมืองเน็ต ยืนยันว่า เสรีภาพอินเทอร์เน็ต คือเสรีภาพของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ถ้ารัฐเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี รัฐต้องยอมรับให้มีพื้นที่ให้ประชาชนสื่อสารกัน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งสร้างความขัดแย้งแตกแยก“เราขอเรียกร้องรัฐยกเลิกการปิดกั้นการสื่อสารโดยทันที” เครือข่ายพลเมืองเน็ตระบุขณะเดียวกันแถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ก็คัดค้านการปิดกั้นสื่อและลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนเช่นกันคปส. เห็นว่ามาตรการของรัฐบาลเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน อีกทั้งการที่รัฐบาลปิดกั้นสื่อในทุกระดับและทุกช่องทางเพียงหวังจะลดทอนเสียงของกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล อาจเป็นชนวนเหตุทำให้สถานการณ์ยิ่งลุกลามและขยายตัวไปสู่ความรุนแรงได้ รัฐบาลจึงควรเปิดให้ทุกฝ่ายมีสิทธิในการสื่อสารอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสร้างสมดุลของข่าวสาร อย่างไรก็ตามการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง หรือสร้างการดูหมิ่นเหยียดหยาม เกลียดชังกัน ทั้งจากรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุม และทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายไม่พึงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นสื่อของฝ่ายใดก็ตาม คปส. จึงขอเสนอความเห็นต่อรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม ดังนี้

1. ขอให้รัฐบาลยุติการดำเนินการปิดกั้นสื่อ และยกเลิกคำสั่งสั่งปิดเว็บไซต์ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม และวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้น และเปิดให้ทุกฝ่ายได้สื่อสารและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ตั้ง

2. ขอให้ทุกฝ่ายระงับยับยั้งการใช้สื่อเป็นเครื่องมือยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง สร้างการดูหมิ่นเหยียดหยาม เกลียดชังกัน และร่วมกันแสวงหาหลักเกณฑ์กติกาการใช้สื่อที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพื่อรักษาพื้นที่ความคิดเห็นที่แตกต่าง ลดทอนความขัดแย้งและความเกลียดชังและแม้แต่กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาเลือกตั้งปี 43 ก็ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว โดยระบุว่า นับแต่วันที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากรัฐบาลจะมิได้แถลงชี้แจงข้อเท็จจริง ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดต่อประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่งในครั้งนี้อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาแล้ว รัฐบาลยังคงปิดกั้นมิให้มีการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวจากทางฝ่ายผู้ชุมนุม โดยตัดสัญญาณการออกอากาศของสถานีวิทยุชุมชนและสถานีโทรทัศน์ รวมทั้งยังได้ปิดกั้นสื่อทางอินเทอร์เนต การส่งข่าวสั้นทางโทรศัพท์ (SMS) ที่เห็นว่าเป็นสื่อของฝ่าย “เสื้อแดง” เช่น สถานี People Channel, SMS Thairednews จนหมดสิ้น และยังได้ใช้สื่อวิทยุโทรทัศน์ทุกสถานีทั้งที่เป็นสื่อของรัฐและเอกชน เช่น สถานี TNN ในการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบที่ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลด เมื่อวันที่ 10 เมษายน

การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศอฉ. กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 (NBT) ช่อง 3, 5, 7, 9 และ Thai PBS จึงเป็นการทำลายล้างและละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยตามหลักนิติธรรม ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และเป็นการละเมิดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นกลาง และเที่ยงธรรม อันเป็นเสาหลักสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในนามของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา 2543-2549 จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ซึ่งยินยอมและรู้เห็นเป็นใจกับรัฐบาลในการเสนอข้อมูลและข่าวสารอย่างไม่เป็นกลางเกี่ยวกับเหตุการณ์10 เมษายน แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยในครั้งนี้ โดย

1. ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐดังกล่าว เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

2. มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ อินเทอร์เนต และสื่อสารมวลชนรูปแบบอื่นๆ ทุกประเภท ทุกชนิด เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน

3. ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตนด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน มิใช่เพียงแต่นำเสนอข้อมูลข่าวสารและพยานหลักฐานของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวถือเป็นความคิดเห็นที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องน่าจะรับฟัง เพราะล่าสุด แม้แต่ 16 องค์กรภาคประชาชน ยังเข้าพบผู้บริหารสถานีโทรทัศน์หลายสถานี ได้แก่ ผู้บริหารบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ฯ สีช่อง 7 ผู้บริหาร ทบบ.5 และผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 เพื่อขอร้องให้สถานีโทรทัศน์ ต่างๆมีรายการพิเศษในช่วงเวลาสำคัญวันละไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มต่าง ๆ ได้นำเสนอและหาแนวทางในการออกจากความขัดแย้งร่วมกันและมีส่วนร่วมในการแก้วิกฤตในครั้งนี้ และขอให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ยึดมั่นนโยบายยุติความรุนแรง ใช้ “สันติวิธี” และ “การเจรจา” ในการแก้ปัญหา และที่สำคัญขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว ข้อมูล หรือประเด็นที่จะเพิ่มความเกลียดชังและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมาถึงวันนี้ แม้รัฐบาล ศอ.ฉ. จะได้รับความร่วมมือจากสื่อภายในประเทศไทย โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐ อย่างมากมายสักเพียงใดก็ตามแต่ก็ไม่สามารถที่หยุดภาพ-ข่าวของสื่อต่างประเทศ หรือหยุดการสื่อสารในโลกได้ฉะนั้นหากการปิดกั้นสื่อ โดยใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนในเชิงลบรัฐบาลน่าจะกลับลำสร้างความสง่างาม หยุดกลไกปิดกั้นสื่อ รวมทั้งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปด้วยเลย ก็ยังไม่สาย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดาบสองคม!

ปฏิเสธไม่ได้ว่า...ความรุนแรงกลางกรุงเทพฯในเหตุการณ์ 10 เมษาฯวิปโยค เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลประกาศยกระดับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงให้เป็น "สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง" ภายใต้บังคับของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็บังคับใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือ "พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ" อยู่แล้ว ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลเป็นการประกาศท่ามกลางคำถามว่า สถานการณ์ ณ วันที่ 7 เม.ย.2553 ฉุกเฉินกว่าการชุมนุมในห้วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันก็คือ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินย่อมเป็นการส่งสัญญาณจากรัฐว่า ความรุนแรงที่ทุกฝ่ายหวั่นกลัวกำลังใกล้เป็นจริงมากขึ้น

ทุกขณะเพราะในมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ระบุขอบเขตอำนาจของกฎหมายเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะใช้กฎหมายความมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อ"...ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน..."นั่นหมายถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีความเข้มข้นกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล ก็คือ การประกาศ

เพิ่มดีกรีความรุนแรงโดยฝ่ายรัฐเองที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบว่าทำไปเพื่ออะไรยิ่งไปกว่านั้น...หลังการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ไม่มีกรณีใดเลยที่ส่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมรวม 24 คนในอีก 2 วันถัดมา เพราะถึงวันนี้ก็ยังจับใครไม่ได้เลย หรือการพยายามสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทว่าสุดท้ายก็เกิดการสูญเสียชีวิตขึ้น แม้แต่ฝ่ายทหารเองหรือกระทั่งการออกหมาย

เรียกให้บุคคล 51 คนที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้ารายงานตัว ซึ่งก็มีบางส่วนเพิกเฉย ไม่นำพา และไม่กลัวแต่รัฐบาลก็ดูจะไม่สนใจ และเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายต่อไป ภายใต้วาทกรรม "ก่อการร้าย" ที่ยิ่งหนุนเสริมให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดวันนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมากมายว่า รัฐบาลกำลังเลือกปฏิบัติหรือไม่ในกรณีที่ปล่อยกลุ่มคนเสื้อหลากสีออกมาชุมนุม ในช่วงที่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้ามมีการชุมนุมเกิน 5 คน

แต่กับอีกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์กลับบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น พร้อมกับยกระดับให้กำลังทหารติดอาวุธ เต็มอัตราศึก เพื่อรักษาพื้นที่ถนนสีลม ขณะเดียวกัน บนเวทีคนเสื้อแดงได้หยิบยกประเด็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขึ้นมาปลุกระดมมวลชน คนเสื้อแดง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง งานนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิก จึงเหมือน “ดาบสองคม”ที่หวนกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลผู้บังคับใช้กฎหมายฉบับนี้!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

‘ไข่มุกดำ’ ชี้ชัดไม่มีสลาย! ‘แฮปปี้ เอนดิ้ง’มีสิทธิ์เกิดขึ้น

ว่ากันว่า “จุดไคลแม็กซ์” มักมาให้เห็นในตอนหลัง!โดยเฉพาะการขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงของ “ไข่มุกดำ” วีระ มุสิกพงศ์ ในช่วงเวลาประมาณ 1.30 น. ของวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมาซึ่งประเด็นที่เขานำมาพูด...มันคือ “แสงสว่างรำไร” ในการเดินหน้าไปหาทางออกแห่งปัญหา...ไม่ให้รัฐและประชาชนเกิดการปะทะ
เพียงแต่ยังมิอาจ “เปิดเผย” ได้ว่าช่วงเวลาที่แกนนำคนสำคัญหายไป...เขา ได้ไปพูดและพบปะกับใคร แต่การปรากฏตัวบนเวทีในค่ำคืนดังกล่าว...ก็ทำให้พี่

น้องประชาชนซึ่งเป็น “มวลชน” รู้สึกสบายอกสบายใจว่าแกนนำของพวกเขา “ไม่ได้หนีหายไป” หรือ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว”แต่ด้วย “ภารกิจสำคัญ” ในการเจรจา “เป็นการลับ” กับทูตเจรจาอีกฝ่ายหนึ่ง...“วีระ” จึงได้ออกมาบอกกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มปากเต็มคำว่า...มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นมากซึ่งฝ่ายนั้นยืนยันว่าจะไม่มีการเข้า “สลายการชุมนุม” โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีข่าวลือรายวันในการที่รัฐบาลจะขอพื้นที่คืนอย่างหนาหูนอกจากนี้ “ฝ่ายคนเสื้อแดง”

