สนนท.เผยแพร่เอกสารถึงชาว กทม. สอดส่องดูแลหากผู้มีอำนาจรัฐสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อหาเหตุปราบผู้ชุมนุม เตือนผู้ลงมือปราบปรามประชาชนในอนาคตจะถูกจารึกชื่อว่าเป็นอาชญากร
วันนี้ (24 มี.ค.) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เผยแพร่ “คำแถลง... ถึง ชาวกรุงเทพมหานคร” ความยาว 2 หน้ากระดาษ แจกจ่ายในพื้นที่ต่างๆ ทั่ว กทม. เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การชุมนุม หากเกิดการปราบปรามผู้ชุมนุม โดยเอกสารวิเคราะห์ว่า ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐ ได้แก่รัฐบาล ฝ่ายทหาร และผู้มีอำนาจบัญชาการ กำลังสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกำลังอาวุธ โดยอาจมีการสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการปราบปรามเช่น ผู้มีอำนาจสร้างสถานการณ์ให้ชาว กทม. เดือดร้อน และมีการป้ายสีให้เกลียดชังคนเสื้อแดง เช่น มีคนใส่เสื้อแดงปิดหน้าข่มขู่คุกคามตามที่สาธารณะ ช่วงกลางคืนเกิดเหตุระเบิด ยิงจรวดตามสถานที่ของฝ่ายที่เข้าใจกันว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามของคนเสื้อแดง
โดยในเอกสารของ สนนท. ระบุว่า การสร้างสถานการณ์ดังกล่าวหากเกิดขึ้นก็เพื่อ “ให้เกิดปรากฏการณ์ อันธพาลการเมืองของคนเสื้อแดงขึ้น” และขอความร่วมมือว่า “หากท่านพบเห็นพฤติการณ์เช่นว่า ขอความร่วมมือให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดี และ/หรือกรุณาถ่ายภาพส่งให้กับเรา เพื่อเปิดโปงแผนชั่วและเผยความเป็นจริง โดยสุจริตใจ”
เอกสารของ สนนท. อ้างต่อไปว่า หากปฏิบัติการสร้างภาพ “อันธพาลการเมือง เสื้อแดง” สำเร็จเพียงพอให้สังคมโน้มเอียง ขั้นตอนต่อมาของฝ่ายอำนาจรัฐคือ ใช้นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยและบุคคลที่น่าเชื่อถือทางสังคม ออกมากระพือข่าวโจมตีผ่านสื่อหลากหลายชนิด เพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดง อีกด้านหนึ่ง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายรัฐ
เมื่อกระบวนการการสร้างภาพบิดเบือนได้ผลจะมีการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ เพื่อสร้างให้เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขนาดใหญ่ขึ้น ในลักษณะฝูงชนไร้การควบคุมเป็นภาพคนเสื้อแดงที่บ้าคลั่ง เช่นเดือนเมษายนปีที่แล้ว ขณะที่แกนนำหลัก พยายามจัดระเบียบมวลชนอย่างยากลำบาก
เอกสารยังอ้างว่าหากสถานการณ์อันเลวร้ายตามที่ระบุ “จะนำไปสู่ “การปราบปรามด้วยกำลังอาวุธ” ของฝ่ายรัฐที่เชื่อว่าตัวเองชอบธรรมแล้ว และตามมาด้วยการ “จับแกนนำ” และปิดหรือควบคุมสื่อฯ” สนนท. ยังอ้างว่า หากเป็นเช่นนี้การโฆษณาของฝ่ายรัฐจะยังกระทำอย่างต่อเนื่องไปอีก ในการป้ายสีและใส่ร้ายคนเสื้อแดง
เอกสารยังอ้างว่า “เนื่องจากจำนวนคนเสื้อแดงที่ชุมนุมในแต่ละวันเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของคนเสื้อแดงทั้งประเทศ เช่น สมาชิกกลุ่ม นปช.อุดรฯ มีมากกว่า 2 แสนคน, สมาชิกพรรคเพื่อไทยมากกว่า 20 ล้าน, ตลอดทั้งผู้รักความเป็นธรรมในประเทศ เป็นต้น คนกว่าครึ่งประเทศจะเกิดความเคืองแค้น เพราะรู้สึกถูกกระทำ ประณาม และถูกรังแกมาตลอด 4 ปี แล้วยังจะต้องเสียเลือด เสียเนื้อ อีกจำนวนมาก จะยิ่งตอกย้ำวาทกรรมที่ว่า “เราทำอะไรก็ผิด คุณทำอะไรถูกหมด” ที่คนเสื้อแดงเน้นย้ำมาโดยตลอด”
และยังประเมินว่าหากมีการปราบปรามอย่างรุนแรง อาจมีการจลาจล เกิดการดื้อแพ่ง รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ จะไม่สามารถแก้วิกฤตและรักษาเสถียรภาพไว้ได้ อย่างมากสุดจะอยู่ได้ไม่เกิน 1-3 ปี ประชาชนจะหันมาเรียกร้องรัฐบาลเลือกตั้ง
เอกสาร สนนท. เตือนฝ่ายที่คิดจะใช้วิธีปราบปรามผู้ชุมนุมว่า “เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งฝ่ายประชาธิปไตยแม้จะถูกปราบปรามและสูญเสียไปมาก แต่จะเพิ่มจำนวนผู้เห็นด้วยขึ้นอย่างมหาศาล ทุกภูมิภาค รัฐบาลประชาธิปไตยจะได้รับเลือกตั้ง และจะดำเนินการรื้อฟื้นข้อเท็จจริงของโศกนาฏกรรม เปิดเผยผู้ก่อการปราบปราม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ประชาชนจะได้ทราบความจริง สำหรับผู้ที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามประชาชน ชื่อและสกุลของท่านจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย (ท่านจะเป็นแพะแทนเจ้านายท่านที่สั่งปราบปราม) ในฐานะอาชญากรของไทย”
ตอนท้ายของเอกสาร สนนท. เขียนว่า “พวกเราไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายเหล่านี้เพียงต้องการแสดงออกทางการเมือง โดยการเรียกร้องอย่างสงบและสันติตามสิทธิ อันพึงมีพึงได้ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของพลเมืองกว่า 30 ล้านคน เราพร้อมและปรารถนาที่จะดำเนินกิจกรรมภายใต้แนวทางสันติวิธีโดยสงบ ไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานกี่เดือน กี่ปีก็ตาม โดยให้ชาวกรุงเทพมหานครได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และสังคมที่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้น เพื่อคนทุกผู้ทุกนาม”
“สำหรับผู้ที่เห็นและเข้าใจพวกเราขอความกรุณาเผยแพร่เอกสารชี้แจงความเข้าใจต่อกันไปให้ทั่ว ไม่แน่หากประชาชนกรุงเทพฯ หนุนช่วยฝ่ายประชาธิปไตย พี่น้องร่วมแผ่นดินอาจจะไม่ต้องบาดเจ็บล้มตาย ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้” ตอนท้ายของเอกสาร สนนท. ระบุ
ที่มา.ประชาไท.
************************************************
วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553
เคลื่อนพลรอบกรุง ไล่อภิสิทธิ กินเนสบันทึกสถิติ

เสื้อแดงประกาศเคลื่อนพลรอบกรุง ครั้งที่ 2 เพื่อขับไล่ นายกรัฐมนตรี 27 มี.ค. ขู่ ไม่ลาออก - ยุบสภา ม็อบมามากเป็นสถิติโลก แน่ จี้ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงส่งทหารคุมม็อบแดง ปฏิวัติซ่อนรูปหรือไม่...
นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาระหว่างกลุ่ม นปช. และ รัฐบาล ว่า เบื้องต้น นายกรัฐมนตรี ยังคงพยายามเตะถ่วง โดยการพยายามที่จะขยายกรอบการเจรจา รวมทั้งอ้างว่าไม่ทราบว่าทางกลุ่ม นปช. จะส่งใครมาเจรจา ทั้งที่ฝ่ายเสื้อแดง ยืนยันไปแล่้วว่า จะส่งนายวีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ และ ตนเองไปร่วมการเจรจา กับ นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวแล้วก็ตาม ด้านกรอบการเจรจา นั้น ก็ได้ยืนยันไปแล้วว่า นายกรัฐมนตรี จะต้องยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งในเมื่อหากนายกรัฐมนตรี มีความจริงใจที่จะเจรจา ก็ควรที่จะยุติการยืดระยะเวลาได้ แล้ว
นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังได้กล่าวตำหนิ การที่รัฐบาล ใช้กำลังทหารมารักษาความปลอดภัย สถานที่ราชการสำคัญ ต่าง ๆ ใกล้สถานที่ชุมนุม เช่นในกรณี อาคารรัฐสภา โดยไม่มีการเปิดเผยสังกัดที่มา ทำราวกับ ส่งกำลังทหารเหล่านั้น ออกมาทำสงคราม จนสร้างความสับสนให้กับประชาชน นอกจากนี้ การที่ให้ ส.ส.ต้องเดินเท้าเข้าไปประชุมสภา ยังถือเป็นการลดเกียรติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากประชาชน อีกด้วย จึงอยากเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ออกมาชี้แจงกับประชาชนว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการปฏิวัติเงียบ หรือไม่
ส่วนที่ทางรัฐบาลตั้งวอร์รูม พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง นั้น ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ควรอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่ทั้งนี้ ตนเองชื่อว่า น่าจะเป็นเพียงวอร์รูมของกลุ่มพ่อมดหมอผี และนักเลงโต ของคนในรัฐบาล เช่น กลุ่มเสื้อน้ำเงิน และกลุ่ม ส.ส.สุราษฎรธานี มากกว่า และทางกลุ่มเสื้อแดงจะไม่ตอบโต้ในทุกกรณีจากการดำเนินการดังกล่าว ที่ไม่ถูกต้องและชอบธรรมตามกฎหมาย
และ ทางกลุ่มเสื้อแดง ขอเตือน นายกรัฐมนตรี เอาไว้ว่า หากก่อนวันที่ 27 มี.ค.2553 ยังไม่ตัดสินใจยุบสภา ก็จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคนออกมาเดินขบวนไล่มากที่สุด โดยในวันดังกล่าวเชื่อว่าจะมีผู้มาร่วม มากเป็น 2 - 3 เท่า ของการเดินขบวนรอบกรุงรอบแรก เมื่อวันที่ 20 มี.ค. แน่นอน ทั้งนี้ทางกลุ่มเสื้อแดง จะได้ประสานสื่อมวลชนต่างประเทศ และ นิตยสารกินเนสบุ๊ค ออฟ เวิร์ด เรคคอร์ด ให้มาจดบันทึกการเดินขบวนในครั้งนี้ ด้วย เพื่อเป็นพยานให้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ในครั้งนี้ ด้วย
และหากพบว่าการมีทหารออกมาขัดขวาง หรือ ตั้งด่านสกัด การเดินขบวนดังกล่าว กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะขอใช้สิทธิแหกด่านสกัดดังกล่าวทั้งหมดด้วยมือเปล่า แต่ขอยืนยันว่า จะเป็นการดำเนินแบบสันติวิธี
ที่มา. Pitakthai.com
*******************************************************
เปิดประเด็น"อุทธรณ์"ยึดทรัพย์ทักษิณ อ้างข้อมูลใหม่"ม.ล.ฤทธิเทพ-วรเจตน์"
เปิดอุทธรณ์ข้อต่อสู้เฮือกสุดท้ายของทักษิณ คดียึดทรัพย์ ทนายใหญ่ "ฉัตรทิพย์" พร้อมยื่นภายใน 26 มีนาคม อ้างหลักฐานใหม่ รวมถึงพยานหลักฐานที่ยื่นไปแล้ว แต่ศาลไม่ได้พิจารณา วงในเชื่อ ทีมทนายหยิบบทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ธรรมศาสตร์ และตุลาการเสียงข้างน้อย "ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล" ไปใช้เป็นประเด็นใหม่ในการต่อสู้
การยื่นอุทธรณ์ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน จะครบกำหนดภายในสิ้นเดือนนี้ กล่าวกันว่า อุทธรณ์จะเป็นกระบวนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เดิมพันครั้งนี้จึงสูงยิ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คณะใหม่ อาจยืนคำพิพากษาศาลฎีกา หรืออาจยกฟ้อง หรืออาจยกอุทธรณ์ ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ที่แน่ ๆ ทักษิณและครอบครัวดิ้นสุดฤทธิ์
ทนายทักษิณอุทธรณ์ ตีความหลักฐานใหม่
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,373 ล้านบาท ขณะนี้ทีมทนายความได้ร่างคำอุทธรณ์ไว้แล้ว ความยาวกว่า 100 หน้า คาดว่าจะยื่นอุทธรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้ เร็วที่สุดอาจจะยื่นวันที่ 22 มีนาคมนี้ แต่ถ้ามีการตรวจทานคำร่างอุทธรณ์แล้วจะต้องปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม ก็จะยื่นภายในวันที่ 26 มีนาคม โดยการยื่นอุทธรณ์จะครบกำหนดวันที่ 28 มีนาคมนี้
"การยื่นอุทธรณ์ของทีมทนายได้พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งหลักความยุติธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การตีความตามตัวอักษรว่าพยานหลักฐานใหม่ หมายถึงพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเท่านั้น แต่กรณีที่มีการนำเสนอพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ไม่ได้มีการหยิบยกมาวินิจฉัย ก็ถือได้ว่าพยานหลักฐานที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งทีมทนายความจะชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงและความเป็นเหตุเป็นผล"
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า มีการ เตรียมการเพื่อยื่นอุทธรณ์ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยทีมทนายความได้พิจารณาทุกประเด็นอย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ศึกษาบท วิเคราะห์คำพิพากษา ที่ทำขึ้นโดยอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้ง 5 ท่าน เพื่อประกอบในการอุทธรณ์ด้วย
อ้างคำวินิจฉัย ม.ล.ฤทธิเทพ ไปใช้ประโยชน์
รายงานข่าวแจ้งว่า อุทธรณ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ บางส่วนจะอ้างอิงถึง คำวินิจฉัยส่วนตัวของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นตุลาการ "คนเดียว" ในองค์คณะคดียึดทรัพย์ ที่วินิจฉัยว่า ทักษิณไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ
ประเด็นสำคัญของ ม.ล.ฤทธิเทพ คือการอธิบายว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นผิดปกติ จากการไต่สวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้สั่งการ หรือมอบนโยบายต่าง ๆ ทั้ง 5 กรณี และยังรับฟังไม่ได้ว่า รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ พ.ต.ท. ทักษิณ ทุกกรณีไป ประเด็นนี้ยังมีมูลเหตุไม่ชัดแจ้งพอและเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้ เพราะรัฐมนตรีย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ
จากการไต่สวนได้ความว่า กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลง ย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม
"หุ้นชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผู้ครอบครองต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการ ซื้อขายหลักทรัพย์"
นอกจากนี้ บริษัทในเครือชินคอร์ปลงทุนจ้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้านกิจการ ทำให้ได้เปรียบด้านแผนธุรกิจการค้า และมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ได้มากกว่า ผู้ประกอบการรายอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้
เมื่อเปรียบเทียบดัชนีราคาหุ้นของ ชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่น ๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของ ผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ก่อนมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ทำลายน้ำหนักสมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ
รายงานข่าวแจ้งว่า คำตัดสินของศาลฎีกาในส่วน 5 โครงการที่เอื้อประโยชน์กับชินคอร์ป ศาลฎีกาอ้างอิงคำไต่สวนของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตามจากบทวิเคราะห์ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ หลายประเด็นเป็นการหักล้าง ดร.สมเกียรติโดยตรง ซึ่งคาดว่าทีมทนายความได้ใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ทางวิชาการของ ดร.วรเจตน์ อย่างเต็มที่
ดร.วรเจตน์กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นเกี่ยวกับโทรคมนาคมว่า ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น เป็นการพูดมุมเดียว ไม่ถามถึงผู้ที่ประกอบกิจการในตลาดว่ามีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร และวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่
"ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ เพราะดูสัญญาระหว่างบริษัทมือถือที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐ และส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตยังไม่พบว่ากีดกันรายใหม่ จริง ๆ มี 2 ประเด็น คือ 1.ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ 2.กีดกันรายใหม่หรือไม่"
ทั้งนี้ปัญหาโทรศัพท์มือถือไม่เหมือนที่ไหนในโลก และการให้สัมปทานเกิดก่อน คุณทักษิณเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาให้สัมปทานรัฐจะเป็นหน่วยเดียว แต่ของไทยมี 2 แห่งแยกค่าย คือ 1.องค์การโทรศัพท์ฯให้สัมปทานเอไอเอส เป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด 2.การสื่อสารฯให้สัมปทานดีแทค และทรูมูฟ เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ฯก็จ่ายค่าสัมปทาน
ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ฯ ทำให้ต้นทุนไม่เท่ากัน ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์ฯเป็นบริษัททีโอที การสื่อสารฯเป็นบริษัท กสท โทรคมนาคม เปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% เมื่อเข้าสู่ตลาดก็อาจเอาหุ้นไปขาย ประเด็นคือตอนแปรรูป ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิ์ตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไปตลอดอายุสัมปทาน ปัญหาคือทีโอทีเอาเงินไปใช้ก่อนเหลือค่อยส่งคลัง
รัฐบาลขณะนั้นแก้ปัญหาโดยการออกภาษีสรรพสามิต 10% ส่งไปที่คลัง และ 15% จ่ายให้ทีโอที ซึ่งเอไอเอสไม่ได้จ่ายน้อยลงยังจ่าย 25% เหมือนเดิม จึงไม่เห็นว่า รัฐเสียประโยชน์ ส่วนเอื้อประโยชน์หรือไม่ ประเด็นที่ต้องพูดกันคือยังไม่มีการเข้าสู่ตลาด แต่ถ้าสมมติว่า 10% ยังอยู่ ถามว่าจะกีดกันรายใหม่หรือไม่
ดร.วรเจตน์กล่าวต่อว่า รายใหม่ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่สัมปทาน จะมีต้นทุนที่ให้รัฐ ซึ่งไม่ได้สูงกว่ารายเดิมมากนัก ขณะที่ยังไม่มีฐานลูกค้า ฉะนั้นไม่แน่ใจว่าจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไร แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าต้องทำให้แข่งขันได้ ถามว่าเป็นการกีดกันหรือไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน
ต่อสู้ประเด็นแก้สัญญาพรีเพด
ดร.วรเจตน์กล่าวถึงการทำสัญญาพรีเพดว่า เดิมแอ็กเซสชาร์จจ่าย 200 บาท/เบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรเอไอเอสจึงเยอะ เพราะต้นทุนน้อยกว่า เป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกัน พอดีแทคทำพรีเพดก็พบว่าเป็นแบบนี้จะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เดือนไหนคนใช้ไม่ถึง 200 บาท ขาดทุนแน่จึงขอแก้สัญญาลดราคาแอ็กเซสชาร์จเพื่อให้แข่งขันได้
เมื่อเอไอเอสเห็นว่าดีแทคขอแก้ไขได้ก็ขอบ้าง แต่ศาลบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่าตรงนี้ฟังได้ แต่การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่เสียประโยชน์ และผู้บริโภคได้ประโยชน์ก็แก้ได้
เมื่อเอไอเอสขอแก้ บอร์ดทีโอทีบอกว่าถ้าจะแก้ ต้องไปลดค่าบริการ ซึ่งมีค่าโทร.ลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง จึงลดราคาให้ผู้บริโภคเมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยัง ได้เปรียบ
"ถามว่าเอไอเอสลดราคา ทำให้ทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่ ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อ.สมเกียรติ แต่อีกด้านที่ไม่ปรากฏในคำพิพากษา ซึ่งคนในวงการอธิบายให้ฟัง แต่ศาลยอมรับอยู่ในคำพิพากษา ศาลบอกว่าจริง เพราะนี่เป็น fact เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริง ศาลยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ก็บอกอีกว่า ทำให้เอไอเอสได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องประหลาด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
