--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรรมกร Where are you (ตอนจบ)



ที่มา:บางกอกทูเดย์

การปกครองแบบ “เผด็จการรัฐสภา” ได้ทำลายความมั่นคงแห่งชาติอย่างร้ายแรงเป็นต้นเหตุแห่งความทรุดโทรมวิกฤติล่มจมของชาติ และทำให้เอกราชและอธิปไตยของชาติอ่อนแอเป็นเหตุให้ต่างชาติเข้ามารุกรานยึดครองประเทศชาติ บ้านเมืองทั้งทางเศรษฐกิจ คือ สงครามรุกรานทางเศรษฐกิจระบบเศรษฐกิจ

แห่งชาติทั้งเศรษฐกิจภาคสาธารณะและเศรษฐกิจภาคเอกชนถูกรุกรานยึดครองเช่น นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอันเป็นนโยบายรุกรานของต่างชาติและกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับที่เป็นกฎหมายทาสให้ต่างชาติรุกรานยึดครองประเทศไทยทางเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จทั่วด้านเศรษฐกิจภาคเอกชนไทย ถูกกฎหมายล้มละลายยึดกุมอำนาจบริหารและใช้อำนาจบริหารยึดกุมกิจการแผ่นดินสินทรัพย์อันเป็นการทำลายความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด

เศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของชาติที่สำคัญยิ่ง การรุกรานยึดครองชาติ เช่น ธนาคารไทยถูกต่างชาติรุกรานยึดครองจนหมดสิ้น และนำเอาธนาคารในฐานะเจ้าหนี้ไปยึดแผ่นดินสินทรัพย์ธุรกิจบ้านช่องของลูกหนี้ไทยทั่วทุกหย่อมหญ้าจนขณะนี้ “กรรมสิทธิ์ไทยถูกทำลายเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ต่างชาติ” ไปเกือบหมดแล้วข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) คือการขายอำนาจอธิปไตยของชาติกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ คือ รูปธรรมของอธิปไตยต่างชาติพ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษ คือ

การตัดแบ่งแยกรัฐขายให้แก่ต่างชาติดังนั้น การหยุดงานทั่วไปเพื่อผลักดันให้ผู้ปกครองยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาที่เป็นต้นเหตุของการขายชาติ และการรุกรานของต่างชาติด้วยการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายสูงสุดคือ ยุติการทำลายความมั่นคงของชาติโดยเด็ดขาดสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย คือ การปฏิบัติตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี

พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ” และทำตามมาตรา 3 “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”อันเป็นการรับสนองพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 คือ สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยและสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยใช้หลักกฎหมาย และใช้หลักการปกครองที่ถูกต้องแก้ปัญหาประเทศชาติที่วิกฤติที่สุดในโลกแล้วอันเป็นสิทธิเสรีภาพทางความคิดของมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนว่า “เสรีภาพทางความคิดเป็นรากฐาน

ของเสรีภาพทั้งปวง” จึงเป็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกต้องสิทธิด้านแรงงานระหว่างประเทศโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ในองค์การสหประชาชาติได้รับรองสิทธิด้านแรงงานเป็นสิทธิสากลคือ สิทธิในการหยุดงานทั่วไป หรือ การหยุดงานย่อย ประเทศไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและเป็นภาคีของ ILO ด้วยดังนั้น ด้วยเหตุผลหลักการและความถูกต้องทั้งสิ้นดังกล่าวข้างต้นนี้ กรรมกรแรงงาน ทั้งกรรมกรรัฐวิสาหกิจและกรรมกรเอกชน รวมทั้งประชาชนทุก

หมู่เหล่าทั่วประเทศต้องร่วมกันเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างสันติอหิงสาพุทธเพื่อหยุดงานทั่วไป เพื่อผลักดันให้ยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย สร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย สร้างรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยเพื่อให้มีการปกครองเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตยเพื่อหยุดการรุกรานยึดครองของต่างชาติ หยุดการขายชาติบ้านเมือง หยุดการคอร์รัปชั่น หยุดการปล้นประชาชนขายชาติโดยเร็วที่สุด 

นิรนาม นิรกาย

“การหยุดงาน” ของลูกจ้างในสถานประกอบการเป็นปัญหาสำคัญและเป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้แก่นายจ้างทั้งทางภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นอย่างมากทั้งนี้ เพราะการหยุดงาน ก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองสูญเปล่าและส่งผลกระทบต่อการผลิตและบริการเมื่อ 7-10 ปี ที่ผ่านมา อัตราการหยุดงานในสถานประกอบการของลูกจ้างสูงถึงร้อยละ 5-6 (ประมาณ 15-18 วันต่อปี/คน)แต่ในปัจจุบันนี้อัตราการหยุดงานลดลงโดยทั่วไป อาจกล่าวได้ว่าขณะนี้อัตราการหยุดงานอยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 2-3ในขณะที่สถานประกอบการที่มีการบริหารและการควบคุมอย่างจริงจังอาจมีอัตราสูงเพียงร้อยละ 1.5-2 เท่านั้นโดยเหตุที่

การหยุดงานก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นอย่างมากสถานประกอบการเป็นจำนวนไม่น้อยจึงมีการจัดทำแผนการลดอัตราการหยุดงาน แล้วนำมารวมไว้กับแผนการดำเนินธุรกิจประจำปีและจัดให้มีการควบคุมอย่างจริงจังซึ่งปรากฏว่า “ได้ผล”การลดอัตราการหยุดงานมิใช่เป็นสิ่งที่จะบรรลุความสำเร็จได้โดยง่าย จำเป็นต้องอาศัยหลักและวิธีการตลอดจนความสนใจอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้พนักงานหยุดงานและลักษณะของ

พนักงานที่หยุดงานตลอดจนการพิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรอื่นๆ อีกมากการดำเนินการกับผู้ที่หยุดงานมากๆ มีอยู่ 2 วิธี คือ การใช้ไม้นวม (CONSTRUCTIVE APPROACH) กับ การใช้ไม้แข็ง (COERCIVE APPROACH)การใช้ไม้นวม หมายถึงการเริ่มต้นจากการค้นหาเหตุ และใช้การให้คำปรึกษาชี้แนะเป็นกลไกในการแก้ และถ้าไม่ดีขึ้นอาจใช้มาตรการทางวินัยเข้าช่วยกระตุ้นส่วน การใช้ไม้แข็ง ซึ่งในที่นี้หมายถึง...การใช้มาตรการแกมบังคับ ซึ่งควรจะใช้กับผู้ที่สร้าง

ปัญหาจริงๆและภายหลังจากที่ได้พยายามใช้ไม้นวมแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มาตรการนี้อาจรวมถึงการโยกย้ายหรือเลิกจ้างโดยจ่ายค่าชดเชยในฐานที่ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่แต่ทั้งนี้จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกจ้างมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าได้ใช้สิทธิในการลาโดยมิชอบ และมีการหยุดงานปีละมากๆ ติดต่อกันมาหลายปีพูดกันอย่างง่ายๆ ก็คือ มากครั้ง มากวัน และมากปีจึงจะถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม! 

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระลึก 14 ตุลาฯ จาก 'จีระ' ถึง 'นวมทอง'(อีกครั้ง)

ย้อนเวลาไป 2 ปีเศษ จากการใช้กำลังทหารก่อการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ก็ได้เกิดความรู้สึกสูญเสียครั้งสำคัญมาครั้งหนึ่งแล้ว ในกรณี นายนวมทอง ไพรวัลย์ ผู้ได้รับการบันทึกไว้ใน "วีกิพีเดีย สานุกรมเสรี" ดังนี้...