ก็รับปากยืนยันจะไม่มีการเคลื่อนย้ายไปชุมนุมที่บริเวณถนนสีลมเช่นเดียวกันเรียกว่า...ต่างฝ่ายต่างเจรจากันด้วยเหตุและผลทั้งสองฝ่ายยอมรับที่จะปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา และประสานงานกันต่อไปเพื่อ “ยุติปัญหา” ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นหากมองในเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ที่มีการ “เปิดโต๊ะเจรจา” ระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งได้มีการเจรจาไปแล้ว 2 รอบเพียงแต่ประเด็นที่ 2 ฝ่ายนำมาคุยยังไม่ได้นำมาวิเคราะห์ให้ “ตก

ผลึก” เป็นข้อยุติในระยะเวลาอันสั้นซึ่งหลังจากจบการเจรจารอบ 2 จะเห็นได้ชัดว่า...ฝ่ายรัฐบาลก็มีความตั้งใจในการเปิดโต๊ะเจรจาครั้งต่อไปในรอบ 3แต่สูญญากาศทางการเมืองในช่วงที่ทุกคนกำลังนั่งคิดเพื่อหาทางออกให่แก่บ้านเมืองอย่างไร...ดันมีคน “ประเภทเลือดร้อน” ซึ่งต้องการใช้วิธี “เก่าแก่คร่ำครึ” ในการแก้ไขปัญหาเป็นเหตุให้ความคิดสวนทาง...นำไปสู่การปฏิบัติที่แยกแยก...กลายเป็นเหตุการณ์เศร้าสลดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาแต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด

ขึ้น “ซ้ำรอย” เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำ “ซ้ำสอง”ดังนั้น...การถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดของ “วีระ มุสิกพงศ์” จึงทำให้ประชาชนหลายคนเชื่อมั่นได้ว่า...อีกไม่นานประเทศชาติของเราจะกลับมาสงบดังเดิม เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่จบแบบไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป มิเช่นนั้นเราจะได้เห็นหรือ? กับบุคคลที่คิดร้ายทำลายชาติ...โดยค่อยๆ เปิดเผยตัวออกมาแตกกลุ่มแตกหน่อเพราะหัวใจพวกเขากำลัง “เต้นรัวเป็นกลองยาว” อีกไม่นานหาก “ฟ้าเปลี่ยนสี”

กลุ่มคนเหล่านี้คงแปลงสภาพเปลี่ยนไปไม่ต่างจาก “ข้อกล่าวหา” ที่ยัดเยียดให้ฝ่ายตรงข้ามในวันนี้นี่คือ “บทพิสูจน์” บนโต๊ะเจรจาลับของทั้ง 2 ฝ่ายคำพูด หรือ สัจจะ มันมีค่าเท่าเทียมกับการกระทำ...เมื่อทุกคนทำตามที่พูด...จุดจบแบบ “แฮปปี้ เอนดิ้ง” มันก็คงไม่ใกล้เกินเอื้อมโดยเฉพาะดวงวิญญาณวีรชนผู้เสียสละคงนอนตายตาหลับที่เห็นประเทศชาติกลับมาสงบสุขดังเดิม!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

ช่างกล้า!!!??

"หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก" หลังเห็นความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรฯ ที่ออกมายื่นข้อเรียกร้อง

สำคัญสุดคือขีดเส้นให้รัฐบาลสลายการชุมนุมภายใน 7 วัน!?

หากเป็นกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเสื้อสีชมพู หลากสี หรือนักธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากม็อบเสื้อแดง ยังพอรับฟังได้

แต่พอเป็น "เสื้อเหลือง" ออกมายื่นข้อเสนอนี้ก็ให้มึนงง

จะไม่งงได้อย่างไร ในเมื่อพฤติกรรมของเสื้อแดงยามนี้ แทบไม่ต่างจากเสื้อเหลืองในอดีต

ที่ไม่เหมือนเพียงสถานที่การชุมนุม เพราะเสื้อเหลืองยึดทำเนียบฯ และสนามบินเป็นสถานที่ชุมนุม

ส่วนเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์

พูดถึงความเสียหายในเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยว ถึงนาทีนี้อาจจะบอกว่าใกล้เคียงกัน

แต่ถ้ามองชื่อเสียง(หรือเสีย) ของประเทศ เสื้อเหลืองยังนำอยู่หลายขุม

เพราะการเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณ ภูมิ เป็นเรื่องอื้ออึงไปทั้งโลก

หรือความเคลื่อนไหวของเสื้อแดง ก็แทบจะเดินตามชนิดก้าวต่อก้าวกับเสื้อเหลือง ที่พยายามให้เกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุม กับรัฐบาล

มิเช่นนั้นเสื้อเหลืองที่ชุมนุมอยู่สะพานมัฆวานฯ ก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนพลเข้ายึดทำเนียบฯ

ว่ากันว่าห้วงนั้นแกนนำเสื้อเหลืองก็ไม่คาดว่าจะเข้าทำเนียบฯ ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพราะคิดว่าอย่างไรเสียตำรวจคงต้องป้องกันสุดฤทธิ์ จนเกิดการปะทะและความสูญเสีย

หลังจากเข้าไปแล้วก็ชุมนุมอยู่พักใหญ่ โดยรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้ แม้จะออกหมายจับแกนนำ หรือฟ้องขับไล่ก็ไม่เป็นผล

ระยะเวลาทอดนานออกไป รัฐบาลไม่ยอมทำอะไร ม็อบที่เริ่มเหี่ยวลงเรื่อยๆ จึงเคลื่อนไหวอีกครั้งจนเกิดเหตุวันที่ 7 ตุลาคม

จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ 7 ตุลา เมื่อเทียบกับ 10 เมษา ที่ผ่านมา มีความแตกต่างอันเป็นนัยสำคัญ

7 ตุลา ม็อบเหลืองเป็นฝ่ายออกมาเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นการล้อมรัฐสภา หรือพยายามบุกเข้าไปในกองบัญชาการ ตำรวจนครบาล จนเกิดเหตุขึ้น

แต่เหตุการณ์ 10 เมษา ทหารได้รับคำสั่งให้สลายการชุมนุมของเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าฯ

จนเกิดความสูญเสียและเกิดข้อหา "ก่อการร้าย" ให้กับ ผู้ชุมนุม และ "กลุ่มที่มองไม่เห็น"

หลังเหตุการณ์ 7 ตุลา จะว่าไปก็คล้ายกับตอนนี้ที่รัฐบาลพยายามทำนิ่ง จนม็อบเหลืองทนไม่ไหวบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง

กระทั่งพรรคพลังประชาชน(ในขณะนั้น) โดนยุบ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกฯ

ม็อบเหลืองจึงมีทางให้ลง ตัดสินใจยุติการชุมนุม

โดยมีคดีความต่างๆ ติดตัวมากมาย แต่จนทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

จึงเป็นเรื่องที่ "ช่างกล้า" อย่างยิ่ง ที่แกนนำม็อบเหลือง ที่เคยใช้วิธีการเดียวกันเพื่อล้มรัฐบาล

ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมของม็อบแดง ที่เดินตามรอยกันมาติดๆ


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*************************************************

แกนนำเสื้อแดงให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ อาจเจรจาโดยอาศัยตัวกลาง

– สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าแกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวว่าพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลโดยผ่านตัวกลางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกับกลุ่มทหารติดอาวุธซึ่งข่มขู่ให้พวกเขาออกจากพื้นที่

โดยขวัญชัย ไพรพนา หนึ่งในแกนนำกล่าวให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่าเขาอาจประนีประนอมกับรัฐบาลโดยการเสนอให้มีการยุบสภาภายใน 3 เดือน จากเดิมที่กำหนดเส้นตายไว้ 15 วัน

แต่ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ หนึ่งใน 3 แกนนำหลักบอกว่านี่เป็นอีกความคิดหนึ่งที่ต้องพิจารณาก่อน ณัฐวุฒิบอกอีกว่ารัฐบาลอาจต้องการปราบปรามผู้ชุมนุม แต่เสื้อแดงบางคนก็เห็นว่าอาจเป็นแค่การขู่ให้กลัว

ด้าน จรัล ดิษฐาอภิชัย บอกว่ากลุ่มแกนนำต้องการให้มีการเจรจาประนีประนอมโดยอาศัยกลุ่มบุคคลที่สามเป็นตัวกลาง

ขวัญชัย กล่าวกับรอยเตอร์อีกว่า เขาเชื่อว่าอาจมีการปราบปรามผู้ชุมนุมภายในวันจันทร์ (25 เม.ย.) โดยได้ยินจากวงในว่ารัฐบาลจะขีดเส้นตายการปราบปรามผู้ชุมนุมภายในวันที่ 26 เม.ย. มีโรงแรมสองแห่งในพื้นที่ชุมนุมที่บอกว่าพวกเขาจะปิดให้ทำการจนถึง 26 เม.ย. โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย

ส่วนโฆษกรัฐบาล ปณิธาน วัฒนายากร บอกว่าอภิสิทธิ์จะยอมเจรจาด้วย หากเสื้อแดงยอมตกลงว่าจะไม่เพิ่มความตึงเครียดมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับข้อเสนอของแกนนำที่จะให้มีการเจรจาผ่านคนกลาง

วีระเผยจะมีการเจรจาไม่มีการสลายการชุมนุมในช่วง 2-3 วันนี้

ก่อนหน้านี้ นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยเมื่อช่วงดึกของคืนที่ผ่านมา (เวลาประมาณ 01.00 น.) ว่าขอให้ผู้ชุมนุมสบายใจและคลายความเคร่งเครียด เพราะจะไม่มีการสลายการชุมนุมในช่วง 2-3 วันนี้ เนื่องจากจะมีการเจรจากัน โดยได้รับการประสานงานจากทูตต่างประเทศให้มีการเจรจา แต่ยืนยันว่าจะไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และขอให้ผู้ชุมนุมยืนหยัดในการไม่ใช้อาวุธใดตอบโต้รัฐ

สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯ เสนอเป็นตัวกลางแก้วิกฤติการเมือง

สำนักข่าวไทยรายงานว่า เวลา 16.00 น. การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณแยกราชประสงค์ มีการแจกซีดี “10 เมษา ใครสั่งฆ่าประชาชน” ให้กับผู้ชุมนุม โดยมีผู้ชุมนุมจำนวนมากรอรับซีดีดังกล่าว ขณะเดียวกันบนเวทีปราศรัย แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดงได้เตือนผู้ชุมนุมให้ระมัดระวังการเข้าสลายการชุมนุม

จากนั้นเวลา 16.30 น. นายโอภาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยกรรมการจำนวนหนึ่ง ได้นำหนังสือ เรื่อง “หาทางออกวิกฤตการณ์บ้านเมือง” เดินทางมาบริเวณด้านหลังเวที เพื่อหารือกับ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง โดยหนังสือดังกล่าวเป็นการเสนอทางออกวิกฤติของการเมืองในขณะนี้ โดยขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงและรัฐบาลใช้วิธีทางการเมือง สันติวิธี หลีกเลี่ยงความรุนแรง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯ พร้อมเป็นตัวกลางให้เกิดการเจรจาทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ ยังเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ให้แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2553 โดยให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา และกลุ่มคนเสื้อแดงยุติการเคลื่อนไหว

ภายหลังการหารือกว่า 1 ชั่วโมง นพ.เหวง กล่าวว่า ข้อเสนอต่าง ๆ ได้เลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว เพราะรัฐบาลต้องการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม ดังนั้นเรื่องทางการเมือง รัฐบาลต้องทบทวนตัวเอง ส่วนเรื่องการเร่งพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ก็ไม่มีความจำเป็น เพราะงบประมาณต่าง ๆ มีระเบียบในการนำออกมาใช้จ่ายได้ ดังนั้นขอยืนยันข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงว่านายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา อย่างไรก็ตาม เห็นว่าข้อเสนอดังกล่าว เป็นความปรารถนาดี โดยตนจะนำเข้าหารือในที่ประชุมใหญ่ของเสื้อแดงอีกครั้ง

จตุพร ปูดได้กลิ่นสลายชุมนุม สั่งเตรียมรับมือ

เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานเมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 เม.ย. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวบนเวทีปราศรัยแยกราชประสงค์ ว่า ได้รับรายงานข่าวมาว่าขณะนี้ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีคำสั่งให้พนักงานโรงแรมและห้างสรรพสินค้าต่างๆ บริเวณย่านราชประสงค์ ออกจากพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ถือว่าเป็นสัญญาณที่รัฐบาลพยายามสลายการชุมนุม จึงฝากให้ผู้ชุมนุมคอยสังเกตว่าถ้าโทรศัพท์ของทุกคนโดนตัดสัญญาณเมื่อใด นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเข่นฆ่าทำร้ายประชาชน ผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอีกครั้ง

นายจตุพร กล่าวต่อว่า กรณีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีการหารือถึงแนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย. มีอันต้องล่มไป เนื่องจากความเห็นของทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยมีความคิดเห็น ที่แตกต่างกัน จนเป็นเหตุให้การตรวจสอบต้องตกไป แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามหนีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพราะกลัวว่าผลการพิสูจน์ที่เป็นความจริงออกมาแล้วฝ่ายรัฐบาลจะรับความจริง ไม่ได้

"นอกจากนี้ยังได้รับรายงานจากนายทหารแตงโม ว่าขณะนี้ทาง ศอฉ.ได้มอบหมายให้นายทหาร 2 นาย เตรียมหลาวไม้ไผ่มาเป็นอาวุธ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงมองว่าวัตถุประสงค์ดังกล่าวรัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อใส่ร้ายพี่ น้องเสื้อแดง" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่่าวอีกว่า สำหรับในช่วงเวลานี้แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ปกติ เนื่องจากรัฐบาลได้สั่งการให้พนักงานโรงแรม พนักงานห้างสรรพสินค้า ออกจากพื้นที่ราชประสงค์ และสั่งให้โรงพยาบาลต่างๆ รับมือและเตรียมพร้อมรองรับผู้บาดเจ็บนั้น ขอให้พี่น้องเสื้อแดงอย่าวิตก ขอให้ใช้ชีวิตปกติ เพราะเชื่อว่าด่านสำคัญทั้ง 6 จุด จะพยายามต้านทานและรักษาความปลอดภัยในการเข้ามาสลายการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดงสุดความสามารถด้วยชีวิต

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจังหวัดขอนแก่นจำนวนมากได้เดินทางไปปิดล้อมสถานี รถไฟขอนแก่นเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพทหารพร้อมอาวุธสงครามเดินทางเข้า กรุงเทพมหานครได้ เนื่องจากหวั่นว่าจะเป็นกองกำลังที่เตรียมมาเพื่อสลายการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดง ทำให้ขณะนี้รถไฟไม่สามารถเดินรถเข้า-ออก สถานีขอนแก่นได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. เปิดเผยกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ขณะนี้ ศอฉ.ประเมินสถานการณ์และควบคุมหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขยายพื้นที่การ ชุมนุม โดยส่งเจ้าหน้าที่ทหารประจำจุดสำคัญ เช่น บริเวณสี่แยกของถนนราชประสงค์ สีลม เพลินจิต ปทุมวัน และพระรามสี่ เป็นต้น

ส่วน กระแสข่าวการสลายการชุมนุมอย่างต่อเนื่องนั้น พ.อ.สรรเสริญ ปฏิเสธยังไม่ขอตอบคำถามนี้ เพราะในแต่ละวันที่มีการแถลงข่าวไปแล้ว และว่าการปฏิบัติภารกิจตอนนี้ เราไม่ควรตั้งคำถามทุกเรื่อง ถ้าเล่าเรื่องที่เราจะทำ การทำงานของเราจะยุ่งยาก จึงอยากจะขอร้องสื่อมวลชนให้รอฟังการแถลงข่าวพร้อมกันจะดีกว่า ส่วนภายใน 1-2 วันนี้ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสลายหรือไม่ แต่บอกได้ว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะจะเกิดความเสียหายมากขึ้น อีกส่วนก็มีความกดดันจากหลายฝ่าย เพราะถ้าหากไม่ทำ ก็จะมีหลายฝ่ายออกมาปะทะกันก็มีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ดี

“เจ้าหน้าที่มีความพร้อมแล้วที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ส่วนเวลาที่เหมาะสมนั้น ไม่สามารถแจ้งไม่ได้” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว

ประชุมสภา เดือด เพื่อไทย จี้ นายกฯขอโทษปชช. สลายชุมนุม 10 เม.ย.มีคนตาย

มติชนออนไลน์รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเริ่มเวลา 09.00 น. มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ปรากฏว่า มีส.ส.มาเซ็นชื่อเข้าประชุมเพียง 151 คน ถือว่าไม่ครบองค์ประชุม ทำให้นายชัย เปิดให้สมาชิกหารือโดยไม่มีการถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา โดยส.ส.พรรคเพื่อไทย หลายคนพยายามหารือเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยพยายามกล่าวโทษว่า เป็นความผิดของรัฐบาลที่สั่งให้ทหารใช้กำลังและอาวุธประชาชน ทั้งนี้นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน นายกฯ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดต้องกล่าวขอโทษกับประชาชน

ขณะ ที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นตอบโต้และปกป้องนายกฯ ว่าได้ดำเนินการทุกอย่างตามกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 และขอให้กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตรวจสอบให้เสร็จสิ้นก่อน เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นมีความวุ่นวาย มีผู้ไม่หวังดีแทรกซึม ทำให้บรรยากาศการประชุมตึงเครียด อย่างไรก็ดี ยังมีส.ส.บางส่วนของฝ่ายค้านและรัฐบาลได้หารือปัญหาราคาข้าวและพืชผลการ เกษตร คั่นเป็นระยะช่วยผ่อนคลายการปะทะคารมของส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล

จากนั้น เวลา 09.30 น. เมื่อสมาชิกมาครบองค์ประชุม นายชัย ได้เปิดให้หารือโดยมีการถ่ายทอดเสียงการประชุม นายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เหตุ 10 เมษายน รัฐบาลต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี เพราะนายกฯ ได้สั่งฆ่าประชาชน มีคนเสียชีวิตในเหตุการณ์ 25 คน มีผู้บาดเจ็บกว่า 800 คน และวันนี้มีข่าวจะสลายการชุมนุมอีก ทั้งนี้การออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี และนางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ส.ส.สัดส่วน ลุกขึ้นประท้วง ขอให้ประธานสั่งนายคมเดชถอนคำพูด "นายกฯ สั่งฆ่าประชาชน" แต่นายคมเดชไม่ยอมถอน ทำให้บรรยากาศการประชุมตึงเครียดขึ้นตามลำดับ ส.ส.ทั้งสองฝ่ายต่างยกมือขอลุกขึ้นตอบโต้ ทำให้นายชัยสั่งให้นายคมเดชออกจากห้องประชุมไปหากไม่ยอมถอนคำพูด ซึ่งนายคมเดชไม่ยอมถอน และอ้างว่า จะไปประชุมคณะกรรมาธิการพอดี จากนั้นได้เดินออกจากห้องประชุมไปท่ามกลางความไม่พอใจของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงการหารือยังมีการตอบโต้กันเป็นระยะ โดยน.พ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอให้นายกฯ เปิดประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เพื่อให้สมาชิกได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและทางออกที่เกิดขึ้น โดยเป็นการเปิดโอกาสให้นายกฯ ขอโทษประชาชน และวันนี้ทุกคนต้องให้อภัยกัน แม้ล่าสุดมีผลพิสูจน์จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เกี่ยวข้องระบุว่า สื่อมวลชนญี่ปุ่นเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนทหารเสียชีวิต และตนไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บยืนยันว่ามีการใช้กระสุนปืนยิงเข้าใส่ประชาชนจนทะลุ ปอด วันนี้ต้องนำปัญหาเข้าสู่สภา ด้านนายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า นายกฯ ใจแคบ บริหารประเทศแบบนี้อยู่ได้อย่างไร ไม่อายชาวโลกหรือ ชาวอีสานเสียใจมาก วันนี้โทรทัศน์แตกหลายเรื่องเพราะเขาถีบทิ้งไม่อยากดูช่อง 11 และขอให้เลิกการปิดกั้นสื่อ ขณะที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล โดยนายธนิตพล ไชยนันทน์ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตอบโต้ว่า รัฐบาลไม่ได้ปืดกั้นการเสนอข่าวของสื่อ แต่การปิดทีวีบางช่องเพราะมีการเสนอข่าวในลักษณะยั่วยุ และบิดเบือนข้อเท็จจริง อย่างไรก็ดี นายชัย พยายามตัดบทนำเข้าสู่วาระการประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีบรรยากาศการประชุมยังตึงเครียด โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการนำรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ชุมนุมทาง การเมืองเดือนเมษายน 52 เข้ามาพิจารณาด้วย ขณะที่นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติด่วนด้วยปากเปล่า ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์สลาย การชุมนุม 10 เมษายน 53 แต่ถูกทักท้วงจากคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) โดยนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ประธานวิปรัฐบาล คัดค้าน โดยระบุว่า มีสมาชิกแสดงความไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก ดังนั้นควรนำปัญหานี้กลับมาพูดกันในสภา ทำให้นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ขอให้นายกฯ เปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ดีกว่าจะให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรอยู่ฝ่ายเดียว วันนี้นายกฯ ไม่มีความสง่างาม อย่าเป็นฆาตกรโดยฝีปากของคนอื่นเลย และขอเรียกร้องให้นายกฯ ยกเลิกการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนขอเปิดสภา อาจเป็นวันที่ 22 หรือ 23 เมษายน ก็ได้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เรื่องตั้งกรรมาธิการวิสามัญสอบข้อเท็จจริง ให้ประธานวิปรัฐบาลไปหารือกับวิปรัฐบาลทุกพรรคว่า จะเห็นด้วยตามที่วิปฝ่ายค้านเสนอหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สภาจะวินิจฉัย อย่างไรก็ดี ขณะนี้วุฒิสภามีญัตติอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161ในวันที่ 23 เมษายน ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ใช้พูดกัน นอกจากนี้ ฟังการหารือในที่ประชุมสภา พบว่า ส.ส.อยากให้เปิดประชุมร่วมรัฐสภา ตนเห็นว่า วันนี้มีการกล่าวหาตน รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ แต่คงไม่ใช่จะมาพูดรายละเอียดในวันนี้ แต่ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่มีความคิดทำร้ายประชาชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงและรับฟังทุกฝ่าย ฉะนั้น ข้อหารือที่จะเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 179 ตนพร้อมจะใช้ช่องทางดังกล่าวในการคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นแต่การตัดสินใจเป็นเรื่องครม.จะมีมติในเรื่องนี้ จึงจะหารือครม.เพื่อมีมติเปิดประชุมร่วมรัฐสภาต่อไป แต่ยืนยันว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา

อย่าง ไรก็ดี ส.ส.เพื่อไทย ยังคงไม่พอใจ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นตอบโต้ว่า นายกฯ มีฐานะเป็นส.ส.คนหนึ่ง แต่กลับใช้กระบวนการแบบนี้มาตลอด พฤติกรรมนอกสภาที่เกิดขึ้นต้องไปติดหนวดแล้ว ส่วนนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การเปิดประชุมร่วมรัฐสภาเป็นประโยชน์ แต่ขอให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อน ส่วนนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อสมาชิกรับได้กับการขอเปิดประชุมรัฐสภาของนายกฯ ก็ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาพวกตนถูกต่อรองและโดนต้มมาแล้ว ดังนั้นขอให้บอกมาเลยว่า จะเอาหรือไม่เอา แต่วันนี้ ขอเสนอญัตติให้ที่ประชุมพิจารณาไปตามระเบียบวาระปกติก่อน

จากนั้นนายชัยจะให้ผู้เสนอญัตติทั้งสองอภิปรายเหตุผล แต่นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กลับเสนอญัตติ ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณากรณีส.ส.พรรคเพื่อไทยไปขึ้น เวทีร่วมกับนปช.ยั่วยุปลุกระดมทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง ทำให้การประชุมดุเดือด ส.ส.พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นมาคัดค้านกันวุ่นวายเพราะเห็นว่า ใช้เทคนิคให้ญัตติก่อนหน้านี้ตกไป โดยนายสุนัย ตอบโต้ว่า เป็นการเล่นเล่ห์เพทุบายบนกองเลือด ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนลุกประท้วง โต้ตอบว่า "คนหัวขาวคนนี้ เป็นคนนำม็อบบุกสภาเมื่อ 7 เมษายน" ซึ่งนายสุนัย ตอบกลับด้วยความไม่พอใจว่า "ผมไว้ผมสีขาวเหมือพล.อ.เปรมที่พวกท่านนับถือกัน ไอ้พวกนี้นับถืออำมาตย์ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย เหตุการณ์วันที่ 7 เม.ย.ผมไม่ได้บุกสภา แต่เป็นการวางแผนของรัฐบาล และมีส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ถือปืนเข้ามาในสภาด้วย" ทำให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ประท้วงกันวุ่นวาย จนนายชัย กล่าวว่า "พอกันได้แล้ว" หลายครั้ง แต่ไม่มีใครฟัง จึงสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 5 นาทีในเวลา 11.30 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเปิดประชุมอีกครั้ง ส.ส.ทั้งสองฝ่ายยังคงปะทะคารมต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง โดยฝั่งประชาธิปัตย์ต้องการให้โหวตญัตติของนายธนา แต่นายชัย ยืนยันให้นายพีระพันธุ์ อภิปรายเหตุผลในการเสนอญัตติ โดยนายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ที่เสนอญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญสอบสวน 10 เมษายน 53 เพราะมีคนตาย 25 เจ็บกว่า 800 คน ทั้งที่นายกฯบอกเสมอว่า จะไม่สลายการชุมนุม แต่ความเป็นจริงกลับเลี่ยงมาใช้คำว่าขอคืนพื้นที่ และตอนแรกบอกจะเอาที่ราชประสงค์ และให้ไปชุมนุมที่ผ่านฟ้า แต่ปรากฏว่า กลับไปปราบที่ผ่านฟ้า แถมยังปิดสื่อ แล้วใช้สื่อรัฐออกข่าวฝ่ายเดียว ทั้งที่สื่อลงว่า นายกฯที่เรียนจบประเทศต้นแบบประชาธิปไตยมือเปื้อนเลือด วันที่ 10 เมษายน รัฐบาลรู้ว่า หากปล่อยให้ถึงกลางคืนจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ปล่อย เหมือนเตรียมการจะสังหารประชาชนเพื่อเอาชนะ สุดท้ายเกิดความสูญเสียแต่นายกฯก็ไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบ

ด้าน อรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายสนับสนุนการพิจารณาไปตามระเบียบวาระ โดยระบุว่า ขอให้สภารอประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะหาคำตอบไม่ได้ จะกลายเป็นการเติมเชื้อไฟ ทั้งนี้ วันนี้มีการพูดถึงแก้ว 3 ประการที่ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ มวลชน พรรคการเมือง และกองกำลังติดอาวุธ การเรียกร้องให้ยุบสภา ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของการใช้ประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ถ้าวันไหนได้ประโยชน์จากสภาก็ใช้ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ก็บอกให้ยุบสภา แล้วจะให้เชื่อถือได้อย่างไรเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้ง พฤษภาคม 35 และ 10 เมษายน 53 ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของอำนาจนิยม ซึ่งตนยอมให้เกิดการก้าวไปสู่อำนาจเพื่อคนๆ เดียวไม่ได้ นอกจากนี้กรณีที่อดีตนายกฯ 2 คนคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกมาพูดเรื่องการขอเข้าเฝ้าฯ ไม่เหมาะสม และทั้งสองคนก็เป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 51 ดังนั้นการเปิดสภาเพื่อมาพูดคุยกันเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว

จากนั้นได้เปิดให้ส.ส.ฝ่ายละ 2 คนสนับสนุนญัตติ ปรากฏว่า มีการโต้เถียงกันอย่างวุ่นวายนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง หลังจาก น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพราะมีส.ส.ไปขึ้นเวทีให้การสนับสนุนนปช.และในที่สุด ส.ส.ก็พาประชาชนไปตาย สำหรับนายกฯ นั้นได้พยายามแก้ปัญหาอย่างดีที่สุดภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และถือเป็นรัฐบาลแรกที่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ แต่ประชาชนยังให้การสนับสนุน และไปให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระ มงกุฏ

ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ประท้วงและชี้หน้าน.พ.วรงค์ ว่า เป็นการกล่าวหาส.ส.ทั้งสภาว่าพาคนไปตาย แน่จริงขอให้บอกมาว่าส.ส.คนไหน "ถ้าผมไปชกหน้าคุณแล้วจะว่าอย่างไร" แต่น.พ.วรงค์ตอบโต้ว่า "ผมยังทนฟังที่พวกท่านพูดว่านายกฯ สั่งฆ่าประชาชนได้ แล้วทำไมจึงทนฟังกันไม่ได้กับคำพูดนี้ ทำไมกินปูนร้อนท้อง" ส่วน นายสุนัย ตอบโต้ว่า ถ้ารัฐบาลไม่สั่งให้เอาปืนออกไปยิงประชาชนก็ไม่มีคนตายเกิดขึ้น สุดท้าย นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1ได้สั่งปิดการอภิปรายและให้ลงมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ ไม่รับญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญสอบข้อเท็จจริง 10 เมษายน 53 ด้วยคะแนน 235 ต่อ 137 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 11 เสียง ถือว่าญัตตินี้ตกไป ทำให้นพ.ชลน่าน ประกาศว่า ถ้าเป็นแบบนี้ฝ่ายค้านก็ไม่ขอสังฆกรรม และนำฝ่ายค้านวอล์กเอาท์จากห้องประชุม


ที่มา.ประชาไท
**********************************************

ไม่ได้จบแค่ยุบสภา แล้วไง?