การยื่นอุทธรณ์ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน จะครบกำหนดภายในสิ้นเดือนนี้ กล่าวกันว่า อุทธรณ์จะเป็นกระบวนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เดิมพันครั้งนี้จึงสูงยิ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คณะใหม่ อาจยืนคำพิพากษาศาลฎีกา หรืออาจยกฟ้อง หรืออาจยกอุทธรณ์ ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ที่แน่ ๆ ทักษิณและครอบครัวดิ้นสุดฤทธิ์
ทนายทักษิณอุทธรณ์ ตีความหลักฐานใหม่
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,373 ล้านบาท ขณะนี้ทีมทนายความได้ร่างคำอุทธรณ์ไว้แล้ว ความยาวกว่า 100 หน้า คาดว่าจะยื่นอุทธรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้ เร็วที่สุดอาจจะยื่นวันที่ 22 มีนาคมนี้ แต่ถ้ามีการตรวจทานคำร่างอุทธรณ์แล้วจะต้องปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม ก็จะยื่นภายในวันที่ 26 มีนาคม โดยการยื่นอุทธรณ์จะครบกำหนดวันที่ 28 มีนาคมนี้
"การยื่นอุทธรณ์ของทีมทนายได้พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งหลักความยุติธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การตีความตามตัวอักษรว่าพยานหลักฐานใหม่ หมายถึงพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเท่านั้น แต่กรณีที่มีการนำเสนอพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ไม่ได้มีการหยิบยกมาวินิจฉัย ก็ถือได้ว่าพยานหลักฐานที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งทีมทนายความจะชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงและความเป็นเหตุเป็นผล"
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า มีการ เตรียมการเพื่อยื่นอุทธรณ์ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยทีมทนายความได้พิจารณาทุกประเด็นอย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ศึกษาบท วิเคราะห์คำพิพากษา ที่ทำขึ้นโดยอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้ง 5 ท่าน เพื่อประกอบในการอุทธรณ์ด้วย
อ้างคำวินิจฉัย ม.ล.ฤทธิเทพ ไปใช้ประโยชน์
รายงานข่าวแจ้งว่า อุทธรณ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ บางส่วนจะอ้างอิงถึง คำวินิจฉัยส่วนตัวของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นตุลาการ "คนเดียว" ในองค์คณะคดียึดทรัพย์ ที่วินิจฉัยว่า ทักษิณไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ
ประเด็นสำคัญของ ม.ล.ฤทธิเทพ คือการอธิบายว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นผิดปกติ จากการไต่สวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้สั่งการ หรือมอบนโยบายต่าง ๆ ทั้ง 5 กรณี และยังรับฟังไม่ได้ว่า รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ พ.ต.ท. ทักษิณ ทุกกรณีไป ประเด็นนี้ยังมีมูลเหตุไม่ชัดแจ้งพอและเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้ เพราะรัฐมนตรีย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ
จากการไต่สวนได้ความว่า กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลง ย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม
"หุ้นชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผู้ครอบครองต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการ ซื้อขายหลักทรัพย์"
นอกจากนี้ บริษัทในเครือชินคอร์ปลงทุนจ้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้านกิจการ ทำให้ได้เปรียบด้านแผนธุรกิจการค้า และมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ได้มากกว่า ผู้ประกอบการรายอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้
เมื่อเปรียบเทียบดัชนีราคาหุ้นของ ชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่น ๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของ ผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ก่อนมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ทำลายน้ำหนักสมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ
รายงานข่าวแจ้งว่า คำตัดสินของศาลฎีกาในส่วน 5 โครงการที่เอื้อประโยชน์กับชินคอร์ป ศาลฎีกาอ้างอิงคำไต่สวนของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตามจากบทวิเคราะห์ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ หลายประเด็นเป็นการหักล้าง ดร.สมเกียรติโดยตรง ซึ่งคาดว่าทีมทนายความได้ใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ทางวิชาการของ ดร.วรเจตน์ อย่างเต็มที่
ดร.วรเจตน์กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นเกี่ยวกับโทรคมนาคมว่า ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น เป็นการพูดมุมเดียว ไม่ถามถึงผู้ที่ประกอบกิจการในตลาดว่ามีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร และวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่
"ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ เพราะดูสัญญาระหว่างบริษัทมือถือที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐ และส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตยังไม่พบว่ากีดกันรายใหม่ จริง ๆ มี 2 ประเด็น คือ 1.ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ 2.กีดกันรายใหม่หรือไม่"
ทั้งนี้ปัญหาโทรศัพท์มือถือไม่เหมือนที่ไหนในโลก และการให้สัมปทานเกิดก่อน คุณทักษิณเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาให้สัมปทานรัฐจะเป็นหน่วยเดียว แต่ของไทยมี 2 แห่งแยกค่าย คือ 1.องค์การโทรศัพท์ฯให้สัมปทานเอไอเอส เป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด 2.การสื่อสารฯให้สัมปทานดีแทค และทรูมูฟ เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ฯก็จ่ายค่าสัมปทาน
ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ฯ ทำให้ต้นทุนไม่เท่ากัน ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์ฯเป็นบริษัททีโอที การสื่อสารฯเป็นบริษัท กสท โทรคมนาคม เปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% เมื่อเข้าสู่ตลาดก็อาจเอาหุ้นไปขาย ประเด็นคือตอนแปรรูป ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิ์ตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไปตลอดอายุสัมปทาน ปัญหาคือทีโอทีเอาเงินไปใช้ก่อนเหลือค่อยส่งคลัง
รัฐบาลขณะนั้นแก้ปัญหาโดยการออกภาษีสรรพสามิต 10% ส่งไปที่คลัง และ 15% จ่ายให้ทีโอที ซึ่งเอไอเอสไม่ได้จ่ายน้อยลงยังจ่าย 25% เหมือนเดิม จึงไม่เห็นว่า รัฐเสียประโยชน์ ส่วนเอื้อประโยชน์หรือไม่ ประเด็นที่ต้องพูดกันคือยังไม่มีการเข้าสู่ตลาด แต่ถ้าสมมติว่า 10% ยังอยู่ ถามว่าจะกีดกันรายใหม่หรือไม่
ดร.วรเจตน์กล่าวต่อว่า รายใหม่ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่สัมปทาน จะมีต้นทุนที่ให้รัฐ ซึ่งไม่ได้สูงกว่ารายเดิมมากนัก ขณะที่ยังไม่มีฐานลูกค้า ฉะนั้นไม่แน่ใจว่าจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไร แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าต้องทำให้แข่งขันได้ ถามว่าเป็นการกีดกันหรือไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน
ต่อสู้ประเด็นแก้สัญญาพรีเพด
ดร.วรเจตน์กล่าวถึงการทำสัญญาพรีเพดว่า เดิมแอ็กเซสชาร์จจ่าย 200 บาท/เบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรเอไอเอสจึงเยอะ เพราะต้นทุนน้อยกว่า เป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกัน พอดีแทคทำพรีเพดก็พบว่าเป็นแบบนี้จะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เดือนไหนคนใช้ไม่ถึง 200 บาท ขาดทุนแน่จึงขอแก้สัญญาลดราคาแอ็กเซสชาร์จเพื่อให้แข่งขันได้
เมื่อเอไอเอสเห็นว่าดีแทคขอแก้ไขได้ก็ขอบ้าง แต่ศาลบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่าตรงนี้ฟังได้ แต่การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่เสียประโยชน์ และผู้บริโภคได้ประโยชน์ก็แก้ได้
เมื่อเอไอเอสขอแก้ บอร์ดทีโอทีบอกว่าถ้าจะแก้ ต้องไปลดค่าบริการ ซึ่งมีค่าโทร.ลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง จึงลดราคาให้ผู้บริโภคเมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยัง ได้เปรียบ
"ถามว่าเอไอเอสลดราคา ทำให้ทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่ ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อ.สมเกียรติ แต่อีกด้านที่ไม่ปรากฏในคำพิพากษา ซึ่งคนในวงการอธิบายให้ฟัง แต่ศาลยอมรับอยู่ในคำพิพากษา ศาลบอกว่าจริง เพราะนี่เป็น fact เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริง ศาลยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ก็บอกอีกว่า ทำให้เอไอเอสได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องประหลาด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
ก็แค่ ...เกมซื้อเวลา "มาร์ค-กรณ์" รัฐบาล"แลนด์ลอร์ด" ใกล้หมดเวลา "ภาษีที่ดิน"ส่อแห้ว!!!

สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำระหว่าง คนรวย กับ คนจน สูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จนกลายเป็นปัจจัยหนึ่งแห่งวิกฤตความขัดแย้งระหว่างเหลืองกับแดง ภาษีที่ดิน คือ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญในการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือน ทุกรัฐบาล ที่ผ่านมา ไม่มีใครกล้า ผลักดันกฎหมายภาษีที่ดิน อย่างจริงใจ แม้กระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ประธานาธิบดีบารัก โอบามา สร้างประวัติศาสตร์ อีกครั้ง ด้วยการโน้มน้าวให้สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐ ฯ อนุมัติร่างกฎหมายยกเครื่องระบบประกันสุขภาพของชาวอเมริกันครั้งใหญ่ไปเมื่อวันอาทิตย์ (21 มี.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนฉิวเฉียดเพียง 219 ต่อ 212 เสียง
ผู้นำการเมือง แบบ โอบามา คือ ตำนานของการนักการเมือง ที่กล้าต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อการปฎิรูปที่ยิ่งใหญ่ เพื่อชาวอเมริกัน
แต่ นักการเมือง บ้านเรา น้อยนักที่กล้าต่อสู้ เพื่อการปฎิรูปเรื่องใหญ่ ๆ โดยเฉพาะ การปฎิรูปการจัดเก็บภาษีที่ดิน
นักเศรษฐศาสตร์การเมือง เชื่อว่า ภาษีที่ดิน จะลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยและคนจน ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
" ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือจุดเริ่มต้นของการลดการกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไร และยังทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีรายได้ 90,000 ล้าน และยังเป็นการจัดระบบการถือครองทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ สำคัญที่สุดคือภาษีที่ดินจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย "
รัฐบาลในอดีต มักใช้วิธี เตะลูกออก เพราะไม่อยากเสี่ยง และอาจเป็น เพราะตัวเองมีส่วนได้เสีย ?
รัฐบาลอำมาตย์ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดย ขุนคลัง ที่ชื่อ "ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ " ก็เขี่ยลูกออกเช่นกัน
เหตุผลของ ฉลองภพ คือ ภาษีที่ดิน ควรเป็นเรื่องของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เหตุผลส่วนตัว อาจเป็นเพราะ เทคโนแครต ผู้นี้ สะสมที่ดิน 11 แปลง มูลค่ากว่า 55.2 ล้านบาท
มาถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีขุนคลังชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช ทั้งสองให้สัมภาษณ์หลังเป็นรัฐบาลไม่นานว่า จะผลักดันภาษีที่ดิน ส่วนภาษีมรดก ยังไม่เหมาะสม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ก็ไม่เคยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ แม้เพียงเข้าใกล้ ครม.
จากต้นปี 2552 มาจนใกล้หมดไตรมาสแรก ปี 2553 กระทั่งเวลาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เหลือไม่ถึง 1 ปี และคาดว่า นับจากกองทัพแดง บุกกรุงเทพ ยิ่งทำให้เชื่อว่า เวลาของรัฐบาลเหลือน้อยเต็มที จนไม่น่าจะผลักดัน ภาษีที่ดิน ผ่านสภา ได้ทันเวลา
" เวลาที่ดีที่สุดในการผลักดันภาษีที่ดิน ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะชั่วโมงนี้ เสียงของรัฐบาล เปราะบาง พร้อมจะไปได้ตลอดเวลา" นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวยืนยัน
ล่าสุด นายกรณ์ พูดอีกครั้งว่า วันอังคาร 30 มีนาคม จะนำภาษีที่ดิน เข้าสู่ที่ประชุมครม. อย่างแน่นอน
แต่ใคร จะเชื่อ ว่า นายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ จะพูดจริง เพราะหากนับจำนวน ครั้ง ที่ทั้งสอง พูดว่า จะนำภาษีที่ดิน เข้าครม. รอบนี้ก็ เกินครั้งที่ 5 ไปแล้ว ...
