--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! **

เมื่อเช้าวันที่ 23 ก.พ.2553 ก่อนเข้าข่าว 7 โมงเช้า ฟังรายการวิทยุ Fm. 96.5 ของ อ.ส.ม.ท.
เขาเปิดเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” เพลงที่ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 ขณะถูกขังอยู่ในคุก
เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาก็เข้าร่วมกับกองกำลัง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเสียชีวิตในการสู้รบกับฝ่ายปราบปราม

การที่สถานีของรัฐ เปิดเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายที่เคยเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลนั้น จะเป็นการส่งสัญญาณ ที่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่ว่า...

แท้ที่จริงแล้ว ความคิดของคนใน อ.ส.ม.ท. นั้น ยังมีความเชื่อ และมี “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็นของตนเอง แตกต่างไปจาก
สิ่งที่พวกเขาต้องถูกบังคับ ให้แสดงออกต่อสาธารณะ คือจะต้องสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น หากพนักงานคนใดแสดงท่าทีแข็งขืนหรือ
เห็นต่างจากรัฐบาล ก็จะต้องมีอันเป็นไป!

ดังนั้น เราจึงได้เห็นผู้ดำเนินรายการต่างๆ ของอ.ส.ม.ท. เกือบทั้งหมดดำเนินรายการลักษณะ “รุมกระทืบ” ทักษิณและพรรคพวก
อย่างต่อเนื่อง (แต่เวลาพนักงาน อ.ส.ม.ท. อย่างคุณอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล ถูกกระทำปู้ยี่ปู้ยำจากพันธมาร ลามไปถึงครอบครัว
จนเธอน้ำตาทะลักทะลาย แต่เพื่อนๆปากดีในองค์กร ต่างหัวหดตดแตก หุบปากเงียบกริบ ไม่กล้าออกมาปกป้อง...ทุเรศ!)

เท่านั้นยังไม่พอ...

เมื่อเห็นว่าพวก อ.ส.ม.ท. มีแต่พวกไร้ฝีมือ จึงต้องลงทุนไปจ้าง ‘ไอ้หนก’ กับ ‘ยัยจอมขวาน’ จากช่องเนซั่ว มาช่วยกันสับ
ในรายการข่าวที่เป็นไพรมไทม์ทางโทรทัศน์ ให้สะใจโก๋ไปอีกระดับหนึ่ง

แต่...ใน อ.ส.ม.ท. นั้น คงมีพวกที่ไม่เห็นด้วย กับจุดยืนขององค์กรที่ตนมีส่วนร่วม ไร้ซึ่งความเป็นอิสระ เพราะต้องหันมารับใช้รัฐบาล
ก้มหน้าเลียตูดนักการเมืองอย่างน่าสมเพช ขาดทั้งศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่ก้มทั้งหัวลดทั้งตัว
มาปฏิบัติตามนโยบายกดขี่ข่าวสาร อันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลพรรคดักดาน เลยทำให้ อ.ส.ม.ท. จำต้องรับภาระหนัก
เพราะต้องเป็นตัวการ ก้มหน้าก้มตาตอกลิ่มความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมบ้านเราต่อไป

อนาถนัก!

บุคลากรที่อยู่ในองค์กร และยังยึดมั่นในจรรยาตามวิชาชีพบางส่วนทนไม่ได้ เลยเอาเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ซึ่งเป็นเพลงเอก
ของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเปิด เหมือนดังกับเขาอยากจะระบายความในใจ และเป็นการเยาะเย้ยถากถาง
รัฐบาลนายอภิแสบฯ ว่า

“พวกกู ‘ไม่เห็นด้วย’ กันพวกมึงนะโว้ย!!!”

ผมคิดอย่างนี้ ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ เพราะเป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าใครเดือดร้อน อยากออกมาโต้กันให้สนุกสนาน
คนเขียนก็ไม่ขัด ในการเข้าร่วมวงแบบ ‘หงส์ทองคะนองปาก’ ด้วย ก็เชิญ!

ไม่นานมานี้อีกเหมือนกัน ผมได้ยินคุณบุญระดม จิตรดอน ได้คุยกับเพื่อนร่วมรายการ คุณอนัญญา ตั้งใจตรง ในรายการ ‘ซุบซิบการเมือง’
ทางคลื่น Fm.101 ว่า

แทบจะไม่ได้ฟังนายมาร์ค มุกควาย พูดคุยในรายการวันอาทิตย์ของเขา ซึ่งคุณอนัญญาฯก็เห็นด้วย เพราะนอกจากผู้ดำเนินรายการ
ของสองคุณป้าแล้ว สื่อมวลชนอื่นๆ ก็มีความเห็นคล้ายๆกัน

ผมเคยเล่าว่า ในรายการ 101 ตอนเช้าๆ ที่คุณบุญระดม จิตรดอน ยังได้ร่วมกันจัดกับ รัชชพล เหล่าวนิชย์ สามีของสาวดั้งตั้ง ‘สโรชา’
แห่ง ASTV และ มหาวันชัย สอนศิริ ที่สึกหาลาเพศมาเป็นทนายความ

ทั้งๆที่สามคนนี้ เคยเชียร์นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด และไล่กระทืบนายกทักษิณ ชินวัตร และ
พลพรรคอย่างเมามันมิได้ขาด

แต่วันนั้นเกิดกินยาผิดหรืออะไรไม่ทราบได้ ดันไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่เคยเชียร์อย่าง นายอภิแสบฯ เข้าอย่างจัง ในทำนองว่า
เรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ อย่างการสัมมนาของ ‘นักขายตรง’ คนระดับนายก จะเป็นนกไปเกาะโพเดียม พูดจาทำไมกัน
เพราะตัวนายอภิแสบฯเกิดมาไม่เคยค้าขาย ไม่เคยประสบการณ์ทางการขายตรง มีแต่โดนกล่าวหาว่า “ขายชาติ”

เหตุเพราะฝ่ายที่กล่าวหาเขาบอกว่า นายมาร์ค มุกควาย ได้ปล่อยให้คนเขมร เข้าครอบครองพื้นที่ทับซ้อนบน ‘เปรี๊ยะวิเหียะ’
สุขสำราญบานใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้เพราะนโยบายแบบไม่มีนโยบายของ ‘รัฐบาลโลซก’ ที่นายอภิแสบฯเป็นหัวหน้านั่นเอง

ดังนั้น ไอ้เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ แล้วเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างออกไปพูดจาอบรมนักขายตรงอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นประโยชน์โภคผล
แต่อย่างใด มหาวันชัยถึงกับวิจารณ์แรงๆว่า

“ว่างมากหรือไง (วะ)!?”

แสดงว่า คุณมหาฯแกคงสังเวช ที่เห็นนายอภิแสบฯไปยืนเกาะโพเดียม พูดจาไม่เป็นประโยชน์กับกิจการงานแผ่นดิน ผู้คนไม่ได้สนใจ
ที่นายมาร์คพูดเลย เพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้มาจากสติปัญญาตัวเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่เขาตระเตรียมข้อมูลให้ ถึงเวลาก็กะโดดเกาะคอน
โพเดียมแบบนก แล้วเจื้อยแจ้วไป ไม่เข้าหูผู้ฟัง จนชาวบ้านเขาบอกว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่นายกแล้ว แต่กลายเป็น
P.M. คือ Podium Man ไปซะนี่!!

ดูๆ แล้วก็น่าแปลก เพราะคุณบุญระดมเองถึงกับพูดว่า หากเป็นรายการของคุณสมัคร สุนทรเวช หรือคุณทักษิณนั้น ทั้งประชาชนและสื่อ
ไม่ยอมพลาดกันเลย พอเช้าวันอาทิตย์มาถึง ชาวบ้านต้องนั่งตัวตรงแหนวหน้าจอทีวี คอยฟังว่านายกทั้งสอง จะพูดจากับพวกเขา
เรื่องอะไรบ้าง?

การที่ชาวบ้านร้านตลาดและสื่อมวลชนเอง ตั้งใจฟังนายกฯสมัครและทักษิณ พูดคุยในรายการวันอาทิตย์นั้น เพราะพวกเขาฟังแล้วรู้เรื่อง
และได้รับประโยชน์จากการฟังจริงๆ

ดังนั้น ฝายจัดรายการให้นายอภิแสบ ได้เห็นถึงความไม่มีเสน่ห์ในการพูดจาปราศรัยของมิสเตอร์มุกควาย ผู้เป็นเจ้านายตน
ก็พยายามพลิกแพลงรูปแบบของการจัดรายการ แต่ถึงกระนั้น ผู้คนในบ้านในเมืองยังไม่ให้ความสนใจอยู่ดี จึงจำเป็นต้องระดมสื่อ
ช่วยกันกระทอกคำพูดของเขา ซ้ำเข้าไปในสื่อต่างๆ อีกทีหนึ่ง โดยสื่อเหล่านั้นก็จะได้รับการลงโฆษณา เป็นการตอบแทน แบบหมูไปไก่มา
แต่ก็ด้วยเงิน ‘งบประมาณ’ ของชาติทั้งนั้น!