นวมทอง ไพรวัลย์ (พ.ศ. 2489 - 31 ต.ค. 2549) อดีตพนักงานการไฟฟ้าบางกรวย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 25849 ได้ขับรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรลล่า สีม่วง ทะเบียน ทน 345 กทม. ของบริษัทสหกรณ์แหลมทองแท็กซี่ จำกัด พุ่งเข้าชนรถถังเบา M41A2 Walker Bulldog ตรากงจักร 71116 ของคณะปฏิรูปฯ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมาในคืนวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ได้ผูกคอตายกับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (บริษัท วัชรพล จำกัด) โดยในจดหมายลาตายระบุ เพื่อลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค. ที่ว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

ในคืนที่นายนวมทองแขวนคอตาย เขาตั้งใจสวมเสื้อยืดสีดำ สกรีนข้อความเป็นบทกวี ที่เคยใช้ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้านหน้า เป็นบทกวีของรวี โดมพระจันทร์ และ ด้านหลังเป็นบทกวีของกุหลาบ สายประดิษฐ์

"พี่นวมทอง" เสียสละชีวิตโดยเอกเทศ ไม่ผ่านการปลุกระดมชักชวนจากใครทั้งสิ้น และได้รับการเชิดชูและระลึกถึงเฉพาะเพียง "ผู้รักและหวงแหนในระบอบประชาธิปไตย" เท่านั้น แม้จนกระทั่งบัดนี้ดูจะเป็นที่รังเกียจชิงชังจากฝ่าย "อำมาตยา-อภิชนาธิปไตย" และแนวร่วม

ย้อนไปไกลกว่านั้น ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 วีรชนประชาธิปไตย นายจีระ บุญมาก ได้รับการบันทึกไว้ใน "วีกิพีเดีย" อีกเช่นกันว่า

จีระ บุญมาก เป็นนักศึกษาปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ฟังวิทยุรายงานข่าวว่านักเรียนนักศึกษากำลังจะก่อการจลาจล และบุกเข้ายึดวังสวนจิตรลดา ไม่เชื่อว่าข่าววิทยุจะเป็นความจริง จึงออกจากบ้านเพื่อมาดูสถานการณ์ โดยซื้อส้มมาด้วย เมื่อมาถึงบริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์ ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เวลาประมาณ 12.00 น.ก็แจกส้มให้นักเรียนช่างกล บอกว่าทหารเขามาทำตามหน้าที่ ให้ใจเย็น อย่าทำอะไรรุนแรง จากนั้นก็ถือธงชาติเดินเข้าหาทหาร ขอร้องว่าทหารอย่าทำร้ายเด็กนักเรียนที่ไม่มีอาวุธ แล้วหยิบส้มที่เตรียมมาโยนให้ทหารกิน ทหารที่ระวังอยู่เข้าใจว่าจีระจะทำร้าย จึงยิงปืนใส่ เสียชีวิตทันที นักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้น นำธงชาติเข้ามาเช็ดเลือดจีระ ห่มร่างด้วยธงชาติ และนำศพขึ้นไปวางบนพานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และแห่ศพข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าไปที่สี่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี

ถ้าจะถามผมว่า ชีวิตกว่าครึ่งศตวรรษมีความทรงจำไหนที่ประทับใจลึกซึ้งที่สุด ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ก็เหตุการณ์เช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั่นแหละครับ ผมเคยให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่จาก "มูลนิธิวีรชน 14 ตุลาฯ" และได้มีโอกาสบรรยายปากเปล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น ร่วมกับคุณโอริสสา ไอราวัณวัฒน์ หนึ่งในนักเรียนอาชีวศึกษาเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ต่อมาจัดตั้ง "แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชน" และอีก 3 ปีถัดมาถูกยิงเข้าที่ปากและใต้คางใน "กรณี 6 ตุลา"...

ถนนด้านหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ฝั่งสวนสัตว์ดุสิต เขาดินวนาในช่วงเช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม หลังจากมีประกาศให้สลายการชุมนุม เนื่องจากรัฐบาลจอมพลถนอม (ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีใครเรียกว่า "สามทรราชย์") และเมื่อรถกระบะไม้หลังคาผ้าใบที่ถอยหลังเข้ามาจากแยกวัดเบญจมบพิตร รับเอาไม้ท่อนเอาเหล็กฟุตจากนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะที่ยังไม่ได้ถูก "ผู้ใหญ่" มาแบ่งฝ่ายให้ ขับจากไปไม่ถึง 5 นาที เราที่อยู่ทางด้านนี้ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องพร้อมๆกับภาพเพื่อนที่อยู่ด้านแยกราชวิถีถูกแก๊สน้ำตาถอยร่นมาทางผมกับเพื่อนๆอีกจำนวนมากที่กำลังจะแยกย้ายกับกลับ ส่วนหนึ่งถูกบีบลงไปในน้ำที่รายล้อมเขตพระราชฐาน...

แล้วพวกเราทางนี้ก็กรูกันเข้าไป... เพื่อรับแก๊สน้ำตาที่ทยอยมาอีกเป็นระลอก เดชะบุญที่ "พี่" เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังคนหนึ่งมาดึงแขนผมข้ามสะพานเข้าสู่เขตพระราชฐาน ก่อนที่ผมจะลัดเลาะจากด้านเข้าดิน ไปออกประตูด้านถนนราชวิถี มิไยที่ "พี่ๆ" เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทัดทานเอาไว้ แต่ความรู้สึกของคนหนุ่มอายุ 19 ในวันนั้น ตอบกลับไปว่า "พี่...ผมอยู่ไม่ได้แล้ว"

33 ปีให้หลังผมบอกตัวเองเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ที่พาตัวเองไปเมียงๆมองๆสังเกตการณ์อยู่กลางสนามหลวง ว่า...

"หนนี้มันไม่เหมือนและไม่มีวันเหมือนหรอก... มันไม่ใช่ 14 ตุลารอบใหม่อย่างที่ใครบางคนตะแบงอยากให้เป็นจนตัวซีดตัวสั่น...".

เรียบเรียงใหม่โดย: ปรีชา จาสมุทร

เพื่อไทย "ซ้อมใหญ่" อภิปรายไม่ไว้วางใจ


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ


ฝ่ายค้าน "ชิงลงมือ" อภิปรายผลงานรัฐบาลล่วงหน้า ก่อนการลงมือแถลงจริงของฝ่ายรัฐบาล 2 วัน ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ล่วงหน้าเกือบ 3 เดือน ก่อนสภาเปิดใน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

อาจเป็นครั้งแรกของพรรคเพื่อไทยที่มีการ "แถลง" โดยปราศจาก "เสด็จพี่- พร้อมพงศ์" อยู่ในวง แต่มีตารางข้อมูล พาวเวอร์พอยต์ เอกสารประกอบเต็มรูปแบบ

ทั้งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปานปรีย์ พหิทธานุกร นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน และน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ หัวหน้าสำนักงานปราบโกง ร่วมวงอย่างเคร่งขรึม

วาระ 1 ปีแห่งความล้มเหลวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถูกอภิปราย ฉายตัวอย่างเสมือนจริง

หัวหน้าพรรค "นอกสภา" นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อ้างถึงรัฐธรรมนูญ 50 แล้ว "เปิดหัว" ด้วยการนำความเห็นของ "สื่อ" มาพาดหัว

"อยากนำความเห็นของสื่อที่เป็นกลางมากกว่าความเห็นของพรรคมาเสนอ ระบุว่า 1 ปีของรัฐบาลมีแต่ทรงกับทรุด"

ตามด้วยความเห็นของ "นักธุรกิจ- น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ" ที่ใช้แนวทาง "เต๋า" ในการวิเคราะห์ "สูงสุด สู่สามัญ สูงสุดของกระบวนท่าคือการไร้กระบวนท่า การบริหารแบบไม่ต้องบริหาร รัฐบาลมีความสามารถในการแจกแถมให้ แต่ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้"

เช่นเดียวกับรองหัวหน้าคนที่ 1 นายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ใช้แนวทาง "หนังสือพิมพ์" เป็นแนววิพากษ์

"อ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ บอกว่ารัฐบาลได้คะแนนบีบวก แต่พวกผม ยืนยันว่าตกแน่ รัฐบาลนี้พูดเก่ง มีศิลปะในการปั้นน้ำ"

"การให้คะแนนด้านเศรษฐกิจ โดยด้านเศรษฐกิจได้คะแนนเกรด C หรือเกือบตก ด้านความมั่นคง-การเมือง รัฐบาลได้ เกรด D สำหรับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ได้เกรด F หรือสอบตก"

ตบท้ายด้วยคำเสียดสีมีหลัก 4 เรื่อง คือ รัฐบาล 1.พูดเก่งจนบางครั้งพูดเกินความจริง 2.กู้เก่ง 3.เพาะศัตรูเก่ง และ 4.หาเหาใส่หัวเก่ง

รองหัวหน้าพรรค "ข้าวนอกนา-นายปานปรีย์ พหิทธานุกร" ประเมินผลของงานได้เป็นระบบ มากกว่า 2 คนก่อน อาทิ การปรับตำแหน่งให้เหมาะสมกับหน้าที่โดยเฉพาะ ครม.เศรษฐกิจ และนโยบาย 99 วัน ยังทำไม่ได้จริง

เรื่องแรกคือการก่อ หนี้ของภาครัฐ ปัญหาเรื่องการสร้างรายได้ยังเป็นปัญหาใหญ่ หนี้สาธารณะมีตัวเลขเพิ่มขึ้น ตลอด 1 ปี นับจากเดือน ธ.ค. 51 จนถึง พ.ย. 52 ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 530,597 ล้านบาท

เรื่องเงินกู้ 8 แสนล้านบาท เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ และปิดหีบงบประมาณ แต่ ณ วันที่ 11 ธ.ค. 52 เบิกจ่ายไปเพียง 21,392.96 ล้านบาท ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในจำนวนที่เบิกจ่าย มีการใช้เพิ่มทุนธนาคารของรัฐ 14,500 ล้านบาท เหลือใช้ในโครงการลงทุน 6 พันกว่าล้านบาท โดยในนั้นเอาเงินไปซ่อมแซมถนน 5 พันกว่าล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างอย่างเดียว

