--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาบตาพุด 300,000 ล้าน แขวนชะตารอ ‘อานันท์’


ในทันทีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับ 65 โครงการลงทุนมาบตาพุด บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่2 ธ.ค. ก็เหมือนกับระเบิดลง เพราะดัชนีดิ่งลงอย่างหนัก โดยระหว่างวันดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 693.51 จุด และเป็นระดับจุดปิดของตลาดในวันที่ 2 ซึ่งร่วงลง 16.50 จุด หรือ ร้อยละ 2.32มูลค่าการซื้อขาย

หนาแน่นจากการเทขายด้วยความตื่นตระหนก 28,708.11 ล้านบาทเล่นเอาหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง วิ่งวุ่นไปตามๆ กันนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องให้ทางบริษัทจดทะเบียน 5 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนในมาบตาพุด ประกอบด้วย บริษัท ปตท. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.

เออาร์บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีซี และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือทีพีซีประเมินผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทันที กระทบต่อโครงการในส่วนไหนบ้าง และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น“ยอมรับว่า หลังศาลฯ ตัดสินออกมาส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวล เห็นได้จากดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน จึงขอให้นักลงทุนประเมินข่าวสารให้รอบด้านและรอฟังข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนตัดสินใจลงทุน” นางภัทรียา กล่าวซึ่ง

ทำให้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เองก็พลอยเหนื่อยอย่างหนักไปด้วย เพราะสำหรับ ปตท. มีการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาทในพื้นที่มาบตาพุด ดังนั้นแม้จะมีโครงการบางส่วนที่รอดพ้นออกมาได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังติดบ่วงอยู่ในส่วนที่เหลือที่ถูกแช่แข็งที่สำคัญ อาณาจักร ปตท. นั้นถือเป็นครอบครัวหุ้นที่มีน้ำหนักมากในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน จึงทำให้ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่งเพราะหาก ปตท.และเครือได้รับ

ผลกระทบเยอะตลาดหุ้นไทยก็จะยิ่งอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นในขณะที่นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในรายชื่อตามคำฟ้องทั้งหมด 76 โครงการ มีโครงการในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ SCG Chemicals) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCC จำนวนทั้งสิ้น 20 โครงการ โดยผลของคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เท่ากับว่าคงเหลือ 18 โครงการที่จะถูกระงับโครงการไว้เป็นการชั่วคราว เพราะ 2 โครงการได้รับการยก

เว้นตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดแล้วซึ่งทั้ง 18 โครงการ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 57,500 ล้านบาทคาดว่าจากคำสั่งดังกล่าวอาจทำให้โครงการล่าช้าไปบ้าง และขณะนี้ SCC อยู่ระหว่างการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางปฏิบัติร่วมกันให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดอย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับกำลังการผลิตเดิมที่ SCG Chemicals มีอยู่ และยังคงสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

ส่วนนายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) กล่าวว่า โครงการของ ปตท.ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าจะชะลอตัวรวม 25 โครงการเงินลงทุน 130,000 ล้านบาท แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ 11 โครงการเดินหน้าและรวมไปถึงคำสั่งศาลปกครองกลางก่อนหน้านี้มีคำสั่งว่าให้โครงการใดๆ ที่ได้รับใบอนุญาตก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้ก็สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโครงการทั้งหมดของ

ปตท.ส่วนใหญ่จะเดินหน้าได้แต่มีหลายโครงการที่ดำเนินการหลังปี2550 ก็จะต้องทำตามข้อปฏิบัติของภาครัฐที่จะกำหนด รวมทั้งคำสั่งศาลซึ่งรวมแล้วมีโครงการที่ได้รับผลกระทบประมาณ 60,000 ล้านบาท“ต้องยอมรับว่าผลกระทบในมาบตาพุดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งที่อ่อนไหว โดยภาคเอกชนต้องการเห็นข้อกำหนดของภาครัฐให้มีความชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่ทราบว่าการดำเนินการตาม

กฎหมายทั้งหมดก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าทั้งภาครัฐและส่วนอื่นจะเร่งสร้างความชัดเจนโดยเร็ว” นายชายน้อย กล่าวแม้ดูเหมือนว่าจนถึงขณะนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังคงไปฝากความหวังเอาไว้กับคณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ซึ่งนายอานันท์ เผยว่า ขณะนี้กำลังเร่ง

กำหนดพิมพ์เขียว หรือโครงสร้างองค์กรอิสระใหม่ เพื่อปฏิบัติการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 (2) โดยจะสรุปภายใน 2 สัปดาห์ดังนั้นชะตากรรมของโครงการที่ลงทุนไปแล้ว และจะก่อให้เกิดการจ้างงานการลงทุน และสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เป็นเงินรวม 300,000 ล้านบาทคงต้องรอดูฝีมือรัฐบาลว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร???

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลือฟุ้ง คุณหญิงหน่อย ‘ตั้งพรรคใหม่’ บทเรียนสอนใจ ‘คดียุบพรรค’


เป็นที่รู้ๆ กันดูในแวดวงการเมืองว่า “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือเจ้าของฉายา ผู้หญิงเหล็ก เป็นบุคคลการเมืองที่ทำงานมุ่งมั่นในวันที่ประเทศไทยมีโรคซาร์สเข้ามาระบาด คุณหญิงหน่อยรับหน้าที่เป็น รมว.สาธารณสุข เวลานั้นท่านได้ลุยงานหนักจนสามารถยับยั้งโรคซาร์สได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ซึ้งดู

แล้วแตกต่างกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ที่ระบาดหนัก...จนคุณหญิงเองก็เคยได้รับอานิสงส์ในเรื่องนี้ไปเหมือนกันจนมาถึงในวันที่มีการทำปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 49คุณหญิงได้เก็บตัวเงียบมานาน และมีคำพูดเดิมๆ เสมอ...เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องการเมืองท่านก็ได้แต่พูดว่า “ไม่ค่ะ...ไม่ขอพูดเรื่องการเมือง”แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา...มีข่าวฟุ้งไปทั่วแวดวงการเมืองว่า“คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อม ส.ส.ภาคกรุงเทพฯ “เตรียมจัดตั้งทัพ

ใหม่”เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการทำงานทางการเมืองของคนการเมืองในภาคกรุงเทพฯโดยกระแสข่าวที่มาอ้างว่า “คุณหญิงหน่อย” ได้ส่งหนึ่งในคนสนิทไปทำการปัดฝุ่นจัดตั้งพรรคใหม่ทัพใหม่ เพื่อตระเตรียมการในการทำงานทางด้านการเมืองซึ่งหากเป็นจริงดังว่า...เรื่องนี้อาจจะเป็นการ “ส่งสัญญาณ”อะไรบางอย่างที่ส่อให้เห็นเค้าว่า “พรรคเพื่อไทย” อาจมีอะไรในก่อไผ่หรือไม่เพราะเมื่อมองตามหลักความเป็นจริง...พรรคเพื่อไทย นับวันยิ่งมีคนใหญ่คนโตเข้าร่วม

พรรคมากขึ้น ดังนั้นการบริหารจัดการก็เหนื่อยขึ้นหรือว่า...อาจมีสัญญาณอะไรที่ส่งข้ามนํ้าข้ามทะเลมาถึงโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิอาจทราบได้แต่เมื่อได้มีโอกาสพบปะกับ “เอนก หุตังคบดี” ขวัญใจคนเขตธนบุรี อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานกรรมาธิการคณะการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎรซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคณะทำงานของคุณหญิงหน่อยที่อ่านเกมการเมืองขาด “ระดับขุน” จึงได้ถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นโดยนายเอนก กล่าวว่า...ส.ส.

กทม. ยังอยู่ที่พรรคเพื่อไทย และไม่มีวันทิ้งพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ใครทิ้งพรรคตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้เป็นพวกเนรคุณ“พวกเรารักกันเหมือนสายเลือดไม่ใช่สายนํ้า”ส่วนเรื่องที่ว่า “คุณหญิงหน่อย” ให้คนสนิทไปตระเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองเอาไว้นั้น เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันเพราะว่าพวกเราในพรรคทุกคนมีบทเรียนกันมาแล้ว...ในวันที่เขายุบ “พรรคไทยรักไทย” ซึ่งเป็นพรรคที่ประชาชนไว้ใจ และเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่จากนั้นได้ไปอยู่ที่ “พรรคพลังประชาชน” ซึ่งต่อมาก็

โดนยุบไปอีก...พอมาวันนี้อยู่ “พรรคเพื่อไทย” ก็เริ่มส่อแววหวั่นเหตุการณ์“ซํ้ารอย” ในยุคที่ผู้มีอำนาจเป็นใหญ่เป็นประเทศเปิดหน้า “สองมาตรฐาน”ซึ่งอาจมีการตั้งธงไว้ว่าจะยุบ “พรรคเพื่อไทย” และหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน...จึงต้องมีการคิดและตระเตรียมเอาไว้นายเอนก กล่าวต่อคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถามว่า...ยังใช้ชื่อ“พรรคพลังไทย” หรือไม่? เพราะว่าเคยเป็นชื่อกลุ่มเดิมของ“คุณหญิงหน่อย” สมัยที่เคยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น

ของกรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งแต่เรื่องชื่อนั้นสำคัญไฉน...จะเป็นอะไรก็ได้ “พลังไทย” หรือ“ไทยเพื่อไทย” อะไรก็ได้ทั้งสิ้น...แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองที่สืบสานอุดมการณ์ของ “พรรคไทยรักไทย”แต่ขอยํ้าชัดว่า...คนทำงานภาคกรุงเทพฯ ของพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีความคิดทิ้งพรรค...เวลาเจ็บต้องเงียบเหมือนเสือดีกว่าร้องเหมือนหมาส่วนเรื่องของกระแสข่าวดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดา...เพราะทุกวันนี้กระแสพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่มีคนเห็นใจและสงสารพวก

เรามากขึ้นในแง่เรื่องของ “ความเป็นธรรม”นายเอนกยํ้าชัดหนักแน่นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...สิ่งที่ “คุณหญิงหน่อย” คิดและตระเตรียมการเพื่อวางรากฐานทางการเมืองในอนาคตโดยการจัดตั้งพรรคใหม่คงเป็นการ “สำรองพรรคอะไหล่” ไม่ใช่การทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย...โดยที่ทุกคนยังรู้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณชินวัตร” เป็นหัวเรือใหญ่อย่างแน่นอน

เปิดสูตร ปรับครม. ในมือ"มาร์ค"-"เทพเทือก" ซื้อเวลา หลังปีใหม่ สกัด"น้ำเดือด"ใน ปชป.



ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

เปิดสูตร ปรับคณะรัฐมนตรี โอบามาร์ค อภิสิทธิ์ ผนึก เทพเทือก ซื้อเวลาลากยาว ครบ 1 ปี หลังปีใหม่ ใครเป้าจริง ใครเป้าหลอก ปรับแล้วจะอยู่ยาวหรือ หรือปรับแล้ว แรงกระเพื่อมภายในประชาธิปัตย์ ทำรัฐบาลอายุสั้น หรือไม่ เรามีบทวิเคราะห์มานำเสนอ

... กระแสปรับคณะรัฐมนตรี สะพัดขึ้น เมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ประกาศวางมือทางการเมืองเพื่อเปิดทางให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชายเข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทน


" สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ปัดกระแสข่าวว่า ไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกับพลตรีสนั่น


พร้อมตัดบทว่า " คงเป็นช่วงหลังปีใหม่ คงจะได้คุยกัน เพราะตอนนี้ทุกคนต่างทุ่มเททำงานกันก่อน"
ก่อนหน้านี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ก็ออกมา สกัด-สะกด "ข่าวลือ" การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียน ก่อนจะครบว่าระ 1 ปี



เพื่อไม่ต้องการให้กระแสข่าวลือ ถูกลากยาว ที่อาจกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลถูก "รุมสกรัม" จากคนในพรรคร่วมด้วยกันเอง

หากจะหาที่มาที่ไปของกระแสการปรับ ครม. คงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีการเขย่าขวัญกันมาแล้ว เมื่อครั้งรัฐบาลมีอายุครบ 6 เดือน

ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน "คนเลือดสะตอ" ด้วยกันนั่นแหละ ที่ออกแรงทั้ง ขย่ม เขย่า

แต่ก็ไม่เป็นผล

คราวนี้ก็เช่นกัน คนในพรรคประชาธิปัตย์ ถูกตั้ง "ข้อสงสัย" ว่าเป็น "เจ้ากรมข่าวลือ"

เพราะนอกจากมีการกำหนดดีเดย์ที่ชัดเจนคือวันที่ 15 ธันวาคมแล้ว

ยังปรากฏ "ตัวละคร" ที่ไม่ใช่แค่ "เป้าหลัก" อย่าง "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รมว.ศึกษาธิการ "วิทยา แก้วภราดัย" รมว.สาธารณสุข "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ "อิสระ สมชัย" รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์



ยังมี "เป้าหลอก" เพื่อแบ่งน้ำหนักกันด้วยการดึงพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาร่วมวงใน 2 ประเด็น

หนึ่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี จะลาออกเพื่อเปิดทางให้โควต้ากับลูกชาย "ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์" ส.ส.พิจิตร



สอง จะเปลี่ยนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้พรรคประชาธิปัตย์ดูแล โดยอิงกระแสที่ "ชุมพล ศิลปอาชา" มีปัญหาเรื่องการบริหารงานภายในกระทรวงที่มีข่าวลบออกมาตลอดเวลา

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ปรากฏเป็น "ตัวละคร" สำคัญในข่าวดังกล่าวว่า ยินดีที่จะแลกกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับกระทรวงศึกษาธิการของพรรคประชาธิปัตย์



กระแสดังกล่าว ทำให้ "บรรหาร ศิลปอาชา" ตัวจริงเสียงจริงของพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องสั่งการให้ "วัชระ กรรณิการ์" โฆษกพรรค สรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวจากภายนอกพรรคมาตลอดว่าจะขอปรับ ครม. หรือแลกกระทรวง ขอยืนยันพรรคชาติไทยพัฒนา ว่าไม่เคยส่งสัญญาณเพื่อกดดัน และยังพอใจโควต้ารัฐมนตรีที่มีอยู่ทั้งหมด"



พร้อมยืนยันถึงผลงานของ "ชุมพล" ว่างานต่างๆ กำลังเข้ารูปเข้ารอย

พร้อมการันตี พล.ต.สนั่น รับปากกับ "บรรหาร" ด้วยสัญญาลูกผู้ชาย ว่าจะเป็นรองนายกฯ และจะเป็นแม่ทัพคนสำคัญต่อไป

แต่สิ่งที่พรรคชาติไทยพัฒนา พยายาม "ตีโจทย์" ถึงกระแสข่าวดังกล่าวก็คือ "ใครปล่อยข่าว"

ใครกวนน้ำให้ขุ่น

จับน้ำเสียง อารมณ์ของ "วัชระ" ที่พยายามจะบอกที่มาของต้นตอของข่าวว่า "น่าจะไม่ใกล้ไม่ไกลจากพรรคเราเท่าไร ไม่น่าจะเกิน 15 กิโลเมตร คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการปรับ ครม. คงไม่ใช่ฝ่ายค้านแน่"

คำตอบชัดเจนว่า คนที่เกี่ยวข้องคือ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนข้อเสนอของพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการแลกกระทรวงไอซีทีกับกระทรวงศึกษาธิการของพรรคประชาธิปัตย์

คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ



เพราะต้องไม่ลืมว่า กระทรวงไอซีที กำลังมีงานช้าง เรื่องเปิดประมูลระบบ 3 จี ที่พลพรรคเพื่อแผ่นดิน พยายามดันสุดลิ่มทิ่มประตู

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ก็กำลังรอใช้เม็ดเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติกรอบวงเงินไปแล้ว เพื่อการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ และถือเป็นกล่องดวงใจของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องจากนโยบาย ขายได้-ขายดี เรื่องเรียนฟรี 15 ปี ที่ "อภิสิทธิ์" ภูมิใจ และพูดถึงตลอดเวลา



ข้อเสนอดังกล่าว หากมองแบบ "เก๋าเกมการเมือง" แทบจะเป็นไปไม่ได้

อีกทั้งในสภาวะที่ประเทศชาติ บ้านเมือง กำลังจะมีการเฉลิมฉลองใหญ่ อย่างที่ "อภิสิทธิ์" บอกว่า "ผมยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเลยครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่กำลังเตรียมงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเฉลิมพระเกียรติ การเมืองในขณะนี้ต้องการให้บรรยากาศนิ่งที่สุด"

เหล่านี้คือ "ปัจจัย" แวดล้อมที่สำคัญ



และหากมองให้ลึกเข้าไปถึง "ผลประโยชน์" ที่แต่ละพรรคการเมืองวางกลเกมเอาไว้ราว 10 เดือน เพื่อรอ "กินคำโต"

จึงเป็นเรื่องที่ "ยากยิ่ง" ที่ความเคลื่อนไหวที่จะให้มีการปรับเปลี่ยน จะเกิดจากหน่อเนื้อของพรรคร่วมรัฐบาล

และดูเหมือน "อภิสิทธิ์" หรือแม้กระทั่ง "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าออกมาจาก "เนื้อใน"

ประเภท "คนใกล้ตัว"



จึงพยายามออกตัวว่า รัฐมนตรีหลายคนจของพรรคไม่ว่าจะเป็น "จุรินทร์-วิทยา-คุณหญิงกัลยา-อิสระ" ต่างยังคงทำงานได้อย่างดี ไม่มีบกพร่อง

เป็นการส่งสัญญาณปราม "คลื่นใต้น้ำ" ภายในพรรคประชาธิปัตย์



เพราะสิ่งที่ "ประมวล เอมเปีย" ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพูดด้วยถ้อยคำรุนแรงผิดมารยาทพรรคร่วมรัฐบาล ว่า

"เห็นด้วยกับการที่นายกฯ จะปรับ ครม. ในบางตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม เพราะบางกระทรวงไม่ทำงานเชิงรุก และไม่มีความโปร่งใส หากเห็นว่ากระทรวงไหนไม่ทำงาน ก็ต้องเสนอให้ปรับเปลี่ยนตัวคนเป็นรัฐมนตรี เพราะรัฐบาลอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาพลักษณ์ของนายกฯ"



พร้อมเปิดศึกใส่พรรคร่วมว่า "มีหลายกระทรวงที่ชาวบ้านมองว่าไม่โปร่งใส เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงที่ต้องระวัง เพราะเกี่ยวข้องกับพ่อค้าจึงมีผลประโยชน์มาก รวมถึงปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการข้ามหัวกันในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือว่าการเมืองยุคนี้เลวร้ายกว่ายุคที่ผ่านมา"

เปิดศึกใส่ 3 กระทรวงภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย

เพราะ "ประมวล" ในฐานะ "แนวหน้ากล้าตาย" รู้ดีว่า การขยายแรงกระเพื่อมในวงกว้าง จะช่วยเพิ่มดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองมากขึ้น



กอปรกับห้วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา ก็เพียงพอแล้วที่ว่าที่รัฐมนตรีแถว 2 ของ "พรรคประชาธิปัตย์" จะต้องมายืนอยู่แถวหน้า

หากแต่การออกมาของ "แนวหน้ากล้าตาย" ครั้งนี้ถูกเบรกกลับโดย "อภิสิทธิ์" และ "สุเทพ"

ทำให้น้ำหนักลดน้อยถอยลงไป



อีกทั้งการเคลื่อนครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเคลื่อนของพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และเพื่อแผ่นดิน

ทำให้ "อานุภาพ" ที่เกิดจากแรงกดดันในการปรับ ครม. จึง "เบาหวิว" ดุจปุยนุ่น

และเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ



ฉะนั้น กระแสปรับ ครม. ในห้วงนี้ เกิดจากภาวะ "น้ำเดือด" จากภายในพรรคประชาธิปัตย์

"น้ำเดือด" ที่รอวันปะทุ

หากแต่คราวนี้ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ช่วยกันแก้เกมด้วยการเอา "น้ำเย็น" เข้าไปช่วยเติมน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในกา

ก็สามารถช่วยบรรเทาได้ในระยะเวลาหนึ่ง

แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน ปัญหานี้จะกลับมาอีก

และไม่ใช่ "ใคร" ที่ไหนหรอก...

คนกันเองทั้งนั้น...!!

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาบตาพุด..เสียงหัวเราะ ความเงียบงัน และจุดจบรัฐบาล ?