เมื่อต้นเดือนกุมภาฯนี้เอง ได้มีการระดมผู้สื่อข่าวถึง 35 คน ไปนั่งสัมภาษณ์นายอภิแสบฯที่ทำเนียบ เพียงเพื่อทำให้ตัวมิสเตอร์โลซก
ดูเด่นในหมู่ผู้สื่อข่าว จน “แจ๋ว ริมจอ” นักข่าว เก่าแก่ของไทยรัฐถึงกับหัวเสีย อดรนทนทนไม่ได้ ถึงกับออกมาเขียนคอลัมน์
(15 กุมภาพันธ์ 2553 ) ด่าเช็ดเม็ดว่า เป็น “ไอเดียพิการ”

แจ๋ว ริมจอ โพล่งออกมาตรงๆอย่างนั้นเพราะว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นการบังคับ และแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ทำให้เกียรติภูมิข
องสื่อมวลชน และศักดิ์ศรีของผู้สื่อข่าว ตกต่ำลงอย่างน่าเศร้า เพราะกลายเป็นเครื่องมือของ...นักการเมือง ‘ไอเดียวิปริต’ ไป!

การที่ทั้งนักข่าวและประชาชนคนไทย ทั้งในและต่างประเทศ ต่างคอยรายการคุยกันวันอาทิตย์ ของทั้งนายกทักษิณฯและนายกฯสมัคร
อย่างไม่ต้องมีการ ‘จัดฉาก’

ไม่ต้องบังคับสื่อให้แห่กันมาช่วยสร้างภาพ ก็เพราะผู้นำทั้งสองคนนั้น ต่างเข้าใจชีวิตคนไทย รู้จักนิสัยใจคอคนพื้นบ้าน และทั้งสอง
ต่างก็เป็นพวกประเภท ‘ตีนติดดิน’ ด้วยกัน

เมื่อก่อนนี้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ เราเห็นสมัครและทักษิณก็เข้าตลาด ซื้อเข้าซื้อของคุยกับพ่อค้าแม่ขาย แล้วนำกลับมาเล่าให้ผู้คนฟัง
พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งถูกใจ และได้ใจชาวบ้าน

ส่วนนายอภิแสบฯนั้น พอโผล่หน้าออกมาวันอาทิตย์ ชาวบ้านก็กดรีโมทไปดูช่องอื่น หากบ้านไหนไม่มีรีโมทและขี้เกียจลุก
ก็เอาตีนแหย่ปุ่ม เปลี่ยนช่อง ทันทีทันใดเหมือนกัน

มีคำถามว่า...ทำไมคนไม่สนใจโครงการของรัฐบาลดักดาน?

ตรงนี้ตอบได้ว่า

เหตุที่คนในบ้านนี้เมืองนี้เขาไม่สนใจ ก็เพราะโครงการของประชาธิปัตย์และรัฐบาลนี้ ชาวบ้านเขารู้ดีว่า ลอกทักษิณมาทั้งนั้น
หรือไม่ก็เอามาตรการของคุณสมัครมาทำต่อ เช่นเรื่อง 6 มาตรการ เป็นต้น หรืออย่างเก่งก็แต่งเติมเสริมต่อนิดๆหน่อยๆ
แล้วเอายี่ห้อดักดานของพรรคตัวเอง ปะเข้าไป ก็เท่านั้นเอง แต่ชาวบ้านเขาก็รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือ
โครงการทักษิณ หรือสมัครสร้างเอาไว้ทั้งนั้น!

ไอ้เรื่องขาดสติปัญญา ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้วลอกเขามา นั่นยังไม่น่าเกลียดน่าชังเท่าใดนัก แต่หากเป็นเรื่องทุจริตนั้น
ผู้คนเขายอมไม่ได้ และตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ

เรื่องทุจริตของประชาธิปัตย์นั้น โฉ่งฉ่างเปิดผางออกมาแทบจะในทันทีทันใด ที่พรรคดักดานวิ่งราวอำนาจ เข้าบริหารบ้านเมืองได้

ผมได้เขียนไว้ในบทความ เป็นหลักเป็นฐาน ถึงความไม่ซื่อสัตย์ของคนในพรรคนี้ ซึ่งท่านผู้อ่านเปิดย้อนดูได้ เฉพาะชื่อคอลัมน์
ก็สำแดงฤทธิ์แดก ของพรรคดักดานได้เป็นอย่างดี เช่น

- “พรรคประชา (แดก) ปลาเน่า” ...เน่าทั้งข้อง-ทั้ง’ป๋อง!!!?
- DNA ในสันดานประชาธิปัตย์ ยังไม่เปลี่ยนแปลง!!!
- ยุคประชาธิปัตย์...ฤา “ห่า”มันลงแดกเมือง!!!?
- “อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ ยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!”
- ไอ้รัฐบาล...สุดโสโครก!
- ประชาธิปัตย์...“ผวกหมึ้งไม้หรู่จั้กอับ จั้กอายกันเล่ย!!!
- รัฐบาล... “จังไรไม่พอเพียง!”
- เศรษฐกิจ “เชิงทุจริต” ของประชาธิปัตย์!!!
- ถูกทั้งหวย ‘ชุมชนพอเพียง’- หวย ‘ไทยเข้มแข็ง’ แล้วนี่!!!
- ความประหยัดของในหลวง-ความสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลโลซก!

พอประชาธิปัตย์บริหารมาครบ 12 เดือน ผมก็เขียนบทความขึ้นมารวบรวมพฤติโกงชื่อ
ครบ 1 ปี รัฐบาลโลซก...ต้องยก ‘หรีด’ มาให้!!!

เห็นเฉพาะแค่ชื่อคอลัมน์เท่านั้น ยังไม่ต้องลงไปอ่านรายละเอียด ผู้คนก็คงจะทราบได้ทันทีว่า ผมต้องพูดถึงเรื่องการทุจริต ไม่โปร่งใส
ในการบริหารราชการงานแผ่นดินของพรรคดักดานเป็นแน่แท้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
เป็น ‘กรรม’ ของประเทศไทยเราจริงๆ!

ผมจะรวมรวมคอลัมน์ที่บอกข้างต้น เป็นภาคต่อของ “นินทาประชาธิปัตย์” (ฝ่ายค้านดักดาน) แจกแจงสันดานของพรรคดักดาน
ออกมาอีกเล่ม เพื่อขยายความรู้ของท่านผู้อ่าน

อาจให้ชื่อหนังสือว่า ประชาธิปัตย์- “ดักดาน-แดกดุ!!!”

คอยติดตาม อ่านกันให้สนุกนะครับ!!

นั่นเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ใช่ย่อย เพราะอย่างกระทรวงมหาดไถนั้น เรื่องความเละเทะเฟะฟอน ร่ายร่อนออกมา
สู่สายตาประชาชนอย่างล้นหลาม ทั้งข่าวไถและรีดเงินข้าราชการ จนต้องตั้งชมรมต่อต้านกันขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โกงข้อสอบ
เก็บหัวคิวฯลฯ

ซึ่งคนในกระทรวงทั้งข้าราชการเก่าและปัจจุบัน พูดกันว่า “เกิดมาไม่เคยพบเห็นการคดโกง และบีบคั้น รีดไถข้าราชการ...ถึงเพียงนี้!”

ซึ่งผมจะต้องแยกแยะชำแหละ รายละเอียดพฤติกรรมทรามเหล่านี้นี้ ออกไปอีกเป็นคอลัมน์ต่างหาก แต่อยากบอก กับท่านผู้อ่าน
ในตอนนี้ว่า ไอ้นักการเมืองชุดนี้นั้น ตอนมันจัดโชว์ออฟ ไถนา-ทำนาเพื่อเรียกคะแนนเสียงตอนเลือกตั้งซ่อม แล้วไอ้เฒ่าหัวหน้าพรรค
อุปโลกน์ ลงไปก้มๆเงยๆอยู่ในนา ถึงกับบ่นว่าปวดบั้นเด้าบั้นเอา ผู้คนเขาหัวเราะกันกลิ้ง ถึงกับอุทานออกมาว่า

“ไอ้พวกนี้ ไม่เคยทำนาจริงๆ...มันเคยแต่ทำนาบนหลังคน!”