ตัวเลขหนี้สาธารณะ ที่กำหนดไม่ควรเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ในปี"55 แต่คงเป็นไป ไม่ได้อย่างที่ตั้งไว้ และแม้รัฐบาลจะพูดว่า ในไตรมาส 4 จีดีพีจะเป็นบวก ก็เป็นเพราะในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วติดลบถึง 4.2 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่แปลกที่จะกลับมาเป็นบวก

"ปานปรีย์" กางตัวเลขการจัดเก็บ รายได้ของรัฐบาล ที่ระบุว่า "น่าเป็นห่วง"

คือเงินคงคลัง ที่ค่อนข้างน้อยลงมาก ในเอกสารของกระทรวงการคลัง ช่วงเดือน ต.ค. 52 เงินคงคลังปรับตัวสูงขึ้น 274,600 ล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ในรูปตั๋วเงินถึง 245,100 ล้านบาท เงินสดคงคลังมีแค่ 29,500 ล้านบาท

นโยบายสินค้าเกษตร ที่เปลี่ยนจากการจำนำเป็นการประกัน แต่หากใช้การจำนำ เชื่อว่าเกษตรกรจะได้ประโยชน์มากกว่านี้

เรื่องหนี้นอกระบบ เป็นการพยายามทำเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยดำเนินการ การลงทะเบียนก็ไม่ชัดเจนว่าคนกลุ่มใดควรได้รับการช่วยเหลือ หนี้จริง หนี้ปลอมก็มั่วกันไปหมด ปัญหาเรื่องมาบตาพุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่าความเสียหายเกิดขึ้นกว่า 2.3 แสนล้านบาท ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ประเมินว่าเสียหายถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลขาดการบริหารจัดการที่ดี

ประธานวิปฝ่ายค้าน นายวิทยา บุรณศิริ ที่มาร่วมวงติดปลายแถว ต่อจากเรื่อง "เศรษฐกิจ" อภิปรายเรื่อง "กฎหมาย" ด้วยแผ่นเสียงชุดเดิม

"ที่มาเข้าสู่อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีขบวนการที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีในศตวรรษนี้ คือพวกงูเห่า ทำให้พวกที่รยศหักหลัง หรืองูเห่านี้กลับบ้านไม่ได้ จะเห็นว่ามีการยกโลงศพไปไว้บ้าน ส.ส. การเข้ามาสู่อำนาจของนายอภิสิทธิ์ จึงเป็นปัญหา สร้างไปสู่ความขัดแย้งของสังคม"

นักการเมืองหน้าใหม่-สาย กทม. "น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ" ตามมาผสมโรง เรื่อง "ทุจริต" ตอกย้ำจากที่อภิปรายมาแล้ว 6 เดือน

"ความล้มเหลวของรัฐบาลอภิสิทธิ์อีกประการ คือการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นโครงการชุมชนพอเพียง ที่สังคมไทยรู้ว่ารัฐบาลปล่อยให้ทุจริตอย่างไม่สมควรเกิดขึ้น เอาโครงการที่ในหลวงพระราชทานมาทำให้เกิดการทุจริตขึ้น"

"อนุดิษฐ์" ฉายตัวอย่าง หัวข้อ อภิปรายไม่ไว้วางใจล่วงหน้า อาทิ โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน แม้จะยังไม่มีการลงนามในสัญญา แต่กรอบความคิดจะเอารถเมล์ 4 พันคันมาวิ่ง และงบประมาณตั้งแต่ต้นโครงการจนจบ หากคิดในราคาเท่ากัน จะได้รถไฟฟ้า 1 สาย

โครงการต้นกล้าอาชีพ ที่เราตรวจสอบกลับพบว่ามีการยักยอกเงินจากโครงการนี้จำนวนมาก ยังมีโครงการโกงชาวนาในการแจกข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษที่สุดท้ายเป็นข้าวปลอมปน โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์สาธารณสุข ที่เครื่องอัลตราซาวนด์ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่โกงนักเรียน โครงการทุจริตจัดซื้อหัวรถจักรโครงการทุจริตเช่ารถเข็นสนามบินสุวรรณภูมิ 566 ล้านบาท

1 ปี รัฐบาลอภิสิทธิ์ เท่าที่พิจารณาความเสียหายจากงบประมาณ 1.01 แสนล้านบาท เชื่อว่ามีเงินตกอยู่ข้างทางถึง 6.3 หมื่นล้านบาท

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แม้วขู่ไม่เจรจาเดือดแน่


ที่มา:โพสต์ทูเดย์

ทักษิณลั่นรัฐบาลไม่เจรจาบ้านเมืองอึมครึมต่อ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายการทอล์ก อะราวด์ เดอะเวิลด์ วานนี้ว่า ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องการเจรจา ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บ้านเมืองก็คงต้องอึมครึมต่อไป


“ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อผู้มีอำนาจบอกต้องเป็นอย่างนี้ ใช้ศาลทำสองมาตรฐานต่อไป อย่างที่เรียนทุกอย่างมันมีจุดเดือดของมัน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ทั้งนี้ ตนเองค่อนข้างปรับตัวได้จากการอยู่ที่กัมพูชา เพราะคิดว่าเหมือนอยู่บ้าน เพราะนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้อยู่บ้านฟรี เฮลิคอปเตอร์ก็ให้ใช้ฟรี

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การยุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นั้นใช้เวลานาน แต่ถ้าเป็นคดีพรรคอื่นใช้เวลารวดเร็ว มีคนเล่าให้ฟังจากการคุยกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคนบอกว่ามีการสั่งมาห้ามยุบเด็ดขาด

“เรื่องนี้อยู่ที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. แต่เรียนวปอ. รุ่นเดียวกับนายบัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.) และเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน (รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) ฟังดูก็รู้ ฟังธงได้เลยว่าจะไม่ยุบทั้งที่ความผิดประจักษ์ ดังนั้นขอแสดงความยินดีด้วย แต่แสดงความเสียใจกับสังคมไทยที่ได้สองมาตรฐาน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

สำหรับเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศนั้น เขียนชัดว่า ตนเองเป็นภัยหลักจะต้องขจัด ตนเองถูกลอบฆ่าหลายครั้ง แต่โชคดีเส้น ลายมือผมไม่ตายโหง และไม่เหมือน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จากผู้ก่อการร้ายก็กลายเป็นผู้ก่อการดี

วันเดียวกัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และน.ส.วาสนา นาน่วม พิธีกรในรายการ “ลับ ลวง พราง” ทางสถานีวิทยุ 100.5 ได้กล่าวตอบโต้กันอย่างดุเดือดกรณีมีการเสนอข่าวพล.อ. สุรยุทธ์อาสาเป็นคนกลางเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ เปิดแถลงว่า ไม่เคยอาสาที่จะเป็นคนกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ

“ผมมองสื่อในแง่ที่ดี เป็นผู้ที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน โดยเฉพาะคุณวาสนา ซึ่งเคยเป็นประธานในงานแต่งงาน ดังนั้นจึงมีความไว้วางใจ แต่ในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าจะต้องระมัดระวัง เพราะคุณวาสนาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

ด้านน.ส.วาสนา กล่าวยืนยันไม่ได้พูดชี้นำว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะเป็นตัวกลางเจรจาและเข้าใจว่าท่านคงโดนตำหนิ โดนอัดเยอะ และคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ก็ขอยอมเป็น กระโถนแล้วกัน

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จุดระเบิด


ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย อัคนี คคนัมพร

ติดตามข่าว กกต. พิจารณาคดีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกร้องว่ารับเงินจาก บ.ทีพีไอ โพลีน 258 ล้านบาท แล้วไม่แจ้งบัญชีรับ-จ่าย รวมทั้งได้รับเงินอุดหนุนจาก กกต. 29 ล้านแล้วนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แล้วท่านผู้อ่านเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ

เห็นด้วยกับอนุกรรมการเสียงข้างมากที่ให้ยกคำร้อง

หรือเห็นด้วยกับอนุกรรมการเสียงข้างน้อยที่เห็นควรยุบพรรค

ถ้าเห็นว่าตั้งคำถามแบบนี้ยังไม่สมควรตอบเพราะความเห็นยังไม่ถึงที่สุด ผู้เขียนขอตั้งคำถามใหม่ว่า ฟังเรื่องที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ของ กกต. ออกมาให้ความเห็นภายหลังได้รับรายงานจากอนุกรรมการแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างดีกว่า

รายละเอียดของมันมีอยู่ว่า

1.นายอภิชาต สุขัคคานนท์ เห็นควรให้ยกคำร้องตามความเห็นของอนุกรรมการเสียงข้างมาก

2.นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น เห็นควรให้ยุบพรรค

3.กรรมการที่เหลืออีก 3 คนไม่มีความเห็นไปทางใดทางหนึ่ง แต่เห็นว่าประธานกรรมการ กกต. คือนายอภิชาต ควรตัดสินใจเองได้โดยลำพังเพราะกฎหมายให้อำนาจไว้แล้ว

