--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

"จตุพร"ปูดซาอุฯเตรียมตัดสัมพันธ์การทูตไทย100% ลั่นตอบโต้"เทพเทือก"สาสม ใส่ร้าย"แม้ว"จัดทัพเสื้อแดง


ที่มา: มติชนออนไลน์

"จตุพร"เผยซาอุฯ เตรียมตัดสัมพันธ์การทูตกับไทยแบบเด็ดขาด เหตุพบคนระดับสูงในรัฐบาลวิ่งเต้นไม่ให้อัยการสั่งฟ้อง-เลื่อนสั่งคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจ กร้าวตอบโต้"สุเทพ"อย่างสาสม ใส่ร้าย"แม้ว"จัดทัพเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ปลาย ม.ค.

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) แกนนำมวลชนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม ตอบโต้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ระบุพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จัดทัพเสื้อแดงเป็น 3 ระดับในการชุมนุมใหญ่ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยตั้งเป้าล้มคนเหนือรัฐบาลว่า นายสุเทพ นั้นมักรู้แต่เรื่องของคนอื่น โดยไม่เคยได้หันไปมองตัวเอง การที่นายสุเทพ ออกมาพูดว่ามีการจัดทัพคนเสื้อแดงเป็น 3 ระดับนั้นเป็นเพียงการตีปลาหน้าไซ แต่ขอให้นายสุเทพ รู้ไว้ว่าคนเสื้อแดงจะไม่ยอมให้นายสุเทพ ทำร้ายได้เหมือนในช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน 2552 อีกแล้ว และการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้นายสุเทพ จะได้รับการการตอบโต้อย่างสาสม


"การชุมนุมใหญ่ครั้งนี้คนเสื้อแดง เตรียมตัวอย่างดี โดยจะมีการโหมโรงก่อนการชุมนุมใหญ่หลายครั้งหลังจากนี้ โดยเริ่มจากวันที่ 9-10 มกราคม นายสุพร อัฒถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย แกนนำคนเสื้อแดง จะนำประชาชนบุกพื้นที่เขายายเที่ยง จากนั้นเราจะมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบของดาวกระจายครั้งใหญ่ไปยังสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการสองมาตรฐานและอยุติธรรมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีก 1-2 แห่ง เหมือนกับที่ไป กกต. (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) และเขายายเที่ยงอีก แต่จะเป็นทัพใหญ่ที่นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ผมและนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมด้วยประชาชนจำนวนมากเท่าๆกับการชุมนุมใหญ่ ซึ่งจะเป็นการอุ่นเครื่องจากนั้นจะมีการประกาศนัดหมายชุมนุมใหญ่ทันที โดยการชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นภายในเดือนมกราคมอย่างแน่นอน"


นายจตุพร กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ ระบุ ได้ตรวจสอบผู้นำประเทศเพื่อนบ้านแล้วพบ มีเพียงกัมพูชาประเทศเดียวที่ยังให้ความช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณว่าหากเป็นจริงอย่างที่นายสุเทพ พูดแล้วทำไมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำไมมีผู้นำอาเซียนเพียง 3-4 ประเทศเข้าร่วมในพิธีเปิด และล่าสุดไม่รู้นายสุเทพ ทราบหรือไม่ว่าซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยแบบร้อยเปอร์เซ็น เพราะทางซาอุดิอารเบียพบว่ามีบุคคลระดับสูงของรัฐบาลไทยพยายามเข้าไปวิ่งเต้นเพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้องและเลื่อนการสั่งคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุดิอารเบีย ที่มี พล.อ.สมคิด บุญถนอม เป็นจำเลย เพื่อช่วยคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล โดยถ้ามีการเลื่อนออกไปอีกจะทำให้คดีหมดอายุความ


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การจัดเตรียมทัพใหญ่ของคนเสื้อแดงสำหรับการชุมนุมใหญ่นั้นเป็นเพียงการปรับยุทธศาสตร์ เอาจุดด้อยมาแก้ไขและปรับยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเท่านั้น โดยไม่ได้มีการจัดทัพเป็น 3 ทัพแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เชื่อว่าหลังวันที่ 15 มกราคมจะประกาศกำหนดวันนัดชุมนุมใหญ่ได้แน่นอน และหากเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะได้เห็นการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นครั้งสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหลังการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้นายอภิสิทธิ์ จะมีสถานะเพียงอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

หรือไม่อยากเป็นมนุษย์?

โดย: นิติภูมิ นวรัตน์

ความกังวลใจกรณีความรังเกียจ เดียดฉันท์ไทยจากประเทศเพื่อนบ้านมีมากขึ้น

นิติ ภูมิไม่ได้นึกเองเขียนเองนะครับ แต่มีผู้คนสำรวจตรวจข่าวจากสื่อมวลชนของเพื่อนบ้านฉบับต่างๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศไทยในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์บริหาร ยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศนั้น เป็นยุคที่ภาพพจน์ของรัฐไทยตกต่ำย่ำแย่ที่สุด

หลาย ชาติที่เคยมีสถานะในแวดวงระหว่างประเทศด้อยกว่าเรา เดี๋ยวนี้กลับมีสถานะแข็งแรงขึ้น ได้รับความร่วมมือดีขึ้น เสพจากสื่อของรัฐบาลไทย ท่านอาจจะมองว่ากัมพูชาเป็นประเทศราคาน้อยด้อยค่ากว่าไทย ทว่าในความเป็นจริง เดี๋ยวนี้เขมรผงาดความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ในแวดวงระหว่างประเทศแล้ว

พ.ศ.2553 นี่แหละ ที่กัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบกับชาติสำคัญในโลกมากกว่า 20 ประเทศ ประเทศที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากในการกระดิกพลิกตัวของกัมพูชาในครั้งนี้ก็ คือสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐฯ ทุ่มเงินทั้งหมดในการช่วยกัมพูชาในการซ้อมรบใน พ.ศ.2553 โดยที่ตนกระโจนเข้าร่วมซ้อมรบในครั้งนี้ด้วย

เป็นธรรมดาละครับ เมื่อชาติต่างๆเห็นว่าประเทศไทยในปัจจุบันทุกวันนี้อ่อนแอ มีรัฐบาลที่พึ่งพาไม่ได้ คบหาสมาคมไปก็ไร้ประโยชน์ ก็หันไปคบประเทศอื่น ผมตามคำวิเคราะห์ของสื่อหลายประเทศ และพอทราบการวิเคราะห์ของรัฐบาลของบางชาติมหาอำนาจ พวกนี้เชื่อว่า ปีหน้า พ.ศ.2553 อำนาจการบริหารชาติบ้านเมืองของไทยจะกลับไปอยู่สู่กลุ่มเดิม และจะอยู่อย่างมั่นคงยาวนาน

หลายคนเชื่อว่าโครงสร้างทางอำนาจของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเริ่มไม่เชื่อมั่นประเทศไทย

ทว่า มีความเชื่อมั่นในกัมพูชา จดหมายเชิญจากผู้คนสำคัญในรัฐบาลจึงถูกส่งมาที่กัมพูชาไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาลของรัสเซียก็เหมือนกัน เห็นความสำคัญของกัมพูชา จึงส่งจดหมายเชิญมาขอให้ผู้นำเขมรทุกระดับไปเยือนรัสเซีย

4-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จเฮง สำริน ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จึงบินไปเยือนรัสเซีย โอ้โฮ ทางรัสเซียต้อนรับขับสู้อย่างใหญ่ยิ่ง มีการหารือข้อราชการบานเบอะเยอะแยะ

นักลงทุนรัสเซียจำนวนไม่น้อย ตอนนี้กระดิกพลิกตัวจะมาลงทุนในกัมพูชา บริษัทท่องเที่ยวรัสเซียให้สัญญาว่าจะโปรโมตท่องเที่ยวกัมพูชาให้ระเบิด เถิดเทิง โดยเฉพาะพวกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์

รัสเซียมองว่าต่อไปในอนาคต ตนจะสามารถพึ่งพากัมพูชาได้เป็นเรื่องเป็นราว จึงประกาศยกหนี้ให้กัมพูชาทั้งหมด 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะ ที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชาแหลกสลายตายอยู่ในมือของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ แต่ความสัมพันธ์ของเขมรกับเพื่อนบ้านอื่นๆกลับงอกงามอย่างดี มีความเจริญอย่างยิ่ง ไม่ว่ากะเวียดนาม ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์

เสาร์ 26 ธันวาคม 2552 นายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น สุง ของเวียดนาม และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กอดกันกลมในงานวันร่วมกันเป็นประธานการประชุมการลงทุนเพื่อส่งเสริมความร่วม มือระหว่างกัน เมื่อไล่นับมูลค่าของโครงการทั้งหมดที่บันทึกไว้ในวันนั้นมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่า 2 แสนล้านบาทแล้ว BIDV หรือธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาของเวียดนาม ก็กระดิกพลิกตัวอย่างแรงเพื่อหาเงินให้นักธุรกิจเวียดนามเข้าไปลงทุนในแผ่น ดินกัมพูชา

ขณะที่มหาอำนาจชาติสำคัญและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายทั้ง ปวง ต่างเร่งสร้างและลงนามในบันทึกข้อตกลงกับเขมร แต่คณะรัฐมนตรีไทยซึ่งมีนโยบายหลักคือการไล่จับคนคนเดียว กลับมีมติเห็นชอบยกเลิกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นเมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ.2544 ว่าด้วยเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย

เขียนรับใช้ถึงตรงนี้แล้ว นิติภูมิก็อยากเรียนถามท่านว่า ไม่มีใครในคณะรัฐบาลไทยทราบเลยหรือ ว่าราชอาณาจักรไทยเป็นนิติรัฐและเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ที่ต้องเคารพในสิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว

ผมไปที่ไหนมีคนถาม เรื่องรัฐบาลไทยสมัยปัจจุบันทุ่มทุนไล่ล่าคนคนเดียว เป็นปีแล้วยังล่าได้ไม่สำเร็จ ทั้งๆที่มีผู้คนนับหมื่นเรือนแสน และมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านไปใช้ซื้อเครื่องมือไล่ล่า

คำประกาศยก เลิกบันทึกข้อตกลงของรัฐบาลไทย ทำให้นักกฎหมายหลายประเทศหัวร่องอหาย ว่าอะไรเกิดขึ้นกะรัฐบาลไทยที่นอกจากแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทะเลาะกับเพื่อนบ้านแล้ว ยังกล้าละเมิดต่อหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ทุก ชาติรัฐในโลกมนุษย์ปฏิบัติติดต่อกันมาช้านาน

หรือว่าหลายคนในรัฐบาลไทยชุดนี้อยากจะเลิกเป็นมนุษย์?