ประชาชาติธุรกิจ : พลันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำสั่งคดีมาบตาพุด จบลง เสียงไชโย โห่ร้อง ของผู้ฟ้องคดี ตะโกนลั่นว่า เราชนะแล้ว !!! ท่ามกลางความยินดี ปรีดา ของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวกรวม 43 คน มาจากคำสั่งศาลที่ระงับ 65 โครงการ มูลค่า 3.5 แสนล้าน ยืนตามศาลปกครองชั้นต้น อีกด้านหนึ่ง นักลงทุนกำลังสะอื้นไห้

คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ปล่อย 11 โครงการ สั่งระงับ 65 โครงการ
นาทีแห่งชัยชนะ แต่อีกมุมหนึ่ง ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการที่ถูกระงับ ถึงกับช็อคกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เพราะไม่คาดคิดว่า ศาลสูงจะยืนตามศาลชั้นต้น
” 11 โครงการเป็นแค่น้ำจิ้ม ไม่มีความหมาย หาก 65 โครงการ ถูกระงับก็พังทั้งหมด “

บริษัทยักษ์เจ้าของโครงการ แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า คำสั่งศาลสูง จะออกมาแบบเหมาทั้งเข่ง ส่วนใหญ่มองโลกแง่ดีว่า ศาลสูงจะปลดล็อค ยกเลิกคำสั่งชั่วคราวให้ระงับโครงการแล้ว ให้โครงการปฎิบัติตามเงื่อนไข เพื่อให้โครงการดำเนินการต่อไปได้ เพื่อให้รับกับมาตการของภาครัฐ และการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน นั่งเป็นประธาน

ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น เอกชนงง เป็นไก่ตาแตกว่า เหตุใด ศาลสูง ต้องเร่งอ่านคำสั่ง ในบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม ในเมื่อคณะทำงานของนายอานันท์ กำลังเร่งแก้วิกฤต

นาทีที่ ศาลปกครองสูงสุด สั่งระงับ 65 โครงการ เจ้าของโครงการเรียกประชุมด่วน เพื่อประเมินสถานการณ์
โครงการของ ปตท. 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน จอดสิ้น
ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG โดนไป 18 โครงการ มูลค่ากว่า 5.7 หมื่นล้าน ทั้ง ๆที่ โครงการก่อสร้าง เกือบแล้วเสร็จ และกำลังเปิดเดินเครื่องต้นปีหน้า

ประเมินกันเบื้องต้น ปูนใหญ่ จะเสียหาย เดือนละ 300 ล้าน หากเปิดโรงงานไม่ได้ตามกำหนด
เช่นเดียวกับ โรงงานเหล็ก สยามยามาโตะ ที่ผ่าน EIA ตั้งแต่ กันยายน 2550 ก็โดนหางเลขเข้าไปด้วยแบบเต็มๆ
แต่ความเสียหายที่ใหญ่หลวงไปกว่านั้นคือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อการลงทุนย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักลงทุนต่างชาติ อาจย้ายฐานการลงทุนออกจากประเทศไทย จากความไม่แน่นอน ประเทศไทยจะเข้าสู่ความเสี่ยง
” ถ้ายังไม่มีความแน่นอน นับจากนี้ไปอีก 2 ปี จะไม่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย นักลงทุนต่างประเทศ ไม่กลัวกฎหมายที่เข้มงวด แต่สิ่งที่นักลงทุนกลัวมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอน ความไม่ชัดเจน ” นักลงทุน ผู้หนึ่ง กล่าว

ผลพวงของ การระงับ 65 โครงการ ที่คาดไม่ถึง อาจเป็นชนวนนำไปสู่ อวสานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เนื่องมาจาก โดมิโน มาบตาพุด ที่จะลามไปสู่การล้มละลายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ความหวังว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเป็นบวกในไตรมาสที่สี่ อาจเป็นแค่ความฝัน

เมื่อโครงการ 3.5 แสนล้าน ชะงักยาว จะลามไปสู่แบงก์เจ้าหนี้ ที่เป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่ 65 โครงการ
เงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ เกือบทุกสัญญา ระบุว่า หากไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ ถือว่า เกิดการผิดนัดแล้ว
จากนั้น เจ้าหนี้จะเรียกเงินคืนทั้งหมดทันที เมื่อเวลานั้นมาถึง โดมิโน จะโค่นทั้งกระดาน
นี่คือ เดิมพันที่สูงมาก หากรัฐบาล ไม่เร่งแก้วิกฤต อย่างทันท่วงที จะพังทั้งกระดาน
ถามว่า ถ้า อภิสิทธิ์ เร่งแก้ปัญหาอย่างเต็มที่จะต้องใช้เวลา เท่าไร

คำตอบที่มาจากการมองโลกเชิงบวก แบบสุด ๆ คือ 6-7 เดือน ในการออกกฎหมายประกอบมาตรา 67 วรรค 2 รวมถึงกระบวนการ HIA และการทำประชาพิจารณ์ และการรับฟังองค์กรอิสระ

แต่ถ้ารัฐบาล พังไปเสียก่อน ออกกฎหมาย การลงทุนในมาบตาพุด 3.5 แสนล้านก็ย่อมพังพาบไปด้วย เพราะกว่าจะเลือกตั้งทั่วไป จนจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อย โรงงานก็เหลือแต่ซากไปแล้ว
ใครหลายคน พูดตรงกันว่า ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทย จะมาได้ไกลขนาดนี้
ไกลขนาดที่ ชัยชนะของฝ่ายหนึ่ง ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
แต่ท่ามกลาง ฝุ่นตลบ ใครบางคน เห็น รอยยิ้มที่มุมปากของ เสี่ยประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าพ่อทีพีไอ.
ชั่วโมงนี้ เหลือง หรือ แดง หรือ เขียว ชนะ อาจไม่มีความหมาย
เพราะนักลงทุนต่างชาติ พวกเขาเชื่อแล้วว่า สำหรับประเทศไทย ความแน่นอน ก็คือ ความไม่แน่นอน !!!

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความชอบธรรม


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
ที่มา : จลาจลทางปัญญา “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล”

ห้วงปี ๒๕๓๗ สมัยที่ผมยังเป็นคณบดีรัฐศาสตร์ เคยมีนักศึกษาปริญญาโทกลุ่มหนึ่งขอให้เปิดวิชาทฤษฎีการเมืองและสังคม ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องเรียนตามหลักสูตร แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนอยากสอน

ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบชีวิตทางปัญญาของนักศึกษาซึ่งก็เปรียบได้ดัง “ประชาชน” ของมหาวิทยาลัย ผมจึงต้องยอมเหนื่อยเพิ่ม เปิดวิชานี้ให้ลูกศิษย์ได้ร่ำเรียน

ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นก็มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลอื่นไกลที่ไหน หากเป็นคนหน้าเดียวกับชุดปัจจุบันนี่เอง

เพื่อให้การศึกษาเชื่อมร้อยเข้ากับความเป็นจริงในบ้านเมือง วันหนึ่งผมจึงแกล้งถามนักศึกษาว่าเรามีสิทธิที่จะขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรืไม่?

ปรากฏว่าคำตอบของทั้งห้องเรียนคือ มีสิทธิอย่างแน่นอน

ผมเองได้ฟังความคิดเห็นของลูกศิษย์แล้วยังรู้สึกตกใจ เพราะนี่ไม่ใช่เด็กๆ ที่เพิ่งจบมัธยมมาเรียนต่อปริญญาตรี หากเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มีวุฒิภาวะสูงงพอสมควร ส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการ ทั้งในสายทหารและพลเรือน
แสดงว่าพวกเขาคงเชื่อในหลักการข้อนี้อย่างแน่นแฟ้นทีเดียว

อย่างไรก็ตามเนื่องจากผมเป็นครู จึงต้องทักท้วงนักศึกษาไม่ให้คิดอ่านสุดขั้วเกินไป ผมบอกกับพวกเขาว่า เราต้องจำแนกระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับรัฐบาลประชาธิปไตย ฝ่ายแรกนั้นเราขับไล่เพราะไม่มีทางเลือก ส่วนฝ่ายหลังเรามีวิธีการมากมายในการให้ผู้นำลงจากตำแหน่ง หรือผลัดเปลี่ยนรัฐบาลได้ โดยไม่ต้องทะเลาะกัน

คุณสมบัติวิเศษอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยก็คือ ให้มีการเปลี่ยนตัวผู้กุมอำนาจได้โดยกระบวนการที่สันติและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะมีประชาธิปไตยไว้ทำไม แค่ตั้งกลุ่มรบกัน… ใครชนะเอาอำนาจไปก็หมดเรื่อแล้ว

ครับ…. หลายวันมานี้ ประเด็นที่ผมเคยถามนักศึกษาได้หวนกลับมาในห้วงนึกอยู่เป็นระยะๆ เพราะสภาพบ้านเมืองก็เป็นแบบที่ญาติโยมทั้งหลายเห็นอยู่… มีคนออกมาชุมนุมประท้วงด่าทอรัฐบาล และมีคนของฝ่ายรัฐบาลออกมาตอบโต้อย่างไม่ยอมลดราวาศอกใดๆ

ผมฟังน้ำเสียงจากทุกฝ่ายแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันผิดประเด็น โดยเฉพาะทางฝ่ายรัฐบาลนั้น ผมคิดว่าเถียงผิดประเด็นไปอย่างสิ้นเชิง

การที่ผู้ทุกข์ร้อนในสังคมอย่างชาวบ้านปากมูลมาชุมนุมประท้วงอยู่หน้าทำเนียบ ไม่ว่าจะพูดจาอย่างไร หรือใช้อารมณ์แค่ไหน แต่โดยพื้นฐานที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องการร้องทุกข์ธรรมดา เพียงแต่ทุกข์มันมาก และที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล จึงหันมาใช้รูปแบบของการประท้วง

แต่การประท้วงไม่ใช่การขับไล่ ยิ่งเป็นการร้องทุกข์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่

ในกรณีการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าองค์กรประชาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่หวือหวาสักหน่อย แต่เนื้อแท้ของข้อเรียกร้องก็เป็นแค่การยุบสภา ซึ่งไม่ใช่การขับไล่กันแบบอยู่ร่วมแผ่นดินไม่ได้

สำหรับกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อประชาชน หรือ ปxป ที่ผมเป็นหัวหน้า ยิ่งไม่ใช่เรื่องขับไล่รัฐบาลแม้แต่น้อย หากเป็นข้อเสนอแนะด้วยเหตุผลและด้วยความสุภาพ ว่าการยุบสภาน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาทั้งปวง

ทั้งหมดนี้ผมไม่คิดว่าเป็นประเด็นความชอบธรรมของรัฐบาล เพราะถ้าหากรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมก็คงไม่มีใครมาขอให้ยุบสภาตามอำนาจที่รัฐบาลมีอยู่ และถ้าหากมีความชอบธรรมจริงๆ พวกเราก็คงต้องใช้วิธีอื่นกันแล้ว

เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนในวงการรัฐบาลจึงต้องออกมาพูดกันเรื่องฐานะความชอบธรรมของรัฐบาลและความไม่ชอบธรรมของฝ่ายประท้วงมากกว่าเรื่องอื่นใด

เช่นบอกว่า เสียงของผู้เสนอให้ยุบสภานั้นเป็นคนแค่หยิบมือเดียว ถ้าจะยุบสภาต้องเอาคนหกสิบกว่าล้านคนมายืนยัน หรือไม่ก็บอกว่าพวกชุมนุมสนามหลวงและหน้าทำเนียบ รับจ้างมาบ้าง ตกเป็นเครื่องมือของพรรคฝ่ายค้านบ้าง อะไรทำนองนี้

และที่แย่ที่สุดก็คือมีการโต้แย้งแถลงข่าวกันแบบรายวัน ในหัวข้อจุกจิกหยุมหยิมสารพัด ราวกับว่าการเมืองเรื่องของชาติมีฐานะเป็นแค่เวทีลำตัด