ท่านผู้อ่านจะเห็นอย่างไรก็ตามที แต่ผู้เขียนขอบอกความเห็นของตัวเองว่า ประเทศไทยกำลังใกล้ถึงจุดแตกหักกันแล้วครับ

เรื่องเงิน 258 ล้านของทีพีไอฯ และเงิน 29 ล้านของ กกต. นี้ คนไทยได้ทราบข้อมูลกันมาเป็นอย่างดีจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้อภิปราย

จากคำอภิปรายนั้นทำให้เราทราบต่อไปว่า ก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะถูกนำเข้าสภา ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเขาได้ดำเนินการสืบสวน-สอบสวนของเขาไว้แล้วอย่างละเอียด

เขาได้พยานเอกสาร พยานบุคคลปากสำคัญไว้ทั้งสิ้น

นายประจวบ สังข์ขาว คือพยานปากสำคัญนั้น

ท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อนายประจวบ สังข์ขาว ได้เพราะที่ปรากฏเป็นข่าวก็มาก ที่ถูกนำไปอภิปรายในสภาก็ไม่ใช่น้อย ที่ผู้เขียนนำมาเป็นตัวละครในบทความนี้ก็หลายหน

เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้วเห็นว่าคดีมีมูลก็ส่งเรื่องให้ กกต. ดำเนินการต่อ

แต่เป็นที่คาดหมายกันว่า กกต. จะต้องช่วยกันอุ้มพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นหวานใจของเผด็จการ เป็นพรรคที่อำมาตย์หมายมั่นปั้นมือที่จะเอาไว้ใช้งานเป็นรัฐบาลแทนพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

กกต. ก็เลยไม่กล้าผลีผลาม

การพิจารณาได้เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก จนคนรู้สึกว่าทีพรรคการเมืองอื่นฟันฉัวะ แต่ทีพรรคประชาธิปัตย์ กกต. กลับเป็นไส้เลื่อนซะงั้น

ในที่สุดก็เลื่อนต่อไปไม่ไหว ต้องออกมาประกาศผลให้คนยี้กันทั้งเมืองจนได้

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรค ถึงแก่เก็บความดีใจไม่อยู่ ต้องออกมาบอกคนทั้งโลกว่า กกต. เห็นเช่นนั้นถูกต้องแล้ว เพราะแม้เรื่องเงิน 258 ล้านจะเป็นความจริง แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องพรรค

เอาเถอะครับ เวลานี้ท่านเป็นหวานใจอำมาตย์ ท่านเป็นรัฐบาลกันอยู่ จะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์เหตุผล ไม่ต้องแคร์ความจริง ไม่ต้องแคร์กฎหมาย และไม่ต้องแคร์ความรู้สึกผู้คน

แต่ผู้เขียนจะขอเตือนพวกท่านไว้ว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ยังพังครืนลงได้เพราะเรื่องการล่าสัตว์ที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเท่านั้น

เวลานี้พวกท่านได้ทำให้คนไทยเครียดกันทั้งประเทศ เครียดทั้งเศรษฐกิจ เครียดทั้งการเมือง เครียดทั้งคอร์รัปชัน และเครียดทั้งเห็นความอยุติธรรมอยู่ตำตา

ขีดขั้นความอดทนใกล้ถึงจุดระเบิดแล้วครับ

เร่งวัน เร่งคืนมันเข้าเถิด

**********************************************************************

ครบ 1 ปี ′มาร์ค′ กรุงเทพโพลล์ชี้ ผลงานแผ่วลง กรณีศิวรักษ์กระทบเต็มๆ แต่ยังเชื่อให้ทำงานต่อ 59.3%

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ


ผลสำรวจกรุงเทพโพลล์ชี้ ครบ 1 ปี รัฐบาล นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คะแนนความพึงพอใจผลงานรัฐบาลได้ 3.87 คแนน ลดลงจาก 4.02 เมื่อตอนครบ 9 เดือน เชื่อกรณีศิวรักษ์เป็นตัวแปร แต่โดยรวมยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อถึงร้อยละ 59.3% สอดคล้องกับคะแนนความพอใจของพรรคประชาธิปัตย์ 4.23 เพิ่มขึ้นจาก 4.17 เมื่อตอนครบ 9 เดือน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 1 ปี ในการทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง "ประเมินผลงาน 1 ปี รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์" ขึ้น โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 11 จังหวัดจากทุกภาคของประเทศ จำนวน 1,660 คน เป็นเพศชายร้อยละ 48.6 เพศหญิงร้อยละ 51.4 เมื่อวันที่ 11 - 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา



ผลการสำรวจพบว่า คะแนนความพึงพอใจผลงานของรัฐบาล นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อทำงานครบ 1 ปี ด้านเศรษฐกิจ 4.41 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 4.17 คะแนน เมื่อตอนครบ 9 เดือน ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต 3.76 คะแนน ลดลงจาก 4.39 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน ด้านการต่างประเทศ 3.75 คะแนน ลดลงตาก 4.15 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน ด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย 3.71 คะแนน ลดลงจาก 3.72 เมื่อตอนครบ 9 เดือน ด้านความมั่นคงของประเทศ 3.73 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 3.69 เมื่อตอนครบ 9 เดือน และความพึงพอใจโดยเฉลี่ยรัฐบาลนี้ได้ 3.87 คะแนน ลดลงจาก 4.02 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน



ขณะที่ ผลงาน หรือโครงการ ของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด 5 อันดับแรก โครงการเรียนฟรี 15 ปี ร้อยละ 17.3 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างอาชีพ ร้อยละ 11.3 โครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสามัคคี ร้องเพลงชาติ ร้อยละ 11.2 โครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ร้อยละ 9.9 โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ร้อยละ 9.3



ส่วนคะแนนความพึงพอใจการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้คะแนนเฉลี่ย 4.70 คะแนน ด้านความซื่อสัตย์สุจริต 5.44 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 5.37 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน ความขยันทุ่มเทในการทำงาน 5.35 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 5.07 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ 4.83 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 4.81 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน ความสามารถสร้างสรรค์ผลงานหรือโครงการใหม่ๆ 4.62 คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 4.44 เมื่อตอนครบ 9 เดือน ความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ 3.72 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 3.71 เมื่อตอนครบ 9 เดือน และความสามารถในการบริหารจัดการตามอำนาจหน้าที่ที่มี 4.25 คะแนน ลดลงจาก 4.25 คะแนน เมื่อตอนครบ 9 เดือน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยทั้งหมด นายอภิสิทธิ์ ได้ 4.70 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 4.62 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน



เมื่อเปรียบเทียบความคาดหวังระหว่างตอนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับผลการทำงานในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ดีกว่าที่คาดหวังไว้ ร้อยละ 10.8 พอๆ กับที่คาดหวังไว้ ร้อยละ 34.6 แย่กว่าที่คาดหวังไว้ ร้อยละ 27.3 ไม่ได้คาดหวังไว้ ร้อยละ 27.3



โดยเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เรื่องการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มคนเสื้อแดง ร้อยละ 23.2 เป็นรัฐบาลในช่วงที่ประเทศชาติวุ่นวาย การเมืองไม่นิ่ง และเป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง ร้อยละ 18.5 ประชาชนในประเทศมีความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ร้อยละ 14.1 มีความขัดแย้งกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ร้อยละ 10.8 คณะรัฐมนตรีบางคนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ร้อยละ 10.7



ขณะที่เรื่องที่ต้องการให้ นายกฯ อภิสิทธิ์ ทำมากที่สุดในเวลานี้ ได้แก่ เดินหน้าทำงานต่อไป ร้อยละ 59.3 ยุบสภา ร้อยละ 24.5 ปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 6.7 (โดยรัฐมนตรีที่ควรถูกปรับออกมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ นายกษิต ภิรมย์ ร้อยละ 2.7 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร้อยละ 1.2 นายโสภณ ซารัมย์ ร้อยละ 0.5) ลาออก ร้อยละ 5.2
อื่นๆ อาทิ ให้นายกฯ กล้าตัดสินใจให้เด็ดขาดกว่านี้ เร่งสร้างผลงานให้เด่นชัดโดยเร็ว และแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้ได้ ฯลฯ ร้อยละ 4.3



นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ เรื่องความพึงพอใจต่อการทำงานของพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน โดยพรรคแกนนำรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ 4.23 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 4.17 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน พรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ 3.44 คะแนน ลดลงจาก 3.45 เมื่อตอนครบ 9 เดือน และพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาราช ได้ 3.37 คะแนน ลดลงจาก 3.65 คะแนนเมื่อตอนครบ 9 เดือน



โดยวิธีการรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิด (Open Form) โดยสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ จากทั่วทุกภาคของประเทศ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) สำหรับกรุงเทพมหานครได้ทำการเก็บข้อมูลจากประชาชนทั้ง 50 เขต ปริมณฑล 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และจังหวัดตัวแทนแต่ละภาค ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น ร้อยเอ็ด
นครศรีธรรมราช และสงขลา จากนั้นจึงสุ่มถนนและประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่ม ตัวอย่างทั้งสิ้น 1,660 คน เป็นเพศชายร้อยละ 48.6 และเพศหญิงร้อยละ 51.4

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปชป.ร้าวหนัก "สุขุมพันธ์" ปลดญาติ"มาร์ค" พ้นเลขา เผยที่ผ่านมามีแต่สร้างปัญหา


ที่มา:มติชนออนไลน์

"สุขุมพันธุ์"เด้งญาติ"มาร์ค"พ้นเลขาฯ เจ้าตัวบอกดีหายอึดอัด

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมว่า ได้ลงนามคำสั่งปลด นายชีวเวช เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม และได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งนางปิยาภรณ์ แสนโกศิก นักธุรกิจเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์ หลานสาว นายบัณฑิต ศิริสัมพันธ์ ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน โดยให้มีผลในวันที่ 4 มกราคมนี้เป็นต้นไป

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าการปลดนายชีวเวช ไม่มีปัญหาส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่มีสถานภาพเป็นญาติกับนายชีวเวช แต่ต้องการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการบริหาร กทม.

"การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ว่าฯ กทม.กับเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันจึงจะสามารถร่วมงานกันได้ดี แต่ที่ผ่านมากลับมีปัญหาผมให้เวลานายชีวเวชปรับตัวและรายงานให้นายอภิสิทธิ์ทราบมาตั้งแต่ต้น และนายอภิสิทธิ์เข้าใจ อีกทั้งยังได้ฝากขอให้โอกาสนายชีวเวชทำงานให้ครบปีก่อน แล้วค่อยพิจารณาใหม่ ดังนั้นเมื่อผมปลดจึงไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทราบ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของผมโดยตรง" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าว

ด้านนายชีวเวช กล่าวว่า ทราบข่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่รับตำแหน่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ไม่มอบงานให้ทำ แต่ไม่รู้สึกน้อยใจ ตรงข้ามกลับหายอึดอัดใจ เพราะที่ผ่านมาไม่ชอบที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตำหนิรัฐบาลทุกครั้งที่ไปออกงาน

“มายาคติ - ความเชื่อ” ในสังคมไทย


ที่มา:ประชาไท “คนบ้านปาง”

ย้อนยุคไปพันปีก่อนพุทธกาล ชาวอารยัน (Aryan) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเอเชียกลาง (เชื้อชาติอินโด-ยุโรป, Indo-European) ได้อพยพเข้าสู่ตอนเหนือของอินเดีย ชาวอารยันถือว่าตัวเองมีความเจริญเหนือกว่าคนพื้นเมืองอินเดีย และเป็นผู้ชนะสงคราม แต่เพราะความกลัวว่าเผ่าพันธุ์ของตัวเองจะถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมของอินเดียดูดกลืน จึงมีข้อห้ามไม่ให้ชาวอารยันแต่งงานกับชนพื้นเมือง และแบ่งสังคมเป็น 3 ชนชั้นคือ นักรบ, นักบวช และประชาชน แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไป – อินเดียผู้แพ้กลับเป็นผู้ชนะสงครามวัฒนธรรม.!!!

อีกหลายร้อยปีต่อมา “พราหมณ์” ได้นำเอาคำสอนจากคัมภีร์ฤคเวท (พระเวท) มาเป็นกฎเกณฑ์ กำเนิดระบบ “วรรณะ” (Caste) กลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของสังคมอินเดีย, ด้วยคำสอนว่า มนุษย์มีสถานะทางสังคมสูง - ต่ำไม่เท่ากัน, มนุษย์จะประสบผลสำเร็จในชีวิต จะประกอบกิจการใด ๆ รวมไปถึงการบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต [โมกษะ; ภาวะที่อาตมันเข้าไปรวมกับปรมาตมัน (พรหมัน) ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป [1] มนุษย์จึงต้องปฏิบัติตน และเคร่งครัดต่อ "วรรณะ" ของตน.

คำว่า "วรรณะ"[2] ความหมายตามรากศัพท์ภาษาสันสกฤต แปลว่า สี รูป ชาติกำเนิด ลักษณะคุณสมบัติ "วรรณะ" ได้แบ่งชาวอินเดีย ออกเป็น 4 ชนชั้น คือ วรรณะพราหมณ์ ; นักบวชผู้ประกอบพิธีกรรม ครู (แต่งสีขาว), วรรณะกษัตริย์ ; ปกครองบ้านเมือง ทหาร (แต่งสีแดง), วรรณะไวศยะ/แพศย์ ; ค้าขาย เกษตรกรรม (แต่งสีเหลือง), วรรณะศูทร ; กรรมกร ทาส ผู้รับใช้วรรณะอื่น (แต่งสีดำ) – ยังมีวรรณะที่ต่ำกว่าวรรณะศูทร (พวกนอกวรรณะ) ; “วรรณะจัณฑาล” เป็นลูกที่เกิดจากพ่อแม่ต่างวรรณะ เป็นชนชั้นที่ถูกรังเกลียดมากที่สุดในสังคม.

เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคราชาธิปไตย “พราหมณ์” ได้เรียนรู้ว่า “ผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคม คือผู้มีสถานะสูงสุดในสังคม” ดังนั้นเพื่อรักษาวรรณะของตนให้อยู่เหนือวรรณะอื่น และยกศาสนาของตนให้สูงกว่าลัทธิโยคะ ศาสนาเซ็น และศาสนาพุทธซึ่งกำลังเป็นความเชื่อใหม่ในยุคนั้น, พราหมณ์จึงอ้างความเป็น “ผู้แทนของเทพ” ในการเป็นผู้มอบสภาวะความเป็นเทพให้กับ “กษัตริย์” (ซึ่งสภาวะความเป็นเทพ มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสถานะของกษัตริย์ในยุคราชาธิปไตย), เกิดการเปลี่ยนแปลงคติในศาสนาพราหมณ์ (ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) เกิดมีนิกายต่าง ๆ [3] เช่น ไศวะนิกาย นับถือพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพสูงสุด เป็นเทพผู้สร้าง และผู้ทำลาย, ไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุ (พระนารายณ์) ว่าเป็นผู้ช่วยเหลือมนุษย์ในยามทุกข์เข็ญ ถึงขนาดจะอวตารเป็นพระอนาคตวงศ์ของพระพุทธเจ้า - ยังมีการอ้างถึง, ทั้ง 2 นิกาย ต่างบำเพ็ญตบะด้วยการทรมานร่างกายสารพัดวิธี เพื่อมุ่งมั่นให้วิญญาณของอาตมัน ไปรวมกับปรมาตมัน (ซึ่งเป็นวิธีบำเพ็ญตบะของโยคะ; อัตตกิลมถานุโยค[4]: ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติมาก่อนที่จะตรัสรู้).

ระบบวรรณะของอินเดียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “อารยธรรมอินเดีย” ที่ไหลบ่าเข้าสู่ดินแดนแห่งภูมิภาคนี้ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ผู้ปกครองในดินแดนซึ่งมีอารยธรรมต่ำกว่า ย่อมต้องการ “องค์ความรู้” จากอารยธรรมที่สูงกว่า ยิ่งเป็นความรู้ที่มาจากดินแดนที่มีวิทยาการสืบทอดกันมานับพัน ๆ ปี ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการสร้างอาณาจักร.

จากการแบ่งแยกชนชั้นด้วย “ระบบวรรณะ” ถูกปรับเปลี่ยนเป็นการแบ่งแยกด้วย “ระบบศักดินา”[5], จากเมือง “อโยธา” ของพระรามในประเทศอินเดีย กลายมาเป็น “กรุงศรีอยุธยา”.

อิทธิพลความเชื่อที่มาพร้อมกับ “วรรณะ” ได้นำเอากรอบความคิดใหม่ มาให้กับดินแดนนี้ พร้อมกับการสถาปนาความเป็นอวตารของ “พระศิวะ - พระวิษณุ” ให้กับชนชั้นผู้ปกครอง พร้อมทั้งลัทธิพิธีกรรม กฎหมาย[6] โหราศาสตร์ ดารา-ศาสตร์ ไสยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ นาฏศิลป์ และวรรณกรรม. จากศาสนาที่เป็นจิตวิญญาณของชุมชนถูกบิดเบือนให้เป็น “ศาสนาเพื่อชนชั้น” จากพระพุทธศาสนา (นิกายเถรวาท) ที่เคร่งครัดในพระวินัย – พระธรรมคำสอน, กลายเป็นพระพุทธศาสนา (นิกายมหายานผสมพราหมณ์ฮินดู) ที่อาศัยพิธีกรรมความเชื่อเรื่องเทพเจ้า – ภูตผี – วิญญาณ ที่คอยหลอกหลอนผู้คนตลอดมา.

ทั้งหมดเพื่อทำให้ผู้ปกครองมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ, มีอำนาจอย่างชอบธรรม – มีอำนาจสูงสุดที่จะปกครอง โดยมีความเชื่อในทางศาสนามารองรับอำนาจของผู้ปกครอง, จนกลายเป็น “มายาคติ” ที่หยั่งรากลึก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง.!!!

ความเชื่อแบบเทวนิยม ทำให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนากลายเป็นความเชื่อเรื่อง “นรก – สวรรค์ –กรรมเวร - พรหมลิขิต” เช่น คติความเชื่อใน “ไตรภูมิกถา” ; ชนชั้นในสังคมเกิดจาก “กฎแห่งกรรม” ผู้มีอำนาจ มีชีวิตที่สุขสบาย เป็นเพราะ คนเหล่านั้นได้ทำบุญกุศลมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนผู้คนที่อดอยากยากไร้ เป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นทำความชั่ว หรือทำบุญกุศลไม่เพียงพอในอดีตชาติ ดังนั้นบุคคลที่มีสถานะสูงสุดในสังคม ก็คือ บุคคลที่เคยสร้างบุญกุศล และสร้างคุณงามความดี มากที่สุดในอดีตชาตินั่นเอง.[7]

ระบบ (วรรณะ) ศักดินา ได้ทำให้ “พระพุทธศาสนา” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเอื้ออาทร ความเป็นพี่น้อง ความเป็นสังคม “ภราดรภาพ” ของเพื่อนมนุษย์ กลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ระหว่าง “เจ้านายกับข้าไพร่” (การใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรไม่มีในเกือบทุกประเทศ ถือว่าหน้าที่นี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล รัฐบาลมีหน้าที่แต่รักษาประเทศ การรักษาความสุขเป็นหน้าที่ของราษฎรเอง[8]), เกิดระบอบอุปถัมภ์ แต่อุปถัมภ์เฉพาะกลุ่มคนที่ให้ประโยชน์กับชนชั้น (สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้อพยพต่างชาติมีโอกาสสร้างฐานะความร่ำรวย ในขณะที่ข้าไพร่ คนในชาติ ถูกผูกพันด้วยระบบเกณฑ์แรงงาน คนต่างชาติได้เข้าทำการค้าแทนคนในชาติ และกลายเป็นชนกลุ่มใหม่ที่ทำธุรกิจร่วมกับชนชั้นปกครอง[9]), เกิดอุดมคติที่เป็นการทำลายอิสรภาพ – ความเสมอภาคในสังคม ยึดถือคติการเป็น “เจ้าคนนายคน”, ความเชื่อมั่นในความเป็นปัจเจกชนถูกละทิ้ง ไม่มีจินตนาการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์, ไม่มีการปรับตัว - หวังพึ่งพิงจากรัฐบาล ไม่มีความคิดในการพึ่งพาตนเอง. ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อสร้าง “รัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุม”.!!!

วันนี้สังคมไทยก็มี “วรรณะ” : วรรณะเหลือง; ฝ่ายพันธมิตรฯ และผู้เกลียดชังทักษิณ, วรรณะแดง; ฝ่ายทักษิณ, นปช. และผู้เรียกร้องความยุติธรรม, วรรณะน้ำเงิน; ฝ่ายนายเนวิน ภารกิจหลักคือขัดขวางสีแดง, วรรณะขาว; ต้องการให้ทุกสีหันมาพูดคุยกัน.

วันนี้ “ศึกวรรณะสีเสื้อ” จะลงเอยอย่างไร? กลับไม่สำคัญเท่ากับ - สังคมไทยจะได้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้???

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย, การเปลี่ยนแปลง ยุคสมัยจากกรุงศรีอยุธยา มาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ คือการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตาม “บัญญัติแห่งโลกสมมติ” แต่สิ่งที่เป็น “สมมติสัจจะ” ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ วัฒนธรรมแห่ง “ความเชื่อ” – ตราบเท่าที่สังคมไทยยังไม่สามารถเรียนรู้ และแยกแยะได้ว่า อะไรคือ “มายาคติ” - อะไรคือ “ความเป็นความจริง”.!!!

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือน“มาร์ค”ไม่ยุบสภาเพิ่มอัตราเสี่ยงอันตราย

ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

นักวิชาการหลายสำนักเห็นพ้องมองไม่เห็นรัฐบาลมีผลงานอะไรโดดเด่นหลังทำงานมาครบ 1 ปี ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แก้ไม่ได้ แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวจากการทุจริตโครงการต่างๆอีกด้วย แนะอย่าคิดปรับ ครม. เพื่อกู้ภาพลักษณ์ให้เสียเวลา รอจังหวะเหมาะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนดีกว่า เตือน “อภิสิทธิ์” หากยังดื้อแพ่งอยู่ในอำนาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายเหมือนนายกฯอิตาลี ผู้นำแรงงานให้ฉายา “หล่อไม่มีเหลี่ยม” มีดีแค่หน้าตาและบุคคลิก แต่ไม่มีชั้นเชิงในการบริหารประเทศ กลุ่มต่อต้านอภิสิทธิ์ชนเรียกร้อง “กษิต” ลาออก ชี้ตั้งแต่เข้ามามีอำนาจดำเนินนโยบายผิดพลาดตลอด โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านที่ทำให้สัมพันธ์ไทย-เขมรขาดสะบั้น

ว่าที่พันตรีวิษณุ บุญมารัตน์ อาจารย์ประจำคณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ประเมินผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีว่า ให้ผ่านอย่างฉิวเฉียด โดยให้ 5 คะแนนเต็ม 10 ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศได้ เช่น การทุจริตที่มีมากขึ้น ความขัดแย้งในสังคม ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เศรษฐกิจ-สังคมสอบไม่ผ่าน

อย่างไรก็ตาม หากแยกให้คะแนนรายกระทรวง กระทรวงที่ไม่ผ่านคือกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงด้านสังคมที่ยังมีปัญหาเรื่องค้าประเวณี ยาเสพติด ส่วนกระทรวงที่สอบผ่านอย่างฉิวเฉียดคือกระทรวงแรงงาน เพราะมีการจัดฝึกอบรมอาชีพให้ประชาชน

ต้องเปลี่ยน รมต. หลายกระทรวง

“ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรถือโอกาสครบรอบ 1 ปีปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งใหญ่เพื่อกู้ภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น กระทรวงที่ควรเปลี่ยนผู้บริหารคือกระทรวงคมนาคมที่มีปัญหาความไม่โปร่งใสในการดำเนินโครงการหลายโครงการ เช่น โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน กระทรวงสาธารณสุขที่มีปัญหาทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งจนทีมที่ปรึกษาต้องลาออกยกทีม และรัฐมนตรีควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบด้วย กระทรวงการคลังที่ขอเงินกู้มากถึง 800,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น” ว่าที่พันตรีวิษณุกล่าว

ผู้นำแรงงานเห็นดีไม่กี่ข้อ

น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ผลงานรัฐบาลด้านแรงงานและสวัสดิการสังคมที่สอบผ่านมีเพียง 3 โครงการเท่านั้นคือ น้ำ-ไฟฟรี รถเมล์-รถไฟฟรี และเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ส่วนปัญหาที่รัฐไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ผ่านการประเมิน ได้แก่ การสนับสนุนสิทธิสหภาพแรงงาน การแก้ไขปัญหาการเลิกจ้าง การแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบ การแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติ และนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ

ตั้งฉายา “มาร์ค” หล่อไม่มีเหลี่ยม

“คสรท. ขอตั้งฉายานายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่ารัฐมนตรีเต่าล้านปี เนื่องจากนายไพฑูรย์เคยทำงานด้านแรงงานมาแล้วหลายครั้งแต่ยังแก้ปัญหาแรงงานไม่ได้ รวมถึงมีลักษณะการทำงานที่ฟังแต่เสียงข้าราชการ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอตั้งฉายาให้ว่าหล่อไม่มีเหลี่ยม เพราะนายกฯมีหน้าตาและบุคลิกดี แต่ไม่มีเหลี่ยมเชิงในการบริหารจัดการประเทศ จึงทำให้แก้ปัญหาต่างๆไม่ได้” น.ส.วิไลวรรณกล่าว

ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ส่วนตัวให้รัฐบาลสอบผ่านได้ 6 เต็ม 10 เพราะมีข้อจำกัดมากมายในการทำงาน

