“เฉลิม” ไม่เผาผี “เจ๊หน่อย” ลั่นไม่ขอเอ่ยถึงตลอดชีวิต
ปูดเดือนหน้านักการเมืองใหญ่ถูกเชือดคดีทุจริต ยันไม่ได้งอนไม่มีชื่อเป็นนายกฯ
ย้ำรับได้เฉพาะคนในพรรค แขวะ “มิ่งขวัญ” อย่าทำตัวเป็นนางบังเงา อยากเป็นต้องออกแรง
วันที่ 17 ก.พ.2553 ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
แถลงยืนยันว่า ไม่งอนที่ไม่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะโอกาสใส่ชื่อและ
จะได้เป็นนายกฯ คงต้องรออีก 3 ชาติ บวกอีก 7 ชาติ
ทั้งนี้ ตนขอย้ำว่าจะไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากจะเสนอชื่อคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในพรรคเพื่อไทยก็มีสมาชิก
ถึง 190 คน แต่หาไม่ได้จริงๆ ก็ให้โหวตเลือกคนในพรรค เช่น ถ้าพรรคโหวตเลือกนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย
หรือแคนดิเดตนายกฯ 5 คน ตนก็ไม่ขัดข้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อตน ตนไม่เคยงอนใครนอกจากภรรยาที่บ้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าสมาชิกพรรคเพื่อไทยเสนอให้ร.ต.อ.เฉลิม เป็นนายกฯ จะรับหรือไม่
ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตนไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่รับ แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีคนนำ และการที่ตนมาทำหน้าที่
คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไม่ใช่ผู้นำอภิปราย
ดังนั้น คนอยากจะเป็นนายกฯ ไม่ใช่มานั่งเฉยๆ อย่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ได้แต่นั่งจิบน้ำชา
ข้างเวทีแล้วรอส้มหล่น อยากเป็นใหญ่จะต้องแสดงบทบาท อย่าทำตัวเป็นนางบังเงา บัวบังใบ ไม่ทำอะไรแล้วทำให้พรรคมีปัญหา
ทั้งนี้ ที่ผ่านมายอมรับว่ามีความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง จะให้คนนอกมาเป็นนายกฯ ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ก็ทำให้พรรคเสียแนวทางการเมือง
เมื่อถามว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกมาระบุว่าไม่ได้สกัดดาวรุ่ง
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่อยากพูดถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เพราะตนไม่ใช่ดาวรุ่ง ดาวค้างฟ้า ดาวสภา และในชีวิตทางการเมืองของตน
จะไม่เอ่ยชื่อคนๆ นี้อีกเลย
“เมืองไทยเป็นพุทธ ใครซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตก็จะเจริญ แต่ถ้าใครปลิ้นปล้อน ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่อง บางคนเข้าพรรค
สัปดาห์ละ 3 วัน แล้วเรียกนั่งเป็นประธานเรียกกรรมการใดๆ มาประชุม พอเอาเข้าจริงกลับบอกว่า ไม่เคยเข้าพรรค
ถ้าผมเข้าใจผิด หรือใส่ร้าย ก็ขอให้ความวิบัติมาเกิดกับผม อย่าได้เจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าคนปลิ้นปล้อนและกล่าวเท็จต่อสื่อมวลชน
ก็ขอให้ความวิบัติเกิดกับคนๆ นั้น
อย่านึกว่าผมไม่รู้ว่า ใครโทรศัพท์ไปล็อบบี้ให้ใครมาใส่ร้ายผม แต่ที่ผมภูมิใจในชีวิตการเมืองไม่เคยมีเรื่องทุจริต ซึ่งตั้งใจว่า
อายุ 65 ปี จะเลิกเล่นการเมือง และในสมัยรสช.ยึดอำนาจ ทหารไปค้นบ้านผม พบเงิน 8 แสนบาท
แต่เมื่อคราวปฏิวัติ 19 ก.ย.49 มีนักการเมืองบางคน ถูกค้นบ้านและถูกยึดเงินไป 800 ล้านบาท คนเราเล่นการเมือง
ต้องรู้ตัวว่ามีเรื่องทุจริตหรือไม่ บางคนลอยหน้าลอยตาในสังคม แต่พอกลับบ้านเอามือก่ายหน้าผาก เพราะความตายมาถึงแล้ว
เพราะเดือนหน้า (มีนาคม) จะมีการฌาปนกิจศพนักการเมืองบางคน เพราะมีเรื่องทุจริต” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ปชป.เย้ยพท.แย่งเก้าอี้นายกฯสมมุติ จี้ “แม้ว” ฟันธง ไม่ใช่นั่งบนภูดูหมากัดกัน
ที่รัฐสภา นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึง กรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า
ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมา 1 ชุด โดยมีคณะทำงานรวม 33 คน
มีนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก เป็นประธาน
ทั้งนี้ อยากให้พรรคเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพ โดยระบุวันที่จะยื่นอภิปรายที่ชัดเจน เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างพูด
และตนเห็นด้วยที่จะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้นำในการอภิปราย แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องทำใจ เพราะพรรคเพื่อไทย
มีระบบนายใหญ่ นายหญิง มีระบบที่ผูกพันลึกซึ้ง แต่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นเพียงข้าทาส หรือบ่าวนาย จึงต้องทำใจ
อย่างไรก็ตาม แค่ตั้งนายกฯสมมุติ ก็ยังแย่งกันถึงขนาดนี้ หากตั้งนายกฯจริงจะแก่งแย่งกันขนาดไหน
จึงอยากให้นายใหญ่ฟันธงไปเลย อย่าทำตัวที่ชาวบ้านบอกว่านั่งอยู่บนภูดูหมากัดกัน
ที่มา:konthaiuk
****************************************************************************
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความชอบธรรม
ประชาชนต่างเอือมระอากับข่าวการเมืองขณะนี้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ แม้แต่ข่าวสารที่ออกจากรัฐบาลก็ยังเชื่อถือไม่ได้ เพราะคนของรัฐและสื่อของรัฐแทนที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาและเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ กลับให้ข่าวไม่ต่างกับการโฆษณาชวนเชื่อและปลุกระดม โดยเฉพาะคนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างนายกรัฐมนตรี
สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้จึงอึมครึมและสับสน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล แม้แต่การตั้งด่านสกัดและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง (คตม.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นกรรมการ เพื่อติดตามสถานการณ์และตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความไม่สงบหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แต่หากรัฐบาลและคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรียังออกมาสร้างข่าว ปล่อยข่าว หรือตอบโต้ข่าว ก็ยิ่งเป็นการยั่วยุให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมและต่อต้านรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือสร้างความชอบธรรมที่จะให้กองทัพทำการรัฐประหาร ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา
ดังนั้น หากคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมอย่างสันติวิธี รัฐบาลก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และต้องดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่กระทำผิด
แต่ไม่ใช่รัฐบาลเป็นฝ่ายสร้างข่าว กุข่าว หรือเข้าไปเป็นฝ่ายที่ขัดแย้งเสียเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจและกฎหมายเข้าปราบปรามประชาชน ทั้งที่สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรงเลย นอกจากประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่อย่างสันติเพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน ไม่เกี่ยวกับการกดดันคณะตุลาการในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเลย
แต่ที่มีปัญหาขณะนี้เพราะคนใกล้ชิดและคนรอบข้างนายกรัฐมนตรีและสื่อของรัฐที่ออกมาให้ข่าว สร้างข่าวอย่างต่อเนื่องในลักษณะให้เกิดความเกลียดชังคนเสื้อแดงและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลหากจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้จึงอึมครึมและสับสน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล แม้แต่การตั้งด่านสกัดและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง (คตม.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นกรรมการ เพื่อติดตามสถานการณ์และตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความไม่สงบหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แต่หากรัฐบาลและคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรียังออกมาสร้างข่าว ปล่อยข่าว หรือตอบโต้ข่าว ก็ยิ่งเป็นการยั่วยุให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมและต่อต้านรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือสร้างความชอบธรรมที่จะให้กองทัพทำการรัฐประหาร ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา
ดังนั้น หากคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมอย่างสันติวิธี รัฐบาลก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และต้องดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่กระทำผิด
แต่ไม่ใช่รัฐบาลเป็นฝ่ายสร้างข่าว กุข่าว หรือเข้าไปเป็นฝ่ายที่ขัดแย้งเสียเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจและกฎหมายเข้าปราบปรามประชาชน ทั้งที่สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรงเลย นอกจากประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่อย่างสันติเพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน ไม่เกี่ยวกับการกดดันคณะตุลาการในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเลย
แต่ที่มีปัญหาขณะนี้เพราะคนใกล้ชิดและคนรอบข้างนายกรัฐมนตรีและสื่อของรัฐที่ออกมาให้ข่าว สร้างข่าวอย่างต่อเนื่องในลักษณะให้เกิดความเกลียดชังคนเสื้อแดงและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลหากจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
"เสธ.แดง"จี้ผบ.ทบ.รับผิดชอบจีที 200 ลั่นต้องแจก"ของลับ"

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งยกเลิกการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ว่า ตนเคยดูการทดสอบใช้ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ยังสงสัยว่าจะตรวจได้หรือ เพราะเสาอากาศเหมือนเสาวิทยุบ้านหม้อ ตัวกระบอกเป็นพลาสติกหล่อ ไม่มีทรานซิสเตอร์เป็นกระป๋อง แล้วเอาการ์ดใบละสามบาทใส่เข้าไปเขย่าเพื่อส่งสัญญาณ ดูแล้วเหมือนกล่องเขย่าเซียมซี ตนเอากระสุนปืนและระเบิดวาง แต่ก็ตรวจไม่พบ
"มีอย่างที่ไหนใครเขาเดินหน้าลอยเฉิบๆ ตรวจระเบิด เอาหน้าเข้าไปหาระเบิดห่างแค่คืบเดียว เพราะปกติต้องใช้มีดแซะค่อยๆ หากว่าจะกู้ได้ค่อนข้างยาก แต่ที่ไหนได้จีที 200 เจ้าหน้าที่ต้องกินข้าวให้อิ่ม นอนให้หลับเดินเข้าหาระเบิด พอเอียงหน่อยถึงจะชี้ไปที่เป้าหมาย มันเป็นการตรวจระเบิดที่ปาหี่ ถามว่าราคา1.5 ล้านบาทอย่างนี้ต้องเอาของลับให้มันไป มีที่ไหนเครื่องกระป๋องอย่างนี้ราคาแพง เขย่ากันเหมือนกล่องเซียมซี สรุปแล้วใช้ไม่ได้" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวถึง พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ระบุเครื่องจีที 200 ไม่ใช่อุปกรณ์หลักในการตรวจวัตถุระเบิดว่า เดิมหมอพรทิพย์เป็นหมอตรวจพยาธิ บรรดาอาจารย์ศิริราช เคยออกมาด่า ต่อมาเป็นหมอผ่าศพ ก็แปลกอยู่แล้ว จากหมอพยาธิมาเป็นหมอผ่าศพ ซ้ำยังมาเป็นหมอตรวจระเบิดอีก แล้ววันนี้มาเป็นหมอตรวจบัตรเอทีเอ็ม.กล่องเซียมซี จีที 200 สงสัยมันจะบ้ากันใหญ่แล้วถ้าไปเชื่อหมอพรทิพย์
เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ตนเคยบอกมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่าเรื่องนี้สงสัยมีคอมมิชชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ไม่มีคนเชื่อ เพราะราคาเครื่องละไม่น่าถึงหนึ่งพันบาท แพงเกินความจริง งานนี้เป็นการต้มกันระดับชาติพวกปัญญาอ่อน ผู้บัญชาการทหารบก ต้องรับๆไปเต็มในฐานะผู้จัดซื้อจัดหา เมื่อมีการสอบสวนเกิดขึ้น ผู้บัญชาการทหารบก ก็รับไปเต็มๆ คนเป็นผู้บัญชาการทหารบกจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะแจกจ่ายไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใช้งาน คดีอย่างนี้ต้องมีคนไปแจ้งความแล้วสู้คดีกันอีก 10 ปีก็ยังไม่เสร็จยื้อไปอีกนาน พอดีกับผู้บัญชาการทหารบกเกษียณอายุราชการไปเสียก่อน
ที่มา:มติชนออนไลน์
** ชิงสุกก่อนห่าม! **
ยังอยู่ในโลกของ “หล่อหลักลอย” และ “อีแอบใหญ่” เพราะตราบใดที่ยังไม่เกิด “สงครามครั้งสุดท้าย” ก็ยังไม่รู้ว่าใครแพ้ ใครชนะ
และยังนับศพประชาชนที่เป็น “เหยื่อบริสุทธิ์” ไม่ได้
10 วันอันตรายนับแต่นี้ไป ต้องจับตาดูให้ดีว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ฆ่าประชาชน หรือสร้างสถานการณ์ให้ฆ่าประชาชน
เพราะกลุ่ม “อีแอบใหญ่” ยืนยันให้ “หล่อหลักลอย” ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” อย่างที่ “ปิศาจคาบไปป์” ปลุกผีคอมมิวนิสต์ว่า
พวก “เด็กไม่มีเส้น” เสื้อแดงวันนี้ไม่ใช่ชุมนุมแบบปรกติ แต่มีการจัดตั้งทั้งมวลชน แนวร่วม และกองกำลังมวลชนในจังหวัดต่างๆ
เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต ที่ถือว่าน่ากลัวมาก
เฉพาะในกรุงเทพฯชุมนุมแค่ 50,000 คน แต่ 40,000 คน กระจายไปตามจุดเป้าหมาย ดาวกระจายเหมือน “เด็กเส้น” เสื้อเหลือง
ปิดล้อมจุดสำคัญแห่งละ 10,000 คน 4 แห่ง ส่วนอีก 10,000 คน เป็นกองกลางสนับสนุน แค่นี้กรุงเทพฯก็ “ใบ้กิน” เป็นอัมพาตทั่วกรุงแล้ว
คิดเองเออเองเหมือน “นกรู้” เหมือนกรณีระเบิดขณะนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเพื่อให้ “หล่อหลักลอย” เลิก “เกาะโพเดียม” และ
เลิกกลัว “ก๊วนร่วมแก๊ง” จะหักหลัง แล้วหันมาใช้ “ของแข็ง” เล่นงาน “เด็กไม่มีเส้น”
เพราะแม้แต่ “สีเขียว” ยังถูกเปรียบเปรยเหมือนคาวบอยขี่ม้าพยศโชว์ไปวันๆ แค่ขี่ไม่ให้ตกจากหลังม้า ไม่ทำอะไรเลย
แต่ “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ได้บอกว่าทำไมจึงเป็น “เขียวดื้อ” ไม่เชื่อฟัง “อีแอบ”
“อีแอบ” และพวกพ้องจึงชูรักแร้เป็นเอกฉันท์ ถ้าจำเป็นก็ต้องลอยแพทั้ง “หล่อหลักลอย” และ “เขียวดื้อ” เพื่อหา “จ๊อกกี้” คนใหม่
มารับใช้เยี่ยง “ทาสในเรือนเบี้ย” แทน
อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ต้องล้าง “โดเรแม้ว” และพวกพ้องให้สะเด็ดน้ำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตามปรกติหรืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แม้แต่อำนาจ “นอกระบบ” เพื่อเอามาอ้างความชอบธรรมในการใช้ “ศาลเตี้ย”!