ผมรู้และผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็รู้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ผิดพลาดอย่างไรก็ยังมีความชอบธรรมทางกฎหมาย (Legal Legitimacy) ในการปกครองบ้านเมือง

แต่ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลกับความสามารถที่จะเป็นรัฐบาลนั้นไม่เหมือนกัน

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นคนละเรื่องกับสปิริตและวัฒนธรรมทางการเมือง

จริงอยู่ คนหกสิบสองล้านคนในประเทศไม่ได้ออกมาเสนอให้รัฐบาลยุบสภา และที่ออกมารวมทั้งประเทศแล้วบางทีก็อาจจะยังไม่ถึงหนึ่งล้านเสียด้วยซ้ำ…. แต่ใครเล่าในประเทศนี้ ที่จะสามารถชวนประชากรทั้งหมดออกมาพูดจาพร้อมกันแม้แต่รัฐบาลเองก็เถอะ ผมไม่เชื่อว่ามีปัญญาหามาได้ถึงห้าแสนคน

การพูดถึงคนทั้งประเทศอย่างเป็นนามธรรมนั้น จริงๆ แล้วนับเป็นเรื่องอันตรายสำหรับระบอบการเมืองทุกชนิดอย่าว่าแต่ระบอบประชาธิปไตย เพราะมันทำให้ไม่มีการแก้ปัญหารูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม…. กลุ่มนี้เป็นคนส่วนน้อย กลุ่มนั้นก็หยิบมือเดียว ไล่เรียงไปทั้งประเทศแล้วก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีคนส่วนใหญ่ดำรงอยู่เป็นตัวตน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รัฐศาสตร์กับคณิตศาสตร์นั้นเป็นคนละวิชากัน

ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูปมากกว่าเรา บางครั้งแม้รัฐบาลสร้างทุกข์ร้อนโดยไม่เป็นธรรมให้กับราษฎรเพียงคนเดียว ผู้รับผิดชอบก็ต้องลาออกตากตำแหน่ง เนื่องเพราะพวกเขารู้สึกเสียใจ

บางทีดำเนินนโยบายผิดพลาด รัฐบาลก็อาจจะต้องลาออกทั้งชุด เพราะความรู้สึกอับอาย

มันไม่มีหรอกครับที่รัฐบาลประชาธิปไตยจะต้องทำให้คนทั้งประเทศเคียดแค้นก่อน หรือก่อความผิดพลาดให้ครบทุกเรื่องก่อนจึงค่อยแสดงความเสียใจออกมา

ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมอาจจะตอบได้ว่านี่เป็นเรื่องของกริยามารยาททางการเมือง ในระบอบที่สอนให้คนเคารพตัวเอง

แต่ถ้าจะให้ผมตอบลึกไปกว่านั้นก็คงต้องบอกว่ารัฐบาลเป็นสถาบันของชาติที่แตกต่างจากพรรคการเมือง แม้ว่าตัวระบบจะอนุญาตให้พรรคการเมืองเข้าไปกุมรัฐบาลได้ แต่ทั้งสององค์กรนี้ไม่เหมือนกัน ที่ว่างสำหรับการทำผิดของรัฐบาลมีน้อยกว่าพรรคการเมืองมาก เพราะเป็นสถาบันที่คนทุกฝ่าย ไม่ว่าโดยส่วนตัวจะสนับสนุนพรรคไหน จำเป็นต้องถือว่าเป็นสถาบันของตน

เรามีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่เรามีรัฐบาลแค่หนึ่งเดียว

พูดเช่นนี้แล้ว ผมก็อดหวนนึกถึงความคิดของลูกศิษย์ปริญญาโทไม่ได้ ที่พวกเขาเชื่อว่าการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องถูกต้องและทำได้ ผมไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของนักศึกษากลุ่มนี้ แต่ก็เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงมีความคิดดังกล่าว

คนไทยเราแต่ไหนแต่ไรมานับถือคนอยู่สามประเภทคือนักบวช นักปราชญ์ และนักรบ แต่ยังไม่ค่อยเคยชินกับการนับถือนักการเมือง

นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบอำนาจนิยมมานาน ไม่พอจะไรก็แสดงออกราวกับว่าระบอบนั้นยังดำรงอยู่ กระทั่งบทสนทนาวาทกรรมก็คล้ายคลึงกับสมัยโกรธรัฐบาลเผด็จการทั้งสิ้น

เช่นนี้แล้วมันจึงขึ้นอยู่กับว่านักการเมืองเองจะทำให้อาชีพตนเป็นที่เคารพยกย่องได้อย่างไร?

เช่นนี้แล้ว มันจึงขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ประชาชนเห็นชัดว่าแตกต่างจากระบอบเดิมแค่ไหน?

สมัยผมเป็นคณบดีรัฐศาสตร์ เมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องอาจารย์ทิ้งการสอนผมก็ลาออกทั้งๆ ที่ไม่มีใครไล่ และถ้าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปจริงๆ ก็มีสิทธิจะอยู่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

กล่าวสำหรับข้อเสนอจากกลุ่มต่างๆ ให้รัฐบาลยุบสภาก็เช่นกัน จริงๆ แล้วรัฐบาลจะไม่ยุบก็ได้ และหากอยู่ต่อไปจนครบวาระก็คงไม่มีใครกล้ากล่าวหาว่ารัฐบาลสูญเสียความชอบธรรม

แต่สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องสูญเสียอย่างยิ่ง ก็คือโอกาสในการสร้างประเพณีใหม่ๆ ของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โอกาสในการสร้างศรัทธาสาธารณะให้กับอาชีพนักการเมือง และระบอบการเมืองแบบรัฐสภา

ได้โปรดเถอะครับ….. อย่าส่งใครมาโต้แย้งกับผมในประเด็นนี้เลย |

จงรักภักดี

ที่มา:บางกอกทูเดย์ โดยพญาไม้

ใครก็ตามที่...เที่ยวชี้หน้าด่ากราดว่า...คนนั้นคนโน้นไม่จงรักภักดี...ไอ้คนนั้นแหละที่ไม่จงรักภักดีความจงรักภักดี...ไม่ใช่ประเพณีปฏิบัติ...ไม่ใช่บทเรียนที่จะต้องนำเข้าห้องสอบมาหาคะแนนสอบตกสอบได้ความจงรักภักดี...ไม่ใช่โซ่ตรวนล่ามขา...ที่จะลากมาประจานใครๆ ที่ไม่ใส่โซ่ใส่ตรวน...จงรักภักดี...มีคำแปลที่แน่แท้...ว่า...ผูกใจรักด้วยความเคารพนับถือหรือรู้คุณอย่างยิ่งผูกใจรัก...คือหัวใจที่มอบให้กับผู้ที่เคารพนับถืออย่างยิ่ง...เพราะได้รับพระคุณอย่างยิ่งและมิรู้ลืมประเทศไทยวันนี้...ใครมันที่ไม่ใช่คนไทย...หรือคนไทยที่ไม่ใช่พวกมัน...ต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก...ประเทศกำลังแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็

กล่าวถึงบทบาทของตนเองว่าเป็นผู้จงรักภักดีแล้วชี้หน้าด่าว่าอีกพวกหนึ่งว่าไม่จงรักภักดีฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดีก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า...จงรักภักดี...ทั้งๆ ที่ยังแปลไม่ถูกด้วยซํ้าว่า...จงรักภักดีแปลว่าอะไร...ความจงรักภักดี...คือ การทำความดีให้กับผู้จงรัก...การทำความดีนั้นง่ายสำหรับคนดีและยากสำหรับคนไม่ดี...แต่วันนี้คนที่คนทั้งแผ่นดินเชื่อว่าเป็นคนไม่ดี...กลับเป็นผู้แูอบอ้างเอาความจงรักภักดีมาเป็นอาวุธทำร้ายทำลายผู้อื่นคนเลวช้าตํ่าทราม...มันจะแบก

หามความจงรักภักดีไว้ตรงไหน...คนดีที่ไหนมันถึงจะยอมล้มละลายกู้เงินธนาคารแล้วไม่ยอมใช้...คนเลวทรามตํ่าช้า...มันโกรธคนที่เคยให้เงินมันแล้วไม่ให้...คนเลวทรามตํ่าช้า...มันเอาเงินหลวงซื้อตั๋วเครื่องบินให้ภริยา...พอสังคมรับรู้มันก็เอาเงินไปคืนให้...ฯลฯจะดูคนดี...อย่ามองที่วิดีโอทัศน์...วันเกิดวันตาย...อย่าฟังที่มันพูดมันกล่าว...คนดีมันต้องดีมาก่อนหน้ามันต้องดีมาตลอดเวลา...หาคนดีต้องมองย้อนหลังรู้จักลึกเข้าไปในแต่ละวันที่มันเจริญวัยมา...คนดีไม่ใช่โจทย์

เลขโจทย์พืชคณิต...มันจึงไม่มีผลลัพธ์บททดสอบ...พฤติกรรมแห่งอดีตกรรม...ตอบคำถามได้ดีกว่า...คนไหนดี คนไหน เลว...ในวันที่แผ่นดินกำลังจะพินาศ...เพราะ “ดำย้อมขาว”...ไทยทั้งแผ่นดินต้องตรึกตรองให้พร้อมหน้า...อย่าให้เลวเดินนำ...อย่ามองทองคำที่สี...อย่าเชื่อ เพราะนํ้าหนัก...ต้องยอมตัดดูแกนใน...ต้องใส่ใจถึงเหตุผลที่มา...ต่อพระผู้่ผ่านภพ...พสกนิกรชาวไทยสยบ... “ผูกใจรักด้วยความเคารพนับถือและรู้คุณอย่างยิ่ง” 

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทักษิณบินเข้ารัสเซีย ทวีตสอนมวยแก้หนี้นอกระบบอัดยิ่งสร้างหนี้เพิ่ม


มติชน : “ทักษิณ” ทวิตสอนเชิง “กรณ์” แก้หนี้นอกระบบอย่างไม่เข้าใจ ชี้ยิ่งเป็นการสร้างหนี้เพิ่มขึ้น ชวนนั่งสมาธิวัน 5 ธันวาถวายเป็นพระราชกุศล ทวิตถึง “อุ๊งอิ๊ง” บอกคิดถึงลูกรัก “พายัพ”เผยพี่ชายออกจากยุโรปตะวันออกเข้ารัสเซียแล้ว อุบย่องเข้าใกล้ไทยช่วงปีใหม่

“แม้ว”เข้ารัสเซียแล้วหวังพักผ่อน

นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกเดินทางจากประเทศยุโรปตะวันออก โดยได้เข้าไปในประเทศรัสเซียแล้วในวันนี้(3 ธค.) ซึ่งเป็นการพักผ่อนพูดคุยทำธุรกิจตามประสาของคนที่สนใจการตลาด ส่วนจะมีการลงทุนธุรกิจในยุโรปหรือไม่นั้น ก็อาจจะคิดตามประสาของคนที่มีหัวการค้า

