--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สิ่งที่อำมาตย์เชื่อมั่นสิ่งจะเข้าข้างมันตลอดเวลาจากนี้ไป เหลือแค่ปืน อาวุธสงคราม และทหารเลวๆ

รัฐบาลก็เชื่อมั่นในอำมาตย์จะอุ้มชูพวกตน เพราะพฤติกรรมทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ไม่ได้บ่งบอกว่ามันคือนักการเมืองที่มีประชาชน
สนับสนุน มอบอำนาจให้มาบริหารประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย

ถ้ารัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยตรง คงไม่มีความก้าวร้าว โกหก ตะลบตะแลง ชนิดไม่ต้องคิดว่า ประชาชนหน้าไหนจะคิดอย่างไร
เพราะประชาชนไม่ใช่คนเลือกให้พวกมันมามีอำนาจ พรรคนี้จึงไม่มีพฤติกรรมใด แสดงว่าประชาชนเป็นใหญ่

กล่าวหาอะไร แล้วถูกสังคมจับได้รู้ทันว่า ตอแห-ล ม้นก็ด้านพอที่จะเฉยๆ เงียบไป ไม่มีคำว่า ขอโทษ หรืออะไรทั้งสิ้น
และพวกมันพร้อมจะ โกหก ทำลายคนอื่นอีก ในวันรุ่นขึ้น ด้านไหมละ เลวไหมละ

อำมาตย์ เชื่อมั่นอำนาจปืนและทหาร
รัฐบาลโจร เชื่อมั่นในอำมาตย์คุ้มหัว

ประชาชนไทย ละ เกิดมาทำไมไม่ทราบ

...............................................

ดูวิธีการคิด ของอำมาตย์ คิดว่ายึดอำนาจ สร้างกฏหมายใหม่ สร้างทีมงานล่า ค้นหา สืบหา จัดฉาก และใช้กฏหมายใด
เพื่อตัดสินใคร ด้วยแนวทางใด ไร้ความยุติธรรมหรือช่างมีความยุติธรรมแท้ๆ ถ้าไม่ยุติธรรม ประชาชนหรือคนกลุ่มใด จะมีเสียงดังพอจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้ละ

ล่าสุด พรรคการเมืองใหม่ แค่โฆษกพรรค ยังทำให้ ศาล ทำอะไรไม่เป็น กล่าวหาศาลมันจะจะไม่ปิดบังไม่ได้ หลุดปาก หรือเผลอสัมภาษณ์ แต่นี้ พวก ตั้งโต๊ะแถลงในพรรค นี้แหละ ทบทวน ไตร่ตรอง เจตนาพร้อมมูลครบ ศาลต้องวิ่งออกมาแถลงแก้ด่วน
ว่าไม่มีเรื่องแบบนั้น ตรวจสอบได้ จบ!!!! เออ กล่าวหาศาลโดยเล่นๆมันง่ายๆนี้แหละ ใครจะทำไม กรูเด็กไง ลิ้ม น่ะโว้ย

ยุบพรรคด้วยการจัดฉาก ใส่ร้ายวันเวย์ จบ คนถูกใส้ร้าย ยังงง และหายหัวไปจนวันนี้ ชื่อ พลเอก ธรรมรักษ์ ถูกเก็บ ไม่ได้ทำแต่ ก็กลายเป็นคนทำ ไปในที่สุด (เชอรี่แอน 2ทางการเมือง)

ชัดที่สุดคือ คือกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ถูกเรียกว่า ตุลาการภิวัฒน์ ประเทศชาติ ก็เละเทะเพี้ยน แตกแยกมาจนวันนี้ นี้คือผลจากคำว่า ตุลาการภิวัฒน์ใช่หรือไม่ ภิวัฒน์แบบไหนมิทราบ ไม่ปรากฏ กระบวนการใดทำให้คนไทยเชื่อว่าจะมีกระบวนการเอาผิดพันธมิตรหรือฝ่ายสนับสนุนอำมาตย์ ยึดบ้านยึดเมืองทำประเทศชาติเสียหายได้เลยจริงๆ พันธมิตรจะกร่างหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพียงใด ก็ไร้วิธี ซึ่งองค์กรทางกฏหมายบ้านเมืองใด กล้าคิดเอาผิดได้ จนบัดนี้

อำมาตย์ หรือองค์กรทางกฏหมาย ก็วางตัวภายใต้ปัญหา อึดอัดแบบนี้ตอไปต่อสังคม คงต้องรอให้ อำมาตย์ฮิบหายไปก่อน

รัฐบาลไร้ความสามารถไร้น้ำยา ไร้ฝีมือ บริหารไม่เป็นมีแต่สร้างปัญหา สร้างหนี้ให้แผ่นดิน โกงชาติ คอรับชั่นจับได้คาหนังคาเขาเป็นแถว ก็ไม่มีใครแยแส สนใจ ว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไร แค่เปลียนหน้าที่ต่อจบ นี้คือ การเชื่อมันในอำมาตย์

ทหารเลว ถูกจับได้ ว่าโง่ ซื้อของเล่นราคาไม่ถึง 1000 ในราคา 1.4 ล้าน ถูกสังคมตัดสินไปหมดแล้ว ทางวิทยาศาสตร์ก็รับประกันไปแล้ว ประเทศที่ขายเองก็เตือนว่าใช้ไม่ได้แล้ว เสือกกล้าออกมาการันตี ว่าใช้ได้ และจะใช้ต่อไป อย่างไม่แยแสอะไร ทั้งสิ้น นี้คืออาการเพี้ยน บ้าของ พวกเผด็จการ บนความพิการของคนในแผนดิน

ทั้งหมดที่กล่าวมา เกิดขึ้นบนยุคถิ่นกาขาว มันให้ผลเช่นนี้นั้นเอง คือผิดไม่ผิด ด้านได้อายออก เป็นคนก็ออกไป เป็นควายก็ทนสู้ ไม่รับผิด ไม่ฟัง ไม่ทำตาม ใครจะทำไม เห็นไหม พวกกู มีแต่ทหาร เห็นภาพตอนนี้ นึกถึงเผด็จการทหารพม่า หรือทหารเกาหลีเหนือ ได้ดีที่สุด

..........................

มาว่าด้วย การปิดเมืองปล้นเงิน 76,000ล้านบาท โดยไม่ต้องแยแส ไม่ต้องให้การสนใจกฏหมายใดๆ ในโลกนี้
ไม่ต้องคำนึงถึง ความถูกต้องใดๆในโลกใบนี้ ไม่ต้องฟังคำท้วงติใดๆ จากคนข้างนอก เพราะ309 จากกฏหมาย
โจร ให้ท้ายไว้แล้วว่า ทำอะไรไม่ผิด แล้วมันยังคิด ทำอะไรไม่ผิดแล้ว ยังทำอะไรต้องถูกต้องหมดด้วย

บอกว่า โกง ก็ต้องโกง ว่าชั่ว ก็ต้องชั่ว ว่าขายชาติกฏหมายก็ต้องบอกว่า ชายชาติ
ว่ายึดกฏหมายก็ต้องบอกว่ายึด ทฤษฏีควายกินหญ้า กฏหมายก็ต้องทำตามทฤษฏีควายกินหญ้า พวกมันเชื่อมั่นกันขนาดนี้

มีคนบอกว่า 76,000 ล้านบาท ถูกรัฐบาล คมช. และอำมาตย์ ได้ใช้อำนาตย์ ถอนแบ่งกันไปใช้ในกิจกรรมอื่นไปหลายหมื่นล้านแล้ว ค่าตามล่าทักษิณ ก็คือเงินทักษิณเอง ว่างั้น ดังนั้น ถ้าแผนผิด กฏหมายทฤษฏีควายกินหญ้าเป็นกฏของเด็กอนุบาลหมีน้อยคิดเล่นไป ใครจะมีปัญญาหาเงินคืนทักษิณ ดอกเบี้ยที่ควรจะได้ จาก หลายธนาคาร ธนาคารอำมาตย์ซะด้วย
แค่คิด ก็อาจทำให้ ธนาคารอาจล้มได้ อายัดเงิน 76,000ล้านบาท ดอกเบี้ยต่อวันต่อเดือน ในเวลา3-4 ปี จะเป็นเท่าไหร่

กฏหมายก็ของอำมาตย์ บุคคลในกระบวนการสืบส่วน กล่าวหา สั่งฟ้อง ก็คือคนพวกขับไล่ทักษิณ นั้นแหละ ใครจะทำไม มีปัญหาไหม ใช้คำว่า อดีตผู้พิพากษาทั้งน๊าน ก็จบ ทำเลว ก็ดีหมด เพราะนี้คืออดีตผู้พิพากษา

ต่อมา ทางการเมือง กกต. ก็ไม่ได้อับอาย แยแสต่อสังคมใด ๆ ใครจะทำไม อายทำไม ทำอะไรค้านสายตาปัญญาชนคนไม่บ้า ได้อย่างบ้าๆ ใครจะทำไม จะลงโทษใคร จะรักษาใคร ก็เล่นมันตรงๆ ไปเลย จะไม่กลัวทำไม อยากยุบใคร อยากตัดสินใคร ก็ตัดสินไป พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไร หาวิธีหนีน้ำขุนๆ ใครจะทำไม

นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ ทหารเลวยึดอำนาจ และกระบวนการตุลาการภิวัฒน์
พวกมันเชื่อในเซลสมองพวกตนว่า แค่นี้ ทุกอย่างก็จบ ปืนปราบ กฏหมายกด

