Sweden Did Not Ask Thaksin to Leave
The Swedish Foreign Ministry confirms that the Thai Government on Monday did request the Swedish government to ask Thaksin Shinawatra to leave Sweden. But Sweden did not ask him to leave, says Anders Joerle, head of the press department of the Swedish Ministry for Foreign Affairs.
The contact between the Thai government and the Swedish Ministry for Foreign Affairs was not in writing byt merely a phonecall.
"The contact was made by phone from the Thai Embassy in Stockholm to the Ministry for Foreign Affairs. There was also a similar phone call to the Swedish Embassy in Thailand from the Thai Ministry for Foreign Affairs," he says.
- Did you ask Thaksin to leave Sweden?
"We did not contact him," he says.
Anders Joerle also has no knowledge of anyone else that could have contacted Thaksin and asked him to leave.
"There was no contact between any part of the Swedish government and Thaksin. The only contact he had with official Sweden was with the immigration police upon his entry and his exit," he says.
Anders Joerle does not know which of Thaksin's passports that he had used when entering and leaving Sweden. He did know either if he left by his own private plane or by a commercial airline.
Because Thaksin is not on any international list of wanted criminals, he is free to enter and exit Sweden as long as he has valid travel documents.
- If Thaksin had been making his phone-in to his followers demonstrating in Bangkok while he was still on Swedish soil, would that land him on a black list in Sweden?
"No we have freedom of speech in Sweden. He is free to call and speak to whoever he wants."
Only if Thaksin had agitated for his followers to commit an act of terrorism, it would have been a problem.
"That's a different situation, but that would have been illegal in Sweden, too", he says.
After he left Sweden, Thaksin made a phone-in to his followers on Tuesday, saying that he was now in Russia.
Thaksin speaking to his supporters by videolink from Sweden. "We have freedom of speech in Sweden," says Foreign Ministry spokesman Anders Joerle.
Thaksin speaking to his supporters by videolink from Sweden. "We have freedom of speech in Sweden," says Foreign Ministry spokesman Anders Joerle.
http://www.scandasia.com/viewNews.php?coun_code=th&news_id=6111
sssssssssssssssssssssssssssss
นาย Anders Joerle หัวหน้าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนได้เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(29 มี.ค.) ทางการไทยได้ร้องขอให้ทางการสวีเดนขับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรออกจากประเทศ แต่สวีเดนไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว
การ ติดต่อระหว่างรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนดังกล่าวไม่ได้ติดต่อ ผ่านทางเอกสารใดๆทั้งสิ้น แต่ติดต่อระหว่างกันด้วยการโทรศัพท์เท่านั้น "การติดต่อดังกล่าวทำผ่านการโทรศัพท์จากสถานทูตไทยในกรุงสต็อกโฮมม์ไปยัง กระทรวงการต่างประทศ ทั้งนี้ยังมีการดำเนินการที่คล้ายๆกันนั้นอีกไปยังสถานทูตสวีเดนในประเทศไทย จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย" นาย Anders เผย
"เราไม่ได้ติดต่อไป ยังเขา(ทักษิณ)" เขากล่าว
มร.Anders ยังได้เผยว่าเขาเองไม่ทราบว่าจะมีใครคนอื่นที่ได้ติดต่อไปยังคุณทักษิณและ เรียกให้เขาออกจากประเทศ
"ไม่มีการติดต่อจากหน่วยงานใดๆทั้งสิ้นของ รัฐบาลสวีเดนไปยังคุณทักษิณ ถ้าจะมีการติดต่อกันก็มีแค่ที่คุณทักษิณต้องยื่นเอกสารการเดินทางกับทางกอง ตรวจคนเข้าเมืองสวีเดนตอนที่เขาเดินทางเข้าและออก" เขากล่าว
มร. Anders ไม่ทราบว่าคุณทักษิณถือพาสปอร์ตประเทศใดในการเดินทางเข้าและออกสวีเดน เขายังไม่ทราบด้วยว่าคุณทักษิณเดินทางออกไปด้วยเครื่องบินส่วนตัวหรือ เครื่องบินพาณิชย์ เพราะว่าชื่อคุณทักษิณไม่ได้อยู่ในลิสต์รายชื่ออาชญากรระหว่างประเทศ ดังนั้นเขาจึงมีอิสระที่จะเข้าหรือออกประเทศสวีเดนตราบใดที่เอกสารการเดิน ทางของเขาไม่ขาดอายุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าคุณทักษิณได้ทำการโฟนอินไปยังผู้สนับสนุนที่ชุมนุมประท้วงอยู่ในกรุงเทพฯ ระหว่างที่เขายังอยู่ในประเทศสวีเดน การกระทำดังกล่าวจะทำให้คุณทักษิณถูกแบล็กลิสต์หรือไม่?
"ไม่ เรามีเสรีภาพในการพูดในประเทศสวีเดน เขามีอิสระที่จะโทรศัพท์และคุยกับใครก็ได้ที่เขาต้องการ" มร.Anders กล่าว
ผู้ สื่อข่าวแทรกว่า ถ้าทักษิณไปสั่งให้ผู้สนับสนุนเขาดำเนินการในเชิงก่อการร้าย นั่นน่าจะเป็นเรื่องนะ
"นั่นเป็นกรณีที่ต่างกันไป นั่นก็ผิดกฏหมายในสวีเดนเช่นกัน" เขากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่ม เติมว่า หลังจากเขาออกจากสวีเดนแล้ว คุณทักษิณได้ทำการโฟนอินไปยังผู้สนับสนุนของเขาเมื่อวันอังคารโดยกล่าวว่า เขาอยู่ในประเทศรัสเซีย
***** น่าไม่อาย โกหก ไปวันๆถุยยยยยย
by mr.winny
ที่มา.ประชาไท
***********************************************
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
แกนนำ เตรียมสู้ศึก ยืดเยื้อยาวนาน
การเจรจาของคณะนายกรัฐมนตรี กับคณะแกนนำ นปช.
เป็นไปตามคาดหมายว่านายกฯ ไม่ยอมยุบสภาภายใน15วัน คืนอำนาจให้ประชาชน
ตามข้อเสนอของแกนนำ นปช. แต่อย่างใด
เพราะยังหลงตัวเองว่าได้อำนาจมาด้วยความชอบธรรม
โดยการสนับสนุนกองทัพและพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ากองทัพ และทุนสื่อ และทุนเอกชน
มีความมั่นใจในพลังสนับสนุนที่ควบคุมกองทัพและพรรคร่วมรัฐบาล
แกนนำ หลังจากหยั่งเชิง ประลองกำลัง ต้องเตรียมสู้ศึก ยืดเยื้อยาวนาน
จะต้องประเมินศึก หาข่าว วางแผนและยุทธวิธีในการสู้ศึกกับรัฐบาลและกองทัพ
ปัจจัยที่ชี้ขาดชัยชนะของมวลชนเสื้อแดง 5 ประการ
การรวมพลังของมวลชนในเมืองและชนบทให้มากที่สุด จะเป็นพลานุภาพส่งผลต่อรัฐบาล
ขวัญกำลังใจของมวลชนกล้าแกร่ง ไม่หวาดหวั่น มุ่งมั่นต่อประชาธิปไตย
สามารถทะลวงการปิดกั้นช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารตามจริง
การประสานการต่อสู้กับแนวร่วมในสภา และนอกสภา และในระดับสากล
การกุมความชอบธรรมในการต่อสู้โดยวิธีสันติอหิงสา จะชนะใจมวลมหาชนให้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วิธีชนะโดยไม่ต้องรบ การโจมตีทางใจถือว่าเป็นเอก
การสลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล กองทัพ พรรคร่วมรัฐบาล กับประชาชน
มุ่งประเด็นการทุจริตประพฤติมิชอบ ความไม่ชอบธรรม ความไม่ยุติธรรม
ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และความขัดแย้งระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง อื่นๆ
โดยการตรวจสอบ ติดตาม ตีแผ่ความจริง และนำเสนอต่อสาธารณชน
นอกจากนี้ระบบอาวุธที่ไร้ความรุนแรง มีทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
รบคือไม่รบ ไม่รบคือรบ
รับเป็นโอกาสรุก รุกเกิดจากรับ
คนเข้ม องค์กรแข็ง ชัยชนะไม่หนีไปไหน สู่เป้าหมายประชาธิปไตย
by ตุลานิรนาม
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
เป็นไปตามคาดหมายว่านายกฯ ไม่ยอมยุบสภาภายใน15วัน คืนอำนาจให้ประชาชน
ตามข้อเสนอของแกนนำ นปช. แต่อย่างใด
เพราะยังหลงตัวเองว่าได้อำนาจมาด้วยความชอบธรรม
โดยการสนับสนุนกองทัพและพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ากองทัพ และทุนสื่อ และทุนเอกชน
มีความมั่นใจในพลังสนับสนุนที่ควบคุมกองทัพและพรรคร่วมรัฐบาล
แกนนำ หลังจากหยั่งเชิง ประลองกำลัง ต้องเตรียมสู้ศึก ยืดเยื้อยาวนาน
จะต้องประเมินศึก หาข่าว วางแผนและยุทธวิธีในการสู้ศึกกับรัฐบาลและกองทัพ
ปัจจัยที่ชี้ขาดชัยชนะของมวลชนเสื้อแดง 5 ประการ
การรวมพลังของมวลชนในเมืองและชนบทให้มากที่สุด จะเป็นพลานุภาพส่งผลต่อรัฐบาล
ขวัญกำลังใจของมวลชนกล้าแกร่ง ไม่หวาดหวั่น มุ่งมั่นต่อประชาธิปไตย
สามารถทะลวงการปิดกั้นช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารตามจริง
การประสานการต่อสู้กับแนวร่วมในสภา และนอกสภา และในระดับสากล
การกุมความชอบธรรมในการต่อสู้โดยวิธีสันติอหิงสา จะชนะใจมวลมหาชนให้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วิธีชนะโดยไม่ต้องรบ การโจมตีทางใจถือว่าเป็นเอก
การสลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล กองทัพ พรรคร่วมรัฐบาล กับประชาชน
มุ่งประเด็นการทุจริตประพฤติมิชอบ ความไม่ชอบธรรม ความไม่ยุติธรรม
ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และความขัดแย้งระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง อื่นๆ
โดยการตรวจสอบ ติดตาม ตีแผ่ความจริง และนำเสนอต่อสาธารณชน
นอกจากนี้ระบบอาวุธที่ไร้ความรุนแรง มีทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
รบคือไม่รบ ไม่รบคือรบ
รับเป็นโอกาสรุก รุกเกิดจากรับ
คนเข้ม องค์กรแข็ง ชัยชนะไม่หนีไปไหน สู่เป้าหมายประชาธิปไตย
by ตุลานิรนาม
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
ไม่ยุบ-อยู่ต่อ?
การเจรจาระหว่างแกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดินกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทั้ง 2 วัน ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ไปทั่วประเทศนั้น
แม้จะไม่สามารถตกลงกันได้ แต่ก็ไม่สูญเปล่า
ถือเป็นมิติใหม่ว่าความขัดแย้งสามารถนำมาพูดคุย เจร จากันได้
นายอภิสิทธิ์ ถึงขนาดฉวยโอกาสข่มว่าไม่มีนายกฯคนใดเคยทำแบบนี้
ส่วนที่มีการพูดจาอย่างกว้างขวาง ก็คือเปิดโอกาสตัวแทน เสื้อแดงได้แสดงจุดยืนและชี้แจงเหตุผลที่ออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ชาวบ้านทั่วประเทศรับฟังโดยตรง
โดยเฉพาะการอธิบายผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549
รวมถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษเข้าไปเกี่ยวข้อง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างเหตุผลที่จะไม่ยุบ และยืนยันว่ามีความชอบธรรม เพราะมีเสียงส.ส.สนับสนุน
ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนฟังว่าจะเชื่อฝ่ายใด
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการที่ไม่เลือกสี ยังเชื่อว่าการยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีขณะนี้
แต่ภายใน 15 วันตามที่นปช.ขีดเส้นอาจจะไม่เหมาะสม
พร้อมกับระบุระยะเวลาที่น่าจะดำเนินการได้ทันที นั่นคือภายใน 3 เดือน
นั่นก็หมายความว่าที่นายอภิสิทธิ์ขอเวลาถึง 9 เดือนนั้น เป็นการยื้อเวลาให้เนิ่นช้าไป
สุ่มเสี่ยงต่อความไม่พอใจของประชาชนที่อาจบานปลายออกไป
โดยเฉพาะม็อบเสื้อแดง ก็ประกาศสู้ และระดมม็อบใหญ่ออกมาบี้จนกว่าจะยุบสภา
รัฐบาลจะทำงานได้อย่างไร ถ้าหากยังมีผู้คนออกมาชุมนุมเต็มท้องถนน ทนแดด ทนร้อน นอนพื้นคอนกรีต และเคลื่อนขบวนออกมากดดันทุกวัน
อย่าลืมว่าคนที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ เป็นชาวบ้าน เป็นรากหญ้า หรือไม่ก็เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาอยู่ในเมือง
วาทกรรม"สงครามไพร่ ขับไล่อำมาตย์" ที่ต่อมามีการขยายผลมาเป็น"สงครามชนชั้น"นั้นโดนใจ ได้ความ รู้สึกร่วมจากมวลชนไม่น้อย
ระยะหลังๆ ก็เริ่มมีคนชั้นกลางที่เห็นความไม่ชอบมาพากล และความดื้อรั้นของผู้นำรัฐบาลพากันออกมาร่วมชุมนุมด้วย
ส่วนเหตุผล 3 ข้อที่รัฐบาลอ้างเพื่ออยู่ต่ออีก 9 เดือนว่าต้องการแก้ไขกฎเกณฑ์กติกา แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดทำแผนไว้เสร็จสรรพนั้น
เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานได้
พูดง่ายๆ ก็คือถ้ายุบช่วงนี้ ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้เปรียบ
จอมเขี้ยวทางการเมืองไม่มีวันยอมแน่
ล่าสุดประกาศว่าจะยึดให้ได้ถึง 280 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*********************************
แม้จะไม่สามารถตกลงกันได้ แต่ก็ไม่สูญเปล่า
ถือเป็นมิติใหม่ว่าความขัดแย้งสามารถนำมาพูดคุย เจร จากันได้
นายอภิสิทธิ์ ถึงขนาดฉวยโอกาสข่มว่าไม่มีนายกฯคนใดเคยทำแบบนี้
ส่วนที่มีการพูดจาอย่างกว้างขวาง ก็คือเปิดโอกาสตัวแทน เสื้อแดงได้แสดงจุดยืนและชี้แจงเหตุผลที่ออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ชาวบ้านทั่วประเทศรับฟังโดยตรง
โดยเฉพาะการอธิบายผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549
รวมถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษเข้าไปเกี่ยวข้อง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างเหตุผลที่จะไม่ยุบ และยืนยันว่ามีความชอบธรรม เพราะมีเสียงส.ส.สนับสนุน
ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนฟังว่าจะเชื่อฝ่ายใด
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการที่ไม่เลือกสี ยังเชื่อว่าการยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีขณะนี้
แต่ภายใน 15 วันตามที่นปช.ขีดเส้นอาจจะไม่เหมาะสม
พร้อมกับระบุระยะเวลาที่น่าจะดำเนินการได้ทันที นั่นคือภายใน 3 เดือน
นั่นก็หมายความว่าที่นายอภิสิทธิ์ขอเวลาถึง 9 เดือนนั้น เป็นการยื้อเวลาให้เนิ่นช้าไป
สุ่มเสี่ยงต่อความไม่พอใจของประชาชนที่อาจบานปลายออกไป
โดยเฉพาะม็อบเสื้อแดง ก็ประกาศสู้ และระดมม็อบใหญ่ออกมาบี้จนกว่าจะยุบสภา
รัฐบาลจะทำงานได้อย่างไร ถ้าหากยังมีผู้คนออกมาชุมนุมเต็มท้องถนน ทนแดด ทนร้อน นอนพื้นคอนกรีต และเคลื่อนขบวนออกมากดดันทุกวัน
อย่าลืมว่าคนที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ เป็นชาวบ้าน เป็นรากหญ้า หรือไม่ก็เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาอยู่ในเมือง
วาทกรรม"สงครามไพร่ ขับไล่อำมาตย์" ที่ต่อมามีการขยายผลมาเป็น"สงครามชนชั้น"นั้นโดนใจ ได้ความ รู้สึกร่วมจากมวลชนไม่น้อย
ระยะหลังๆ ก็เริ่มมีคนชั้นกลางที่เห็นความไม่ชอบมาพากล และความดื้อรั้นของผู้นำรัฐบาลพากันออกมาร่วมชุมนุมด้วย
ส่วนเหตุผล 3 ข้อที่รัฐบาลอ้างเพื่ออยู่ต่ออีก 9 เดือนว่าต้องการแก้ไขกฎเกณฑ์กติกา แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดทำแผนไว้เสร็จสรรพนั้น
เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานได้
พูดง่ายๆ ก็คือถ้ายุบช่วงนี้ ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้เปรียบ
จอมเขี้ยวทางการเมืองไม่มีวันยอมแน่
ล่าสุดประกาศว่าจะยึดให้ได้ถึง 280 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*********************************
วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553
ดร.นันทวัฒน์ ถึง ′รัฐบาล-เสื้อแดง-ประชาชน′ ...ทำอย่างไรถึงจะชนะ !!
การเจรจาของคู่ขัดแย้ง ยังห่างไกลจากความสำเร็จ ใครๆก็รู้ว่า "มาร์ค"ไม่ยุบสภาในเร็ววันนี้ แน่ๆ แล้วทางออกอยู่ที่ไหน ? ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ นักกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ได้อยู่ใน 155 นักวิชาการ แต่เขามีข้อเสนอใหม่ สำหรับรัฐบาล-เสื้อแดง และประชาชน อ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ ต่อไปนี้ อาจทีอาจเห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำ ...
การตั้งโต๊ะเจรจาระหว่าง คู่ขัดแย้ง 3 ชั่วโมง ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ นั่งอยู่ฟากหนึ่ง อีกฟากหนึ่งคือ นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็น 3 ชั่วโมงที่มีการถ่ายทอดสด
แต่ที่สุดก็ตกลงอะไรกันไม่ได้ เมื่อ ฝ่ายเสื้อแดงเสนอให้ยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์
ขณะที่รัฐบาล ไม่รับเงื่อนไข...
วันนี้ ( 29 มี.ค.) เวลา 18.00 น. เวทีเจรจา เกิดขึ้นอีกครั้ง ณ สถาบันพระปกเกล้า แต่นายกฯ บินไปบรูไน ...คำตอบน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก
ก่อนหน้านี้ 155 นักวิชาการลงชื่อจดหมาย เปิดผนึก จี้นายกฯ ยุติวิกฤตเสนอยุบสภาภายใน 3เดือน ทุกกลุ่มต้องรับผลเลือกตั้ง
ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ นักกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ได้อยู่ใน 155 นักวิชาการ แต่เขามีข้อเสนอใหม่ สำหรับ รัฐบาล -เสื้อแดง และประชาชน
อ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ ต่อไปนี้ อาจทีอาจเห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำ ...