หากร่างกฎหมายภาษีที่ดินจะไปไม่ถึงฝั่ง ก็อาจต้องโทษนักการเมืองในสภาและกลุ่มทุนใหญ่ที่กักตุนที่ดิน
" ประชาชาติธุรกิจ " เปิดบัญชีทรัพย์สิน โดยเฉพาะพอร์ตที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของนักการเมืองครั้งล่าสุด เพื่อจะดูผลประโยชน์ได้เสียของท่านผู้ทรงเกียรติ และอาจทำให้ชาวบ้านได้เห็นจุดยืนของ ฯพณฯ ต่อร่างกฎหมายได้เป็นอย่างดี
จากการตรวจสอบแลนด์ลอร์ดตัวจริงเสียงจริง น่าจะได้แก่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา
บนเส้นทางการเมืองถึงวันนี้ "หลงจู๊" บรรหาร แห่งสุพรรณบุรี มีที่ดินสะสมทั้งในกรุงเทพฯ สุพรรณบุรี ชัยนาท และนนทบุรี รวม 201 แปลง มูลค่ารวม 1,707.4 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบ้าน 3 หลัง มูลค่า 73 ล้านบาท
แต่ถ้านับรวมเฉพาะที่ดินนายบรรหารและคุณหญิงแจ่มใส มีที่ดินรวมกันประมาณ 1,893 ไร่ โดยเฉพาะที่ดินทำเลทองย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ รวมมูลค่า 176 ล้านบาท ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน 180 ล้านบาท และบริเวณ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 850 ล้านบาท
ขณะที่รัฐบาลโอบามาร์ค รัฐมนตรีที่มีที่ดินมากที่สุด ได้แก่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มี 42 แปลง 580.7 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน จ.ระยอง จ.เชียงใหม่ และ จ.สระบุรี นอกจากนี้ยังมีบ้าน 3 หลัง มูลค่ารวม 63.8 ล้านบาท นับเฉพาะบ้านแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ (ดอนเมือง) หลังเดียว มีมูลค่าถึง 50 ล้านบาท
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวฯ และภริยา มี 16 แปลง 379.3 ล้านบาท ส่วนบ้านมี 2 หลัง มูลค่า 40 ล้านบาท นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ภริยาและบุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มี 32 แปลง 324.9 ล้านบาท ส่วนบ้าน 3 หลัง มีมูลค่ารวมกัน 40.5 ล้านบาท
นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน และภริยา มีรวมกัน 24 แปลง 220.4 ล้านบาท
อีกคนคือนักการเมืองรุ่นเก๋าลายคราม นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน และภริยา มีที่ดินรวม 51 แปลง 104.8 ล้านบาท ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีรวมกัน 13 หลัง มูลค่า 123.1 ล้านบาท ส่วนนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 8 หลัง มูลค่า 17 ล้านบาท
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีที่ดินเพียง 2 แปลง 19.5 ล้านบาท
"เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ มีทรัพย์สิน 98.2 ล้านบาท นับเฉพาะที่ดินมี 50 แปลง มูลค่า 79.4 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีคอนโดมิเนียมเขตบางเขน 1 ห้อง และบ้านพักที่ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 2 หลัง รวมมูลค่า 5.9 ล้านบาท
ขณะที่รัฐมนตรีที่รวยที่สุดใน ครม.มาร์ค คือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และภริยา มีที่ดินรวม 26 แปลง 147.1 ล้านบาท
แลนด์ลอร์ดตัวจริงในพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นอกจากทรัพย์สิน 600 กว่าล้านบาทแล้ว คุณชายหมูยังมีที่ดินสะสม 40 แปลง 72-2-60 ไร่ มูลค่า 590 ล้านบาท
เอาเข้าจริงแล้ว คุณชายสุขุมพันธุ์ได้รับที่ดินมรดกจากพระบิดา 25 แปลง 13-1-60 ไร่ อยู่ในกรุงเทพฯ 12 แปลง ใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 3 แปลง ส่วนที่ดินของคุณชาย จำนวน 15 แปลง อยู่ใน ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก 1 แปลง ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 1 แปลง ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 1 แปลง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ 9 แปลง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 3 แปลง รวมมูลค่า 480.5 ล้านบาท
นี่คือ บทพิสูจน์ แลนด์ลอร์ด กับความจริงใจ ในการผลักดันภาษีที่ดิน
อย่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งไทยซัมมิท ฟันธงว่า " ผมคิดว่าทั้งคุณกรณ์ และคุณอภิสิทธิ์คงไม่มีความกล้าพอที่จะผลักดันภาษีที่ดิน เพราะเรื่องนี้ ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของคนชั้นตัวเองจริงๆ "
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
ต้นไม้ป่วยประชาธิปไตยป่วย
ต้นไม้ = ประชาธิปไตย
เพลี้ย = รัฐบาลที่กัดกินประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญ๕๐ = เพลี้ยที่ถูกปล่อยจาก คมช.
รัฐธรรมนูญ๔๐ = ยากันเพลี้ย
ขณะนี้เราเห็นว่าต้นไม้เสียหายไม่ปกติต้องได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ ถ้าเราอยู่เฉย นั่งมองดูต้นไม้นั้นถูกกัดกิน นับวันจะเหี่ยวเฉาลง การออกมาเรียกร้องของมวลชน คือการแสดงออกที่จะบอกว่า เราจะไม่อยู่เฉย ต้องกำจัดเหตุที่ทำให้ต้นไม้เสียหาย คือตัวกัดกินต้นไม้นั้นเอง การกำจัดเพลี้ย ถ้าใช้ยาแรงก็จะทำให้ต้นไม้ได้รับความเสียหายไปด้วย ควรเป็นยาที่ไม่ทำให้ต้นไม้เสียหาย นั้นคือเรียกร้องโดยสันติ เป็นยาที่ไม่ทำลายระบบของการเรียกร้องที่ถูกต้อง ต้นไม้ไม่ใช่ของเพลี้ยอย่างเดียว ประชาชนก็มีสิทธิชื่นชมต้นไม้ ประชาธิปไตยไม่ใช่ของรัฐบาลอย่างเดียว ทำอย่างไรไม่ให้เพลี้ยกัดกินต้นไม้ ทำอย่างไรไม่ให้รัฐบาลกัดกินประชาธิปไตย ทำให้เพลี้ยเห็นว่าต้นไม้ไม่ใช่อาหารของมัน
ใช้ยาที่ทำให้เพลี้ยเข้าใจว่าต้นไม้นี้กินไม่ได้ ใช้มวลชน หรือสิ่งซึ่งรักษาประชาธิปไตย ที่ทำให้รัฐบาลเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนี้ ทำลายไม่ได้ เปลี่ยนต้นไม้ที่เพลี้ยกินได้เป็นต้นไม้ที่เพลี้ยกินไม่ได้ เปลี่ยนประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายได้เป็นประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายไม่ได้ เราจะทำให้เพลี้ยเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบผิวต้นไม้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ เราจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบประชาธิปไตย ว่าผิวนอกที่เราสัมผัสอยู่นี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว หยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ประชาธิปไตยจะได้เจริญเติมโตเป็นต้นไม้ที่มั่นคงแข็งแรงเป็นสิ่งสวยงาม เป็นประโยชน์ต่อผู้ชื่นชม และพบเห็น รัฐบาลอย่าหลงเข้าใจผิดคิดว่าปัจจุบันยังคงเป็นประชาธิปไตยอยู่ แล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังเสียงผู้คนที่เขาเฝ้าดู การเหี่ยวเฉาของต้นประชาธิปไตยนี้อยู่ ต้นไม้ป่วยประชาธิปไตยป่วย ไม่ออกดอกออกผลก็พอทน แต่แปลกพิกลที่ล้วงหล่นทุกวันจนเหลือแต่กิ่งก้าน หมดใบบานไม่สะพรั่งชื่นชุ่มเหมือนแต่ก่อน ขอให้ย้อนก่อนปรับเปลี่ยนเป็น รัฐธรรมนูญ๕๐ ก่อนที่ คมช. จะปล่อยเพลี้ยทำลายประชาธิปไตย
สิ่งควรทำ
ลดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ใส่ยา
เรียกร้อง สันติ อหิงสา ยุบสภา ใช้รัฐธรรมนูญ๔๐ คืนอำนาจประชา
ปลูกต้นประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ใส่ใจดูแล ให้สวยสดและงดงาม
โดย. ชาญชัย พุฒิกานนท์
************************************************
เพลี้ย = รัฐบาลที่กัดกินประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญ๕๐ = เพลี้ยที่ถูกปล่อยจาก คมช.