“พายัพ”ยังอุบย่องใกล้ไทยช่วงปีใหม่

เมื่อถามว่าในช่วงปีใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาอยู่ใกล้ๆประเทศไทยเพื่อให้ ส.ส.ไปอวยพรหรือไม่ นายพายัพ กล่าวว่า ยังไม่ทราบกำหนดการ แต่เท่าที่รู้ฉลองปีใหม่ใน”อิน เดอะ เวิลด์”

ต่อข้อซักถามว่าหมอลักษณ์ หมอดูชื่อดังได้ฟันธงดวง พ.ต.ท.ทักษิณ จะดีขึ้นในปีหน้า ทางครอบครัวได้ตรวจสอบดวงว่าจะกลับมาเล่นการเมืองได้อีกหรือไม่ นายพายัพ กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วทำให้บ้านเมืองดีขึ้น สงบสุข เศรษฐกิจดี ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ

“แม้ว” ทวิตสอนมวยแก้หนี้นอกระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตผ่าน twitter.com/Thaksinlive โดยตอบข้อความของ @asarbel ที่เสนอขอให้แนะนำวิธีการจัดการหนี้นอกระบบ ซึ่งมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำจะเป็นการฟอกเงินที่ผิดกฎหมายให้กับเจ้าหนี้มากกว่า พร้อมกับถามว่าเหตุใดชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่ยอมมาลงทะเบียนทั้งที่รัฐบาลยอมจ่ายเงินทั้งจำนวนโดยไม่สนใจดอกเบี้ยทั้งสองฝ่าย

พ.ต.ท.ทักษิณตอบกลับความว่า”ถูกต้องครับ รัฐน่าจะเรียกใช้ข้าราชการที่เคยทำในสมัยผมให้ทำกลับมาทำเพราะเขาจะเข้าใจความเอาเปรียบของเจ้าหนี้จะได้ช่วยต่อรองให้ชาวบ้าน”

“สมมุติว่าชาวบ้านกู้มา 100 เจอดอกร้อยละยี่ต่อเดือนไม่ได้ชำระมา 5 เดือนรัฐใจดีจ่ายให้ทั้งต้นทั้งดอกเป็น 200 ก็จะกลายเป็นต้นใหม่กับธนาคารรัฐ”

“ต้องมีการต่อรองให้ชาวบ้านก่อนไม่เช่นนั้นจะถูกเจ้าหนี้บวกดอกเบี้ยแพงๆ กลายเป็นต้นใหม่ของลูกหนี้เจ้าหนี้ก็ฟันทั้งต้นทั้งดอกสูงๆ สบายไป”

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ว่า “ใกล้วันที่ ๕ แล้วนั่งสมาธิบ้างแล้วยังครับ เพื่อจะได้ส่งพลังจิตให้พระเจ้าอยู่หัวมีพระพลานามัยแข็งแรง และเพื่อความสุขใจของท่านเองขออนุโมทนาบุญ”

พร้อมกับทวิตตอบ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กว่า คิดถึงลูกรัก และหวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้ “Miss you ja loog rak. I hope to see you soon”

เมื่อเด็กน้อยโดนน้าฮุนตบหน้าอีกฉาดใหญ่..



ควันหลงจากศึกอาเซียนซัมมิท ยังไม่มีทีท่าว่าจบลงได้ง่ายๆ หลังจากที่เจ้าภาพเปิดศึกแลกแข้ง กับแขกบ้านแขกเมืองอย่างเมามัน จนกระทั่งป่านนี้ ยังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาเป็นระลอกๆ แต่ละดอกเล่นเอาท่านประธานอาเซียน ถึงกับหน้าสั่นฟันยางกระเด็น ดูไม่จืดจริงๆ

ก็เรื่องการระงับเงินกู้ 1,400 ล้านบาท ที่ฝ่ายไทยงัดออกมาขู่เขมรนั่นไง แค่ยังไม่ทันขยับ น้าฮุนฯก็สวนกลับทันควันว่า ไม่กู้ไม่เก้อมันแล้ว เงินแค่นี้เก็บไว้งาบกันเองเหอะ เขมรเขามีปัญญาหาของเขาได้

ออกหมัดซัดกันโต้งๆอย่างนี้ เล่นเอาฝ่ายข่มขู่ ถึงกับตาเหลือกตาค้างซะเอง รีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ใครบอกไม่ให้กู้ มันเป็นการเข้าใจผิดชัดๆ สงสัยว่าที่ปรึกษาใหญ่คือทักกี้ จะไปซี้ซั้วยุแหย่อะไรเข้าให้ซะแล้ว

ว่าไปนั่น! ขี้เยี่ยวไม่ออกขอให้นึกถึงทักษิณไว้ก่อน รับรองได้ว่าฉี่ง่ายถ่ายสะดวก ไม่มีคำว่าผิดหวังจริงๆ

เรื่องนี้คงต้องไปฟังทัศนะจากไอ้ปื้ดเด็กวัดอาวุโส ในฐานะที่ผ่านหลักสูตรอ๊อกเหล็กมาหมาดๆ จึงอยากเสนอหน้าให้คำแนะนำฟรีๆ กับช่างอ๊อกเหล็กรุ่นพ่อว่า ในเมื่อมันยุได้ เราก็น่าจะยุมั่ง

โดยเฉพาะเรื่องยุให้รำตำให้รั่ว ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ถือว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของพรรคประชาธิปัติย์เลยก็ว่าได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะส่งใครไป ก็รับประกันซ่อมฟรีว่า น้าฮุนต้องหันกลับมา เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่างไม่ต้องสงสัย

หรือถ้าจะให้ชัวร์จริงๆ ก็ส่งแป๊ะไปลุยถั่วด้วยตัวเอง ถ้าเขมรไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เจริญรอยตามตายแลนด์ที่กำลังชักพะงาบๆอยู่ ก็ให้มันรู้กันไป

เรื่องของเรื่อง กว่าที่จะมีวันนี้ได้ ต้องถือว่ามาร์คทำเพื่อประเทศชาติจริงๆให้ดิ้นตาย เมื่อสมัยเป็นฝ่ายค้านอุตส่าห์แท็คทีมกับพวกกุ๊ยข้างถนน ด่าฮุนเซนซะสาดเสียเทเสีย เพียงเพื่อหวังล้มรัฐบาลลุงหมักเอ๊ย!..เพื่อทวงคืนเขาพระวิหาร อย่างน้อยไม่ได้ตัวปราสาทกลับมา ก็ขอให้ได้ผืนดินใต้ปราสาทก็ยังดี

ไม่นึกว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อป๋าดันให้มาตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ หอกทมิฬมันจะย้อนกลับมาแทงทมิฬอย่างเจ็บแสบ เล่นเอาน้ำตาไหลพรากๆ ชี้หน้าโทษคนโน้นคนนี้เป็นการใหญ่

ต้องยอมรับกันว่า น้าฮุนแกก็เลือดเย็นซะเหลือเกิน แทนที่จะออกอาการให้เห็น เป็นการเตือนกันก่อน แกกลับเล่นตีลูกบื้อ จะด่าว่ายังไงแกก็เฉย เอาคนที่ด่าแกมาเป็นนายกฯก็เฉย แถมตั้งกุ๊ยร่วมแก๊งค์มาเป็นรมต.ต่างประเทศ ก็ยังเฉยอีก

แต่เฉยของแกดันเป็นเฉยมีงาน หลังจากที่หลอกฟันเอาวัตถุโบราณคืนไปได้หลายสิบชิ้นแล้ว น้าฮุนก็จัดการลากเข้าคิลลิ่งฟิลด์

พอได้จังหวะจะโคนก่อนงานอาเซียนซัมมิทจะเริ่มขึ้น แกเลยถือโอกาสออกอาวุธหนักอย่างไม่ปรานีปราศัย เป็นการเอาคืนชนิดทบต้นทบดอก แถมบวกกำไรไปอีกบานตะเกียง

ทั้งแบะท่าเวลคัมเพื่อนแม้ว อยากมาเขมรเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะสร้างบ้านพักหรูหราไว้คอยท่า แถมจะตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอีกต่างหาก

หะแรกก็นึกว่าแกพูดเล่น ที่ไหนได้ งานนี้เล่นออกเป็นพรก.ฉุกเฉิน ลงพระนามโดยพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี เรียกว่าทำซะเป็นงานช้าง เพราะไม่ต้องการคำปฏิเสธจากท่านทักษิณ งานนี้ต้องถือว่า เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า เป็นอย่างดี

แล้วเรื่องอะไรท่านแม้วจะปฏิเสธให้โง่ มิใยที่สื่อขี้ข้าอำมาตย์จะร่ำร้อง กราบไหว้วิงวอนแกมบังคับทุกวิถีทาง อย่างไร้ผล เพราะถ้าทำอย่างนั้น นอกจากจะเป็นการหักหน้าเขมร ทำให้เสียไมตรีกันเปล่าๆแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้ดิบได้ดีจากพวกอำมาตย์ซะเมื่อไหร่

ว่าแล้วก็ขี่เรือเหาะข้ามหัวใครต่อใคร ไปรับตำแหน่งอย่างเต็มภาคภูมิ

เท่านั้นแหละ! เหมือนลากเอาไข่ป๋าออกมาทุบๆๆๆๆ แล้วก็ทุบด้วยค้อนปอนด์อันเบ้อเริม เล่นเอาเจ้าของไข่ถึงกับออกอาการหน้าเขียวหน้าเหลือง ลงไปนอนชักดิ้นชักงอ..ช้าก..แหง่กๆๆๆ

แล้วมาร์คก็ยื่นหน้าไปเข้าทางตีนชนิดเต็มๆ เมื่อทำเป็นโชว์พาวคิดเร็วทำเร็ว เรียกทูตไทยประจำเขมรกลับเป็นการด่วน เลยเข้าทางน้าฮุนเขาก็เรียกทูตเขมรประจำไทยกลับมั่ง เป็นการประกาศก้องว่า "กูไม่กลัวมึง"

เล่นเอามาร์คหน้าชา ไปไม่เป็นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหันรีหันขวาง ออกมาร้องไห้แงๆ ขอให้ไทยช่วยไทย ใครไม่ช่วยจะถือว่าเป็นคนขายชาติ

โพลล์ชั่วก็ตาลีตาเหลือกออกมารับมุก ชงลูกคลั่งชาติให้พวกอำมาตย์ยกซดกันโฮกฮือๆ แต่ที่ไหนได้ประชาชนกลับเฉยๆ

มันเรื่องอะไร ที่อยู่ๆคนไทยเกเรไปเที่ยวระรานเขา พอเขาเอาคืนมั่ง ดันวิ่งโร่มาขอให้คนไทยช่วย พอไม่ช่วยก็ไล่ให้ไปอยู่เขมร..ซะงั้น