@ ไม่อยากเสียความเป็นกลาง
ผมได้รับการสอบถามจากเพื่อนนักวิชาการ สื่อมวลชน และลูกศิษย์ว่าทำไมถึงไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณียึดทรัพย์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไป 2 เหตุผลใหญ่ๆด้วยกัน เหตุผลแรก คือภายหลังที่มีคำพิพากษาและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลออกมา ก็มีข่าวว่าคุณทักษิณฯ จะอุทธรณ์ ผมก็เลยยังไม่อยากให้ความเห็นใดๆก่อนที่จะมี “คำตอบ” ของการอุทธรณ์ออกมาให้ชัดเจนว่า ศาลรับอุทธรณ์หรือไม่ หากรับผลของการอุทธรณ์เป็นอย่างไร
ส่วนเหตุผลที่สองก็เกี่ยวข้องกับเหตุผลแรก เพราะผมเกรงว่า หากให้ความเห็นไปก่อน และหากผมมีความเห็นที่ดี อาจมีผู้นำความเห็นของผมไปใช้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ผลที่ออกมาอาจทำให้ผมถูกจับไปอยู่เป็นพวกของฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งก็จะทำให้เสียความเป็นกลางไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์กรณียึดทรัพย์คุณทักษิณ ฯ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดจริงๆครับ
@ รับภาพ"รัฐบาลในอ้อมกอดทหารไม่ได้ "... เสมือนภาวะสงคราม
การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สร้าง “สีสัน” ให้กับสังคมเมืองหลวงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากว่างเว้นบรรยากาศแบบนั้นไปเสียนานครับ!!! ผมเองก็เช่นเดียวกับคนกรุงเทพฯ ทั่ว ๆ ไปที่เฝ้ามองดูการชุมนุมด้วยความวิตกกังวลว่า จะมีอะไร “เกินขอบเขต” ของการชุมนุมโดยสงบหรือไม่ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน( 29 มีนาคม) สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ยังพอที่จะ “รับได้” อยู่ครับ (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!)
แต่ที่ “รับไม่ได้” ก็คงเป็นเรื่องของมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดโดยภาครัฐเสียมากกว่า
วันนี้ สภาพของกรุงเทพมหานครของเราดูไม่ต่างไปจากประเทศที่มีสงครามเท่าไรนัก บทถนนสาธารณะ มีการนำเอาบังเกอร์คอนกรีตมาวาง มีแผงกั้นถนนอยู่จำนวนมาก รอบสถานที่ราชการบางแห่งก็มีการนำเอารั้วลวดหนามมาติดไว้ ไปไหนมาไหนเจอแต่ทหาร รถทหารก็เยอะ ด่านตรวจเต็มไปหมด ดูข่าวโทรทัศน์ นายกรัฐมนตรีไปไหนก็มีทหารจำนวนมากขนาบข้าง นายกรัฐมนตรีเดินทางก็ใช้เฮลิคอปเตอร์ เรียกได้ว่า สรรพกำลังทางทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆถูกนำมาใช้กันอย่างเต็มที่เพื่อ “ป้องกัน” รัฐบาลและบุคคลสำคัญจาก “คนเสื้อแดง” ทั้งๆที่สื่อของรัฐก็ได้ออกข่าวอยู่ตลอดเวลาว่ามีจำนวนไม่มากเหมือนกับที่ได้ “คุย” เอาไว้ !!!
รัฐบาลน่าจะลองทบทวนดูนะครับว่ามาตรการต่างๆที่กำหนดขึ้นมานี้ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และเหมาะสมหรือไม่ที่ใช้กำลังทหาร ตำรวจจำนวนมากเพื่อรักษาความปลอดภัย “ของตัวเอง” แต่ไปกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของประชาชนทั่วไปครับ !!!
@ เสื้อเหลืองโชคดีกว่าเสื้อแดง ...ฟันธงมาร์คไม่ยุบสภาแน่ !!!
กลับมาดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงกันดีกว่า หากจะวิจารณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็คงตอบได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบ้านเรา (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!)
การต่อสู้ของคนเสื้อแดงยังคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาครับ
ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นนะครับที่ชุมนุมโดยไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน หากยังจำกันได้ สมัยเสื้อเหลืองยึดถนน ยึดทำเนียบอยู่กว่า 2 เดือน ก็มีข้อเรียกร้องแปลก ๆ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวันจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่าคงเป็นอาการปกติของการชุมนุมในประเทศไทยเพื่อ “โค่นล้ม” อีกฝ่ายหนึ่ง “ก่อน” เวลาอันสมควร คือ ยังไม่มี “ข้อหา” ที่ชัดเจน หยิบอะไรได้ จับอะไรได้ ก็เอามาใช้หมด พอข้อหาไม่ชัดเจน จะทำให้คนมาเพิ่มมากขึ้นก็ลำบาก จะเลิกก็ไม่ได้ เลยต้องอยู่ไปอย่างนั้น พยายามหาข้อหาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน
สำหรับเสื้อเหลืองนั้นถือว่าโชคดีอย่างมากถึง 2 หน หนแรก ตอนอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดฐานทำกับข้าวออกโทรทัศน์ หนที่สอง พรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบ เสื้อเหลืองก็เลยมี “ทางลง” ที่สวยงามและไม่ “เสียเหลี่ยม” ครับ แต่ในวันนี้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ “ทางลง” ของเสื้อแดงว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ “เสียเหลี่ยม” เช่นกันครับ
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่จะให้นายกรัฐมนตรียุบสภานั้นเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ถูกต้องด้วยทฤษฎีก็เพราะการยุบสภาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาของการทำงานในรัฐสภาจนทำให้สภาไม่สามารถทำงานต่อไปได้ หรือไม่ก็รัฐสภาไม่ยอมออกกฎหมายให้ฝ่ายบริหาร ทำให้ฝ่ายบริหารทำงานไม่ได้ จึงต้องถูก “ลงโทษ” ด้วยการยุบสภาครับ
ส่วนที่ว่าไม่ถูกต้องด้วยการปฏิบัติก็เพราะว่า ที่ผ่านมามีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะให้มีการ “ทบทวน” บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ก็ยังไม่ควรยุบสภา เพราะหากยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นภายใต้กติกาเดิม ก็คงมีเสียงคัดค้านอีกว่า การเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยครับ
ผมเลยมองไม่เห็น “ทางลง” ของคนเสื้อแดงว่าจะเป็นอย่างไร เพราะผมค่อนข้างแน่ใจว่า นายกรัฐมนตรีคงไม่ยุบสภาเป็นแน่ครับ!
@ ข้อแนะนำ สำหรับ"เสื้อแดง" ขาดหัวและข้อหา
สมมุติว่า หากคนเสื้อแดง “เบื่อ” ที่จะมานั่งตากแดดหรือวิ่งไปทั่วรอบกรุงเทพฯ แล้วเลิกชุมนุมไปเอง อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมคงตอบได้ว่า คงเกิดช่วงเวลา “พักรบ” ของทุกฝ่ายเพื่อที่จะได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น
ผมจึงอยากฝากข้อเสนอแนะสำหรับ “ทุกฝ่าย” เอาไว้ว่า หากต้องมีการ “เริ่มต้น” ชุมนุมครั้งใหญ่กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะชนะได้ครับ !!!
เริ่มจากคนเสื้อแดงก่อน ภายหลังเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายนของปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นสำหรับคนเสื้อแดง ถ้าจะให้วิเคราะห์ก็คงตอบได้ว่า เสื้อแดงขาดหัวและขาดข้อหาครับ
หัวเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้นำที่ดี มีความรู้ มีความสามารถมีกลยุทธ มียุทธวิธี เป็นสิ่งที่ทุกสังคมต้องการ รวมทั้งเสื้อแดงด้วย หากจะบอกว่าคุณทักษิณฯ คือ “หัว” ของเสื้อแดง ก็คงจะต้องบอกต่อไปว่า หัวที่ไม่ได้อยู่ติดตัวคงทำอะไรมากไม่ได้ หัวที่ดีต้องอยู่ร่วมกับตัวด้วย อยู่ร่วมกับมวลชน เดินด้วยกัน กินนอนด้วยกัน ยิ่งหัวมีภาวะผู้นำสูง คนก็จะมาร่วมมากขึ้น อยากมาพบ อยากมาเจอ อยากมาให้กำลังใจ แต่ถ้าหัวใช้วิธีพูดผ่านสื่อต่างๆ คนก็คงขาดอารมณ์และความรู้สึกร่วมไป คนมาร่วมน้อย การชุมนุมก็ไม่เกิดผลตามที่ตั้งใจ
@ เกย์ และ หนีทหาร ไม่ใช่ประเด็น
เสื้อแดงขาดหัวครับ ถ้าอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ หาหัวที่มีภาวะผู้นำและมีข้อหาที่ดีด้วยครับ ข้อหาที่เสื้อแดงใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ พูดซ้ำไปซ้ำมาในเรื่อง “เกย์” หรือไม่ก็เรื่อง “หนีทหาร” คนฟังก็สนุกมันส์ แต่หากจะถามว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรงหรือไม่ก็คงตอบได้เหมือนๆ กันเพราะในสังคมโลก การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่และไม่ใช้เป็นข้อหาร้ายแรงที่จะเอามาใช้ในการล้มรัฐบาล
เช่นเดียวกับข้อหาหนีทหารที่ทุกๆปี ก็มีการหนีทหารอยู่มากมาย จริงอยู่ที่การหนีทหารเป็นความผิด แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดจะไปล้มรัฐบาลได้นะครับ ข้อหาที่จะล้มรัฐบาลได้มีเพียงข้อหาเดียวคือ การทุจริต ต่างหากครับ การทุจริตที่ได้ยินมาในเวลานี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ รวมไปถึงสิ่งที่คนเสื้อแดงกำลังแสดงอยู่คือ “สองมาตรฐาน” ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทุจริตของการใช้อำนาจหน้าที่ประเภทหนึ่งครับ
การทุจริตของนักการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เป็นข่าวใหญ่ๆก็มีอยู่หลายเรื่องที่ในวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทุจริตจริงหรือไม่ และใครเป็นผู้ทุจริต ตัวอย่างเช่น เรื่องปลากระป๋องเน่าหรือเรื่องชุมชนพอเพียง เป็นต้น ในวงการทหารก็มีเหมือนกันนะครับ เครื่อง CT 200 เรือเหาะ งบภาคใต้ งบซื้ออาวุธ แต่ถ้าจะให้ไกลกว่านั้น คงมีเขายายเที่ยงเป็นกรณีที่น่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างมาก แค่ย้ายบ้านหนีแล้วคืนที่ให้กับทางราชการจะทำให้พ้นผิดได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ
@ ถ้า แดง อยากชนะ ต้อง...
ถ้าคนเสื้อแดงอยากชนะ สิ่งที่ควรทำคือ หาคณะทำงานฝีมือดีมากๆมาเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เมื่อพิสูจน์ได้ชัดว่ามีการทุจริตก็ต้องนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระบบต่อสังคม ต่อรัฐสภา ต่อสื่อมวลชน เปิดเวทีอภิปรายสาธารณะ นำเสนอทุกวันอย่างต่อเนื่อง ไม่ชนะก็ให้มันรู้ไปครับ เช่นเดียวกับการทุจริตเชิงนโยบายโดยเฉพาะที่เรียกกันว่า “สองมาตรฐาน” หานักกฎหมายมือดีๆที่รู้จักระบบหรือกระบวนการยุติธรรมมาทำการ “เปรียบเทียบ” การดำเนินการต่างๆที่ว่าสองมาตรฐาน เพื่อชี้ให้สังคมได้เห็นภาพที่ชัดเจนในทุกๆเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกหมายจับ การพิจารณาคดีต่างๆ การยุบพรรคการเมือง ทำการเปรียบเทียบขั้นตอนและระยะเวลาเพื่อให้เห็นชัดเจนกันไปเลยว่ามีการกระทำที่สองมาตรฐานจริงหรือไม่ ถ้าเป็นคดีความที่อยู่ในศาลก็หาคดีประเภทเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต มาดูว่าช้าหรือเร็วกว่าปกติอย่างไร ทุกอย่างต้องทำอย่างชัดเจน เป็นระบบ และถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำได้อย่างนี้แล้วนำเสนอต่อประชาชนด้วยวิธีการง่ายๆ ยังไงก็ชนะครับ !!!
เพราะฉะนั้น หากเสื้อแดงต้องการชนะ สิ่งที่ต้องทำก็คือ จัดระบบใหม่ทั้งหมดด้วยการจัดหาหัวที่ดี มีความรู้ มีภาวะผู้นำ จากนั้นก็ต้องสร้างทีมงานที่ดี มีความรู้ มีความสามารถ ทำงานเป็นระบบ ติดตามเรื่องทุจริตคอรัปชั่นจนได้ความที่ชัดเจนแล้วนำมาเผยแพร่ในวงกว้าง ใช้ข้อมูลเหล่านั้นในทุกเวทีไม่ว่าจะเป็นในสภา ในสื่อทั้งไทยและต่างประเทศ ทำได้อย่างนี้รับรองว่าเลือกตั้งหนหน้าชนะเด็ดขาดครับ !!!
@ มาร์ค อยากชนะ ให้ไปอ่าน “The Prince” ของ Machiavelli
ต่อมาก็คือรัฐบาล ทำอย่างไรรัฐบาลถึงจะชนะเป็นคำถามที่ไม่ยากแล้วก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเลยครับ
สิ่งแรกที่ต้องพึงสังวรณ์ไว้ก็คือ รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศไหนในโลกก็ตาม มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและจัดทำบริการสาธารณะให้กับประชาชน ไม่ได้มีหน้าที่ “ไล่ล่าผู้นำคนเก่า” นะครับ !!! เท่าที่ผ่านมา เราคงเห็นคล้ายๆกันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการไล่ล่าคุณทักษิณฯเหลือเกิน หมกมุ่นอยู่กับการตอบโต้ การให้ข่าว การดำเนินการเพื่อที่จะ “จัดการ” กับคุณทักษิณฯ ทำให้รัฐบาลเสียเวลาไปมากโดยไม่ได้อะไรเลย งบประมาณก็หมดไปมากด้วยนะครับ
นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นอีกด้วย บางทีน่าจะลองไปหาหนังสือเรื่อง “The Prince” ของ Machiavelli มาลองอ่านดูบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าในรัฐที่ไปตีเขามาได้ ผู้ปกครองต้องใช้วิธีสร้างความกลมกลืนกับชนพื้นเมือง การเป็นปฏิปักษ์กับชนพื้นเมืองทำให้มีศัตรูและยากที่จะปกครอง ยิ่งไล่ล่าคุณทักษิณฯ คนที่ชื่นชอบคุณทักษิณฯก็จะยิ่งเป็นศัตรูกับรัฐบาล วันหนึ่งถ้าคนที่เคยอยู่ตรงกลางตัดสินใจย้ายมาอยู่ข้างคุณทักษิณฯ รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้นะครับ
@ สั่งให้ "ทีวีช่องหอยม่วง"หยุดโจมตี ฝ่ายตรงข้าม
เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ เลิกให้ความสนใจกับคุณทักษิณฯ เลิกให้ข่าว เลิกทุกอย่างให้หมด รวมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่องหอยม่วงหยุดเสนอข่าวและหยุดจัดรายการเพื่อโจมตี “อีกฝ่ายหนึ่ง” เสียทีครับ
จากนั้นก็หันหน้ามาทำหน้าที่ตาม Job description ของตนเองให้ครบ จะเหมาะสมกว่า ส่วนสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ พยายามทำให้คนที่ชื่นชมคุณทักษิณฯและคนที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนใจมาสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งผมก็ว่าทำได้ไม่ยากเช่นกันครับ เลิกพูดมาก เลิกวิพากษ์วิจารณ์ เหน็บแนม เลิกเสียดสี และหันมาให้ความสนใจและทุ่มเทให้กับงานที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและของประเทศชาติ ในวันนี้ หากผมเป็นรัฐบาลการจัดระบบสวัสดิการที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยในระยะยาวนะครับ พยายามทำให้ดีมากขึ้นๆ ไม่นานก็ได้ประชาชนส่วนใหญ่มาเป็นพวก เลือกตั้งงวดหน้ายังไงๆก็เกิน 240 เสียงอยู่แล้วครับ !!!
@ ประชาชน แพ้ มาตั้งแต่แรก
ส่วนที่ว่าประชาชนจะชนะได้ด้วยวิธีใดนั้น ผมมองดูว่า ประชาชนแพ้มาตั้งแต่แรกแล้วนะครับ ทำงานหนัก จ่ายภาษีมาก มาให้ “ผู้มีอำนาจ” ทุจริต แค่นี้ก็แพ้อยู่แล้วในสภาวะปกติ เพราะเราไม่สามารถทำอะไรกับ “คนพวกนั้น” ได้เลย ประชาชนส่วนในสภาวะไม่ปกติ เช่นที่มีการชุมนุมนั้น ประชาชนก็แพ้อีก เดิมคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาลแต่คนเมืองหลวงเป็นผู้ล้มรัฐบาล แต่วันนี้กลับกันเสียแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเหตุการณ์จะพัฒนาเป็นรูปใด ที่เป็นอยู่ ประชาชนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองของฝ่ายการเมือง ถูกลากไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอด ทำอย่างไรประชาชนจึงจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวของตัวเอง ใช้สิทธิใช้เสียงของตัวเองได้อย่างอิสระ เลือกนักการเมืองโดยดูจากอุดมการณ์และนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก หากทำได้ประชาชนก็คงเป็นผู้ชนะ เพราะจะได้คนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่ผู้แทนของตนมาเป็นรัฐบาลที่ดีที่จะปกครองประเทศต่อไป
ไม่รู้ว่าใครจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนะครับ ก็คงต้องลองดูหากอยากเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าทำตามแล้วไม่ชนะ จะมาโทษผมไม่ได้นะครับ
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
การตั้งโต๊ะเจรจาระหว่าง คู่ขัดแย้ง 3 ชั่วโมง ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ นั่งอยู่ฟากหนึ่ง อีกฟากหนึ่งคือ นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็น 3 ชั่วโมงที่มีการถ่ายทอดสด
แต่ที่สุดก็ตกลงอะไรกันไม่ได้ เมื่อ ฝ่ายเสื้อแดงเสนอให้ยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์
ขณะที่รัฐบาล ไม่รับเงื่อนไข...
วันนี้ ( 29 มี.ค.) เวลา 18.00 น. เวทีเจรจา เกิดขึ้นอีกครั้ง ณ สถาบันพระปกเกล้า แต่นายกฯ บินไปบรูไน ...คำตอบน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก
ก่อนหน้านี้ 155 นักวิชาการลงชื่อจดหมาย เปิดผนึก จี้นายกฯ ยุติวิกฤตเสนอยุบสภาภายใน 3เดือน ทุกกลุ่มต้องรับผลเลือกตั้ง
ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ นักกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ได้อยู่ใน 155 นักวิชาการ แต่เขามีข้อเสนอใหม่ สำหรับ รัฐบาล -เสื้อแดง และประชาชน
อ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ ต่อไปนี้ อาจทีอาจเห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำ ...