ไม่ยุบสภานายกฯจะเกิดอันตราย

“ปัญหาที่น่าเป็นห่วงของรัฐบาลคือการทุจริตโครงการใหญ่ เช่น โครงการชุมชนพอเพียง โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งหลายกรณีมีหลักฐานการทุจริตอย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีการเอาผิดกัน” ดร.อมรกล่าวและว่า ไม่เห็นด้วยหากจะมีการปรับ ครม. เพราะการปรับ ครม. ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เนื่องจากเป็นการพิจารณาของคนไม่กี่คน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อเวลาเหมาะสม แต่เท่าที่ประเมินเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงไม่ยอมยุบสภาง่ายๆ เพราะคงไม่มีใครอยากสละอำนาจ แต่หากยังดื้อดึงนายกรัฐมนตรีก็เสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น อาจโดนเหมือนนายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี โดนก็ได้ (ถูกปาของแข็งใส่หน้าจนดั้งหัก ปากฉีก และฟันหัก 2 ซี่)

อัดแก้ปัญหาการเมืองไม่ได้เลย

นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ผลงานของรัฐบาลที่พอรับได้คือด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ที่แย่คือด้านการเมือง โดยเฉพาะ 2 ข้อใหญ่ที่รัฐบาลทำไม่ได้เลยคือ การสร้างความสมานฉันท์และการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนจะต้องปรับ ครม. เพื่อให้การทำงานดีขึ้นหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจต้องไปคิด

ชุมนุมไล่ “กษิต” ออกจากตำแหน่ง

ที่กระทรวงการต่างประเทศผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มต่อต้านอภิสิทธิ์ชนจำนวนหนึ่งเดินทางมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากเห็นว่าตั้งแต่นายกษิตเข้ามาเป็นรัฐมนตรีการบริหารงานเกิดความล้มเหลว ขาดความน่าเชื่อถือด้านต่างประเทศเป็นอย่างมาก เห็นได้จากความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาต้องขาดสะบั้นลง หรือแม้แต่ประเทศพม่า ซึ่งเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่เชิญนายกรัฐมนตรีไทยไปเยือน นอกจากนี้ยังมีความเคลือบแคลงอยู่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสั่งการให้เลขานุการเอกสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กระทำการในสิ่งที่ไม่เหมาะสม จึงอยากเรียกร้องให้นายกษิตพิจารณาลาออกจากตำแหน่งก่อนจะมีการลุกขึ้นมาขับไล่จากประชาชน

**********************************************************************

รัฐบาลครบปี ทุนหายกำไรหด


ที่มา: ข่าวสดรายวัน


บริหารประเทศมาใกล้ครบ 1 ปีในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ต้องจัดทำรายงาน แสดงผลการดำเนินการเสนอต่อรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ทั้งยังตระเตรียมแถลงผลงานให้ประชา ชนได้รับรู้ไปพร้อมกันวันที่ 23 ธ.ค.

แน่นอนว่าผลงานที่แถลงออกมา จะอย่างไรก็ต้องมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแตกต่างไปตามสภาพสังคมการเมืองที่แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย

มีกองเชียร์ของใครของมันคล้ายงานกีฬาสีแต่ดุเดือดกว่าหลายเท่า

ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ

พรรคประชาธิปัตย์สามารถ "พลิกขั้ว" จากฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ผลักดันนายอภิสิทธิ์ ขึ้นสู่จุดสูงสุดทาง การเมือง

ท่ามกลางข้อครหาความสำเร็จของนายอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ เพราะได้รับการเกื้อหนุนจากกลุ่มต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิม กลุ่มการเมืองที่แยกตัวมาจากขั้วอำนาจเก่า กลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงกองทัพ

ซึ่งคือที่มาฉายา "รัฐบาลเทพประทาน"

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่มีเจ้าบุญนาย คุณจำนวนมากที่พร้อมจะใช้วิธี "ทวงหนี้โหด" นี้เอง

ทำให้ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องประสบปัญหาภายในเกี่ยวกับการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย



ปัญหารัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มมีมาตั้งแต่การฟอร์มคณะรัฐมนตรี 5 ประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคแกนนำจำเป็นต้องเสียสละกระทรวงใหญ่ๆ และกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงมหาดไทย คมนาคม พาณิชย์ เกษตรฯ อุตสาหกรรม ให้กับพรรคร่วม

จนทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งที่อกหักจากตำแหน่งไม่พอใจ และทำตัวเป็น "คลื่นใต้น้ำ" รอวันกระเพื่อมได้ตลอดเวลาในระยะ 1 ปีมานี้ โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีกระแสการปรับครม.

นอกจากนี้ที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นจุดกระดำกระด่างของ รัฐบาล

คือการนำเอา นายกษิต ภิรมย์ มาเป็นรมว.การต่างประเทศ ตามโควตาของกลุ่มพันธมิตรฯ หนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่

แม้นายกษิต จะขึ้นชื่อเรื่องความมุมานะตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชนิดสุดขอบฟ้า สร้างความสะอกสะใจให้กับกองเชียร์รัฐบาล

แต่ก็อ่อนด้อยในงานการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน

อีกทั้งผลของการไล่ล่ายังกลายเป็นการบีบพื้นที่ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาใกล้ประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการมองตาปริบๆ

กล่าวกันว่าการแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลและนายกฯกัมพูชา ไปจนถึงกรณีการจับกุมวิศวกรไทย ทั้งหมดเกิดจากความไม่พอใจเป็นการส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต

อันมีเชื้อไฟลามมาจากกรณีปราสาทพระวิหาร

ตั้งแต่สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน และนายกษิตยังอยู่บนเวทีพันธมิตรฯ



ผลจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ปล่อยให้กระทรวงเศรษฐกิจกระจัด กระจายไปอยู่ในมือของพรรคร่วม

นั่นก็คือรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจได้ดั่งใจ

แถมยังเกิดการเตะสกัดแย่งชิงผลงานกันขนานใหญ่ในหมู่รัฐมนตรีต่างพรรค

ทำให้คะแนนผลงานด้านนี้ออกมาแค่คาบเส้น บรรดาพ่อค้านักธุรกิจ ประชาชนทั่วไปต่างผิดหวังไปตามๆ กันเพราะแต่เดิมคาดหวังไว้สูง

เช่นเดียวกับงานด้านปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น

ล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือป.ป.ท.ร่วมกับเอแบคโพลสำรวจพบประชาชนร้อยละ 89 เห็นว่าปัญหาการทุจริต

อยู่ในระดับค่อนข้างรุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด

ต้นทุน "คุณชายสะอาด" หดหายแทบไม่เหลือ

หันมาดูผลงานการสร้างความสมาน ฉันท์สามัคคีของคนในชาติ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศชาติออกจากวิกฤตทุกด้าน

ปรากฏว่ารัฐบาล "สอบตก" โดย สิ้นเชิง

จริงอยู่ที่มีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมา กระทั่งได้ผลสรุปว่าจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น

แต่การตั้งเงื่อนไขว่าการแก้ไขจะต้องผ่านการทำประชามติ

ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองว่าต้อง การเล่นเกมยื้อเพื่ออยู่ในอำนาจ

มากกว่าต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงตามที่กล่าวอ้าง



คาดการณ์กันว่าการแก้ไขรัฐธรรม นูญนี้จะเป็นอีกประเด็นร้อนใน ปีหน้า

โดยเฉพาะพรรคร่วมที่ต้องการให้พรรคแกนนำจริงจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มากกว่านี้ อาจนำมาเป็นเงื่อนไขต่อรอง กับการโหวตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน

การยื้อแก้รัฐธรรมนูญยังเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังโตวันโตคืนใช้เป็นเงื่อนไขบังหน้า เคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลแบบสุดเหวี่ยง

เป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทที่กำลังงวดเข้ามาทุกที

ด้วยเดิมพันมูลค่ามหาศาลนี้เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะสั่งการพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงสู้ไม่ถอย

แม้ปลายปีช่วงเดือนมหามงคลพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจะ พักรบชั่วคราว เหมือนเสียงระฆังหมดยกช่วยรัฐบาลที่กำลังเมาหมัดไว้ได้ทัน

แต่จากอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมาบรรจบกับการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง โดยมีเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ขณะที่รัฐบาลเองในรอบปีที่ผ่านมา ไม่สามารถสร้างผลงานให้ เป็นที่ประทับใจประชาชน โดยชาวรากหญ้ายังมองว่าประชานิยมฉบับอภิสิทธิ์

ยังสู้ประชานิยมฉบับทักษิณไม่ได้

เหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปีหน้าว่ายังเป็นปีที่ยากลำบากของรัฐบาลอภิสิทธิ์

และตราบใดที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์สามัคคีให้เกิดขึ้น

ต่อให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่อีกสักกี่ครั้ง

ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาอย่างยืดเยื้อยาวนานได้

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทบ.เข้มเลียนแบบทหาร เกมกู้ศักดิ์ศรี!