ใครที่ออกมายืนยัน นั่งยัน และนอนยันว่าไม่มี “วงจรอุบาทว์”
“เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” จะไม่ลากรถถังและปืนออกมาฆ่าประชาชน
จึงโกหกหน้าด้านๆ เพราะถ้ามั่นใจขนาดนั้น โดยเฉพาะ “หล่อหลักลอย” และ “บิ๊กป๊อก” ต้องทำ “ป้ายยักษ์” ทุกมุมเมืองเลยว่า
“จะไม่มีวงจรอุบาทว์เด็ดขาด” ถ้า “ใครทำก็เห่ย...ยิ่งกว่าเสือเอ๋ง”
ส่วนประชาชนที่รักประชาธิปไตยก็ต้องออกมาชุมนุมทุกสี่แยก หรือศูนย์กลางชุมชน หยุดงานและไม่ร่วมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “พวกเห่ย”
“สงครามครั้งสุดท้าย” ของ “อีแอบ” จะทำให้บ้านเมือง “เลือดนองแผ่นดิน” หรือไม่ จึงอยู่ที่พลังของประชาชนที่รัก “ประชาธิปไตย”
และ “ความยุติธรรม” อย่างแท้จริง
เพราะโลกใบเล็กนิดเดียว ถ้า “อีแอบ” จะ “ชิงสุกก่อนห่าม” อยู่อย่าง “ทรราช” ได้ก็ให้มันรู้ไป!
โดย:นายหัวดี
**********************************************************************
และยังนับศพประชาชนที่เป็น “เหยื่อบริสุทธิ์” ไม่ได้
10 วันอันตรายนับแต่นี้ไป ต้องจับตาดูให้ดีว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ฆ่าประชาชน หรือสร้างสถานการณ์ให้ฆ่าประชาชน
เพราะกลุ่ม “อีแอบใหญ่” ยืนยันให้ “หล่อหลักลอย” ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” อย่างที่ “ปิศาจคาบไปป์” ปลุกผีคอมมิวนิสต์ว่า
พวก “เด็กไม่มีเส้น” เสื้อแดงวันนี้ไม่ใช่ชุมนุมแบบปรกติ แต่มีการจัดตั้งทั้งมวลชน แนวร่วม และกองกำลังมวลชนในจังหวัดต่างๆ
เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต ที่ถือว่าน่ากลัวมาก
เฉพาะในกรุงเทพฯชุมนุมแค่ 50,000 คน แต่ 40,000 คน กระจายไปตามจุดเป้าหมาย ดาวกระจายเหมือน “เด็กเส้น” เสื้อเหลือง
ปิดล้อมจุดสำคัญแห่งละ 10,000 คน 4 แห่ง ส่วนอีก 10,000 คน เป็นกองกลางสนับสนุน แค่นี้กรุงเทพฯก็ “ใบ้กิน” เป็นอัมพาตทั่วกรุงแล้ว
คิดเองเออเองเหมือน “นกรู้” เหมือนกรณีระเบิดขณะนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเพื่อให้ “หล่อหลักลอย” เลิก “เกาะโพเดียม” และ
เลิกกลัว “ก๊วนร่วมแก๊ง” จะหักหลัง แล้วหันมาใช้ “ของแข็ง” เล่นงาน “เด็กไม่มีเส้น”
เพราะแม้แต่ “สีเขียว” ยังถูกเปรียบเปรยเหมือนคาวบอยขี่ม้าพยศโชว์ไปวันๆ แค่ขี่ไม่ให้ตกจากหลังม้า ไม่ทำอะไรเลย
แต่ “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ได้บอกว่าทำไมจึงเป็น “เขียวดื้อ” ไม่เชื่อฟัง “อีแอบ”
“อีแอบ” และพวกพ้องจึงชูรักแร้เป็นเอกฉันท์ ถ้าจำเป็นก็ต้องลอยแพทั้ง “หล่อหลักลอย” และ “เขียวดื้อ” เพื่อหา “จ๊อกกี้” คนใหม่
มารับใช้เยี่ยง “ทาสในเรือนเบี้ย” แทน
อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ต้องล้าง “โดเรแม้ว” และพวกพ้องให้สะเด็ดน้ำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตามปรกติหรืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แม้แต่อำนาจ “นอกระบบ” เพื่อเอามาอ้างความชอบธรรมในการใช้ “ศาลเตี้ย”!
ใครที่ออกมายืนยัน นั่งยัน และนอนยันว่าไม่มี “วงจรอุบาทว์”
“เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” จะไม่ลากรถถังและปืนออกมาฆ่าประชาชน
จึงโกหกหน้าด้านๆ เพราะถ้ามั่นใจขนาดนั้น โดยเฉพาะ “หล่อหลักลอย” และ “บิ๊กป๊อก” ต้องทำ “ป้ายยักษ์” ทุกมุมเมืองเลยว่า
“จะไม่มีวงจรอุบาทว์เด็ดขาด” ถ้า “ใครทำก็เห่ย...ยิ่งกว่าเสือเอ๋ง”
ส่วนประชาชนที่รักประชาธิปไตยก็ต้องออกมาชุมนุมทุกสี่แยก หรือศูนย์กลางชุมชน หยุดงานและไม่ร่วมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “พวกเห่ย”
“สงครามครั้งสุดท้าย” ของ “อีแอบ” จะทำให้บ้านเมือง “เลือดนองแผ่นดิน” หรือไม่ จึงอยู่ที่พลังของประชาชนที่รัก “ประชาธิปไตย”
และ “ความยุติธรรม” อย่างแท้จริง
เพราะโลกใบเล็กนิดเดียว ถ้า “อีแอบ” จะ “ชิงสุกก่อนห่าม” อยู่อย่าง “ทรราช” ได้ก็ให้มันรู้ไป!
โดย:นายหัวดี
**********************************************************************
** ใครเหนือกว่ากัน !!!! **
ช่วงนี้ใครเป็นคอการเมืองก็คงนั่งแทบไม่ติดพื้น เพราะต้องออกแรงลุ้นแรงเชียร์ ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน หรือ
เอาใจช่วย “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าจะเอาตัวรอดจากขบวนการโค่นล้มรัฐบาลได้หรือไม่
แต่ถ้าให้คะแนนกันช่วงนี้ ต้องบอกได้ว่าการออกมา เปิดเผยข้อมูลของ แกนนำ นปช. ดูจะมีหลักฐานและน้ำหนักทำให้คนทั่วไป
เชื่อถือได้มากกว่า
คงเป็นเพราะ “วอร์รูม” ของนายใหญ่ มีทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการที่เคยได้ดิบได้ดี ในช่วง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็นใหญ่เป็นโต
ทางการเมือง แถมยังได้บุคคล หลากหลายอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดวางยุทธศาสตร์ ประสิทธิภาพจึงไม่ธรรมดา เอาเป็นว่า
บุคลากรที่เข้ามาช่วยงาน อยู่ในหน่วยงานหลักที่ดูแลงานทางด้านความมั่นคง เอ่ยชื่อออกมาหลายคนคงนึกไม่ถึง
อย่างล่าสุดที่ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกมาตอบโต้ข้อหา “สู้แล้วรวย” และโชว์หลักฐานซึ่งเกี่ยวพันกับเงินบริจาคของ
“พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
แม้ว่าล่าสุดจะมีคำชี้แจงของนักธุรกิจที่ถูกพาดพิงว่า เป็นเงินที่ใช้ทำบุญร่วมกัน พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่าเส้นทางเงินไปอยู่ตรงไหน
ก็ต้องถือว่าประสิทธิภาพของ นปช. ไม่ธรรมดา ขนาดไม่ได้อยู่ในฝ่ายคุมกลไกอำนาจรัฐ ยังค้นหาหลักฐานสำคัญนำมาดิสเครดิต
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้
ขณะที่ “วอร์รูม” ของพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ผมติดตามความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นการตอบโต้ หรือจุดประเด็นกล่าวหา
ฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่ล้วนแต่ เต็มไปด้วยโวหารและฟองน้ำลาย ไม่มีหลักฐานอะไรที่พอจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย
ก็เห็นจะมีแต่เรื่อง นปช. บางคนใช้บริการของการบินไทย โดยมีข้อครหาว่าไม่ยอมซื้อตั๋วเครื่องบิน แต่เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนฟ้องร้อง
กันอยู่ในศาล
หรืออย่างล่าสุดที่มีการที่สมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาลคนหนึ่งออกมาปูดข่าวว่า มีนักธุรกิจหรือนักการเมืองสนับสนุนทางการเงิน นปช.