แถมไอ้หัวหน้าตัวจริง มันแสดงความจงรักภักดีใหญ่โต แต่ตำรวจพวกเสรี เขาบอกว่า...
“จงรักภักดีจริงๆ เวลาหาเสียงมันถึงต้องแจกแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ยี่สิบ ที่มีในหลวง...ให้ชาวบ้านเอาไปบูชากัน!”...555

เขายังกระทุ้งต่อ ให้ชวนคิดกันอีกว่า
“เชื่อหรือว่า...คนที่เอาแต่ได้อย่างมันน่ะหรือ...จะจงรักภักดี”

...ฟังแล้วก็หัวร่อครื้นเครง สนุกสนานกันไป!!!

ใช่แต่เรื่องการทุจริตของรัฐบาลและนักการเมืองเท่านั้น แต่ฝ่ายทหารก็โดนเข้าเต็มๆ เรื่อง “ไม้ล้างป่าช้า” ซึ่งอื้อฉาวไปทั้งประเทศ
เรื่องการทุจริตของทหารนั้น ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะกรณีการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องวิทยุและโทรทัศน์
ของทหาร ที่อดีตเจ้ากรมสื่อสารยศ พล.อ.ถึง 3 นาย ถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ว่า กระทำความผิดฐานคอรัปชั่น ตายไปแล้ว 1 นาย
เหลืออีก 2 หน่อ ที่ต้องเผชิญกรรมกันต่อไป

กรณี GT 200 ไม้ล้างป่าช้าที่อื้อฉาวนั้น ฝ่ายทหารเกิดร้อนตัวอย่างไรไม่ทราบ นายพลอนุพงศ์ ผบ.ทบ.ต้องออกมานั่งแถลง
แบบยกพวกมาเต็มจอ ทำให้ในห้องส่งดูบรรยากาศ คล้ายวันแถลงข่าวปฏิวัติไม่มีผิด

ไม่ได้มาแถลงการณ์อะไรหรอกครับ เพียงแต่ออกมาแก้ตัวว่าไอ้ไม้ล้างป่าช้า “มันใช้การได้” ก็เท่านั้นเอง!

นักข่าวเขาบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก นายเถิกแกกลัวจะต้องถลอก เพราะต้องโดนสอบสวนในข้อหาทุจริต หลังจากที่เกษียณอายุราชการ
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วต่างหาก

ส่วนนายมุกควายได้ท่า..ถีบหัวเถิกส่งทันทีเหมือนกัน!!!

วาสนา นาน่วม “เหยี่ยวข่าว” สายทหาร เจ้าของผลงาน ลับ-ลวง-พลาง ออกรายการชื่อเดียวกับหนังสือ ทาง Fm 96.5
เมื่อเสาร์ที่ 20 ก.พ.นี้เองว่า

การแสดงออกของนายพลหัวถลอกครั้งนี้ ดูช่างไม่สมกับเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องเอาลูกน้องมาเป็นโล่
ปกป้องตัวเอง เพียงเพื่อจะเอาตัวรอดเท่านั้น!

“เหยี่ยวข่าว” อย่างวาสนา ถึงกับโพล่งออกมาโต้งๆว่า
“ดูแล้วไม่ smart หรือไม่สง่างาม...ไม่ได้ ‘ใจ’ ทหารเลย!”

เครื่อง GT 200 นั้นโกงกันบรรลัยวายวอด เขาว่ายุคทักษิณเคยซื้อมาสองเครื่อง เครื่องละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น แต่เห็นว่าใช้ไม่ได้
ก็ไม่สั่งซื้อเพิ่มอีก

แต่เครื่องอัปรีย์นี่ กลายเป็นราคาเหยียบล้าน และล้านกว่าซื้อมากที่สุดในยุคอนุพงศ์เป็น ผบ.ทบ. และประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
เพราะนักการเมืองสายประชาธิปัตย์ มีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทผู้แทนเจ้าของเครื่อง แถมยังมีไอ้นายพลทหารอากาศ ที่ผมขนานนาม
ให้ว่า เป็น “กากตด ร.ส.ช.” เข้ามาพัวพันอีกแน่ะ!

ดูๆบ้านเมืองของเราแล้ว มันโกงกันทุกเม็ดทุกดอก แต่ที่น่ากลัวก็คือ การโกงโดยทหารเป็นผู้กระทำ ด้วยการใช้เครื่องมือไม้ล้างป่าช้า
เพราะนอกจากต้องโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังอาจมีความผิดอาญาติดตูดมาอีกนั้น ถ้าหากพูดกันเปิดอก แบบผู้ชายลูกทุ่ง
คงพูดได้ว่า

“มึงไม่ได้ทุจริตอย่างเดียว แต่เสือกเอาชีวิตของทหารผู้น้อยเป็นเดิมพันด้วย...เลวอะไรอย่างนั้นวะ!”

นี่แหละครับ... ที่ผู้คนเขาพูดกันถึงอย่างนี้แล้ว และเขาพูดใส่หูผมด้วย จึงนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน และขอบอกตรงๆ
กับทหารตัวนายว่า

...สังวรกันไว้บ้างนะ!

เห็นการทุจริต คอรัปชั่น ที่แผ่ขยายไพศาลไปในบ้านเมืองที่เคยดีๆของเรา จนแทบจะกลายเป็น ‘เมืองกาลี’ เพราะไอ้พันธ์กาลี
มันลงมาสิงสถิตกัน...ถึงขั้นล้นเมืองแล้ว!

ผมจึงมีความรู้สึก อยากจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่ม โดยนำเอาข้อมูลอัปรีย์เหล่านี้ มาผูกเป็นนิยายประเภท... ‘ตลกร้าย’

จะให้ชื่อหนังสือว่า เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! ใครอยากอ่าน...คงต้องติดตามกันไปนะครับ!!!


โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
****************************************************************************

** มิคสัญญี-กลียุค **

สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เมื่อยตุ้ม ทิฐิในอำนาจแท้ๆ เลยทำให้ประเทศใกล้ล่มจมเข้าไปทุกที
ความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ปลายกระบอกปืน หรืออำนาจเร้นลับใดๆทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่
ของประเทศที่จะตัดสินใจต่างหาก

อำนาจถูกบิดเบือนบ้านเมืองก็ไม่สงบ

รัฐบาลปากกล้าขาสั่น ผู้นำรัฐบาล ต้องหอบผ้าหอบผ่อนเข้าไปนอนในค่ายทหาร บุคคลสำคัญของประเทศต่างพากันเผ่นไปหลบอยู่
ต่างประเทศกันหมด เนื่องจากสงครามการเมืองเที่ยวนี้เดิมพันกันสุดตัว

ช่วงสำคัญที่จะเกิดวิกฤติบ้านเมือง อยู่ประมาณต้น มี.ค. ไปจนถึงปลายๆเดือน เม.ย. จะถึงขนาดเลือดนองแผ่นดินหรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ
ยังบอกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองถ้าเป็นไปตามวิถีของประชาธิปไตยจะเป็นสองช่วงเหตุการณ์ ประชาชนมาชุมนุมกันจำนวนมาก
รัฐบาลรับมือไม่ไหวหรือเกิดความรุนแรงขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล

จนกระทั่งยุบสภา

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ใช่ว่าจะราบรื่น อุบัติเหตุทางการเมือง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมากมายจะควบคุมกันได้หรือไม่
และจะป้องกันมือที่สามเข้ามาฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ได้อย่างไร ยามบ้านเมืองอ่อนแอเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

ระวังจะเข้าทางเผด็จการซ่อนรูป

ตั้งข้อสังเกตรัฐบาล ไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน เหมือนการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งๆที่การชุมนุมครั้งนี้
จะถือว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายก็ว่าได้

นอกจากจะขุดกับดักเอาไว้

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเที่ยวนี้ มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ประเด็นอภิปรายรัฐบาล มีถึง 40-50 ประเด็น
ล้วนแต่เป็นข้อผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ตลอดการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

จี้จุดอ่อนไปที่ภาวะผู้นำ

กรณีการทุจริตคอรัปชัน แม้ฝ่ายค้านไม่นำเข้าสู่การอภิปรายในสภา ชาวบ้านก็รู้กันอยู่เต็มอกกับพฤติกรรม กู้มาโกง ของรัฐบาลชุดนี้

ประกอบกับความเดือดร้อนชั้นรากหญ้า เกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ประกอบกับเศรษฐกิจจะตกต่ำอีกระลอกอันเป็นผลพวงมาจากวิกฤติการเมือง
ประกอบกับรัฐบาลหมดเวลาฮันนีมูนพอดี ทุกอย่างลงตัว

บ้านเมืองถึงเวลาเปลี่ยนแปลงพลิกขั้ว.