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

พท.เสี้ยม"เติ้ง"หันหลังให้ปชป.ไม่ร่วมแก้รธน. อ้างถูกชิงพื้นที่ภาคกลาง วิปรบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงกล

ที่มา:มติชนออนไลน์

พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมแก้ รธน. เสี้ยม"บรรหาร"ดิ้นดันวันแมนวันโหวต เหตุ ปชป.รุกคืบชิงพื้นที่ภาคกลาง วิป รบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงกล หันไปจับมือฝ่ายค้านลุยรื้อ 2 ปม คุยรู้ทันแผนยื่นซักฟอกพร้อมญัตติแก้ รธน. หวังทำพรรคร่วมแตกแยก

พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมรื้อรธน.

เรื่องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) อาจจับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย(ภท.)ผลักดันแก้ไข มาตรา 190 ว่าด้วยการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศต้องได้รับความเห็นขอบจากรัฐสภา และมาตรา 94 เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้น

นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวเมื่อวันที่ 1 มกราคม ว่า พท.ประกาศแล้วว่าจะไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญกับรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการเสนอโดยใคร เพราะการเข้าร่วมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เท่ากับเดินเข้าสู่เกมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการยื้อเวลาในการอยู่ในตำแหน่งให้ยาวนานออกไป ซึ่งถ้าฝ่ายค้านเข้าไปร่วมก็เท่ากับว่าไปประทับตราให้รัฐบาลอยู่ต่อ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่แรก เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปพิจารณาดู เมื่อครั้งที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้นำเสนอ 6 ประเด็นสำหรับการแก้ไขรรัฐธรรมนูญมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งตัวแทนมาพูดคุยกับพท. แต่พอกลับไปที่พรรคประชาธิปัตย์แกนนำพรรคทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันไปคนละทิศละทาง ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน

ยุ"เติ้ง"สลัดปชป.ร่วมมือกับเพื่อไท

"การที่นายบรรหารต้องการเร่งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพราะนายบรรหาร น่าจะเห็นแล้วว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นไม่เป็นธรรมกับพรรคชาติไทยพัฒนา เพราะจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ารุกคืบทำพื้นที่ในภาคกลางหลายจังหวัดได้ง่าย เพราะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ในขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่เสียเปรียบในเรื่องของทุน ที่หากเป็นเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง จึงอยากให้กลับมาใช้แบบวันแมนวันโหวต เขตเดียวเบอร์เดียว และนับวันพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามกินแดนของพรรคชาติไทยพัฒนาไปเรื่อยๆ จนขณะนี้แทบจะเหลือเพียงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้นที่ยังปลอดภัยอยู่" นายพีรพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในภาคอีสาน จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มที่นั่งในพื้นที่ ภาคกลาง เพื่อสู้กับพท. ในขณะที่ชทพ.ก็ควรรู้ว่าหากยังอยู่ตรงนั้นต่อไป ไม่ว่าจะไปร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่แก้ให้ จึงอยากจะฝากไปบอกนายบรรหารว่า หากอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ให้ออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่กับฝ่ายพท.

วิปรบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงเกมพท.

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างนายเนวิน และนายบรรหาร ออกมากดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐบาลไม่ได้ถ่วงเวลา เพียงแต่อยากขอเวลาไปหารือกับทุกฝ่ายก่อนว่ายังจะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯหรือไม่ จะต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะร่วมลงชื่อด้วยกันระหว่างส.ส.กับส.ว.หรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลหันไปร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านจริงก็สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องรอพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเกมของฝ่ายค้านที่หวังให้รัฐบาลเกิดความแตกแยกกัน เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เรื่องนี้ต้องขอความเห็นชอบของทุกฝ่ายก่อน

ชทพ.ขอจับมือทุกพรรคแก้เว้นปชป.

นายภราดร ปริศนานันทกุล วิปรัฐบาลจากชทพ.กล่าวว่า ชทพ. พร้อมสนับสนุนแนวคิดของนายบรรหาร ในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับภท. หาก ชทพ.จะร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นโดยยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็คงสามารถทำได้ เพราะสามารถเสนอญัตติขอแก้เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงของสมาชิกรัฐสภาเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น เมื่อเปิดสภาก็ทำได้เลย อีกทั้งตอนนี้พรรคไม่แน่ใจกับท่าทีพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ผ่านมาบอกว่าทนเห็นสภาพของบ้านเมืองที่ขัดแย้งไม่ได้

"พรรคประชาธิปัตย์เคยบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคืนความสมานฉันท์ แต่ต่อมากลับบอกว่าไม่แก้ไขแล้ว จึงไม่ทราบว่าจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ทำให้ตอนนี้จึงมีแนวคิดจะใช้ช่องทาง 1 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภา หากพรรคภูมิใจไทยเสนอแก้ไขมาตรา 190 และมาตราเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว เราก็อาจสนับสนุนด้วยไม่ใช่เฉพาะพรรคภูมิใจไทย แต่ถ้ามีการเสนอให้แก้มาตรา 237 (ยุบพรรค) ชทพ.จะไม่ร่วมแก้ด้วยแน่นอน" นายภราดรกล่าว

เมื่อถามว่า หากเปิดสภาแล้วพรรคชทพ.พร้อมจะเป็นผู้นำเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า พรรคชทพ.มีแค่ 25 เสียง หากทำแค่พรรคเดียวไม่สามารถทำได้ ก็ต้องดูก่อนว่าได้รับความร่วมมือจากพรรคไหนบ้าง แต่หากมีพรรคอื่นเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา พรรคชทพ.ก็พร้อมจะร่วมลงชื่อด้วย และหากพรรคชทพ.ไม่เห็นด้วยกับประเด็นใดก็ไม่ร่วมลงชื่อด้วย เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ยังเมินแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ พรรคร่วมรัฐบาลก็พร้อมเดินหน้ายื่นญัตติใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ต้องดูก่อน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้มี 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่อีกฝั่งคัดค้าน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งต้องจับตาดูเมื่อเปิดสภาแล้วจะเป็นอย่างไร และชทพ. คงต้องรอดูท่าทีของพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะร่วมลงชื่อกับแนวคิดนี้หรือไม่ด้วย ซึ่งเหล่านี้อาจเป็นไปได้ทุกทาง

รู้ทันแผนสร้างรอยร้าวให้พรรค รบ.

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ กล่าวถึงการเตรียมการรับมือฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาสามัญที่จะถึงนี้ว่าา วิปรัฐบาลประชุมเตรียมการรับศึกซักฟอกไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนเทศกาลปีใหม่ และได้มีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมา 3 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะทำงานจัดเตรียมข้อมูล มีน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม 2.คณะทำงานดูแลระเบียบข้อบังคับ มีนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ทีม และ 3.คณะทำงานชี้แจงและประชาสัมพันธ์มีนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม โดยจะให้คณะทำงานทุกชุดไปรวบรวมข้อมูลที่คาดว่าฝ่ายค้านจะหยิบมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนนำมาสรุปอีกครั้งในการประชุมวันที่ 18 มกราคมนี้

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์กันภายในวิปรัฐบาล คาดว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติของเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมกับญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาเดียวกัน ซึ่งคาดว่าประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์เพื่อให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาล แต่จากการที่ตนประสานงานและติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันได้ว่าภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความแตกแยก ที่สำคัญวิปรัฐบาลไม่กลัวว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวจะทำให้รัฐมนตรีคนใดหลุดจากตำแหน่ง เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดที่หลุดจากตำแหน่งเพราะเสียงไม่ไว้วางใจมากกว่าเสียงไว้วางใจ ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่ต้องหลุดจากเก้าอี้มีเพียงคนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้เท่านั้น ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วิปรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละคนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่

หาก"มานิต"อยู่ต่อคงไม่"ถูกน็อค"

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จากภท.ยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปทั้งที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งของสธ. ระบุ นายมานิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต จะถือเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลถูกน็อคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าหากนายมานิตยังอยู่ในตำแหน่งจนถึงช่วงซักฟอกจะต้องมีข้อเท็จจริงที่สามารถชี้แจงได้ แต่ส่วนตัวเชื่อมั่นว่านายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรัฐมนตรีว่าการสธ. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต แม้จะลาออกแสดงความรับผิดชอบไปแล้วก็ตาม เพราะนายวิทยายืนยันมาตลอดว่า สธ.ไม่เคยนำเงินจากงบโครงการไทยเข้มแข็งออกไปใช้แม้แต่บาทเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลาทีปีวัว


อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี ปีวัว ก็จะผ่านไป และ ปีเสือ จะเข้ามาแทนที่ แต่ยังไม่ทันข้ามปีเลย 4 นักการเมือง วิทยา แก้วภราดัย มานิต นพอมรบดี รมว. และ รมช.สาธารณสุข กับอีก 2 นักการเมือง และ 8 ข้าราชการ

ก็โดนเสือขย้ำเรียบร้อย จากผลสอบทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง ทำท่าจะเป็นปีเสือดุจริง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นปี

หันไปดูช่วงปีที่แล้ว ปฏิเสธยากว่าชะตากรรมบ้านเมืองยังคงส่งผลต่อชะตากรรมคนไทยโดยตรง อย่างที่ชอบพูดกันนักว่า ถ้าการเมืองไม่นิ่ง บ้านเมืองก็ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้เลย เป็นความจริงเลย

และหากไทยยังจมปลักกับวงจรอุบาทว์ ปฏิวัติร่าง รธน.ปิศาจ มาปก ครองบ้านเมือง อีกไม่กี่ปี เวียดนาม จะทะยานเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากของไทย

เห็นชัด ประมูลข้าวครั้งหลัง ๆ ไทยแพ้เวียดนามกระจุย กีฬาซีเกมส์ ที่ไทยเคยเป็นเจ้าเหรียญทองมาตลอด แม้ปีนี้จะรักษาแชมป์ไว้ได้ แต่เวียดนามก็มาหาย ใจรดต้นคอแล้ว แพ้อยู่ไม่กี่เหรียญ

นั่นแสดงว่า ขณะที่เราย่ำเท้าอยู่กับที่ คนอื่นไปไกลลิบ และอีกไม่นาน ลาว กัมพูชา พม่า ก็คงแซงหน้าไทย อย่าทำเป็นเล่นไป การเมืองที่อ่อนแอ ประชาชนแตกแยกรุนแรง มีแต่ความเสี่ยง