@ ไม่อยากเสียความเป็นกลาง
ผมได้รับการสอบถามจากเพื่อนนักวิชาการ สื่อมวลชน และลูกศิษย์ว่าทำไมถึงไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณียึดทรัพย์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไป 2 เหตุผลใหญ่ๆด้วยกัน เหตุผลแรก คือภายหลังที่มีคำพิพากษาและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลออกมา ก็มีข่าวว่าคุณทักษิณฯ จะอุทธรณ์ ผมก็เลยยังไม่อยากให้ความเห็นใดๆก่อนที่จะมี “คำตอบ” ของการอุทธรณ์ออกมาให้ชัดเจนว่า ศาลรับอุทธรณ์หรือไม่ หากรับผลของการอุทธรณ์เป็นอย่างไร
ส่วนเหตุผลที่สองก็เกี่ยวข้องกับเหตุผลแรก เพราะผมเกรงว่า หากให้ความเห็นไปก่อน และหากผมมีความเห็นที่ดี อาจมีผู้นำความเห็นของผมไปใช้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ผลที่ออกมาอาจทำให้ผมถูกจับไปอยู่เป็นพวกของฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งก็จะทำให้เสียความเป็นกลางไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์กรณียึดทรัพย์คุณทักษิณ ฯ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดจริงๆครับ
@ รับภาพ"รัฐบาลในอ้อมกอดทหารไม่ได้ "... เสมือนภาวะสงคราม
การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สร้าง “สีสัน” ให้กับสังคมเมืองหลวงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากว่างเว้นบรรยากาศแบบนั้นไปเสียนานครับ!!! ผมเองก็เช่นเดียวกับคนกรุงเทพฯ ทั่ว ๆ ไปที่เฝ้ามองดูการชุมนุมด้วยความวิตกกังวลว่า จะมีอะไร “เกินขอบเขต” ของการชุมนุมโดยสงบหรือไม่ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน( 29 มีนาคม) สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ยังพอที่จะ “รับได้” อยู่ครับ (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!)
แต่ที่ “รับไม่ได้” ก็คงเป็นเรื่องของมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดโดยภาครัฐเสียมากกว่า
วันนี้ สภาพของกรุงเทพมหานครของเราดูไม่ต่างไปจากประเทศที่มีสงครามเท่าไรนัก บทถนนสาธารณะ มีการนำเอาบังเกอร์คอนกรีตมาวาง มีแผงกั้นถนนอยู่จำนวนมาก รอบสถานที่ราชการบางแห่งก็มีการนำเอารั้วลวดหนามมาติดไว้ ไปไหนมาไหนเจอแต่ทหาร รถทหารก็เยอะ ด่านตรวจเต็มไปหมด ดูข่าวโทรทัศน์ นายกรัฐมนตรีไปไหนก็มีทหารจำนวนมากขนาบข้าง นายกรัฐมนตรีเดินทางก็ใช้เฮลิคอปเตอร์ เรียกได้ว่า สรรพกำลังทางทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆถูกนำมาใช้กันอย่างเต็มที่เพื่อ “ป้องกัน” รัฐบาลและบุคคลสำคัญจาก “คนเสื้อแดง” ทั้งๆที่สื่อของรัฐก็ได้ออกข่าวอยู่ตลอดเวลาว่ามีจำนวนไม่มากเหมือนกับที่ได้ “คุย” เอาไว้ !!!
รัฐบาลน่าจะลองทบทวนดูนะครับว่ามาตรการต่างๆที่กำหนดขึ้นมานี้ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และเหมาะสมหรือไม่ที่ใช้กำลังทหาร ตำรวจจำนวนมากเพื่อรักษาความปลอดภัย “ของตัวเอง” แต่ไปกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของประชาชนทั่วไปครับ !!!
@ เสื้อเหลืองโชคดีกว่าเสื้อแดง ...ฟันธงมาร์คไม่ยุบสภาแน่ !!!
กลับมาดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงกันดีกว่า หากจะวิจารณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็คงตอบได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบ้านเรา (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!)
การต่อสู้ของคนเสื้อแดงยังคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาครับ
ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นนะครับที่ชุมนุมโดยไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน หากยังจำกันได้ สมัยเสื้อเหลืองยึดถนน ยึดทำเนียบอยู่กว่า 2 เดือน ก็มีข้อเรียกร้องแปลก ๆ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวันจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่าคงเป็นอาการปกติของการชุมนุมในประเทศไทยเพื่อ “โค่นล้ม” อีกฝ่ายหนึ่ง “ก่อน” เวลาอันสมควร คือ ยังไม่มี “ข้อหา” ที่ชัดเจน หยิบอะไรได้ จับอะไรได้ ก็เอามาใช้หมด พอข้อหาไม่ชัดเจน จะทำให้คนมาเพิ่มมากขึ้นก็ลำบาก จะเลิกก็ไม่ได้ เลยต้องอยู่ไปอย่างนั้น พยายามหาข้อหาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน
สำหรับเสื้อเหลืองนั้นถือว่าโชคดีอย่างมากถึง 2 หน หนแรก ตอนอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดฐานทำกับข้าวออกโทรทัศน์ หนที่สอง พรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบ เสื้อเหลืองก็เลยมี “ทางลง” ที่สวยงามและไม่ “เสียเหลี่ยม” ครับ แต่ในวันนี้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ “ทางลง” ของเสื้อแดงว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ “เสียเหลี่ยม” เช่นกันครับ
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่จะให้นายกรัฐมนตรียุบสภานั้นเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ถูกต้องด้วยทฤษฎีก็เพราะการยุบสภาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาของการทำงานในรัฐสภาจนทำให้สภาไม่สามารถทำงานต่อไปได้ หรือไม่ก็รัฐสภาไม่ยอมออกกฎหมายให้ฝ่ายบริหาร ทำให้ฝ่ายบริหารทำงานไม่ได้ จึงต้องถูก “ลงโทษ” ด้วยการยุบสภาครับ
ส่วนที่ว่าไม่ถูกต้องด้วยการปฏิบัติก็เพราะว่า ที่ผ่านมามีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะให้มีการ “ทบทวน” บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ก็ยังไม่ควรยุบสภา เพราะหากยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นภายใต้กติกาเดิม ก็คงมีเสียงคัดค้านอีกว่า การเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยครับ
ผมเลยมองไม่เห็น “ทางลง” ของคนเสื้อแดงว่าจะเป็นอย่างไร เพราะผมค่อนข้างแน่ใจว่า นายกรัฐมนตรีคงไม่ยุบสภาเป็นแน่ครับ!
@ ข้อแนะนำ สำหรับ"เสื้อแดง" ขาดหัวและข้อหา
สมมุติว่า หากคนเสื้อแดง “เบื่อ” ที่จะมานั่งตากแดดหรือวิ่งไปทั่วรอบกรุงเทพฯ แล้วเลิกชุมนุมไปเอง อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมคงตอบได้ว่า คงเกิดช่วงเวลา “พักรบ” ของทุกฝ่ายเพื่อที่จะได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น
ผมจึงอยากฝากข้อเสนอแนะสำหรับ “ทุกฝ่าย” เอาไว้ว่า หากต้องมีการ “เริ่มต้น” ชุมนุมครั้งใหญ่กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะชนะได้ครับ !!!
เริ่มจากคนเสื้อแดงก่อน ภายหลังเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายนของปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นสำหรับคนเสื้อแดง ถ้าจะให้วิเคราะห์ก็คงตอบได้ว่า เสื้อแดงขาดหัวและขาดข้อหาครับ
หัวเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้นำที่ดี มีความรู้ มีความสามารถมีกลยุทธ มียุทธวิธี เป็นสิ่งที่ทุกสังคมต้องการ รวมทั้งเสื้อแดงด้วย หากจะบอกว่าคุณทักษิณฯ คือ “หัว” ของเสื้อแดง ก็คงจะต้องบอกต่อไปว่า หัวที่ไม่ได้อยู่ติดตัวคงทำอะไรมากไม่ได้ หัวที่ดีต้องอยู่ร่วมกับตัวด้วย อยู่ร่วมกับมวลชน เดินด้วยกัน กินนอนด้วยกัน ยิ่งหัวมีภาวะผู้นำสูง คนก็จะมาร่วมมากขึ้น อยากมาพบ อยากมาเจอ อยากมาให้กำลังใจ แต่ถ้าหัวใช้วิธีพูดผ่านสื่อต่างๆ คนก็คงขาดอารมณ์และความรู้สึกร่วมไป คนมาร่วมน้อย การชุมนุมก็ไม่เกิดผลตามที่ตั้งใจ
@ เกย์ และ หนีทหาร ไม่ใช่ประเด็น
เสื้อแดงขาดหัวครับ ถ้าอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ หาหัวที่มีภาวะผู้นำและมีข้อหาที่ดีด้วยครับ ข้อหาที่เสื้อแดงใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ พูดซ้ำไปซ้ำมาในเรื่อง “เกย์” หรือไม่ก็เรื่อง “หนีทหาร” คนฟังก็สนุกมันส์ แต่หากจะถามว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรงหรือไม่ก็คงตอบได้เหมือนๆ กันเพราะในสังคมโลก การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่และไม่ใช้เป็นข้อหาร้ายแรงที่จะเอามาใช้ในการล้มรัฐบาล
เช่นเดียวกับข้อหาหนีทหารที่ทุกๆปี ก็มีการหนีทหารอยู่มากมาย จริงอยู่ที่การหนีทหารเป็นความผิด แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดจะไปล้มรัฐบาลได้นะครับ ข้อหาที่จะล้มรัฐบาลได้มีเพียงข้อหาเดียวคือ การทุจริต ต่างหากครับ การทุจริตที่ได้ยินมาในเวลานี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ รวมไปถึงสิ่งที่คนเสื้อแดงกำลังแสดงอยู่คือ “สองมาตรฐาน” ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทุจริตของการใช้อำนาจหน้าที่ประเภทหนึ่งครับ
การทุจริตของนักการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เป็นข่าวใหญ่ๆก็มีอยู่หลายเรื่องที่ในวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทุจริตจริงหรือไม่ และใครเป็นผู้ทุจริต ตัวอย่างเช่น เรื่องปลากระป๋องเน่าหรือเรื่องชุมชนพอเพียง เป็นต้น ในวงการทหารก็มีเหมือนกันนะครับ เครื่อง CT 200 เรือเหาะ งบภาคใต้ งบซื้ออาวุธ แต่ถ้าจะให้ไกลกว่านั้น คงมีเขายายเที่ยงเป็นกรณีที่น่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างมาก แค่ย้ายบ้านหนีแล้วคืนที่ให้กับทางราชการจะทำให้พ้นผิดได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ
@ ถ้า แดง อยากชนะ ต้อง...
ถ้าคนเสื้อแดงอยากชนะ สิ่งที่ควรทำคือ หาคณะทำงานฝีมือดีมากๆมาเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เมื่อพิสูจน์ได้ชัดว่ามีการทุจริตก็ต้องนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระบบต่อสังคม ต่อรัฐสภา ต่อสื่อมวลชน เปิดเวทีอภิปรายสาธารณะ นำเสนอทุกวันอย่างต่อเนื่อง ไม่ชนะก็ให้มันรู้ไปครับ เช่นเดียวกับการทุจริตเชิงนโยบายโดยเฉพาะที่เรียกกันว่า “สองมาตรฐาน” หานักกฎหมายมือดีๆที่รู้จักระบบหรือกระบวนการยุติธรรมมาทำการ “เปรียบเทียบ” การดำเนินการต่างๆที่ว่าสองมาตรฐาน เพื่อชี้ให้สังคมได้เห็นภาพที่ชัดเจนในทุกๆเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกหมายจับ การพิจารณาคดีต่างๆ การยุบพรรคการเมือง ทำการเปรียบเทียบขั้นตอนและระยะเวลาเพื่อให้เห็นชัดเจนกันไปเลยว่ามีการกระทำที่สองมาตรฐานจริงหรือไม่ ถ้าเป็นคดีความที่อยู่ในศาลก็หาคดีประเภทเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต มาดูว่าช้าหรือเร็วกว่าปกติอย่างไร ทุกอย่างต้องทำอย่างชัดเจน เป็นระบบ และถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำได้อย่างนี้แล้วนำเสนอต่อประชาชนด้วยวิธีการง่ายๆ ยังไงก็ชนะครับ !!!
เพราะฉะนั้น หากเสื้อแดงต้องการชนะ สิ่งที่ต้องทำก็คือ จัดระบบใหม่ทั้งหมดด้วยการจัดหาหัวที่ดี มีความรู้ มีภาวะผู้นำ จากนั้นก็ต้องสร้างทีมงานที่ดี มีความรู้ มีความสามารถ ทำงานเป็นระบบ ติดตามเรื่องทุจริตคอรัปชั่นจนได้ความที่ชัดเจนแล้วนำมาเผยแพร่ในวงกว้าง ใช้ข้อมูลเหล่านั้นในทุกเวทีไม่ว่าจะเป็นในสภา ในสื่อทั้งไทยและต่างประเทศ ทำได้อย่างนี้รับรองว่าเลือกตั้งหนหน้าชนะเด็ดขาดครับ !!!
@ มาร์ค อยากชนะ ให้ไปอ่าน “The Prince” ของ Machiavelli
ต่อมาก็คือรัฐบาล ทำอย่างไรรัฐบาลถึงจะชนะเป็นคำถามที่ไม่ยากแล้วก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเลยครับ
สิ่งแรกที่ต้องพึงสังวรณ์ไว้ก็คือ รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศไหนในโลกก็ตาม มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและจัดทำบริการสาธารณะให้กับประชาชน ไม่ได้มีหน้าที่ “ไล่ล่าผู้นำคนเก่า” นะครับ !!! เท่าที่ผ่านมา เราคงเห็นคล้ายๆกันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการไล่ล่าคุณทักษิณฯเหลือเกิน หมกมุ่นอยู่กับการตอบโต้ การให้ข่าว การดำเนินการเพื่อที่จะ “จัดการ” กับคุณทักษิณฯ ทำให้รัฐบาลเสียเวลาไปมากโดยไม่ได้อะไรเลย งบประมาณก็หมดไปมากด้วยนะครับ
นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นอีกด้วย บางทีน่าจะลองไปหาหนังสือเรื่อง “The Prince” ของ Machiavelli มาลองอ่านดูบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าในรัฐที่ไปตีเขามาได้ ผู้ปกครองต้องใช้วิธีสร้างความกลมกลืนกับชนพื้นเมือง การเป็นปฏิปักษ์กับชนพื้นเมืองทำให้มีศัตรูและยากที่จะปกครอง ยิ่งไล่ล่าคุณทักษิณฯ คนที่ชื่นชอบคุณทักษิณฯก็จะยิ่งเป็นศัตรูกับรัฐบาล วันหนึ่งถ้าคนที่เคยอยู่ตรงกลางตัดสินใจย้ายมาอยู่ข้างคุณทักษิณฯ รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้นะครับ
@ สั่งให้ "ทีวีช่องหอยม่วง"หยุดโจมตี ฝ่ายตรงข้าม
เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ เลิกให้ความสนใจกับคุณทักษิณฯ เลิกให้ข่าว เลิกทุกอย่างให้หมด รวมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่องหอยม่วงหยุดเสนอข่าวและหยุดจัดรายการเพื่อโจมตี “อีกฝ่ายหนึ่ง” เสียทีครับ
จากนั้นก็หันหน้ามาทำหน้าที่ตาม Job description ของตนเองให้ครบ จะเหมาะสมกว่า ส่วนสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ พยายามทำให้คนที่ชื่นชมคุณทักษิณฯและคนที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนใจมาสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งผมก็ว่าทำได้ไม่ยากเช่นกันครับ เลิกพูดมาก เลิกวิพากษ์วิจารณ์ เหน็บแนม เลิกเสียดสี และหันมาให้ความสนใจและทุ่มเทให้กับงานที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและของประเทศชาติ ในวันนี้ หากผมเป็นรัฐบาลการจัดระบบสวัสดิการที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยในระยะยาวนะครับ พยายามทำให้ดีมากขึ้นๆ ไม่นานก็ได้ประชาชนส่วนใหญ่มาเป็นพวก เลือกตั้งงวดหน้ายังไงๆก็เกิน 240 เสียงอยู่แล้วครับ !!!