รัฐธรรมนูญ๔๐ = ยากันเพลี้ย
ขณะนี้เราเห็นว่าต้นไม้เสียหายไม่ปกติต้องได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ ถ้าเราอยู่เฉย นั่งมองดูต้นไม้นั้นถูกกัดกิน นับวันจะเหี่ยวเฉาลง การออกมาเรียกร้องของมวลชน คือการแสดงออกที่จะบอกว่า เราจะไม่อยู่เฉย ต้องกำจัดเหตุที่ทำให้ต้นไม้เสียหาย คือตัวกัดกินต้นไม้นั้นเอง การกำจัดเพลี้ย ถ้าใช้ยาแรงก็จะทำให้ต้นไม้ได้รับความเสียหายไปด้วย ควรเป็นยาที่ไม่ทำให้ต้นไม้เสียหาย นั้นคือเรียกร้องโดยสันติ เป็นยาที่ไม่ทำลายระบบของการเรียกร้องที่ถูกต้อง ต้นไม้ไม่ใช่ของเพลี้ยอย่างเดียว ประชาชนก็มีสิทธิชื่นชมต้นไม้ ประชาธิปไตยไม่ใช่ของรัฐบาลอย่างเดียว ทำอย่างไรไม่ให้เพลี้ยกัดกินต้นไม้ ทำอย่างไรไม่ให้รัฐบาลกัดกินประชาธิปไตย ทำให้เพลี้ยเห็นว่าต้นไม้ไม่ใช่อาหารของมัน
ใช้ยาที่ทำให้เพลี้ยเข้าใจว่าต้นไม้นี้กินไม่ได้ ใช้มวลชน หรือสิ่งซึ่งรักษาประชาธิปไตย ที่ทำให้รัฐบาลเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนี้ ทำลายไม่ได้ เปลี่ยนต้นไม้ที่เพลี้ยกินได้เป็นต้นไม้ที่เพลี้ยกินไม่ได้ เปลี่ยนประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายได้เป็นประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายไม่ได้ เราจะทำให้เพลี้ยเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบผิวต้นไม้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ เราจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบประชาธิปไตย ว่าผิวนอกที่เราสัมผัสอยู่นี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว หยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ประชาธิปไตยจะได้เจริญเติมโตเป็นต้นไม้ที่มั่นคงแข็งแรงเป็นสิ่งสวยงาม เป็นประโยชน์ต่อผู้ชื่นชม และพบเห็น รัฐบาลอย่าหลงเข้าใจผิดคิดว่าปัจจุบันยังคงเป็นประชาธิปไตยอยู่ แล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังเสียงผู้คนที่เขาเฝ้าดู การเหี่ยวเฉาของต้นประชาธิปไตยนี้อยู่ ต้นไม้ป่วยประชาธิปไตยป่วย ไม่ออกดอกออกผลก็พอทน แต่แปลกพิกลที่ล้วงหล่นทุกวันจนเหลือแต่กิ่งก้าน หมดใบบานไม่สะพรั่งชื่นชุ่มเหมือนแต่ก่อน ขอให้ย้อนก่อนปรับเปลี่ยนเป็น รัฐธรรมนูญ๕๐ ก่อนที่ คมช. จะปล่อยเพลี้ยทำลายประชาธิปไตย
สิ่งควรทำ
ลดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ใส่ยา
เรียกร้อง สันติ อหิงสา ยุบสภา ใช้รัฐธรรมนูญ๔๐ คืนอำนาจประชา
ปลูกต้นประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ใส่ใจดูแล ให้สวยสดและงดงาม
โดย. ชาญชัย พุฒิกานนท์
************************************************
24มี.ค. รัฐเปิดสภากลางวงเสื้อแดง

ประเด็นร้อนวันที่ 24 มี.ค.คนเสื้อแดงจะเอาอย่างไรกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ แต่ที่แน่ๆ ทหาร ตำรวจ วางกำลังรอบรัฐสภาพร้อมเครื่องกีดขวางเต็มพิกัด และปิดการจราจรบนถนน 8 สายรอบรัฐสภา ใครมีความจำเป็นเดินทางสัญจรผ่านย่านนั้นโปรดตรวจสอบข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
1. บรรยากาศทางการเมืองทะมึนขึ้นอีกหลายดีกรี เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ภายใต้การคุ้มครองดูแลของกองทำลังทหารที่วางกำลังโดยรอบรัฐสภา วาระพิจารณาในวันที่ 24 มี.ค. ส่วนใหญ่เป็นร่างกฎหมายที่ยังค้างอยู่ ส่วนวันที่ 25 มี.ค. จะพิจารณากระทู้ทั่วไปและกระทู้ที่ค้างมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และยังมีเรื่องที่ฝ่ายค้านขอหารือเรื่องการเสนอญัตติด่วนในการตั้งคณะกรรมาธิการติดตามปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ต้องดูว่าแกนนำคนเสื้อแดงจะปล่อยให้กลไกรัฐสภา และกลไกรัฐทำหน้าที่ตามกฎหมายหรือไม่
2. ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย แม้จะมีมติให้ สส.เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่นายสุชาติ ลายน้ำเงิน สส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ประกาศว่าจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า โดยเรียกร้องให้มวลชนคนเสื้อแดงไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภาตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที
3. หันไปดูกิจกรรมของคนเสื้อแดงวันนี้ หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกบดานยกเลิกการพบปะผ่านวิดีโอลิงก์ไป 2 คืนติดกัน สองทุ่มคืนนี้ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล จัดกิจกรรมเสริมส่งแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยจะนำคนเสื้อแดงจุดเทียนชัยถวายพระพร 1 แสนเล่ม เพื่อให้สังคมเห็นภาพการเทิดทูนสถาบันของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้
4. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งให้ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ให้รับทราบว่า ทางพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันให้ตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อประเมินสถานการณ์ และให้คำแนะนำรัฐบาลในการเดินเกมการเมือง โดยในวันนี้จะมีการเสนอคนจากต่างพรรคมาร่วมทีม เพื่อให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังสัมพันธ์มั่นคง
5. คดียึดทรัพย์ยังไม่จบ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งให้ทนายความ นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ไปยืนอุทธรณ์การยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีรายละเอียดมากกว่า 100 หน้า ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
6. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน ก.พ. 2553 ที่มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี สอดคล้องกับยอดการส่งออกในเดือน ก.พ. ที่ขยายตัวในทิศทางที่ดี รวมทั้งจะเปิดเผยยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ของเดือน ก.พ. ณ ห้องประชุม ส.อ.ท.1 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
7. นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ แถลงข่าวคณะกรรมการร่วมไทยพม่า เพื่อความร่วมมือด้านการค้า ผลักดันให้เกิดการค้าระหว่างทั้งสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ที่กระทรวงพาณิชย์
8. สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตตา) เข้าพบนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหารือภาพรวมด้านการท่องเที่ยว และผลักดันแผนด้านการตลาดร่วมกัน ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
9. ตลาดหุ้นเครื่องร้อนทำท่าจะวิ่งต่อ ไม่สะดุ้งสะเทือนกับสถานการณ์ความไม่สงบด้านการเมือง บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย ดัชนียังคงทะยานตัวในแดนบวก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ระดับ 774.75 จุด และปิดที่ระดับสูงสุดที่ 784.48 จุด บวก 10.23 จุด หรือ 1.32% ดัชนีปรับตัวสูงสุดในรอบ 22 เดือน
อีกงานที่น่าสนใจ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แถลงผลการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ครั้งที่ 1/2553 เรื่องความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ช่วง มี.ค.ธ.ค. 2553 รวมทั้งแถลงข่าวงานประกาศรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2009
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนา สำรวจภาวะตลาดทุน ครั้งที่ 3/2553 โดยเป็นการนำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “หลากหลายมิติของสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย : นัยต่อการกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายและเสถียรภาพของตลาดหุ้น”
10. ขณะที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือทางการเงินกับสถาบันการเงิน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนแก่ สปป.ลาว ในโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ และโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3)
11. ในวันเดียวกัน น.ส.เพรามาตร หันตรา รองอธิบดีกรมสรรพากร ร่วมลงนามความร่วมมือการให้บริการยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต/รับชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส อำนวยความสะดวกในการชำระภาษีของประชาชน
ที่มาโพสต์ทูเดย์
************************************************
รถจรวดอาร์พีจี
ภายในรถปิกอัพวีโก้พาหนะของมือยิงจรวดอาร์พีจีป่วนเมือง ซึ่งนอกจากยิงไม่สำเร็จแล้ว ยังทิ้งรถเอาไว้ให้ตำรวจสามารถตามแกะรอยได้อีกนั้น
ประเด็นที่สร้างข้อสงสัยให้กับตำรวจที่เข้าตรวจค้นรถดังกล่าวอย่างมากก็คือ เหตุใดคนร้ายรายนี้ จึงขนอาวุธอะไรต่อมิอะไรมาอย่างมากมายไว้ในรถ!?
ทั้งอาร์พีจี ปืนกล กระสุน ระเบิดมือ
เด็ดกว่านั้น มีเสื้อแดงอีก 2 ตัว
เอาเฉพาะประเด็นอาวุธที่มากมายขนาดนี้ เกิดข้อน่าคิดในฉับพลันทันที
ทำไมจึงกล้าขับรถที่มากด้วยอาวุธสงครามไปบนท้องถนนเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยด่านตรวจ ในช่วงการประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคง
การลักลอบนำระเบิดไปขว้างสักลูกสองลูก ยังพอเป็นไปได้ ลักลอบยิงเอ็ม 79 ก็ยังมีโอกาส เพราะทำให้เห็นมาแล้ว
แต่รายนี้ทั้งเล่นของหนักคือจรวดอาร์พีจีที่มีขนาดใหญ่โตเทอะทะ
แถมยังมีอีกสารพัดอาวุธอยู่ภายในรถ
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดไม่น้อย!?!
จะสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง ต้องนำอาวุธมามากขนาดนี้เลยหรือ
สำคัญที่สุดกล้าลำเลียงมาเต็มรถโดยไม่เกรงด่านตรวจได้อย่างไร!
พอมีเสื้อแดงทิ้งไว้ในรถอีกสองตัว ตำรวจบางคนก็พอจะเข้าใจในที่มาที่ไป พร้อมๆ กับถอยห่างออกมาจากการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ในทันที
แต่ในขณะที่ตำรวจเพียงตรวจสอบรถเพื่อโยงไปถึงผู้ครอบครอง ซึ่งพบว่าซื้อขายในเส้นทางโจรกันมา 4-5 ทอดแล้วนั้น
ไม่ทันไรโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ออกมาให้ข่าวว่า สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว โดยมีคราบเลือดเป็นหลักฐานมัด
จนตำรวจต้องปฏิเสธตามมาภายหลังว่า ไม่เป็นความจริง ยังไม่มีการจับกุมใคร
ไม่รู้เข้าใจผิด หรือว่าผิดคิว!!
มืออาร์พีจีจะจับได้หรือไม่ยังไม่รู้ แต่รู้ได้แน่ว่า เป็นการจงใจสร้างเรื่องสร้างสถานการณ์ สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองเพื่อบรรลุแผนการช่วงชิงอำนาจ
เป็นแผนการอันเลวร้าย ทั้งสองฝ่ายควรตระหนักให้ดี ว่ามีแต่ทำลายส่วนรวมให้เสียหาย
ตอนนี้ทุกฝ่ายหวังในเรื่องการนั่งโต๊ะเจรจา ก็น่าจะทำกันเสียที
ใช้การพูดคุยหาทางออก
ดีกว่าระเบิดสร้างสถานการณ์ ซึ่งจะยิ่งนำไปสู่ทางตีบตัน!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ชกไม่มีมุม
โดย.วงค์ ตาวัน
************************************************
ประเด็นที่สร้างข้อสงสัยให้กับตำรวจที่เข้าตรวจค้นรถดังกล่าวอย่างมากก็คือ เหตุใดคนร้ายรายนี้ จึงขนอาวุธอะไรต่อมิอะไรมาอย่างมากมายไว้ในรถ!?