ประกอบด้วย 1 “ส” ซึ่งเคยมีฐานะเป็นอดีตรัฐมนตรี 2 “พ” อดีตรัฐมนตรีและนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 “ป” นักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง
4 “ส” เจ้าของห้างสรรพสินค้า และ 5 “ว” ทนายความ คอยทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
พออ่านข่าวทีแรกหลายคนคงรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์อธิบายเส้นทางการโอนเงินด้วยวิธีการหรือรูปแบบต่าง ๆ
แต่พอซักไปซักมา ก็ยังไม่มีหลักฐานอะไร ที่พอจะเชื่อมโยง ให้ได้เห็นชัดว่า เกี่ยวข้องกับใครบ้าง ซึ่งกำลังอยู่ขั้นตอนการตรวจสอบ
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่
แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” หรือการให้เงินสนับสนุนกับบรรดาแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ผมคิดว่า “พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร”
อดีต ผบ.สส. ดูจะพูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากที่สุด กับการออกมาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เงินเป็นและเป็นคนขี้เหนียว
เนื่องจากข้อมูลที่ผมเคยได้รับ เงินสนับสนุนของบรรดานักเคลื่อนไหวซึ่งอยู่ในเครือข่ายของนายใหญ่ ไม่ได้โอนมาจากต่างประเทศ
แต่ขอให้บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองที่สนิทชิดเชื้อ ช่วยกันระดมทุนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามามีอำนาจฝ่ายบริหาร ก็จะตอบแทนบุญคุณ ด้วยการมอบเก้าอี้รัฐมนตรีหรือ
ตำแหน่งทางการเมืองให้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะมีหน่วยงานไหนหาหลักฐานที่นำไปสู่ต้นทาง “ท่อน้ำเลี้ยง” ได้
เผลอ ๆ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเจียนอยู่เจียนไป ระวังจะมีเจ้าหน้าที่รัฐสวมเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวไล่ฝ่ายบริหาร
และ จะเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้มีอำนาจแต่งตั้งที่ยึดคติ “เลือกเงินก็ไม่ได้ใจ”.
"เขื่อนขันธ์" Dailynews
***************************************************************************
เอาใจช่วย “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าจะเอาตัวรอดจากขบวนการโค่นล้มรัฐบาลได้หรือไม่
แต่ถ้าให้คะแนนกันช่วงนี้ ต้องบอกได้ว่าการออกมา เปิดเผยข้อมูลของ แกนนำ นปช. ดูจะมีหลักฐานและน้ำหนักทำให้คนทั่วไป
เชื่อถือได้มากกว่า
คงเป็นเพราะ “วอร์รูม” ของนายใหญ่ มีทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการที่เคยได้ดิบได้ดี ในช่วง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็นใหญ่เป็นโต
ทางการเมือง แถมยังได้บุคคล หลากหลายอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดวางยุทธศาสตร์ ประสิทธิภาพจึงไม่ธรรมดา เอาเป็นว่า
บุคลากรที่เข้ามาช่วยงาน อยู่ในหน่วยงานหลักที่ดูแลงานทางด้านความมั่นคง เอ่ยชื่อออกมาหลายคนคงนึกไม่ถึง
อย่างล่าสุดที่ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกมาตอบโต้ข้อหา “สู้แล้วรวย” และโชว์หลักฐานซึ่งเกี่ยวพันกับเงินบริจาคของ
“พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
แม้ว่าล่าสุดจะมีคำชี้แจงของนักธุรกิจที่ถูกพาดพิงว่า เป็นเงินที่ใช้ทำบุญร่วมกัน พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่าเส้นทางเงินไปอยู่ตรงไหน
ก็ต้องถือว่าประสิทธิภาพของ นปช. ไม่ธรรมดา ขนาดไม่ได้อยู่ในฝ่ายคุมกลไกอำนาจรัฐ ยังค้นหาหลักฐานสำคัญนำมาดิสเครดิต
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้
ขณะที่ “วอร์รูม” ของพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ผมติดตามความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นการตอบโต้ หรือจุดประเด็นกล่าวหา
ฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่ล้วนแต่ เต็มไปด้วยโวหารและฟองน้ำลาย ไม่มีหลักฐานอะไรที่พอจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย
ก็เห็นจะมีแต่เรื่อง นปช. บางคนใช้บริการของการบินไทย โดยมีข้อครหาว่าไม่ยอมซื้อตั๋วเครื่องบิน แต่เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนฟ้องร้อง
กันอยู่ในศาล
หรืออย่างล่าสุดที่มีการที่สมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาลคนหนึ่งออกมาปูดข่าวว่า มีนักธุรกิจหรือนักการเมืองสนับสนุนทางการเงิน นปช.
ประกอบด้วย 1 “ส” ซึ่งเคยมีฐานะเป็นอดีตรัฐมนตรี 2 “พ” อดีตรัฐมนตรีและนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 “ป” นักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง
4 “ส” เจ้าของห้างสรรพสินค้า และ 5 “ว” ทนายความ คอยทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
พออ่านข่าวทีแรกหลายคนคงรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์อธิบายเส้นทางการโอนเงินด้วยวิธีการหรือรูปแบบต่าง ๆ
แต่พอซักไปซักมา ก็ยังไม่มีหลักฐานอะไร ที่พอจะเชื่อมโยง ให้ได้เห็นชัดว่า เกี่ยวข้องกับใครบ้าง ซึ่งกำลังอยู่ขั้นตอนการตรวจสอบ
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่
แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” หรือการให้เงินสนับสนุนกับบรรดาแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ผมคิดว่า “พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร”
อดีต ผบ.สส. ดูจะพูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากที่สุด กับการออกมาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เงินเป็นและเป็นคนขี้เหนียว
เนื่องจากข้อมูลที่ผมเคยได้รับ เงินสนับสนุนของบรรดานักเคลื่อนไหวซึ่งอยู่ในเครือข่ายของนายใหญ่ ไม่ได้โอนมาจากต่างประเทศ
แต่ขอให้บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองที่สนิทชิดเชื้อ ช่วยกันระดมทุนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามามีอำนาจฝ่ายบริหาร ก็จะตอบแทนบุญคุณ ด้วยการมอบเก้าอี้รัฐมนตรีหรือ
ตำแหน่งทางการเมืองให้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะมีหน่วยงานไหนหาหลักฐานที่นำไปสู่ต้นทาง “ท่อน้ำเลี้ยง” ได้
เผลอ ๆ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเจียนอยู่เจียนไป ระวังจะมีเจ้าหน้าที่รัฐสวมเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวไล่ฝ่ายบริหาร
และ จะเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้มีอำนาจแต่งตั้งที่ยึดคติ “เลือกเงินก็ไม่ได้ใจ”.
"เขื่อนขันธ์" Dailynews
***************************************************************************
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ฝ่ายมั่นคงเต้น!! สั่งสอบเอกสารลับจัดการ"ม็อบแดง"รั่ว "จตุพร"แฉจัดจนท.ป่าไม้6พันนายหวังใช้กำลังสกัด
"จตุพร" โชว์เอกสารลับ 37 หน้า อ้างฝ่ายความมั่นคงเตรียมจัดการม็อบแดง แฉ "สุวิทย์ " สั่งจัดกำลังจนท.ป่าไม้ 6 พันนายเข้ากรุงเทพฯเพื่อสกัดม็อบ รัฐบาลเต้นสั่งสอบข้อมูลรั่วถึงแกนนำ นปช.
จตุพรโชว์แผน"มั่นคง" จัดการม็อบ
ที่ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน อ่านเอกสารจากเพาเวอร์พ้อยท์จำนวน 37 หน้า ว่า เอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมฝ่ายความมั่นคง ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ 38 จังหวัดเกณฑ์ประชาชนเพื่อไว้ชนกับคนเสื้อแดง
"ที่ประชุมหน่วยงานความมั่นคงตั้งสมมติฐานว่าให้จับแกนนำ 1 คนเพื่อลดผู้ชุมนุม 1 พันคน โดยเตรียมจับกุมแกนนำตามต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยจับกุมแกนนำอย่างพวกผมในตอนท้าย หากพวกผมโดนจับก่อนจะเกิดจลาจลได้ อีกทั้งการที่รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลศิริราช และหากมีการกระทำใดๆ เกิดขึ้น ขอให้หน่วยนาวิกโยธินที่อารักขาในหลวงอยู่อย่าไว้ใจกองทัพหน่วยอื่นอย่างเด็ดขาด" นายจตุพรกล่าว
แฉทส.สั่งจนท.ป่าไม้สกัดแดง
นายจตุพร กล่าวว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ จะแถลงข่าวโดยจะนำเอกสารซึ่งลงนามโดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) สั่งการให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 6,000 นาย พร้อมอาวุธเข้ากรุงเทพฯในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นไปตามแผนสกัดเสื้อแดง
นายจตุพรกล่าวว่านอกจากนี้จะเปิดเผยเอกสารที่คณะ 11 สั่งจ่ายเช็คให้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นการเพิ่มเติม และเมื่อย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวก่อนแต่งตั้งอดีตผบ.ตร.คนหนึ่ง พบว่ามีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งบริจาคเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษมากกว่า 100 ล้านบาท ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกัน หากมูลนิธิรัฐบุรุษยืนยันในความโปร่งใส จะต้องออกมาแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือไม่ก็ให้ยื่นฟ้องร้องจะได้ใช้อำนาจศาลเรียกดูเอกสาร ทั้งนี้จะยังไม่เปิดเผยเอกสารดังกล่าวแต่ยืนยันว่ามีแน่นอน โดยนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเป็นคนละกรณีกับคณะ 11
ฝ่ายความมั่นคงสอบเอกสารรั่ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสาร 37 หน้า ที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงนำมาแถลง มีเนื้อหาประกอบด้วย 1.ขั้นตอนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ 2.แนวทางการใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน 3.แนวคิดการรักษาความสงบในต่างจังหวัดและปริมณฑล ซึ่งประเมินว่าผู้ชุมนุมใน 38 จังหวัดเพ่งเล็ง ประมาณ 2,000 คน(+)ต่อจังหวัด ส่วนจังหวัดอื่นๆ ประมาณ 200 คน(+) ใน 38 จังหวัด แยกเป็นอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) จำนวน 9 จังหวัด ทภ.2 จำนวน 17 จังหวัด ทภ.3 จำนวน 10 จังหวัด และทภ.4 จำนวน 2 จังหวัด