นั้นอาจเป็นระยะสั้น แต่วันนี้ ประชาชนคนเสื้อแดง ได้ดื้อยา ไม่กลัวขึ้นมาแล้ว
แบบนี้ จะเรียกว่า สาเหตุมาจากอะไร

บนความคิดเลวๆของทหารเลวๆเก่าๆ ที่มีเชลสมองอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
สันดานจิตใต้สำนึกถูกแกนโลกหมุนล้ำหน้าไปก่อน หรือพวกมันล้าหลังโลกกว่า 50 -70 ปี
หลายคนบอกน่าจะ 1 ล้านปีขึ้นไป ยังคิดได้แค่ ความรุนแรง และปืน คือคำตอบ

---------------------------------------

คิดไปได้ ว่า ประชาชนเสื้อแดง คือคนทักษิณ นี้ถ้าทำได้ คงห้ามคนรักใครได้กะมัง
คิดไปได้ว่า ประชาชนเสื้อแดง คือคนรับจ้างทักษิณ บนพื้นฐานของพันธมิตรเสื้อเหลือง
เคยทำเช่นนี้ หรือไม่ เพราะหมดเงิน เสื้อเหลืองก็หมด โดยปริยาย ใช่หรือไม่

เสื้อแดงทำไมยิ่งจะเต็มประเทศ ถ้ารับจ้างทักษิณ 3-5 ปีมานี้ ทักษิณจะจ้างทางไหนว่ะ
ก็พวกมิงตามล่าตามยึดเงิน หมดแล้ว จะบอกว่าขนเงินมาจ้าง เสื้อแดง ก็กลายมาหมาเห่า
โชว์พ่อแม่ไป สรุปคือ ถ้าทักษิณจะส่งเงินมาให้เสื้อแดง ก็ช่วยหาเส้นทางไหน เชื่อว่า
แค่บาทเดียว จากทักษิณ ถ้าจะผ่านแผ่นดินไทย ตอนนี้ ก็คงไม่รอดสายตาอำมาตย์ ดังนั้น
เป็นไปไม่ได้ ว่า คนเสื้อแดงจะรับจ้างทักษิณ แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า คนเสื้อแดงที่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะ การถูกอำมาตย์ รัฐบาลดูถูก นี้แหละ แม้ กรูต้องรู้ตัวเองซิ ว่ารับเงินหรือไม่ได้รับเงินใคร
กูก็รู้ตัวว่า กูเสียเงินค่ารถ ค่าน้ำ ค่าข้าว ค่าเสื้อแดงเอง แล้วกูรับเงินทักษิณอย่างไรว่ะ นี้แบบนี
และที่ทำให้คนเสื้อแดงเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรู้ว่า การถูกใส่ร้าย และกล่าวหาเป็นอย่างไร

ยึดเงินแล้ว ปราบ ฆ่า ยิง จับ ขัง ใช้ปืน ใช้กฏหมาย จัดการคนเสื้อแดงอีก ครั้ง
แล้วจะทำให้ ประเทศสงบเรียบร้อย ต่างชาติ เข้ามาลุงทุน ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
สถานบันต่างๆ ออกทำภารกิจติดต่อนานาชาติ ต่อไปสง่างามเหมือนเดิม

คิดแบบนี้จริงหรือ

อำมาตย์

ที่มา.ประชาไท

มนุษย์การเมือง "แก้วสรร" ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ด้วยทฤษฎี "วัวกินหญ้า"


วาทกรรมเรื่อง "ยึดทรัพย์" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีไม่น้อยกว่า 2 ข้อความหลัก

อาทิ ยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท

หรือยึดส่วนหนึ่ง เฉพาะที่ได้ประโยชน์จากนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน

ทั้ง 2 วาทกรรม ล้วนมีเหตุผลหักล้าง นำเสนอ

1 ใน 2 วาทกรรม เป็นของ "อ.แก้วสรร อติโพธิ" ที่ว่าด้วย"ยึดทั้งหมด"

ด้วยดีกรีอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

และอดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ "แกะรอยคอร์รัปชั่น"

"อ.แก้วสรร" ยกเหตุผล-ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ประกอบวาทกรรม "ยึดทั้งหมด"

ทฤษฎีที่ว่าด้วย "วัวกินหญ้า" กลายเป็นวาทะหลักในการถกแถลง-วิพากษ์ ในวงการนักกฎหมาย-นักการเมือง

"อ.แก้วสรร" บอกว่า.....

"เรื่องหุ้นของคุณทักษิณต้องยึดทั้งหุ้นกับดอกผล เมื่อขายไปแล้วก็ต้องยึดเงินที่ขาย เหมือนคุณเลี้ยงวัวนมหนึ่งฝูง เมื่อขึ้นเป็นนายก อบต. คุณก็ทำนโยบายเพาะหญ้าขนในทุ่งหญ้าสาธารณะ ซึ่งไม่มี อบต.ไหนเขาทำ จากนั้นก็ปล่อยวัวคุณไปกิน วัวมันก็อ้วนสุด ๆ เลย ทีนี้จะทำยังไง จะยึดอะไรล่ะทีนี้ ก็ต้องยึดทั้งตัว"

"...จะบอกว่าวัวผมมีมาก่อน ผมก็ไม่ได้เถียง เพราะไม่ได้กล่าวหาว่ายึดวัวหลวง แต่คุณเอาอำนาจรัฐไปขุนวัวของคุณจนอ้วน จะมาขอวัวของคุณคืน แล้วทำยังไง จะแบ่งกันยังไงล่ะทีนี้ ดังนั้นคุณทำ 5 ครั้ง บอกว่าต้องยึดทีละครั้ง ครั้งแรกเอาขา ครั้งหลังเอาหู อย่างนั้นหรือ...มันไม่ใช่"

"ผมไม่เถียงว่าหุ้นนั้นของทักษิณ แต่มันมีราคาขึ้น เพราะใช้อำนาจเข้าไป ราคาหุ้นจริง ๆ ขณะนี้อาจจะตกลงไปก็ได้ เพราะตลาดหุ้นมันแปรปรวน แต่ที่แน่ ๆ คุณทักษิณทำให้ธุรกิจนี้ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง"

"หุ้นของคุณทักษิณ วัวของคุณผมไม่เถียง แต่มันอ้วนจากอำนาจรัฐ ต้องเข้าใจว่านี่คือการลงโทษ หากให้ทุนคืนก็ไม่ต่างกัน เฮ้ย ! ช่วยกันทำเว้ย พอจับได้แล้วได้ทุนคืน แล้วจะยึดทรัพย์ทำไม"

เมื่อคดี "ยึดทรัพย์" เข้าสู่โค้ง 10 วันอันตราย ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ถูกหยิบยกเป็นประเด็นขึ้น "ร้องศาล"

โดยนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ผู้เกี่ยวข้อง ยุติบทบาทการขยายความทฤษฎี "วัว-ควาย"

"พานทองแท้" ร้องว่า "ขอให้มีคำสั่งห้ามมิให้ อดีตคณะกรรมการ คตส.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจจะเป็นการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด"

"โดยเฉพาะนายแก้วสรรที่ออกมาพูดเกี่ยวกับทฤษฎีวัว ควาย เป็นการใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชนสับสน ทำนองว่า ถ้าวัวไปกินหญ้าของคนอื่นแล้ว วัวอ้วนขึ้นมาต้องยึดวัวทั้งตัว จะยึดเฉพาะขาไม่ได้"

"ถ้ามองมุมกลับกัน ตนเป็นเจ้าของหญ้าแล้ววัวมากิน แล้วตนยึดวัวทั้งตัวไว้ ตนจะโดนข้อหาลักทรัพย์ แต่ถ้าร่วมกันกระทำการมากกว่า 1 คนขึ้นไป ภาษากฎหมายเรียกว่าปล้นทรัพย์ ทำให้ตนรู้สึกว่าเหมือนถูกปล้นทรัพย์อยู่ อยากให้ลองมองมุมกลับกันบ้าง"

พานทองแท้-ใช้วาทกรรม "กฎหมาย" ย้อนศรว่า "ฝากถึงพี่น้องเกษตรกร ระหว่างรอประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ให้เลิกปลูกข้าว มาปลูกหญ้าแล้วเอารั้วออก แล้วทุกคนจะมีวัวขายกัน ขอบอกว่าทุกคนจะไม่ผิดเพราะเขาเอากฎหมายมาบิดเบือนกัน"

แต่ "คำร้อง" ของทายาท "ชินวัตร" ไม่เป็นมรรค-เป็นผล

แม้จะพยายามหยิบยกเหตุ-ผล "เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปโดยถูกต้องเป็นธรรม ไม่สมควรที่จะมีบุคคลใดให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิด"

ที่สุด "ศาลยกคำร้อง" แต่ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ยังคงเป็นประเด็นหลักในการสนทนา-หารือ ตั้งแต่ร้านกาแฟรากหญ้า ถึงยอดตึกระฟ้า

"อ.แก้วสรร" ผู้บัญญัติ "ทฤษฎีวัวกินหญ้า" ในวัย 59 (เกิด 24 สิงหาคม พ.ศ. 2494) พื้นเพเป็นชาว จ.ลำพูน บิดา "ศิริ อติโพธิ" เป็นอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ป.)