ฝ่ายรัฐบาลพยายามตอกย้ำบ่อยๆว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ไม่ได้จบแค่ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หลังจากนั้นยังมีก้าวต่อไป เช่น นิโทษกรรมให้ทักษิณ ล้มอำมาตย์ ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่า “อำมาตย์” นั้น จำกัดเฉพาะประธานองคมนตรีลงมา หรือว่าเลยขึ้นไปกว่านั้น

แม้แกนนำเสื้อแดงจะประกาศชัดว่า “ล้มอำมาตย์” ขีดเส้นเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลงมาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสถาบัน เพราะ พล.อ.เปรม คืออำมาตย์ใหญ่ที่คนเสื้อแดงเชื่อว่าเข้ามาแทรกแซงการเมืองและอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

แต่กระนั้น ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่า “ล้มอำมาตย์” กินความไปถึง “ล้มสถาบัน” ด้วย ดังคำแถลงการณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุกครั้งมักจะเน้นให้เห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่ปกป้อง “สถาบันหลักของชาติ”

ซึ่งสอดรับกับการเคลื่อนไหวของเสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี และพันธมิตรฯ (ที่ออกมาขีดเส้นตายให้รัฐบาลจัดการกับเสื้อแดงภายใน 7 วัน) ต่างก็ชูประเด็น “การปกป้องสถาบัน” มาคัดค้านการชุมนุมของเสื้อแดง

การที่รัฐบาล เสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี พันธมิตรฯ รวมพลัง “สหบาทา” คนเสื้อแดง ด้วยข้อกล่าวหา “ล้มสถาบัน” นักวิเคราะห์ต่างมองว่าเป็นการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงรอบสองที่สังคมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

ความจริงแล้ว แม้คนเสื้อแดงจะไม่ประกาศว่า “ยุบสภาเป็นเพียงหลักกิโลเมตรที่ 1” คนที่ติดตามการเมืองย่อมรู้อยู่แล้วว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะต้องมีก้าวต่อไป ปัญหาจึงไม่อยู่ที่ว่าจะมีหรือไม่มีก้าวต่อไป แต่อยู่ที่ว่าเขาจะทำอะไร และทำอย่างไร

สมมติก้าวต่อไปของคนเสื้อแดงคือนิรโทษกรรมทักษิณ และล้มอำมาตย์ (จะทำอะไรก่อนหลังก็แล้วแต่)

ถามว่า คนเสื้อแดงมีสิทธิ์ประกาศต่อสาธารณะเช่นนั้นในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้หรือไม่ คำตอบคือมีสิทธิ์ เพราะเป็นการเลือกตั้งเสรีในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองย่อมมีสิทธิ์ประกาศนโยบายให้ประชาชนเลือกได้อย่างอิสระ

ถามว่า ถ้าพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงเลือกได้เป็นรัฐบาลแล้ว มีความชอบธรรมที่จะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณให้สภาพิจารณาหรือไม่ ตอบว่ามี เพราะคุณทักษิณถูกทำรัฐประหาร และถูกใช้กระบวนการรัฐประหารดำเนินคดี ที่สำคัญการเสนอกฎหมายเช่นนั้นก็เป็นไปตามกระบวนการรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย

ในขณะที่คนเสื้อเหลืองก็มีสิทธิคัดค้าน เช่น ล็อบบี้ ส.ส.,ส.ว.ในสภา หรือใช้สิทธิชุมนุมทางการเมืองที่ไม่ละเมิดกฎหมาย แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับข้อยุติตามกระบวนการประชาธิปไตย

เมื่อคุณทักษิณ ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว ก็หมายความว่าคุณทักษิณได้รับความเป็นธรรมจากการที่ถูกรัฐประหาร ถ้าอีกฝ่ายเชื่อว่าคุณทักษิณทุจริตคอร์รัปชันจริง ก็ย่อมที่จะดำเนินการเอาผิดคุณทักษิณตามกระบวนการยุติธรรมปกติในระบอบประชาธิปไตย (ถ้านิรโทษกรรมได้ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าทักษิณไม่โกง แต่เพราะถูกทำรัฐประหาร การรื้อฟื้นคดีทักษิณขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมปกติด้วยเหตุผลว่าทักษิณโกงก็ก็ย่อมเป็นไปได้) และเมื่อนั้น หากศาลตัดสินว่าคุณทักษิณผิดจริงคนเสื้อแดงก็ต้องยอมรับ

ส่วนเรื่องการล้มอำมาตย์ ความหมายของคนเสื้อแดงก็คือ (ประมาณว่า) ต้องการให้ประเทศมีประชาธิปไตยที่เป็นอิสระจากการครอบงำกำกับของอำมาตย์ หรืออำนาจนอกระบอบที่ไม่ได้ยึดโยงอยู่กับอำนาจของประชาชน

ประชาธิปไตยเช่นนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจของตนเองมากขึ้น อย่างน้อยเมื่อประชาชนเลือกรัฐบาลที่มีนโยบายตอบสนองความต้องการของเขา รัฐบาลนั้นๆก็สามารถทำงานตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างอิสระ ไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง หรือทำรัฐประหารอีกต่อไป

การล้มอำมาตย์เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยเช่นนี้ จำเป็นต้องออกกฎหมายปิดทางไม่ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงการเมือง หรือการบริหารงานของรัฐบาลได้ หรือจำเป็นต้องยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่กระทบต่อเสรีภาพของประชาชน และความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ (เช่น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นต้น)

ซึ่งการกระทำดังกล่าว (เป็นต้น) นี้ ก็เป็นการกระทำตามครรลองประชาธิปไตย เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (ตามประกาศคณะราษฎร) อย่างแท้จริง ซึ่งหมายความว่าความมีอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ จะต้องไม่กระทบต่อการมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชน

และสถาบันอื่นๆที่ถือกันว่าต้องไม่แทรกแซงการเมือง เช่น องคมนตรี ทหาร จะต้องมีกฎหมายห้ามแทรกแซงการเมืองและบทลงโทษที่เป็นรูปธรรม ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง

ถามว่า คนเสื้อแดงมีความชอบธรรมที่จะ “ล้มอำมาตย์” ตามครรลองประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ไหม? คำตอบคือ มีความชอบธรรมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการกระทำที่พัฒนาความเป็นประชาธิปไตยอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน

และเมื่อได้ประชาธิปไตยที่พ้นจากการครอบงำกำกับของอำนาจนอกระบบแล้ว การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม และอื่นๆจึงอาจเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพจริง

ฉะนั้น หลักกิโลเมตรต่อไปของคนเสื้อแดง เช่น นิรโทษกรรมทักษิณ ล้มอำมาตย์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดครรลองประชาธิปไตย ไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับสังคมไทย จึงไม่ใช่เงื่อนไขที่จะใช้ทำลายความน่าเชื่อถือของคนเสื้อแดง

แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบกติกาประชาธิปไตยที่จะปิดประตูรัฐประหาร และเป็นรากฐานของสังคมที่เป็นธรรมมากขึ้นในอนาคต!

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดง ก็มีสิทธิ์คัดค้านตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เห็นต้องโยนข้อหาล้มสถาบัน ก่อการร้าย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้อมปราบ หรือกระทั่งใช้ “กฎอัยการศึก”กับคนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกเอาเปรียบ และถูก “ปล้นสิทธิ” มาโดยตลอด

หากเสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี พันธมิตรฯ คิดว่าพวกตนเป็นคนมีการศึกษา มีปัญญาสูงกว่าคนเสื้อแดงจริง ก็ต้องสู้กับคนเสื้อแดงด้วยเหตุผลตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ใช่เรียกร้องให้รัฐบาลใช้กองกำลังทหารล้อมปราบ หรือใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงอย่างที่ทำกันอยู่ขณะนี้!


โดย.นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา.ประชาไท
**************************************************

ปราบม็อบแดงตอนนี้เท่ากับทำลายประเทศไทย

ในขณะนี้มีผู้รู้หลายสำนักออกมาแสดงความเห็นว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงก่อให้เกิดความพินาศแก่เศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมมีความเห็นต่าง แต่ขออนุญาตสาบาน (เพราะกลัวจะไม่เชื่อ) ว่า ผมไม่เคยไปชุมนุมกับคนเสื้อแดงแต่อย่างใด หรือไม่เคยได้รับอามิสหรือมีความสนิทชิดเชื้อกับทักษิณ แต่เป็นความเห็นต่างบนพื้นฐานวิชาการเป็นสำคัญ

ความวุ่นวายทางการเมืองนั้น อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในห้วงเวลาหนึ่ง กรณีตัวอย่างที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งก็คือเหตุการณ์การจลาจลของวัยรุ่นที่ไม่ใช่ผิวขาวในฝรั่งเศส เมื่อปี 2548 ซึ่งมีการเผารถยนต์เกือบหมื่นคัน และกินเวลายาวนานนับเดือน นอกจากนั้นยังเกิดซ้ำในปี 2550 และไม่แน่ว่าในอนาคตจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสในอนาคตอันใกล้อีกหรือไม่

ความเสียหายจากเหตุการณ์ข้างต้นนี้ คงจะสูงมากจนหาค่ามิได้เลยหากประเมินเป็นรายวันแบบที่นักวิชาการไทย สมาคมธุรกิจและเจ้าของธุรกิจใหญ่น้อยออกมาประกาศให้ทราบนั้น ดังที่ทราบกันว่าฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวประมาณ 80 ล้านคนต่อปี ในห้วงเวลาจลาจลดังกล่าว จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปก็คงพอ ๆ กับที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยทั้งปีเลยทีเดียว

เหตุการณ์ร้ายแรงอีกกรณีหนึ่งก็คือ การวางระเบิดในเมืองบาหลี ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2545 จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 202 คน และเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2548 เหตุการณ์ร้ายแรงนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวหดหายลงไปเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยไปอีกนานนับปี

การชุมนุมทางการเมืองที่เนิ่นนานนับเดือน ๆ มีปรากฏให้เห็นทั้งในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจนถึงขั้น “โคม่า” แต่อย่างใด เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองแม้สัมพันธ์กันแต่ก็แตกต่างกันโดยพื้นฐาน นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าใจได้ว่าการเมือง ย่อมแก้ไขด้วยการเมืองกันไป