ใครอยากเข้ามาลงทุน

ปีหนึ่งเคยมีนายกฯ ถึง 4 คน นายสมัคร สุนทรเวช (ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว) ตกเก้าอี้ เพราะไปทำรายการอาหารโชว์ทางทีวี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกเก้าอี้ เพราะพรรคถูกยุบซ้ำแล้วซ้ำอีก

นาย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกฯ ทั้งถูกบีบ ถูกกล่อม มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยน จนยอมแปรพักตร์ไปอยู่กับทหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯปัจจุบัน รู้กันไปทั้งโลก เป็นรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหาร

เมื่อที่มาไม่สง่างาม มีหักหลัง มี งูเห่า ปฏิวัติซ่อนรูป ตามแผนบันได 4 ขั้น ของ คมช. ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ เผลอประกาศไว้เป็นหลักฐานมัดคอ การไม่ยอมรับจึงเป็นเรื่อง ปกติ

เหนืออื่นใด เมื่อ อภิสิทธิ์ มาเป็นรัฐบาล ก็ น่าผิดหวัง เพราะใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน เช่น คนเสื้อแดงชุมนุม จะงัด พ.ร.บ.ความมั่นคงมาใช้แทบทุกครั้ง คดีสงกรานต์เลือดของเสื้อแดง ก็สั่งฟ้อง และตัดสินเร็วมาก

ขณะที่คดีคนเสื้อเหลืองยึดทำเนียบฯ 2-3 เดือน ระบบคอมพ์ อย่างเดียวพังไป 40 กว่าล้าน สนามหญ้า แอร์ ค่าน้ำ ค่าไฟ อีกเป็นร้อยล้าน แต่จู่ ๆ มีการไปถอนแจ้งความดื้อ ๆ

นี่หรือ ความเป็นธรรม

คดี ยึดสนามบิน ที่เสียหายเป็นแสน ๆ ล้าน ทั้งโลกถือว่า เข้าข่ายก่อการร้ายสากล ผ่านมาเป็นปี ๆ ทุกคนยังลอยนวลสบายใจเฉิบ รวมทั้งคดีระเบิดเวลา ยุบพรรค ปชป. ก็ตั้งท่าจะรอด ตั้งแต่ไก่ไม่ทันโห่ ???

ทั้งหมดนี่ล่ะ ที่ทำให้การกำจัด มันคนเดียว ล้มเหลวมาตลอด และยังจะล้มเหลวต่อไป หาก ความเป็นธรรมไม่มี สันติสุข ก็ไม่เกิด จะมีแต่ความคัดแค้นไม่สิ้นสุด

บอกตรง ๆ ยังมองไม่เห็นทางออกเลย นอกจากชวนท่านผู้อ่านร่วมภาวนา ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้คนไทยมีความเมตตาต่อกันบ้าง จะได้ไม่ต้องเกิดสงครามกลางเมืองแบบที่วิตกกัน

ขอให้ปีหน้าฟ้าใหม่ ท่านผู้อ่านทุกท่านจงสุขกาย สุขใจ คิดอ่านอะไร ขอให้ได้ตามที่หวัง มีสุขภาพแข็งแรง มีปัญญาเฉียบคมฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ทุกประการ... เทอญ.

ดาวประกายพรึก

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

10 ข่าวเด่นกองทัพ ‘ปีฉลู’


ที่มา:บางกอกทูเดย์
ในรอบปี 2552 เหตุการณ์บ้านเมืองมีหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของนักการเมืองที่ยังไม่ยอมปล่อยวางจากอำนาจอันหอมหวานขณะเดียวกัน “กองทัพ” ในฐานะกำลังหลักที่ปกป้องประเทศชาติในรอบปีก็ออกมาแสดงบทบาทมากกว่าทุกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในกองทัพ “บางกอกทูเดย์” ได้จัดอันดับ ข่าวเด่นที่เกิดขึ้นในกองทัพมาส่งท้ายปี

อันดับที่ 1 ย้อนเกล็ด “ลับ ลวง พราง”
เมื่อนักข่าวสาว สายทหาร “วาสนา นาน่วม” เปิดเผยบทสัมภาษณ์ “ขิงแก่” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมเป็นคนกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาอย่างมากในสังคมที่อยู่ดีๆ “บิ๊กแอ๊ด” จะอาสาเคลียร์ทุกเรื่องกับ “ทักษิณ” ซึ่งฝ่าย “ทักษิณ” ก็เสนอ3 เงื่อนไขหากมีการเจรจาทั้ง “เสนอให้รัฐบาลยุบสภา –นำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้เลือกตั้งใหม่ทุกฝ่ายทุกสีต้องให้สัตยาบันร่วมกันว่าต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และไม่ไปดำเนินการใดๆ นอกสภา”แต่ข้อเสนอทั้งหมดยังไม่ทันจะได้พูดคุยระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล “บิ๊กแอ๊ด” ก็ออกมาเบรกข่าวทั้งหมดว่า “ไม่เคยพูด”ที่จะเป็นตัวกลางเจรจากับ “ทักษิณ” แถมยังมีประเด็นใหม่เกิดตามมาคือ “นักข่าว” มั่วเอง และยังทิ้งปมให้นักข่าวสาวว่าเธอไม่ใช่คนเดิมสุดท้าย “วาสนา นาน่วม” ต้องออกมายอมเป็นกระโถนให้“บิ๊กแอ๊ด” เพราะเธอเข้าใจว่างานนี้ “บิ๊กแอ๊ด” คงโดนผู้ใหญ่อัดมาเยอะเช่นกันข่าวนี้จึงถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของข่าวสาร จากสายทหารในรอบปี

ส่วนอันดับที่ 2 ต้องยกให้ข่าวนี้ “ผู้ทรงคุณ วุฒิชน ผบ.ทบ.”
ศึกภายในรั้วแดง กำแพงเหลือง ระหว่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.งานนี้ เสธ.แดง สวมบทฮาร์ดคอร์ ทันทีที่ถูก ทบ.ตั้งกรรมการสอบวินัย ที่หนีราชการไปพบ “ทักษิณ” ที่กัมพูชา และเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการนำอดีตทหารพรานมาเป็น การ์ดให้กับกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2552เสธ.แดง ถึงขั้นลมออกหู จนฟิวขาดออกมาสับ “บิ๊กป๊อก” จนเละว่า “กูทำอะไรมึง” กลายเป็นวิวาทะก่อนที่เรื่องจะหายไปเมื่อเรื่องถูกส่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดย ทบ.เสนอให้ปลดเสธ.แดง ออกจากราชการขณะที่ เสธ.แดงยังสร้างสงครามประสาทออกมาโจมตี ผบ.ทบ.และยื่นเรื่องกรมพระธรรมนูญเอาผิด ผบ.ทบ.ที่ออกทีวีกดดันนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งเป็นนายกฯ ลาออกจากตำแหน่งข่าวนี้จึงมาแรงไม่แพ้ข่าวอันดับที่ 1

มาที่อันดับที่ 3 “ทหารคุมเข้มสงกรานต์เลือด”
ข่าวที่คนไทยทุกคนไม่อาจลืมได้ เพราะเหตุการณ์ “ทหารถือปืน”และ คนเสื้อแดง ออกมาเผารถเมล์กลางถนน ในวันสงกรานต์จนรัฐบาลต้องออกมาประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เพื่อควบคุมสถานการณ์เหตุการณ์ครั้้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกที่ประชุมอาเซียน ที่พัทยาจนต้องยกเลิกการประชุม รวมทั้งเหตุการณ์ที่คนเสื้อแดงบุกทุบรถนายกรัฐมนตรี ในกระทรวงมหาดไทยแต่เพียง 1 วันหลังจากทหารออกมาควบคุมสถานการณ์เหตุการณ์ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อแกนนำประกาศขอเข้ามอบตัว และ ยอมสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลไม่เพียงแค่ภาพความรุนแรงที่ปรากฏออกมาจะเป็นประเด็นทางการเมือง ยังมีอาฟเตอร์ช็อคเมื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาแฉว่า “ทหารฆ่าประชาชน” และนำศพไปทิ้งแถว จ.ลพบุรีจนกองทัพต้องออกมาชี้แจงว่า ไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ทหารออกมา และกระสุนที่ใช้เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกซ้อมเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอีกว่า ที่สุดแล้วใครที่โกหกคำโตกันแน่ระหว่าง “คนเสื้อแดง” กับ “กองทัพ”

มาที่อันดับที่ 4 “พ.ร.บ.ความมั่นคง อาวุธลับกองทัพ-รัฐบาล”
เป็น พ.ร.บ.ที่ถูกประกาศใช้มากที่สุดในรอบปี เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงรัฐบาลจะเลือกใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่เขตการชุมนุมทั้งในพื้นที่เขตดุสิตและบริเวณโดยรอบ ซึ่งการประกาศใช้ทุกครั้งได้ผลเป็นอย่างดี การชุมนุมในแต่ละครั้งผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนทำให้รัฐบาลถูกมองว่ามี พ.ร.บ.ความมั่นคงไว้ปราบม็อบ

ส่วนอันดับที่ 5 “ซื้อใจหมื่นล้าน”
เมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รอง นายกฯด้านความมั่นคง นั่งหัวโต๊ะประชุม ครม.แทนนายกรัฐมนตรีที่ติดภารกิจ ประชุมสมัชชาสหประชาติ ณ นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ไฟเขียวงบจัดซื้ออาวุธล็อตใหญ่ วงเงินหลายหมื่นล้านบาท ทั้งงบจัดซื้อจัดหาเฮลิคอปเตอร์ซีฮอร์ก ปราบเรือดำนํ้า จัดหาปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มิลลิเมตรของ ทบ. อนุมัติงบ สำหรับจัดหาอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน เป็นต้นซึ่งงานนี้ถูกมองว่าเป็นการ “ซื้อใจ” กองทัพ ที่เข้ามาคํ้ายันเก้าอี้รัฐบาลชุดนี้ให้อยู่ไปตลอดรอดฝั่งข่าวคราวที่เกิดขึ้นในรอบปี