@ ประชาชน แพ้ มาตั้งแต่แรก
ส่วนที่ว่าประชาชนจะชนะได้ด้วยวิธีใดนั้น ผมมองดูว่า ประชาชนแพ้มาตั้งแต่แรกแล้วนะครับ ทำงานหนัก จ่ายภาษีมาก มาให้ “ผู้มีอำนาจ” ทุจริต แค่นี้ก็แพ้อยู่แล้วในสภาวะปกติ เพราะเราไม่สามารถทำอะไรกับ “คนพวกนั้น” ได้เลย ประชาชนส่วนในสภาวะไม่ปกติ เช่นที่มีการชุมนุมนั้น ประชาชนก็แพ้อีก เดิมคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาลแต่คนเมืองหลวงเป็นผู้ล้มรัฐบาล แต่วันนี้กลับกันเสียแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเหตุการณ์จะพัฒนาเป็นรูปใด ที่เป็นอยู่ ประชาชนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองของฝ่ายการเมือง ถูกลากไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอด ทำอย่างไรประชาชนจึงจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวของตัวเอง ใช้สิทธิใช้เสียงของตัวเองได้อย่างอิสระ เลือกนักการเมืองโดยดูจากอุดมการณ์และนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก หากทำได้ประชาชนก็คงเป็นผู้ชนะ เพราะจะได้คนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่ผู้แทนของตนมาเป็นรัฐบาลที่ดีที่จะปกครองประเทศต่อไป
ไม่รู้ว่าใครจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนะครับ ก็คงต้องลองดูหากอยากเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าทำตามแล้วไม่ชนะ จะมาโทษผมไม่ได้นะครับ
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
ทักษิณตั้งกองทุน 1 ล้านช่วยเสื้อแดงที่เสียชีวิต
นาย นาวิน บุญเศรษฐ์ ผู้ประสานงาน เสื้อแดง หรือ นปช. 17 ภาคเหนือ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กลุ่มเสื้อแดงซึ่งเป็นคนจังหวัดเชียงราย ที่มาร่วมชุมนุม กับกลุ่ม นปช. และเสื้อแดงส่วนกลางแล้วเดินทางกลับบ้านปรากฏว่า ได้เกิดอุบัติเหตุ ขับรถกระบะ ชนกับต้นไม้ที่ริมถนนสายแม่อ้อ - พาน ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ด้วยกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม เรื่องนี้พวกเรารู้สึกเสียใจมาก ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับพี่น้องเสื้อแดง ทั้งนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินมา ว่าจะไม่ทอดทิ้ง ผู้เสียชีวิต ทั้ง 5 ราย และ สั่งให้มีการจัดตั้งกองทุน ช่วยผู้เสียชีวิตเป็นค่าทำศพ จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อเป็นการเยียวยา ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นเราจะมีเงินไปช่วยเหลือส่วนหนึ่ง ซึ่งคงต้องมีการประชุมกันอีกครั้งโดยต้องรอ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนบุตรของผู้เสียชีวิตทั้ง 5 คน พ.ต.ท. ทักษิณ จะส่งให้เรียนจนจบปริญญาตรี
นอกจากนี้ ในวันที่ 2 เมษายน นี้ตนเองในฐานะเป็นผู้ประสานงานเสื้อแดง 17 ภาคเหนือ จะเดินทางไปที่จังหวัดเชียงราย เพื่อไปร่วมงานเป็นเจ้าสภาพสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นคนเสื้อแดง และจะอยู่ถึงวันที่ 3 เมษายน ซึ่งจะเป็นวันเผา แล้วจะกลับมาร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาต่อไป
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***************************************************
นอกจากนี้ ในวันที่ 2 เมษายน นี้ตนเองในฐานะเป็นผู้ประสานงานเสื้อแดง 17 ภาคเหนือ จะเดินทางไปที่จังหวัดเชียงราย เพื่อไปร่วมงานเป็นเจ้าสภาพสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นคนเสื้อแดง และจะอยู่ถึงวันที่ 3 เมษายน ซึ่งจะเป็นวันเผา แล้วจะกลับมาร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาต่อไป
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***************************************************
มติประชาชนเท่านั้นที่ทำลายอำมาตย์ได้
ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ผมเป็นผู้ใช้สิทธิคนหนึ่งในจำนวน10ล้านเศษที่ "ไม่เห็นชอบ" และเมื่อพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งพร้อมทั้งเสนอสัญญษประชาคมว่า"ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกรัฐธรรมนูญ50 และจะนิรโทษกรรมการพรรคไทยรักไทย111 คน ผลการเลือกตั้งจึงได้ 233 คนมีนายสมัครเป็นนายก แถลงนโยบายยังไม่ทันได้ทำงาน กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็รวมกลุ่มคัดค้านการออกกฏหมายนิรโทษ การแก้รัฐธรรมนูญ
การตั้งข้อหาที่หาสาระไม่ได้แต่มีสาระในการต้องออกจากตำแหน่งของนายกสมัคร
ส่วนรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโดนใบแดงทำให้คุณสมชายและกรรมการพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเป็นชุดที่สอง
ทีมAไทยรักไทย ทีมBพลังประชาชน และเพื่อไทยจึงเป็นเพียงทีมC ที่กลายเป็นฝ่ายค้าน แต่การกำจัดทักษิณที่ค้านความรู้สึก จนพัฒนามาถึงการต่อสู้ในปัจจุบันฉายให้เห็นขบวนการทำลายต่อเนื่องก่อนมีรัฐธรรมนูญและหลังมีรัฐธรรมนูญ นั้นทำลายแม้กระทั้งมติของประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชนเพือป็นฝ่ายบริหาร
มติประชาชนต้องเป็นที่สิ้นสุด ตามหลักการและเมื่อมีการทำลายมติประชาชนจึงแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน สาเหตุมาจากกลไกต่างๆในรัฐธรรมนูญ2550 พร้อมทั้งการได้มติ"เห็นชอบ"ในขณะบางพื้นที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยยังประกาศใช้กฏอัยการศึก ซึ่งห้ามการชุมนุมเกินห้าคน ขัดขวางการวิภาควิจารณ์ข้อดีข้อเสียในรัฐธรรมนูญ มติที่ได้ภายใต้การข่มขู่ของคณะยึดอำนาจในขณะนั้น มิใช่ในบรรยากาศประชาธิปไตย
ความเห็นเกี่ยวกับมติรัฐธรรมนูญ 2550 ผมเป็นผู้ใช้สิทธิคนหนึ่งในจำนวน10ล้านเศษที่ "ไม่เห็นชอบ" และเมื่อพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งพร้อมทั้งเสนอสัญญาประชาคมว่า"ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกรัฐธรรมนูญ50 และจะนิรโทษกรรมการพรรคไทยรักไทย111 คน ผลการเลือกตั้งจึงได้ 233 คนมีนายสมัครเป็นนายก แถลงนโยบายยังไม่ทันได้ทำงาน กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็รวมกลุ่มคัดค้านการออกกฏหมายนิรโทษ การแก้รัฐธรรมนูญ
การตั้งข้อหาที่หาสาระไม่ได้แต่มีสาระในการต้องออกจากตำแหน่งของนายกสมัคร
ส่วนรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโดนใบแดงทำให้คุณสมชายและกรรมการพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเป็นชุดที่สอง
ทีมAไทยรักไทย
ทีมBพลังประชาชน
ทีมCเพื่อไทที่กลายเป็นฝ่ายค้าน
แต่การกำจัดทักษิณที่ค้านความรู้สึก จนพัฒนามาถึงการต่อสู้ในปัจจุบันฉายให้เห็นขบวนการทำลายต่อเนื่องก่อนมีและหลังมีรัฐธรรมนูญ นั้นทำลายแม้กระทั้งมติของประชาชนที่ถือว่าสูงสุดในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เมื่อมติประชาชนไม่เป็นที่สิ้นสุด ตามหลักการและเมื่อมีการทำลายมติประชาชนจึงแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน ที่แฝงอยู่ในรัฐธรรมนูญ2550 และที่สำคัญการได้มติ"เห็นชอบ"ในขณะบางพื้นที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยยังประกาศใช้กฏอัยการศึก ซึ่งห้ามการชุมนุมเกินห้าคน ขัดขวางการวิภาควิจารณ์ข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ มติที่ได้ภายใต้การข่มขู่ของคณะยึดอำนาจในขณะนั้น มิใช่ในบรรยากาศประชาธิปไตย
จึงเรียกร้องให้มีการแสดงประชามติ "เห็นชอบ" และ"ไม่เห็นชอบ" เพื่อรับรองรัฐธรรมนูญ2550นี้อีกครั้ง วิธีการนี้จะเป็นทางออกของวิกฤตของชาติหรือไม่ แต่มิได้หวังว่ารัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพแต่คาดหวังให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นเจ้าภาพ จากมติที่"เห็นชอบ 14 ล้านเศษกับ"ไม่เห็นชอบ" 10 ล้านเศษ มติที่ได้ในบางพื้นที่ประกาศใช้กฏอัยการศึก กับมติใหม่ภายใต้บรรยาการประชาธิปไตยนั้นจะแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะใช้มตินี้นี้เป็นสัญญาประชาคม ของประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึงอีกปีเศษ
เป็นอีกหนึ่งช่องทางหรือไม่ในการหาทางล้มรัฐธรรมนู2550ด้วย มติประชาชน ผมว่าไม่น่าจะยากเพราะจำนวนเสียงที่"เห็นชอบ"กับ "ไม่เห็นชอบ" ต่างกันไม่มาก และจะไม่เหมือนการเลือกพลังประชาชนแล้ว ต่างฝ่ายต่างเข้าใจเอาเองว่าเดี๋ยวประชาชนก็จะออกมาช่วยกันไม่ให้เสื้อเหลืองเป็นฝ่ายรุกอยู่ข้างเดียวถึงอย่างไรต้องคุ้มกันให้คนมาถือธง ส่วนประชาชนต่างรอและคิดว่าเลือกแล้วก็ยังไม่รู้จักป้องกันหม้อข้าวหม้อแกงของตนเอง เพราะต่างเข้าใจคนละวิธีกัน ทั้งๆที่ตอนนั้นที่สนามหลวงก็มีกลุ่มต่อต้านเผด็จการอยู่แล้วแต่จำนวนไม่มาก หากว่าเกิดการประสานกำลังในกรุงและกำลังต่างจังหวัด พธม.ก็จะหยุดอยู่แค่หอประชุมธรรมศาสตร์เท่านั้น
และการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนได้บทเรียนแล้ว ผู้แทนคือหอยที่ต้องการเปลือกคือประชาชนที่เลือกเขาคอยปกป้องคุ้มครอง
ที่มา .konthaiuk
************************************************
การตั้งข้อหาที่หาสาระไม่ได้แต่มีสาระในการต้องออกจากตำแหน่งของนายกสมัคร
ส่วนรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโดนใบแดงทำให้คุณสมชายและกรรมการพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเป็นชุดที่สอง
ทีมAไทยรักไทย ทีมBพลังประชาชน และเพื่อไทยจึงเป็นเพียงทีมC ที่กลายเป็นฝ่ายค้าน แต่การกำจัดทักษิณที่ค้านความรู้สึก จนพัฒนามาถึงการต่อสู้ในปัจจุบันฉายให้เห็นขบวนการทำลายต่อเนื่องก่อนมีรัฐธรรมนูญและหลังมีรัฐธรรมนูญ นั้นทำลายแม้กระทั้งมติของประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชนเพือป็นฝ่ายบริหาร
มติประชาชนต้องเป็นที่สิ้นสุด ตามหลักการและเมื่อมีการทำลายมติประชาชนจึงแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน สาเหตุมาจากกลไกต่างๆในรัฐธรรมนูญ2550 พร้อมทั้งการได้มติ"เห็นชอบ"ในขณะบางพื้นที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยยังประกาศใช้กฏอัยการศึก ซึ่งห้ามการชุมนุมเกินห้าคน ขัดขวางการวิภาควิจารณ์ข้อดีข้อเสียในรัฐธรรมนูญ มติที่ได้ภายใต้การข่มขู่ของคณะยึดอำนาจในขณะนั้น มิใช่ในบรรยากาศประชาธิปไตย
ความเห็นเกี่ยวกับมติรัฐธรรมนูญ 2550 ผมเป็นผู้ใช้สิทธิคนหนึ่งในจำนวน10ล้านเศษที่ "ไม่เห็นชอบ" และเมื่อพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งพร้อมทั้งเสนอสัญญาประชาคมว่า"ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกรัฐธรรมนูญ50 และจะนิรโทษกรรมการพรรคไทยรักไทย111 คน ผลการเลือกตั้งจึงได้ 233 คนมีนายสมัครเป็นนายก แถลงนโยบายยังไม่ทันได้ทำงาน กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็รวมกลุ่มคัดค้านการออกกฏหมายนิรโทษ การแก้รัฐธรรมนูญ
การตั้งข้อหาที่หาสาระไม่ได้แต่มีสาระในการต้องออกจากตำแหน่งของนายกสมัคร
ส่วนรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโดนใบแดงทำให้คุณสมชายและกรรมการพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเป็นชุดที่สอง
ทีมAไทยรักไทย
ทีมBพลังประชาชน
ทีมCเพื่อไทที่กลายเป็นฝ่ายค้าน
แต่การกำจัดทักษิณที่ค้านความรู้สึก จนพัฒนามาถึงการต่อสู้ในปัจจุบันฉายให้เห็นขบวนการทำลายต่อเนื่องก่อนมีและหลังมีรัฐธรรมนูญ นั้นทำลายแม้กระทั้งมติของประชาชนที่ถือว่าสูงสุดในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เมื่อมติประชาชนไม่เป็นที่สิ้นสุด ตามหลักการและเมื่อมีการทำลายมติประชาชนจึงแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน ที่แฝงอยู่ในรัฐธรรมนูญ2550 และที่สำคัญการได้มติ"เห็นชอบ"ในขณะบางพื้นที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยยังประกาศใช้กฏอัยการศึก ซึ่งห้ามการชุมนุมเกินห้าคน ขัดขวางการวิภาควิจารณ์ข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ มติที่ได้ภายใต้การข่มขู่ของคณะยึดอำนาจในขณะนั้น มิใช่ในบรรยากาศประชาธิปไตย
จึงเรียกร้องให้มีการแสดงประชามติ "เห็นชอบ" และ"ไม่เห็นชอบ" เพื่อรับรองรัฐธรรมนูญ2550นี้อีกครั้ง วิธีการนี้จะเป็นทางออกของวิกฤตของชาติหรือไม่ แต่มิได้หวังว่ารัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพแต่คาดหวังให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นเจ้าภาพ จากมติที่"เห็นชอบ 14 ล้านเศษกับ"ไม่เห็นชอบ" 10 ล้านเศษ มติที่ได้ในบางพื้นที่ประกาศใช้กฏอัยการศึก กับมติใหม่ภายใต้บรรยาการประชาธิปไตยนั้นจะแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะใช้มตินี้นี้เป็นสัญญาประชาคม ของประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึงอีกปีเศษ
เป็นอีกหนึ่งช่องทางหรือไม่ในการหาทางล้มรัฐธรรมนู2550ด้วย มติประชาชน ผมว่าไม่น่าจะยากเพราะจำนวนเสียงที่"เห็นชอบ"กับ "ไม่เห็นชอบ" ต่างกันไม่มาก และจะไม่เหมือนการเลือกพลังประชาชนแล้ว ต่างฝ่ายต่างเข้าใจเอาเองว่าเดี๋ยวประชาชนก็จะออกมาช่วยกันไม่ให้เสื้อเหลืองเป็นฝ่ายรุกอยู่ข้างเดียวถึงอย่างไรต้องคุ้มกันให้คนมาถือธง ส่วนประชาชนต่างรอและคิดว่าเลือกแล้วก็ยังไม่รู้จักป้องกันหม้อข้าวหม้อแกงของตนเอง เพราะต่างเข้าใจคนละวิธีกัน ทั้งๆที่ตอนนั้นที่สนามหลวงก็มีกลุ่มต่อต้านเผด็จการอยู่แล้วแต่จำนวนไม่มาก หากว่าเกิดการประสานกำลังในกรุงและกำลังต่างจังหวัด พธม.ก็จะหยุดอยู่แค่หอประชุมธรรมศาสตร์เท่านั้น
และการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนได้บทเรียนแล้ว ผู้แทนคือหอยที่ต้องการเปลือกคือประชาชนที่เลือกเขาคอยปกป้องคุ้มครอง
ที่มา .konthaiuk
************************************************
2 ผลโพลล์ชี้ต่างหลังเจรจา โพลล์หนึ่งชี้ยุบ อีกโพลล์ชี้ยุบไม่ใช่ทางออก อย่างไรดีประเทศไทย!
หลังมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. กรุงเทพโพลล์ และเอแบคโพลล์รีบเดินหน้าทำแบบสำรวจความคิดเห็นประชาชนทันที โดย กรุงเทพโพลล์เผย คนกรุง 45.6% เจรจาแล้วยังเหมือนเดิม ขณะที่ 42% เห็นด้วยยุบสภา เฉือนหวิว 41% ไม่เห็นด้วย ขณะที่เอแบคโพลล์ชี้ 47% ไม่มั่นใจว่ายุบสภาคือทางออก มั่นใจแค่ 35% แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลงลึกในรายบุคคลที่ยากจะชี้ทิศทางการเมืองไทย
@กรุงเทพโพลล์เผย คนกรุง 45.6% เจรจาแล้วยังเหมือนเดิม ขณะที่ 42% เห็นด้วยยุบสภา เฉือนหวิว 41% ไม่เห็นด้วย
วันนี้ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้ทำการเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง อนาคตการเมืองไทยหลังการเจรจา 2 ครั้งระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. โดยผลสำรวจระบุว่า คนกรุงเทพ ฯ ร้อยละ 45.6 คิดว่าสถานการณ์การเมืองไทยภายหลังการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. มาแล้ว 2 ครั้ง จะยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ 21.0 คิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ร้อยละ 20.4 คิดว่าสถานการณ์จะแย่ลง และมีร้อยละ 13 ที่ไม่แสดงความคิดเห็น โดยให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง 6.09 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10
ต่อประเด็นเรื่องการยุบสภานั้น ร้อยละ 42.0 เห็นด้วยกับการยุบสภา ร้อยละ 41.0 ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา และมีร้อยละ 17.0 ไม่ขอแสดงความคิดเห็น
ต่อประเด็นหากจะมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่เห็นว่าควรมีการแก้ไขเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้กับระบบการเมืองไทยในอนาคตนั้น ร้อยละ 41.8 เห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยแก้ไขในบางประเด็นของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เช่น ประเด็นข้อกำหนดการยุบพรรคการเมือง ที่มาของ สว. และองค์กรอิสระ การแบ่งเขตเลือกตั้ง สส. ร้อยละ 30.6 ขณะที่อีกร้อยละ 11.2 เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้แทนฉบับปี 2550 นอกจากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ร้อยละ 27.9 ยังมีการเสนอให้แก้ไขในเรื่องอื่นๆ เช่น กำหนดมาตรการป้องกันและเพิ่มโทษของการซื้อสิทธิขายเสียง สร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนักการเมือง โดยมีร้อยละ 30.3 ที่เห็นว่าทุกอย่างดีอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องใดต้องแก้ไข
โดยสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อยากฝากบอกถึงรัฐบาล 5 อันดับแรก คือ เป็นกำลังใจให้รัฐบาลทำงานต่อไปให้ดีที่สุด ร้อยละ 26.9 ให้รัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหาเพื่อจะได้ยุติปัญหาโดยเร็ว ร้อยละ 16.3 ให้เสียสละ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ร้อยละ 13.8 ให้ประนีประนอม ไม่ให้ใช้ความรุนแรง ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ร้อยละ 7.0 ให้คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ร้อยละ 6.6
และสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อยากฝากบอกถึงแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. (5 อันดับแรก) คือ ให้ยุติการชุมนุมโดยเร็ว ร้อยละ 32.7 ไม่ควรนึกถึงประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง ควรนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ร้อยละ 19.5 ชุมนุมได้แต่ควรชุมนุมอย่างสงบไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ร้อยละ 19.0 เป็นกำลังใจให้ชุมนุมต่อไป ร้อยละ 10.4 ให้เจรจาหาทางออก และถอยกันคนละก้าว ร้อยละ 5.1
@เอแบคโพลล์ชี้ 47% ไม่มั่นใจว่ายุบสภาคือทางออก มั่นใจแค่ 35%
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความคิดเห็นของสาธารณชนต่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง โดยประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.4 ติดตามการถ่ายทอดสดการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ร้อยละ 34.4 ไม่ได้ติดตามการถ่ายทอดสด แต่ติดตามจากสื่ออื่นๆ และร้อยละ 16.2 ไม่ได้ติดตามเลย
โดยประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.9 สนับสนุนวิธีการเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 47.8 ไม่มั่นใจว่า การยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ ขณะที่ร้อยละ 35.9 มั่นใจ ที่เหลือไม่มีความเห็น และเมื่อถามถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการตัดสินใจเรื่องการยุบสภา พบว่า ร้อยละ 42.2 ขอให้ทำงานต่อไปจนครบวาระ แต่ร้อยละ 27.2 เสนอให้ยุบสภาภายใน 15 วัน ร้อยละ 13.9 ให้ยุบสภาภายใน 6 เดือน ร้อยละ 13.8 ให้ยุบสภาภายในอีก 9 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงคะแนนความเป็นผู้นำโดยภาพรวมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังการเจรจา พบว่า ร้อยละ 35.5 ให้คะแนนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 35.4 ระบุเหมือนเดิม ร้อยละ 26.2 ระบุลดลง ที่เหลือไม่มีความเห็น และเมื่อถามถึงคะแนน ความเข้มแข็ง กล้าหาญของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ออกมาในหนทางประชาธิปไตย พบว่า ร้อยละ 35.9 ให้คะแนนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.7 ระบุเหมือนเดิม แต่ร้อยละ 32.7 ระบุลดลง ที่เหลือไม่มีความเห็น
ที่น่าพิจารณาสำหรับทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมคือ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุสิ่งที่อยากให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงใช้โอกาสนี้ช่วยกันทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือ ร้อยละ 91.0 ระบุให้ช่วยกันแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ ร้อยละ 89.2 ระบุปัญหาเศรษฐกิจ ร้อยละ 87.2 ระบุปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 87.0 ระบุปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ร้อยละ 84.5 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 80.7 ระบุปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน และร้อยละ 79.2 ระบุปัญหาภัยแล้ง ตามลำดับ
โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปทุมธานี เพชรบุรี เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สกลนคร หนองบัวลำภู พัทลุง ระนอง และ สุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,191 ครัวเรือน ดำเนินการสำรวจในวันที่ 30 มีนาคม 2553
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************
@กรุงเทพโพลล์เผย คนกรุง 45.6% เจรจาแล้วยังเหมือนเดิม ขณะที่ 42% เห็นด้วยยุบสภา เฉือนหวิว 41% ไม่เห็นด้วย
วันนี้ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้ทำการเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง อนาคตการเมืองไทยหลังการเจรจา 2 ครั้งระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. โดยผลสำรวจระบุว่า คนกรุงเทพ ฯ ร้อยละ 45.6 คิดว่าสถานการณ์การเมืองไทยภายหลังการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. มาแล้ว 2 ครั้ง จะยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ 21.0 คิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ร้อยละ 20.4 คิดว่าสถานการณ์จะแย่ลง และมีร้อยละ 13 ที่ไม่แสดงความคิดเห็น โดยให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง 6.09 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10
ต่อประเด็นเรื่องการยุบสภานั้น ร้อยละ 42.0 เห็นด้วยกับการยุบสภา ร้อยละ 41.0 ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา และมีร้อยละ 17.0 ไม่ขอแสดงความคิดเห็น
ต่อประเด็นหากจะมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่เห็นว่าควรมีการแก้ไขเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้กับระบบการเมืองไทยในอนาคตนั้น ร้อยละ 41.8 เห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยแก้ไขในบางประเด็นของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เช่น ประเด็นข้อกำหนดการยุบพรรคการเมือง ที่มาของ สว. และองค์กรอิสระ การแบ่งเขตเลือกตั้ง สส. ร้อยละ 30.6 ขณะที่อีกร้อยละ 11.2 เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้แทนฉบับปี 2550 นอกจากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ร้อยละ 27.9 ยังมีการเสนอให้แก้ไขในเรื่องอื่นๆ เช่น กำหนดมาตรการป้องกันและเพิ่มโทษของการซื้อสิทธิขายเสียง สร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนักการเมือง โดยมีร้อยละ 30.3 ที่เห็นว่าทุกอย่างดีอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องใดต้องแก้ไข
โดยสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อยากฝากบอกถึงรัฐบาล 5 อันดับแรก คือ เป็นกำลังใจให้รัฐบาลทำงานต่อไปให้ดีที่สุด ร้อยละ 26.9 ให้รัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหาเพื่อจะได้ยุติปัญหาโดยเร็ว ร้อยละ 16.3 ให้เสียสละ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ร้อยละ 13.8 ให้ประนีประนอม ไม่ให้ใช้ความรุนแรง ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ร้อยละ 7.0 ให้คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ร้อยละ 6.6
และสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อยากฝากบอกถึงแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. (5 อันดับแรก) คือ ให้ยุติการชุมนุมโดยเร็ว ร้อยละ 32.7 ไม่ควรนึกถึงประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง ควรนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ร้อยละ 19.5 ชุมนุมได้แต่ควรชุมนุมอย่างสงบไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ร้อยละ 19.0 เป็นกำลังใจให้ชุมนุมต่อไป ร้อยละ 10.4 ให้เจรจาหาทางออก และถอยกันคนละก้าว ร้อยละ 5.1
@เอแบคโพลล์ชี้ 47% ไม่มั่นใจว่ายุบสภาคือทางออก มั่นใจแค่ 35%
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความคิดเห็นของสาธารณชนต่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง โดยประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.4 ติดตามการถ่ายทอดสดการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ร้อยละ 34.4 ไม่ได้ติดตามการถ่ายทอดสด แต่ติดตามจากสื่ออื่นๆ และร้อยละ 16.2 ไม่ได้ติดตามเลย
โดยประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.9 สนับสนุนวิธีการเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 47.8 ไม่มั่นใจว่า การยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ ขณะที่ร้อยละ 35.9 มั่นใจ ที่เหลือไม่มีความเห็น และเมื่อถามถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการตัดสินใจเรื่องการยุบสภา พบว่า ร้อยละ 42.2 ขอให้ทำงานต่อไปจนครบวาระ แต่ร้อยละ 27.2 เสนอให้ยุบสภาภายใน 15 วัน ร้อยละ 13.9 ให้ยุบสภาภายใน 6 เดือน ร้อยละ 13.8 ให้ยุบสภาภายในอีก 9 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงคะแนนความเป็นผู้นำโดยภาพรวมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังการเจรจา พบว่า ร้อยละ 35.5 ให้คะแนนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 35.4 ระบุเหมือนเดิม ร้อยละ 26.2 ระบุลดลง ที่เหลือไม่มีความเห็น และเมื่อถามถึงคะแนน ความเข้มแข็ง กล้าหาญของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ออกมาในหนทางประชาธิปไตย พบว่า ร้อยละ 35.9 ให้คะแนนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.7 ระบุเหมือนเดิม แต่ร้อยละ 32.7 ระบุลดลง ที่เหลือไม่มีความเห็น
ที่น่าพิจารณาสำหรับทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมคือ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุสิ่งที่อยากให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงใช้โอกาสนี้ช่วยกันทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือ ร้อยละ 91.0 ระบุให้ช่วยกันแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ ร้อยละ 89.2 ระบุปัญหาเศรษฐกิจ ร้อยละ 87.2 ระบุปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 87.0 ระบุปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ร้อยละ 84.5 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 80.7 ระบุปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน และร้อยละ 79.2 ระบุปัญหาภัยแล้ง ตามลำดับ
โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปทุมธานี เพชรบุรี เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สกลนคร หนองบัวลำภู พัทลุง ระนอง และ สุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,191 ครัวเรือน ดำเนินการสำรวจในวันที่ 30 มีนาคม 2553
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************
เงื่อนไขเจรจา ที่ไม่ได้พูดหน้าทีวี!