4.แนวคิดในการปฏิบัติ ใช้ตำรวจคลี่คลายก่อน ทหารสนับสนุนตามสถานการณ์ ใช้กำลัง 3-5 กองร้อย/จังหวัด มุ่งเน้น ป้องกันการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มมวลชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อวินาศกรรม ป้องกันสถานที่ราชการสำคัญๆ 5.แผนการรักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ คาดผู้ชุมนุมประมาณ 100,000 คน(+) กำหนดสถานที่เพิ่มระดับรักษาความปลอดภัย และกำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ชั้น 6.การจัดกำลังทหารในกรุงเทพ ทภ.1/กอ.รมน.ภาค 1 กำลัง 102 ร้อย รส.มีอุปกรณ์ 53 ร้อย รส. พื้นที่วางกำลัง 7 พื้นที่จุดตรวจเข้มแข็ง 12 จุด
ในเอกสารระบุตอนหนึ่งว่า "เจ้าหน้าที่จะใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง โดยทหารจะไม่แก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงกำลังตรวจสอบว่า เอกสารลับ 37 หน้าดังกล่าว หลุดออกมาถึงมือแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้อย่างไร ใครเป็นคนส่งให้
ที่มา:มติชนออนไลน์
จตุพรโชว์แผน"มั่นคง" จัดการม็อบ
ที่ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน อ่านเอกสารจากเพาเวอร์พ้อยท์จำนวน 37 หน้า ว่า เอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมฝ่ายความมั่นคง ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ 38 จังหวัดเกณฑ์ประชาชนเพื่อไว้ชนกับคนเสื้อแดง
"ที่ประชุมหน่วยงานความมั่นคงตั้งสมมติฐานว่าให้จับแกนนำ 1 คนเพื่อลดผู้ชุมนุม 1 พันคน โดยเตรียมจับกุมแกนนำตามต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยจับกุมแกนนำอย่างพวกผมในตอนท้าย หากพวกผมโดนจับก่อนจะเกิดจลาจลได้ อีกทั้งการที่รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลศิริราช และหากมีการกระทำใดๆ เกิดขึ้น ขอให้หน่วยนาวิกโยธินที่อารักขาในหลวงอยู่อย่าไว้ใจกองทัพหน่วยอื่นอย่างเด็ดขาด" นายจตุพรกล่าว
แฉทส.สั่งจนท.ป่าไม้สกัดแดง
นายจตุพร กล่าวว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ จะแถลงข่าวโดยจะนำเอกสารซึ่งลงนามโดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) สั่งการให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 6,000 นาย พร้อมอาวุธเข้ากรุงเทพฯในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นไปตามแผนสกัดเสื้อแดง
นายจตุพรกล่าวว่านอกจากนี้จะเปิดเผยเอกสารที่คณะ 11 สั่งจ่ายเช็คให้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นการเพิ่มเติม และเมื่อย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวก่อนแต่งตั้งอดีตผบ.ตร.คนหนึ่ง พบว่ามีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งบริจาคเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษมากกว่า 100 ล้านบาท ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกัน หากมูลนิธิรัฐบุรุษยืนยันในความโปร่งใส จะต้องออกมาแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือไม่ก็ให้ยื่นฟ้องร้องจะได้ใช้อำนาจศาลเรียกดูเอกสาร ทั้งนี้จะยังไม่เปิดเผยเอกสารดังกล่าวแต่ยืนยันว่ามีแน่นอน โดยนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเป็นคนละกรณีกับคณะ 11
ฝ่ายความมั่นคงสอบเอกสารรั่ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสาร 37 หน้า ที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงนำมาแถลง มีเนื้อหาประกอบด้วย 1.ขั้นตอนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ 2.แนวทางการใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน 3.แนวคิดการรักษาความสงบในต่างจังหวัดและปริมณฑล ซึ่งประเมินว่าผู้ชุมนุมใน 38 จังหวัดเพ่งเล็ง ประมาณ 2,000 คน(+)ต่อจังหวัด ส่วนจังหวัดอื่นๆ ประมาณ 200 คน(+) ใน 38 จังหวัด แยกเป็นอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) จำนวน 9 จังหวัด ทภ.2 จำนวน 17 จังหวัด ทภ.3 จำนวน 10 จังหวัด และทภ.4 จำนวน 2 จังหวัด
4.แนวคิดในการปฏิบัติ ใช้ตำรวจคลี่คลายก่อน ทหารสนับสนุนตามสถานการณ์ ใช้กำลัง 3-5 กองร้อย/จังหวัด มุ่งเน้น ป้องกันการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มมวลชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อวินาศกรรม ป้องกันสถานที่ราชการสำคัญๆ 5.แผนการรักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ คาดผู้ชุมนุมประมาณ 100,000 คน(+) กำหนดสถานที่เพิ่มระดับรักษาความปลอดภัย และกำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ชั้น 6.การจัดกำลังทหารในกรุงเทพ ทภ.1/กอ.รมน.ภาค 1 กำลัง 102 ร้อย รส.มีอุปกรณ์ 53 ร้อย รส. พื้นที่วางกำลัง 7 พื้นที่จุดตรวจเข้มแข็ง 12 จุด
ในเอกสารระบุตอนหนึ่งว่า "เจ้าหน้าที่จะใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง โดยทหารจะไม่แก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงกำลังตรวจสอบว่า เอกสารลับ 37 หน้าดังกล่าว หลุดออกมาถึงมือแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้อย่างไร ใครเป็นคนส่งให้
ที่มา:มติชนออนไลน์
อำมาตย์น้อย!
ต้องยกให้ “ดร.ตุ๊ด” เจ้าของฉายา “”อำมาตย์น้อย” ว่า แค่ปีเศษๆก็สามารถเรียนรู้และใช้วิทยายุทธ์ “น้ำเน่า” ไม่แพ้ “สัตว์การเมือง” รุ่นลายครามเลย
ยิ่งมาดของ “นักวิชาการ” และการวางตัวที่ละม้ายคล้ายคลึง “หล่อหลักลอย” ทำให้คนทั่วไปให้ความเชื่อถือในคำพูดหรือความเห็นต่างๆที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศ เพราะมีดีกรีเป็นดอกเตอร์ (ไม่ใช่ดีโอจี) ด้านรัฐศาสตร์จริงๆ ทั้งในเว็บไซต์ยังระบุว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทหาร
แต่เป็นธรรมดาของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ที่แต่ละวันยังวนเวียนอยู่กับ “กิน ถ่าย และนอน” ที่เป็น “กิเลส-ตัณหา” ร่างกายและจิตใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงในตามกาลเวลาตามสภาวะแวดล้อม
วันนี้จึงอาจไม่เหมือนในอดีตและอนาคต
อย่าง “ดร.ตุ๊ด” ที่วันนี้มีคนมากมายที่อาจมีทั้งคนที่รู้สึกทึ่ง รู้สึกประทับใจ และรู้สึกเกลียดชัง
คำตอบง่ายๆที่อาจมีอีกหลายร้อยหลายพันคำตอบก็คือ เพราะวันนี้ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่นักวิชาการ แต่อยู่ในร่างของ “สัตว์การเมือง” ทั้งยังมีตำแหน่งถึง “กระบอกเสียงรัฐบาล”
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม “ดร.ตุ๊ด” จึงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว หรือชายผู้มากบารมีที่ใส่เสื้อทรงกระบอก ได้สนุกไม่แพ้นิทานจักรๆวงศ์ๆ
เพราะนิทานไม่จำเป็นต้องเป็น “ความจริง” หรือจะเสกสรรค์ปั้นแต่งให้เป็นเรื่องราวของนรกหรือสวรรค์ จะให้ “โจร” เป็น “คนดี” หรือจะให้ “คนดี” เป็น “โจร” อย่างไรก็ได้
ยิ่งใน “บ่อน้ำเน่า” ของ “สัตว์การเมือง” ต้องแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ โดยไม่มีเส้นแบ่งความดีกับความชั่ว มีแต่ “พวกกู ของกู”
“นักวิชาการ” ที่เข้ามาจึงกลายร่างเป็น “นักวิชาเกิน” ที่ไม่ใช่จะลืมอดีต “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” เท่านั้น บางคนยอม “”ขายตัว ขายวิญญาณ” เพียงเพื่อให้ได้เศษกระดูกจาก “สัตว์การเมือง”
แต่ “ดร.ตุ๊ด” ที่ทั้งหัวใจและร่างกายอุทิศให้กับ “ก๊วนสะตอ” เต็มตัว ทั้งยังเป็นเด็กสะตอจาก “หาดใหญ่” และมีศักดิ์เป็นถึง “หลานอำมาตย์” ตัวจริงเสียงจริงอีก
ถนนทุกสายที่จะเดินจึงฝันไปไกลถึงตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุด” เช่นเดียวกับ “หล่อหลักลอย”
ที่สำคัญ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่แค่รักษาความ “สด” ไว้อย่างเหนียวแน่น ยังวางแผนที่จะโชว์กึ๋นเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมี “พี่เลี้ยง” คอยประกบและชี้นำมาโดยตลอด
นิทาน “เด็กเสื้อแดงกับสุนัขอำมาตย์” จึงสนุกสุดพิสดาร!
คอลัมน์ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี
**********************************************************************
ยิ่งมาดของ “นักวิชาการ” และการวางตัวที่ละม้ายคล้ายคลึง “หล่อหลักลอย” ทำให้คนทั่วไปให้ความเชื่อถือในคำพูดหรือความเห็นต่างๆที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศ เพราะมีดีกรีเป็นดอกเตอร์ (ไม่ใช่ดีโอจี) ด้านรัฐศาสตร์จริงๆ ทั้งในเว็บไซต์ยังระบุว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทหาร
แต่เป็นธรรมดาของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ที่แต่ละวันยังวนเวียนอยู่กับ “กิน ถ่าย และนอน” ที่เป็น “กิเลส-ตัณหา” ร่างกายและจิตใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงในตามกาลเวลาตามสภาวะแวดล้อม
วันนี้จึงอาจไม่เหมือนในอดีตและอนาคต
อย่าง “ดร.ตุ๊ด” ที่วันนี้มีคนมากมายที่อาจมีทั้งคนที่รู้สึกทึ่ง รู้สึกประทับใจ และรู้สึกเกลียดชัง
คำตอบง่ายๆที่อาจมีอีกหลายร้อยหลายพันคำตอบก็คือ เพราะวันนี้ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่นักวิชาการ แต่อยู่ในร่างของ “สัตว์การเมือง” ทั้งยังมีตำแหน่งถึง “กระบอกเสียงรัฐบาล”
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม “ดร.ตุ๊ด” จึงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว หรือชายผู้มากบารมีที่ใส่เสื้อทรงกระบอก ได้สนุกไม่แพ้นิทานจักรๆวงศ์ๆ
เพราะนิทานไม่จำเป็นต้องเป็น “ความจริง” หรือจะเสกสรรค์ปั้นแต่งให้เป็นเรื่องราวของนรกหรือสวรรค์ จะให้ “โจร” เป็น “คนดี” หรือจะให้ “คนดี” เป็น “โจร” อย่างไรก็ได้
ยิ่งใน “บ่อน้ำเน่า” ของ “สัตว์การเมือง” ต้องแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ โดยไม่มีเส้นแบ่งความดีกับความชั่ว มีแต่ “พวกกู ของกู”
“นักวิชาการ” ที่เข้ามาจึงกลายร่างเป็น “นักวิชาเกิน” ที่ไม่ใช่จะลืมอดีต “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” เท่านั้น บางคนยอม “”ขายตัว ขายวิญญาณ” เพียงเพื่อให้ได้เศษกระดูกจาก “สัตว์การเมือง”
แต่ “ดร.ตุ๊ด” ที่ทั้งหัวใจและร่างกายอุทิศให้กับ “ก๊วนสะตอ” เต็มตัว ทั้งยังเป็นเด็กสะตอจาก “หาดใหญ่” และมีศักดิ์เป็นถึง “หลานอำมาตย์” ตัวจริงเสียงจริงอีก
ถนนทุกสายที่จะเดินจึงฝันไปไกลถึงตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุด” เช่นเดียวกับ “หล่อหลักลอย”
ที่สำคัญ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่แค่รักษาความ “สด” ไว้อย่างเหนียวแน่น ยังวางแผนที่จะโชว์กึ๋นเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมี “พี่เลี้ยง” คอยประกบและชี้นำมาโดยตลอด
นิทาน “เด็กเสื้อแดงกับสุนัขอำมาตย์” จึงสนุกสุดพิสดาร!