อะไรไม่ว่า ดันมาทำงามหน้าอีก เมื่อไปจารกรรมข้อมูลเขาจนถูกจับได้ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด ถ้าเรื่องไม่จริง ทำไมจะเป็นเดือดเป็นร้อน ถึงขนาดรมต.ต่างประเทศ ตาลีตาเหลือกบินกลับไทย ทั้งๆที่กำลังทำงานสำคัญ เตรียมการประชุมเอเป็คที่สิงคโปร์อยู่

มาถึงวันนี้ เรื่องมันเลยบานไม่รู้หุบไปซะแล้ว เพราะนโยบายต่างประเทศยุคโบราณ ที่ถือว่าเพื่อนบ้านเป็นลูกไล่ พอขู่แล้วเขาไม่กลัว คราวนี้เลยหาทางลงไม่เจอ

แถมมาเจอนายกฯเขมร ที่เป็นมวยเชิงสูงซะอีก เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ ล่าสุดนี้น้าฮุนก็ออกมาพูดชัดถ้อยชัดคำว่า เขาไม่ได้มีเรื่องกับคนไทย แต่มีหนี้ต้องชำระกับเจ้า 2 ตัวนั่น และที่สำคัญยังตีแสกหน้ากันจังๆอีกว่า ไม่มีความสุขในการทำงานกับนายกฯวิ่งราวคนนี้

เป็นคำพูดที่แทงใจดำคนไทยซะเหลือเกิน เพราะอย่าว่าแต่น้าฮุนเลยที่ไม่มีความสุข แม้แต่ประชาชนคนไทยด้วยกันเอง ก็อยากจะบ้าตายวันละหลายๆครั้ง ตราบใดที่เจ้าเด็กแว้นคนนี้ ยังนั่งทับขี้บนตำแหน่งนายกฯ ยิ่งอยู่ไปยิ่งทำให้ทำให้นึกถึงคำกล่าวของเหลาจื่อที่ว่า

"การปกครองที่ดีนั้น ราษฎรจะไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง" แต่ภายใต้การปกครองของมาร์ค...

ไม่มีวันใดเลย ที่ราษฎรไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง

วโรทาห์:

พล.อ.ชวลิต แจงแนวคิด “นครปัตตานี” ใช้พลัง “ประชาชน” พัฒนาให้เป็น “นูซันตาลา”



ที่มา:ประชาไท
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวในการเสวนา “ราชดำเนินเสวนา” ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจัดขึ้นในหัวข้อ “แนวคิดนครปัตตานี” ว่า เรื่องนครปัตตานีเป็นเรื่องที่มีการนำเสนอมานานหลายปี ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนของค่ายกองพันทหารพัฒนาอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ตนได้เสนอแนวคิดนี้อีกครั้ง ทั้งนี้ สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นภาพจำลองใหญ่ของเหตุการณ์ในบ้านเมือง ถือเป็นสถานการณ์ที่สร้างความหนักใจให้กับทุกคน

พล.อ.ชวลิต กล่าวด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งในสังคมเกิดขึ้นมานานแล้ว นับตั้งแต่คณะราษฎรเข้าไปยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 77 ปีที่แล้ว และต่อมามีการยึดอำนาจโดยทหารอีกหลายครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด วันนี้ภาพใหญ่ของปัญหาความขัดแย้งคือ ความไม่เป็นธรรม โดยเมื่อคนส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์จากการเมือง ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

“ปัญหาหลักของบ้านเมือง คือ ไม่มีการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน หรือรัฐบาลที่มาจากประชาชน เพื่อประชาชน ที่ผ่านมาปัญหาภาคใต้ได้ใช้มาตรการทางทหาร ซึ่งเชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถแก้ไขได้ ต่อมาจึงมีการพูดถึงมาตรการทางการเมือง แต่ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหายังไม่ได้ใช้มาตรการทางการเมืองที่แท้จริง มีแต่มาตรการแก้ไขปัญหา โดยพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ซึ่งยังไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง การแก้ไขปัญหาภาคใต้ คือ การแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยให้อำนาจประชาชน” ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าว

พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาภาคใต้ต้องดำเนินยุทธศาสตร์ 3 ส่วน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ดอกไม้หลากสี คือแตกต่างแต่อยู่ร่วมกันได้, ยุทธศาสตร์ถอยคนละก้าว และยุทธศาสตร์ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ที่ผ่านมาการออกมาเสนอแนวคิดนครปัตตานีโดยไม่ได้อธิบายรายละเอียด ไม่ได้หมายความว่าตนอธิบายอะไรไม่ได้ แต่เป็นเพราะต้องการให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้กำหนดว่า ต้องการให้มีสิ่งใดบ้าง ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้จัดการปกครองรูปแบบพิเศษหรือตั้งเป็นส่วน ราชการ ซึ่งเห็นว่าเป็นแนวทางแบบเก่าที่พยายามยุ่งกับผู้ปกครอง แต่ไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชน

ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นอกเหนือการแสนอแนวคิดนครปัตตานีแล้ว ตนยังเคยเสนอพิมพ์เขียวแนวคิด “นูซันตาลา” หรือความยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาในภูมิภาคนี้ นครปัตตานีเคยเป็นเสมือนระเบียงเมกกะที่เป็นความยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องสถาปนาขึ้นมาในยุคนี้

“นูซันตาลา คือ พื้นที่ที่ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ โบสถ์วัดช้างให้ มัสยิดขนาดใหญ่ และศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า สังคมภูมิบุตร โดยเราจะสร้างมหาวิทยาลัยนูซันตาลา เราจะเอาระเบียงเมกกะกลับคืนมา เอาเกียรติยศของคนปัตตานีกลับคืนมา การจะเกิดนูซันตาลาได้ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกัน จากนั้นจะรวมพลังประชาชนพัฒนาพื้นที่ให้ยิ่งใหญ่เป็นหลักเขตของการปกครอง” พล.อ.ชวลิต กล่าว

พท.ลงมติไม่เคลื่อนไหวเดือนธ.ค.ออกตัวมีบึ้มไม่เกี่ยว เสธ.แดงลั่นทหารพรานพันนายพร้อมคุ้มกันม็อบแดง


พัลลภ เผยเพื่อไทยลงมติไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมตลอดเดือนธ.ค. อออกตัวระเบิดปีใหม่ไม่เกี่ยว "เสธ.แดง" เผยทหารพรานปักธงชัยพันนายติดอาวุธพร้อมรบเตรียมปกป้องม็อบเสื้อแดง

"พัลลภ"ลั่นมติ"พท."สงบศึกถึงปีใหม่


พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าตลอดเดือนธันวาคมพรรคเพื่อไทยจะไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมใดๆ รวมถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า อาจมีกลุ่มไม่หวังดีเตรียมก่อเหตุระเบิดใหญ่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ฝีมือกลุ่มพวกตนเช่นกัน


โดย พล.อ.พัลลภให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ว่า ได้ประชุมกันแล้วว่าในเดือนธันวาคมจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงวันสำคัญของประเทศ เป็นห้วงเวลาที่คนไทยต้องการมีความสุขกับวันสำคัญต่างๆ ไล่ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ และวันที่ 31 ธันวาคม-1 มกราคม วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเกิดเหตุรุนแรงช่วงดังกล่าวไม่ใช่ฝีมือคนในพรรคเพื่อไทย พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ใช่ เพราะเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ตนกับ พล.ท.อุดม เกษพรหม อดีตเสนาธิการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ แกนนำกลุ่ม จปร. 9 สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้คุยกันในพรรคเพื่อไทย แล้วว่าจะไม่ทำอะไรช่วงดังกล่าวแน่นอน และหลังปีใหม่ค่อยมาหารือกันอีกครั้งว่า จะเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อถามว่า พล.ท.อุดมระบุว่ามีทหารและนักการเมืองวางแผนและเตรียมระเบิดจำนวนมากใช่สร้างสถานการณ์ช่วงปีใหม่ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.ท.อุดม แต่ที่เจอกันที่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นพูดอะไร คงต้องถามเขาอาจมีข้อมูลบางอย่าง


เชื่ออดีตทหารปักธงชัยยังเกาะกลุ่ม


เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะระบุว่า มีการเตรียมกองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชีสีมา ที่เคยถูกยุบไปสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไว้เป็นกำลังต่อกรอำนาจกองทัพ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ทหารพรานค่ายปักธงชัยเป็นทหารหน่วยรบ เคยปฏิบัติการรบทั้งภายในและนอกประเทศ ดังนั้น เมื่อยุบหน่วยไป ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมรบ ผู้บังคับบัญชาและลูกน้องยังมีอยู่ เพราะเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสนามรบ


"ผมไม่เคยเป็นทหารหน่วยนี้ แต่ พล.ต.ขัตติยะเคยเป็น เขาคงคุยกับเพื่อนร่วมรบในอดีต ซึ่งทหารหน่วยนี้ถือว่ามีความเชี่ยวชาญการบมาก เป็นหน่วยทหารที่ติดอาวุธสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ สมัยก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปราบปรามกองกำลังผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และปฏิบัติภารกิจรบนอกแบบทุกสมรภูมิ ถือเป็นกองกำลังเสริมหน่วยทหารหลัก แต่สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารบกสั่งยุบไป ทั้งนี้ ทหารที่เคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามยังไปมาหาสู่กันอยู่ เมื่อผู้บังคับบัญชาต้องการความช่วยเหลือน่าจะเป็นไปได้ พล.ต.ขัตติยะเคยอยู่หน่วยนี้น่าจะรู้ดี"


แฉขบวนการโยนบาป"เสื้อแดง"


ด้าน พล.ท.อุดมกล่าวว่า การประชุมแกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.พัลลภ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งตนได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ได้หารือกันถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง โดย พล.อ.พัลลภ คุยกับ พล.ต.ขัตติยะ ก่อนมาประชุมร่วมกับพวกตนนั้นได้แจ้งว่ามีความพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วโยนความผิดให้กับคนเสื้อแดง จึงขอให้นายจตุพร แจ้งกับแกนนำคนเสื้อแดงให้ยุติการเคลื่อนไหวช่วงเดือนธันวาคมไปก่อน


"ระหว่างที่พวกผมประชุม มีแกนนำพรรคคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเข้ามาชี้แจ้งกับที่ประชุมว่า มีนายทหารและนักการเมืองหลายคนประชุมกันที่สโมสรกองทัพบก ร.1 รอ. (กรมทหารราบที่ 1 (มหาดเล็ก) รักษาพระองค์) เพื่อคุยถึงเหตุการณ์วางระเบิดและเหตุไฟไหม้สถานที่ราชการสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่ ซึ่งที่ประชุมวิเคราะห์กันว่าจะเป็นฝีมือใคร แต่ไม่ได้ข้อสรุป แต่ขอให้ทุกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ก่อน อย่าเคลื่อนไหวไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกหาว่าเป็นคนทำ"