"ผมไม่ผิดหวังกับการเจรจาที่ล้มเหลว เพราะผมไม่ได้คาดหวังตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าจะประสบความสำเร็จ
เหตุทั้งสองฝ่ายนั่งลงหารือไม่ได้มุ่งหวังผล เนื่องจากทราบดีว่าเงื่อนไขของแต่ละฝ่ายยากที่จะรับได้ แต่ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดีในระบอบประชาธิปไตย ที่ความขัดแย้งถูกยกขึ้นมาบนเวทีเจรจา แทนที่จะห้ำหั่นบนท้องถนน"
ฝ่ายรัฐบาลชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะไม่ยุบสภาในระยะสั้นอย่างแน่นอน ตราบใดที่งบประประมาณรายจ่ายปี 2554 ยังไม่มีผลบังคับใช้ เพราะทุกรัฐบาลหวังอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้จัดสรร "เม็ดเงิน" ผ่านงบประมาณด้วยตัวเอง
ตามปฏิทิน งบประมาณปี 2554 นั้น 27 เม.ย. คณะรัฐมนตรี จะพิจารณากรอบในรายละเอียด และช่วง 26-27 พ.ค. พิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร 6 ก.ย. จะพิจารณาในที่ประชุมวุฒิสภา และคาดว่า 10 ก.ย. 2553 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะสามารถนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2554 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมาย
นัยของรัฐบาล เงื่อนไขงบประมาณรายจ่ายปี 2554 หลังเดือนก.ย. ถึงยุบสภาได้...จึงไม่แปลกที่ยื่นข้อเสนอ จะยุบสภาได้สิ้นปี สอดรับกับมุมมองของ "บรรหาร ศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นว่า ยุบสภาได้ต้องรอ 6-7 เดือน
แต่สิ่งที่เป็นเงื่อนไข ยิ่งใหญ่กว่างบประมาณรายจ่าย คือ ขั้นตอนการโยกย้ายข้าราชการตำรวจและนายทหาร "โดยเฉพาะโผโยกย้ายนายทหารระดับสูง" ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็อยู่ช่วงเดือนส.ค.หรือเดือนก.ย.นั่นแหละ!
รัฐบาลและนายทหารที่กุมอำนาจในกองทัพ ปัจจุบันยอมไม่ได้ ที่จะให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนเดือนส.ค.หรือเดือนก.ย. นำไปสู่ "ความไม่แน่นอนในกองทัพ"
หากมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้ง คงไม่น่าวิตก แต่สถานการณ์วันนี้ "สุ่มเสี่ยง" แพ้หรือชนะ โอกาสเท่ากัน ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เตรียมคลอดนโยบายหาเสียง "พักหนี้ 5 ปี หนี้ไม่เกิน 5 แสน" น่าจะได้รับการตอบสนอง ความนิยมในวงกว้าง เพราะยากที่ประชาชนจะตระหนักว่านั่นคือภาษีของตัวเอง
กองทัพจึงไม่พิสมัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ก่อนเดือนก.ย. นี้ เพราะอาจจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนของบุคคล ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก คนใหม่ และในอีกหลายตำแหน่งที่สำคัญ
ขั้วอำนาจในปัจจุบันวางแถวไว้เรียบร้อยแล้ว !
นี้คือเหตุผลที่รัฐบาลไม่ได้ยกมาเจรจาหน้าทีวี
พ.ต.ท.ทักษิณ และ แกนนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เข้าร่วมเจรจา ก็ทราบเงื่อนไขเรื่องนี้ดี จึงยื่นข้อเสนอยุบสภา ภายใน 15 วัน หรืออาจจะยืดให้ถึง 3 เดือน ตามที่นักวิชาการเสนอ
เพราะเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งก่อนเดือนก.ย. 2553 พรรคเพื่อไทย "ชนะแน่"! ด้วยนโยบาย "ประชานิยมสุดขั้ว" พักหนี้ 5 ปี 5 แสนบาท เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้านฯ และอีกมากมาย
ได้อำนาจทางการเมือง ก่อนเดือนก.ย. เพื่อเข้าไปจัดสรร ตำแหน่งคนของตัวเองเข้าไปในองค์กรหลักของประเทศ อย่างเช่นหลังเลือกตั้งปี 2544 เคยปฏิบัติมาแล้ว หรืออีกนัย เบรกไม่ให้รัฐบาล แต่งตั้งโผนายทหารได้สำเร็จ
สามแกนนำ นปช.จึงปฏิเสธข้อเสนอรัฐบาลที่จะยุบสภาภายใน 9 เดือน
เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้เงื่อนไข "จริง" และมีคำตอบอยู่แล้ว ไยถึงมานั่งเจรจา ขายฝันให้คนทั้งประเทศมีความหวัง ?
เพราะได้ออกฟรีทีวีทุกช่อง..."เรียลลิตี้โชว์ทางการเมือง" เพื่อใช้สื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง !
เสื้อแดง...หวังสื่อรายงานสิ่งที่พูดบทเวทีผ่านฟ้า ผ่านสื่อกระแสหลัก ที่มีการถ่ายทอดสดตลอดเจรจา 2 ชั่วโมง...เนื้อหาในวันเจรจา จึงดูเป็นตั้งกระทู้...กล่าวหา...อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มากกว่า จะเป็นการ "เจรจา" อย่างแท้จริง (ยกเว้น วีระ มุสิกพงศ์)
รัฐบาล...ต้องการ "สื่อ" ไปยังทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะ "ฝ่ายตรงกลาง" ตอบโต้ทุกข้อกล่าวหา เพื่อให้เห็นความชอบธรรม ของการดำรงอยู่ แทนที่จะยุบสภาในระยะเวลาอันสั้น
เอาเข้าจริง...เงื่อนไข ยุบสภา 15 วัน หรือ 3 เดือน ที่ นปช.เสนอ หรือ 9 เดือนที่รัฐบาลเสนอ เกี่ยวข้องกับการรักษาอำนาจและแย่งชิงอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น
การดำรงอยู่และได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะจัดการบางอย่าง
เงื่อนไขที่ไม่ได้อยู่ในการเจรจาหน้าทีวี จึงไม่แปลกที่ทั้งสองฝ่าย "ยอมกันไม่ได้" ทั้งๆ ที่น่าสงสัยว่าทำไม 9 เดือน ก็ไม่ได้นานเกินไปที่จะรอ และเสื้อแดงน่าจะ "ประกาศเป็นชัยชนะได้ว่า กดดันจนนายกรัฐมนตรียอมเจรจาและระบุช่วงวันยุบสภาชัดเจน"
หากมีการเจรจารอบสาม และหวังผลได้ข้อตกลงจากการหารือผ่านหน้าจอทีวี...ไม่มีประโยชน์อีกแล้วครับ !
โดย.วีระศักดิ์ พงษ์อักษร
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************
เหตุทั้งสองฝ่ายนั่งลงหารือไม่ได้มุ่งหวังผล เนื่องจากทราบดีว่าเงื่อนไขของแต่ละฝ่ายยากที่จะรับได้ แต่ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดีในระบอบประชาธิปไตย ที่ความขัดแย้งถูกยกขึ้นมาบนเวทีเจรจา แทนที่จะห้ำหั่นบนท้องถนน"
ฝ่ายรัฐบาลชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะไม่ยุบสภาในระยะสั้นอย่างแน่นอน ตราบใดที่งบประประมาณรายจ่ายปี 2554 ยังไม่มีผลบังคับใช้ เพราะทุกรัฐบาลหวังอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้จัดสรร "เม็ดเงิน" ผ่านงบประมาณด้วยตัวเอง
ตามปฏิทิน งบประมาณปี 2554 นั้น 27 เม.ย. คณะรัฐมนตรี จะพิจารณากรอบในรายละเอียด และช่วง 26-27 พ.ค. พิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร 6 ก.ย. จะพิจารณาในที่ประชุมวุฒิสภา และคาดว่า 10 ก.ย. 2553 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะสามารถนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2554 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมาย
นัยของรัฐบาล เงื่อนไขงบประมาณรายจ่ายปี 2554 หลังเดือนก.ย. ถึงยุบสภาได้...จึงไม่แปลกที่ยื่นข้อเสนอ จะยุบสภาได้สิ้นปี สอดรับกับมุมมองของ "บรรหาร ศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นว่า ยุบสภาได้ต้องรอ 6-7 เดือน
แต่สิ่งที่เป็นเงื่อนไข ยิ่งใหญ่กว่างบประมาณรายจ่าย คือ ขั้นตอนการโยกย้ายข้าราชการตำรวจและนายทหาร "โดยเฉพาะโผโยกย้ายนายทหารระดับสูง" ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็อยู่ช่วงเดือนส.ค.หรือเดือนก.ย.นั่นแหละ!
รัฐบาลและนายทหารที่กุมอำนาจในกองทัพ ปัจจุบันยอมไม่ได้ ที่จะให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนเดือนส.ค.หรือเดือนก.ย. นำไปสู่ "ความไม่แน่นอนในกองทัพ"
หากมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้ง คงไม่น่าวิตก แต่สถานการณ์วันนี้ "สุ่มเสี่ยง" แพ้หรือชนะ โอกาสเท่ากัน ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เตรียมคลอดนโยบายหาเสียง "พักหนี้ 5 ปี หนี้ไม่เกิน 5 แสน" น่าจะได้รับการตอบสนอง ความนิยมในวงกว้าง เพราะยากที่ประชาชนจะตระหนักว่านั่นคือภาษีของตัวเอง
กองทัพจึงไม่พิสมัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ก่อนเดือนก.ย. นี้ เพราะอาจจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนของบุคคล ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก คนใหม่ และในอีกหลายตำแหน่งที่สำคัญ
ขั้วอำนาจในปัจจุบันวางแถวไว้เรียบร้อยแล้ว !
นี้คือเหตุผลที่รัฐบาลไม่ได้ยกมาเจรจาหน้าทีวี
พ.ต.ท.ทักษิณ และ แกนนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เข้าร่วมเจรจา ก็ทราบเงื่อนไขเรื่องนี้ดี จึงยื่นข้อเสนอยุบสภา ภายใน 15 วัน หรืออาจจะยืดให้ถึง 3 เดือน ตามที่นักวิชาการเสนอ
เพราะเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งก่อนเดือนก.ย. 2553 พรรคเพื่อไทย "ชนะแน่"! ด้วยนโยบาย "ประชานิยมสุดขั้ว" พักหนี้ 5 ปี 5 แสนบาท เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้านฯ และอีกมากมาย
ได้อำนาจทางการเมือง ก่อนเดือนก.ย. เพื่อเข้าไปจัดสรร ตำแหน่งคนของตัวเองเข้าไปในองค์กรหลักของประเทศ อย่างเช่นหลังเลือกตั้งปี 2544 เคยปฏิบัติมาแล้ว หรืออีกนัย เบรกไม่ให้รัฐบาล แต่งตั้งโผนายทหารได้สำเร็จ
สามแกนนำ นปช.จึงปฏิเสธข้อเสนอรัฐบาลที่จะยุบสภาภายใน 9 เดือน
เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้เงื่อนไข "จริง" และมีคำตอบอยู่แล้ว ไยถึงมานั่งเจรจา ขายฝันให้คนทั้งประเทศมีความหวัง ?
เพราะได้ออกฟรีทีวีทุกช่อง..."เรียลลิตี้โชว์ทางการเมือง" เพื่อใช้สื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง !
เสื้อแดง...หวังสื่อรายงานสิ่งที่พูดบทเวทีผ่านฟ้า ผ่านสื่อกระแสหลัก ที่มีการถ่ายทอดสดตลอดเจรจา 2 ชั่วโมง...เนื้อหาในวันเจรจา จึงดูเป็นตั้งกระทู้...กล่าวหา...อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มากกว่า จะเป็นการ "เจรจา" อย่างแท้จริง (ยกเว้น วีระ มุสิกพงศ์)
รัฐบาล...ต้องการ "สื่อ" ไปยังทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะ "ฝ่ายตรงกลาง" ตอบโต้ทุกข้อกล่าวหา เพื่อให้เห็นความชอบธรรม ของการดำรงอยู่ แทนที่จะยุบสภาในระยะเวลาอันสั้น
เอาเข้าจริง...เงื่อนไข ยุบสภา 15 วัน หรือ 3 เดือน ที่ นปช.เสนอ หรือ 9 เดือนที่รัฐบาลเสนอ เกี่ยวข้องกับการรักษาอำนาจและแย่งชิงอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น
การดำรงอยู่และได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะจัดการบางอย่าง
เงื่อนไขที่ไม่ได้อยู่ในการเจรจาหน้าทีวี จึงไม่แปลกที่ทั้งสองฝ่าย "ยอมกันไม่ได้" ทั้งๆ ที่น่าสงสัยว่าทำไม 9 เดือน ก็ไม่ได้นานเกินไปที่จะรอ และเสื้อแดงน่าจะ "ประกาศเป็นชัยชนะได้ว่า กดดันจนนายกรัฐมนตรียอมเจรจาและระบุช่วงวันยุบสภาชัดเจน"
หากมีการเจรจารอบสาม และหวังผลได้ข้อตกลงจากการหารือผ่านหน้าจอทีวี...ไม่มีประโยชน์อีกแล้วครับ !
โดย.วีระศักดิ์ พงษ์อักษร
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************
ชำแหละรากแห่งวิกฤตสังคมไทย "เอาเลือดหัวมาล้างตีน" ...ต้องไม่เกิดขึ้น!!!