คอลัมน์ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี
**********************************************************************
"ตู่"แฉเอกสารลับฝ่ายความมั่นคงรบ.วางแผนจับแกนนำนปช.สังหารคนเสื้อแดง
นายจตุพร พรหมพันธ์ สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ว่า ได้รับการติดต่อจากทหารว่า ฝ่ายความมั่นคงได้ทำเอกสารลับความยาว 37 หน้า เป็นแผนของรัฐบาลที่เตรียมใช้กำลังอาวุธสังหารโหดฆ่าประชาชน เหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และ เหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อเดือนเมษายน โดยเอกสารชิ้นนี้เกิดขึ้นขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมในศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเมื่อวันที่ 12 กพ. 53 และอีกครั้งวันที่ 15 กุมภาพันธ์
สาระสำคัญของเอกสาร ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่กทม.ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงวันที่ 16 ก.พ. โดยตอนหนึ่งระบุว่า นอกจากจะมีการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ตามบ้านพักต่างๆ จะเห็นว่าเป็นการสอดรับกับสถานการณ์ความรุนแรง ที่เกิดขึ้น เช่น รัฐบาลออกข่าวมีการตามประกบขบวนรถนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง แต่กลับไม่มีจับกุมตัวมาดำเนินการ หรือ การเกิดเหตุระเบิดเอ็ม79 และ ซีโฟร์ก็เป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามแผนรับมือโดยเตรียมการใส่ร้ายเสื้อแดง ขณะที่กระแสนิยมของนายอภิสิทธิ์ก็พุ่งขึ้นเป็น 80%
นายจตุพร ได้อ่านเอกสาร 37 หน้าโดยระบุ ต่อว่า ในแผนรักษาความสงบเรียบร้อยพื้นที่กทม.ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 17 กพ.เป็นต้นไปโดยให้เพิ่มระดับมาตรการ รปภ.โดยกำหนดพื้นที่รปภ.เป็น 3 ชั้นโดยเฉพาะพื้นที่ชั้นใน ประกอบด้วยรพ.ศิริราช องค์กรอิสระ แหล่งเศรษฐกิจ เขตพระราชทานฐาน ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา กกต. ปปช. ศาลรธน. บ้านพักประธานองคมนตรี หรือ พื้นที่บริเวณชุมนุม เห็นได้ชัดว่า การที่มีระเบิดเอ็ม79 ในช่วงนี้ถือเป็นการซ้อมยิงเล็งพิกัดจากสนามม้านางเลิ้งมาที่ สะพานชมัยมรุเชษฐ์ เป็นพื้นที่ที่เสื้อแดงเตรียมชุมนุมใหญ่ ทั้งหมดจึงเป็นการเซทอัพ เขียนแผนมารองรับเพื่อจัดการกับเสื้อแดง
โดยเฉพาะแผนรักษาความปลอดภัยที่รพ.ศิริราชนั้น เมื่อรัฐบาลได้ยกระดับรักษาความปลอดภัยที่ศิริราชแล้ว จากนี้ถ้ายังมีเหตุการณ์อะไรอีก รัฐบาลก็จะกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงยิงเอ็ม79 ใส่รพ.ศิริราชเพื้อนำไปสู่การนำจับแกนนำ หลังจากนั้น ก็จะมีการจัดการกับแกนนำเสื้อแดงในต่างจังหวัดโดยหากจัดการได้1 คนก็เชื่อว่าจะลดมวลชนได้ 1 พันคน ตามด้วย การออกซีดีและหนังสือเสื้อแดงล้มเจ้าซึ่งทำโดยกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการแกนนำเสื้อแดงในข้อหาไม่จงรักภักดี
สำหรับแผนการล้อมปราบคนเสื้อแดงเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้น คือ ในหมวดการจัดกำลังควบคุมการปฏิบัติการ(น.27) โดยหลักให้ ทภ.1 กอ.รมน.ภาค 1 มีกำลัง 102 กองร้อย มีอุปกรณ์ 53 กองร้อย และ ไม่มีอุปกรณ์ 49 กองร้อย ที่น่าสนใจ คือ ในส่วนของกองหนุนที่จะช่วยในกทม.จำนวน 38 กองร้อยนั้น นำโดยพล.ร.2.รอ. หรือ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี จำนวน 12 กองร้อย และ พล.ร.9 จากจ.กาญจนบุรี10 กองร้อย ซึ่งทั้งสองหน่วยมักเป็นหน่วยปราบในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬและนำไปใช้ปราบประชาชนในสงกรานต์เลือด ทั้งนี้ ในเอกสารดูเผินๆว่าไม่มีอะไรเพราะเขียนว่า "ไม่มีอุปกรณ์" นั้นความจริงแล้ว ในทางทหาร ถือว่า คำนี้เป็นการติดอาวุธเอ็ม16 เพื่อนำมาล้อมปราบคนเสื้อแดง
"การสร้างสถานการณ์จะเกิดขึ้นทุกที่ ทั้งในรพ.ศิริราช เขตพระราชฐาน ทำเนียบ โดยใช้หน่วยที่เขาฝึกมา วันนี้ฝ่ายรัฐบาลเขามีหมด ทั้งคนที่เขาเตรียมการ ยังมีบัตรนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ดังนั้นขอให้พวกเราช่วยเป็นหูเป็นตา จากนี้หากเกิดเหตุที่ศิริราช ขอให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำโดยรัฐบาล"
ที่มา:มติชนออนไลน์
สาระสำคัญของเอกสาร ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่กทม.ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงวันที่ 16 ก.พ. โดยตอนหนึ่งระบุว่า นอกจากจะมีการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ตามบ้านพักต่างๆ จะเห็นว่าเป็นการสอดรับกับสถานการณ์ความรุนแรง ที่เกิดขึ้น เช่น รัฐบาลออกข่าวมีการตามประกบขบวนรถนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง แต่กลับไม่มีจับกุมตัวมาดำเนินการ หรือ การเกิดเหตุระเบิดเอ็ม79 และ ซีโฟร์ก็เป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามแผนรับมือโดยเตรียมการใส่ร้ายเสื้อแดง ขณะที่กระแสนิยมของนายอภิสิทธิ์ก็พุ่งขึ้นเป็น 80%
นายจตุพร ได้อ่านเอกสาร 37 หน้าโดยระบุ ต่อว่า ในแผนรักษาความสงบเรียบร้อยพื้นที่กทม.ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 17 กพ.เป็นต้นไปโดยให้เพิ่มระดับมาตรการ รปภ.โดยกำหนดพื้นที่รปภ.เป็น 3 ชั้นโดยเฉพาะพื้นที่ชั้นใน ประกอบด้วยรพ.ศิริราช องค์กรอิสระ แหล่งเศรษฐกิจ เขตพระราชทานฐาน ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา กกต. ปปช. ศาลรธน. บ้านพักประธานองคมนตรี หรือ พื้นที่บริเวณชุมนุม เห็นได้ชัดว่า การที่มีระเบิดเอ็ม79 ในช่วงนี้ถือเป็นการซ้อมยิงเล็งพิกัดจากสนามม้านางเลิ้งมาที่ สะพานชมัยมรุเชษฐ์ เป็นพื้นที่ที่เสื้อแดงเตรียมชุมนุมใหญ่ ทั้งหมดจึงเป็นการเซทอัพ เขียนแผนมารองรับเพื่อจัดการกับเสื้อแดง
โดยเฉพาะแผนรักษาความปลอดภัยที่รพ.ศิริราชนั้น เมื่อรัฐบาลได้ยกระดับรักษาความปลอดภัยที่ศิริราชแล้ว จากนี้ถ้ายังมีเหตุการณ์อะไรอีก รัฐบาลก็จะกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงยิงเอ็ม79 ใส่รพ.ศิริราชเพื้อนำไปสู่การนำจับแกนนำ หลังจากนั้น ก็จะมีการจัดการกับแกนนำเสื้อแดงในต่างจังหวัดโดยหากจัดการได้1 คนก็เชื่อว่าจะลดมวลชนได้ 1 พันคน ตามด้วย การออกซีดีและหนังสือเสื้อแดงล้มเจ้าซึ่งทำโดยกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการแกนนำเสื้อแดงในข้อหาไม่จงรักภักดี
สำหรับแผนการล้อมปราบคนเสื้อแดงเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้น คือ ในหมวดการจัดกำลังควบคุมการปฏิบัติการ(น.27) โดยหลักให้ ทภ.1 กอ.รมน.ภาค 1 มีกำลัง 102 กองร้อย มีอุปกรณ์ 53 กองร้อย และ ไม่มีอุปกรณ์ 49 กองร้อย ที่น่าสนใจ คือ ในส่วนของกองหนุนที่จะช่วยในกทม.จำนวน 38 กองร้อยนั้น นำโดยพล.ร.2.รอ. หรือ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี จำนวน 12 กองร้อย และ พล.ร.9 จากจ.กาญจนบุรี10 กองร้อย ซึ่งทั้งสองหน่วยมักเป็นหน่วยปราบในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬและนำไปใช้ปราบประชาชนในสงกรานต์เลือด ทั้งนี้ ในเอกสารดูเผินๆว่าไม่มีอะไรเพราะเขียนว่า "ไม่มีอุปกรณ์" นั้นความจริงแล้ว ในทางทหาร ถือว่า คำนี้เป็นการติดอาวุธเอ็ม16 เพื่อนำมาล้อมปราบคนเสื้อแดง
"การสร้างสถานการณ์จะเกิดขึ้นทุกที่ ทั้งในรพ.ศิริราช เขตพระราชฐาน ทำเนียบ โดยใช้หน่วยที่เขาฝึกมา วันนี้ฝ่ายรัฐบาลเขามีหมด ทั้งคนที่เขาเตรียมการ ยังมีบัตรนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ดังนั้นขอให้พวกเราช่วยเป็นหูเป็นตา จากนี้หากเกิดเหตุที่ศิริราช ขอให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำโดยรัฐบาล"
ที่มา:มติชนออนไลน์
เมื่อหัวหน้าพรรคปาขี้ มาโดนดีซะเอง

อากาศที่เริ่มจะร้อนฉิบ กับสถานการณ์การเมืองที่ชักจะร้อนฉ่า ยิ่งใกล้วันดีเดย์ ปล้นกลางแดด 76,000 ล้านเข้ามา พวกอำมาตย์ก็ยิ่งพล่านเป็นสุนัขเดือน12 อยากได้เงินเขาจนตัวซีดตัวสั่น แต่ยังกล้าๆกลัวๆ ระแวงว่าประชาชนจะดาหน้า ออกมาเช็คบิลเอา
เลยต้องทำเป็นลับ ลวง พลาง ส่งสมุนที่ไร้สมอง เที่ยวสร้างสถานการณ์ป่วนบ้านป่วนเมือง จนวุ่นวายกันไปหมด
สถานการณ์ยุ่งเหยิงอย่างนี้ จะหยิบจะจับเอาอะไรมาเขียนวิพากษ์วิจารณ์ จึงไม่ค่อยถนัด เพราะว่ายังไม่ทันจะขยับ ก็กลายเป็นข่าวเก่าไปซะฉิบ อย่ากระนั้นเลย สู้เมดเล่ย์จับฉ่ายเล่นมันไปทุกเรื่อง เอามายำใหญ่ใส่พริกมะนาว ให้เผ็ดแซบซี้ดซ้าด ยังจะเข้าท่ากว่ากันเยอะแยะ
ภาษาฟุตบอลเขาเรียกว่ากึ่งยิงกึ่งผ่าน ไม่ได้ตั้งใจยิง แต่เผลอเมื่อไหร่เป็นมุดเข้าประตูไป ไม่ทันรู้ตัว
ประเดิม กันด้วยข่าวขี้ๆ กับคนขี้ๆ ที่กลายเป็นคู่เวรคู่กรรมคู่ใหม่กันไปซะแล้ว นาทีนี้ถ้าใครบอกว่ากำขี้ดีกว่ากำตด คงไม่มีทางที่มาร์คจะเห็นด้วยเป็นอันขาด หลังจากเจอเข้าไปหลายงาน ชักจะเกิดดวงตาเห็นธรรม ใครจะว่ายังไงก็ช่าง มาร์คยังขอกำตดดีกว่ากำขี้
โดยเฉพาะงานล่าสุดนี้ ที่ออกจะทำใจลำบากอยู่ซักหน่อย ก็พ่อเจ้าประคุณลุนช่อง เล่นจัดโปรโมชั่นพิเศษ มากันเป็นแพ็คคู่ 4 ถุงซ้อน ดีลิเวอรี่ส่งตรงถึงหลังคาบ้าน เล่นเอารปภ.อกสั่นขวัญแขวน ออกจับมือคนดมกันให้วุ่น ดีที่ว่า คนบ้านนี้ เขาชินชากันซะแล้ว เลยไม่ค่อยตื่นเต้นซักเท่าไหร่