แต่วิกฤติการณ์ทางการเมืองจะร้ายแรงและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างประเมินค่ามิได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ใช้อาวุธปราบปรามอย่างเอาเป็นเอาตาย เช่นที่เกิดขึ้นในกรณีปราบปรามประชาชนของพม่าเมื่อ พ.ศ.2531 ซึ่งจนถึงวันนี้เศรษฐกิจของพม่าก็ยังไม่ฟื้น และกรณีเทียนอันเหมินของจีน เมื่อ พ.ศ.2532 ซึ่งรัฐบาลจีนก็ยังพยายามแก้ภาพพจน์จนถึงวันนี้ พวกที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารของพม่าก็ลงต่อสู้ใต้ดิน รัฐบาลทหารก็ไม่ค่อยมีเวลาทำงานเพราะต้องคอยค้ำจุนบัลลังก์ของตนเองเป็นสำคัญ

ผมไม่ได้เข้าข้างคนเสื้อแดง แต่ผมขอตำหนิรัฐบาลที่สร้างบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวให้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครโดยไม่จำเป็น เช่น

· การส่งทหารนับพัน ๆ นายไปอยู่เต็มถนนสีลม จนกลายเป็นม็อบสีเขียว
· การส่งรถหุ้มเกราะหรือรถจี๊ปไปประจำการตามสี่แยก
· การส่งกองกำลังจำนวนมากมายไปประจำการตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่างเอิกเกริก
· การส่งพลซุ่มยิงไปประจำการตามตึกต่าง ๆ อย่างกับกำลังทำสงครามกลางเมือง
· การส่งทหารไปประจำการทั้งในและนอกสนามบินสุวรรณภูมิ เดินกันขวักไขว่จนนักท่องเที่ยวตกใจ
· การที่รัฐบาลย้ายที่ทำการเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร

นอกจากนี้การสร้างภาพว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ มีระเบิดร้ายแรง ระเบิดขวด ระเบิดเพลิง ไม้ปลายแหลม ฯลฯ แล้วทหารก็ถืออาวุธร้ายแรงพร้อมกระสุนจริงออกมาเต็มเมือง ก็ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวโดยไม่จำเป็น ภาพที่รัฐบาลสร้างขึ้นนี้ ดูคล้ายศรีลังกาในช่วงที่ยังไม่เสร็จสิ้นสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬ ซึ่งผมไปพบมาในปี 2550 เป็นต้น

ผมขอลงทุนสาบานอีกทีว่า ผมไม่เคยได้รับอะไรจากทักษิณทั้งสิ้น แต่จำเป็นต้องขออนุญาตกราบเรียนรัฐบาลว่า ถ้าความเสียหายที่รัฐบาลอ้างนั้นสูงถึงนับพันล้านจริง รัฐบาลก็ควรจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่เพราะเสียเงินพอ ๆ กัน หรืออาจน้อยกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กล่าวอ้างถึงมากนัก การจัดการเลือกตั้งใหม่ในขณะที่คณะกรรมการ กกต. และองค์กรอิสระทั้งหลายก็ไม่ได้ถูกฝ่ายค้านครองงำเช่นที่เคยกล่าวอ้างในสมัยทักษิณ โอกาสของการเลือกตั้งที่ยุติธรรมจึงมีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่โอกาสที่รัฐบาลจะได้กลับมาหรือไม่ ผมไม่อาจทราบได้

วันนี้รัฐบาลคงต้องเลือกเอาว่าจะทำร้ายประเทศชาติด้วยการปราบปรามคนเสื้อแดง (ซึ่งไม่ดีในสายตารัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาล) หรือจะจัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้ารัฐบาลเลือกการใช้กำลังปราบปราม ผมเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของประเทศไทย พวกคนไทยชั้นสูงก็จะเตรียมตัวเป็น “ไทยอพยพ” ทำวีซ่า กรีนการ์ดไปอยู่ประเทศตะวันตกได้เลย เพราะประเทศไทยที่รักยิ่งของเราก็จะเข้าสู่สงครามกลางเมืองในทันที ทรัพย์สินก็คงจะสูญค่าเหมือนครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในกรุงกัมพูชา และถึงแม้เขมรจะได้มูลค่าทรัพย์สินกลับมาหลังสงครามสงบ เจ้าของทรัพย์ก็ไม่ใช่คนเดียวกันแล้ว!

คนตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร คือรัฐบาล ผมขอสนับสนุนให้รัฐบาลไตร่ตรองดูครับ


ดร.โสภณ พรโชคชัย
ที่มา.ประชาไท
**************************************************

นปช.ประกาศลุยทุกด่าน ศอฉ.ขวางปชช.ร่วมชุมนุม

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช.ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ตนจะทำหน้าที่เป็นแกนนำปกป้องด่านสีลม ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ ซึ่งขณะนี้ ได้ให้กลุ่มคนเสื้อแดงช่วยกันนำยางรถยนต์และไม้ไผ่มาตั้งเป็นแนว เพื่อเป็นด่านป้องกันให้กับเวทีชุมนุมราชประสงค์ หากมีการบุกเข้ามาสลายการชุมนุม ยางรถยนต์ที่วางไว้ ก็พร้อมจะใช้เผาเป็นเชื้อเพลิง จะลามไปไหม้อะไรก็ไม่รับประกัน ส่วนไม้ไผ่ที่เป็นเกราะแนวป้องกัน ก็จะใช้ตีทหารที่จะเข้ามาสลายในทันที ทั้งนี้ ยืนยันว่า จะทำหน้าที่เฝ้าด่านสีลมกับกลุ่มคนเสื้อแดง แม้จะมีกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่จะเข้ามาก่อความปั่นป่วน เราก็จะไม่ตอบโต้ เพราะเราไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรฯ

ต่อมาในเวลา 18.30 น.นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. แถลงข่าวว่า ผลการประชุม ศอฉ.ล่าสุดนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ปิดทุกทางเข้ายังเวทีชุมนุม เพื่อให้คนออกไม่ให้คนเข้า ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นยุทธการที่ใช้ในสงกรานต์เลือด วันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ คงได้ฟังนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.พูดเรื่องท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ จึงได้สั่งการเช่นนี้ ขอเรียนไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ ว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ก็เป็นไพร่คนหนึ่ง เพียงแค่ไปทำงานในวัง แอบอ้างเบื้องสูง ดังนั้น การที่มีผู้หญิงคนหนึ่งสั่งฆ่าประชาชน และ ผบ.ทบ.ไปเชื่อ จะทำให้เห็นว่า กองทัพไทยมีปัญหา ตนอยากให้ พล.อ.อนุพงษ์ ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างมีสติ

“เราตัดสินใจแล้วว่า ถ้ามีด่านสกัดประชาชนไม่ให้เข้า เราจะไปทำลายทุกด่านให้ประชาชนได้เข้ามาชุมนุม ถ้าบีบคั้นหัวใจมาก ๆ จะบุกกองพันทหารราบที่ 11 แต่ละวันมีการเล่นลับ ลวง พราง ออกข่าวการล้อมปราบต่างๆ นานา เป็นเรื่องเกินเหตุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปสภา ก็ตอบได้ทุกคำถาม ยกเว้นการสั่งฆ่าประชาชน พยายามบิดเบือนกรณีผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ ที่ผ่าพบกระสุนของราชการแล้ว นายอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมรับอีกหรือ ขอเรียนว่า แม้จะมีการล้อมปราบ พวกเราจะไม่ถอยหนี และทุกด่านไม่เป็นอุปสรรค การ์ด นปช.ที่อยู่ใกล้ด่านไหน ให้นำกำลังเข้าไปสลาย อย่าให้ปิดประตูตีแมวตอนเช้ามืด ในลักษณะที่ตั้งด่านล้อมเอาไว้ด้วยตำรวจ แล้วเอาทหารไปสลาย ดังนั้น แม่ทัพด่านหน้าทั้งหลาย ได้ยินเสียงแล้ว ให้รีบสำรวจรอบบริเวณ มีการตั้งด่านให้เปิดด่านทันที ” นายจตุพร กล่าว


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

แดงขอนแก่น บุกยึดรถไฟขนทหาร230นาย อ้างแกนนำสั่ง

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 เม.ย. 2553 เกิดเหตุคนเสื้อแดงขอนแก่นรวมตัวกันที่สถานีรถไฟขอนแก่น โดยอ้างว่าจะมีการนำกำลังทหารจากค่ายสีหราชเดโชชัยกรม ทหารราบที่ 8 เข้ากทม.เพื่อเข้าไปสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง และมีกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายไชยา สิมา และนางซาบีน่า ซาร์ นำคนเสื้อแดงกว่า 1,000 คน เข้าปิดล้อมสถานีรถไฟ จ.ขอนแก่น เพื่อขวางไม่ให้ขบวนรถไฟที่บรรทุกรถยีเอ็มซี และรถอื่นๆ รวม 21 คันพร้อมเจ้าหน้าที่ทหารที่นั่งมาเต็มขบวนรถไฟ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานีกรุงเทพฯ จนทำให้ขบวนรถไฟดังกล่าวต้องหยุด โดยกลุ่มคนเสื้อแดงได้โห่ไล่เจ้าหน้าที่ทหารให้ลงจากขบวนรถไฟ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายทหารเป็นอย่างมาก

เมื่อเหตุการณ์ที่มีคนเสื้อแดงกรูเข้าไปยังขบวนรถไฟ ทำให้ผู้บังคับหน่วยทหาร ต้องจำใจเรียกทหารลงจากขบวนรถ เพื่อมาพูดคุยกันกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยผู้บังคับหน่วยทหาร ได้กล่าวชี้แจงว่า ทหารจะเดินทางไปโดยทางรถไฟครั้งนี้เป็นการสับเปลี่ยนกำลังพลที่จังหวัดปัตตานี เพื่อให้ทหารจากจังหวัดสกลนครกลับ ไม่ใช่เป็นการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯแต่อย่างใด แต่กลุ่มผู้ชุมนุมและแกนนำกลับไม่ยอมให้ขบวนรถไฟเคลื่อนไป และได้ยึดขบวนรถไฟบรรทุกรถยีเอ็มซีทหาร 21 คัน พร้อมกับกักตัวทหาร 80 นายเอาไว้เพื่อไม่ให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ จึงทำให้ นายพยัต ชาญประเสริฐ รอง ผจว.ขอนแก่น และ พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งมาดูแลความปลอดภัยพร้อมกับขอเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดงแต่ก็ไม่เป็นผล