รสนา โตสิตระกูล วิพากษ์ทางออกประเทศไทย แนะรัฐบาลใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส เปิดเวทีรัฐบาลกับประชาชน ชำแหละรากแห่งปัญหา ความไม่เป็นธรรม เหลื่อมล้ำ ย้ำยุบสภาไม่ช่วยแก้ปัญหา แค่เปลี่ยนหน้ารัฐบาลเท่านั้น "พงษ์เทพ เทพกาญจนา" หนุนยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ใช้รัฐบาลที่มาจากประชาชน แก้ปัญหาโครงสร้างเหลื่อมล้ำ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการจัดแถลงข่าวการจัดงานครคบรอบชาตกาล 110 ปีรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ และได้มีการเสวนาเรื่อง "ก้าวข้ามวิกฤตด้วยอภิวัตน์สู่สันติ" ณ ห้องประชุมวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีวิทยากร คุณรสนา โตสิตระกูล คุณสุนีย์ ไชยรส คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา และคุณวิภา ดาวมณี ให้เกียรติมาร่วมเสวนาครั้งนี้ โดยวงเสวนานี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ตัวแทนที่มีแนวคิดด้านต่างๆ ได้มาร่วมกันหาแสวงหาทางออกให้กับประเทศไทยผ่านแนวคิดเรื่อง "อภิวัฒน์สู่สันติ" ที่ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เคยวางแนวทางไว้
@พงษ์เทพ เทพกาญจนา
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตสมาชิกพรรคไทยรักรักไทย กล่าวว่า ปัญหาแท้จริงของสังคมไทยในเวลานี้คือ เรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดสรรอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ความแตกต่างด้านการกระจายรายได้ ไม่มีสังคมใดอยู่ได้ ถ้ามีความแตกต่างมากมายขนาดนี้
การเมืองมีการใช้อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง ตั้งแต่ก่อน 19 กันยายน 2549 องค์กรต่างๆ ถูกแทรกแซง ทั้งๆ ที่ต้องอยู่ตรงกลาง ผลของการช่วงชิงอำนาจเมื่อ 19 กันยายน ได้มีการทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจไปไว้ในกลุ่มคนไม่กี่คน องค์กรอิสระบ้าง ศาลบ้าง มีการเขียนกติกาให้เกิดปัญหา มีระบบตัวแทนมากมาย
ทุกวันนี้คนที่มีบทบาทจริงๆ ทางการเมือง ไม่ได้อยู่ข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะคนเหล่านี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องเปิดเผยทรัพย์สิน กลายเป็นเสียอย่างนี้ไป
ทางออกของปัญหานี้ต้องย้อนกลับมาที่คนไทย 60 ล้านกว่าคน ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่างมีเหตุผล และจะต้องมีการร่างโครงสร้างการอยู่ร่วมกันใหม่ ปัญหาโรคแทรกอย่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ต่างก็มีชนักติดหลัง มีคดีความ ต้องปลดชนักนี้ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ เคารพกติกาใหม่
ถ้าการบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจะทำอะไร และใครเป็นคนทำ มันจึงขึ้นกับว่า ต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากมีการเลือกตั้งใหม่ ได้รับรัฐบาลใหม่มาแล้ว เพื่อมาจัดระเบียบใหม่
@รสนา โตสิตระกูล
รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงทางออกของปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ท่าน อ.ปรีดี เคยพูดเอาไว้ว่า คำ "อภิวัฒน์" ซึ่งต่างกับปฏิวัติตรงที่ปฏิวัติมีความหมายด้านลบอยู่ แต่อภิวัฒน์คือการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
ในความหมายของ อ.ปรีดี การอภิวัฒน์ ในทางการเมืองนั้น คือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาชนมีความป็นอิสราธิปไตย
ประชาธิปไตยภาคการเมืองจะดำรงอยู่ได้ ก็จะต้องวางรากอย่าง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางสังคมวัฒนธรรมก่อน จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นซึ่งทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านมาด้วยซึ่งความสุขสมบูรณ์ของราษฎร
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 จุดหมายอย่างหนึ่งซึ่ถูกมองข้ามไปในการเดินขบวนของประชาชนนั้น ใช่เป็นแค่ความต้องการโค่นล้มเผด็จการทหาร แต่เพราะไม่ต้องการนักการเมืองที่ทุจริต คือเรียกร้องธรรมมาภิบาลของนักการเมืองด้วย
ช่วงเวลาตั้งแต่ 2500 เป็นต้นมา ก่อนจะถึง 14 ตุลาคม 2516 นั้น เป็นช่วงบ่มเพาะภาคประชาชน เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องขอบคุณท่าน อ.ปรีดี ซึงพยายยามใช้การศึกษาเป็นตัวผลักดัน
ส่วนเรื่องธรรมภิบาลของนักการเมืองนั้น หากย้อนไปดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งงชาติ ฉบับ 1-10 นั้น ต้องยอมรับว่า ไม่มีความสมดุลย์ เน้นภาคอุตสาหกรรม เน้นคนเมือง เน้นคนมั่งมี ซึ่งช่วงเวลา ได้ถ่างให้ช่องว่างถ่างตัว ประชาชนส่วนมากก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง
จากยุค เปรม ที่เป็นโลกาภิวัตน์ มากขึ้น ชาติชายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า แต่ทั้งหมดยังห่างไกล
จากช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจบอกได้ว่า ด้านหนึ่งเป็นพัฒนาการ อีกด้านหนึ่งเป็นกลับเป็นปัญหา ดังนั้นจึงพากันบอกว่า เมื่อมันไม่เป็นธรรม ก็ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์ของปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากระบบการเมืองของตัวแทนที่ประชาชนมีอำนาจแค่ 5 นาที เพื่อเข้าไปกากบาทนั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนหน้ารัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา
ฉะนั้นเสื้อเหลือง เสื้อแดง จึงเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น รัฐบาลควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ให้รากหญ้าได้พูดคุยกับรัฐบาล ให้มาพูดถึงปัญหาของเขา และแนวทางที่คุณจะเสนอให้พวกเขา และจะได้เป็นการบอกให้คนทั้งโลกรู้ไปเลยว่า ความไม่เป็นธรรมที่ว่านั้น มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และรัฐจะตอบปัญหา แก้ปัญหานั้นอย่างไร
ประชาธิปไตยทางการเมืองจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ถ้ามีส่วนนี้แล้วเชื่อว่า วัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่เหมือนจะเป็นอุปสรรคก็จะไม่เกิดขึ้นหรือลดหายไปในสังคมแล้วการบอกว่าเป็น สงครามระหว่างชนชั้น วาทกรรมไพร่กับอำมาตย์ ไม่ใช่สิ่งที่ อ.ปรีดี ต้องการพูด ทั้งยังเป็นสิ่งที่อ่อนแรงไปมากแล้วในปัจจุบัน เวลานี้ในทางสังคมเราเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ คนรวย คนจน สิ่งที่ อ.ปรีดีเสนอคือ เราควรจัดระบบการเกื้อกูลให้เกิดขึ้นในสังคม
เช่นนั้นแล้วในเวลานี้ เรากำลังสร้างวาทกรรมให้เกิดการแบ่งแยกซึ่งไม่ควรเกิด มันไม่ช่วยให้เกิดการแก้ปัญหา เวลานี้การบอก "เอาเลือดหัวมาล้างตีน" ต้องไม่มี
รามอน แมกไซไซ เคยพูดว่า "คนที่มีน้อย รัฐต้องให้มาก"
รัฐบาลต้องสร้างโอกาสใหม่จากวิกฤตตรงนี้ ให้เขามีอำนาจต่อรอง ควบคุมนักการเมืองทุจริต ไม่ใช่ไพร่ที่มาพร้อม "มูลนาย"
@วิภา ดาวมณี
วิภา ดาวมณี นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น อย่าง อ. ปรีดี บอกว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด แต่สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ทางออกของปัญหานี้คงต้องย้อนกลับมาที่ประชาชน แต่ถ้ามองไม่ออกว่าศัตรูที่แท้จริงของประชาชนคือใคร ก็คงหาทางได้ยาก
เหตุการณ์เมื่อ 19 กันยายน 2549 ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการปลุกชีพเผด็จการทหารขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เผด็จการทหารหรือเผด็จการทางทุนก็น่ากลัวพอกัน
การเมืองในเวลานี้นั้นคับแคบมาก ในทางปฏิบัติการมีทหารออกมาอยู่ในจุดต่างๆ นั่นคือความรุนแรง
สิ่งที่นักการเมืองทำในเวลานี้อย่าง ประชานิยม นั้นไม่พอ ต้องดำเนินไปสู่รัฐสวัสดิการให้ได้ เก็บภาษีที่ดิน มรดก เพื่อมาชดเชยคนจน ช่องว่างจะได้น้อยลง กฎหมายจัดตั้งพรรคการเมืองก็ควรได้รับการแก้ไข เพราะมันเอื้อกับนายทุน มากกว่าประชาชน
ศาลก็เป็นอีกเรื่องที่พูดกันมาก หากมีระบบลูกขุน ระบบศาลจะเปลี่ยนไป จะยึดโยงกับประชาชน
@ สุนีย์ ไชยรส
สุนีย์ ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้ ความไม่เป็นธรรมในสังคมนั้นมีความดุเดือดถึงจุดวิกฤต และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้ทุกครั้งในสังคมเป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เรียกได้ว่ามันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมโดยรวมไทย
ในเวลานี้ผู้คนในสังคมต่างมีความรู้สสึกต่าง ปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจ การเมืองที่ฝังรากลึก อย่างภาคใต้ในเวลานี้ ผู้คนต่างบอกว่า มองไม่เห็นทางออก เพราะเรายังมองว่ามันต่าง เราต้องไม่มองมันขาว มันดำ อย่าไปแยกมัน
หากถามถึงทางอออกในเวลานี้ ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องมองให้เรื่องนี้ให้ทะลุถึงปัญหาของประชาชน
ความรุนแรงจากที่ผ่านมานั้นสอนให้เราได้รู้จักบทเรียนมากมาย วันนี้เรายังไม่เห็นทหารออกมายิงเสื้อแดง
เห็นด้วยกับ สว.รสนา อย่างยิ่งว่า เปิดเวทีขึ้นมาเลย เอาปัญหาที่คนรากหญ้าบอกมาบอกกกล่าวกับประชาชนทั้งประเทศ ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่พวกคุณได้รับนั้นคืออะไร ให้โอกาสพวกเขาได้พูด เพราะการเปลี่ยนโฉมหน้ารัฐบาลไม่ใช่การแก้ปัญหา
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับเรื่องความต่างๆ การเปิดเวทีจะช่วยให้คนเมืองที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น ได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง เกิดการยอมรับ เพราะหากทุกอย่างยังเป็นไปเช่นวันนี้ การเผชิญหน้ากันดูจะรังแต่ทำให้แย่ลง เพราะเมื่อประชาชนไม่ได้พูด ไม่ได้รับการปฏิบัติ พวกเขาจะเกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เมื่อประชาชนไม่เอาด้วยแล้ว ก็คงไม่อาจยกระดับเชิงโครงสร้างได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการจัดแถลงข่าวการจัดงานครคบรอบชาตกาล 110 ปีรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ และได้มีการเสวนาเรื่อง "ก้าวข้ามวิกฤตด้วยอภิวัตน์สู่สันติ" ณ ห้องประชุมวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีวิทยากร คุณรสนา โตสิตระกูล คุณสุนีย์ ไชยรส คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา และคุณวิภา ดาวมณี ให้เกียรติมาร่วมเสวนาครั้งนี้ โดยวงเสวนานี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ตัวแทนที่มีแนวคิดด้านต่างๆ ได้มาร่วมกันหาแสวงหาทางออกให้กับประเทศไทยผ่านแนวคิดเรื่อง "อภิวัฒน์สู่สันติ" ที่ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เคยวางแนวทางไว้
@พงษ์เทพ เทพกาญจนา
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตสมาชิกพรรคไทยรักรักไทย กล่าวว่า ปัญหาแท้จริงของสังคมไทยในเวลานี้คือ เรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดสรรอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ความแตกต่างด้านการกระจายรายได้ ไม่มีสังคมใดอยู่ได้ ถ้ามีความแตกต่างมากมายขนาดนี้
การเมืองมีการใช้อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง ตั้งแต่ก่อน 19 กันยายน 2549 องค์กรต่างๆ ถูกแทรกแซง ทั้งๆ ที่ต้องอยู่ตรงกลาง ผลของการช่วงชิงอำนาจเมื่อ 19 กันยายน ได้มีการทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจไปไว้ในกลุ่มคนไม่กี่คน องค์กรอิสระบ้าง ศาลบ้าง มีการเขียนกติกาให้เกิดปัญหา มีระบบตัวแทนมากมาย
ทุกวันนี้คนที่มีบทบาทจริงๆ ทางการเมือง ไม่ได้อยู่ข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะคนเหล่านี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องเปิดเผยทรัพย์สิน กลายเป็นเสียอย่างนี้ไป
ทางออกของปัญหานี้ต้องย้อนกลับมาที่คนไทย 60 ล้านกว่าคน ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่างมีเหตุผล และจะต้องมีการร่างโครงสร้างการอยู่ร่วมกันใหม่ ปัญหาโรคแทรกอย่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ต่างก็มีชนักติดหลัง มีคดีความ ต้องปลดชนักนี้ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ เคารพกติกาใหม่
ถ้าการบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจะทำอะไร และใครเป็นคนทำ มันจึงขึ้นกับว่า ต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากมีการเลือกตั้งใหม่ ได้รับรัฐบาลใหม่มาแล้ว เพื่อมาจัดระเบียบใหม่
@รสนา โตสิตระกูล
รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงทางออกของปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ท่าน อ.ปรีดี เคยพูดเอาไว้ว่า คำ "อภิวัฒน์" ซึ่งต่างกับปฏิวัติตรงที่ปฏิวัติมีความหมายด้านลบอยู่ แต่อภิวัฒน์คือการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
ในความหมายของ อ.ปรีดี การอภิวัฒน์ ในทางการเมืองนั้น คือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาชนมีความป็นอิสราธิปไตย
ประชาธิปไตยภาคการเมืองจะดำรงอยู่ได้ ก็จะต้องวางรากอย่าง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางสังคมวัฒนธรรมก่อน จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นซึ่งทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านมาด้วยซึ่งความสุขสมบูรณ์ของราษฎร
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 จุดหมายอย่างหนึ่งซึ่ถูกมองข้ามไปในการเดินขบวนของประชาชนนั้น ใช่เป็นแค่ความต้องการโค่นล้มเผด็จการทหาร แต่เพราะไม่ต้องการนักการเมืองที่ทุจริต คือเรียกร้องธรรมมาภิบาลของนักการเมืองด้วย
ช่วงเวลาตั้งแต่ 2500 เป็นต้นมา ก่อนจะถึง 14 ตุลาคม 2516 นั้น เป็นช่วงบ่มเพาะภาคประชาชน เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องขอบคุณท่าน อ.ปรีดี ซึงพยายยามใช้การศึกษาเป็นตัวผลักดัน
ส่วนเรื่องธรรมภิบาลของนักการเมืองนั้น หากย้อนไปดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งงชาติ ฉบับ 1-10 นั้น ต้องยอมรับว่า ไม่มีความสมดุลย์ เน้นภาคอุตสาหกรรม เน้นคนเมือง เน้นคนมั่งมี ซึ่งช่วงเวลา ได้ถ่างให้ช่องว่างถ่างตัว ประชาชนส่วนมากก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง
จากยุค เปรม ที่เป็นโลกาภิวัตน์ มากขึ้น ชาติชายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า แต่ทั้งหมดยังห่างไกล
จากช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจบอกได้ว่า ด้านหนึ่งเป็นพัฒนาการ อีกด้านหนึ่งเป็นกลับเป็นปัญหา ดังนั้นจึงพากันบอกว่า เมื่อมันไม่เป็นธรรม ก็ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์ของปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากระบบการเมืองของตัวแทนที่ประชาชนมีอำนาจแค่ 5 นาที เพื่อเข้าไปกากบาทนั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนหน้ารัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา
ฉะนั้นเสื้อเหลือง เสื้อแดง จึงเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น รัฐบาลควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ให้รากหญ้าได้พูดคุยกับรัฐบาล ให้มาพูดถึงปัญหาของเขา และแนวทางที่คุณจะเสนอให้พวกเขา และจะได้เป็นการบอกให้คนทั้งโลกรู้ไปเลยว่า ความไม่เป็นธรรมที่ว่านั้น มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และรัฐจะตอบปัญหา แก้ปัญหานั้นอย่างไร
ประชาธิปไตยทางการเมืองจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ถ้ามีส่วนนี้แล้วเชื่อว่า วัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่เหมือนจะเป็นอุปสรรคก็จะไม่เกิดขึ้นหรือลดหายไปในสังคมแล้วการบอกว่าเป็น สงครามระหว่างชนชั้น วาทกรรมไพร่กับอำมาตย์ ไม่ใช่สิ่งที่ อ.ปรีดี ต้องการพูด ทั้งยังเป็นสิ่งที่อ่อนแรงไปมากแล้วในปัจจุบัน เวลานี้ในทางสังคมเราเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ คนรวย คนจน สิ่งที่ อ.ปรีดีเสนอคือ เราควรจัดระบบการเกื้อกูลให้เกิดขึ้นในสังคม
เช่นนั้นแล้วในเวลานี้ เรากำลังสร้างวาทกรรมให้เกิดการแบ่งแยกซึ่งไม่ควรเกิด มันไม่ช่วยให้เกิดการแก้ปัญหา เวลานี้การบอก "เอาเลือดหัวมาล้างตีน" ต้องไม่มี
รามอน แมกไซไซ เคยพูดว่า "คนที่มีน้อย รัฐต้องให้มาก"
รัฐบาลต้องสร้างโอกาสใหม่จากวิกฤตตรงนี้ ให้เขามีอำนาจต่อรอง ควบคุมนักการเมืองทุจริต ไม่ใช่ไพร่ที่มาพร้อม "มูลนาย"
@วิภา ดาวมณี
วิภา ดาวมณี นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น อย่าง อ. ปรีดี บอกว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด แต่สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ทางออกของปัญหานี้คงต้องย้อนกลับมาที่ประชาชน แต่ถ้ามองไม่ออกว่าศัตรูที่แท้จริงของประชาชนคือใคร ก็คงหาทางได้ยาก
เหตุการณ์เมื่อ 19 กันยายน 2549 ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการปลุกชีพเผด็จการทหารขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เผด็จการทหารหรือเผด็จการทางทุนก็น่ากลัวพอกัน
การเมืองในเวลานี้นั้นคับแคบมาก ในทางปฏิบัติการมีทหารออกมาอยู่ในจุดต่างๆ นั่นคือความรุนแรง
สิ่งที่นักการเมืองทำในเวลานี้อย่าง ประชานิยม นั้นไม่พอ ต้องดำเนินไปสู่รัฐสวัสดิการให้ได้ เก็บภาษีที่ดิน มรดก เพื่อมาชดเชยคนจน ช่องว่างจะได้น้อยลง กฎหมายจัดตั้งพรรคการเมืองก็ควรได้รับการแก้ไข เพราะมันเอื้อกับนายทุน มากกว่าประชาชน
ศาลก็เป็นอีกเรื่องที่พูดกันมาก หากมีระบบลูกขุน ระบบศาลจะเปลี่ยนไป จะยึดโยงกับประชาชน
@ สุนีย์ ไชยรส
สุนีย์ ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้ ความไม่เป็นธรรมในสังคมนั้นมีความดุเดือดถึงจุดวิกฤต และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้ทุกครั้งในสังคมเป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เรียกได้ว่ามันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมโดยรวมไทย
ในเวลานี้ผู้คนในสังคมต่างมีความรู้สสึกต่าง ปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจ การเมืองที่ฝังรากลึก อย่างภาคใต้ในเวลานี้ ผู้คนต่างบอกว่า มองไม่เห็นทางออก เพราะเรายังมองว่ามันต่าง เราต้องไม่มองมันขาว มันดำ อย่าไปแยกมัน
หากถามถึงทางอออกในเวลานี้ ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องมองให้เรื่องนี้ให้ทะลุถึงปัญหาของประชาชน
ความรุนแรงจากที่ผ่านมานั้นสอนให้เราได้รู้จักบทเรียนมากมาย วันนี้เรายังไม่เห็นทหารออกมายิงเสื้อแดง
เห็นด้วยกับ สว.รสนา อย่างยิ่งว่า เปิดเวทีขึ้นมาเลย เอาปัญหาที่คนรากหญ้าบอกมาบอกกกล่าวกับประชาชนทั้งประเทศ ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่พวกคุณได้รับนั้นคืออะไร ให้โอกาสพวกเขาได้พูด เพราะการเปลี่ยนโฉมหน้ารัฐบาลไม่ใช่การแก้ปัญหา
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับเรื่องความต่างๆ การเปิดเวทีจะช่วยให้คนเมืองที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น ได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง เกิดการยอมรับ เพราะหากทุกอย่างยังเป็นไปเช่นวันนี้ การเผชิญหน้ากันดูจะรังแต่ทำให้แย่ลง เพราะเมื่อประชาชนไม่ได้พูด ไม่ได้รับการปฏิบัติ พวกเขาจะเกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เมื่อประชาชนไม่เอาด้วยแล้ว ก็คงไม่อาจยกระดับเชิงโครงสร้างได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
โม่งบีบมาร์ค ห้ามยุบนะหนู!!