ก็แหงละ โดนเข้าไปถี่ยิบ ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถ้ายังไม่ชิน ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ทำเป็นเล่นไป ในขณะที่ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นถุงขี้ แต่ยังมีกุ๊ยกษิตที่เถียงขาดคอเป็นเอ็น ว่าเป็นถุงก๋วยเตี๋ยว มิน่าล่ะ ถ้าพี่กุ๊ยบอกว่าจะหิ้วก๋วยเตี๋ยวไปฝากใคร เป็นได้เผ่นหนีกันป่าราบ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเหลียวหลัง
กับถ้อยวาจาของน้าฮุนฯที่ว่า “อุจจาระมีค่ามากในประเทศไทย เพราะว่าชาวไทยให้มันเป็นของขวัญ แก่นายกรัฐมนตรี..." ไปๆมาๆอาจจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นซะแล้ว เมื่อมีแนวโน้มว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอ อาจจะแจ็คพ็อทออกมาว่าเป็น..ขี้ทักษิณ
ถ้าไม่รีบออกตัวว่าขอรับเอาไว้ตรวจสอบราคา มีหวังว่าน่าจะงานเข้า เจอคดีรับของขวัญเกิน 3 พันกันเห็นๆ ยิ่งน้าแม้วเขาขึ้นชื่ออยู่ด้วยว่า มือดี..ทำขี้ให้เป็นทอง
สรุปว่า ลงทุนปลูกถั่วเอาไว้ ย่อมต้องได้ฟาดถั่วต้มเป็นธรรมดา มีที่ไหน ปลูกถั่วแล้วจะได้รับประทานสตรอเบอรี่ หวาน กรอบ อร่อย ดังใจปรารถนา
ทีตอนที่พวกมารลุกขึ้นยืน 2 ขา ด่านายกฯทักษิณฉอดๆ เห็นกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ ยกให้เป็นวีรสตรีสีลม โดยไม่ต้องสนใจผิดชอบชั่วดี แล้วทำไมตอนนี้จะมาไล่บี้ตำรวจ ให้พลิกแผ่นดินตามล่าหาวีรบุรุษปาขี้กันให้ควั่ก
อะไรไม่ว่า ไล่เลี่ยกันยังไม่ทันไร นายปณิธานปากมอม ก็ออกมาปาถุงขี้นำร่องเข้าใส่ชาวเสื้อแดงซะเละไปหมด บอกว่ามีเงินโอนจากตะวันออกกลาง มาเข้าบัญชีแกนนำ หลังจากนั้นก็ตามน้ำกันใหญ่ ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาฯพรรค และสมาชิกพรรค ต่างพร้อมใจกันออกมา ระดมปาขี้ใส่ประชาชนเสื้อแดง อย่างเอาเป็นเอาตาย
เล่นกันสกปรกยิ่งกว่าขี้อย่างนี้ ยังไม่เห็นมีใครไปไล่จิกไล่ตี ว่าคนพรรคนี้ ทำไมมันถึงขยันปาขี้ใส่หัวชาวบ้านอยู่เป็นประจำ
จึงเป็นการสมควรอย่างที่สุด ที่โดนจอมพลฮุนเซน จิกหัวด่าอย่างสาดเสียเทเสีย โดยไม่มีประชาชนคนไทยหน้าไหนออกมาปกป้องให้ แม้แต่คนเดียว ทั้งๆที่จะว่าไปแล้ว ขานั้นก็เกินไปนิด แต่ยังน้อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับความต่ำช้า ไร้มาตรฐาน ไร้สติ ไร้ปัญญาของนายกฯโจร แห่งสารขัณฑ์ประเทศ
กลายเป็นนายกฯขี้ ที่ประชาชนเกลียดที่สุดตลอดกาล ชนิดที่ถนอมประภาสต้องชิดซ้ายลงคู กู่ไม่กลับไปซะแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ คงต้องโทษบุพการี ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง อยากให้ลูกหลานได้เป็นนายกฯ จนไม่คำนึงถึงวิธีการที่จะได้มา แม้จะต้องสมคบกับอำมาตย์ ให้ช่วยปล้นตำแหน่งเอามาประเคนให้ ก็ยังไม่เกี่ยง
เมื่อได้ตำแหน่งมา เพราะอำมาตย์อุปถัมภ์ จึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน วันๆเอาแต่เกาะโพเดียม จ้อเอาโล่ห์ กับไล่ล่าทักษิณอย่างเดียว ประชาชนคนไทย จะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง
กระโดดข้ามห้วยไปที่คิวหักดิบ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลโจร ที่เล่นเอางงเต้กไปตามๆกัน เมื่อหัวหน้าโจรไปได้ยาดีจากอภิมหาโจรเฒ่า เจ้าของรัฐบาล งานนี้เลยชักจะมีหือ ออกมาประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมแก้รัฐธรรมนูญมันดื้อๆ
ถ้าจะอ้างสัญญาลูกผู้ชาย ขอให้ไปไกลๆหน่อย เพราะว่าที่นี่คือพรรคแมลงสาบ รับรองได้ว่า ไม่มีลูกผู้ชายซักกะคน
เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับแมลงสาบ เลยต้องเจ๊กอั้ก นั่งน้ำตาตกในกันเป็นแถว ทั้งปู้จิ้น หลานเนรฯ แถมพ่วงด้วยปู่เติ้งอีกคน ต่างกอดคอกันร่ำไห้อย่างน่าเวทนา เรียกว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไปไม่เป็นกันจริงๆ อยากสลัดรักจนเต็มแก่ แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ เพราะว่าติดคิวงาบอีกบานเบิก เข้าตำรา "คับที่อยู่ได้ คับใจก็จะอยู่"
เรื่องที่จะถอนยวง ปล่อยให้งาบกันสะดือปลิ้นอยู่พรรคเดียวนั้น อย่าได้หวังเป็นอันขาด
จะมีรัฐบาลไหนอีก ที่ได้รับใบอนุญาตโกงตลอดชีพ โกงได้ไม่มีขีดจำกัด โกงไม่บันยะบันยัง โกงโดยที่ไม่มีใครอ้าปากซักกะแอะ ก็ดูแต่เครื่อง จีที200 ที่มีมือดีผ่าออกมาดูแล้ว ปรากฏว่าchipหายไปทั้งแถบ มีแต่เครื่องเปล่าๆ แต่จนแล้วจนรอด ปปช.ยังนั่งอมสาก ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น
จึงจำเป็นอยู่ดี ที่ต้องตื๊ออยู่เพื่อร่วมงาบกันต่อไป โดยไม่มีกำหนด ของดีๆทั้งนั้น ขืนทำหมูหกไป คงต้องเสียดายแย่
ส่งท้ายปีเก่าลูกหลานมังกร จับกระแสตรุษจีนสีชมพู แถวไชน่าทาวน์เยาวราช ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นสีชมพูเต็มพรื่ดไปทั้งถนน อย่างกับนัดแนะกันมา ยังไงยังงั้น จะมีสีอื่นแซมมาบ้างก็แค่เล็กน้อย อย่างเช่นสีส้ม และสีน้ำเงิน ที่มีอยู่ประปราย ส่วนสีแดงนั้นไม่ต้องไปหา นอกจากแดงน้ำเงินที่ยังพอมีให้เห็น แต่ก็นานๆครั้ง
นี่ว่ากันเฉพาะแท็กซี่สีชมพู ที่เป็นเทรนด์ใหม่ กำลังแรงจัด
ส่วนมนุษย์ขี้เหม็น ที่เห็นเดินฉุยฉายสวนกันไปมานั้น กลับตรงกันข้าม อย่างหน้ามือกับหลังเท้า เคยแดงยังไง ก็ยังแดงยังงั้น ไม่มีเปลี่ยนแปลง อาจจะมีบ้างที่สะเหล่อออกมาในเสื้อสีชมพู แต่ไม่น่าถึง 1%ด้วยซ้ำไป จึงกลายเป็นของแปลก หาดูได้ยากไปซะฉิบ เสียแรงที่ลงทุนโหมโฆษณาซะแทบตาย แต่ผลที่ได้ ต้องถือว่าขาดทุนป่นปี้ ไม่มีหูรูด
ไหนโจมตีกันจังว่า กีฬาสีทำให้คนแตกแยก แต่รัฐบาลกลับปากว่าตาขยิบ ขยันโปรโมทสีใหม่ขึ้นมาทาบรัศมีสีแดง ไม่เว้นแต่ละวัน
สุดท้ายคนเป็นนายกฯ ซึ่งเกลียดเสื้อแดงอย่างกับวัวกระทิง ยังต้องมานั่งใส่เสื้อแดง ทำหน้าเหมือนคนอยากจะตาย
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะสีอะไรก็คนไทยด้วยกัน สำคัญว่าไพร่ต่างสีอย่าไปเสียค่าโง่ ให้อำมาตย์มันปั่นหัวออกมาฆ่ากันเอง ก็คงไม่เป็นปัญหา ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ที่มันเข้าใกล้กลียุค ก็เพราะอำมาตย์มันทำทั้งนั้น
ถ้าความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีก็คงยากที่จะเกิด ถ้าลงว่าตุลาการโดดก๋าออกมาเป็นคู่กรณีซะเอง ก็อย่าหวังว่าจะเห็นความยุติธรรม
ถ้าเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ประชาชนก็มีความชอบธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ที่จะยืนโซ้ยกับอำมาตย์ อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถ้าลงว่าอำมาตย์คิดจะกวาดประชาชนลงทะเล การนองเลือดก็คงเลี่ยงได้ยากแล้ว ถึงวันนี้ ยังพอมีเวลาเหลืออยู่เล็กน้อย น่าที่จะคิดใหม่ทำใหม่ซะให้ถี่ถ้วน
ที่ผ่านมานั้น ฝ่ายอำมาตย์ประเมินประชาชนต่ำไป ส่วนฝ่ายประชาชนก็ประเมินอำมาตย์สูงไป มันเลยพอกันทั้งคู่ แต่บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ประชาชนปรับตัวไปมาก แต่อำมาตย์ยังคงดักดานอยู่ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าจะแลกกันอีกครั้ง ผลคงต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือ ประชาชนนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ยังมีที่ยืน แต่อำมาตย์นั้น อย่าได้แพ้เป็นอันขาด เพราะว่าเดิมพันมันถึงตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร ถึงสูญสิ้นเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว ศาลประชาชนนั้นโหดขนาดไหน ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์แถวยุโรปดู
!!! แล้วจะหนาวไปถึงกระดูก !!!
ที่มา:บทความ วโรท่าร์
เทศกาลระเบิด

เป็นไปตามคาด เมื่อใกล้ถึงวันที่ 26 ก.พ. วันตัดสินคดีทรัพย์สิน 7 หมื่นล้านของทักษิณ สถานการณ์บ้านเมืองจะเข้าขั้นลุกเป็นไฟ แล้วการสร้างสถานการณ์ป่วนเมืองที่ใช้กันเป็นประจำสม่ำเสมอคือ ลอบวางระเบิด
ตอนนี้เริ่มแล้วจริงๆ ตั้งแต่กลางดึกวันเสาร์ที่ผ่าน ต่อเนื่องจนเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วยังจะต้องมีต่อไปอีกหลายตูม อย่างแน่นอน
คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ฝีมือใคร!?
อีกคำถามคือ แล้วรัฐบาลจะมีทางแก้ไข และจะป้องกันความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน เช่นไร
ฟังดูท่าทีผู้นำรัฐบาล ไม่รอช้าที่จะโยนปัญหาไปให้คนก่อเหตุ พร้อมๆ กับพยายามชี้ไปยังฝ่ายที่เกรงกลัวการโดนยึดทรัพย์สิน
มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการดิ้นรน จุดชนวนไปสู่การแตกหัก เพื่อปกป้องขุมทรัพย์ 7 หมื่นล้านบาท
แต่ก็ต้องดูกันให้รอบด้าน อย่างน้อยการก่อความรุนแรงเพื่อสร้างสถานการณ์ สามารถเกิดได้ด้วยฝีมือฝ่ายอื่น
โดยเฉพาะคนที่คิดจะก่อการรัฐประหาร ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่มีอำนาจในปัจจุบัน แต่ยังรู้สึกขัดอกขัดใจว่า ถ้าปล่อยให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยปกติ คงไม่สามารถจัดการทักษิณไปอย่างขุดรากถอนโคน
คำสั่งวางระเบิดป่วนเมือง จึงมาได้จากทั้งสองฟาก ปักใจโทษใครทันทีไม่ได้
พวกนี้พร้อมจะเล่นเกมชิงอำนาจ โดยเห็นประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือ เพื่อบรรลุแผนการวิปริตพิสดาร
ดังนั้นตราบใดที่ผู้สูญเสียอำนาจยังดิ้นรนปกป้องกองเงินทองผลประโยชน์ตัวเองอยู่ และผู้ที่มีอำนาจส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันสงบถ้าทักษิณไม่ตายไปจากโลกนี้
ทั้งสองส่วนนี้แหละ ที่พร้อมจะเข้าโรมรันพันตูกัน บนความพังพินาศของบ้านเมืองและบนชีวิตเลือดเนื้อประชาชน!