นางซาบีน่า ซาห์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่น กล่าวว่า เบื้องต้นได้แจ้งรายละเอียดให้กับแกนนำคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯทราบแล้ว และทางแกนนำก็ได้สั่งมายังคนเสื้อแดงขอนแก่น ว่าหากมีการปล่อยขบวนรถของทหารไปในช่วงนี้ ทหารอาจจะเข้าไปสมทบการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งอาจจะทำให้คนเสื้อแดงบาดเจ็บล้มตายลงอีกจำนวนมาก ดังนั้นจึงขอหยุดขบวนรถทหารเอาไว้ 5 วันถึงจะปล่อยให้ทหารเคลื่อนพลไปได้ และหลังจากกลุ่มเสื้อแดงขอนแก่นประกาศกักขบวนรถทหารพร้อมกำลังพลเอาไว้ 5 วัน กลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่นก็ได้นำเต็นท์มากางขวางทางขบวนรถไฟทหารเอาไว้ พร้อมกับเปิดเวทีปราศรัยย่อยภายในพื้นที่สถานีรถไฟ เพื่อรอดูท่าทีของทหารว่าจะดำเนินการอย่างไรโดยมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมประมาณ 3 พันคน


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************

"เสี่ยบุณยสิทธิ์" ชี้ทางออกจากวิกฤต ปฎิวัติ แย่แน่ๆ นายกฯ ลาออกน่าจะดีที่สุด

"บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ ชี้ทางออกจากวิกฤตความขัดแย้ง วอน 2 ฝ่ายแก้ด้วยสันติ "ลดราวาศอก" ต่อกัน ฟันธง ปฎิวัติ ไม่ดีแน่ ทางออกดีที่สุดตือ นายกฯ อภิสิทธิ์ ลาออก แล้วหาคนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่แทน ตอกนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาด-ก่อกำเนิดเสื้อแดงยึดกรุงเทพ

บทสัมภาษณ์ พิเศษ "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ ประชาชาติธุรกิจ นำมาเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้

@ วอน 2 ฝ่ายแก้ด้วยสันติ "ลดราวาศอก" ต่อกัน
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ให้ความเห็นว่าใครจะชนะหรือแพ้ก็ไม่ดีทั้งสองฝ่าย วิกฤตนี้ต้องแก้ด้วยวิธีสันติเท่านั้น ถ้าทุกคนยอมลดราวาศอก ที่เรียกว่า "ชนะคือแพ้ แพ้คือชนะ" แม้ท้ายทื่สุดผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะยุติการชุมนุมไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบสิ้นได้ง่ายๆ เพราะอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบของการชุมนุมเป็นแบบ "ใต้ดิน" ซึ่งจะยิ่งก่อกวนมากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าทางไหน เราผู้เป็นพ่อค้าก็คงมีแต่รับกรรม ส่วนประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หากจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ก็ต้องถอยคนละก้าว ทุกอย่างเสร็จยิ่งเร็วยิ่งดี

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่าตนเชื่อว่าเศรษฐกิจต้องมีทางออก ทุกอย่างต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าจบเร็ว ก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้เร็ว ถ้าช้าก็เป็นบุญเป็นกรรมตอนนี้นักธุรกิจก็คงไม่อยากทำอะไร อยู่เฉยๆ ปลอดภัยที่สุด

"จริงๆ แล้วผมกลับมองสถานการณ์นี้แง่บวก ถ้าไทยผ่านวิกฤตนี้ไปได้ สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง แก้แล้วไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรง อาจเป็นผลบวกของไทย นำไปสู่ความทันสมัย เพราะรัฐบาล หรือคนที่จะมาเป็นรัฐบาลต่อไปต้องคิดแล้วว่าหากม็อบเสื้อแดงยังสามารถชุมนุมกันได้ขนาดนี้ ต่อไปรัฐจะมาทำอะไรซุ่มซ่ามไม่ได้อีกแล้ว มันเหมือนประเทศไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เปรียบเดิมเราจบแค่ปริญญาตรี หากผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี เท่ากับเราจบปริญญาโท

ปัจจุบันการสู้ของทั้ง 2 ฝ่ายคือการวัดกันว่าใครสามารถอดทนได้มากกว่ากัน เพราะต่างคิดว่าคนเป็นผู้นำก็ต้องมีอาการเบื่อ อย่างแกนนำเสื้อแดงซึ่งมีเพียง 4-5 คน เป็นไปได้ที่อาจจะเลิกราไปเอง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ต้องบอกว่าม็อบของไทยใช้ได้ ยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่มีการปล้น หรือสร้างความเสียหาย ไม่เหมือนสมัยก่อน จริงๆ การคุมม็อบแบบนี้อันตรายมาก

ดังนั้น ผมจึงมองเรื่องนี้แง่บวก ที่เป็นห่วงคือเรื่องมือที่ 3 มากกว่าเพราะไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหน แต่จะไปว่าตอนนี้ม็อบเป็นเหมือนเฟสติวัล (Festival) ปะทะกันรุนแรงขนาดนี้แล้วยังคุยกันรู้เรื่อง แสดงว่าคนไทยมีความอดทนสูง ต่างประเทศมองเข้ามายังชื่นชมทั้งฝ่ายรัฐบาลและม็อบ เพราะเค้าเข้ามาแล้วประเทศไทยขณะนี้ดูอันตรายมาก แต่ะคนไทยก็ยังมองเหมือนไม่มีอะไร มากกว่านั้น หากครั้งนี้เราสามารถจบลงได้อย่างสันติอย่างแท้จริง ไทยจะกลายเป็นแพทเทิร์นของการชุมนุมทางการเมือง หรือม็อบให้กับประเทศอื่นๆ นำไปปฏิบัติตาม

@ ชี้นายกฯ ลาออกเป็นวิธีดีที่สุด
ถามว่าทางออกไหนน่าจะดีที่สุด ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี หรือคนที่สามารถตัดสินใจได้ในเหตุการณ์นี้ว่าจะทำอย่างไร จริงๆ ถ้าเป็นผม ผมจะไปคุย หาก 2 รอบยังไม่พอ ก็จะขอคุยรอบที่ 3 และหากเจรจาจนถึงที่สุดแล้ว จำเป็นจริงๆ ก็อาจต้องให้ตามขอ คือยุบสภา ถ้าจำเป็นก็ต้องโอเค แต่ก็ต้องให้ประชาชนรู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศอย่างไร เพราะปัจจุบันรัฐบาลก็แนวหนึ่ง เสื้อแดงก็แนวหนึ่ง แบบนี้นักธุรกิจยิ่งเครียด ดังนั้น หากมีการยุบสภาตอนนี้ ฐานะนักธุรกิจก็รับได้ ดีกว่าให้ยืดเยื้อแบบนี้

หากมีทางออกอยู่ 3 ทาง คือยุบสภา, ลาออก, รัฐประหาร ผมขอเลือกให้นายกรัฐมนตรีลาออก น่าจะดีที่สุด และเลือกคนที่ดีที่สุดขึ้นมา เพราะแน่นอนว่าหากปฏิวัติจะไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ และทำให้ทุกอย่างแย่ลง

@ ชี้นโยบายศก.ผิดพลาด-ก่อกำเนิดเสื้อแดง
ประธานเครือสหพัฒน์ อธิบายว่า จริงๆ แล้วต้องบอกว่ารัฐบาลประเมินสถานการณ์เรื่องเสื้อแดงไม่ถูกตั้งแต่แรก เพราะมองว่าเสื้อแดงไม่มีคน เพราะถึงขณะนี้เรารู้แล้วว่าเสื้อแดงมีคนมาร่วมด้วยต่อเนื่อง หากให้ผมวิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้ว ส่วนสำคัญทื่ทำให้มีสถานการณ์วันนี้ ต้องบอกว่ามาจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ ต่อเนื่องมาที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีปัญหามากมาย อาทิ นโยบายค่าเงินบาท, การแก้ปัญหาราคาข้าว ฯลฯ ทำให้คนระดับล่างเดือดร้อนเรื่องปากท้อง มีส่วนทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากมีความรู้สึกร่วม ก็ต้องบอกว่าแค่ปัญหาเรื่องข้าว กับค่าเงินบาทแค่นี้ รัฐบาลนี้ยังมองปัญหาไม่ออก จะไปแก้ปัญหาม็อบได้อย่างไร

@ ติงปัญหา "มาบตาพุด" แก้ผิดจุด
นายบุณยสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างกรณีมาบตาพุด มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความรีบร้อนในการออกรัฐธรรมนูญ แล้วบังคับใช้ทันที โดยยังไม่มีกฎหมายลูกมารองรับ เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีที่ถูกต้องจริงๆ ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่สมควรรับฟังว่าใครถูก ใครผิดในกรณีนี้ แต่ควรให้มีการออกกฎหมายลูกให้เสร็จสิ้น ไม่ใช่รีบตัดสินไปก่อน ดังนั้น ขณะนั้นหากรอให้มีกฎหมายลูกออกมาก่อนก็จะไม่เกิดปัญหา ที่ส่งผลกระทบมากถึงปัจจุบันนี้

หรือกรณีของการชุมนุมทางการเมือง หรือม็อบ จริงๆ ก็มาจากการเร่งใช้รัฐธรรมนูญโดยไม่มีกฎหมายลูกเช่นกัน โดยรัฐควรออกกฎหมายลูกออกมาเพื่อบริหารจัดการม็อบ อาทิ จัดสถานที่การชุมนุม, เส้นทางเคลื่อนไหว, มีเวทีให้ไฮปาร์คหรืออภิปราย เป็นต้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

จิ๋ว-สมชาย ออกโรง!

แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัดแทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้เพราะพื้นที่แยกราชประสงค์ เป็นพื้นที่ธุรกิจ และเป็นจุดที่ต่างชาติทั่วโลกให้ความสนใจ ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน จนทำให้

เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุม และของเจ้าหน้าที่ทหารยุทธศาสตร์การชุมนุมของแกนนำ นปช. จึงเปลี่ยนไป เป็นการมุ่งใช้ผลกระทบในเรื่องของเศรษฐกิจ และธุรกิจในย่านราชประสงค์เป็นแรงบีบสำคัญแน่นอนว่า สำหรับแกนนำ นปช. คือ การเพิ่มการกดดัน หวังให้รัฐบาลเลิกดื้อรั้น หรือเพิกเฉย รวมทั้งหวังว่าใจกลางกรุงเทพฯ จะไม่มีการสั่งสลายการชุมนุมให้ต้องมีคนเสียชีวิตอีกแต่ดูเหมือนว่าแรงกดดันนั้นนั้น แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับรู้ เพราะนอกจาก

การชุมนุมจะกดดันแล้ว ภาคธุรกิจผู้ประกอบการเองก็มีการให้ข้อมูล เพื่อให้รัฐบาลเร่งหาทางออกโดยสันติวิธีโดยเร็วเสียทีปัญหาก็คือ ดูเหมือนกลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ หรือ แก๊งเด็ก กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของการมุ่งแต่เรื่องแพ้ – ชนะสอดรับกับความทิฐิของผู้นำรัฐบาล ที่มุ่งมั่นในเรื่องของการรักษากฎหมายที่ประกาศใช้เป็นกฎหมายพิเศษ คือ กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายภาวะฉุกเฉินโดยยึดมั่นว่า เมื่อ

ประกาศใช้แล้ว ต้องให้ได้ผลให้ได้วันนี้ลวดหนามจึงเต็มถนนสีลม วันนี้โรงแรมย่านราชประสงค์ สีลม จึงปิดกิจการชั่วคราวเพราะลำพังการชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย ฝรั่งต่างชาติอาจจะไม่กลัว ไม่วิตก เพราะประเทศไหนๆ ก็มีทั่วโลก แต่การสลายการชุมนุมจนมีคนเสียชีวิต มีภาพเผยแพร่ผ่านสื่อต่างประเทศไปทั่วโลก การส่งกำลังทหารเพิ่มจำนวนมากขึ้น และการขึงลวดหนามบนถนน และที่สำคัญที่สุด การที่ ศอ.ฉ. ประกาศให้ทหารสามารถใช้อาวุธจริงได้ ด้วย

เหตุผลว่าเพื่อให้ทหารใช้ป้องกันตัวแม้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะออกมาย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย ว่า การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือ การป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน “กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้อง

ดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้” เป็นเสมือนการแสดงความรับผิดชอบเอาไว้ล่วงหน้าหากเกิดอะไรขึ้นแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัด

แทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้ปิดเสียเลยโล่งใจกว่าเยอะเลยกลายเป็นโอกาสดีของโรงแรมนอกเมือง อย่างเช่น โรงแรมโนโวเทล บางนา ตอนนี้ยอดเข้าพักพุ่งพรวด จนพนักงานโรงแรมบางคนบอกว่า หากการชุมนุมที่ราชประสงค์ยืดเยื้อ โรงแรมรอบนอกฟื้นแน่ผิดกับตอนที่ม็อบพันธมิตรฯ ยึดสุวรรณภูมิ ตอนนั้นโรงแรม

รอบนอก โดยเฉพาะที่ใกล้สนามบิน สาหัสไปตามๆ กัน อย่างไรก็ตาม แม้จะโชคดีที่มียอดเข้าพักเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็เห็นใจบรรดาพนักงานโรงแรมย่านราชประสงค์เป็นอย่างมากเช่นกัน จึงอยากจะให้มีการเจรจาให้จบๆ ไป โดยไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาแต่ทิฐิ จนการแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ดังนั้น ปัญหาก็คือ รัฐบาลเห็นความเดือดร้อนของธุรกิจโรงแรมเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาลหรือไม่ เพราะดูเหมือนนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงความ

เชื่อมั่นสูง และเป็นแรงหนุนสำคัญในการให้ข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อนายอภิสิทธิ์ว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ยังรับสถานการณ์ได้ หากจำเป็นก็จะใช้งบประมาณเข้ามาช่วยเหลือภาคธุรกิจ หรือรวมทั้ง นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงยืนยันว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยไม่ได้ถูกผลกระทบที่เลวร้ายมากเหมือนที่ภาคเอกชนออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ เช่นการปิดแยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดง มีภาคเอกชนออกมาระบุ

ว่าทำให้เสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวไปกว่า 10,000 ล้านบาท “หากจะมีผู้เดือนร้อนก็ล้วนเป็นมหาเศรษฐีทั้งนั้น เพราะมีแต่โรงแรม 5 ห้าดาวของเศรษฐีหากจะขาดทุนซัก 10,000 ล้านบาท ก็ไม่กระเทือนหรอก”นั่นคือ ข้อมูลที่รัฐบาลได้รับ และเชื่อมั่น จนทำให้ไม่ห่วงกับการยืดเยื้อและการเพิ่มกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ หรือแม้แต่กระทั่งการยินยอมให้มีการใช้อาวุธจริงได้เจอแบบนี้ภาคธุรกิจเอกชนก็พล่านไปหมด เพราะเหตุนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี

และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเป็นห่วงจนทนไม่ได้ ต้องมีการร่วมกันออก “แถลงการณ์สองอดีตนายกรัฐมนตรี” ลงวันที่ 19 เมษายน 2553 โดยแถลงการณ์มีเนื้อหาใจความว่า “ปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้เกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่มีความยุติธรรมในสังคม ความแตกแยกทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะขยายลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ ผมทั้งสองคนเห็นว่า ในระยะยาวนั้น เราไม่อาจแก้ไขปัญหาของ

ประเทศได้ ถ้าเราไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และขจัดการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ผมทั้งสองขอเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ต้องหยุดความรุนแรงและการสังหารประชาชนโดยทันที 2. รัฐบาลต้องประกันว่าจะต้องไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีกแม้แต่คนเดียว 3. ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมทางการเมืองตามปกติภายใต้ความคุ้มครองทาง

กฎหมาย 4. ต้องยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารแต่เพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและเลิกละเมิดสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนและ 5. ให้รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยการยุบสภาทันที คนไทยทุกสีทุกคนมีควมห่วงใยในสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ และทุกคนทุกฝ่ายมีหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ผมทั้งสองคนเชื่อมั่นว่าเราจะหาทางออกให้กับประเทศได้ ถ้าเราตระหนักในรากเหง้าของปัญหา และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ

และจริงจัง” เหตุผลก็คือ ถ้ามีการตัดสินใจให้ประชาชนเลือกของเขาเองทีเดียวก็จบ ถ้าผลเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ240 ตามที่ได้พูดเอาไว้ ทุกฝ่ายก็ต้องเต็มใจที่จะให้ ปชป.บริหารบ้านเมือง ในทางกลับกันหากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกก็ต้องยอมรับ สิ่งนี้ถือว่าแฟร์ที่สุดที่สำคัญพล.อ.ชวลิต พูดชัดเจนว่า ในการเป็นสมาชิกเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามาฯ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานหรือมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้ จึงมีจิตใจที่

แน่วแน่ว่า ชีวิตถวายไว้เบื้องพระยุคลบาทในการปฏิบัติรับใช้พระเดชพระคุณนำเอาความสงบมาสู่บ้านเมือง“พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพเจ้าขอรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เหนือหัว หากสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราในวันนี้นั่นก็คือ ขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้กับพี่น้องคนไทยให้กับพวกเราด้วย กระผมผมคิดว่า ถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว กระผมคิดว่าไม่แน่ใจต่อการสูญเสียภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ มันจะเป็นตราบาปหรือสิ่งที่พี่น้องคน

ไทยไม่ต้องการที่จะเห็นในชีวิต หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพเจ้าขอน้อมรับแต่เพียงผู้เดียวนั่นคือสิ่งที่เราต้องการที่สุดในวันนี้” พล.อ.ชวลิตกล่าวไม่น่าเชื่อว่า การตีแผ่จิตใจลูกผู้ชายว่ามั่นคงต่อการจงรักภักดี กลับถูกบางคนเอาไปบิดเบือนว่า จะกระทำการระคายเบื้องพระยุคลบาทบ้าง เป็นการไม่บังควร ไม่มีวุฒิภาวะบ้าง ที่จะขอเข้าเฝ้าทูลละองงธุลีพระบาททั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิต พูดชัดเมื่อถูกถามว่า การขอพระกรุณาธิคุณจะอยู่ในรูปแบบการถวายฎีกาหรือไม่ พล.อ.ชวลิต

กล่าวว่า เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดวันนี้คงต้องถึงพระเนตร พระกรรณอย่างแน่นอนที่สุด ความเป็นจริงมีความพยายามของพวกเราที่จะไปกราบพระบาทด้วยตัวของพวกเราเองมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าได้ทราบว่าพระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทราบว่าท่านทรงพระสำราญขึ้นแล้ว ก็อาจจะมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ซึ่งคงจะเป็นโชคอย่างที่สุดของคนไทยของเราและของประเทศชาติด้วยนั่นคือ รอคอย มิได้เป็นการคิดจะขอเข้าเฝ้าฯ อย่างที่มีการ

ไปกล่าวหาเลยดังนั้น การพยายามแก้ปัญหา แล้วกลับกลายเป็นแรงกระเพื่อม รวมทั้งมีการไปพูดต่อผิดๆถูกๆ จึงทำให้เห็นชัดว่า น่าเป็นห่วง หากยังคงมีคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ คอยเลือกให้ข้อมูลครึ่งๆกลางๆ อยู่เช่นนี้แล้วการหาทางออกโดยสันติวิธีจะเกิดขึ้นได้อย่างไรดังนั้น ยังคงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก จนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างที่วิตกกัน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************