ที่มา:บางกอกทูเดย์

ทบ.ขึงขังกับการแต่งการเลียนแบบทหารอีกแล้วครับทั่น!แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ รองโฆษกกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันก่อนเพื่อดัดหลังผู้ที่ชอบแต่งกายเลียนแบบทหาร ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพราะเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหม สมัยที่ นายสมัครสุนทร

เวช เป็นเจ้ากระทรวง ก็เคยออกมาคุมเข้มกันรอบหนึ่งแล้วซึ่ง นายสมัคร เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวในรายการ“สนทนาประสาสมัคร” และขึงขังเอาจริงเอาจังกับบุคคลที่จะแต่งกายเลียนแบบทหารแต่สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม ทำอะไรไม่ได้มากนอกจาก“ขอความร่วมมือ”ครั้งนี้ รองโฆษกกองทัพบก แถลงว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลแต่งกายคล้ายทหารเข้าไปร่วมในกิจกรรมต่างๆจนทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่า เป็นข้าราชการทหารสร้างความเสีย

หายต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบกดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการสับสนของประชาชน กองทัพบกจึงขอแจ้งว่า...การแต่งกายเครื่องแบบทหารบกนั้นยึดถือตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 กฎกระทรวง (2499)ออกตามความใน พ.ร.บ.เครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 ว่าด้วยสิทธิและโอกาสในการแต่งเครื่องแบบทหารและกฎกระทรวงกลาโหม (พ.ศ. 2542) ว่าด้วยเครื่องแบบทหารบก ฉบับที่ 80รวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยผู้มีสิทธิแต่งกายเครื่องแบบได้จะ

ต้องเป็นคนที่กำหนดไว้เท่านั้น อันได้แก่ นายทหารสัญญาบัตร นายทหาร ประทวนพลอาสาสมัคร ทหารกองประจำการ อาสาสมัครทหารพรานและจะต้องแต่งเครื่องแบบเวลาทำงานในราชการ ทั้งนี้การแต่งเครื่องแบบประเภทใดๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแต่ละโอกาสครั้งหนึ่ง “นักรบศรีวิชัย” หรือ การ์ดพันธมิตรฯ ได้แต่งกายคล้ายทหารเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมและมีกรณีที่ “นักรบพระเจ้าตาก” โดยการฝึกฝนจาก เสธ.แดงพล.ต.ขัตติยะ สวัส

ดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เคยถูก ทบ.ตักเตือนมาแล้วตาม พ.ร.บ.เครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 มาตรา 6 ระบุไว้ว่า“ผู้ใดแต่งเครื่องแบบทหารตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแต่งเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ในราชการอยู่ โดยไม่มีสิทธิจะแต่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน - 5 ปีและถ้าการกระทำเช่นว่ามานี้ได้กระทำภายในเขตซึ่งประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ดี ในเวลาสงครามก็ดี ในเวลาบ้านเมืองมีเหตุฉุกเฉินก็ดี หรือเพื่อ

กระทำผิดทางอาญาก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี”นอกจากความผิดฐานจงใจแต่งเครื่องแบบทหารโดยพลการแล้วใน พ.ร.บ.ดังกล่าวยังระบุถึงความผิดของผู้ที่แต่งกายเลียนแบบทหาร จนสร้างความเสื่อมเสียและเกิดความเกลียดชังกับทหาร โดยระบุไว้ในมาตรา 6 ทวิ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2485 ระบุว่า“ผู้ใดแต่งกายโดยใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบทหารตามพระราชบัญญัตินี้ หรือคล้ายเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ใน

ราชการอยู่ อันอาจนำความดูหมิ่นเกลียดชัง หรือความเสื่อมเสียมาสู่ราชการทหารก็ดี อันอาจทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นทหารก็ดีผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และถ้าการกระทำเช่นว่านี้ได้กระทำภายในเขตซึ่งได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ดี ในเวลาสงครามก็ดี ในเวลาบ้านเมืองมีเหตุฉุกเฉินก็ดี หรือเพื่อกระทำความผิดทางอาญาก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี”นั่นคือ ความผิดที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. เครื่องแบบทหาร เป็นตัว

หนังสือที่บัญญัติไว้หลังประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียง 2 ปีเท่านั้นจะว่าไปแล้วการลงโทษตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ยังไม่ค่อยปรากฏว่า กระทรวงกลาโหมจะลงโทษคนที่แต่งกายเลียนแบบทหารโดยเฉพาะในเขตเมืองยกเว้นที่จะเข้มงวดกันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นส่วนเรื่องบทลงโทษ

ตาม พ.ร.บ. ก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก จนอดคิดไม่ได้ว่ากลาโหมมีกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ามีเท่านั้นใช่หรือไม่การออกมาขึงขังของกองทัพครั้งนี้ดูแล้วคล้ายจะออกมาปราบนายทหารที่ออกนอกลู่นอกทาง หรือดัดหลังให้เข็ดหลาบและอีกประการหนึ่ง อาจเป็นการเรียกศักดิ์ศรีความเป็นกองทัพที่ถูกนายทหารระดับนายพล ท้าทายมาตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รุมซัดมติกกต. "จตุพร"บอกอัปยศ ชี้ควรชัดเจนยุบ-ไม่ยุบปชป. "จาตุรนต์"อัดโยนเผือกร้อนให้ปธ.ตัดสินใจ


ที่มา: มติชนออนไลน์

กรณีที่ประชุมกกต.มีมติเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองใช้ดุลพินิจในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามมาตรา 95 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองชี้ขาดกรณีสำนวนเงิน 258 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์อาจได้รับจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2548 ที่อาจขัดต่อพ.ร.บ.พรรคการเมือง


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมติ กกต.ว่า มติดังกล่าวถือเป็นมติที่น่าอัปยศ หน้าด้าน และน่าอับอายที่สุด การลงมติของ กกต.เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ผลที่ออกมาจะต้องแสดงให้ชัดเจนว่ายุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่โยนให้นายอภิชาติ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนกับกรณีการยุบพรรคพลังประชาชน ทั้งที่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีหลักฐานและใบเสร็จที่ชัดเจนทุกอย่าง หาก กกต.อยู่ใกล้ตนจะให้ปลัดขิกสัก 1 อัน


"องค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้การแต่งตั้งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นอุปสรรค และไม่แปลกที่องค์กรอิสระเหล่านี้จะช่วยกัน เพราะมีรายการ คุณขอมา เหมือนกับที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ไม่ใส่ชื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในคดีรถดับเพลิง คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เช่นเดียวกันที่มีคุณขอมาและจะมีกระบวนการช่วยกันในชั้น กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ" นายจตุพรกล่าว


ส่วนนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่ประเทศญี่ปุ่นทวิตผ่านเว็บบล็อก Twitter.com ว่าที่ กกต.เสียงข้างมากให้นายทะเบียนตัดสินใจเอง ฟังแล้วแปลกดี ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร เหมือนโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.ไปเต็มๆ แรงกดดันจะอยู่ที่ประธาน กกต.ไปจนกว่าจะมีข้อสรุปออกมา แต่สุดท้าย กกต.ทั้งคณะต้องร่วมกันรับผิดชอบ


"ผู้กล่าวหาไม่ใช่ใครก็ไม่รู้แต่เป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เขาสรุปว่าผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ดีเอสไอเขามีหลักฐานเป็นตั้งๆ กกต.กลับไม่เชื่อสักที แถมยังถ่วงเวลามาเรื่อย ถ้าขั้นนี้ช่วยกันอีกจะยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมหนักเข้าไปอีก ทั้งดีเอสไอและ กกต. 4 เสียงเห็นตรงกันแบบนี้พรรคประชาธิปัตย์คงป่วนพอดู ประธาน กกต.เคยเสนอให้ยุบพรรคมาแล้วหลายกรณี มาครั้งนี้ทั้งดีเอสไอและ กกต.4 คน เห็นไปทางเดียวกัน แล้วประธานจะออกยังไง" นายจาตุรนต์ระบุ


ด้านนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ถือว่าเป็นกระบวนการที่ กกต.ปฏิบัติตามกฎหมาย และพรรคยังคงยืนยันที่จะให้การสนับสนุนในการให้ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ผ่านมาก็เปิดเผยถึงแหล่งที่มาของรายได้มาโดยตลอด ไม่ว่าเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกองทุนพรรคการเมือง หรือเงินบริจาคที่ได้จากการระดมทุนครั้งต่างๆ ซึ่งยืนยันว่าในจำนวนเงินบริจาคไม่มีตัวเลข 258 ล้านบาท ที่ได้จากบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ อย่างแน่นอน


นอกจากนี้ รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอกำลังจับตามองการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาคบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นว่าไม่มีความผิด ดีเอสไอจะเข้าไปสอบสวนต่อ เนื่องจากความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองและ พ.ร.บ.การเลือกตั้งมีความผิดอาญาพ่วงอยู่ ซึ่งเป็นอำนาจสอบสวนของดีเอสไอ ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้รับคดีไซฟ่อนเงินของบริษัททีพีไอเป็นคดีพิเศษไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จากหลักฐานที่รวบรวมได้ในชั้นสอบสวนดีเอสไอค่อนข้างมั่นใจในพยานหลักฐาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพยานเอกสาร โดยเฉพาะหลักฐานทางการเงินการธนาคาร