โดยทั้งหมดนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์จะปฏิเสธความร่วมรับผิดชอบไม่ได้
เป็นรัฐบาลต้องคิดค้นทุกมาตรการ ทั้งด้านการใช้อำนาจรัฐ และด้านการใช้ทางออกทางการเมือง มาคลี่คลายสถานการณ์
เอ็ม 79 ลงที ซีโฟร์กัมปนาทที ก็ลุกมาด่าทักษิณที
อันนั้นไม่ใช่คนทำหน้าที่รัฐบาล
มีกลไกอำนาจรัฐสารพัดในมือ ต้องเอามาแก้ปัญหา
กระทั่งการกำหนดจังหวะก้าวทางการเมืองเพื่อช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายลง
ก็จำเป็นต้องทำ
ออกข่าวล่วงหน้าว่ามีเงินนอกไหลเข้ามา ออกข่าวอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนจะรู้ดีแต่ไม่เห็นสกัดกั้นป้องกันได้ทัน
ดูสไตล์การทำงานแบบรัฐบาลประชาธิปัตย์แล้วหนักใจ
ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ประชาชนคนเดินดินทั้งหลาย ละเว้นสถานที่ที่เข้าข่ายอันตราย
ป้องกันภัยกันเอาเอง ตัวใครตัวมัน!
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
การชุมนุมสาธารณะ เสรีภาพที่ต้องการกรอบกติกา
หมายเหตุ บทความชนี้เรียบเรียงจากปาฐกถาพิเศษ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ในเวทีนโยบายสาธารณะเรื่อง “การชุมนุมสาธารณะ เสรีภาพที่ต้องการกรอบกติกา” วันที่ 12 ก.พ. 2553 โรงแรมรามาการ์เด้นท์
ในสังคมประชาธิปไตย การชุมนุมสาธารณะถือเป็นเรื่องปกติ ในสังคมตะวันตก ในวอชิงตัน เยอรมันย้อนไปสิบกว่าปี มีคนเข้าร่วมมากมาย นายกก็มาร่วมชุมนุมด้วย ดังนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นคือเราอยากเห็นการชุมนุมสาธารณะเป็นไปอย่างสันติและสร้างสรรค์
เวลาเกิดเรื่องจากการชุมนุม ไม่ใช่คนชุมนุมหรือตำรวจไม่ดี แต่เพราะเราขาดกรอบกติกาประชาธิปไตย เพราะถ้าคนไทยไม่ดีจริง ทำไมเราเล่นฟุตบอลได้ ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีกรอบ ออกนอกกรอบไม่ได้ และมีกติกา จะไปเตะคนไม่ได้ มีคนกำกับเส้น มีกรรมการคอยดีให้เป็นไปตามกติกา ไม่งั้นจะโกงได้ กรรมการและคนกำกับเส้นทำให้โกงไม่ได้ และก็มีคนดู
การชุมนุมสาธารณะก็เช่นกันต้องมีกรอบ กติกา กลไก และมีสังคมกำกับอีกที เพื่อให้การชุมนุมนั้นเป็นไปอย่างสันติและสร้างสรรค์
กรอบการชุมนุมสาธารณะ น่าจะยึดตามรัฐธรรมนูญ คือมีสิทธิในการชุมนุมสาธารณะอย่างสันติ ควรมีการปรึกษากันว่ารายละเอียดควรจะเป็นอย่างไร สถานที่จะกำหนดแค่ไหน เป็นต้น
กติกาการชุมนุมสาธารณะ ลองคิดดูว่าน่าจะมีรายละเอียดอะไรบ้าง กติกาควรตั้งอยู่บนหลัก “การใช้ความจริง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิบัติยาก คำถามคือจะทำได้ไหม ได้แค่ไหน การชุมนุมมักจะมีการปลุกอารมณ์กัน ทำให้ไม่ได้ใช้ความรู้ เหตุผล ก็ต้องลองดูว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน
การใช้ความจริงนั้นสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง วจีสุจริตว่า 1. มีที่มา ที่อ้างอิง 2. ปิยวาจา 3. พูดถูกกาละเทศะ 4.พูดแล้วเกิดประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก อยากฝากให้พยายามดูกันว่าอันนี้จะเข้าไปอยู่ในกติกาที่ว่าได้มากน้อยแค่ไหน สังคมไทยต้องพยายาม สื่อมวลชนต้องพยายาม เพราะปฏิบัติยาก ควบคุมก็ยาก กติกาต้องชัดเจน การยุแยงให้เผาบ้านเผาเมืองทำไม่ได้ เป็นต้น
กฎหมายต้องทำให้ดีที่สุด แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องมีการซักซ้อมร่วมกัน ทำกรอบกติการ่วมกัน ทั้งผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักวิชาการสิทธิมนุษยชน สี่อมวลชนมาร่วมกันทำกติกา กลไก ก่อนที่จะเกิดเรื่อง เหมือนว่ายน้ำต้องว่ายเป็นก่อนเรือล่มไม่งั้นไม่ทัน เราควรมาซักซ้อมร่วมกันเสียก่อน
จากนี้ต่อไปองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คนเคยเดินขบวน เจ้าหน้าที่ สื่อ เอ็นจีโอ นักวิชาการต้องร่วมกันทำกระบวนการนี้ให้ดีขึ้น กรอบว่าไง กฎ กติกาแค่ไหนล้ำเส้น ล้ำกรอบ แค่ไหนพอทนได้ แค่ไหนถึงจุดต้องยุติการชุมนุมสาธารณะ แล้วกระบวนการยุติจะเป็นอย่างไร จะได้ไม่ต้องโทษกันไปโทษกันมา ตำรวจโทษผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมโทษตำรวจเวลาเกิดเรื่องขึ้น จะต้องประกาศก่อนให้ยุติการชุมนุมไหม อะไรใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ในการยุติ ปืนไม่ไม่ น้ำใช้ได้ ยิงเข้าฝูงชนไม่ได้ เหล่านี้ต้องชัดเจนไม่งั้นจะลำบาก เจ้าหน้าที่ก็ลำบากทำก็โดนด่า ไม่ทำก็เป็นหน้าที่ สำคัญคือกรอบกติกานี้ต้องทำให้เห็นพ้องด้วยกันหมด เรื่องก็จะเกิดน้อยลง
ส่วน กรรมการเป็นใคร ต้องคิดตอนนี้เลย ในแคนาดา State Parliament เขาตั้ง Commissioner ขึ้นมีหน้าที่เชิญผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมา รัฐ เอ็นจีโอ นักธุรกิจ ชาวบ้านมาหมด เพื่อลดความขัดแย้ง เขาเคยมาแสดงกระบวนการให้เราดู
ก่อนยุคทักษิณ มีการตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธีแห่งชาติขึ้น มีพิชัย รัตนพล เป็นประธาน มีชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มาร์ค ตามไท โคทม อารียา บัณฑร อ่อนดำ อนุชาติ พวงสำลี ได้ข่าวว่าเคยถูกยุบแต่ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าพวกเขายังทำงานอยู่ มีการประชุมกันทุกเดือน คิดว่าน่าชวนเขามาทำงานเลย ให้มีบทบาทเป็นเหมือนกรรมการในสนามฟุตบอล เพราะคนทำงานกลุ่มนี้เขาเป็นของจริง มีความชำนาญเรื่องสันติวิธีจริง ๆ ไม่ใช่แต่ปาก มีประสบการณ์ จิตใจดี ใจกว้าง นี่เป็นข้อเสนอของผม และนายกฯ ควรเป็นคนแต่งตั้ง
อีกอย่าง ในการเล่นบอล กรรมการ ไลน์แมนอาจโกงได้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีคนดูคอยกำกับอยู่ การชุมนุมสาธารณะก็ต้องมีสังคมกำกับด้วย ทำอย่างไร ก็ใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือ การสื่อสารที่ดีตามข้อเท็จจริง แล้วให้รู้ถึงกันเป็นการลดความรุนแรง เหมือนคนดูสามารถกำกับคนเล่นฟุตบอล กำกับพฤติกรรมกรรมการและไลน์แมน
ดังนั้นอย่าหยุดรอ เสนอนายก จัดทำกฎหมายแล้ว ต้องซักซ้อมร่วมกันจะเป็นผลดีหลายอย่าง ตำรวจ คนเดินขบวน เอ็นจีโอ ทุกคนต้องมาร่วมกัน เอาใจเป็นตัวตั้ง ใช้ใจนำ อย่าใช้ความรู้นำเพราะจะเป็นทิฐิ ใช้ใจที่อยากทำสิ่งดี ๆ ให้สังคมเป็นตัวนำ การคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดา แฝดตัวติดกันยังคิดไม่เหมือนกัน ต้องทำด้วยใจที่เข้าถึงความจริงที่สูงกว่านั้น คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนมนุษย์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
สุดท้าย จะทำอย่างไรต่อไปจากวันนี้ มีหลายฝ่ายเกี่ยวข้อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็เกี่ยว แต่อย่าทำงานโดดเดี่ยว เอาหลายฝ่ายมาเป็นภาคี ช่วยกันประคับประคองเหมือนระบบร่างกาย ซึ่งจะไม่มีระบบใดเลยที่ทำงานแบบเอกบท (one pathway) ทุกระบบจะทำงานร่วมกันเป็นแบบพหุบท (multiple pathway) ทั้งนั้น ไม่งั้นพวกเราก็ตายนานแล้ว
เท่าที่ดู นอกจากคณะกรรมการสิทธิฯ ก็มีคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธีแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้า ตำรวจ สถาบันพัฒนาการเมือง กรมประชาสัมพันธ์เพราะเราต้องการการสื่อสารด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แก่งประเทศไทย สมาคมวิทยุโทรทัศน์ฯ เป็นต้น เสร็จประชุมวันนี้แล้วก็อย่ารอ ไม่ต้องรอกฎหมายออก เริ่มทำงานกันได้เลย
ที่มา:มติชนออนไลน์
ในสังคมประชาธิปไตย การชุมนุมสาธารณะถือเป็นเรื่องปกติ ในสังคมตะวันตก ในวอชิงตัน เยอรมันย้อนไปสิบกว่าปี มีคนเข้าร่วมมากมาย นายกก็มาร่วมชุมนุมด้วย ดังนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นคือเราอยากเห็นการชุมนุมสาธารณะเป็นไปอย่างสันติและสร้างสรรค์
เวลาเกิดเรื่องจากการชุมนุม ไม่ใช่คนชุมนุมหรือตำรวจไม่ดี แต่เพราะเราขาดกรอบกติกาประชาธิปไตย เพราะถ้าคนไทยไม่ดีจริง ทำไมเราเล่นฟุตบอลได้ ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีกรอบ ออกนอกกรอบไม่ได้ และมีกติกา จะไปเตะคนไม่ได้ มีคนกำกับเส้น มีกรรมการคอยดีให้เป็นไปตามกติกา ไม่งั้นจะโกงได้ กรรมการและคนกำกับเส้นทำให้โกงไม่ได้ และก็มีคนดู
การชุมนุมสาธารณะก็เช่นกันต้องมีกรอบ กติกา กลไก และมีสังคมกำกับอีกที เพื่อให้การชุมนุมนั้นเป็นไปอย่างสันติและสร้างสรรค์
กรอบการชุมนุมสาธารณะ น่าจะยึดตามรัฐธรรมนูญ คือมีสิทธิในการชุมนุมสาธารณะอย่างสันติ ควรมีการปรึกษากันว่ารายละเอียดควรจะเป็นอย่างไร สถานที่จะกำหนดแค่ไหน เป็นต้น
กติกาการชุมนุมสาธารณะ ลองคิดดูว่าน่าจะมีรายละเอียดอะไรบ้าง กติกาควรตั้งอยู่บนหลัก “การใช้ความจริง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิบัติยาก คำถามคือจะทำได้ไหม ได้แค่ไหน การชุมนุมมักจะมีการปลุกอารมณ์กัน ทำให้ไม่ได้ใช้ความรู้ เหตุผล ก็ต้องลองดูว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน
การใช้ความจริงนั้นสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง วจีสุจริตว่า 1. มีที่มา ที่อ้างอิง 2. ปิยวาจา 3. พูดถูกกาละเทศะ 4.พูดแล้วเกิดประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก อยากฝากให้พยายามดูกันว่าอันนี้จะเข้าไปอยู่ในกติกาที่ว่าได้มากน้อยแค่ไหน สังคมไทยต้องพยายาม สื่อมวลชนต้องพยายาม เพราะปฏิบัติยาก ควบคุมก็ยาก กติกาต้องชัดเจน การยุแยงให้เผาบ้านเผาเมืองทำไม่ได้ เป็นต้น
กฎหมายต้องทำให้ดีที่สุด แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องมีการซักซ้อมร่วมกัน ทำกรอบกติการ่วมกัน ทั้งผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักวิชาการสิทธิมนุษยชน สี่อมวลชนมาร่วมกันทำกติกา กลไก ก่อนที่จะเกิดเรื่อง เหมือนว่ายน้ำต้องว่ายเป็นก่อนเรือล่มไม่งั้นไม่ทัน เราควรมาซักซ้อมร่วมกันเสียก่อน
จากนี้ต่อไปองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คนเคยเดินขบวน เจ้าหน้าที่ สื่อ เอ็นจีโอ นักวิชาการต้องร่วมกันทำกระบวนการนี้ให้ดีขึ้น กรอบว่าไง กฎ กติกาแค่ไหนล้ำเส้น ล้ำกรอบ แค่ไหนพอทนได้ แค่ไหนถึงจุดต้องยุติการชุมนุมสาธารณะ แล้วกระบวนการยุติจะเป็นอย่างไร จะได้ไม่ต้องโทษกันไปโทษกันมา ตำรวจโทษผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมโทษตำรวจเวลาเกิดเรื่องขึ้น จะต้องประกาศก่อนให้ยุติการชุมนุมไหม อะไรใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ในการยุติ ปืนไม่ไม่ น้ำใช้ได้ ยิงเข้าฝูงชนไม่ได้ เหล่านี้ต้องชัดเจนไม่งั้นจะลำบาก เจ้าหน้าที่ก็ลำบากทำก็โดนด่า ไม่ทำก็เป็นหน้าที่ สำคัญคือกรอบกติกานี้ต้องทำให้เห็นพ้องด้วยกันหมด เรื่องก็จะเกิดน้อยลง
ส่วน กรรมการเป็นใคร ต้องคิดตอนนี้เลย ในแคนาดา State Parliament เขาตั้ง Commissioner ขึ้นมีหน้าที่เชิญผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมา รัฐ เอ็นจีโอ นักธุรกิจ ชาวบ้านมาหมด เพื่อลดความขัดแย้ง เขาเคยมาแสดงกระบวนการให้เราดู
ก่อนยุคทักษิณ มีการตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธีแห่งชาติขึ้น มีพิชัย รัตนพล เป็นประธาน มีชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มาร์ค ตามไท โคทม อารียา บัณฑร อ่อนดำ อนุชาติ พวงสำลี ได้ข่าวว่าเคยถูกยุบแต่ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าพวกเขายังทำงานอยู่ มีการประชุมกันทุกเดือน คิดว่าน่าชวนเขามาทำงานเลย ให้มีบทบาทเป็นเหมือนกรรมการในสนามฟุตบอล เพราะคนทำงานกลุ่มนี้เขาเป็นของจริง มีความชำนาญเรื่องสันติวิธีจริง ๆ ไม่ใช่แต่ปาก มีประสบการณ์ จิตใจดี ใจกว้าง นี่เป็นข้อเสนอของผม และนายกฯ ควรเป็นคนแต่งตั้ง
อีกอย่าง ในการเล่นบอล กรรมการ ไลน์แมนอาจโกงได้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีคนดูคอยกำกับอยู่ การชุมนุมสาธารณะก็ต้องมีสังคมกำกับด้วย ทำอย่างไร ก็ใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือ การสื่อสารที่ดีตามข้อเท็จจริง แล้วให้รู้ถึงกันเป็นการลดความรุนแรง เหมือนคนดูสามารถกำกับคนเล่นฟุตบอล กำกับพฤติกรรมกรรมการและไลน์แมน
ดังนั้นอย่าหยุดรอ เสนอนายก จัดทำกฎหมายแล้ว ต้องซักซ้อมร่วมกันจะเป็นผลดีหลายอย่าง ตำรวจ คนเดินขบวน เอ็นจีโอ ทุกคนต้องมาร่วมกัน เอาใจเป็นตัวตั้ง ใช้ใจนำ อย่าใช้ความรู้นำเพราะจะเป็นทิฐิ ใช้ใจที่อยากทำสิ่งดี ๆ ให้สังคมเป็นตัวนำ การคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดา แฝดตัวติดกันยังคิดไม่เหมือนกัน ต้องทำด้วยใจที่เข้าถึงความจริงที่สูงกว่านั้น คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนมนุษย์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
สุดท้าย จะทำอย่างไรต่อไปจากวันนี้ มีหลายฝ่ายเกี่ยวข้อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็เกี่ยว แต่อย่าทำงานโดดเดี่ยว เอาหลายฝ่ายมาเป็นภาคี ช่วยกันประคับประคองเหมือนระบบร่างกาย ซึ่งจะไม่มีระบบใดเลยที่ทำงานแบบเอกบท (one pathway) ทุกระบบจะทำงานร่วมกันเป็นแบบพหุบท (multiple pathway) ทั้งนั้น ไม่งั้นพวกเราก็ตายนานแล้ว
เท่าที่ดู นอกจากคณะกรรมการสิทธิฯ ก็มีคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธีแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้า ตำรวจ สถาบันพัฒนาการเมือง กรมประชาสัมพันธ์เพราะเราต้องการการสื่อสารด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แก่งประเทศไทย สมาคมวิทยุโทรทัศน์ฯ เป็นต้น เสร็จประชุมวันนี้แล้วก็อย่ารอ ไม่ต้องรอกฎหมายออก เริ่มทำงานกันได้เลย
ที่มา:มติชนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เหยียบเบรก เช็คเครื่อง

ข่าวคาว..ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี สั่งหยุดการเดินหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง โดยเฉพาะถนนปอดสะอาดเพราะไร้ฝุ่นมูลค่าหลายพันล้านบาทของพรรคภูมิใจไทยข่าวคาว..เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณจนอิ่มแปล้กันทั่วหน้า ข้อขัดแย้งการร่างรัฐธรรมนูญ 2 มาตรการเลยยุติลงดั่งใจพรรคประชาธิปัตย์ที่งัดง้างอยู่ฝ่ายเดียวแต่ไม่หัวลีบกระเทียมดองเพราะกุมอำนาจใหญ่สุด คือนายกรัฐมนตรีเลยสามารถยื้อเวลา...จนเลยผ่านช่วงวิกฤติ...โครงการไทยเข้ม
แข็ง...ต้องใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาทเวลานี้กระจายงบไปเกือบหมด เข้า สู่วาระจะดำเนิน การ...ข่าวคาวจะเบรกโครงการ รื้อโครงสร้างใหม่? เลยเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องออกโรงปกป้อง โต้เถียงกันขนานใหญ่..เพราะเงินก้อนใหญ่มักมีพี่เลี้ยงคอยตอด คอยเล็มเข้าพกเข้าห่อเสมอโดยเฉพาะระบบจัดซื้อจัดจ้างโดยนักการเมืองไทยบางคน...ที่ถนัดคิดเลขมากกว่าวางหมากการบริหารบ้านเมือง...ค่าหัว ค่าคิว 10-20-30 หรือมากกว่า สามารถปั้นตัวเลขได้เจ๋งสุดยอด
ไตรรงค์ มีนโยบาย งัด รื้อ โครงการไทยเข้มแข็ง...เลยมีปากเสียง เถียงกันเอ็นขึ้นคอ!!เมื่องัดกันไม่ลง...ผู้เขียนในฐานะประชาชน คนไทยขอแทรกหรือเสือก...กระทุ้งให้รัฐบาลกระเทือนกันสักหน่อย...ยังจำเรื่องของกระทรวงสาธารณสุข สมัยวิทยาได้ไหม?? ถ้าจำไม่ได้...เราขันอาสากระทุ้งรัฐบาลกันอีกสักรอบกระทรวงสาธารณสุขยุค นายวิทยา แก้วภราดัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มีการดำเนินแผนพัฒนาระบบสาธารณสุขทั่วประเทศ เน้นไปที่การยกระดับสถานี
อนามัยตำบลให้กลายเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขตำบลหรือ ร.พ.สต.การปรับปรุงโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลศูนย์และการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ มีระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี คือ 2553 – 2555 ใช้เม็ดเงินงบประมาณ86,684 ล้านบาทระหว่างเตรียมการชมรมแพทย์ชนบทได้นำข้อมูลทุจริตออกมาเปิดเผย ข้อมูลดังกล่าวมีทั้ง กรณีที่มีผู้วิ่งเต้นเพื่อฮั้วประมูลก่อสร้างและปรับปรุงโรงพยาบาล ราคาก่อสร้างแพงกว่าความเป็นจริง การล็อกสเปกครุภัณฑ์ทาง
การแพทย์ และหลายรายการราคาแพงเกินความเป็นจริงข้อมูลดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างยิ่ง ทำให้ในที่สุดนายวิทยา ต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบผลสอบเบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า “ครุภัณฑ์หลายรายการมีความผิดปกติจริง” จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบชุดที่มี น.พ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธานในเดือนตุลาคม คณะกรรมการสอบสวนฯ ชุดนี้เข้าตรวจสอบมาจนได้ผลสรุปและนำผลสอบมอบให้นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งมีความ
ชัดเจนมากว่า “การจัดตั้งงบประมาณดังกล่าว มีพฤติกรรมและพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า ส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง”และมีรายชื่อนักการเมืองและข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขพัวพันในกรณีนี้ด้วยถึง 12 คน 2 ในนั้นคือนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขซึ่งลาออกทันทีหลังคณะกรรมการฯ แถลงผลสอบ และ นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเรื่องกระทรวงสาธารณสุขมีมูลบ่งชี้..มีสิ่งผิดปกติที่จับ
ต้องได้...แต่ทำไมเงียบกริบเป็นเป่าสาก..ยังไม่นับรวมอีกหลายข่าวคาวที่สังคมเริ่มได้กลิ่น...แต่ยังจับต้องไม่ได้อย่างไรเสีย การเหยียบเบรกโครงการหลายหมื่นล้านภายใต้นโยบายไทยเข้มแข็งเพื่อ เช็คสเปกก่อนเดินเครื่องสักครั้ง...ถือเป็นเรื่องโคตรเลิศเลยทีเดียวดีกว่าปล่อยให้เดินเครื่องไปแบบงูๆ ปลาๆ สุดท้ายคว้านํ้ามันดำๆเลอะมือแถมใช้งานไม่ได้อีกต่างหาก
ที่มา:บางกอกทูเดย์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)