ที่มา.ไทยรัฐ
***************************************************************

3 ปาก ‘อวตาร’ “องครักษ์พิทักษ์เธอ”

นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกส่วนตัวของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
นั่นย่อมหมายความว่า...สิ่งที่นายเทพไท ให้สัมภาษณ์นักข่าว...ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของนายเทพไทเอง
แต่เป็นความเห็นของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้มาพูดแทน

ดังนั้น หากสิ่งที่ นายเทพไท พูดไม่เป็นความจริง หรือพูดโกหกนั่นย่อมหมายความว่า...นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรับผิดชอบในการโกหกนั้นด้วย
จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน...ไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่นายเทพไทพูดนั้น เห็นจะไม่ได้

สิ่งที่ นายเทพไท พูดกับนักข่าวตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่า...เกือบจะไม่มีความเป็นจริงเลยสักเรื่อง
มีแต่เรื่องโกหกพกลมไปวันๆ และจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่าย เพื่อนำไปสู่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงโดยตลอด

นี่ย่อมแสดงว่า...ฟากฝั่งรัฐบาลต้องการให้สังคมปะทะกันอย่างนองเลือดใช่หรือไม่?

ดังที่ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์นักข่าวของ นายเทพไท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผนตากสินหนึ่ง แผนตากสินสอง หรือสารพัดแผน
ที่เขาพูดออกมาเมื่อเร็วๆ นี้...ก็พูดโกหกคำโตว่า
“อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจ้างคนเสื้อแดง ด้วยจำนวนเงินสามล้านบาท เพื่อมาปาอึใส่บ้านของนายกรัฐมนตรี”

ซึ่งในตอนหลังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้จับตัวผู้กระทำการดังกล่าวได้ และได้มีการดำเนินคดีไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
ผลปรากฏว่า...คนปาอึดังกล่าวไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงหรือ “ทักษิณ ชินวัตร” แม้แต่น้อย แต่ไม่พอใจที่ตนไปร้องเรียน
หน่วยงานใดๆ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ในเรื่องที่บ้านตนเองตกอยู่ภายใต้กลุ่มควันบุหรี่ของพวกขี้ยาสูบบุหรี่ทั้งหลายเท่านั้นเอง
แต่สุดท้าย...ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ!

ด้าน “นายปณิธาน วัฒนายากร”ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ซึ่งตำแหน่งก็บ่งบอกแล้วว่า...แถลงแทนรัฐบาลหมายความว่า...
สิ่งที่แถลงนั้นรัฐบาลมอบหมายมา...เป็นท่าทีและข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรับรอง ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว

นายปณิธาน แถลงเป็นตุเป็นตะว่ามี “ท่อนํ้าเลี้ยง” หรือเงินไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นจำนวน
หลายร้อยล้านบาท ซึ่งมีการให้รายละเอียดถึงขั้นว่า...มาจากตะวันออกกลาง แล้วบอกเส้นทางไหลของเงินด้วยว่าผ่านมาทางชายแดน
กัมพูชามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ และถือติดตัวเข้ามา

อนิจจา นายปณิธาน น่าจะถาม “นายกรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่นั่งข้างตัวหน่อยว่า...มีหลักฐานตัวเลขของเงิน
ที่ไหลเข้ามาหรือไม่ ถามกรรมสรรพากร กรมศุลากากร ถามธนาคารแห่งประเทศไทยหน่อยว่า...มีเงินไหลเข้ามาจริงหรือไม่

เข้าใจว่า...นายปณิธานคงไม่ได้แม้แต่คิดจะเอ่ยปากถามต่อมาหน่วยงานทางการเงิน

ทุกหน่วยงานของรัฐไทย ออกมาแถลงข่าวตรงกันว่า...ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงนี้
สุดท้าย “นายปณิธาน” ก็ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อคำพูด หากโฆษกรัฐบาลเกิดสติวิปลาสชั่วคราว ไปแถลงข่าวประกาศสงคราม
กับกัมพูชาโดยไม่เป็นความจริง

นายแพทย์บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน...ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็น โฆษกของพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้น...สิ่งที่แถลงก็ต้องหมายความว่า...พรรคประชาธิปัตย์แถลง เป็นข้อสรุปเป็นแนวทางนโยบายข้อเท็จจริงความเห็นทางการเมือง
ของพรรคประชาธิปัตย์

นายบุรณัชย์ ได้แถลงว่า กลุ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามใช้แนวทาง “ป่าล้างเมือง” หมายความว่าอะไรครับ?
จะให้กระเดียดไปเหมือนกับสมัยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ใช่หรือไม่ ที่พยายามให้ฟังคล้ายๆ กับ “ป่าล้อมเมือง”
ของ พคท.

อันที่จริง พคท. ใช้คำว่า “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ใช่ “ป่าล้อมเมือง” แต่นี่จงใจใช้คำว่า “ป่าล้างเมือง”

ขอบอกให้นายบุรณัชย์ ทราบนะครับว่า...ขณะนี้ป่าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว (อาจจะไม่ถึง12% ของทั่วประเทศ)
ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง” มันอันตราธานหายไปจากสังคมไทยแล้วครับ อย่าพยายามเล่นคำเพื่อใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนอื่น”
เป็นคอมมิวนิสต์อีกต่อไปเลยครับ ไม่สำเร็จครับ

สาธยาย “สรรพคุณ” โฆษกแห่งพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่บรรทัดแรกมาจนถึงบรรทัดนี้...มีเรื่องใดบ้างที่ประชาชนเห็นว่าเป็นความจริง?
เห็นโฆษกทั้งสามทำให้นึกถึงหนังดังเรื่อง “อวตาร” ไม่รู้ว่าพวกท่านไปติดร่าง “อวตาร” โดยมี “ปาก” เป็นอาวุธสำคัญ
เพื่อการ “ทำลายล้าง” มาจากที่ใด

จากเพื่อนฝูงคนสนิทก็ไม่ใช่...จากการศึกษาในช่วงวัยเรียนก็ไม่ใช่...หรือว่ามาเป็นเอาช่วงทำงาน...โดยเฉพาะการตอบรับเป็นโฆษก
ให้กับ “พรรคประชาธิปัตย์” พูด...พูด...พูด...แต่หาสาระและความจริงอะไรไม่ได้

หน้าที่ของพวกท่าน คือ “กระบอกเสียงรัฐบาล” ซึ่งต้องพูดให้ความเป็นจริงกับประชาชน...มิใช่มีปากไว้พูดบู๊ล้างผลาญ...
เพื่อฆ่าล้างทำลายโดยเฉพาะบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ ทำตัวเป็น “องครักษ์พิทักษ์เธอ” ปกป้อง “นายกรัฐมนตรี” ของข้าเพียงผู้เดียว!

ท่านผู้อ่านครับ...พรรคการเมืองนี้ไม่เพียงแต่มีพฤติกรรมกล่าวเท็จในช่วงระยะเวลาใกล้นี้เท่านั้น
แต่ในอดีตมีเรื่องกล่าวเท็จฉกาจฉกรรจ์หลายเรื่องที่พรรคนี้ทำราวกับว่าเรื่องต่างๆ ล่องลอยหายไปกับสายลม

ฉะนั้นเร็วๆ นี้ คงมีคำถามต่อประชาชนไทยทุกคนว่า...เมื่อไรคนไทยจะลงโทษกับผู้มีอำนาจที่ชอบพูดจา “โกหกพกลม”
และเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติเมืองนี้ต้องวุ่นวายว่าแต่ว่า...ธุรกิจส่วนตัวของ “โฆษก” ทั้ง 3 สามเป็นอย่างไรบ้าง...
เห็นว่าทำมาค้าขึ้น...เงินทองไหลมาเทมาก็ธุรกิจ “โรงนํ้าแข็ง” ที่พวกท่านชอบ “ปั้นนํ้าเป็นตัว” นักหนานั่นไง!


ที่มา:บางกอกทูเดย์
****************************************************************************

ตะแลงแกงตระลาการ.