เคยลงสมัครเป็นกรรมการการเลือกตั้งชุดที่ 3 แต่ไม่ได้รับเลือก

หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้รับการทาบทามจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง

เพราะนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย คปค. ให้เหตุผลว่า "คุณสมบัติของนายแก้วสรร ไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ ซึ่งอาจเป็นข้อโต้แย้งถึงคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ในภายหลังได้"

หลังผ่านภารกิจ "ยึดทรัพย์" อดีตคณะกรรมการ คตส. กลับเข้าสู่วงการ "การเมือง" อีกครั้ง

ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามกลุ่มกรุงเทพฯใหม่ แต่ต้องพ่ายแพ้กระแสประชาธิปัตย์ ที่เทคะแนนให้ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร"

ชื่อ "แก้วสรร อติโพธิ" ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏจักร "ทักษิณ"

อย่างน้อยก็จนกว่า "คดียึดทรัพย์" จะถึงที่สุด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
โดย...อิศรินทร์ หนูเมือง

เถา "ทักษิณ" ใช้ต้มเถา "เสื้อแดง" จากมุ้งการเมือง-ถึงทฤษฎี "ขนมชั้น" ทุกยอดล้วนแตกจากราก "ทักษิณ"

เถาถั่ว ใช้ต้มต้นถั่ว ฉันใด กลุ่มคน "เสื้อแดง" ที่เกิดจาก "ทักษิณ" ที่ใช้เป็นเครื่องมือ-เคลื่อนไหวเพื่อ "ทักษิณ" ก็ฉันนั้น

เถาถั่วแห้ง เป็นเชื้อเพลิงชั้นดี สำหรับ "ต้มถั่ว"

กลุ่มคนเสื้อแดง เป็นพลังงานชั้นดี สำหรับ "ทักษิณ"

เถาถั่ว-เพียงเถาเดียว "ต้มถั่ว" สุกได้

กลุ่มคนเสื้อแดง แยกกอ-ต่อกิ่ง- แตกก้าน เป็นหลายก๊ก หลายเหล่า หลายอุดมการณ์

แดง-อดีตไทยรักไทย 111 คน แตกกอเป็น มูลนิธิ 111 เคลื่อนไหวการเมือง-ทำกิจกรรมสาธารณกุศล อาทิ ภูมิธรรม เวชยชัย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา-พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ฯลฯ

แดง-อดีตพลังประชาชน 37 คน กลายเป็น ที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์- ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และเป็น "พี่เลี้ยง" นอกเวทีให้พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์-นายยงยุทธ ติยะไพรัช-นพดล ปัทมะ-สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และนิสิต สินธุไพร

แดง-หัวหอกเวที นปช. ต่อยอด- เชื่อมร้อยกับพรรคเพื่อไทย ทั้งกิจกรรมใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ที่นำโดย วีระ มุสิกพงศ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-จตุพร พรหมพันธุ์

ผนึกกับ "แดง" ฮาร์ดคอร์ สไตล์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง-ธีระชัย แสนแก้ว ที่ "รับงาน" ตั้งแต่ระดับดาวกระจาย- ถวายฎีกา ไปจนถึงวาระการชุมนุมใหญ่ และวาระพิเศษ-ล้มอำมาตย์ เปิดเผย-โจมตีคณะองคมนตรี

ยังมีแดง-ทหารนอกกองทัพ ที่มี "บิ๊กจิ๋ว" ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เป็น "แม่ทัพ" ร่วมกับนายทหารปลดประจำการ ไม่น้อยกว่า 30 นาย

กลุ่มแดง-ทหารในกองทัพทั้งที่เปิดหน้า-ปิดหน้า มี "พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล" เป็นแนวหน้า ร่วมด้วย "พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี"

แดง-สยาม ที่แตกตัวมาจาก "แดง นปช." มี "จักรภพ เพ็ญแข-สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์" รวบรวม "แดง" สายอุดมการณ์-วิชาการ มาก่อตั้งแนวร่วมรบ ทั้งใน-นอกประเทศ

แดง-ในพรรคเพื่อไทย ที่แม้ว่าจะมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ยังมี "วิทยา บุรณศิริ" เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน แม้จะมี "สุนีย์ เหลืองวิจิตร" เป็นเลขาธิการพรรค แต่ก็ยังมี "เฉลิม อยู่บำรุง" และ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์-ปลอดประสพ สุรัสวดี" เข้ามาชิงซีนชิงเค้กอำนาจ ก้อนใหญ่

ทุกแดง-ทุกเถา เป็นเถาถั่วชั้นดีที่จะต้มถั่ว

ทุกแดง-ทุกเครือข่ายมีข้อขัด-ข้อแย้ง แตกแยกทั้งจากภายใน-และปัจจัยจากภายนอก

ทุกแดง-พร้อมรับฟังเฉพาะ "คำสั่ง" จาก "ทักษิณ"

ทุกแดง-ขับเคลื่อนเพื่อเป้าหมาย "ทักษิณ"

ทุกความแตกแยก-ขัดแย้ง จึงล้วนมีเงื่อนไข-ปัจจัย มาจาก "ทักษิณ"

ดังนั้นทุกทิศทาง-วาระ-จังหวะ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงล้วนแตกต่าง-แปลกแยก-หลากหลาย

เถือก-เถา ของ "เสื้อแดง" ที่แตกจาก "ราก-ทักษิณ" จึงกำลังกลายเป็น "เชื้อเพลิง" ชั้นดีที่ใช้ ที่ช่วยโหมแรงไฟ ให้เกิดการลุกไหม้ "พวกเดียวกัน"

ทั้งแรงปะทะระหว่างสงครามตัวจริง-ตัวแทน "เฉลิม-คุณหญิงสุดารัตน์" เพื่อ ชิงธงอภิปรายไม่ไว้วางใจ และชิงการนำในสภาผู้แทนราษฎร และในพรรคเพื่อไทย

ทั้งความขัดแย้งระหว่าง "แดง นปช.-เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ" ที่ยังคงบานปลาย แตกต่าง-สุดขั้ว ระหว่างแนวเคลื่อนไหวใต้ดิน-กับรูปแบบรุกรบบนดิน

ทั้งการขัดกันในเชิงอุดมการณ์ระหว่าง "แดงสยาม" กับ "แดงฮาร์ดคอร์"

ทุกราก-ทุกเถา มีรอยปริ-แตกร้าว- ทั่วด้าน

"ทักษิณ" เคยใช้วิธีการบริหารความ ขัดแย้ง ในพรรคไทยรักไทย ด้วยทฤษฎี "ขนมชั้น"

ด้วยวิธีการรวบรวมนักการเมือง ระดับเขี้ยวยาว-แก่พรรษา มาจากพรรคความหวังใหม่-เสรีธรรม-ชาติพัฒนา-กิจสังคม เข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย

"ทักษิณ" บอกวิธีการหลอม-ล้อมคอกนักการเมืองว่า เหมือนกับการทำขนมชั้น "การเทแป้งแต่ละชั้นต้องทำอย่างดี ไม่ให้ส่วนผสมปนเปกัน เพื่อให้ขนมออกมาเป็นชั้น สวยงาม ได้สัดส่วนแยกแต่ละชั้นได้ เมื่อรวมกันเป็นขนมชั้น ก็เป็นขนมชั้นหนึ่งชิ้นที่มีรูปลักษณ์เป็นแท่ง น่ารับประทาน"

ทักษิณเล่าย้อน-ความสำเร็จว่า "นั่นคือตอนเริ่มต้น ตั้งพรรคแนวใหม่ เหมือนกับผมได้เตรียมกระทะทองเหลือง สะอาดและขัดล้างอย่างดีแล้ว...ถ้าเราไม่วางกรอบวัฒนธรรมขององค์กรที่เราจะสร้างให้เรียบร้อย จะทำให้องค์กรสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง"

ที่สำคัญ "ทักษิณ" ให้ความสำคัญกับ "คนเดียว" คือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรของพรรค "ต้องมาจากผู้นำ หรือหัวหน้าพรรค"

วิธีการ "จัดการ" การเมืองของ "ทักษิณ" กับ "คนเสื้อแดง" ไม่ต่างจากที่เคยจัดการพรรคไทยรักไทย

"แต่ละครั้งจะผลัดกันเป็นหัวหน้าและ ลูกน้อง ไม่ให้คนใดเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องตลอด เพราะว่าสังคมการเมืองไทย ทุกคนจะหน้าใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร คุณต้องรู้จักเล็กเป็น-ใหญ่เป็น"

ความเข้าใจ-มนุษย์พันธุ์พิเศษ ที่เรียกว่า "เซียนการเมือง" ของ "ทักษิณ"

คือต้องให้ "พวกไม่เหมือนกัน" ไปอยู่ร่วมกันสักระยะ เพื่อให้คนเหล่านี้กลายเป็น "คนเก่า" ที่มีระบบคิดเป็นเบ้าหลอมของพรรค และคนกลุ่มนี้จะมีบารมีในการพูดกับสมาชิกที่เข้ามาใหม่ได้

ความรู้เรื่องธุรกิจการเมือง ทำให้ "ทักษิณ" จัดการก๊ก-ก๊วน-มุ้ง นักการเมืองใหม่ "ผมรู้ดีว่าคนเป็นนักการเมืองจะมี บางอย่างที่เหมือนกัน เช่น มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยกลัวอะไร และต้องเข้าใจในความต่างด้วยว่า มีทั้งดีบ้าง เลวบ้าง เก่งบ้าง"

"ทักษิณ" ใช้ทุกก๊ก-ทุกก๊วน-ทุกมุ้ง แข่งกันทำ "ผลงาน" ไม่จำกัดรูปแบบเพื่อทำลาย "ระบบมุ้ง" ไม่ให้มีพลังในการ "ต่อรอง" โดยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ต้องมีรูปแบบ "กระทบกระทั่ง-ปะทะ-ทะเลาะ" ระหว่างมุ้ง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

แต่ทุกมุ้งต้องเดินตามเป้าหมาย "ทักษิณ" คือชนะเลือกตั้ง โดยใช้การ "ทำประชาสัมพันธ์" แบบเข้าถึง "รากหญ้า" เป็นเครื่องมือสำคัญ