ไม่ใช่เรื่องที่จะผิดความคาดหมาย สำหรับการเจรจาระหว่างรัฐบาล กับ แกนนำ นปช.ที่ต้องเรียกว่า เป็นเรียลลิตี้ โชว์ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองประเด็นของการยุบสภาตามข้อเรียกร้องกดดันของแกนนำ นปช.นั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อึดอัดด้วยความไม่เป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าขึ้นมาเป็นรัฐบาล ขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้เพราะใครในเมื่อบรรดาผู้อุปถัมภ์คํ้าชูทั้งหลาย ไม่ต้องการให้ยุบสภา ต่อให้อึดอัดและต้องทนสักเพียงใดก็ตามนายอภิสิทธิ์ ก็จะยุบสภาไม่ได้ทำได้แค่เพียงติ๊ดชึ่ง ออกลูกวน ตีกรรเชียงไปรอบๆเวที
รักษารูปมวยให้ดูหล่อ ดูมีคารมเป็นต่อเอาไว้เท่านั้นก็เพียงพอที่จะซื้อเวลาไปได้เรื่อยๆ แล้วเรื่องพูดเอาดีเข้าตัว ปัดโยนเรื่องชั่วๆ ให้คนอื่นเป็นสไตล์ถนัดของประชาธิปัตย์อยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ถูกหล่อหลอมมานาน ย่อมต้องเรียนรู้กระบวนแม่ไม้ต่างๆ มาไม่ใช่น้อยที่สำคัญด้วยความที่เป็นคนสมองดี การศึกษาระดับอ๊อกซฟอร์ด การที่จะใช้คารมหลีกเลี่ยงหรือพลิ้วหลบ แบบให้หลงทางมวยงงกันเป็นไก่ตาแตกนั้น ต้องถือเป็นลูกถนัดของนายอภิสิทธิ์... ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
หรือไม่เช่นนั้นก็แหกโค้งออกไปคนละเรื่องเดียวกันไปเลยยิ่งระหว่างเจรจา ได้ข้อความพี่เลี้ยงที่ BB มาให้โดยเฉพาะ แถมเป็นทีมงานที่คัดสรรมาโดยเฉพาะประเภทที่ “กูก็รู้ว่าของๆ เอ็ง แต่กูจะเอา” หรือประเภท “ก็รู้ว่าเอ็งไม่ผิด แต่ข้าก็ไม่ยอมบอกว่าเอ็งถูก”เจอแบบนี้ทั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ น.พ.เหวงโตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งหวังว่าคุยกันเป็นวันที่ 2 แล้วอะไรๆ น่าจะดีขึ้น ก็เลยต้องยอมรับความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นตัวของตัวเองจริงๆคาดคั้นอย่าง
ไร หากข้างหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ไฟเขียวเสียอย่าง เรื่องจะยอมยุบสภาตามเงื่อนไขรายละเอียดของ นปช.เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!!!ถึงได้บอกว่า เรื่องนี้สาธุชนคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วประเทศไม่ได้ประหลาดใจ ที่นายอภิสิทธิ์พูดชัดว่า ข้อเสนอที่ระบุว่าให้ยุบสภาภายในเวลา 15วันนั้น ไม่มีทางยุบสภาแน่เหตุผลเดิมๆ ก็คือต้องดำเนินการ 3 ประเด็นคือ1.เรื่องเศรษฐกิจ 2.เรื่องกติกา และ 3.เรื่องบรรยากาศแม้นายวีระจะยืนยันว่า แต่ละเรื่องนั้นไม่น่าที่จะต้องใช้เวลามาก
แค่ 2-3 เดือนก็น่าจะเหลือเฟือแล้วแต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงยืนกรานว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทอดเวลาออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาถามว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ ต้องพยายามซื้อเวลาให้นานที่สุดก็ดูแค่เจรจาวันแรก ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่ดาหน้าออกมาคัดค้านนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “สาวก” หรือ “ทาสที่ปล่อยไม่ไป”ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 ทั้งสิ้น40 ส.ว. ออกโรงค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ให้ยุบ... ถามว่า 40 ส.ว.กลุ่มนี้มาจากไหน ใครตั้งเข้ามา ก็พอมองทะลุได้แล้วว่า
อะไรเป็นอะไร ใครเป็นคนกดปุ่มเช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ ที่เต้นผางทันที ทั้งๆ ที่ตามปกติการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่ยังไม่มี ส.ส.เลยในมือ ย่อมต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะได้มี ส.ส.มาเป็นอำนาจต่อรองไม่เชื่อไปถามพรรคพลังคนกีฬา ของ“บิ๊กหอย” หรือ นายวนัสธนา (ธวัชชัย)สัจจกุล หัวหน้าพรรคที่ต้องการให้พรรคได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาดูก็ได้ว่า อยากให้เลือกตั้งเพื่อจะได้มี ส.ส.หรือไม่… บิ๊กหอยต้องตอบ
ว่าอยากแน่นอนจะมีก็แต่พรรคการเมืองใหม่นี่แหละที่ กลับไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง ไม่รีบร้อนที่จะมี ส.ส.ภายในพรรค ราวกับว่าตอนนี้ก็มีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองมากมายเหลือเฟืออยู่แล้วอย่างนั้นแหละรวมทั้งพรรคการเมืองที่ได้รับการ “จัดแถว” หน้าเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ให้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้กับนายอภิสิทธิ์ อย่างพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ต่างก็รีบร้อนดาหน้าออกมาตีกันไว้ก่อนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาก็ขนาดนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ทำงานยากเพราะเจอสไตล์ ปชป.เป็นพิษ ถูกปัดแข้งปัดขาตลอด ชนิดถ้าเป็นเด็กๆ หรือนักบอลเจอขัดขาถี่ยิบแบบนี้คงล้มปากเปิกแตกยับถลอกไปหมดทั้งตัวแล้วแต่นางพรทิวา วันนี้ก็ยังจำต้องออกมาคัดค้านการยุบสภาเจอผู้อุปถัมภ์ ส่งสัญญาณผ่านกลไกรอบข้างให้ออกมาคัดค้านอย่างนี้แล้ว“Good Boy” อย่างนายอภิสิทธิ์ มีหรือจะอ่านไม่ออก ว่าต้องหาทางออกในการเจรจาอย่างไรขนาดอ้างหน้าตาเฉยว่ามั่นใจว่าหากไปถาม
ประชาชนว่าจะให้ยุบสภาหรือไม่นั้นเชื่อว่ามีคนเห็นด้วยกับการยุบสภาน้อยมากเป็นไงล่ะ ... กลุ่มคนเสื้อแดงมึนไปเลยสิเพราะแสดงพลังชุมนุมแบบสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ มากันเป็นแสนๆ คน ยังถูกมองว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยเท่านั้นงานนี้จึงเป็นการสะท้อนที่ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลยระหว่างคำสั่งและการส่งสัญญาณของผู้อุปถัมภ์ กับคำขอร้องและการส่งสัญญาณครอบครัว ของ ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภรรยาสุดที่รัก ก็ชัดเจนแล้วว่า
นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อฟังฝ่ายใดฉะนั้นที่แสบสันต์จริงๆ ก็คือผู้อุปถัมภ์ที่ทำตัวเป็นอีแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ ที่ทำให้สุดท้ายแล้วนายอภิสิทธิ์จึงเจรจาแบบไม่คิดที่จะหาทางออกร่วมกันแต่เลือกที่จะกำหนดว่า หากจะให้ยุบสภาก็ต้องโน่นสิ้นปีไปเลย และหากถึงตอนนั้นซื้อเวลาต่ออีกนิดก็พอดีแหละเข้าเป้าว่าไปยุบสภาเอาในปี 2554 ก่อนครบวาระแค่ 3-4 เดือนก็หรูแล้วทำให้เมื่อเห็นสถานการณ์การเมืองของไทยเป็นแบบนี้แล้ว อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าบรรดา
ทหารใหญ่ของไทย ที่นิยมชักใยอยู่เบื้องหลังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาทหารใหญ่ของประเทศพม่าแล้วต้องบอกว่านายทหารใหญ่ของพม่าเปิดเผยกว่าเยอะไม่ต้องการให้นางออง ซาน ซูจี กลับเข้ามาทำงานการเมือง ก็เขียนกฎหมายกันชัดๆไปเลยว่า ไม่ให้นางออง ซาน มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง... ชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือไม่ต้องทำตัวเป็นอีแอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือกรณีที่ นายพลตาน ฉ่วย ผู้นำอาวุโสรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า วัย 77 ปีกล่าวสุนทรพจน์นาน 7 นาที
ต่อหน้าทหารหาญมากกว่า 13,000 นาย ระหว่างร่วมพิธีสวนสนามประจำปีของเหล่าทัพกลางกรุงเนปิตอว์ แล้วระบุชัดเจนว่าทหารต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองในพม่าทุกเวลาถ้าจำเป็นยืนยันว่าบทบาทของกองทัพต่อการเมืองไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องและป้องกันชาติเท่านั้นหากยังดำเนินการเพื่อประชาชนภายในชาติด้วยพร้อมกับเตือนพรรคการเมืองที่ต้องการมีส่วนร่วมการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ให้หาเสียงอย่างเหมาะสมด้วยใครจะมองว่ายุ่งอะไรด้วย หรือทหารไม่ควรเข้ามา
เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจจะมีต่างชาติจะแทรกแซงการเลือกตั้งของพม่าแต่นายทหารพม่าก็ไม่หวั่น มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนให้รู้กันไปเลยกล้าไม่กล้าล่ะที่ กฎหมายใหม่ว่าด้วยการเลือกตั้งของพม่า 5 ฉบับ มีเนื้อหาห้ามนางออง ซาน ซูจี ลงสนามเลือกตั้งผิดกับอดีตนายทหารใหญ่ของไทยที่ไม่เปิดเผย แต่ชอบเล่นบทแอบชักใยอยู่เบื้องหลังแทนก็แบบนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นเชื้อปะทุจุดไฟต่อสู้ทางการเมืองให้คุโชนไม่รู้จบสิ้นตัณหาแห่งอำนาจตัวเดียวแท้ๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
รักษารูปมวยให้ดูหล่อ ดูมีคารมเป็นต่อเอาไว้เท่านั้นก็เพียงพอที่จะซื้อเวลาไปได้เรื่อยๆ แล้วเรื่องพูดเอาดีเข้าตัว ปัดโยนเรื่องชั่วๆ ให้คนอื่นเป็นสไตล์ถนัดของประชาธิปัตย์อยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ถูกหล่อหลอมมานาน ย่อมต้องเรียนรู้กระบวนแม่ไม้ต่างๆ มาไม่ใช่น้อยที่สำคัญด้วยความที่เป็นคนสมองดี การศึกษาระดับอ๊อกซฟอร์ด การที่จะใช้คารมหลีกเลี่ยงหรือพลิ้วหลบ แบบให้หลงทางมวยงงกันเป็นไก่ตาแตกนั้น ต้องถือเป็นลูกถนัดของนายอภิสิทธิ์... ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
หรือไม่เช่นนั้นก็แหกโค้งออกไปคนละเรื่องเดียวกันไปเลยยิ่งระหว่างเจรจา ได้ข้อความพี่เลี้ยงที่ BB มาให้โดยเฉพาะ แถมเป็นทีมงานที่คัดสรรมาโดยเฉพาะประเภทที่ “กูก็รู้ว่าของๆ เอ็ง แต่กูจะเอา” หรือประเภท “ก็รู้ว่าเอ็งไม่ผิด แต่ข้าก็ไม่ยอมบอกว่าเอ็งถูก”เจอแบบนี้ทั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ น.พ.เหวงโตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งหวังว่าคุยกันเป็นวันที่ 2 แล้วอะไรๆ น่าจะดีขึ้น ก็เลยต้องยอมรับความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นตัวของตัวเองจริงๆคาดคั้นอย่าง
ไร หากข้างหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ไฟเขียวเสียอย่าง เรื่องจะยอมยุบสภาตามเงื่อนไขรายละเอียดของ นปช.เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!!!ถึงได้บอกว่า เรื่องนี้สาธุชนคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วประเทศไม่ได้ประหลาดใจ ที่นายอภิสิทธิ์พูดชัดว่า ข้อเสนอที่ระบุว่าให้ยุบสภาภายในเวลา 15วันนั้น ไม่มีทางยุบสภาแน่เหตุผลเดิมๆ ก็คือต้องดำเนินการ 3 ประเด็นคือ1.เรื่องเศรษฐกิจ 2.เรื่องกติกา และ 3.เรื่องบรรยากาศแม้นายวีระจะยืนยันว่า แต่ละเรื่องนั้นไม่น่าที่จะต้องใช้เวลามาก
แค่ 2-3 เดือนก็น่าจะเหลือเฟือแล้วแต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงยืนกรานว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทอดเวลาออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาถามว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ ต้องพยายามซื้อเวลาให้นานที่สุดก็ดูแค่เจรจาวันแรก ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่ดาหน้าออกมาคัดค้านนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “สาวก” หรือ “ทาสที่ปล่อยไม่ไป”ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 ทั้งสิ้น40 ส.ว. ออกโรงค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ให้ยุบ... ถามว่า 40 ส.ว.กลุ่มนี้มาจากไหน ใครตั้งเข้ามา ก็พอมองทะลุได้แล้วว่า
อะไรเป็นอะไร ใครเป็นคนกดปุ่มเช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ ที่เต้นผางทันที ทั้งๆ ที่ตามปกติการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่ยังไม่มี ส.ส.เลยในมือ ย่อมต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะได้มี ส.ส.มาเป็นอำนาจต่อรองไม่เชื่อไปถามพรรคพลังคนกีฬา ของ“บิ๊กหอย” หรือ นายวนัสธนา (ธวัชชัย)สัจจกุล หัวหน้าพรรคที่ต้องการให้พรรคได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาดูก็ได้ว่า อยากให้เลือกตั้งเพื่อจะได้มี ส.ส.หรือไม่… บิ๊กหอยต้องตอบ
ว่าอยากแน่นอนจะมีก็แต่พรรคการเมืองใหม่นี่แหละที่ กลับไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง ไม่รีบร้อนที่จะมี ส.ส.ภายในพรรค ราวกับว่าตอนนี้ก็มีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองมากมายเหลือเฟืออยู่แล้วอย่างนั้นแหละรวมทั้งพรรคการเมืองที่ได้รับการ “จัดแถว” หน้าเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ให้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้กับนายอภิสิทธิ์ อย่างพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ต่างก็รีบร้อนดาหน้าออกมาตีกันไว้ก่อนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาก็ขนาดนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ทำงานยากเพราะเจอสไตล์ ปชป.เป็นพิษ ถูกปัดแข้งปัดขาตลอด ชนิดถ้าเป็นเด็กๆ หรือนักบอลเจอขัดขาถี่ยิบแบบนี้คงล้มปากเปิกแตกยับถลอกไปหมดทั้งตัวแล้วแต่นางพรทิวา วันนี้ก็ยังจำต้องออกมาคัดค้านการยุบสภาเจอผู้อุปถัมภ์ ส่งสัญญาณผ่านกลไกรอบข้างให้ออกมาคัดค้านอย่างนี้แล้ว“Good Boy” อย่างนายอภิสิทธิ์ มีหรือจะอ่านไม่ออก ว่าต้องหาทางออกในการเจรจาอย่างไรขนาดอ้างหน้าตาเฉยว่ามั่นใจว่าหากไปถาม
ประชาชนว่าจะให้ยุบสภาหรือไม่นั้นเชื่อว่ามีคนเห็นด้วยกับการยุบสภาน้อยมากเป็นไงล่ะ ... กลุ่มคนเสื้อแดงมึนไปเลยสิเพราะแสดงพลังชุมนุมแบบสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ มากันเป็นแสนๆ คน ยังถูกมองว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยเท่านั้นงานนี้จึงเป็นการสะท้อนที่ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลยระหว่างคำสั่งและการส่งสัญญาณของผู้อุปถัมภ์ กับคำขอร้องและการส่งสัญญาณครอบครัว ของ ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภรรยาสุดที่รัก ก็ชัดเจนแล้วว่า
นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อฟังฝ่ายใดฉะนั้นที่แสบสันต์จริงๆ ก็คือผู้อุปถัมภ์ที่ทำตัวเป็นอีแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ ที่ทำให้สุดท้ายแล้วนายอภิสิทธิ์จึงเจรจาแบบไม่คิดที่จะหาทางออกร่วมกันแต่เลือกที่จะกำหนดว่า หากจะให้ยุบสภาก็ต้องโน่นสิ้นปีไปเลย และหากถึงตอนนั้นซื้อเวลาต่ออีกนิดก็พอดีแหละเข้าเป้าว่าไปยุบสภาเอาในปี 2554 ก่อนครบวาระแค่ 3-4 เดือนก็หรูแล้วทำให้เมื่อเห็นสถานการณ์การเมืองของไทยเป็นแบบนี้แล้ว อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าบรรดา
ทหารใหญ่ของไทย ที่นิยมชักใยอยู่เบื้องหลังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาทหารใหญ่ของประเทศพม่าแล้วต้องบอกว่านายทหารใหญ่ของพม่าเปิดเผยกว่าเยอะไม่ต้องการให้นางออง ซาน ซูจี กลับเข้ามาทำงานการเมือง ก็เขียนกฎหมายกันชัดๆไปเลยว่า ไม่ให้นางออง ซาน มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง... ชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือไม่ต้องทำตัวเป็นอีแอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือกรณีที่ นายพลตาน ฉ่วย ผู้นำอาวุโสรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า วัย 77 ปีกล่าวสุนทรพจน์นาน 7 นาที
ต่อหน้าทหารหาญมากกว่า 13,000 นาย ระหว่างร่วมพิธีสวนสนามประจำปีของเหล่าทัพกลางกรุงเนปิตอว์ แล้วระบุชัดเจนว่าทหารต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองในพม่าทุกเวลาถ้าจำเป็นยืนยันว่าบทบาทของกองทัพต่อการเมืองไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องและป้องกันชาติเท่านั้นหากยังดำเนินการเพื่อประชาชนภายในชาติด้วยพร้อมกับเตือนพรรคการเมืองที่ต้องการมีส่วนร่วมการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ให้หาเสียงอย่างเหมาะสมด้วยใครจะมองว่ายุ่งอะไรด้วย หรือทหารไม่ควรเข้ามา
เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจจะมีต่างชาติจะแทรกแซงการเลือกตั้งของพม่าแต่นายทหารพม่าก็ไม่หวั่น มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนให้รู้กันไปเลยกล้าไม่กล้าล่ะที่ กฎหมายใหม่ว่าด้วยการเลือกตั้งของพม่า 5 ฉบับ มีเนื้อหาห้ามนางออง ซาน ซูจี ลงสนามเลือกตั้งผิดกับอดีตนายทหารใหญ่ของไทยที่ไม่เปิดเผย แต่ชอบเล่นบทแอบชักใยอยู่เบื้องหลังแทนก็แบบนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นเชื้อปะทุจุดไฟต่อสู้ทางการเมืองให้คุโชนไม่รู้จบสิ้นตัณหาแห่งอำนาจตัวเดียวแท้ๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
"แม้ว"วิดีโอลิงก์ประกาศอยู่ในรัสเซีย ยันไม่ได้ถูกไล่จากสวีเดน กต.เผยใช้พาสปอร์ตปท.ที่3เดินทางเข้าออก
กต.เผย"แม้ว"ใช้พาสปอร์ตต่างประเทศบินเข้า"สวีเดน" 28มี.ค. ล่าสุดกลับออกมาแล้วแต่ยังไม่รู้จุดหมาย "นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
"แม้ว"ประกาศอยู่ในรัสเซีย ไปพบนักธุรกิจเตรียมชวนไปลงทุนในไทย
เมื่อเวลา 20.55 น. วันที่ 30 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วีดิโอลิงก์ มายังเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ แต่ปรากฏว่า เกิดการติดขัดเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้เชื่อมสัญญาณ ทำให้สัญญาณขาดหายไปหลายครั้ง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง โดยพาดพิงถึงอำมาตย์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวหาว่า รัฐบาลและอำมาตย์ระแวง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะกลับมาเช็คบิลคืน
"มีการติดขัด ทางอินเตอร์เน็ต ที่ใช้วิดีโอลิงก์ แต่บอกว่ าเดี๋ยวจะส่งรูปประเทศที่ไปอยู่มาให้ดู ขอบอกว่ามีหลายประเทศที่อยากให้ไป แต่เขารำคาญที่ทางการไทย มักทำเรื่องไปกวน ... บอกให้ก็ได้ว่า อยู่รัสเซีย มาพบนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินสดเหลือเยอะ และสนใจที่จะไปลงทุนแถบเอเชีย เลยไปทำไมตรีไว้ เมื่อกลับบ้านจะได้พากลับไปลงทุนในประเทศไทย ตนเดินทางมาจากประเทศสวีเดน ไม่ได้ถูกเขาไล่ออกมาเหมือนที่กระทรวงการต่างประเทศบอก ไม่หวั่นไหว ตนยังมีเสรีภาพ มีปัญญาดีอยู่ แต่อยากจะทำงานให้เป็นประโยชน์เพื่อจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ว่า ได้ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังประะเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้หนังสือเดินทางของประเทศที่สาม จึงได้ประสานกับทางการสวีเดน เพื่อขออย่าให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทางการสวีเดนยืนยันว่าเขายึดมั่นในหลักการดังกล่าวอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามล่าสุดทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากสวีเดนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเดินทางต่อไปยังประเทศใด
"นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปยังประเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศเป็นปกติเพื่อลงทุนทำธุรกิจและพบปะเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตามขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากประเทศสวีเดนแล้วและพำนักที่ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปซึ่งอีกไม่นานพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรัเอมิเรตส์
"สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำก็เพื่อต้องการดิสเครดิตพ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไปยุโรปครั้งนี้เป็นการไปตามปกติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดูไบ"นายนพดลกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
"แม้ว"ประกาศอยู่ในรัสเซีย ไปพบนักธุรกิจเตรียมชวนไปลงทุนในไทย
เมื่อเวลา 20.55 น. วันที่ 30 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วีดิโอลิงก์ มายังเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ แต่ปรากฏว่า เกิดการติดขัดเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้เชื่อมสัญญาณ ทำให้สัญญาณขาดหายไปหลายครั้ง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง โดยพาดพิงถึงอำมาตย์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวหาว่า รัฐบาลและอำมาตย์ระแวง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะกลับมาเช็คบิลคืน
"มีการติดขัด ทางอินเตอร์เน็ต ที่ใช้วิดีโอลิงก์ แต่บอกว่ าเดี๋ยวจะส่งรูปประเทศที่ไปอยู่มาให้ดู ขอบอกว่ามีหลายประเทศที่อยากให้ไป แต่เขารำคาญที่ทางการไทย มักทำเรื่องไปกวน ... บอกให้ก็ได้ว่า อยู่รัสเซีย มาพบนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินสดเหลือเยอะ และสนใจที่จะไปลงทุนแถบเอเชีย เลยไปทำไมตรีไว้ เมื่อกลับบ้านจะได้พากลับไปลงทุนในประเทศไทย ตนเดินทางมาจากประเทศสวีเดน ไม่ได้ถูกเขาไล่ออกมาเหมือนที่กระทรวงการต่างประเทศบอก ไม่หวั่นไหว ตนยังมีเสรีภาพ มีปัญญาดีอยู่ แต่อยากจะทำงานให้เป็นประโยชน์เพื่อจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ว่า ได้ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังประะเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้หนังสือเดินทางของประเทศที่สาม จึงได้ประสานกับทางการสวีเดน เพื่อขออย่าให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทางการสวีเดนยืนยันว่าเขายึดมั่นในหลักการดังกล่าวอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามล่าสุดทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากสวีเดนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเดินทางต่อไปยังประเทศใด
"นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปยังประเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศเป็นปกติเพื่อลงทุนทำธุรกิจและพบปะเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตามขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากประเทศสวีเดนแล้วและพำนักที่ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปซึ่งอีกไม่นานพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรัเอมิเรตส์
"สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำก็เพื่อต้องการดิสเครดิตพ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไปยุโรปครั้งนี้เป็นการไปตามปกติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดูไบ"นายนพดลกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ขว้างเอ็ม67 ใส่"มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม"ถูกหม้อแปลงระเบิดดังสนั่น อีกจุดเต็นท์พระที่สนามหลวง
ถึงคราวมูลนิธิรัฐบุรุษ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ถูกคนร้ายปาเอ็ม67 เข้าใส่อาคารถูกหม้อแปลงไฟฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว อีกจุดเป็นเต็นท์พระสนาม หลวง ฝั่งมธ. ไร้ผู้ใดบาดเจ็บ "อนุพงศ์"ประชุม ศอ.รส.ย้ำทหาร-ตำรวจหยุดให้อยู่ สนั่นนำทีมมอบดอกไม้ให้กำลังใจ"บรรหาร"
เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 30 มีนาคม ได้มีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ทราบยี่ห้อ สีและทะเบียน ผ่านหน้าอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลขที่ 84 ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กทม. จากนั้นคนร้ายได้ขว้างระเบิดชนิด เอ็ม 67 ผ่านรั้วเข้าไปในอาคารถูกหม้อแปลงเสาไฟฟ้าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไป
ต่อมาพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.ชยุตร์ มารยาท ผกก.สน.สามเสน ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเดื่องเอ็ม 67 ตกห่างจากรั้วริมฟุทบาธ 30 เซ็นติเมตร ส่วนตัวอาคารไม่ได้รับความเสียหายใดๆ โดยใช้เวลา 5 นาที หลังจากนั้นพล.ต.ท.สัณฐานเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่กำชับตำรวจพื้นที่ให้พยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณภายในมูลนิธินั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงตามปกติ ขณะที่ภายนอกไม่มีกำลังตำรวจหรือทหารอารักขาความปลอดภัยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นหลังเต็นท์พระภิกษุที่สนามหลวง ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดกลุ่มควันแต่ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นระเบิดปิงปอง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ถึงการก่อเหตุป่วนเมือง ทั้งยิงและระเบิดสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ว่า รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างน้อยคดีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ส่วนการเฝ้าระวัง ก็ต้องทำเต็มที่ แต่ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะว่าการป้องกันพื้นที่นั้นกว้างขวางมาก
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สรุปสถานการณ์ให้ ครม.รับทราบ พร้อมยืนยันว่า ยังอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลควบคุมได้ แต่ที่ห่วงคือ การข่าวแจ้งว่าแนวโน้มการก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการ เพื่อหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีความพยายามต่อเนื่อง ซึ่งจากการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคงเห็นควรให้ปรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ล่อแหลมและจุดเสี่ยง โดยให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธประจำกายได้
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานประชุม ศอ.รส. ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วมการประชุม โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าร่วม เนื่องจากเวลาการประชุมตรงกับการประชุม ครม.
ข่าวแจ้งว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมาตรการหาผู้ก่อเหตุระเบิดมาลงโทษให้ได้ พร้อมแสดงเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์การก่อวินาศกรรม โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในงานวันกาชาด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-7 เมษายน เนื่องจากสถานที่จัดงานใกล้เคียงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า ขอเตือนกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ก่อเหตุป่วนเมือง ซึ่งล่าสุดก่อเหตุที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้ประทัดกระเทียมมัดรวมกันก่อนใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไปในในจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ ซึ่ง ศอ.รส.สั่งให้ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีการจับภาพเอาไว้ได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัว พร้อมแจ้งให้การ์ดคนเสื้อแดงช่วยกันหา หากเป็นคนเสื้อแดงก็ให้ประสานมา และเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พบของกลางจำนวนหนึ่ง จึงให้ตำรวจประสานงานเพื่อรับภาพกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 1 แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดขอให้จับตัวได้ก่อน
ส่วนพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้ส่งพยานที่เห็นหน้าคนร้ายไปทำการสเก๊ตช์ภาพที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร และพยานยืนยันว่ามีลักษณะคล้ายเหมือนคนร้าย 70% นอกจากนี้ยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารและของ กทม. ที่เห็นผู้ต้องสงสัยมีผ้าปิดคาดปากสีขาว ใส่เสื้อคลุมแจ๊คเก็ตเขียว กางเกงสแล็คส์สีดำ หมวกแก๊ปสีแดง เป็นชายไทยสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผิวสีดำแดง อายุประมาณ 30 ปี พร้อมตั้งรางวัล 2 แสนบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของตน 08-1443-2639
พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพหลายแห่งว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ และ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนในเชิงลึก และดูว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง โดยจะสืบสวนคนละส่วนกับชุดสืบสวนของ บช.น. ซึ่งเบื้องต้นได้ข้อมูลบางอย่างมาแล้วว่าเป็นกลุ่มไหน แต่ต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า กลุ่มใดบ้างที่เป็นผู้ลงมือก่อเหตุป่วนดังกล่าว
ข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนของ กก.1 บก.ป.ยังจัดชุดสืบสวนแกะรอยเส้นทางเงินของกลุ่มผู้ต้องสงสัย เพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่
ส่วนกรณีคนร้ายขว้างระเบิดใส่บริเวณบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ กทม. เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมานั้น เมื่อเวลา 14.00 น. แกนนำ และ ส.ส.ชทพ. นำโดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษา ชทพ. นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้า ชทพ. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้า ชทพ. และอดีตแกนนำพรรคชาติไทย ทยอยเข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจนายบรรหาร ทั้งนี้ พล.ต.สนั่นกล่าวให้กำลังใจนายบรรหารว่า ทุกคนใน ชทพ.เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนายบรรหาร และขอยืนเคียงข้างนายบรรหาร เพราะทุกคนมั่นใจว่านายบรรหาร คิดดีทำดีต่อบ้านเมืองที่ทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้
ด้านนายบรรหารกล่าวตอบว่า ตกเป็นเป้าทางการเมืองตั้งแต่สมัยเสื้อเหลือง เคยถูกขู่เผาบ้าน แต่ไม่กลัว เพราะทำงานการเมืองมา 30 ปี อะไรที่คิดว่าเป็นทางออกให้บ้านเมืองก็จะช่วย และขอขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่น การมาให้กำลังใจทำให้มีกำลังใจ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคอง
ต่อมานายบรรหารให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุที่เกิดขึ้น สบายๆ เมื่อถามย้ำว่า กลัวหรือไม่ที่จะถูกเหตุร้ายเข้าตัว นายบรรหารกล่าวว่า "ไม่กลัว คนเราเมื่อทำถูกต้องเสียอย่างจะกลัวอะไร พระต้องคุ้มครอง"
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค ว่านายสุเทพได้ชี้แจงเรื่องการยิงระเบิดที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ว่า กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังมีหลายกลุ่ม และจ้างกันเป็นทอดๆ มีทั้งนายทหารเก่าและตำรวจเก่า ที่รู้ช่องทาง ทำให้ยากต่อการจับกุม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกจุด โดยเฉพาะสายตรวจ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่ชุมนุม
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 30 มีนาคม ได้มีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ทราบยี่ห้อ สีและทะเบียน ผ่านหน้าอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลขที่ 84 ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กทม. จากนั้นคนร้ายได้ขว้างระเบิดชนิด เอ็ม 67 ผ่านรั้วเข้าไปในอาคารถูกหม้อแปลงเสาไฟฟ้าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไป
ต่อมาพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.ชยุตร์ มารยาท ผกก.สน.สามเสน ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเดื่องเอ็ม 67 ตกห่างจากรั้วริมฟุทบาธ 30 เซ็นติเมตร ส่วนตัวอาคารไม่ได้รับความเสียหายใดๆ โดยใช้เวลา 5 นาที หลังจากนั้นพล.ต.ท.สัณฐานเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่กำชับตำรวจพื้นที่ให้พยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณภายในมูลนิธินั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงตามปกติ ขณะที่ภายนอกไม่มีกำลังตำรวจหรือทหารอารักขาความปลอดภัยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นหลังเต็นท์พระภิกษุที่สนามหลวง ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดกลุ่มควันแต่ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นระเบิดปิงปอง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ถึงการก่อเหตุป่วนเมือง ทั้งยิงและระเบิดสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ว่า รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างน้อยคดีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ส่วนการเฝ้าระวัง ก็ต้องทำเต็มที่ แต่ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะว่าการป้องกันพื้นที่นั้นกว้างขวางมาก
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สรุปสถานการณ์ให้ ครม.รับทราบ พร้อมยืนยันว่า ยังอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลควบคุมได้ แต่ที่ห่วงคือ การข่าวแจ้งว่าแนวโน้มการก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการ เพื่อหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีความพยายามต่อเนื่อง ซึ่งจากการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคงเห็นควรให้ปรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ล่อแหลมและจุดเสี่ยง โดยให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธประจำกายได้
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานประชุม ศอ.รส. ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วมการประชุม โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าร่วม เนื่องจากเวลาการประชุมตรงกับการประชุม ครม.
ข่าวแจ้งว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมาตรการหาผู้ก่อเหตุระเบิดมาลงโทษให้ได้ พร้อมแสดงเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์การก่อวินาศกรรม โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในงานวันกาชาด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-7 เมษายน เนื่องจากสถานที่จัดงานใกล้เคียงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า ขอเตือนกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ก่อเหตุป่วนเมือง ซึ่งล่าสุดก่อเหตุที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้ประทัดกระเทียมมัดรวมกันก่อนใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไปในในจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ ซึ่ง ศอ.รส.สั่งให้ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีการจับภาพเอาไว้ได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัว พร้อมแจ้งให้การ์ดคนเสื้อแดงช่วยกันหา หากเป็นคนเสื้อแดงก็ให้ประสานมา และเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พบของกลางจำนวนหนึ่ง จึงให้ตำรวจประสานงานเพื่อรับภาพกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 1 แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดขอให้จับตัวได้ก่อน
ส่วนพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้ส่งพยานที่เห็นหน้าคนร้ายไปทำการสเก๊ตช์ภาพที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร และพยานยืนยันว่ามีลักษณะคล้ายเหมือนคนร้าย 70% นอกจากนี้ยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารและของ กทม. ที่เห็นผู้ต้องสงสัยมีผ้าปิดคาดปากสีขาว ใส่เสื้อคลุมแจ๊คเก็ตเขียว กางเกงสแล็คส์สีดำ หมวกแก๊ปสีแดง เป็นชายไทยสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผิวสีดำแดง อายุประมาณ 30 ปี พร้อมตั้งรางวัล 2 แสนบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของตน 08-1443-2639
พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพหลายแห่งว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ และ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนในเชิงลึก และดูว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง โดยจะสืบสวนคนละส่วนกับชุดสืบสวนของ บช.น. ซึ่งเบื้องต้นได้ข้อมูลบางอย่างมาแล้วว่าเป็นกลุ่มไหน แต่ต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า กลุ่มใดบ้างที่เป็นผู้ลงมือก่อเหตุป่วนดังกล่าว
ข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนของ กก.1 บก.ป.ยังจัดชุดสืบสวนแกะรอยเส้นทางเงินของกลุ่มผู้ต้องสงสัย เพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่
ส่วนกรณีคนร้ายขว้างระเบิดใส่บริเวณบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ กทม. เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมานั้น เมื่อเวลา 14.00 น. แกนนำ และ ส.ส.ชทพ. นำโดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษา ชทพ. นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้า ชทพ. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้า ชทพ. และอดีตแกนนำพรรคชาติไทย ทยอยเข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจนายบรรหาร ทั้งนี้ พล.ต.สนั่นกล่าวให้กำลังใจนายบรรหารว่า ทุกคนใน ชทพ.เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนายบรรหาร และขอยืนเคียงข้างนายบรรหาร เพราะทุกคนมั่นใจว่านายบรรหาร คิดดีทำดีต่อบ้านเมืองที่ทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้
ด้านนายบรรหารกล่าวตอบว่า ตกเป็นเป้าทางการเมืองตั้งแต่สมัยเสื้อเหลือง เคยถูกขู่เผาบ้าน แต่ไม่กลัว เพราะทำงานการเมืองมา 30 ปี อะไรที่คิดว่าเป็นทางออกให้บ้านเมืองก็จะช่วย และขอขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่น การมาให้กำลังใจทำให้มีกำลังใจ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคอง
ต่อมานายบรรหารให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุที่เกิดขึ้น สบายๆ เมื่อถามย้ำว่า กลัวหรือไม่ที่จะถูกเหตุร้ายเข้าตัว นายบรรหารกล่าวว่า "ไม่กลัว คนเราเมื่อทำถูกต้องเสียอย่างจะกลัวอะไร พระต้องคุ้มครอง"
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค ว่านายสุเทพได้ชี้แจงเรื่องการยิงระเบิดที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ว่า กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังมีหลายกลุ่ม และจ้างกันเป็นทอดๆ มีทั้งนายทหารเก่าและตำรวจเก่า ที่รู้ช่องทาง ทำให้ยากต่อการจับกุม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกจุด โดยเฉพาะสายตรวจ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่ชุมนุม
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)