ขโมยมาเขมือบหม่ำ
ขยุ้มกำขย้ำกิน
ขยาดแดงแขยงดิน
โขยกปลิ้นขยิบปลง

กระจายข่าวประจานไข
กระทบไสกระแทกส่ง
กระลาโหมกระเกรียมองค์
กระโชกทรัพย์กระลับโกง

สุภาพชนแต่ฉากหน้า
ก็ควานหาข้อเฉงโฉง
ออกฮึดจะยึดโยง
อย่างยอแยตอแหลลวง

ดูราประดาไทย
ตลกไหม....ตลอดห้วง
ตระหนักทราบตระการปวง
ตะแลงแกงตระลาการ!

ดูราประดาไทย
จะมีไหมทิชาชาญ
เที่ยงตรงโดยสันดาน
มิรอฟังคำสั่งผี

ตาชั่งที่เอนเอียง
ก็เป็นเพียงฝุ่นธุลี
ไร้ค่ากว่าราคี
ที่ติดต่ำอยู่ใต้ตม

เทพีที่ปิดตา
ก็ใช่ว่าจะโง่งม
แสงขรรค์อันแสนคม
จะกำซาบโลหิตใด?

มาตรฐานมีหนึ่งเดียว
จะแน่นเหนียวในจิตใจ
ทุรชนจะปล้นไป
ก็ติดเต้นในวิญญาณ

ผิดฆ่าก็สมควร
ประกาศถ้วนถึงโองการ
มิผิดคิดประหาร
คมดาบนั้นคืนสนอง!

ดูราประดาไทย
อันของใครของไทยครอง
อำนาจอาจจับจอง
เพียงชั่วคราวไม่นานคืน

สังขารที่แตกดับ
ประดาทรัพย์ก็กลายกลืน
สัตย์ซื่อสิยงยืน
สถิตเทียมทวยเทวา๚ะ๛


บทกวีโดย โกฎิดารา
ที่มา เวบ Thai Poet Society

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สงครามกลางเมือง

ในประวัติศาสตร์ของทุกชาติ สงครามกลางเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..แผ่นดินใดที่เริ่มต้นด้วยการมีฝักมีฝ่าย..
ปลายทางของแผ่นดินก็คือ ความวุ่นวาย และหายนะ

หลายๆ ครั้งในหลายๆ ประเทศ สงครามกลางเมืองทำให้ชาติๆ หนึ่งแตกแยกแบ่งตัวออกเป็นหลายๆ ชาติ..

รัสเซีย..สงครามกลางเมือง..ทำลายลายล้างระบบกษัตริย์ราชวงศ์โรมานอฟ...และสงครามกลางเมืองอีกครั้งก็แยกอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
และมีแผ่นดินที่กว้างขวางที่สุดในโลก ให้แยกออกเป็นหลายประเทศ..และกลับมาเป็นศัตรูต่อกัน

สงครามกลางเมืองในกัมพูชา..การแย่งชิงอำนาจเหนือการเมืองระหว่างราชสำนักกับกองทัพ..ทำให้แผ่นดินนั้นเลยมี
ตำแหน่งประธานาธิบดี..แทนที่กษัตริย์.. ก่อนหน้านั้นกษัตริย์สละราชบัลลังก์ลงมาเลือกตั้งแข่งกับประชนชน เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี

กว่ากัมพูชาจะสงบ..เกือบ 3 ทศวรรษ..ที่แผ่นดินเป็นกลียุค..มากกว่า 3 ชีวิต กลายเป็นกองกะโหลกสูงเป็นภูเขา จนสหประชาชาติ
ต้องเข้าไปจัดการ..ให้การเลือกตั้งเป็นเส้นทางแห่งอำนาจ..ชาตินั้นจึงยุติความขัดแย้งวุ่นวาย

ว่ากันว่าทั่วทั้งกัมพูชาวันนี้..เสียงปืนลั่นเพียงนัดเดียว..จะได้ยินถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน.

พม่าถึงจะมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง...แต่สงครามที่ใหญ่สุดก็ตั้งเค้าอยู่ข้างหน้า..ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาเมื่อใด
แต่รู้แน่นอนว่ามันจะต้องเกิดขึ้น

อินโดนีเซีย..ผ่านสงครามกลางเมืองมาแล้วหลายครั้ง..ก่อนที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะเติบโตขึ้นยิ่งใหญ่เหนือกองทัพ หลายแสนชีวิต
ของประชาชนถูกสังเวยให้กับการเผชิญหน้า..อีกหลายพันสังเวยให้กับการกวาดล้างของกองทัพ

มาเลเซีย..ก็เช่นกัน..สงครามกลางระหว่างคน 2เผ่าพันธุ์..ก็ทำให้ส่วนหนึ่งของประเทศแยกไปเป็นสิงคโปร์..อีกหลายพันคนสละชีวิตให้กับความขัดแย้ง...กว่าบาดแผลของชาติจะหายสนิท

เราประเทศไทยและคนไทย..ความแตกแยกในกำแพงกรุงศรีอยุธยา ในเวลาที่กองทัพพม่าปิดล้อมกรุง..นำมาซึ่งความพินาศของ
ราชอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดของสุวรรณภูมิ..

หลังถ่านเถ้าจากการถูกเผา..ไทยกลายเป็น 7 ก๊ก แยกย้ายกันเป็นใหญ่..กว่าจะกลับมาเป็นหนึ่งใต้คมดาบของ มหาราชตากสิน..
ศพไทยก็เกลื่อนแผ่นดิน

200 ปีผ่านไป..หลายๆ แผ่นดินเป็นประชาธิปไตย..ไฟจากสงครามกลางเมืองสิ้นเชื้อ..

เหลือเชื่อประเทศไทย..พรรคเก่าสุดบนเส้นทางประชาธิปไตย..กำลังเดินนำประเทศไปสู่สงครามกลางเมืองครั้งใหม่..


โดย พญาไม้

***********************************************************************

ศาลฎีกาเสียงเอกฉันท์.. ทักษิณคือเจ้าของชินคอร์ป ขณะนั่งนายกฯทั้ง2สมัย

ศาลฎีกาฯเสียงเอกฉันท์ "คตส.-ป.ป.ช." ไต่สวนยึดทรัพย์ชอบด้วย กม.

ข่าวรายงานว่า องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 9 คน
เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกัน
ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

หลังจากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว
ศาลฎีกาฯได้เริ่มวินิจฉัยประเด็นในข้อกฎหมายตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

-คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเสียงเอกฉันท์

-คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)และอนุกรรมการไต่สวนมีอำนาจในการไต่สวนคดีดังกล่าว
และกระบวนการไต่สวนเป็นไปโดยชอบ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
เป็นไปโดยชอบและมีอำนาจดำเนินการต่อจาก คตส. องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง(อัยการสูงสุด) มีอำนาจ
ในการยื่นคำร้องในคดีนี้


ศาลมีมติเอกฉันท์ “ทักษิณ” เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริงขณะเป็นนายกฯ

ต่อมาศาลได้วินิจฉัยถึงกรณีการได้มาซึ่งทรัพย์ของผู้ถูกร้องอย่างเช่น การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม
เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต ( พ.ศ.2527) พ.ศ.2546
โดยเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องไม่เคลือบคลุม และครบถ้วนตามกฎหมายและไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดของทรัพย์สิน
เพราะเป็นเรื่องต้องพิสูจน์ในศาล

ต่อจากนั้นได้วินิจฉัยเรื่องการถือหุ้นแทน โดยศาลระบุว่า การขายหุ้นให้พี่น้องของผู้ถูกร้องมีพิรุธ ไม่มีใครจ่ายเป็นเงิน
ทั้งที่จริงๆมีเงินจ่ายได้ แต่กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา ดังนั้นการใช้เงินสด 68 ล้านบาท ไม่มีเอกสารใดๆ มาแสดงข้ออ้างการใช้เงิน
จึงรับฟังไม่ได้

สำหรับประเด็นเรื่องการอำพราง หรือ "ซุกหุ้น" ชินคอร์ปจำนวน 1,419.49 ล้านหุ้นในชื่อลูกๆและเครือญาติ
และมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่าง
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย

องค์คณะฯยังมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการออกเป็นพระราชกำหนด แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต
เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท

องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการแก้ไข สัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้
จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) เอื้อประโยชน์ให้แก่
บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING)
และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่
เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จาการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา
แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก



**************************************************************************

** คนกับควาย! **

ตามปฏิทินจันทรคติ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ตรงกับขึ้น 13 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู จุลศักราช 1371 คริสต์ศักราช 2010
มหาศักราช 1932 รัตนโกสินทรศก 228