อันดับที่ 6 “นครปัตตานีประเด็นร้อนแห่งปี”
การออกมาเปิดประเด็นแก้ปัญหาความไม่สงบของ“พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยด้วยแนวคิดจัดตั้ง “นครปัตตานี” ในรูปแบบเขตปกครองพิเศษเป็นที่จับตามองจากหลายฝ่ายว่าแนวคิดหวังผลทางการเมืองหรือไม่ หรือ แค่สร้างกระแสดิสเครดิตรัฐบาลเรื่อง “พ่อใหญ่” ออกมายืนยันว่า ต้องการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในภาคใต้ เพราะมองดูแนวทางแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลแล้วยังไม่ถูกทาง อย่างที่รัฐบาลบอกมาแน่นอนว่าเรื่องนี้ “รัฐบาล” ได้ตีเจตนาของ “พ่อใหญ่จิ๋ว”ไปในทางหวังผลทางการเมือง มากกว่าจะออกมาสร้างบ้านแปลงเมืองทำให้แนวคิดนี้ยังอยู่บนหิ้ง ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง

อันดับที่ 7 “ศึกเขาพระวิหาร”
เป็นมหากาพย์ของทั้ง ไทยและกัมพูชา ที่ต้องมาเผชิญหน้ากันเพื่อรักษาอธิปไตย เมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลให้สถานการณ์แนวชายแดนไทยกัมพูชา กลับมาปะทุอีกครั้งเมื่อทหารพรานเหยียบกับระเบิด เสียชีวิต 1 นาย บนภูมะเขือ ระหว่างเดินลาดตระเวน ซึ่งไทยเชื่อว่าเป็นกับระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ ทั้งๆ ที่มีอนุสัญญาที่เลิกวางกับระเบิดไปแล้วจากนั้นทั้ง 2 ฝ่าย ต่างเสริมกำลังตามแนวชายแดนพร้อมขนอาวุธหนัก รอคำสั่งหากมีการปะทะอีกรอบ แต่ระหว่างที่ทหารทั้ง 2 ฝ่าย ตรึงกำลังแนวชายแดนนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในฝั่งไทยเมื่อม็อบพันธมิตรฯ บุกทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารจากกัมพูชา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด ทำให้เกิดการปะทะกับชาวบ้าน บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษผลปรากฏว่า ทั้งม็อบและชาวบ้าน บาดเจ็บหัวร้างข้างแตกกันไปหลายรายขณะที่ชาวกัมพูชา นั่งมองคนไทยตีกันเอง!จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ขยายผลมาถึงการจับกุมวิศวกรชาวไทย ที่ถูกกระทรวงต่างประเทศล้วงข้อมูลตารางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากที่รัฐบาลไทยลดความสัมพันธ์ทางการทูต ด้วยการส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับกัมพูชาก่อนที่วิศวกรชาวไทยจะได้รับการพระราชทาน “อภัยโทษ”โดยการประสานจาก พล.อ.ชวลิต ที่ส่งหนังสือขออภัยโทษจากสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จนถูกมองว่ามีการจัดฉาก หรือไม่

อันดับที่ 8 เป็นข่าวที่สืบเนื่องมาจากข่าวอันดับที่ 7
นั้นคือ “ไทยยกเลิกเอ็มโอยูกัมพูชา”หลังรัฐบาลกัมพูชา แต่งตั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและไทยได้ลดความสัมพันธ์ทางการทูตไปแล้วมาตรการต่อมาที่รัฐบาลหยิบมาใช้คือ การยกเลิก บันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณอ่าวไทย ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน2544 บนเนื้อที่ 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตรมาตรการดังกล่าวยิ่งส่งผลให้สถานการณ์แนวชายแดนตึงเครียดมากขึ้น

อันดับที่ 9 “บิ๊กบังเล่นการเมืองไม่ ลับ ลวง พราง”
หลังซุ่มอยู่หลังฉากมาสักพัก ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวของ “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช.ที่เหมือนหัวเรือใหญ่ที่เตรียมนำทัพ พรรคมาตุภูมิ เข้าสู่เส้นทางการเมือง09.20 น. วันที่ 18 พ.ย. เป็นฤกษ์งามยามดีที่ พรรคมาตุภูมิลั่นกลองรบเปิดตัวแม่ทัพ อย่างเป็นทางการ โดย พล.อ.สนธิยอมรับว่าการเข้ามาร่วมงานกับพรรคการเมืองอย่างพรรคมาตุภูมิเป็นเพราะพรรคมาตุภูมิ มีนโยบายที่เป็นกลางการออกมาประกาศเล่นการเมืองของ “บิ๊กบัง” อาจไม่เกินความคาดหมาย แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายจับตาคือ อนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กบัง” ในบทบาทหัวหน้าพรรคการเมือง จะไปได้ถึงฝั่งฝันหรือไม่ เป็นสิ่งที่สังคมกำลังจับตา

อันดับสุดท้ายอันที่ 10 “แห่ชมบินธันเดอร์เบิร์ด”
เป็นภาพของความสุขของคนไทย ที่ได้ชมการแสดงของฝูงบิน“ธันเดอร์เบิร์ด” ที่เปิดการแสดง ณ สนามบินดอนเมืองซึ่งการแสดงครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมากที่เข้าชม จนทำให้รถติดยาวหลายสิบกิโลเมตร รวมถึงบนทางยกระดับโทลล์เวย์ที่ประชาชนหยุดรถเพื่อชมการแสดง ส่งผลให้การจราจรติดหนักเป็นประวัติการณ์ขณะที่ประชาชนที่เข้าชมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการแสดงชุดนี้ตื่นเต้นและสนุกมาก ทำให้กองทัพอากาศไทยยิ้มแก้มปริ...

การเมืองไทยปีพ.ศ.2553 / หัวโขน หัวคน

ที่มา:สยามรัฐออนไลน์

การเมืองไทยอลเวงปั่นป่วนขัดแย้งกันไม่จบสิ้นมานานหลายปี มีคนตั้งคำถามว่า ปีพ.ศ.2553 พรรคการเมืองจะมีสภาพเป็นอย่างไร จะมีพรรคไหนอยู่ พรรคไหนพัง

คำถามนี้ทำให้ต้องทบทวนเพื่อให้มองเห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งจับประเด็นได้ดังนี้

1.ถ้ารัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ยังมุ่งมั่นยึดกุมอำนาจไปให้นานที่สุด การเมืองไทยจะต่อสู้กันอย่างรุนแรง พรรคเพื่อไทยจะโหมรุกหนัก เพื่อให้แตกหักกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียหายมากกว่าที่ผ่านมา

2.ถ้ารัฐบาลพังด้วยเหตุที่ขัดแย้งกับพรรคร่วม และพรรคร่วมทั้งหมดสละเรือทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ไปเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย แล้วนำรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นฝ่ายค้าน และหมดโอกาสที่จะหวนกลับมายิ่งใหญ่อีกต่อไป

3.ถ้าหากไม่เป็นไปตามที่ข้อ 1.และข้อ 2. โดยมีเหตุการณ์จลาจลทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพวิกฤต จนฝ่ายทหารต้องใช้กำลังเข้ามายุติปัญหา สภาพเช่นนี้จะทำให้การเมืองไทยหวนกลับไปสู่ยุคเผด็จการ หรือกึ่งเผด็จการเหมือนในอดีต

ในช่วงที่ฝ่ายทหารเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ การเคลื่อนไหวทางการเมืองจะหยุดนิ่ง จนกว่าจะมีการกำหนดกติกาขึ้นมาใหม่ และมีการเลือกตั้ง

จากประเด็นที่ตั้งไว้ข้างต้น ทำให้มองเห็นว่าในรอบปีพ.ศ.2553 พรรคการเมืองก็คือ

ตัวกำหนดทิศทางของประเทศไทย ว่าจะดำเนินไปในลักษณะไหน

ถ้าคนในแต่ละพรรคมองเห็นตรงกันว่า จะต้องช่วยรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ โดยต่อสู้กันภายในกรอบกติกาของรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นในหลัก”การเมือง แก้ด้วยการเมือง” มีสปิริตยอมรับในเรื่องการรู้แพ้รู้ชนะ ทุกพรรคการเมืองก็จะอยู่รอดครบถ้วน และมีโอกาสทำงานการเมืองกันต่อไป

แต่ถ้านักการเมืองมองเห็นผิดเป็นชอบ ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน ไม่เคารพกฎกติกา และยอมให้อำนาจนอกระบบหรือกระบวนการของกลุ่มอำนาจอิทธิพลใดๆเข้ามาแทรกแซง เพื่อทำให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์ โดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติจะเสียหายมากแค่ไหน

ระบอบประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด และนั่นหมายถึงพรรคการเมืองก็จะไม่รอดไปด้วย

การเมืองในประเทศพัฒนาแล้วถือหลักว่า นักการเมืองมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการปกป้องรักษาอำนาจอธิปไตยของประชาชน โดยการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ การทำตามกฎกติกาและกฎหมาย และพร้อมที่จะต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ภาระหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่จะพิทักษ์รักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ได้

บทเรียนที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีค่า นักการเมืองจะต้องไม่ยอมให้กลุ่มอำนาจนอกระบบเข้ามามีอิทธิพลหรือมาบงการ เพื่อแลกกับความมั่นคงของพรรคการเมือง เพราะถ้าหากยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มเหล่านั้น สังคมก็จะมีแต่ความขัดแย้งแตกแยก บ้านเมืองไม่มีหลักเกณฑ์ให้ยึดถือ มีการใช้กฎหมู่หักล้างทำลายกฎหมาย รวมทั้งทำลายรัฐธรรมนูญอันเป็นกติกาสูงสุดด้วย

นักการเมืองที่มีอุดมการณ์อย่างแท้จริง จะต้องต่อสู้แบบหัวชนฝา ต้องยอมถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลก โดยไม่ปล่อยให้อำนาจนอกระบบแทรกเข้ามาบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย ถ้ามีใครทำตัวอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ หรือยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร นักการเมืองก็มีหน้าที่ต้องต่อสู้กับคนเหล่านั้น

มิใช่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม หรือไปขอความปกป้องคุ้มครองจากกลุ่มที่ทำผิดกฎกติกา

ดังนั้นจึงขอย้ำว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะดำรงคงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและพฤติกรรมของนักการเมืองเป็นสำคัญ

ถ้านักการเมืองสามารถพัฒนาตนเองให้มีมาตรฐานสูงขึ้น ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจอิทธพิลที่อยู่นอกระบบ ในอนาคตประเทศไทยก็จะมีพรรคใหญ่ต่อสู้กันแค่ 2 พรรค เหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว

เบื้องลึกศึก"เสธ.แดง" "ป๊อก-ป้อม"ไม่มีทางเลือก ล้างบาง"ทหารสีแดง"


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ดับเครื่องชน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก อะไรและทำไม "ป๊อก-ป้อม" ต้อง ล้างบาง"ทหารสีแดง" ตามไปดูปมขัดแย้งที่ร้าวลึกที่มีเงาทะมึนของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลัง

...18 ธันวาคม 2552 พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางมายื่นหนังสือ พร้อมด้วยเอกสารถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้มีการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานความผิดกฎหมายอาญาทหาร จากกรณีข่มขู่และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เมื่อครั้งนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน และการออกรายการโทรทัศน์ข่มขู่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ยุบสภา


เสธ. แดง ลั่นวาจาว่า ถ้าจะสั่งพักราชการตน จะต้องสั่งพักราชการ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย เนื่องจากมีฐานความผิดเดียวกัน


รายงานพิเศษ ฉบับนี้ จะเจาะ เบื้องลึกศึก"เสธ.แดง" วันที่ "ป๊อก-ป้อม"ไม่มีทางเลือก ล้างบาง"ทหารสีแดง"

... ความสนิทสนมแนบแน่นของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กับพี่ใหญ่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. นั้นเป็นที่รับทราบรับรู้กันทั่ว


แม้ว่า ฝ่ายแรกจะเป็นสวมหมวกเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองคนสำคัญ และฝ่ายหลังเป็นผู้นำกองทัพ ที่เคยประกาศจะไม่ยุ่งการเมือง แต่ทว่า ก็ไม่สามารถรักษาระยะห่างกับนายสุเทพได้


การต้องทำงานประสานกันใกล้ชิด รวมทั้งการเดินเกมใต้ดิน เพื่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถือเป็น "ศัตรูร่วม" ตั้งแต่ช่วยกันจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในค่ายทหาร เรื่อยมา ทำให้พวกเขายิ่งลึกซึ้ง

แต่ด้วยนายสุเทพรู้ดีว่า คนคุมอำนาจจริงๆ คือ พล.อ.อนุพงษ์ และคนที่เดินเกมต่างๆ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวจริงคนนี้ เขาจึงทุ่มทุกอย่างให้


แถมซ้ำเจอกลยุทธ์เกาะติดหนึบของนายสุเทพ ที่เทียวไล้เทียวขื่อ เป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาน้องป๊อกและน้องตู่ มากินข้าวกลางวัน คุยเรื่องลับ ตกเย็นจิบไวน์ด้วยกัน


ยิ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเสี่ยง ทำงานใต้ดินและบนดินกันมาตลอด จึงยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นดั่งเพื่อนและพี่น้องร่วมสาบาน ที่วัยไม่ต่างกันมาก ถึงขั้นที่นายสุเทพเคยพูดกลางวงว่า "พวกเราเป็นพี่น้องกัน"

แต่ทว่า หากต้องกรีดเลือดร่วมสาบาน ก็คงเห็นเลือดสีเหลืองที่เหมือนกัน โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังมีเลือดสีน้ำเงิน แห่งความจงรักภักดีปนอยู่ด้วย


ในมิตรภาพนี้ ไม่ใช่แค่นายสุเทพ ที่กลายเป็นปากเสียงแทนทหาร คอยช่วยดูแลเรื่องงบประมาณให้ แต่บางอย่าง ฝ่ายบิ๊กทหารก็ยอมให้นายสุเทพ


ยิ่งเมื่อนายสุเทพเชิญร่วมโต๊ะมื้อเย็น โดยมีการประชุมหารือด้วย ทั้งที่ต้องควบคุมน้ำหนัก แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ต้องยอม ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องรักษาสุขภาพ ก็ยังต้องมา


นอกจากจิ้มหยิบอะไรเข้าปากพอรองท้อง เพราะกลัวอ้วน พล.อ.อนุพงษ์ ก็ต้องมีการดื่มและจิบ เพื่อเพิ่มบรรยากาศแห่งมิตรภาพ และเพื่อให้การสนทนาออกรส

แต่ต้องหลังจากการคุยเรื่องงานหนักๆ ซีเรียสๆ ทั้งเรื่องคนที่อยู่ที่ดูไบ เรื่องเขมร และเสื้อแดงเสร็จแล้ว เพื่อจะได้พักผ่อนบ้าง ด้วยการคุยเรื่องสนุกสนาน คลายเครียดกัน แต่ที่สุดเรื่องที่สนทนากันก็ไม่พ้นต้องวกกลับมาเรื่องการเมืองและทหารอยู่ดี


นอกจากเป็นคอไวน์เหมือนกันแล้ว ในบางอารมณ์ของการสนทนา เมื่อนายสุเทพชวนจิบวิสกี้ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยอมหันมาจิบวิสกี้ ตามประสาคอโซดาน้ำด้วยกัน แต่ไม่ได้จิบแบล็ค เลเบิ้ล เพราะระดับมหาอำนาจ ก็ต้องยกชั้นเป็น กรีน เลเบิ้ล และ บลู เลเบิ้ล


ขนาดว่า สุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก และต้องกินยาบำรุง วิตามิน หลังอาหาร แต่เมื่อเข้าสู่วงสนทนาวิสกี้สัมพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จำต้องจิบ แต่ก็แค่พอเป็นพิธี เพื่อให้บรรยากาศแห่งการร่ำสุรา เป็นไปด้วยมิตรภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องกลายเป็นขุนพลแก้วเดียว (ตลอดคืน)


ความแนบแน่นกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว ยังทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ยอมไฟเขียวให้ ตั้ง เสธ.แก๊ก พ.ท.พงศ์ณุภา เวชชาชีวะ หลานชายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็น ผบ.ม.พัน 11 รอ. คุมกำลังรถถังปฏิวัติ ของ พล.ม.2 รอ. ที่สระบุรี


เพราะงานนี้ เป็นรายการ "คุณ (มาร์ค) ขอมา" ผ่านทาง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งถือว่ามีความใกล้ชิดมากที่สุดในบรรดาผู้นำทหาร 3 ป. อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รอง ผบ.ทบ. ก็เป็นประธานการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับผู้บังคับกองพันด้วย แต่ท้ายที่สุดต้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ ลงนาม


แม้จะมีเสียงคัดค้าน ด้วยเหตุที่ พ.ท.พงศ์ณุภา ยังเด็ก เป็นเตรียมทหารรุ่น 33 ในขณะที่ผู้บังคับกองพันทหารม้าอื่นๆ ยังเป็นรุ่นพี่ รุ่น 27-29 ห่างกันหลายรุ่นอยู่ แต่จากคำขอที่จะเป็น ผบ.ม.พัน 1 รอ. คุมกำลังหลักในกรุงเทพฯ ก็จึงต้องให้ไปเป็น ม.พัน 11 รอ. แทน จึงโยก พ.ท.ชัยยันต์ ปรีชา (ตท.26) จาก ผบ.ม.พัน 11 รอ. มาเป็น ผบ.ม.พัน 1 รอ. เพื่อหลีกทางให้หลานชายนายกฯ


เพราะด้วยสัมพันธ์เปรี้ยวกับนายอภิสิทธิ์ ที่ชอบฟังและเชื่อแกนนำสีเหลืองอย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นั้น พล.อ.อนุพงษ์ แทบไม่อยากจะช่วย แต่เพราะมีนายสุเทพมาช่วยขออีกแรงหนึ่ง

ที่สำคัญ มีการหารือกันว่า จะเป็นการเริ่มต้นของการสร้างทายาท เวชชาชีวะ เพื่อคุมกำลังทหารม้าในกองทัพตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะเติบใหญ่คุมกำลังในวันหน้า อันเป็นการส่งสัญญาณถึงการผนึกเป็นฝ่ายเดียวกัน พวกเดียวกันตลอดไปด้วยนั่นเอง


ไม่แค่นั้น โผโยกย้าย 153 ผู้พันล่าสุด ยังมีการเด้งล้างบางทหารสายสีแดงครั้งใหญ่ในกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เคยสั่งเปลี่ยน ผู้พัน ปตอ. บางคน ไปแล้ว เพราะแค่ผู้หญิงที่สนิทสนมเป็นแกนนำเสื้อแดงแห่งเมืองนนท์


ทั้งๆ ที่ ผบ.หน่วย ไม่ได้เป็นสีแดง แต่แค่เพราะได้ชื่อว่าเป็น "เด็ก" ของ "บิ๊ก ย.ย." พล.ต.ยอดยุทธ บุญญาธิการ รอง ผบ.นปอ. ซึ่งเป็น ผบ.พล.ปตอ. คนก่อน และมีความสนิทสนมกับ บิ๊กตู่ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ อดีต ผช.ผบ.ทบ. เพื่อน ตท.10 ที่ สนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก จนเคยถูกวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ. แต่ฝันสลายเพราะปฏิวัติ 19 กันยายน นั่นเอง


แถมความสัมพันธ์ ที่แม้จะเป็นทั้งเพื่อนตอนประถม-มัธยม ที่โรงเรียนพันธวัฒนา และเพื่อน ตท.10 ด้วยก็ตาม แต่การถูกปล้นเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่เขาเกือบจะได้นั่ง ก็ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.พรชัย เดินกันคนละทาง และอยู่กันคนละสี


ดังนั้น โอกาสของ พล.ต.ยอดยุทธ ที่จะขึ้นเป็น ผบ.นปอ. จึงยิ่งริบหรี่ แม้ว่าจะเป็นทหารเก่ง สุขุม หรือเป็นเพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม แต่ก็ทำให้ พล.ต.อำพล ชูประทุม ผบ.พล.ปตอ. คนปัจจุบัน เพื่อน ตท.12 มีโอกาสขึ้นมาแทน เขาจึงได้จัดทัพ ผู้พันปตอ. ของเขาเองใหม่หมด ทั้งๆ ที่บางคนเป็นผู้พันมาแค่ 1-2 ปีเท่านั้น ที่ทำให้ พล.ปตอ. ระส่ำไม่น้อย


พ.ท.วุฒิศักดิ์ วิริยราชวัลลภ (ตท.31) ถูกย้ายจาก ผบ.ปตอ.พัน 2 เข้าเป็น ผช.ผอ.กองแผน นปอ. เป็นพันโทตามเดิม โดยให้ พ.ท.ธิษณ เกิดประเสริฐ (ตท.29) ขึ้นมาเป็น ผบ.ปตอ.พัน 2 แทน


พ.ท.ชาคริต คิดประเสริฐ (ตท.27) ผบ.ปตอ.พัน 3 ขยับเป็น พันเอก หัวหน้าส่วนปฏิบัติการศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศ (ศภอ.ทบ.) พ.ท.อภิสิทธิ์ บุศยารัศมี (ตท.29) จาก ผบ.ปตอ.พัน 3 มาเป็น ผบ.ปตอ.พัน 6 เปิดทางให้ พ.ท.กานต์ รามศิริ (ตท.30) เป็น ผบ.ปตอ.พัน 3