"เสธแดง"ระดมอดีตทหารพรานป้องแดง


พล.ต.ขัตติยะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเตรียมกองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย ที่เคยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.ชวลิต รวมตัวปกป้องกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พล.อ.พัลลภ เรียกตนไปพบ เพราะขณะนี้ทหารพรานค่ายปักธงชัยที่ถูกยุบกำลังรวมตัวกันประมาณ 1,000 คน และเตรียมอาวุธหนักพร้อมรบ เพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่มีความเป็นธรรมเกิดสองมาตรฐาน ซึ่งตอนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบิน แต่ทหารไม่ออกมาปราบปราม แต่เมื่อกลุ่มเสื้อแดงออกมาล้อมทำเนียบรัฐบาล อย่างเหตุการณ์เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทหารออกมาปราบปรามใช้อาวุธปืนยิง ซึ่งอดีตทหารพรานเหล่านี้จะออกมาแฝงเป็นการ์ดคนเสื้อแดง เวลามีม็อบเสื้อแดงจะแฝงตัวไป ดังนั้น ขอเตือนว่าทหารอย่าออกมาช่วงนี้ เพราะจะถูกทหารพรานที่มีอาวุธพร้อมรบออกมา อาจทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้ ที่สำคัญทหารพรานเหล่านี้ใช้อาร์พีจีเก่งกว่าทหารหลัก


ขู่ทบ."ปลด-ถอดยศ"ระวัง


พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า การที่ พล.อ.พัลลภเรียกตนไปพบ เพราะต้องการไปเคลียร์ว่า อย่าเพิ่งให้ทหารพรานเข้ามา ปล่อยให้เป็นการต่อสู้กันเองของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทั้งนี้ การที่ทหารพรานออกมาเป็นเพราะ พล.อ.ชวลิตเป็นคนตั้งค่ายนี้ขึ้นมา เมื่อ พล.อ.ชวลิตลงเล่นการเมืองเขาจึงอยากจะออกมา และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบุญคุณขึ้นเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้


"ผมพยายามบอกทหารว่าอย่าออกมา แต่กลับมีคนมาด่าว่าผม และหาเรื่องปลด ถอดยศ ทั้งที่ไม่มีความผิดด้านวินัย ตกลงกองทัพบกอยู่ใต้คำสั่งของนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่หรือของใคร เพราะแค่เขาบอกให้สั่งสอบก็จะสอบผมทันที หากปลดผมก็เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะไม่มีความผิดอะไร จะมาถอดยศผมได้อย่างไร คนที่ถอดยศผมได้มีเพียงพระองค์เดียว ผมมาปกป้องกองทัพ หากปลดผมระวังออกจากกองทัพไม่ได้"


"แดง"นัด10ธ.ค.ชุมนุมอุ่นเครื่อง


เมื่อเวลา 13.00 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมแกนนำเสื้อแดง แถลงว่า แกนนำคนเสื้อแดงมีมติจัดงานชุมนุมเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 12.00-24.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลเพราะไม่ได้ระดมพลคนเสื้อแดงทั้งประเทศ แต่จะชุมนุมเพื่อแสดงเจตนาของคนเสื้อแดงที่ต่อต้านเผด็จการแล้วเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะเรียกว่าเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับการชุมนุมใหญ่ โดยแกนนำคนเสื้อแดงได้เชิญนักวิชาการมาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหลายคน


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า การนัดชุมนุมวันที่ 10 ธันวาคม เป็นการนัดชุมนุมเปิดเผยโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ หากมีใครเคลื่อนไหวอะไรเราจะถือว่าคนคนนั้นไม่ใช่ นปช.และแกนนำจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ธันวาคม แกนนำคนเสื้อแดงนัดแกนนำคนเสื้อแดงทุกกลุ่มทั่วประเทศมาพบปะสัมมนาครั้งสุดท้ายก่อนปักหมุดนัดหมายชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลยกสำคัญ ซึ่งจะแถลงมติกำหนดวันชุมนุมใหญ่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง


"ปูด"อำมาตย์"เตรียมปลด"บิ๊กทหาร"


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่ระหว่าง 2 มหากาพย์ ที่เรียกว่ามหากาพย์กำราบมาร์ค คือ 1.การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยขอให้จับตาดูเรื่องสอบกรณีการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจที่จะมีผลไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ซึ่งท้ายที่สุดจะมีผลต่อการแต่งตั้ง ผบ.ตร. จึงขอให้ระวังเงาหัวไว้ 2.ขณะนี้นายอภิสิทธิ์อยู่ในสถานการณ์คลื่นใต้น้ำ มีคนในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต้องการจะเปลี่ยนแปลงคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ก็มีเรื่องใหญ่กว่านั้น คือ กลุ่มคนในอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมการที่จะเล่นเกมป๊อกเด้ง โดยจะเปลี่ยนตัวบุคคลสำคัญฝ่ายความมั่นคง ไม่เฉพาะแต่นายสุเทพ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่รวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ด้วย ซึ่งไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์รู้ตัวบ้างหรือไม่



"จตุพร"โวย สมช.วางแผนบึ้มโยนบาปให้"เสื้อแดง"

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี การรายงานคณะรัฐมนตรี(ครม.) เรื่องการวางแผนที่จะวางระเบิดในช่วงวันปีใหม่ 2553 ว่า ในการสัมมนาของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 27-28 พ.ย.ที่จ.อยุธยา ได้แจ้งกับที่ประชุมว่า มีนายทหารคนหนึ่งยศนายพลคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งหนึ่ง มีการประชุมและวางแผนที่จะก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดแล้วโยนความผิดให้กับคนเสื้อแดง แต่ที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดงไม่คิดว่าเชื้อชั่วยังไม่ยอมตาย จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จนเมื่อนายสุเทพ นำเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุม ครม. พวกตนจึงต้องสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา

"บิ๊กจิ๋ว"อุทาน"ฮ่วย" ได้ยินข่าว"เสธ.แดง"อ้างทหารพรานติดอาวุธร่วมม็อบแดง

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกอ้างว่าจะมีทหารพรานค่ายปักธงชัย ซึ่งมีความสนิทกับพล.อ.ชวลิต นำอาวุธมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ชวลิต อุทานว่า "ฮ่วย" แล้วตอบว่า "นั่นมันนานแล้ว ก็อาจจะจิตใจผูกพัน แต่ทำไมมันต้องออกมาล่ะ สนิทกับผมแล้วทำไมต้องออกมาด้วยล่ะ"

เมื่อผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า พล.ต.ขัตติยะ อ้างว่าเป็นเพราะทหารค่ายปักธงชัยที่ไม่พอใจรัฐบาลประชาธิปัตย์ยุบค่ายนี้ทิ้ง พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า "อ๋อ ยุบค่ายทิ้งเหรอ จริงเปล่า พรรคประชาธิปัตย์ยุบค่ายทิ้งเหรอ จะได้นำหน้าเองเลย คงไม่ใช่อย่างนั้น การยุบค่ายทิ้งคงเป็นเพราะความต้องการของกองทัพ ท่านเป็นพรรคการเมืองจะไปยุ่งเรื่องทหารทำไม"

นอกจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ถูกโจมตีว่าถังแตกจนต้องขายคอนโดว่า พูดอย่างนี้น่าเกลียด เขาไม่ได้โจมตีแต่คงไม่เข้าใจ พูดจาค่อนข้างน่าเกลียด ซึ่งพอข่าวออกมาแล้วกลายเป็นเรามาโวยวายเรื่องเงินทอง น่าเกลียดมากเพราะเราไม่เคยพูดอย่างนั้น อาจเป็นข่าวที่ผิดพลาด ลูกสาวเราจะส่งลูกสาว (หลานสาวของพล.อ.ชวลิต) ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เลยขาย เราก็เลยช่วยบอกต่อให้ด้วย

เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวนี้หรือไม่ พล.อ.ชวลิต ตอบว่า ขนาดด่าแม่ตัวเองยังไม่เคยฟ้องเลย เรื่องแค่นี้จะฟ้องทำไม อย่าไปอะไรกันเลย เข้าใจกันดีกว่า

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลูกหนี้-เจ้าหนี้เมินโครงการลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบรัฐบาลมาร์ค ม.7

คมชัดลึก : ลงทะเบียนหนี้นอกระบบวันแรกหงอย เผย เจ้าหนี้ไม่ร่วมมือ-ขู่ลูกหนี้ห้ามให้ข้อมูล หวั่นเจ้าหน้าที่ตามจับ-รายได้หด อีสานหัวหมอทำสัญญากู้ยืมปลอมตบตารัฐ หอการค้าฯ ชี้แก้ไม่ตรงจุดอีกไม่นานไปกู้ใหม่ ตร.ตรังรวบรีดดอกร้อย 30 ส่วนที่ชัยภูมิ แม่ค้าผวาแก๊งต่างด้าวทวงหนี้โหด

(1ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบ โครงการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบของรัฐบาลวันแรกโดย 2 ธนาคารของรัฐ คือ ธนาคารออมสินกว่า 600 สาขา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กว่า 900 สาขาทั่วประเทศค่อนข้างเงียบเหงา โดยการลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ (นางเลิ้ง) ธ.ก.ส.เตรียมเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนไว้ 30 คน แยกจากเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ทำธุรกรรมปกติ แต่พบว่าในเวลา 11.25 น. มีประชาชนที่มาลงทะเบียนที่สำนักงานใหญ่เพียง 5 รายเท่านั้น โดยมูลหนี้ผู้ลงทะเบียนรายแรกอยู่ที่ 6 หมื่นบาท รวมดอกเบี้ยอีก 1.8 หมื่นบาท ขณะที่มูลหนี้รายอื่นๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่หลักหมื่นบาทเช่นกัน

ส่วนจำนวนผู้มาลงทะเบียนรวมทั่วประเทศจากจำนวนสาขาทั้งหมด 948 สาขา มีผู้มาลงทะเบียนแล้ว 326 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 33.9 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรลงทะเบียน 143 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 17.1 ล้านบาท ข้าราชการ 9 ราย มูลหนี้ 1.1 ล้านบาท พนักงานรัฐวิสาหกิจ 2 ราย มูลหนี้ 1.5 แสนราย ลูกจ้าง 32 ราย มูลหนี้ 2.9 ล้านบาท ค้าขาย 58 ราย มูลหนี้ 5.6 ล้านบาท รับจ้าง 64 ราย มูลหนี้ 5 ล้านบาท และไม่มีอาชีพ 18 ราย มูลหนี้ 1.8 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากสุดช่วงครึ่งวันแรกคือ นครราชสีมา สงขลา และอุดรธานี