แต่ทางการเมืองวันนี้อาจถือว่าเป็น “ศุกร์โลกาวินาศ” ก็ได้ โดยเฉพาะ “โดเรแม้ว” ที่ทำได้เพียงนั่งรอฟังผลคำพิพากษาของ
“9 ท่านเปา” ว่าจะออกมาอย่างไร

เพราะตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา “หล่อหลักลอย” ใช้ “หอยม่วง” และสื่อในเครือข่ายทั้งประโคมข่าวและโฆษณาชวนเชื่อจนผู้คน
นึกว่าเป็น “วันโลกแตก”

ทั้งที่รัฐบาลจะต้องดำรงไว้ซึ่งนิติรัฐ นิติธรรมที่เป็นธรรม เสมอภาค และเป็นกลาง ไม่ใช่ “รัฐบาลหุ่นเชิดอีแอบ” ที่เลือกปฏิบัติและ 2 มาตรฐาน

จึงไม่แปลกที่ประชาชนจะถูกกรอกหูอย่างต่อเนื่องทุกวันทุกคืน แถมพวกร่างทรง “เผด็จการสีเขียว” ยังประพฤติผิดผีผิดจรรยาบรรณ
ของกระบวนการยุติธรรมอีก

ทฤษฎี “วัวกินหญ้า” จึงกำลังได้รับการพิสูจนว่าจะทำให้สังคมนี้ยอมรับ “คน” เป็น “วัว” หรือไม่

เพราะถ้าบ้านเมืองนี้มีแต่ “วัว-ควาย” ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้ “กินหญ้า” หรือนำไปเชือดทิ้ง บ้านเมืองไม่จำเป็นต้องมีกติกาหรือ
กฎหมาย เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะใช้กับ “วัว-ควาย”

โจรห้าร้อย โจรห้าสลึง หรืออีแอบไม่เต็มบาท จะเอาบ้านเมืองและ “วัว-ควาย” ไปไถนา หรือสืบเชื้อสายวงศ์วานเป็น “สัตว์อวตาร”
อย่างไรก็ไม่ผิด

ถ้า “คน” ไม่ใช่ “วัว-ควาย” วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ก็ไม่ใช่วัน “โลกาวินาศ” แต่เป็นวันที่ “ทุกคน” ที่เกิดมามีความเท่าเทียมกัน
มีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกและสิทธิความเป็นมนุษย์ตามกฎกติกาที่ถูกสร้างขึ้นมา

เมื่อเป็น “คน” จึงไม่มีใครที่จะยอมเป็น “ทาส” หรือเป็น “วัว-ควาย”!

เหมือน “เด็กไม่มีเส้น” ที่ประกาศ “วันล้างป่าช้า” 12 มีนาคม ซึ่งไม่ใช่ “คนตาย” หรือ “หมาเน่าลอยน้ำ” แต่เป็น “อีแอบ” ที่เห็น
“คน” เป็น “วัว-ควาย”

วันที่ 12 มีนาคม 2553 ตรงกับวันศุกร์ แรม 12 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู จุลศักราช 1371 รัตนโกสินทรศก 228 จึงถือเป็นวันบุญ
ที่ผู้คนจะได้ร่วมกัน “ล้างป่าช้า” เพื่อส่ง “อีแอบ” ไปผุดไปเกิด ไม่ต้องวนเวียนอยู่ใน “วัฏสงสาร” ไม่ต้องอยู่ในเดรัจฉานภูมิ
อสุรกายภูมิ เปรตภูมิ หรือนรกภูมิ!

เพราะเมื่อหลุดพ้นจาก “วัฏสังสาร” ก็อาจเหมือน “องคุลิมาล” ที่สามารถเข้าถึง “ธรรมอันประเสริฐ” จนเกิดมรรคส่งให้ “นิพพาน”
และอยู่ใน “โลกุตรธรรม” ที่เหนือโลก

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ แม้จะเป็น “วันโลกาวินาศ” แต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์เป็น “วันมาฆบูชา”

เพราะเกิดเป็น “คน” อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น!

โดย.นายหัวดี
**********************************************************************

เพื่อไทยนัดใส่แดงร่วมเชียร์"แม้ว"โผล่วิดีโอลิงก์เป็นระยะ ครอบครัว"ชินวัตร"ลังเลไปศาลฟังคำตัดสิน

ลูก"แม้ว"ลังเลไปศาล ทนายบอก"อ้อ"สบายดีชี้บ้าน"ชินวัตร"เลิกวิตกแล้ว เพื่อไทยนัดใส่เสื้อแดงให้กำลังใจฟัง"ทักษิณ"วิดีโอลิงก์ระหว่างศาลอ่านคำพิพากษา เล็งเปิดใจอีกหลังรู้ผลแล้ว

"อ้อ-โอ๊ค-เอม"ยังไม่แน่ไปศาล

นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เวลานี้คุณหญิงพจมานยังคงพักอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้คุยกันชัดเจนว่าจะเดินทางไปฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่เท่าที่ได้พูดคุยกับคุณหญิงพจมาน ท่านก็ยังสบายๆ

นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าทั้งสองจะเดินทางไปศาลไปฟังคำพิพากษาเองหรือไม่ อย่างไรก็ดี ทั้งสองก็ไม่ได้หวั่นวิตกอะไร ซึ่งช่วงแรกๆ คู่ความอาจจะรู้สึกเครียด ต้องอดทนการเตรียมตัวสู้คดี เพราะที่ผ่านมาการฟ้องคดีใช้เวลานับตั้งแต่การอายัดทรัพย์ไว้ ในปี 2550 ก็ใช้เวลาร่วม 2 ปี ในการนำพยานหลักฐานแก้ต่างข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ ด้วยสติปัญญาและความสามารถที่มีอยู่ แต่เวลานี้น่าจะเลยจุดนั้นมาแล้ว วันนี้ขอเพียงรอฟังคำตัดสินว่าจะออกมาเช่นไรให้รู้ผลแบบรู้ดำรู้แดงไปเลย

"ทักษิณ"เปิดใจหลังคำตัดสิน

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หลังการตัดสินคดี ในเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดใจผ่านรายการวิทยุ "ทอล์ก อะราวด์ เดอะ เวิลด์" ถึงผลการตัดสินคดี ส่วนแถลงการณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นคาดว่าจะมีการเผยแพร่ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้

นายนพดลยังกล่าวถึงกรณีนายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลังจากที่ศาลอ่านคำตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องจับตาเป็นพิเศษว่าจะมีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นว่า ขอถามว่ารัฐบาลทราบผลตัดสินล่วงหน้าได้อย่างไร ถึงได้เตรียมให้นักวิชาการมาชี้แจงถึงผลการตัดสิน ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลพยายามชี้นำหรือกดดันศาลหรือไม่ การที่รัฐทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้อาจจะสร้างความสียหายให้กับความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกันสถานีโทรทัศน์ออนไลน์ "วอยซ์ ทีวี" ซึ่งมีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้บริหาร จะเกาะติดบรรยากาศจากดูไบ พร้อมถ่ายสดทางเว็บไซต์ www.voicetv.co.th ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป โดยมี น.ส.ตวงพร อัศววิไล อดีตผู้ประกาศชื่อดังจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นผู้ดำเนินรายการ

พท.ใส่แดงให้กำลังใจ"แม้ว"
นายคณวัฒน์ วศินสังวรณ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงที่ พท.ว่า ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ จะมีการรวมตัวกันของผู้ใหญ่ทางการเมืองของ พท. พรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย ที่ พท. ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เพื่อร่วมกันเกาะติดสถานการณ์การอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา และให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ

"พ.ต.ท.ทักษิณจะวิดีโอลิงก์มาพูดคุยกับแกนนำของพรรคและประชาชนที่มาร่วมให้กำลังใจเป็นระยะๆ เพราะคดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ทุกคนในประเทศไทยให้ความสนใจ และจะสะท้อนของมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และขอเชิญชวนประชาชนที่ต้องการให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ขอให้มารวมตัวกันที่ พท. และภายหลังเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษาของศาล พท.จะให้ความเห็นเกี่ยวกับคำพิพากษา จากทีมกฎหมายและแกนนำทางการเมืองของพรรค และ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีแถลงการณ์ส่วนตัวต่อคำพิพากษาของศาลด้วย" นายคณวัฒน์กล่าว

แหล่งข่าวจากแกนนำ พท.เปิดเผยว่า พท.ได้แจ้งให้ทุกคนที่จะมาร่วมฟังคำพิพากษาที่ พท.ใส่เสื้อสีแดง เพื่อเป็นกำลังใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ

อ้างรับสัญญาณเป็นบวก

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พท. กล่าวว่า เรื่องคดียึดทรัพย์พูดอะไรได้ไม่มาก แต่บอกได้เพียงว่า รับสัญญาณมาว่าทุกอย่างจะเป็นบวก และคนไทยจะได้เห็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการเมืองประเทศไทยใหม่ โดยจะได้พบกับกระบวนการยุติธรรมในสังคม ที่ถูกคณะปฏิวัติ และอดีต คตส.กดขี่ข่มเหงมานาน จากนั้นวันที่ 15-20 มีนาคม ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

"นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาของศาล ผมต้องฝันให้ทุกอย่างเป็นบวก เพราะถ้าไม่บวกก็จะเกิดการจลาจลทั่วประเทศครั้งใหญ่ แล้วความมั่นคงในประเทศมันจะไม่เหลือ เมื่อความมั่นคงในประเทศไม่เหลือ รัฐบาลและองค์การต่างๆ ก็คงไม่สามารถอยู่ได้เหมือนกัน" นายประชากล่าว

นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส.ของพรรคทุกคนยังกำลังใจดี เพราะคนเราเกิดมาต้องมีความหวัง แม้เหลือนิดหน่อยแค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังต้องหวังกันอยู่ แต่ถ้าผลการพิพากษาออกมาว่ายึดหมดก็คงจะหนักหน่อย แต่ถ้าออกมาว่าแบบครึ่งเดียวก็เบาหน่อย แต่ถ้ากลับตาลปัตรก็จะถือว่าเป็นคุณกับประเทศ และจะทำให้ทุกคนมีความสุข


ที่มา:มติชนออนไลน์
**************************************************************

"ทักษิณ" ทวิตย้ำเงินทุกบาทหามาด้วยหยาดเหงื่อ-มันสมอง รวย 6 หมื่นล้านก่อนนั่งนายกฯ ขอบคุณทุกกำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตผ่าน twitter.com/Thaksinlive ก่อนช่วงเวลาที่จะมีคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ว่า "ขอยืนยันว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินที่ผมและครอบครัวหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานมันสมองไม่เคยโกงดังที่ถูกกล่าวหา เมื่อปี 2537 แสดงบัญชีไว้กว่า 60,000 ล้าน ไม่ว่าพรุ่งนี้ผลจะเป็นอย่างไร น้ำใจของพี่น้องที่ห่วงใยและคอยให้กำลังใจผม/ครอบครัวนั้นมันยิ่งใหญ่ที่ผมและครอบครัวจะจดจำไปนานแสนนานไม่มีวันลืม"

นอกจากนี้ ยังทวิตถึงน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง ลูกสาวคนเล็ก เป็นภาษาอังกฤษ ว่า "นอนหลับให้สนิท อย่ากังวลไปเลย เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นลูกรัก" (Sleep tight, don′t worry. We will be together forever regardless what′s happening loog rak)

ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค ลูกชายคนโต ทวิตถึงคดียึดทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ก.พ. ว่า "วันศุกร์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า voicetv ถ่ายทอดสดเกาะติดวันพิพากษาจากทุกที่ และที่ดูไบ โดยคุณตวงพร อัศววิไล"

ที่มา:มติชนออนไลน์
**************************************************

** อุ๊แม่เจ้า!!! 7.6 หมื่นล้าน กองสูงกว่าเอเวอเรสต์ !! **

วันตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,621,603,061.05 บาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิด
ถือเป็น “วันหยุดโลก หยุดประเทศไทย” ที่ประชาชนชาวไทยแทบทุกคนรอคอยมาตั้งแต่วันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา
26 กุมภาพันธ์ คนไทยจะนั่งหายใจเข้าหายใจออกก็ ยึด-ไม่ยึด อยู่กันทั้งวันจนกว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาเสร็จ

แม้ว่าประชาชนคนไทยจะได้ยินคำว่า เงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท กันมาจนชินหู และรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
กับการพูดถึงเงิน ที่มีจำนวนมากถึงหมื่นล้านบาท

แต่ไม่ใช่เรื่องที่ชินตาและชินมือ ที่เงินจำนวนมหาศาลนี้จะมากองอยู่ตรงหน้าให้ได้เห็นให้ได้สัมผัส

ลองมานึกดูเล่นๆ ว่า ถ้าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านกว่าบาท มากองไว้ตรงหน้าจะมีจำนวนมากขนาดไหน


ถ้าวัดความสูงจากพื้นดินจนถึงยอดบนสุดจะสูงถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ที่สูงที่สุดในโลกหรือไม่

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่ความสูง 8,848 เมตร ขณะที่เงินแบงก์พัน 1 ล้านบาทมีความสูง 5 นิ้ว
เมื่อนำเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท มาตั้งเรียงกันจะสูงถึง 3.8 แสนนิ้ว หรือ 9,500 เมตร

เท่ากับว่าเงินก้อนนี้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ 652 เมตร และสูงกว่าตึกเบิร์จ กาลิฟาห์ ของดูไบ ตึกที่ได้ชื่อว่ามีความสูงที่สุดในโลก
ถึง 11.8 เท่า เพราะ เบิร์จ กาลิฟาห์ มีความสูงเพียง 800 เมตรเท่านั้น

สำหรับประชาชนคนเดินดินอย่างเราๆ จะมีโอกาสได้จับเงินก้อนโตมหาศาลบ้างหรือไม่

และถ้าเรามีเงินจำนวนมากขนาดนี้ จะเอาเงินไปทำอะไรดี ต้องใช้อีกกี่ปีถึงจะใช้หมด

ไม่ว่าใครจะเอาเงินไปใช้ทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากทำคือ “นั่งนับเงิน”
แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้ ต้องใช้เวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปีถึงจะนับครบ

พนักงานธนาคารแห่งหนึ่งบอกว่า ปกติธนาคารจะใช้เวลานับเงินประมาณ 4 นาทีต่อเงิน 1 ล้านบาทที่เป็นแบงก์พันทั้งหมด โดยจะนับ 2 ครั้ง

ครั้งแรกจะให้พนักงานนับมือก่อน เพื่อเป็นการตรวจหาแบงก์ปลอมไปในตัวด้วย ซึ่งการนับด้วยมือนันจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3 นาที
ซึ่งก็แล้วแต่ควมสามารถเฉพาะบุคคลว่าจะสามารถนับได้เร็วแค่ไหน

จากนั้นก็จะนำไปนับด้วยเครื่องนับเงินซึ่งจะใช้เวลา 1 นาที รวมเบ็ดเสร็จก็ใช้เวลา 4 นาทีต่อการนับเงิน 1 ล้านบาท

ซึ่งนั่นก็แปลว่าถ้านั่งนับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท จะต้องใช้เวลามากถึง 30,400 นาที หรือ 5,066.66 ชั่วโมง

หรือ 211.11 วัน หรือ 7.03 เดือน หรือกว่าครึ่งปีกันทีเดียว

โดยการนับต้องอยู่ในเงื่อนไขใช้คนเพียงคนเดียวนับตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการลุกไปไหนเลย ไม่ต้องกินข้าวกินปลา หรือไม่ต้องเข้าห้องน้ำ

หรือถ้ารู้สึกว่าจำนวนเงินมากเกินไป ขี้เกียจมานั่งนับเงิน แต่อยากรู้ว่าเงินจำนวน7.6 หมื่นล้านบาทนี้มีน้ำหนักเท่าไหร่
ก็ลองเอาเงินมาชั่งน้ำหนักกันดู

เงิน 1 ล้านบาทและเป็นแบงก์พันทั้งหมด จะมีน้ำหนักประมาณ 0.4 กิโลกรัม แปลว่าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้าน
จะมีน้ำหนักถึง 30,400 กิโลกรัม หรือ 30.40 ตัน !!!!