ทั้งอาร์พีจี ปืนกล กระสุน ระเบิดมือ
เด็ดกว่านั้น มีเสื้อแดงอีก 2 ตัว
เอาเฉพาะประเด็นอาวุธที่มากมายขนาดนี้ เกิดข้อน่าคิดในฉับพลันทันที
ทำไมจึงกล้าขับรถที่มากด้วยอาวุธสงครามไปบนท้องถนนเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยด่านตรวจ ในช่วงการประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคง
การลักลอบนำระเบิดไปขว้างสักลูกสองลูก ยังพอเป็นไปได้ ลักลอบยิงเอ็ม 79 ก็ยังมีโอกาส เพราะทำให้เห็นมาแล้ว
แต่รายนี้ทั้งเล่นของหนักคือจรวดอาร์พีจีที่มีขนาดใหญ่โตเทอะทะ
แถมยังมีอีกสารพัดอาวุธอยู่ภายในรถ
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดไม่น้อย!?!
จะสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง ต้องนำอาวุธมามากขนาดนี้เลยหรือ
สำคัญที่สุดกล้าลำเลียงมาเต็มรถโดยไม่เกรงด่านตรวจได้อย่างไร!
พอมีเสื้อแดงทิ้งไว้ในรถอีกสองตัว ตำรวจบางคนก็พอจะเข้าใจในที่มาที่ไป พร้อมๆ กับถอยห่างออกมาจากการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ในทันที
แต่ในขณะที่ตำรวจเพียงตรวจสอบรถเพื่อโยงไปถึงผู้ครอบครอง ซึ่งพบว่าซื้อขายในเส้นทางโจรกันมา 4-5 ทอดแล้วนั้น
ไม่ทันไรโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ออกมาให้ข่าวว่า สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว โดยมีคราบเลือดเป็นหลักฐานมัด
จนตำรวจต้องปฏิเสธตามมาภายหลังว่า ไม่เป็นความจริง ยังไม่มีการจับกุมใคร
ไม่รู้เข้าใจผิด หรือว่าผิดคิว!!
มืออาร์พีจีจะจับได้หรือไม่ยังไม่รู้ แต่รู้ได้แน่ว่า เป็นการจงใจสร้างเรื่องสร้างสถานการณ์ สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองเพื่อบรรลุแผนการช่วงชิงอำนาจ
เป็นแผนการอันเลวร้าย ทั้งสองฝ่ายควรตระหนักให้ดี ว่ามีแต่ทำลายส่วนรวมให้เสียหาย
ตอนนี้ทุกฝ่ายหวังในเรื่องการนั่งโต๊ะเจรจา ก็น่าจะทำกันเสียที
ใช้การพูดคุยหาทางออก
ดีกว่าระเบิดสร้างสถานการณ์ ซึ่งจะยิ่งนำไปสู่ทางตีบตัน!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ชกไม่มีมุม
โดย.วงค์ ตาวัน
************************************************
มุมมองสื่อต่างชาติ: อคติในสื่อโทรทัศน์ ยิ่งแบ่งแยกผู้ประท้วงชาวไทย
Prachatai:
ขณะที่มีคนบางกลุ่มยังเป็นห่วงเรื่อง ‘ความขัดแย้ง’ และพยายามรณรงค์ให้ ‘คนไทยรักกัน’ แต่หารู้ไม่ว่าสื่อต่างชาติวิเคราะห์การนำเสนออย่างมีอคติของสื่อไทยเองที่ยิ่งขยายวงความขัดแย้ง โดยยกตัวอย่างฟรีทีวีที่ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลทำให้แต่ละฝ่ายต่างหันไปหาเคเบิลทีวีช่องที่สนับสนุนฝ่ายตน
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ไซมอน มอนท์เลค จาก คริสเตียน ไซเอนส์ มอนิเตอร์ (CSM) นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแพร่ภาพข่าวการชุมนุมกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มเสื้อแดงของไทยในสื่อโทรทัศน์ โดยใช้ชื่อว่า “อคติในสื่อโทรทัศน์ ยิ่งแบ่งแยกผู้ประท้วงชาวไทย” (Biased TV stations intensify divides in Thailand protests)
โดยกล่าวถึงการนำเสนอข่าวอย่างมีอคติของสื่อโทรทัศน์ ที่ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาล ขณะเดียวกันการเติบโตของเคเบิลทีวี ทำให้สื่อของแต่ละฝ่ายต่างมีที่ทางของตนเอง และนำเสนอในสิ่งที่เน้นมุมมองจากฝ่ายตน
++++++++++++++++
ขณะที่การประท้วงในไทยดำเนินไปจนถึงสัปดาห์ที่สองแล้ว สถานีโทรทัศน์ที่เป็นคู่แข่งกันก็รายงานการชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นเรื่องผลกระทบด้านลบของการชุมนุม
กลุ่มเสื้อแดงพากันท่องไปทั่วกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์, รถกระบะ และ รถจักรยานยนต์ เมื่อวันเสาร์ (20) ที่ผ่านมา ในการชุมนุมประท้วงรัฐบาลครั้งล่าสุด ตำรวจระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว 65,000 รวมขบวน ที่มีความยาวหลายไมล์
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง โทรทัศน์ของไทยที่เป็นสื่อที่คนนิยมดู บอกว่ามีผู้เข้าร่วม 25,000 คน และเช่นเคย ภาพข่าวของผู้ชุมนุมถูกการแถลงข่าวของรัฐบาลคลุมทับไปหมด ไม่มีการนำเสนอเรื่องของผู้ชุมนุมโดยทั่วไป และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยการเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลก็พากันโหมเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ เรื่องการใช้เลือดในเชิงจริยธรรม ขณะที่สื่อผ่ายต้านรัฐบาลเน้นเรื่องการใช้สัญลักษณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมหลั่งเลือดเพื่อประท้วง
และหลังจากที่การประท้วงดำเนินเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 สื่อกระแสหลักของไทยก็ควรถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง ซึ่งจริง ๆ ระยะเวลาที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการแบ่งขั้ว 4 ปี ที่ผ่านมา ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้ว มีนักวิจารณ์บอกว่าช่องสถานีฟรีทีวีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกองทัพนั้นเต็มไปด้วยอคติ
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวไทยหลายคนเริ่มหันไปหาสื่อที่อยู่ข้างเดียวกันอย่างพวกเคเบิลทีวี วิทยุชุมชน และอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองลึกขึ้น และทำให้การหาจุดร่วมทำได้ยากขึ้น
วันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธไม่ยอมรับการเจรจากับรักษาการนายกรัฐมนตรี และยืนยันอยากเจรจากับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ตัวนายกฯ อภิสิทธิ์เองก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้เขายุบสภาและเลือกตั้งใหม่
ก่อนหน้านี้อคติในสื่อไทยก็เคยทำให้เกิดความขัดแย้งมาแล้ว ในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535) เมื่อทหารยิงผู้ชุมนุมในกทม. ช่องสถานีของรัฐบาลรายงานว่ามีพวกคอมมิวนิสต์ปลุกระดมให้เกิดจลาจล ภาพที่ถูกใส่ความว่าเป็นการต่อต้านเชื้อพระวงศ์ในหนังสือพิมพ์ปี 1976 (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519) ก็ทำให้เกิดการสังหารหมู่นักศึกษาโดยกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยกองทัพ
ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มนักกิจกรรมที่ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่ายต่างกดดันสถานีโทรทัศน์เรื่องการเสนอข่าว และมีการคุกคามผู้สื่อข่าวที่นำเสนอจำนวนผู้ชุมนุมน้อยกว่าความจริง จากกรณีนี้เองทำให้สื่อบางแห่งหลีกเลี่ยงการประเมินจำนวนผู้ชุมนุม “พวกเราไม่อยากมีปัญหา เราจึงหลีกเลี่ยงการรายงานเรื่องจำนวน” บรรณาธิการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกล่าว
สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอคนละมุม
เรื่องที่ทำให้ยิ่งเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้นคือการที่แต่ละฝ่ายต่างมีสื่อของตัวเอง ฝ่ายเสื้อแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากคนชนบทและจากชนชั้นแรงงานของไทย เปิดสถานีพีเพิลแชนแนล ที่ถ่ายทอดการประท้วงตลอดวันตลอดคืน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือเสื้อเหลืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางสิทธิเลือกตั้งก็รับข่าวสารจาก เอเอสทีวี ทั้งสองช่องล้วนแต่มีอคติสูง
สุภิญญา กลางณรงค์ นักรณรงค์ด้านเสรีภาพสื่อกล่าวว่า การแพร่ขยายของ ‘สื่อใหม่’ (new media) ทำให้เกิดการตรวจสอบการควบคุมข่าวสารของรัฐบาล เธอกล่าวอีกว่าสื่อโทรทัศน์ไม่มีพลังในการบิดเบือนความจริงได้มากเท่าในปี 1992 (พ.ศ. 2535) อีกแล้ว เพราะพวกเขาต้องแข่งกับสื่ออื่น ๆ รวมถึงการส่งรูปและข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต
“ฉันคิดว่า (รัฐบาล) รู้ว่าหากพวกเขาใช้การควบคุมหรือบงการมากเกินไป ประชาชนจะไม่เชื่ออีกต่อไป” สุภิญญากล่าว
บรรณาธิการข่าวโทรทัศน์ผู้ไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกคุกคามบอกอีกว่า ความแตกต่างจะทำให้ผู้ชมตกอยู่ในความมืด เขาบอกอีกว่ารัฐบาลแทรกแซงการนำเสนอข่าว ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ “แต่ในตอนนี้มันเลวร้ายกว่าเดิม” เขากล่าว
ที่มา: แปลจาก Biased TV stations intensify divides in Thailand protests, Simon Montlake, The Christian Science Monitor, 23-03-2010
http://www.csmonitor.com/World/Asia-Pacific/2010/0322/Biased-TV-stations-intensify-divides-in-Thailand-protests
*******************************************************
ขณะที่มีคนบางกลุ่มยังเป็นห่วงเรื่อง ‘ความขัดแย้ง’ และพยายามรณรงค์ให้ ‘คนไทยรักกัน’ แต่หารู้ไม่ว่าสื่อต่างชาติวิเคราะห์การนำเสนออย่างมีอคติของสื่อไทยเองที่ยิ่งขยายวงความขัดแย้ง โดยยกตัวอย่างฟรีทีวีที่ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลทำให้แต่ละฝ่ายต่างหันไปหาเคเบิลทีวีช่องที่สนับสนุนฝ่ายตน
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ไซมอน มอนท์เลค จาก คริสเตียน ไซเอนส์ มอนิเตอร์ (CSM) นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแพร่ภาพข่าวการชุมนุมกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มเสื้อแดงของไทยในสื่อโทรทัศน์ โดยใช้ชื่อว่า “อคติในสื่อโทรทัศน์ ยิ่งแบ่งแยกผู้ประท้วงชาวไทย” (Biased TV stations intensify divides in Thailand protests)
โดยกล่าวถึงการนำเสนอข่าวอย่างมีอคติของสื่อโทรทัศน์ ที่ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาล ขณะเดียวกันการเติบโตของเคเบิลทีวี ทำให้สื่อของแต่ละฝ่ายต่างมีที่ทางของตนเอง และนำเสนอในสิ่งที่เน้นมุมมองจากฝ่ายตน
++++++++++++++++
ขณะที่การประท้วงในไทยดำเนินไปจนถึงสัปดาห์ที่สองแล้ว สถานีโทรทัศน์ที่เป็นคู่แข่งกันก็รายงานการชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นเรื่องผลกระทบด้านลบของการชุมนุม