หลังจากครอบครองชัยชนะพรรคเดียว-หลายมุ้ง ด้วยทฤษฎี "ขนมชั้น" ได้ 1 สมัย "ทักษิณ" ก็ร่วงหล่นจาก "ชัยชนะ" ปิดตำนานรัฐบาลพรรคเดียว

ประสบการณ์ บทเรียน การบริหารความขัดแย้ง ด้วยทฤษฎีขนมชั้น ทำให้ "ทักษิณ" เหมือนจะแพ้-แต่ยังไม่แพ้ และต้องออกไปหาหนทางต่อสู้จากนอกประเทศ

นักการเมือง "ขนมชั้น" ส่วนใหญ่ กระจาย-แตกตัว-คืนรูป ไปตั้งพรรคใหม่ บางส่วนไปสังกัดพรรคเดิม กลับไปอยู่ในเบ้าหลอมการเมืองแบบเก่า

แต่การต่อสู้ของ "ทักษิณ" ยังไม่จบสิ้น รูปแบบการต่อสู้-คู่ขัดแย้ง เปลี่ยนแปลง-พลิกด้าน จากในสู่นอก-เหนือ สภาผู้แทนฯและทำเนียบรัฐบาล

แต่ "ทักษิณ" ก็ยังใช้วิธีการบริหาร แบบเดิม

ใช้ทุกแดง-ทุกเครือข่าย-ทุกพรรค เป็นปลายหอก-ปลายดาบ ในการต่อสู้ รุก-รบทั้งใต้ดิน-บนดิน

ใช้การสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งเว็บไซต์ วิทยุ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ระบบข้อความในโทรศัพท์มือถือ ทุกราก-ทุกเถา ไม่พลาดการสื่อสารกับ "ทักษิณ"

ทุกแดง-ทุกชั้น-ทุกเถา ร่วมเคลื่อนไหวหวัง "เป้าหมาย" เดียว คือ คืนเงิน 7.6 หมื่นล้าน สู่ครอบครัว "ชินวัตร"

ทุกเป้าหมายมีความเป็นเอกภาพ แต่วิธีการไปสู่เป้าหมายไร้เสถียรภาพ

เถาถั่ว...กำลังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการต้มถั่ว ในหม้อน้ำเดือด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

** เผด็จการหลงยุค **

เรื่องของการพิจารณาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองเป็นเรื่องที่เราจะมองเมินมิได้

มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างศาลกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างพนักงานอัยการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ของใครคนใดคนหนึ่ง เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ หรือ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง

ตรงกันข้ามเป็นเรื่องเผด็จการกับประชาธิปไตย เป็นเรื่องของความยุติธรรมหรืออยุติธรรม เป็นเรื่องของหลักนิติธรรม และเป็นเรื่องระหว่าง
คมช. กับประชาชนคนไทยนั่นเอง

เมื่อแรกเริ่มการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และมีการอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ผู้คนกำลังช็อกและงุนงงกันอยู่
จึงไม่มีใครออกมาตั้งแผงคัดค้าน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละน้อยๆ และมาตรการบันได 4 ขั้นของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ถูกประกาศออกมาคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า
มาตรการทางกฎหมายทั้งหลายที่ คมช. นำมาใช้ต่อจากนั้นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น

คตส. นั้นห่วยแตกที่สุด

ไม่ควรมีใครยอมรับให้เป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนมาตรการอายัดทรัพย์เพื่อการตรวจสอบอื่นๆต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องเหลวไหลติดตามมา

ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯจะมีคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ. จึงเป็นวันสำคัญที่ประชาชนต้องให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยได้ยินนายแก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในคณะกรรมการ คตส. ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นอกมั่นใจว่าควรจะมี
การยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียทั้งหมด โดยเสนอทฤษฎีวัวกินหญ้า

นายแก้วสรรอธิบายว่า พ.ต.ท.ทักษิณเปรียบเหมือนคนไทยธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงวัว ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.
เลยมีโอกาสใช้งบประมาณของ อบต. และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้งบประมาณนั้นปลูกหญ้าในที่สาธารณประโยชน์ของตำบลนั้น

วัวของ พ.ต.ท.ทักษิณกินหญ้านั้นจนอ้วนพี มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น และราคาก็สูงขึ้น

ดังนั้น เมื่อพิจารณาการประกอบข้อกฎหมายเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณทุจริต เพราะเอาเงินหลวงมาปลูกหญ้าให้วัวของตัวเองกิน ถึงเวลา
ยึดทรัพย์ก็ต้องยึดวัวไปทั้งตัว

ทฤษฎีวัวกินหญ้าของนายแก้วสรรนี้ถูกคนโห่กันมาก เพราะเป็นทฤษฎีที่ไม่มีหลักนิติธรรมรองรับ ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นทฤษฎีของ
การล้างแค้นกันมากกว่า

แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนมองลึกไปกว่านั้น คือมองเข้าไปจนเห็นว่านี่คือจิตสำนึกของนักกฎหมายเผด็จการหรือนักกฎหมายอำมาตย์
ไม่ใช่นักกฎหมายมหาชนหรือนักกฎหมายจากสำนักนิติศาสตร์ใดๆ

นายแก้วสรรเป็นลูกน้องและเป็นเครื่องมือของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารกิ๊กก๊อกที่ไม่มีหลักใดๆในการปกครอง
ประเทศเลย นอกจากหลักความพึงพอใจของตัวเอง แล้วยังแถมเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่งอีกด้วย

บันได 4 ขั้นของคณะรัฐประหารคือความอัปลักษณ์

กระบวนการยุติธรรมที่ดีไม่ควรนำมาเป็นสาระเพิ่มความอัปยศอดสูเป็นอันขาด

ยิ่งตอนนี้บ้านเมืองของเราย่างเท้าเข้ามาในดินแดนประชาธิปไตยแล้วส่วนหนึ่ง ย่ำเข้ามาในแดนศิวิไลซ์ร่วมกับนานาอารยประเทศแล้ว
ก็ไม่ควรใช้เครื่องมือใดๆของเผด็จการอีก

เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพิจารณารายละเอียดของคดียึดทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์สินมูลค่า 7.6 หมื่นล้านคือหุ้นชินคอร์ปที่ลูกๆของ
พ.ต.ท.ทักษิณ และพี่ชายร่วมกันครอบครองและขายให้บริษัทเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ยิ่งจะไปกันใหญ่

หุ้นจำนวนนี้เคยมีปัญหาตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 แต่แล้วศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นได้ชี้ขาดว่า
เป็นการโอนให้กันโดยชอบ ไม่ใช่การซุกหุ้น

เรื่องหุ้นก็จบลงไป

แล้วเหตุไฉนจึงกลับมาเป็นปัญหาให้ต้องยึดทรัพย์กันอีกในปี 2553 ซึ่งแน่เหลือเกินว่าหากมีการยึดทรัพย์กันในคราวนี้ย่อมไม่ใช่
การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นจำเลยของ คมช.

แต่เป็นการยึดทรัพย์ของลูกๆและพี่ชาย ซึ่งต่างก็บรรลุนิติภาวะแล้ว

แล้วนี่มันคือหลักอะไร ไม่ใช่หลักวัวกินหญ้า และไม่ใช่หลักนิติศาสตร์หรือนิติธรรมอย่างแน่นอน

เป็นได้ก็แต่เพียงหลักกู หลักเผด็จการ หรือหลักของคณะโจรปล้นประชาธิปไตยเท่านั้นเอง

เท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรอื่น

ที่มา:konthaiuk
โดย.อัคนี คคนัมพร

**********************************************************************

** “นายกฯเด็กเส้น” **

นับจากวันนี้ไปเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะถึงวันสำคัญของประเทศนี้แล้ว คือวันตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่บอกว่าเป็นวันสำคัญก็เพราะว่าทุกคน ทุกฝ่ายต่างใจจดใจจ่อรอดูว่าผลการตัดสินคดีความจะออกมาอย่างไร และหลังการตัดสินแล้ว
ประเทศจะเดินไปทิศทางไหน

คณะปฏิวัติที่ขับรถถังเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และเครือข่ายทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างเฝ้ารอวันนี้
วันที่จะวัดว่าการยึดอำนาจนั้นสำเร็จลุล่วงครบถ้วนตามแผนการหรือไม่

ถ้าผลออกมาว่ายึดหมดก็มั่นใจได้เปราะหนึ่งว่าน้ำเลี้ยงของคนเสื้อแดงจะเหือดแห้ง และในที่สุดก็ต้องเฉาตายกันไปเอง ทีนี้ก็ยึดประเทศ
ได้เบ็ดเสร็จ ทุกคนต้องโค้งหัวก้มให้กับผู้กุมอำนาจตัวจริงเสียงจริงในประเทศนี้หากยังอยากมีอนาคตต่อไป

แต่หากไม่ยอมก้มหัวจะเป็นอย่างไรก็ดูที่คนชื่อ “ทักษิณ” ว่าได้รับผลอย่างไรบ้าง

ความจริงหากจะดูอนาคตของบ้านเมืองเราดูได้ไม่ยาก เพราะพวกที่คิดว่าอยู่เหนือกว่ามักเก็บอาการไว้ไม่อยู่ การประกาศอย่างเชื่อมั่น
หลายครั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อง 3 ไม่คือ ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก และไม่มีปฏิวัติ แสดงว่าเขาต้องได้รับ
สัญญาณบางอย่างถึงได้เชื่อมั่นถึงเพียงนี้