ซึ่งหากใช้รถบรรทุกขนาด 4 เพลา 8 ล้อ ยาง 12 เส้น ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่สุดที่กรมทางหลวงอนุญาตให้ขนส่งได้ในน้ำหนักที่ไม่เกิน
30 ตัน ยังไม่สามารถที่จะใช้รถบรรทุกมาขนได้ในรอบเดียว

แต่หากจะมานั่งวัดความยาวดูว่า หากจะนำเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทมาต่อกัน จะได้ความยาวเท่าไหร่

โดยความยาวของแบงก์พันมีขนาด 16.2 เซนติเมตร หากนำมาวางต่อกันจะได้ความยาวถึง 12,312 กิโลเมตร

โอ้วววววว!!! สุโค่ยยยยยยยย มันสามารถนำมาวางบนถนนจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปถึง อ.เบตง จ.ยะลา
ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดและใต้สุดของประเทศ มีระยะทาง 1,640 กิโลเมตร ได้ถึง 7.5 เที่ยว

นอกจากนี้จากข้อมูลของแบงก์ชาติ ระบุว่า ขนาดของธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีขนาด 7.2 *16.2 เซนติเมตร

หากนำเงิน 7.6 หมื่นล้านมาวางต่อกันก็จะได้พื้นที่ถึง 88,646.4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งสามารถวางทับจังหวัด ที่มีเนื้อที่มากที่สุด
ของประเทศ คือ จ.นครราชสีมา ซึ่งมีเนื้อที่มากถึง 20,493.964 ตารางกิโลเมตรได้ถึง 4.3 เท่า !!!!!!!

หากสามารถนำมาปูทับภาคกลางของประเทศไทยซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 90,100 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ 22 จังหวัด ได้เกือบทั้งภาค

หรือหากนำมาแบ่งให้คนไทยทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนประชากรไทย (ธ.ค.2552) 67 ล้านคน
เฉลี่ยจะได้เงินคนละ 1,134.32 บาท

แต่ถ้าจะแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือนนั้น รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (6 เดือนแรก ปี 2552) ตกครัวเรือนละ 21,135 บาท
ถ้านำมาแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือน ก็จะแจกได้ถึง 3,595,930 ครัวเรือน

แต่หากจะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์ให้ประเทศ โดยการนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 (SP1)
วงเงิน 119,000 ล้านบาทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เงิน 7.6 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 64% ของโครงการ SP1 ทีเดียว



บุษราคัม ศิลปลาวัลย์
***************************************************************************

เครื่องเคียงคดียึดทรัพย์

วันนี้บางท่านก็บอกว่าเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง บางท่านก็บอกว่าเป็นวันไม่ธรรมดาที่จะต้องมีการ ตัดสินคดีสำคัญทางการเมือง และจะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกวันหนึ่ง นานาจิตตัง

ความเปลี่ยนแปลงหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์จะตามมาอย่างไร เป็นคลื่นใต้น้ำ ยากที่จะคาดเดา ทุกอย่างอาจกลับเข้าสู่ความสงบ หรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ เป็นไปได้ทั้งนั้น

คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมูลเหตุจากการขายหุ้นจำนวน 1,487.7 ล้านหุ้น มูลค่า 73,269 ล้านบาท ให้กับกองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 และนำมาซึ่งข้ออ้างในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยเช่นกัน

ในทางธุรกิจ ในทางกฎหมายข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ลงคะแนนเลือกองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้เมื่อ 2 กันยายน 2551 เป็นจำนวน 9 ท่านด้วยกัน

เนื่องด้วยระยะเวลาในการพิจารณาคดีค่อนข้างจะยาวนานต่อมาได้มี องค์คณะลาออก 4 ท่าน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน และได้มีการตั้งผู้พิพากษาท่านอื่นเข้ามาเป็นองค์คณะจนครบองค์ประชุม

มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายจำเลย เกี่ยวข้องกับองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งเป็นเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องมาจากคดีทางการเมืองที่ผ่านมา รวมทั้งข้อกฎหมายที่แตกต่างกันระหว่างรัฐธรรมนูญปี 2540 กับปี 2550 ทั้งอายุผู้พิพากษาและอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีในชั้นศาลต่างๆ สุโขทัยธรรมาธิราช อดีต สสร.แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า การพิจารณาคดีจะใช้ระบบการดำเนินคดีอาญาตามปกติทั่วไป ตามวิธีพิจารณาความอาญา และศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นศาลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อนักการเมืองโดยเฉพาะเท่านั้น

สำหรับที่มาขององค์คณะที่พิจารณาคดีจะถูกเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หมุนเวียนกันไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิ่งเต้นช่วยเหลือคู่ความ ดังนั้น องค์คณะผู้พิพากษาก็จะพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ว่าจะไม่ยึดทรัพย์ จะยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือคืนบางส่วน

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายก็คือ การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ หุ้นสัญชาติไทยและหุ้นกระดานต่างประเทศ ให้บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ เป็นการขายหุ้นในสัดส่วนเดิมหรือไม่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างด้าวในบริษัทชินคอร์ปฯหรือไม่ และแม้ไม่มีการแก้กฎหมายจะมีผลอย่างไรกับการขายหุ้น

มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ

ต้องอาศัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาประกอบในการพิจารณาคดี ดังนั้น คดีสำคัญที่จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีในวันนี้ ไม่เฉพาะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองเท่านั้น แต่จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องระหว่างธุรกิจกับการเมืองทำนองนี้ต่อไปด้วย

บนพื้นฐานความเป็นธรรมและความชอบธรรม.

ที่มา:ไทยรัฐ
คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
โดย.หมัดเหล็ก
*******************************************************************

"แม้ว"ทิ้งทวนซัดรัฐบาลผู้ชายหรือเปล่าชี้นำยึดทรัพย์ บอก7.6หมื่นล้านได้ก่อนเล่นการเมืองวอนศาลเมตตา


คืนสุดท้ายก่อนศาลตัดสิน "แม้ว"อ้าง7.6หมื่นล้านบริสุทธิ์หวังศาลเมตตา ซัดรบ.ไม่แมนชี้นำศาล-ปิดประตูตีแมว บอกไม่ว่ายึด-ไม่ยึดยังเดินหน้าหาประชาธิปไตย วอน"เสื้อแดง"นั่งฟังอยู่บ้าน

เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการทอล์ค อะราวด์ เดอะเวิลด์ ซึ่งออกอากาศผ่านเว็บไซต์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีเพิล ชาแนล" ว่า "ในวันพรุ่งนี้ ( 26 กุมภาพันธ์ ศาลฎีกานัดพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท) เป็นวันสำคัญในชีวิตของผมและประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ผมยังออกรายการปกติอยู่"

"ในวันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์และทางอัยการ โดยการบังคับของคตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ) ที่ขอศาลให้เปลี่ยนอายัดเป็นยึด เราได้ร้องค้านไปไม่รู้จะออกไง แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะรู้หรือแทรกแซงศาลก็ไม่รู้เพราะนายสาทิตย์ (วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังศาลมีคำพิพากษารัฐบาลได้เตรียมการประสานช่อง 11 วิทยุชุมนุม กอ.รมน. 4,000 คลื่น เพื่อที่จะถ่ายทอดสดและหลังจากนั้นก็จะเชิญนักการด้านกฎหมาย คตส.มารุมสกรัมผม สรุปแล้วปิดประตูตีแมวหรือไม่" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

"ผมฝากความหวังไว้ที่กระบวนการยุติธรรมว่า ชัดเจนเหลือเกินว่าเงินทองที่ครอบครัวมีมาก่อนเล่นการเมืองหวังว่าศาลจะให้ความเมตตาเรื่องนี้ ผมไม่รู้พรุ่งนี้ผลออกมาไง ผมอาจโดนอะไรไม่รู้ แต่เราต้องเคารพศาลอย่าเพิ่งไปวิจารณ์ แต่รัฐบาลวิจารณ์นำหน้าไปแล้วรู้ว่าจะโดนยึด บอกว่าเหมาะสมที่จะต้องยึด ทั้งที่รัฐบาลรู้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้มีมาก่อนเป็นนักการเมือง อยากจะบอกว่าผมเป็นคนโดนกลั่นแกล้งแท้ๆ ยังเก็บอาการอยู่ แต่คนแกล้งเขาเก็บอาการไม่อยู่ ต้องถามว่าเป็นผู้ชายหรือไม่"

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พี่น้องเสื้อแดงไม่ต้องไปศาลให้นั่งฟังอยู่บ้านอย่างสันติ เพราะตนและครอบครัวไม่ได้ไป รัฐบาลมีเครือข่ายให้ฟังเยอะ ไม่ว่าเกิดอะไร การเรียกร้องต้องมีต่อ เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยด้วยสันติ และใช้กระบวนการด้านรัฐสภา และสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันจะเรียกร้องตามประชาธิปไตย เรื่องนี้จะต้องดำเนินการด้วยสันติวิธี

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรวันพรุ่งนี้ ก็ขอให้รู้ว่ายังเป็นคนเดิมที่จะเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมของสังคมไทยต่อไปเพื่อความผาสุกของพี่น้องทั้งประเทศ และแน่นอนว่าด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ที่มา: มติชนออนไลน์
***************************************************************