พ.ท.สรเดช สุริยกาญจน์ (ตท.28) ผบ.ปตอ.พัน 4 ขยับเป็น รอง เสธ.ปตอ.2 สลับตำแหน่งกับ พ.ท.โกศล โกศลยุทธศาสตร์ (ตท.27) เป็น ผบ.ปตอ.พัน 4 พ.ท.นพพล พลภัทรพิจารณ์ (ตท.29) ผบ.ปตอ.พัน 5 เป็น รอง เสธ.ปตอ.1 แล้วให้ พ.ท.สุรสีห์ ศรีวณิชย์ (ตท.30) เป็น ผบ.ปตอ.พัน 5 แทน


ที่ยิ่งต้องระส่ำกันกว่านั้น ก็คือ นายสุเทพ ได้กลายเป็น "แหล่งข่าว" ชั้นดีให้ฝ่ายทหาร ในการตรวจสอบทหารสีแดง เพราะนายสุเทพมักมีข่าววงในเรื่องนายทหารคนนั้นคนนี้มากระซิบเสมอๆ ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ หูตาสว่างขึ้น โดยเฉพาะทหารแอบแดง


จึงไม่แปลกที่จะมีการจับตาและเช็กชื่อทหารที่แอบไปเยี่ยม บิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ. และ ผบ.สส. ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ข้อเท้าแตก ตั้งแต่นอนโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ จนกลับไปพักต่อที่บ้าน ใน ร.1 รอ. จนลูกน้องเก่าๆ ที่อยู่ในตำแหน่งหรือลุ้นเก้าอี้อยู่ ไม่กล้าไปเยี่ยม บ้างก็ต้องใช้แค่การโทรศัพท์ไปให้กำลังใจเท่านั้น

แต่ภารกิจสำคัญเฉพาะหน้าก็คือ การจัดการทหารสีแดงเปิดเผย อย่าง เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ.


ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้คิดจะเอาจริงอะไร เพราะ พล.ต.ขัตติยะ ก่อมาหลายเรื่องหลายคดี ตั้งแต่การไปจัดตั้ง "นักรบพระเจ้าตาก" ฝึกการ์ดให้กลุ่มเสื้อแดง และให้สัมภาษณ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา จนตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ก็แค่ตักเตือน แล้วมอบงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและการกีฬา ที่กลายเป็นเรื่องขำๆ จน เสธ.แดง โวยว่า เอาทหารนักรบมาเต้นแอโรบิค มาแล้ว


แต่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของ พล.ต.ขัตติยะ โดยเฉพาะเมื่อโผล่ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงที่ จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา แถมจับไม้จับมือกับ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในยามที่สัมพันธ์สองประเทศกำลังปริแตก


ตามมาด้วยเหตุ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ลอบยิง เอ็ม79 ใส่เวทีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สนามหลวง โดยเฉพาะเป็นตอนที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ ขึ้นปราศรัยบนเวทีพอดี จนมาถึงการเดินทางไปดูไบ

จนถึงการปูดข่าวอดีตทหารพรานมาร่วมเป็นการ์ดให้ม็อบเสื้อแดง จน พล.อ.อนุพงษ์ ต้องบินไปถึงค่ายปักธงชัย เตือนสติไม่ให้ทหารพราน และอดีตทหารพราน เลือกสี และให้ปฏิญาณตนที่จะไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมมอบเงินสวัสดิการให้ 5 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ผ่านมา ทหารพรานและอดีตทหารพราน ถูกละเลยมาตลอด


แต่ที่สุด พล.ต.ขัตติยะ ก็ยังพาอดีตทหารพราน สวมชุดนักรบชุดดำ เกือบ 200 คน มาร่วมม็อบเสื้อแดง 10 ธันวาคม เข้าจนได้ ที่เป็นการทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เสียหน้าอย่างยิ่ง อีกทั้ง พล.ต.ขัตติยะ ยังให้สัมภาษณ์ในเชิงข่มขู่ พล.อ.อนุพงษ์ ว่า "ระวังจะออกจาก บก.ทบ. ไม่ได้"


รวมถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ เรียกร้องและกดดันให้จัดการ พล.ต.ขัตติยะ อย่างจริงจัง โดยดักคอเรื่อง หลิ่วตาข้างหนึ่ง เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่ชอบกลุ่มพันธมิตรฯ และนายสนธิ อยู่แล้ว เพราะด่าและโจมตีเขามาตลอด


แถมทั้งนายสุเทพเอ่ยปากถามเรื่อง เสธ.แดง จึงทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ต้องเร่งสรุปผลการสอบสวนคดีต่างๆ ในอดีตจนถึงปัจจุบัน จนทำให้ พล.ต.ขัตติยะ โวยว่า ยังไม่มีการสอบสวนเรื่องใหม่ มีแต่คดีเก่าที่เขาวิจารณ์ พล.อ.อนุพงษ์ ว่า "หน่อมแน้ม" ที่ยังสอบไม่เสร็จ แต่กลับเหมารวมเขมรและทหารพราน มั่วรวมแล้วส่งสรุปผลไปให้ รมว.กลาโหม โดยเฉพาะเสนอให้พักราชการ ก่อนที่จะฟ้องคดีอาญาทหารต่อ


ที่ยิ่งทำให้ พล.ต.ขัตติยะ โกรธ ยิ่งเมื่อเขาเองเป็น ตท.11 ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ตท.10 แต่เคยเรียนโรงเรียนกวดวิชา "อโณมา" สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารมาด้วยกัน จึงทำให้ เสธ.แดง มักจะหลุดปากเรียก พล.อ.อนุพงษ์ ว่า "ไอ้ป๊อก" เสมอ แถมขู่ซ้ำหลายครั้ง


แต่ฝ่าย พล.อ.อนุพงษ์ ไม่พอใจกับสายใยเพื่อนนี้ "ผมแทบจะไม่ได้คุยกับมันเลย ไม่เคยไปกินข้าวกันเลยด้วยซ้ำ มันจะเป็นเพื่อนผมได้ยังไง รุ่น 11 ที่เป็นเพื่อนผม ก็มีแค่ น้อย (พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ.) และ ติ๋ว (พล.ต.ไตรรัตน์ ไตรรังครัตน ผบ.ศม.) เท่านั้น"


คำพูดของ พล.ต.ขัตติยะ ใครอาจจะคิดเป็นแค่คำขู่ แต่นายทหารอย่าง เสธ.แดง ไมมีใครวางใจได้ ไม่มีใครอยากไปเล่นด้วย เพราะเขาทำอะไรก็ได้จริงๆ ยิ่งเขามีลูกน้องและอาวุธในมือ


ทว่า มันก็เป็นเรื่องหน้าตา และศักดิ์ศรีของคนเป็น ผบ.ทบ. และเพื่อระเบียบวินัยทหาร พล.อ.อนุพงษ์ ไม่มีทางเลือกอื่น

ฝ่าย พล.อ.ประวิตร เอง เดิมก็ไม่คิดจะเล่นงานอะไร เสธ.แดง แต่กระแสสังคมกดดัน รวมทั้ง ทบ. ได้เสนอลงโทษมา พล.อ.ประวิตร ก็ดูจะไม่มีทางเลือกอื่นใดเช่นกัน


สัมพันธ์ลึกของนายสุเทพ กับ พล.อ.อนุพงษ์ ยังทำให้ ทบ. สะเทือน เพราะแม้แต่เรื่องเล็กๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ไม่พ้น แถมทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ โกรธจัดเพราะทำให้รู้ว่าถูกลูกน้องหลอก เรื่องการรายงานเท็จจำนวนปืนที่ถูกขบวนการก่อความไม่สงบยึดไปจากการโจมตีฐานทหารที่ จ.ปัตตานี จนต้องสั่งให้ ฉก.ปัตตานี ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นฐานเสียงในพื้นที่ กระซิบให้นายสุเทพรับทราบ ก่อนแจ้งให้ พล.อ.อนุพงษ์ ตรวจสอบ

แต่ทว่า การให้ ผบ.ฉก.ปัตตานี ซึ่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 มาสอบสวน กำลังพลที่เป็นของกองทัพภาคที่ 4 ก็ทำให้เกิดปัญหาวิพากษ์วิจารณ์กันทั่ว และส่งผลให้วิจารณ์ถึงต้นตอที่มาของคำสั่งของ ผบ.ทบ. อีกด้วย


สายสัมพันธ์ของนายสุเทพกับบิ๊กๆ ทหาร พบปะเจอกันเกือบทุกวันแบบนี้ จึงมีข่าวว่าหลังบ้านเริ่มเหล่ เพราะทำให้ไม่มีเวลาให้ครอบครัวเท่าที่ควร แม้พวกเธอจะเข้าใจเรื่องภารกิจที่หนักหนาสาหัสท่ามกลางการเมืองร้อนแรงแสนวุ่นวายก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ขอวันอาทิตย์ เป็นวันครอบครัวสักวัน


ที่สำคัญ ทั้งสามเกลอ ล้วนเป็นคน "เมียสวย" ทั้งสิ้น เพราะนายสุเทพ ก็มีภริยารวยสวยสง่าอย่าง นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ อันเป็นเหตุผลว่า ทำไมนายสุเทพจึงเลือกข้าง นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พี่ภริยา มาตลอด กรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ และเป็นคู่แฝดการเมืองที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน


ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ ก็มี คุณอุ๊ กุลยา เผ่าจินดา ภริยาหน้าหวานหุ่นทรมานใจชาย อดีตเจ้าของร้านเสริมสวย และมีสายวงศ์วานกับตระกูลดิษยนันท์ และกัลย์จากฤก ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีภริยาสูงชะลูดเด่นเป็นสง่า อย่าง อาจารย์น้อง รศ.นวพร จันทร์โอชา อาจารย์ภาษาอังกฤษแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


แต่ดูท่าว่า ทั้งสามเกลอนี้ จะมีความเหมือนกันอีกอย่างคือ เป็นโรคเกรงใจภริยา เพราะเป็นสาว "สวยดุ" ทั้งสิ้น