กลุ่มเสื้อแดงพากันท่องไปทั่วกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์, รถกระบะ และ รถจักรยานยนต์ เมื่อวันเสาร์ (20) ที่ผ่านมา ในการชุมนุมประท้วงรัฐบาลครั้งล่าสุด ตำรวจระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว 65,000 รวมขบวน ที่มีความยาวหลายไมล์
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง โทรทัศน์ของไทยที่เป็นสื่อที่คนนิยมดู บอกว่ามีผู้เข้าร่วม 25,000 คน และเช่นเคย ภาพข่าวของผู้ชุมนุมถูกการแถลงข่าวของรัฐบาลคลุมทับไปหมด ไม่มีการนำเสนอเรื่องของผู้ชุมนุมโดยทั่วไป และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยการเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลก็พากันโหมเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ เรื่องการใช้เลือดในเชิงจริยธรรม ขณะที่สื่อผ่ายต้านรัฐบาลเน้นเรื่องการใช้สัญลักษณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมหลั่งเลือดเพื่อประท้วง
และหลังจากที่การประท้วงดำเนินเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 สื่อกระแสหลักของไทยก็ควรถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง ซึ่งจริง ๆ ระยะเวลาที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการแบ่งขั้ว 4 ปี ที่ผ่านมา ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้ว มีนักวิจารณ์บอกว่าช่องสถานีฟรีทีวีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกองทัพนั้นเต็มไปด้วยอคติ
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวไทยหลายคนเริ่มหันไปหาสื่อที่อยู่ข้างเดียวกันอย่างพวกเคเบิลทีวี วิทยุชุมชน และอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองลึกขึ้น และทำให้การหาจุดร่วมทำได้ยากขึ้น
วันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธไม่ยอมรับการเจรจากับรักษาการนายกรัฐมนตรี และยืนยันอยากเจรจากับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ตัวนายกฯ อภิสิทธิ์เองก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้เขายุบสภาและเลือกตั้งใหม่
ก่อนหน้านี้อคติในสื่อไทยก็เคยทำให้เกิดความขัดแย้งมาแล้ว ในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535) เมื่อทหารยิงผู้ชุมนุมในกทม. ช่องสถานีของรัฐบาลรายงานว่ามีพวกคอมมิวนิสต์ปลุกระดมให้เกิดจลาจล ภาพที่ถูกใส่ความว่าเป็นการต่อต้านเชื้อพระวงศ์ในหนังสือพิมพ์ปี 1976 (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519) ก็ทำให้เกิดการสังหารหมู่นักศึกษาโดยกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยกองทัพ
ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มนักกิจกรรมที่ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่ายต่างกดดันสถานีโทรทัศน์เรื่องการเสนอข่าว และมีการคุกคามผู้สื่อข่าวที่นำเสนอจำนวนผู้ชุมนุมน้อยกว่าความจริง จากกรณีนี้เองทำให้สื่อบางแห่งหลีกเลี่ยงการประเมินจำนวนผู้ชุมนุม “พวกเราไม่อยากมีปัญหา เราจึงหลีกเลี่ยงการรายงานเรื่องจำนวน” บรรณาธิการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกล่าว
สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอคนละมุม
เรื่องที่ทำให้ยิ่งเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้นคือการที่แต่ละฝ่ายต่างมีสื่อของตัวเอง ฝ่ายเสื้อแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากคนชนบทและจากชนชั้นแรงงานของไทย เปิดสถานีพีเพิลแชนแนล ที่ถ่ายทอดการประท้วงตลอดวันตลอดคืน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือเสื้อเหลืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางสิทธิเลือกตั้งก็รับข่าวสารจาก เอเอสทีวี ทั้งสองช่องล้วนแต่มีอคติสูง
สุภิญญา กลางณรงค์ นักรณรงค์ด้านเสรีภาพสื่อกล่าวว่า การแพร่ขยายของ ‘สื่อใหม่’ (new media) ทำให้เกิดการตรวจสอบการควบคุมข่าวสารของรัฐบาล เธอกล่าวอีกว่าสื่อโทรทัศน์ไม่มีพลังในการบิดเบือนความจริงได้มากเท่าในปี 1992 (พ.ศ. 2535) อีกแล้ว เพราะพวกเขาต้องแข่งกับสื่ออื่น ๆ รวมถึงการส่งรูปและข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต
“ฉันคิดว่า (รัฐบาล) รู้ว่าหากพวกเขาใช้การควบคุมหรือบงการมากเกินไป ประชาชนจะไม่เชื่ออีกต่อไป” สุภิญญากล่าว
บรรณาธิการข่าวโทรทัศน์ผู้ไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกคุกคามบอกอีกว่า ความแตกต่างจะทำให้ผู้ชมตกอยู่ในความมืด เขาบอกอีกว่ารัฐบาลแทรกแซงการนำเสนอข่าว ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ “แต่ในตอนนี้มันเลวร้ายกว่าเดิม” เขากล่าว
ที่มา: แปลจาก Biased TV stations intensify divides in Thailand protests, Simon Montlake, The Christian Science Monitor, 23-03-2010
http://www.csmonitor.com/World/Asia-Pacific/2010/0322/Biased-TV-stations-intensify-divides-in-Thailand-protests
*******************************************************
ทำไมไม่กล้ายุบ (รัฐบาลโจร)
การเจรจาระหว่างแกนนำนปช.กับรัฐบาลล้มลง ตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่
เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เล่นแง่ ไม่ยอมลงมาพูดคุยเอง
ความจริงข้อเรียกร้องม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 13-14 มี.ค. คือให้ยุบสภา
แต่นายกฯ ออกโทรทัศน์ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง ระหว่างม็อบเคลื่อนขบวนไปฟังคำตอบ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
จนกระทั่งมีการยกระดับกดดัน เทเลือดราดทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักส่วนตัว
กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังยืนยันเรียกร้องให้ยุบสภา
เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังเพิกเฉยได้อีก ก็มีการจัดขบวนเคลื่อนพลระยะทางเกือบ 50 ก.ม. ไปทั่วกรุงเทพฯ โดยมีคนออกมาร่วมกว่า 5 หมื่นคน เพื่อยืนยันข้อเรียกร้องเดิม
รัฐบาลก็ยังไม่ยินยอมอีก แต่ก็เริ่มเสียงอ่อน เพราะคงเห็นขบวนม็อบแดงยาวเหยียด
แต่ดันจะส่งคนอย่าง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งก็รู้อยู่ว่าคุยกันไม่ได้ให้ไปเจรจา
ต่อมาเปลี่ยนเป็น นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ทั้งๆ ที่ข้อเรียกร้องม็อบอยากจะคุยกับนายกฯ เท่านั้น
ความจริงข้อเรียกร้องให้ยุบสภา ผิดหลักไปจากระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์-อาจารย์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าไม่ และยังบอกอีกว่าเป็นข้อเรียกร้องที่เบาที่สุดแล้ว
หรือที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเรียกร้องประเด็นนี้
แม้แต่เรื่องผิดหลักการประชาธิปไตย อย่างการเรียกร้องนายกฯ พระราชทาน ยังบังอาจทำมาแล้ว
ล่าสุด นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง "ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ"
เรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่าให้ยุบสภาทันที เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และยืนยันไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
นปช.ยินดีเจรจาโดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไม่มีการขัดขวาง
ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้
เมื่ออีกฝ่ายเปิดไพ่ แบข้อเสนออย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้
ต้องดูว่านายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะว่าอย่างไร
จะยอมทนอยู่ในตำแหน่งต่อไป ดันทุรัง ลากยาว เพราะคิดว่ามีอำนาจพิเศษสนับสนุน
ขณะที่ประชาชนไม่เอาด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องคิดให้หนัก
อย่าลืมว่าตอนได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้สง่างามนัก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*************************************************
เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เล่นแง่ ไม่ยอมลงมาพูดคุยเอง
ความจริงข้อเรียกร้องม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 13-14 มี.ค. คือให้ยุบสภา
แต่นายกฯ ออกโทรทัศน์ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง ระหว่างม็อบเคลื่อนขบวนไปฟังคำตอบ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
จนกระทั่งมีการยกระดับกดดัน เทเลือดราดทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักส่วนตัว
กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังยืนยันเรียกร้องให้ยุบสภา
เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังเพิกเฉยได้อีก ก็มีการจัดขบวนเคลื่อนพลระยะทางเกือบ 50 ก.ม. ไปทั่วกรุงเทพฯ โดยมีคนออกมาร่วมกว่า 5 หมื่นคน เพื่อยืนยันข้อเรียกร้องเดิม
รัฐบาลก็ยังไม่ยินยอมอีก แต่ก็เริ่มเสียงอ่อน เพราะคงเห็นขบวนม็อบแดงยาวเหยียด
แต่ดันจะส่งคนอย่าง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งก็รู้อยู่ว่าคุยกันไม่ได้ให้ไปเจรจา
ต่อมาเปลี่ยนเป็น นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ทั้งๆ ที่ข้อเรียกร้องม็อบอยากจะคุยกับนายกฯ เท่านั้น
ความจริงข้อเรียกร้องให้ยุบสภา ผิดหลักไปจากระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์-อาจารย์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าไม่ และยังบอกอีกว่าเป็นข้อเรียกร้องที่เบาที่สุดแล้ว
หรือที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเรียกร้องประเด็นนี้
แม้แต่เรื่องผิดหลักการประชาธิปไตย อย่างการเรียกร้องนายกฯ พระราชทาน ยังบังอาจทำมาแล้ว
ล่าสุด นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง "ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ"
เรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่าให้ยุบสภาทันที เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และยืนยันไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
นปช.ยินดีเจรจาโดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไม่มีการขัดขวาง
ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้
เมื่ออีกฝ่ายเปิดไพ่ แบข้อเสนออย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้
ต้องดูว่านายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะว่าอย่างไร
จะยอมทนอยู่ในตำแหน่งต่อไป ดันทุรัง ลากยาว เพราะคิดว่ามีอำนาจพิเศษสนับสนุน
ขณะที่ประชาชนไม่เอาด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องคิดให้หนัก
อย่าลืมว่าตอนได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้สง่างามนัก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*************************************************
ในกัมปนาทระเบิด
จากเหตุลอบวางระเบิด มาจนถึงการใช้อาวุธสงครามอย่างเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่สถานที่ราชการที่ถูกระบุว่าเป็น "เป้าหมาย"
และล่าสุดคือการใช้อาวุธสงครามที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้นอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ซึ่งคาดว่าเป้าหมายคือกระทรวงกลาโหมนั้น
แม้ในยามสถานการณ์ปกติธรรมดาก็จะต้องถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่ทั้งละเอียดอ่อนและต้องการประสิทธิภาพ-ความร่วมมือจากส่วนต่างๆ ของสังคมในการแก้ไขปัญหา
มิให้การลอบก่อการร้ายเช่นนี้ลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
เพราะเป้าหมายของการก่อการร้ายทุกครั้งในโลก ก็คือเพื่อความกลัว ความหวาดระแวง และความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับสังคม
ฉะนั้น สังคมซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการก่อการร้ายโดยตรง จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการให้เป็น
ด้วยการขจัดความกลัวโดยการร่วมกันสอดส่องดูแล ให้เบาะแสของผู้ลงมือก่อการ ขจัดความหวาดระแวงด้วยการไม่กล่าวหากันลอยๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไร้ข้อมูลเหตุผล
และระงับความปั่นป่วนวุ่นวายด้วยการรักษาความสงบสันติในส่วนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้ใช้ชีวิตตามปกติ หรือผู้ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และที่จริงแล้ว กลุ่มคนผู้ที่สามารถลงมือก่อการร้ายเช่นนี้ก็มีไม่มากนัก เพราะนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสงครามแล้ว
ยังจะต้องเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า มี "อิทธิพล" หรือ "บารมี" บางประการที่ดูแลตนเองอยู่ มิให้ถูกจับกุมหรือลงโทษตามกฎหมาย
ผู้ที่สามารถให้ความมั่นใจกับกลุ่มผู้ลงมือทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ ก็มีอยู่ไม่มากนักในสังคมไทย ไม่ว่าจะในกลุ่มไหน
ถ้าการรักษากฎหมายเป็นไปอย่างเข้มแข็งจริงจัง และโปร่งใส เหตุร้ายเช่นนี้ก็จะค่อยๆ สร่างซาไป
แต่ถ้าไม่สามารถยับยั้งเสียงระเบิดได้ อนาคตของประชาชนไทยก็น่าหวั่นวิตก
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************
และล่าสุดคือการใช้อาวุธสงครามที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้นอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ซึ่งคาดว่าเป้าหมายคือกระทรวงกลาโหมนั้น
แม้ในยามสถานการณ์ปกติธรรมดาก็จะต้องถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่ทั้งละเอียดอ่อนและต้องการประสิทธิภาพ-ความร่วมมือจากส่วนต่างๆ ของสังคมในการแก้ไขปัญหา
มิให้การลอบก่อการร้ายเช่นนี้ลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
เพราะเป้าหมายของการก่อการร้ายทุกครั้งในโลก ก็คือเพื่อความกลัว ความหวาดระแวง และความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับสังคม
ฉะนั้น สังคมซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการก่อการร้ายโดยตรง จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการให้เป็น
ด้วยการขจัดความกลัวโดยการร่วมกันสอดส่องดูแล ให้เบาะแสของผู้ลงมือก่อการ ขจัดความหวาดระแวงด้วยการไม่กล่าวหากันลอยๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไร้ข้อมูลเหตุผล
และระงับความปั่นป่วนวุ่นวายด้วยการรักษาความสงบสันติในส่วนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้ใช้ชีวิตตามปกติ หรือผู้ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และที่จริงแล้ว กลุ่มคนผู้ที่สามารถลงมือก่อการร้ายเช่นนี้ก็มีไม่มากนัก เพราะนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสงครามแล้ว
ยังจะต้องเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า มี "อิทธิพล" หรือ "บารมี" บางประการที่ดูแลตนเองอยู่ มิให้ถูกจับกุมหรือลงโทษตามกฎหมาย
ผู้ที่สามารถให้ความมั่นใจกับกลุ่มผู้ลงมือทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ ก็มีอยู่ไม่มากนักในสังคมไทย ไม่ว่าจะในกลุ่มไหน
ถ้าการรักษากฎหมายเป็นไปอย่างเข้มแข็งจริงจัง และโปร่งใส เหตุร้ายเช่นนี้ก็จะค่อยๆ สร่างซาไป
แต่ถ้าไม่สามารถยับยั้งเสียงระเบิดได้ อนาคตของประชาชนไทยก็น่าหวั่นวิตก
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
แถลงการณ์ยัน 'หลวงตามหาบัว' ไม่สังฆกรรมเสื้อแดง

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาดแถลงการณ์ยัน "หลวงตามหาบัว" ไม่เคยบริจาคเงิน มอบวัตถุมงคลให้ม็อบ ตามที่สื่อเสนอข่าว ไม่มีมูลความจริงนำพาไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา รวมทั้งวัด...
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี กล่าวว่า คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดได้ออกแถลงการณ์ว่า ตามที่มีข่าวทางสื่อมวลชนเสนอข่าวว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ได้บริจาคเงิน และมอบวัตถุมงคลให้กับกลุ่มบุคคลในการเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ทางวัดป่าบ้านตาดขอชี้แจงว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารดังกล่าว โดยอ้างหลวงตามหาบัว เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน ตลอดจนนำความเสื่อมเสียเข้าไปภายในวัดได้ ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่กลุ่มบุคคลเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่างๆนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด.
ที่มา.ไทยรัฐออนไลน์
***************************************************
"วงกต" ชี้ ปัญหาแต่งตั้งสมเพียร เหตุตั้งศชต.แยก3จว.ย้าย
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยไปปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อน และอยู่ในยุคบุกเบิกศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า(ศปก.ตร.สน.) มองเห็นปัญหาเรื่องการแต่งตั้งและการปฏิบัติงานของตำรวจในจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานแล้ว เห็นว่าปัญหาแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา จ.ยะลา ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการติดกฎระเบียบการย้ายข้ามกองบัญชาการ ซึ่งทำให้การแก้ปัญหากำลังพลโดยการโยกย้ายคนของจากศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) มีปัญหามองว่าส่วนหนึ่งสืบเนื่องจาก การตั้ง ศชต. ที่แยก จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ออกมาจาก บช.ภ.9 ขณะที่โครงสร้างการทำงานของศชต.เองก็ยังไม่ ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นรูปแบบการก่อการร้าย
พล.ต.อ.วงกต กล่าวว่า ตนเห็นว่าควรยุบ ศชต.เสียแล้วให้ 3 จังหวัดไปรวมกับ บช.ภ.9 เหมือนเดิม แล้ว ตั้งบช.ใหม่ ขึ้นมา โดยเอาตำแหน่งที่ศชต.มีโครงสร้างบางส่วนของศชต.มารวมกับ ศปก.ตร.สน.ที่ยังซ้อน ศชต.อยู่ในขณะนี้ แล้วตั้งเป็นบช.ใหม่ ที่ เป็นหน่วยปฏิบัติงานพิเศษในพื้นที่ ซึ่งตนออกแบบโครงสร้างไว้แล้ว เรียกชื่อ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษชายแดนใต้ ซึ่งจะรับผิดชอบงานด้านก่อความไม่ สงบโดยตรง
รองผบ.ตร. กล่าวว่า เห็นควรว่าตร.ควรเร่งเรื่องสิทธิประโยชน์ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเบื้องต้น ก.ตร.ควรยกเว้นหลักเกณฑ์การย้ายข้ามภาคให้กับตำรวจ ศชต.ในตอนนี้ก่อน เพื่อแก้ปัญหา ที่กำลังพลในพื้นที่อ่อนล้ามากในขณะนี้ นอกจากนี้ ตนเห็นว่าการให้สิทธิทวีคูณในการนับอายุราชการนั้นควรทำ แต่เห็นว่าการใช้วันทวีคูณให้สิทธิในการแต่งตั้งเลื่อนสูงขึ้นก็ควรให้ใช้ได้ในกรณีเลื่อนตำแหน่งขึ้นใน 3 จังหวัด เท่านั้น จะเอาสิทธิทวีคูณไปขอขึ้นที่อื่นไม่ได้ แต่หลังจากนั้นหากจะย้ายไปบช.อื่น ไปขึ้นที่อื่นก็ต้องใช้กติกาเดียวกับตำรวจที่อื่นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตำรวจทุกๆคน
ที่มา .เนชั่นทันข่าว
***********************************************
พล.ต.อ.วงกต กล่าวว่า ตนเห็นว่าควรยุบ ศชต.เสียแล้วให้ 3 จังหวัดไปรวมกับ บช.ภ.9 เหมือนเดิม แล้ว ตั้งบช.ใหม่ ขึ้นมา โดยเอาตำแหน่งที่ศชต.มีโครงสร้างบางส่วนของศชต.มารวมกับ ศปก.ตร.สน.ที่ยังซ้อน ศชต.อยู่ในขณะนี้ แล้วตั้งเป็นบช.ใหม่ ที่ เป็นหน่วยปฏิบัติงานพิเศษในพื้นที่ ซึ่งตนออกแบบโครงสร้างไว้แล้ว เรียกชื่อ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษชายแดนใต้ ซึ่งจะรับผิดชอบงานด้านก่อความไม่ สงบโดยตรง
รองผบ.ตร. กล่าวว่า เห็นควรว่าตร.ควรเร่งเรื่องสิทธิประโยชน์ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเบื้องต้น ก.ตร.ควรยกเว้นหลักเกณฑ์การย้ายข้ามภาคให้กับตำรวจ ศชต.ในตอนนี้ก่อน เพื่อแก้ปัญหา ที่กำลังพลในพื้นที่อ่อนล้ามากในขณะนี้ นอกจากนี้ ตนเห็นว่าการให้สิทธิทวีคูณในการนับอายุราชการนั้นควรทำ แต่เห็นว่าการใช้วันทวีคูณให้สิทธิในการแต่งตั้งเลื่อนสูงขึ้นก็ควรให้ใช้ได้ในกรณีเลื่อนตำแหน่งขึ้นใน 3 จังหวัด เท่านั้น จะเอาสิทธิทวีคูณไปขอขึ้นที่อื่นไม่ได้ แต่หลังจากนั้นหากจะย้ายไปบช.อื่น ไปขึ้นที่อื่นก็ต้องใช้กติกาเดียวกับตำรวจที่อื่นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตำรวจทุกๆคน
ที่มา .เนชั่นทันข่าว
***********************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)