ว่ากันว่าสัญญาณพิเศษที่นายอภิสิทธิ์ได้รับนั้นได้รับการถ่ายทอดไปสู่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดแล้วบนโต๊ะกินข้าวในงานเลี้ยง
วันคล้ายวันเกิดของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ คนโตพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา

สัญญาณพิเศษที่ว่าจะจริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลลดพยศลงไปมาก โดยยอมเลื่อนญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่เร่งเสนอเข้าสภาไปแบบไม่มีกำหนด และสัญญาณพิเศษที่ว่านี้ก็ถูกถ่ายทอดอีกครั้งบนโต๊ะกินข้าวของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไม่กี่วัน
หลังจากนั้น

หลังกินข้าวจบแม้นายอภิสิทธิ์จะไม่ไปร่วมวงด้วย แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็ก้มหน้ายอมรับและทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท
พร้อมประกาศจะอุ้มชูรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อไป ไม่ว่าจะถูกเตะตัดขา ถูกหลอกใช้ ถูกกดขี่อย่างไรก็พร้อมที่จะอยู่ค้ำบัลลังก์

เขียนมาถึงตรงนี้ต้องบอกว่านายอภิสิทธิ์นั้นเป็น “นายกฯเด็กเส้น” ตัวจริงเสียงจริง และดูเหมือนว่าจะมั่นอกมั่นใจในเส้นของตัวเองซะด้วย
ถึงกล้าเดินหน้าทำทุกอย่างตามสัญญาณพิเศษที่ได้รับมา

เรื่องจีที 200 กลายเป็นเรื่องเตะหมูเข้าปากหมา โอเคว่าประสิทธิภาพมันห่วยแตก แต่ที่มาโหมเล่นกันตอนนี้เป้าก็อยู่ที่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ดูจะไม่มั่นคงเท่าไร

ข่าวคราวการทุจริตมากมายที่เกิดขึ้นในกระทรวงมหาดไทยก็เป็นการเตะตัดขาเครือข่ายสีน้ำเงินที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มสีเขียวที่กำลังถูก
โยกเก้าอี้อยู่ในตอนนี้

หากนำจิ๊กซอว์มาต่อกันก็จะเห็นภาพชัดเจนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องข่ายสีน้ำเงินปนเขียว

เรื่องเสื้อแดงและอดีตนายกฯทักษิณถูกมองข้ามช็อตไปแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าถึงอย่างไรเสียหลังวันที่ 26 ก.พ. นี้ทุกอย่างจะจบ
อาจมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาบ้างก็แค่ประปราย ไม่มาก เดี๋ยวก็นิ่ง

ใครที่คิดจะสร้างอาณาจักรแข่งหรือทำท่าว่าจะคุมไม่ได้เอาไม่อยู่ก็ต้องกดหัวตัดตอนเสียก่อนที่จะโต

ตอนนี้จึงหันดาบมาเล่นคนกันเอง


โดย:นายหัวดื้อ
**********************************************************************

“ทักษิณ”ร้องปชช.ก่อตั้งระบอบประชาธิปไตย พธม.รวมตัวขับไล่ 'ณัฐวุฒิ'

วันนี้( 22 ก.พ.) ข่าวรายงานว่า หลังจากการเปิดโรงเรียน นปช.ที่เขาพลายดำ ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
โดยมีกิจกรรมการให้ความรู้กับนักเรียนตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. จนกระทั้งในช่วงกลางคืนมีการเปิดเวที "ความจริงวันนี้"

โดยมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นาย วีระ มุสิกพงศ์ นาย จตุพร พรหมพันธ์ นาย อดิศร เพียงเกษ นพ.เหวง โตจิราการ และ
นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ได้กล่าวว่าการเดินทางมาในครั้งนี้ ก็เพื่อเชิญชวนให้
คนเสื้อแดงในภาคใต้ ร่วมแสดงพลังเพื่อล้มล้างระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะมีการรวมพลครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

ภายหลังจากนั้นเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินพบปะกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเรียกร้อง
ให้ประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมก่อตั้งระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน พร้อมกับย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เป็นฉบับล้าสมัย
ทำให้ประเทศล้าหลัง ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มีเนื้อหาล้ำหน้าไปสู่ทศวรรตที่ 20

ในขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมายืนยันว่า ไม่รู้สึกวิตกกังวลหากรัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการทางกฎหมายในช่วงของ
การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดง ในช่วงการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
โดยแกนนำกลุ่มเสื้อแดง จะร่วมกันหารือ เพื่อกำหนดท่าทีในการชุมนุมและกำหนดเวลาการชุมนุมประท้วงที่ชัดเจน
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้

ข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำรถโฆษณาในตัวเมืองนครศรีธรรมราช
และเมืองใหญ่ ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งกลางวันและช่วงกลางคืน เพื่อเชิญชวน พธม.มารวมตัวกันที่ศาลาประดู่หก
สนามหน้าเมือง ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช
ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรีธรรมราช ในเวลา 07.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) เพื่อขับไล่คณะของนายณัฐวุฒิ ที่จะเดินทางมาโดยสาร
เครื่องบินกลับกรุงเทพ

โดย กลุ่มพธม.ระบุว่า ในฐานะที่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่กลับเป็นแกนนำ นปช. ออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ
พธม.เมืองนคร จึงไม่อยากให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินนครศรีธรรมราช

ในขณะที่ พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ ผบช.ภ.8 ได้ปักหลักอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีคำสั่งให้ตำรวจมารวมตัวกัน
ในเวลา 06.00 น. เพื่อเดินทางไปรักษาความสงบเรียบร้อยที่สนามบินต่อไป

ในขณะที่ในเวลา 15.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานการฌาปนกิจ
ศพคุณแม่ของนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ที่วัดสำนักขัน อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช โดยตำรวจได้ระดมกำลังในการอารักขา
จำนวนมากเช่นกัน.

ที่มา:konthaiuk
***************************************************************************

** 'เสธ.แดง' เตือน 'ป๊อก' อย่า'ดันทุรัง' ระวัง'ติดคุก'!! **

"เสธ.แดง" ยกกรณี "เจ้าพ่อปากน้ำ" เตือน "อนุพงษ์" ระวังติดคุก ทุจริตจีที 200
อย่าดันทุรัง ชี้เตือนในฐานะเพื่อน ขอให้ลาออกไป


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึง

กรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 (มทภ.4)
ยืนยันว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ใช้ได้จริง ว่า

ขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่าอย่าดันทุรัง และขอให้ยอมรับว่า จีที 200 เป็นเพียงกระบอกเซียมซีที่ใช้ไม่ได้ รวมถึงประเทศอังกฤษ
ก็ได้ออกมาพิสูจน์แล้วว่า จีที 200 เป็นแค่ไม้ลวงโลก ทำอะไรไม่ได้ ตนขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่า ระวังจะติดคุก

ตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์อุ้ม พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ เพราะกลัวว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะปฏิวัติ จึงเอาใจเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่อีก 7-8 เดือน เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณอายุราชการแล้ว มีโจทก์ฟ้องศาล พล.อ.อนุพงษ์ อาจจะต้องถูกดำเนินคดีและ
อาจโดนศาลสั่งจำคุก เหมือนกรณีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องหนี เพราะถูกพิพากษา
จำคุกในคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน

"ความจริงเครื่องราคาแค่พันกว่าบาท แต่ไปสั่งซื้อราคาเครื่องละล้านกว่าบาท ดังนั้น ขอให้ยอมรับว่า จีที 200 ใช้ไม่ได้
จะได้ไม่ติดคุก และขอให้ลาออกไป ผมขอเตือนในฐานะเพื่อน นอกจากกรณีของจีที 200 แล้วยังมีเรื่องอื่นอีก"

ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************

แผนนองเลือด

โอ๊ย... เกิดมาเป็นคนไทยอย่างจิตร ใครมันจะนึกว่าวันอย่างนี้จะมาถึง เกิดมาก็นึกว่าคนบางคนเค้าใจดีมีเมตตา เขารักประชาชนพลเมือง ที่ไหนได้ล่ะ วันนี้เขาเคาะเปรี้ยงลงมาแล้วว่าให้เตรียมเชือดคนเป็นแสนๆ ได้เลย เขาจะหานักฆ่ามืออาชีพจากเมืองนอกเมืองนามาช่วย เขาบอกซะด้วยว่าคนพวกนี้มันรักทักษิณ บางคนไม่ได้รักทักษิณมากมันก็รักประชาธิปไตยมาก เอามันไว้ไม่ได้ จะฆ่ากันเป็นล้านศพก็ไม่ว่า ขอให้ครอบครัว (กู) รอดก่อน

ฝ่ายอำมาตย์มันก็ไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกท่าน บางคนรู้ข่าวก็ใจเต้นโครมคราม เผ่นแน่บมาเล่าให้จิตรฟัง เพื่อให้จิตรส่งข่าวต่อไปยังพระเดชพระคุณตัวจริงคือมวลมหาประชาชน คนหนึ่งเล่าไปน้ำตาไหลไปว่า มันเลวอะไรหยั่งงี้ เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน ยุให้พวกโจรห้าร้อยเข้ามาโค่นทำลายประชาธิปไตยก็เพราะทักษิณไม่ดี แต่ตอนหลังรู้ว่าทักษิณเขาดีและเขาไม่ผิด แทนที่จะหยุดยั้ง แกกลับสั่งฆ่าหนักกว่าเก่า ก็เลยรู้เช่นเห็นชาติว่า โคตรตระกูลนี้มันก็เหมียนกันทั้งนั้น ต้นตระกูลก็เป็นลูกน้องเขา เขาเอามาชุบเลี้ยงจนเป็นใหญ่เป็นโต (เหมือนทักษิณเลี้ยงเนวิน สุรเกียรติ์ วิษณุ บวรศักดิ์ อนุทิน และนายเหนือหัวของคนพวกนี้) พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ซัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มันจบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้