คงมีแต่ พล.อ.ประวิตร เท่านั้นที่ยังเป็นหนุ่มโสด ไม่เคยแต่งงาน ด้วยเพราะกว่าจะมีเวลาหาผู้หญิงที่คู่ควร ก็เป็นแม่ทัพแล้ว ด้วยเพราะใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนบูรพามาตลอด จนต้องมีประโยคแก้เกี้ยวติดปากเสมอว่า "ซื้อกิน" ทั้งๆ ที่ความจริง พล.อ.ประวิตร มีสาวๆ ที่แอบหมายปองเขาอยู่หลายคน ถึงขั้นที่ในอดีต คุณหญิงอ้อ พจมาน ชินวัตร เคยจะเป็นแม่สื่อจับคู่ให้มาแล้ว แต่ พล.อ.ประวิตร ไม่ชอบ "แม่ม่าย" แต่ต้องเป็นสาวเท่านั้น ไม่ว่าจะอายุห่างกันเท่าใดก็ไม่เกี่ยง


ในช่วงเกษียณราชการ 2-3 ปีที่ผ่านมา นี่กระมัง ที่ พล.อ.ประวิตร เริ่มมีหัวใจสีชมพู เพราะตกหลุมรักสาวในวงการสื่อ แต่ก็ยังอยู่ในแวดวงทหาร จนถึงขั้นที่มีการเปิดตัวเป็นวงในกันมานานแล้ว แบบที่ใครๆ ต้องอิจฉา เพราะวัย 64 เช่นนี้ พล.อ.ประวิตร ก็คิดหนัก หากจะต้องมาเข้าพิธีวิวาห์ แถมสาวเจ้าก็สวยเก่ง เป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ที่ไม่รู้ลึก


ดังนั้น ถ้ามีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร เดินควงสาวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดของทหารใหญ่โสดสนิท

"ก็ผมยังไม่ได้แต่งงานนี่" บิ๊กป้อม ออกตัว แต่ทว่า เวลานี้ ควงได้แค่คนเดียวเท่านั้น เพราะ สวยดุ เช่นกัน

เรื่องสีเลือดนั้น ไม่ต้องห่วงว่าพี่น้องร่วมสาบานกลุ่มนี้จะสีอะไร เพราะมีจุดยืนเดียวกัน ส่วนหัวใจใครจะสีอะไร มีกี่ห้อง และมีห้องว่างหรือไม่ เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน...

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตุลาการผู้แถลงฯศาล ปค.เห็นควรจำหน่ายคดี "พระวิหาร" ออก เพราะเหตุแห่งคดีสิ้นสุดแล้ว นัดตัดสิน 30 ธ.ค.นี้


ที่มา:มติชนออนไลน์

ตุลาการแถลงคดี มีความเห็นควรสั่งจำหน่ายคดีฟ้องเพิกถอนมติ ครม.เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหารออกจากสารบบ เพราะเหตุแห่งการบังคับคดีสิ้นสุดแล้ว นัดพิพากษา 30 ธ.ค.นี้ "นิติธร" เดินหน้าค้านแก้ ม.190

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง, นายณัฐ รัฐอมฤต และนายชาชิวัฒน์ ศรีแก้ว ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน คดีปราสาทพระวิหาร นัดพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำที่ 984 / 2551 , 1001 / 2551 และ 1024 / 2551 ที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ , นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. กับพวกรวม 13 คนซึ่งเป็นนักวิชาการ ทนายความและนักสิทธิมนุษยชน ร่วมกันยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และ คณะรัฐมนตรี ( ครม.) สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1- 2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่นายนพดล รมว.ต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย –กัมพูชา พร้อมแผนที่แนบ ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกที่จะมีการเสนอแถลงการณ์ต่อองค์การยูเนสโก ระหว่างวันที่ 2-10 กรกฎาคม 2551


นายประศักดิ์ ศิริพานิช ตุลาการผู้แถลง แถลงความเห็นส่วนตัวด้วยวาจาต่อองค์คณะ โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยในการมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไว้แล้วว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องทั้งสอง กระทำในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำการโดยมิชอบเนื่องจากการเห็นชอบและลงนามร่างแถลงร่วมไทย –กัมพูชา วันที่ 18 มิถุนายน 2551 ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลปกครองรับไว้พิจารณาเพื่อพิพากษา ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีศาลปกครอง พ.ศ.2542 และผู้ฟ้อง เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายมีสิทธิฟ้องคดี ตาม มาตรา 42 และ มาตรา 72 วรรคหนึ่ง การวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงถือเป็นที่สุดตามกฎหมายแล้ว ที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง ต่อสู้ว่าผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น


ส่วนคดีที่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องทั้งสอง กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตุลาการผู้แถลงคดี เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การที่ รมว.ต่างประเทศ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ลงนามในร่างแถลงร่วมตามความเห็นชอบ ครม. ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ไม่ได้นำเสนอตามขั้นตอน รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 190 ที่ให้เสนอสภา ข้อเท็จจริงจึงรับฟ้องได้ว่าขั้นตอนยังไม่ได้กระทำตามขั้นตอนที่กฎหมายไว้เป็นสาระสำคัญ ซึ่งคำวินจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันองค์การรัฐและศาล ตาม รธน.มาตรา 216 ขณะที่เมื่อศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว ระงับการใช้มติ ครม. ที่เห็นชอบจนกว่าคดีจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นแล้ว ทางการไทยโดยผู้ถูกฟ้องที่ 1 ได้เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกองค์การยูเนสโก ระงับการใช้ร่างแถลงการณ์ร่วม ซึ่ง ผอ.องค์การยูเนสโก ได้มีหนังสือแจ้งวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ยืนยันระงับการใช้แถลงร่วมเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกไว้เป็นการชั่วคราว



ประกอบกับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบ เพิกถอนมติผู้ถูกฟ้องที่ 2 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่เห็นชอบการลงนามในร่างแถลงการณ์ไปแล้ว กรณีจึงรับได้ว่า มติที่เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมถูกยกเลิกไม่มีผลผูกพัน และไม่มีการกระทำที่กระทบสิทธิโดยรวมของประชาชนและประเทศชาติ ดังนั้นเหตุแห่งการบังคับคดีตามที่ผู้ฟ้องทั้ง 13 คน ร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงถือว่าสิ้นสุดไปแล้ว ตุลาการผู้แถลงคดี จึงเห็นสมควรให้องค์คณะพิพากษาจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ


อย่างไรก็ดี องค์คณะผู้พิพากษา ชี้แจงให้คู่ความทราบว่า การแถลงความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อคำพิพากษา ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการแถลงของตุลาการผู้แถลงคดี องค์คณะตุลาการศาลปกครอง นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 30 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ผู้ฟ้องได้มีนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ และคณะผู้ฟ้องซึ่งเป็นทนายความและนักวิชาการ รวม 5 คน ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีนี้ เดินทางมาฟังการแลถงคดี ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องมีอัยการ รับมอบอำนาจเดินทางมาศาลแทน อย่างไรก็ด๊ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ มี ผู้อำนวยการกองสนธิสัญญา และคณะประมาณ 4-5 คน ร่วมาฟังการแถลงคดีของตุลาการด้วย


ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาคดี นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ หนึ่งในผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า ตนเชื่อว่าคำพิพากษา ที่จะออกมา น่าจะมีแนวทางคล้ายกับที่ตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็น แต่รายละเอียดเนื้อหาคำพิพากษาอาจจะมีการขยายความ ซึ่งต้องรอฟังในวันพรุ่งนี้ (30 ธ.ค.) ว่าจะออกมาอย่างไร ส่วนแนวทางที่ตนจะดำเนินการต่อไปคือ หากศาลพิพากษาว่า รมว.ต่างประเทศ และ ครม. กระทำการโดยมิชอบจริงตามคำฟ้อง ก็จะทำการฟ้องคดีอาญาต่อผู้ที่ดำเนินการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่พวกตนก็จะดำเนินการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต่อไปเพราะเห็นว่าจะทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติได้รับความเสียหาย

จาตุรนต์จี้สำนึก 'อภิชาต' ลาออกพ้น กกต.


ที่มา :ไทยรัฐ

อดีต กก.บห. ทรท. กระตุ้นสำนึก ประธาน กกต. ช่วยปชป.รอดยุบพรรค ไล่แสดงสปิริตลาออก จวกจุดไฟเผากกต. ทำลายกระบวนการยุติธรรมประเทศ "พงศ์เทพ" ซัดแรง ความยุติธรรมไม่มี เพราะอัปรีย์มีอำนาจ

ที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย วันที่ 28 ธ.ค. มีการสัมมนาเรื่อง "การยุบพรรคการเมืองมีกี่มาตรฐาน" นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติยกคำร้อง กรณีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านสำนวน ว่า เป็นความบกพร่องต่อหน้าที่อย่างชัดเจนและร้ายแรง เพื่อช่วยเหลือพรรคการเมืองบางพรรค ทางออกของนายอภิชาต ขณะนี้คือ 1. ลาออกจาก กกต. 2. ถ้าไม่ลาออก เมื่อมีการยื่นถอดถอนหรือดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สิ่งที่นายอภิชาตควรทำคือ การรับสารภาพผิด เพื่อไถ่บาป

ส่วนการที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศว่าจะไปเผา กกต. นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ขอบอกว่าไม่ต้องไปเผา เพราะนายอภิชาต ได้เผากกต.ไปแล้ว ตอนนี้ไฟกำลังลุกโชน กกต.อยู่ และกำลังเผาทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยด้วย เพราะการช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่รอด เป็นการทำลายระบบยุติธรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง ขอให้กลับใจก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป อยากให้ช่วยกันอธิบายเหตุผล สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าคดีจะจบลงแบบใด หากประชาชนเข้าใจสิ่งที่อธิบาย พรรคประชาธิปัตย์ก็จะทรุดไปเอง เวลาเลือกตั้งประชาชนจะแสดงออก ช่วยลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต

ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ประธานมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย กล่าวว่า มาตรฐาน กกต.มีมาตรฐานเดียว คือ มาตรฐานของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ฝากบอก กกต.ว่า วันนี้ พล.อ.สนธิ ไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแล้ว กกต.จะรับใช้อะไร ขอให้คิดชื่อเสียงที่สร้างมา ตนนึกถึงคำๆ หนึ่งว่า ประชาชนพอรับได้กับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพราะอย่างน้อยกฎหมายก็บังคับใช้กับทุกคน แต่จะทนไม่ไหวกับผู้ใช้กฎหมายที่อยุติธรรม แต่เมืองไทยโดน 2 เด้ง คือ กฎหมายไม่เป็นธรรม และผู้ใช้กฎหมายอยุติธรรม ความยุติธรรมไม่มี เพราะพวกอัปรีย์มีอำนาจ อยากสะกิดให้ กกต.ทั้ง 4 คน ยกเว้นนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการ กกต. ขอให้คำนึงถึงความยุติธรรม ไม่ต้องสนใจใบสั่ง ขอให้กลับไปหาจิตวิญญาณตุลาการกลับมาใส่ตัวเอง เพราะเกราะป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดของผู้พิพากษาคือความซื่อสัตย์สุจริต.