รายงานข่าวจาก ธ.ก.ส. แจ้งว่า การลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบในวันแรกไม่คึกคักแต่ไม่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากรัฐบาลให้เวลาลูกหนี้ถึง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธันวาคมนี้ ทุกวันจันทร์-เสาร์ ในเวลา 08.30-16.30 น. ดังนั้นขณะนี้ลูกหนี้อาจอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารหลักฐานที่ต้องนำมาแสดง ซึ่งประกอบด้วยบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และเอกสารการเป็นหนี้ เช่น สัญญาเงินกู้ หลักฐานการจำนองและขายฝาก สำหรับบางคนที่ลืมสำเนาทะเบียนบ้านธ.ก.ส.อนุโลมให้นำมาแนบวันหลังได้ ส่วนเอกสารการเป็นหนี้ถ้าไม่มีสามารถแจ้งได้ที่ธนาคารว่ากู้มาจากใคร จำนวนหนี้เท่าไหร่

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ระบุว่า ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นมีสาขาทั้งสิ้น 13 สาขา โดยส่วนใหญ่ยังมีผู้มาลงทะเบียนน้อยเช่นกัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นวันแรกทำให้ลูกหนี้ยังรอดูลาดเลาก่อน และอีกอย่างเป็นวันหวยออก ทำให้กลุ่มหนึ่งอาจจะรอลุ้นหวยก่อน แต่ก็มีบางคนที่มาขอเอกสารไปให้คนในครอบครัวกรอกที่บ้านและจะนำมายื่นที่สาขาใกล้บ้านในภายหลัง

“เป็นไปไมได้ที่ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ทราบข้อมูลเพราะก่อนหน้านี้มีการออกข่าวไปเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่มาลงทะเบียนก็เตรียมเอกสารมาครบถ้วนถูกต้อง แต่มีบางรายที่ธนาคารอนุโลมให้ลงทะเบียนได้แม้ไม่มีเอกสารการกู้ยืมเงินนอกระบบ โดยมองว่าปิดรับลงทะเบียนรวม 2 แบงก์ก็น่าจะหลายแสนรายอยู่ แต่อาจไม่ถึง 1 ล้านราย” เจ้าหน้าที่ระบุ

จากการสอบถามผู้มาลงทะเบียนรายหนึ่งที่สำนักงานใหญ่นางเลิ้ง ระบุว่า ตนเป็นคนหนองบัว จ.นครสวรรค์แต่มาอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯ จึงมาลงทะเบียนในครั้งนี้ด้วยเพราะทราบข่าวจากสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้

“ทราบว่าไม่ต้องลงทะเบียนสาขาที่ภูมิลำเนาอยู่ เลยมาลงทะเบียนที่สาขานางเลิ้ง ก่อนหน้านี้รัฐบาลประโคม ข่าวใหญ่โต ใครไม่รู้ก็แย่แล้ว ก็ดีที่รัฐบาลมีโครงการนี้จะได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริงๆ” ผู้มาลงทะเบียนรายหนึ่งระบุ

ส่วนที่บรรยากาศที่ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน พบว่ายังมีผู้มาลงทะเบียนน้อยแต่ในช่วงครึ่งวันแรกอยู่ที่ประมาณ 400 กว่าราย ส่วนทั่วประเทศมีตัวเลขรวมประมาณ 3,000 ราย

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดขึ้นทะเบียนตามโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล โดยได้เริ่มมีลูกหนี้เข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่ช่วง 9 โมงเช้าเป็นต้นไปและทยอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางรายมาลงทะเบียนพร้อมทั้งน้ำตา ร้องไห้แทบตลอดเวลาที่ลงทะเบียน เนื่องจากถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ตลอดเวลาทำให้ต้องหนีหนี้มา 2 เดือนแล้ว

ขณะที่บางรายเมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว ไม่กล้าที่จะเดินออกไปทางด้านหน้าธนาคาร และขอร้องให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเดินออกไปส่งทางประตูหลัง เนื่องจากเกรงว่าจะมีเจ้าหนี้มาตามข่มขู่ และบางรายเพิ่งถูกเจ้าหนี้ทำร้ายร่างกาย มีบาดแผลตามตัวมาขึ้นทะเบียนด้วย โดยแจ้งว่าเจ้าหนี้มาตามทวงเงินและไม่ต้องการให้มาขึ้นทะเบียนเข้าโครงการหรือบางรายยังมีเจ้าหนี้ดักอยู่ตามหน้าปากซอย เพื่อไม่ให้มาลงทะเบียน

ทั้งนี้ จำนวนลูกหนี้ที่มาลงทะเบียนนั้น ไม่มากอย่างที่คิด โดยช่วงครึ่งวันแรกของการเปิดให้ลงทะเบียนนั้น ที่สำนักงานใหญ่มีผู้มาลงทะเบียนกว่า 400 ราย ขณะที่ในสาขาทั่วประเทศนั้นมีผู้มาลงทะเบียนเฉลี่ยสาขาละ 20-50 คน ขณะที่ธนาคารเตรียมพนักงานไว้คอยรองรับมากกว่านั้น ส่วนมูลหนี้ไม่มากนัก เฉลี่ยอยู่ในระดับหลักหมื่นบาทเท่านั้น ทำให้ประเมินว่า ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มาขึ้นทะเบียนครั้งนี้ เป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าของธนาคารประชาชน ซึ่งยังมีเวลาอีกตลอดทั้งเดือนที่จะมาขึ้นทะเบียน เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหน้าสำนักงานธนาคารออมสินภาค ภาค 5 และหน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นครสวรรค์ ประชาชนผู้เป็นหนี้นอกระบบหลายสาขาอาชีพ เช่น ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง พ่อค้า แม่ค้า ประมาณ 100 คน เข้าคิวรอลงทะเบียนตั้งแต่ก่อนเวลาเปิดทำการ โดย จ.นครสวรรค์ คาดการณ์ว่า จะมีประชาชนมาลงทะเบียนประมาณ 1.7 หมื่นราย

นายวิชัย พุกทอง อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 416/11 หมู่ 2 ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หนึ่งในจำนวนผู้มาลงทะเบียน กล่าวว่า เป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อเดือน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในร้านขายของชำ เป็นค่าใช้จ่ายของหลานและภรรยา ส่วนรายได้อื่นอาศัยเบี้ยยังชีพ 500 บาท แต่ก็ไม่พอค่ายารักษาโรค

“ผมจ่ายหนี้นอกระบบเดือนละ 2.1 หมื่นบาท มานานกว่า 2 ปี หนี้ก็ยังไม่หมด พอทราบข่าวโครงการนี้จึงมารอขึ้นทะเบียนตอนเช้า ถ้าได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเมื่อไร จะรีบนำไปใช้คืนเจ้าหนี้โดยเร็ว และอยากให้ลดขั้นตอนต่างๆ จะได้ปลอดหนี้ไวๆ” นายวิชัยกล่าว

น.ส.สุ (นามสมมติ) เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบรายหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนปล่อยกู้ไปประมาณ 2 แสนบาท โดยลูกหนี้ที่กู้ยืมส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนบ้านที่มีเงินเดือนประจำ บางรายกู้ยืมเพื่อนำไปจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะในการเข้าเป็นลูกจ้างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บางรายกู้ยืมเพื่อนำไปหมุนจ่ายหนี้เงินกู้รายวันรายอื่น เนื่องจากว่าดอกเบี้ยถูกกว่า โดยตนคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน ส่วนวิธีการชำระหนี้จะยึดบัตรเอทีเอ็ม ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจว่าลูกหนี้จะได้ไม่เบี้ยว และตัดปัญหาการติดตามทวงหนี้

“เจ้าหนี้บางรายไม่ได้ตั้งใจปล่อยกู้ แต่เนื่องจากมีเพื่อนที่ทำงานซึ่งหมุนเงินไม่ทันและเพื่อนฝูงมาหยิบยืม ถ้ายืมเงินจำนวนมากก็ต้องมีการทำสัญญาและยึดบัตรเอทีเอ็มไว้ ขณะที่บางรายกู้เงินมาจากธนาคารในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8% ต่อปี แต่หากนำมาปล่อยกู้อย่างต่ำจะได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้ 10% ต่อเดือน ทำให้มีเงินไปใช้หนี้ธนาคารได้อย่างสบาย” เจ้าหนี้เงินกู้รายวันกล่าว

น.ส.สุ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางราย เริ่มที่จะทำสัญญาปลอมกันขึ้นมา เพื่อขอรับเงินจากรัฐบาล โดยมีการทำสัญญาย้อนหลังภายในองค์กรของตนเอง

ส่วนโครงการที่รัฐบาลทำขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเงินกู้นอกระบบรายละไม่เกิน 2 แสนบาทนั้น น.ส.สุ มองว่า วิธีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้ และเชื่อว่าในอีก 1-2 ปี ลูกหนี้ก็จะกลับมาเป็นหนี้นอกระบบเช่นเดิม โดยลูกหนี้บางรายอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินอย่างกะทันหัน พึ่งสถาบันการเงินก็ไม่ได้ เพราะยังเป็นหนี้ในระบบอยู่ จึงต้องหันมาพึ่งเงินกู้นอกระบบอีก อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ของตนร่วมลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ แต่เชื่อว่าเจ้าหนี้เงินกู้รายวันอาจจะไม่เข้าร่วมโครงการนี้

เจ้าหนี้นอกระบบรายหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลว่า การซื้อหนี้ครั้งนี้จะแก้ปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เชื่อว่าเมื่อหนี้ก้อนเดิมหมด อีกไม่นานประชาชนจำนวนไม่น้อยจะกลับเข้าสู่ระบบหนี้นอกระบบอีกครั้งตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มค้าขายที่ต้องใช้เงินหมุนเวียน

“เชื่อว่าหนี้นอกระบบจะยังมีอยู่ต่อไป เพราะได้เงินง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนไปกู้เงินจากธนาคาร อีกทั้งการขึ้นทะเบียนที่กำหนดให้ระบุรายละเอียดของตัวเจ้าหนี้ โดยเฉพาะชื่อที่อยู่และเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเชื่อว่า จะมีเจ้าหนี้ยินยอมน้อยมาก เพราะเมื่อยินยอมแล้ว จะต้องเสียรายได้จากดอกเบี้ยที่คิดในอัตราสูงถึงร้อยละ 20″ เจ้าหนี้รายนี้ยืนยัน

มาร์ค ม.7 เสียงอ่อย-เปรยอยากเป็นมิตรเขมร

มติชน : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น ไม่จำเป็นต้องชี้แจง ซึ่งหากมีการปฏิเสธความร่วมมือระหว่างกัน อยากให้ชาวกัมพูชาเข้าใจว่าเป็นการตัดสินใจของสมเด็จฮุน เซนเอง โดยอาจตัดสินใจภายใต้คำปรึกษาจากคนบางคน ทั้งนี้ จะขอทำงานเพื่อคนไทย และต้องการเป็นมิตรกับชาวกัมพูชาด้วย

ส่วนการที่มารดานายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรที่ถูกจับกุมตัวขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทยนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ รัฐบาลยังทำงานในส่วนนี้ต่อไป