ความจริงการฆ่าหมู่หรือฆ่าเดี่ยวนั้น คนแก่โรคจิตบางคนมันคิดของมันมานานแล้วล่ะท่าน จิตรเคยรู้มาไม่กี่เรื่อง พอมาได้ยินจาก “คุณข้างใน” ผู้มีใจเป็นธรรมเข้า เลยต่อเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งทีเดียว ขนาดลำดับ “แผนฆ่า” ได้เลยล่ะท่าน

- ใช้พวกมาเฟียชั้นต่ำ ระดับสัมภเวสี ฆ่าคุณทักษิณแทนให้ เรื่องก็ออกมาเป็นการระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทยที่คุณทักษิณฯ จะนั่งไปเชียงใหม่ในปีแรกที่เป็นนายกฯ

- ใช้คนไร้อนาคต หมดความหวังในชีวิตอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล มาก่อหวอตทำลายชื่อเสียงคุณทักษิณให้สิ้นก่อนต่อไปก็ลงมือฆ่าง่าย ป้ายสีเขาว่าเป็นคนไม่ดี กะว่าเขาหมดชื่อเสียงแล้วตัวก็สบายตายไปคนก็ไม่สนใจ เหมือนที่ทำกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครูบาศรีวิชัย ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน พระพิมลธรรม เป็นต้น นั่นแล

- ใช้ทหาร ตำรวจ มือปืนรับจ้าง (ระดับมืออาชีพ) มาลงมือ ทหารก็ต้องหมวกแดงป่าหวายโน่น อย่างไอ้คนที่เตรียมยิงจากต้นไม้ที่ลพบุรี แต่นายกฯ เปลี่ยนแผนขึ้นเหนือนั่นแหละ ตำรวจก็ไปขุดเอาจากขุมนรก ก็พวกประวัติเลวๆ ที่วิ่งมากราบตีนขอให้ช่วยชีวิตอย่างสมคิด บุญถนอมเป็นต้น มือปืนก็เลือกพวกที่ กอ.รม.นวย สั่งได้มาใช้งาน กลายเป็นการเตรียมฆ่าผู้นำของระบอบประชาธิปไตยถึง ๘ ครั้ง ๘ หน รวมทั้งแผนระเบิดรถยนต์ที่บางพลัดที่ไอ้พวกสื่อมวลสัตว์บางตัวอย่าง “เนชั่ว” มันเอามาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเรื่องตลกหรือ “คาร์บ๊อง” เพื่อให้คนทั่วโลกเขาไม่สนใจนั่นแหละ พวกนี้เลวถึงขนาดจะให้ยิงจรวดใส่บ้านที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ของคุณทักษิณฯ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ “เขายายเที่ยง” นั่นล่ะท่านที่เป็นตัวการคิดอะไรนรกๆ แบบนี้ เดชะบุญที่นายทหารใหญ่คนที่ต่อมาได้เป็นพลเอกและย้ายมาอยู่ฝั่งประชาธิปไตยเขาเซย์โน บอกว่าจะฆ่าใครก็เอาเฉพาะตัวเขา ฆ่าลูกฆ่าเมียเขาด้วยมันผิดหลักการ

- ใช้ทหาร ตำรวจ และพวกเศษมนุษย์ที่เลียตีนรับใช้กันอยู่เดินทางไปต่างประเทศ เก็บข้อมูลว่าคุณทักษิณอยู่ไหนอย่างไร เตรียมลอบสังหาร ที่อังกฤษก็ทำ ขนาดมาถึงกัมพูชาแล้วก็ยังทำ โชคดีว่าประเทศแถบนี้เขาไม่เล่นเกมโสโครกด้วย เวียดนามก็เป็นเจ้าภาพจับตัวเอาไว้ได้ ๓ คน ไม่นานนี้เอง ตอนนี้ได้ข่าวว่าหัวหายไปแล้ว

นี่ล่ะท่านคือผลงานนองเลือดของไอ้พวกเหี้ยม ม. หาย ความเป็นคนมันไม่มีเหลืออยู่กับตัวแล้ว ไม่ว่าจะไอ้แก่มากหรือไอ้แก่น้อย อยู่บ้านคงลงเดินสี่ตีน เพราะคุณธรรมมันไม่มีเหลือหลอ
แต่แผนการอุบาทว์ชาติชั่วที่เล่ามา ยังไม่เท่าความมืดดำของแผนใหม่ที่เพิ่งเคาะกันลงมาจากตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งจิตรต้องเล่าให้ท่านฟัง จะได้รู้ว่าเมืองพุทธของเรา เดี๋ยวนี้มันได้กลายเป็น “ระบอบสัตวาธิปไตย” คือได้ฝูงสัตว์มาปกครองแทนคนอย่างไร

ในวันตัดสินคดีทรัพย์สินของนายกทักษิณและครอบครัว หรือคดี ๗๖,๐๐๐ ล้านนั่นแหละ ฝ่ายชั่วมันเตรียมจะยึดทรัพย์ให้หมดเกลี้ยง เพราะมันกลัวนายกทักษิณจะเหลือทุนมาทำงานการเมือง แล้วคิดโค่นทำลายรังของพวกมัน มันก็เลยโหมโรงโฆษณาว่าเงินนั้นมาจากไหนยังไง หวังให้คนเขาเคลิบเคลิ้มเห็นดีด้วยกับการยึดทรัพย์ แต่มันก็รู้ว่ากระแสเสื้อแดงที่เร่าร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ดับไม่ไหว มวลมหาประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ห่วงเงินของคุณทักษิณ แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยให้ไอ้พวกโจรมหาโจรมันเข้าปล้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน

ตรงนี้ล่ะท่านที่รักทั้งหลาย ปิศาจตัวใหญ่ที่ใครก็มองไม่ออก เพราะเป็นประเภท “ตีนที่มองไม่เห็น” ก็ออกโรงมาอีกคราหนึ่ง เหมือนเมื่อคราวเหตุการณ์ฆ่านักศึกษาและประชาชนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่องคุลีเดียว

ปิศาจชราตนนี้มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ โดยเฉพาะคำพูดของ “เสธ.แดง” ที่เตือนให้ระวังการสังหารผู้พิพากษามาก่อนนี้ มันก็จะเอามาอ้าง จากนั้นมันก็จะโหมข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนสั่งฆ่าผู้พิพากษา

และแล้ว... มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือดท่วมท้องช้าง

ฝ่ายอำมาตย์บางคนมันไปติดต่อกับประเทศมหาอำนาจลูกพี่มันไว้แล้วด้วย ขอความช่วยเหลือในการปราบปรามประชาชน ไอ้ฝ่ายโน้นก็พูดไม่ออก ดันทำตัวเป็นลูกพี่เขามาตั้งแต่สงครามเย็นโน่น จะทำดัดจริตย้ายมาข้างประชาธิปไตยก็ไม่ทัน ก็เลยเตรียมช่วยเหลือเชิงกำลังพล (บางส่วน) อุปกรณ์เครื่องมือบางอย่าง และข่าวกรอง ละเอียดลงไปถึงขั้นว่าทหารที่มาฝึกซ้อมรบอยู่ในเมืองไทยช่วงนี้ถึงเวลาก็ยังไม่ให้กลับ ให้ซุ่มรอเวลาอยู่อีกอย่างน้อยสามเดือนเผื่อจะต้องรบจริง

เห็นไหมล่ะท่าน... พวกมันเตรียมการกันถึงขนาดนี้ จิตรเป็นคนชอบพูดทีเล่นทีจริง งานนี้ยังต้องพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่าเมื่อพวกมันมองเห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลา คิดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้แล้ว ประชาชนเราจะนั่งรอให้มันฆ่าก็กระไรอยู่

ก็ต้องเอามันมั่งนะพระคุณท่าน!

โดย จิตร พลจันทร์
ที่มา : คอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 15

-------------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พท.ปูดแผนสร้างสถานการณ์โยนผิดเสื้อแดง

โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยแผนสร้างสถานการณ์โยนผิดกลุ่มคนเสื้อแดง ช่วง 5 วัน อันตราย เชื่อคดีระเบิดคว้าน้ำเหลว เพราะคนก่อเหตุเป็นคนมีสีใกล้ชิดรัฐบาล

เมื่อวันที่ 21 ก.พ.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. แถลงข่าวตั้งรางวัล 2 ล้านบาท สำหรับผู้ชี้เบาะแสคนร้ายในคดียิงระเบิดชนิด M 79 เข้าไปภายในมหาวิทยาลัยราชมงคล วิทยาลัยเขตพณิชยการพระนคร และคดีลอบวางระเบิด ซีโฟร์ ภายในรั้วศาลฏีกา ว่า เป็นการประจานถึงความไร้ประสิทธิภาพและไร้น้ำยา สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และหน่วยงานความมั่นคงที่จะควบคุม ดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบ

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คดีดังกล่าวทางตำรวจออกมายอมรับว่าไม่คืบหน้า เพราะไม่ธรรมดา จับตัวยาก สุดท้ายก็คงจับมือใครดมไม่ได้ เพราะน่าจะเกี่ยวข้องคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ทั้งนี้ตนได้รับแจ้งข่าวจากเจ้าหน้าที่ผู้หวังดีแจ้งว่า อาจจะมีการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกหลายจุด จากกลุ่มคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ในช่วง 5 วันอันตราย ก่อนหรือหลังคดียึดทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิดให้แก่ขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม รัฐบาล รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง มุ่งหวังที่จะทำลายความชอบธรรมของการชุมนุม และสกัดกั้นมิให้ผู้คนเข้ามาชุมนุมจำนวนมาก และจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลประกาศกฎหมายพิเศษในการปราบปรามและควบคุมประชาชน เหมือนกรณี 13 เม.ย.52 หรือสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา

"จากข้อมูลพบว่ามีการนำกำลังทหารหน่วยรบจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ประจำตาม ค่ายในกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวนมาก รวมถึงล่าสุดได้มีการฝึกซ้อมที่กรมทหารราบ 11 บางเขน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ใช้ทหารตำรวจเกือบ 4,000 นายพร้อมใช้อาวุธ เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอันตราย จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล หาทางป้องกันเพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุนำไปสู่ความรุนแรง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ"โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว

ที่มา:ไทยรัฐ

ผลาญรัฐ

เมื่อเรามีรัฐบาลพิการสมอง
ท่วงทำนองบริหารที่ผลาญเผา
กู้เงินเขาให้เราค้ำก็ชำเรา
สาวได้สาวเอาน่าเศร้าใจ

ประเทศไทยเราจึงจมต้องอมทุกข์
หมดสุขเพราะเขาเข่นให้เป็นไพร่
น้ำใต้ศอกของอำมาตย์ย่อมบาดใจ
ส่งรัฐบาลจัญไรมานั่งเมือง

ยกพวกปล้นปวงประชาเพราะหน้าด้าน
จริตต่ำกว่าขอทานสะพานเหลือง
เห็นประชาธิปไตยแผ่ในเมือง
ก็ปลุกเหลืองปลุกชมพูมาสู้แดง

ความวุ่นวายมิใช่แดงแสดงก่อน
ก็เหลืองสอนมิใช่หรือฮือเข้าแย่ง
เมื่อเลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้แรง
ต้านสีแดงแรงเหลืองคือเรื่องโจร

รัฐบาลทำดีขยี้ทิ้ง
แล้วไปตั้งฝูงลิงมาห้อยโหน
เทวดาสูงนักแต่รักโจร
ให้เล่นโขนหรอกใครไปวันวัน

ไฉนเล่าเจ้าอำมาตย์พิฆาตรัฐ
ประชาธิปไตยขบกัดเอาหรือท่าน
นึกว่ารักประเทศไทยใจตรงกัน
กลับห้ำหั่นประเทศตนจนจนมุม

เพราะรักแต่ครอบครัวหัวจึงปั่น
บ้านเมืองดีฉับพลันก็ดันกลุ้ม
ก็เจ้ามือกินรวบเคยควบคุม
พอเกิดมุมประชาธิปไตยใจไม่ยอม

เลือกรัฐบาลย่ำเท้าเอาแต่ดูด
ตามหลักสูตรของคุณพ่อผู้หล่อหลอม
ให้เหมือนกันทั้งแผ่นดินจึงยินยอม
ความหลากหลายรายล้อมไม่ต้องการ

แล้วบ้านเมืองเดินไปอย่างไรเล่า
ชาวโลกเขาก้าวหน้ามหาศาล
มายึดเอาอวิชชาเป็นปราการ
รัฐบาลปัญญาอ่อนหลอกหลอนคน

เผด็จการนิยมใช้ไพร่โง่โง่
ที่วางก้ามยโสแต่ฉ้อฉล
เป็นลูกน้องสามานย์ของพาลชน
และยกตนข่มท่านตามสันดาน

สูตรนี้หรือคือไทยในวันนี้
หกสิบสี่ล้านคนไม่พ้นผ่าน
ความฉิบหายใกล้เข้ามาเห็นอาการ
จะวายปราณกันทั้งเมืองเหลืองทั้งตัว

อย่ามุ่งไล่รัฐบาลเป็นงานหลัก
เขามีคนปกปักต้องมองทั่ว
จะรุผึ้งต้องทั้งรังอย่านั่งกลัว
ตีแต่หัวหรือปลายตายอยู่ดี

รัฐบาลผลาญชาติอำมาตย์ชอบ
เพราะเสริมส่งซึ่งระบอบที่กดขี่
ประชาชนหมดสิ้นเขายินดี
ยิ่งไม่มีแต้มต่อยิ่งพอใจ

จะทนทานต่อไปทำไมหรือ
จงออกไปไว้ชื่อมิใช่ไพร่
พลเมืองเต็มอัตราประชาไทย
ต้องร่วมไล่ปวงอำมาตย์ชาตินรกานต์.

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38
โดย จักรภพ เพ็ญแข

-------------------------------

บทเรียนจากเมียนมาร์

หลังจากประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ภายในพุทธศักราชนี้ โดยมิได้ระบุวันเวลา ระบอบเผด็จการทหารเมียนมาร์ก็ออกข่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านและผู้ก่อตั้งสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (The National League of Democracy: NLD) จะได้รับอิสระทันทีที่คำสั่งจำคุกในบ้านของเธอสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ต่อมาไม่กี่วันก็ปล่อยตัว ถิ่นอู ผู้เป็นหมายเลข ๒ ของ NLD เป็นอิสระ ถิ่นอูผู้นี้เป็นอดีตนายทหารยศนายพลที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกล้าหาญต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็แตกร้าวอย่างหนักกับทหารยศสูงคนอื่นๆ จนถูกบังคับให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ มาร่วมก่อตั้ง NLD กับนางซูจี ทีนี้เข้าคุกเลยทีเดียว รวมเวลาเทียวเข้าออกจากคุกและการถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านจากบัดนั้นเป็นต้นมานับสิบปี ครั้งล่าสุดก่อนจะได้รับอิสรภาพนี้ก็คือ ๖ ปีเต็ม

เดินก้าวแรกออกมาจากคุก ถิ่นอูในวัย ๘๒ ปีที่ยังแข็งแรง ให้สัมภาษณ์ทันทีว่าเขาจะเดินสายเดิมคือประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่เหลียวหลังหรือลังเล แต่ยังไม่ตอบชัดเจนว่า NLD ซึ่งมีสมาชิกระดับนำอยู่ในคุกมากมายหลายร้อยคน จะเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่

ความเคลื่อนไหวระยะนี้ทำให้ทั่วโลกอื้ออึงกันว่าดูจะมีแสงสว่างขึ้นบ้างในเมียนมาร์ ถึงขนาดที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ โทมัส โอจี ควินตาน่า วางแผนเดินทางไปยังเมียนมาร์ทันที่รู้ข่าว เพื่อประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองในเมียนมาร์มีโอกาสจริงตามข่าวหรือไม่

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อเลยว่า ระบอบทหารของเมียนมาร์จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงกดดันสากลจริง เพราะถ้าจะยอมก็คงยอมมานานแล้ว การคว่ำบาตรเศรษฐกิจก็เนิ่นนานมากว่าสิบปีแล้ว และแม้จะเกิดความขัดแย้งแรงๆ ในหมู่ผู้นำอย่างคราวพลเอกขิ่นยุ้นต์ถูกจับและติดคุกยาวอยู่ในขณะนี้ ก็ยังรวมสังขารกันติด ความปีนเกลียวระหว่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วยกับผู้นำหมายเลขสองและสามอย่างหม่องเอและตุระฉ่วยมานก็เป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะเมียนมาร์ไม่เปิดประตูสู่โลกอย่างแท้จริง ไม่สนใจจะเป็นโลกาภิวัตน์กับใคร และเลือกคบประเทศที่เอื้อประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาตั้งฐานทัพใหญ่ใกล้นอปิดอว์-นครหลวงใหม่

แรงกดดันระหว่างประเทศจึงไม่ระคายผิวหนาๆ ของเผด็จการทหารในเมียนมาร์
การปรับตัวคราวนี้จึงน่าจะเป็นความพยายามป้องกันความขัดแย้งภายในหมู่ผู้นำที่อาจเกิดได้ในอนาคตมากกว่า เพราะหากปล่อยให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาน้ำใกล้ระเบิด อาจกระเทือนถึงตัวผู้นำได้เหมือนเมื่อคราวขิ่นยุ้นต์ ซึ่งแม้จะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางอองซานซูจีอยู่ด้วย ประกอบกับสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักของตานฉ่วย ที่อาจเป็นเหตุให้คนคิดการใหญ่กันได้เหมือนคราวตะเบงชะเวตี้จะสิ้นพระชนม์ ก็นำมาสู่นโยบายลดอุณหภูมิ

ถามว่าอยู่ใกล้กันขนาดมีชายแดนร่วมเกือบ ๑,๘๐๐ กิโลเมตร การเมืองที่เข้าสู่ทางตันของไทยจะนำบทเรียนอะไรจากเมียนมาร์มาใช้ได้บ้าง?