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาตรา 67 วรรคสอง (ตอนที่ 5)

ที่มา:บางกอกทูเดย์

ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีความเห็นเกี่ยวกับ “มาตรา67 วรรคสอง” ไว้ในคำวินิจฉัยที่ 3/2552 หน้าที่ 13เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 ดังนี้“หากปรากฏว่า การดำเนินโครงการหรือกิจการอาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพต่อบุคคลหรือชุมชน บุคคลหรือชุมชนย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครองได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสามเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ดำเนินโครงการหรือกิจการนั้นจัดให้มีการศึกษาและประเมินคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

หรือการให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นก่อนดำเนินโครงการหรือกิจการได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา67 วรรคสอง”จากความเห็นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่3/2552 ทำให้เห็นถึงการรับรองสิทธิชุมชนที่จะฟ้องร้องได้ตามมาตรา 67 วรรคสามในคำวินิจฉัยดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า...บุคคลหรือชุมชนย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครองอ่านแค่นี้ก็

คงตีความได้ว่า...ผู้ที่จะฟ้องต่อศาลปกครองได้นั้น มีทั้งบุคคลทั่วไปและกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเป็นชุมชนแต่ก็มีข้อสังเกตประกอบความเห็นดังกล่าวตามมาเช่นกัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสามนั้นให้สิทธิแก่ชุมชนฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เท่านั้นในมาตรา 67 วรรคสาม ระบุเพียงว่า เป็นสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องร้อง และให้ได้รับความคุ้มครอง แต่มาตรา 67 วรรคสาม มิได้มีคำ

ว่า “บุคคล” รวมอยู่ด้วยพิจารณาต่อที่คำว่า “เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ดำเนินโครงการหรือกิจการนั้น” ก็ไม่สอดคล้องกับมาตรา 67 วรรคสาม ทั้งหมด เพราะมาตรา 67 วรรคสาม กำหนดให้ฟ้องได้ 5 ส่วนคือ ฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจราชการส่วนท้องถิ่น และองค์กรอื่นของรัฐ เท่านั้น โดยให้สิทธิแก่ชุมชนในการฟ้องเพื่อให้ทั้ง 5 ส่วนนั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 67ไม่มีข้อความใดในมาตรา 67 วรรค

สาม ที่ระบุให้ชุมชนมีสิทธิฟ้องร้อง “เอกชน” ไว้ด้วย จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ความเห็นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุรวมไปถึงการฟ้องร้องเอกชนได้ด้วยนั้น จะต้องตามมาตรา 67 วรรคสามหรือไม่หรือจะแปลความหมายว่า...บุคคลหรือชุมชนสามารถใช้สิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมของเอกชนนั้นก็คงจะเกินเลยไปกว่า อำนาจของศาลปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 223อีกทั้งคำว่า “หากปรากฏว่า” กับคำ

ว่า “ก่อนดำเนินโครงการหรือกิจการ” ย่อมเกิดความหมายที่ขัดกันเองในความหมายของการใช้ภาษาหรือไม่เพราะถ้าก่อนการกระทำแล้ว จะมีการปรากฏผลจากการกระทำได้อย่างไร?ดังนั้น คำว่า “ก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว”ในส่วนสุดท้ายของมาตรา 67 วรรคสอง ควรจะพิจารณาในความหมายใด ถ้าพิจารณาว่า สิทธิชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่การอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโครงการหรือการจะกระทำกิจกรรมใดๆผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็จะเป็นการคาดคะเนล่วงหน้ากันเกินไป

หรือไม่?แต่ถ้าพิจารณาว่า...เมื่อโครงการหรือกิจกรรมใดๆที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ กำลังที่จะเปิดดำเนินการตามแผนการลงทุนชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบ ได้รับฟังข้อมูลที่จะต้องมีตามมาตรา 303 (1) แล้ว ชุมชนเหล่านั้นเชื่ออย่างมีหลักการและเหตุผลทางวิชาการประกอบว่า...โครงการหรือกิจกรรมนั้น ถ้าเริ่มเปิดดำเนินการโดยไม่มีการศึกษาผลกระทบไว้ก็อาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากร และสุขภาพ ก็ชอบที่จะใช้สิทธิดังกล่าวฟ้องร้อง

ต่อศาล เพื่อให้หน่วยราชการระงับการเปิดโครงการหรือกิจกรรมนั้นเอาไว้ก่อนได้แต่ถ้าพิจารณาว่า...สิทธิชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการตามโครงการหรือกิจกรรมใดๆ เพียงแค่มีการคาดเดาว่าจะเกิดผลกระทบ ก็สามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 67 วรรคสาม ได้ปัญหาก็คงจะตามมาอย่างเหลือคณานับ! 

มารู้จักฉายารัฐบาล-นักการเมืองแห่งปีโดยคนเสื้อแดง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีประชาชน หรือ พีเพิลชาแนล ได้จัดทำฉายาของรัฐบาลและรัฐมนตรี โดยนำมาแจกจ่ายให้สื่อมวลชน โดยได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังนี้
รัฐบาล ได้ฉายาว่า รัฐบาลเทพรับประทาน

เนื่องจากว่าทุกครั้งจะอ้างเรื่องผลประโยชน์ของประชาชนแต่ผลงานออกมาคือการทุจริต คำนึงถึงส่วนตัวเป็นใหญ่ หลายโครงการ เช่น โครงการไทยเข้มแข็ง รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ตลบอบอวลด้วยผลประโยชน์ทางตัวเลขและคอมมิชชั่น ครั้งหนึ่งเคยได้ฉายาว่า รัฐบาลเทพประทาน แต่เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งก็โหยหาประโยชน์ในลักษณะมูมมาม ไม่อายฟ้าดิน จึงเปลี่ยนจากรัฐบาลเทพประทาน มาเป็น รัฐบาลเทพรับประทาน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ฉายาว่า เด็กดื้อข้างโพเดียม

เพราะ การตัดสินใจหลายเรื่องของนายอภิสิทธิ์ มักผิดพลาดเสมอ แต่จะแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากใครเพราะมีความเชื่อมั่นสูง เห็นได้จากการตั้งผบ.ตร.ที่ใช้จุดเด่นในการพูดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง

พรรคร่วมรัฐบาล ได้ฉายาว่า สวนสัตว์ซ่อนดาบ

เพราะ การเชิญพรรคร่วมทั้ง 5 พรรคตั้งรัฐบาลเหมือนเอาเสือ สิงห์ กระทิง แรด มาเกาะเกี่ยวกันหาผลประโยชน์ มือหนึ่งเจรจาเรื่องผลประโยชน์ แต่อีกมือหนึ่งก็พร้อมจวกแทงทันทีหากอีกฝ่ายเผลอ

สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีฉายาว่า สภาตกเลข

เพราะ ทุกครั้งที่จัดประชุม ต้องนับองค์ประชุมเนื่องจากส.ส.และส.ว.ไม่ค่อยเข้าประชุม แต่มาขอขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง ซึ่งสถิติในรอบ 10 เดือนของรัฐบาลปรากฏว่าสภาล่มไปแล้ว 11 ครั้ง ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย

นอกจากนี้ยังมีฉายานักการเมืองคนอื่น ๆ อาทิ

นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ฉายา ชัย ชวนชื่น

เพราะทุกครั้งที่เป็นประธานบนบังลังก์จะใช้มุขตลกหากินเอาตัวรอด เพื่อเรียกบรรยากาศให้กลับมาประชุมกันได้ต่อ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้ฉายา มาเฟียความมั่นคง

เพราะ มีความหวาดระแวงคนเสื้อแดง อ้างสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองเพื่อฉวยโอกาสประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในรอบ 10 เดือนประกาศไปแล้ว 8 ครั้ง เสียงบกว่า 2 พันล้านบาท

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ฉายา ลำโพงดอกแหว่ง

เพราะดูแลสื่อของรัฐแต่มาล้ำเส้นสื่อเข้าข่ายแทรกแซง โดยใช้คำพูดให้ดูดีว่าขอความร่วมมือ

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ฉายา กุ๊ยมีเส้น

เนื่อง จากพฤติกรรมที่ผ่านมามีแต่ทะเลาะกับคนอื่นและประเทศเพื่อนบ้านไปทั่ว ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันแต่นายอภิสิทธิ์ ยังประคบประหงมเพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าวกับพันธมิตรฯ

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

“พัลลภ”ปลุกปชช.สู้ราชดำเนิน


เมื่อเวลา 19.00 น.ที่หน้าว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่าจากนี้ไปคนเสื้อแดงจะไม่โดดเดี่ยวเหมือนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพราะตน และอดีตจปร.กว่า 100 คนจะรวมเป็นร่วมตายขับไล่โจรที่ปล้นประชาธิปไตย และคนที่ทรยศต่อประชาชน นอกจากนี้ยังมีกองทหารพรานปักธงชัย นักรบเสื้อดำที่คอยรบทั้งในและต่างประเทศเกือบพันคน ภายใต้การนำของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทหารบก

“ยืนยันว่าเราจะชนะอย่างแน่นอน หากพี่น้องร่วมใจกันเข้าไปเป็นล้านๆคน ผมเป็นทหารมาตลอดชีวิต จึงรู้เลยว่าทำอย่างไรที่จะทำให้พวกเราได้รับชัยชนะ แต่หากเราไม่ได้รับชัยชนะ คนที่ตายคนแรกคือผม ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเสียสละ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงอยู่อย่างสันติสุข เราจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ประชาชนต้องการประชาธิปไตย เราจึงจำเป็นต้องสู้ และเสียสละ กับทหาร เราไม่ต้องไปกลัว เพราะผมคุมทหารตลอดชีวิต รู้ว่าพวกมันไม่กล้ายิงประชาชน ทำได้อย่างเดียวยิงขึ้นฟ้า”พล.อ.พัลลภกล่าว และว่า ขณะนี้ทราบว่ามีตำรวจอยู่ฝ่ายเราถึง 80% ส่วนทหารอยู่กับโจรปล้นประชาธิปไตยนั้นน้อยมาก ฉะนั้น ไม่นานนับจากนี้ประเทศเราจะมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุขภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่นานเกินรอ ไม่เกินเดือนเมษายน หากประชาชนพร้อมใจกันต่อสู้ พร้อมใจกันไปถนนราชดำเนิน