ประการแรกเลยก็คือ หากเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาอย่างเมียนมาร์ด้วยการปิดประเทศบ้าง ก็ขอบอกเอาบุญว่าไม่มีทาง เมียนมาร์ตลอดเส้นทางอันยาวนานหลังจากได้รับเอกราช คือรัฐที่ใช้อุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองฝ่ายซ้ายคือสังคมนิยมมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจต่อระบบทุนนิยมเลย ถึงขนาดมีลัทธิของตัวเองคือ “สังคมนิยมตามแนวทางแบบพม่า” หรือ “Burmese Way of Socialism” และใช้อำนาจเผด็จการทหารปกป้องแนวคิดเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะสถาบันระดับสูงและสถาบันทหารที่ปกป้องสถาบันระดับสูง มีวิสัยเป็นทุนนิยมมาตั้งแต่ต้น ถึงขนาดลงทุนตั้งบริษัทที่มุ่งทำกำไรสูงสุดจากประเทศที่ตนมีอำนาจอยู่ แม้รัฐวิสาหกิจก็มีแนวคิดทุนนิยมอนุรักษ์จนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจถูกเรียกว่า กรรมกรศักดินา กันถ้วนหน้า และคนระดับสูงของไทยก็กางปีกปกป้องรัฐวิสาหกิจราวกับไข่ในหิน อย่างคราวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อำมาตย์รวมหัวกันหากินและได้รับประโยชน์ส่วนตน ในขณะที่รีบผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้เป็นรูปบริษัท เพราะอำมาตย์ระดับสูงสุดมีผลประโยชน์โดยตรงจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นในระดับโลก

เช่นเดียวกับสถาบันทหารที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐอีกต่อหนึ่ง ต่างก็เป็นนายทหารหาเงินก่อนเกษียณอายุราชการกันทั้งสิ้น ฝ่ายอำมาตย์ไทยจึงไม่มีอะไรจะอ้างได้ในการปิดประเทศ ทหารของชาติที่อำมาตย์ใช้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.ส่วนตัวก็เป็นผลผลิตของทุนนิยม เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในระบบทุนนิยมเหมือนกัน

ประการที่สอง ระบอบเผด็จการเมียนมาร์ออกมาแสดงบทบาทผู้กุมอำนาจโดยตรง ต่างจากฝ่ายไทยที่ใช้ระบบร่างทรง (proxy) ในรูปของกองทัพแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงคราววิกฤติหรือสงครามระเบิดขึ้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีตัวจริงที่จะนั่งเจรจากับตนได้ มีแต่ร่างทรงและตัวแทนที่ไม่มีอำนาจจริง ไม่มีทางบรรลุข้อตกลงได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านเมียนมาร์ มหาอำนาจที่คว่ำบาตรเมียนมาร์ มหาอำนาจที่สนับสนุนเมียนมาร์ องค์การสหประชาชาติ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าศูนย์อำนาจของระบอบเผด็จการทหารของเมียนมาร์อยู่ที่ใด คือมีคู่เจรจา (counterpart) ถึงจะยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ก็มีทิศทางและความหวังที่จะตกลงกันได้ในอนาคต ส่วนอำมาตย์ไทยซ่อนตัวอย่างมิดชิด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความเป็นคนดีเสมอไป ในที่สุดเมื่อถึงคราววิกฤติ จะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ได้อย่างสะดวกเลย ฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินทางสู่จุดที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำลายอุปสรรคเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็คือการทำสงครามชนชั้นอย่างที่ไม่น่าจะเป็น

การซ่อนตัวของอำมาตย์ไทยจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเผชิญหน้าเที่ยวนี้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ

ประการสุดท้าย นางซูจีเคยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ความนิยมใดๆ ที่นางและ NLD มี บัดนี้จางไปตามกาลเวลาจนคนทั่วโลกและชาวเมียนมาร์เองไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายังได้รับความนิยมขนาดจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่หรือไม่ อย่าลืมว่านางไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองซ้ำอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และได้รับเลือกตั้งซ้ำอย่างหนักแน่นกว่านั้นในปี พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากเหตุวุ่นวายทางการเมืองมาก็ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และได้รับเลือกตั้งท่ามกลางอำนาจเผด็จการทหาร-หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีก จนคนทั่วโลกและทั่วประเทศยอมรับว่าได้รับความนิยมจริง ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง เมื่อถูกกีดกันและถูกทำลายลง กระแสต่อต้านจึงค่อยๆ แรงขึ้นด้วยความชอบธรรมที่มีนั้นเอง จนบัดนี้กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยกดไม่ลงอีกต่อไป

ผมคิดว่ากรณีเมียนมาร์และนางซูจีสอนอะไรกับเรามาก ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนในด้านกลับให้รู้ว่าฐานประชาธิปไตยของเรามีความมั่นคงและเสถียรกว่าเมียนมาร์มากนัก การที่อำมาตย์ฝันจะย้อนกลับไปเป็นเมียนมาร์จึงเป็นฝันกลางวันของเขาที่เราไม่ต้องกังวล.

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
โดย จักรภพ เพ็ญแข

----------------------------

ความเหมือนในความต่าง ทักษิณ 3 สิงหาคม 2544 กับ ทักษิณ 26 กุมภา 53

เมื่อ 3 สิงหาคม 2544 เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" วันหนึ่ง เนื่องเพราะมีการตัดสินคดีซุกหุ้นภาคแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีก 9 ปีต่อมา วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" อีกเช่นกัน เนื่องเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดีร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาท ของคนชื่อ ทักษิณ

... แม้เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 2 เวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม แต่มีความคล้ายและแตกต่างกันในหลายประเด็น


"ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอภาพเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้น ปี 2544 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียึดทรัพย์ ปี 2553


@ สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ก่อน 3 สิงหาคม 2544 สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยกวาด ส.ส.ทั้งสองระบบได้มากที่สุด 248 เสียง ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ ส.ส.แค่ 128 เสียง
ปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณมีความฮึกเหิมอย่างที่สุด ทักษิณบอกว่า เขาจะทำอะไรให้กับประชาชนได้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีมีดปักหลัง อันหมายถึงคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่สถานะวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ และเป็นนักโทษที่มีคดีติดตัวเพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ทำให้หลบลี้ภัยอยู่ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดูไบ ยูกันดา กัมพูชา ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน


@ คดีซุกหุ้นกับคดียึดทรัพย์
คดีซุกหุ้นภาคแรก ปี 2544 เป็นเสมือนปฐมบทของคดีซุกหุ้น ก่อนที่กระบวนการเชิดนอมินีจะพัฒนามาเป็น ซุกหุ้น "ไตรภาค" จากซุกหุ้นผ่านคนรับใช้ คนขับรถ มาเป็นซุกหุ้นในบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนจะมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก และกลายเป็นฉากสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ


ในคดีซุกหุ้นภาคแรก เดิมพันของ พ.ต.ท.ทักษิณฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ความมั่งคั่งของตระกูลชินวัตรแขวนอยู่กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะอ่านคำพิพากษาเวลา 13.00 น. วันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553


ความแตกต่างกันคือ คดีซุกหุ้นภาคแรก อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แต่คดียึดทรัพย์ อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว จนลงทันที 76,000 ล้าน ถ้าศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมด !
ทว่าสิ่งที่คล้ายกันคือรูปแบบการต่อสู้ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทั้งต่อสู้ทางกฎหมายที่ส่งมือกฎหมายชั้นนำ และพยานเบิกความจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนต่อสู้นอกศาล ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ


ก่อนตัดสินคดีซุกหุ้น มวลชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โหมกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการ ป.ป.ช. อย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ถึงขนาดมีการข่มขู่ว่าจะเผาศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง ถ้าตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด ตลอดจนมีการส่งจดหมายและโทรศัพท์ข่มขู่ตุลาการ และ ป.ป.ช.


ที่สำคัญมีกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า มีการใช้เงินก้อนโตติดสินบนตุลาการจำนวนหลายสิบล้านบาท
ผ่านมา 9 ปี ในคดียึดทรัพย์ แรงกดดันศาลฎีกาทวีความรุนแรงไม่ได้น้อยกว่าปี 2544 มีการลอบนำระเบิดซีโฟร์ไปวางบริเวณสนามข้างรั้วศาลฎีกา มวลชนที่นำโดยกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยโหมเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนัก และพยายามเชื่อมโยงไปถึงสถาบันชั้นสูง และองคมนตรี ว่ามีส่วนสำคัญในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา


@ กลุ่มสนับสนุนที่เปลี่ยนไป
คดีซุกหุ้นภาคแรก พ.ต.ท.ทักษิณมีคุณหญิงพจมาน ภรรยา ร่วมต่อสู้เคียงข้าง แต่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่มีคุณหญิงพจมานเคียงข้างเพราะหย่าขาด แบ่งแยกสมบัติกันแล้ว คุณหญิงอ้อกลับไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพ็ชร์


คดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณใช้มวลชนร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส. สมาชิกพรรคไทยรักไทย ทหาร ตำรวจ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 สื่อมวลชน ชาวบ้าน รวมทั้งนักวิชาการ ผู้นำทางความคิดออกมาเรียกร้องชี้นำให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ แทนหลักนิติศาสตร์ อาทิ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว น.พ.ประเวศ วะสี เป็นต้น


คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ไม่มีมวลชนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมากเท่าครั้งก่อน มีเพียงกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนายทหารบางคน ขณะที่นักวิชาการ ชนชั้นกลาง ตลอดจนผู้นำทางความคิด ถอยห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ


ขณะเดียวกันมีแรงต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ โผล่ขึ้นเต็มไปหมด เห็นได้จากโพลหลายสำนักที่สำรวจพบว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนวันที่ 26 ก.พ. เป็นไปเพื่อคนเพียงคนเดียว
บทสรุปวันที่ 3 สิงหาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณหลุดพ้นข้อกล่าวหา
บทสรุปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม
แต่ที่แน่ ๆ หลังวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ทักษิณ บอกว่า ขอบคุณ ศาลมีความยุติธรรม
ทว่า ...วันนี้ ทักษิณและพวก ประจานศาลไทยไปทั่วโลกว่า ไม่น่าเชื่อถือ 2 มาตรฐาน !!!

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx