--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม!!


“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวเป็นสุนทรพจน์เป็นประจำ
ดังนั้น ขอทวงถามสักคำ “ไอ้เณร” ทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการแล้ว...แต่ชื่อและทะเบียนบ้านยังอยู่ในค่ายทหาร
หากมีคน “แอบไปใช้สิทธิ์แทน” เทเสียงให้บางพรรค...ย่อมไม่ถูกต้องใช่มั้ยท่าน
ควรรีบโอนและย้ายสำเนาบ้านทหารที่ปลดระวาง...ถึงจะสวยงามเสร็จสรรพ!!
ไปกั๊กทะเบียนเขาไว้...ถ้ามีการโกงกันแล้วไซร้...ชื่อเสียงท่านจะเสียหายน่ะครับ
----------------------------
ใครคิดชั่ว ต้องปราม ต้องปราบ!!
เมื่อ “สื่อนอกคอก” สร้างความแตกแยก แบ่งแผ่นดิน จนประเทศร้าวราน เละตุ้มเป๊ะ .. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ต้องลงดาบฟันฉับ..ฉับ
ไม่ว่าจะเป็น “สื่อแดง” หรือ “สื่อกระบอกปลายปืนทหาร” หรือ “สื่อรัฐบาล” ที่ “เจาะยาง”ฝ่ายตรงข้าม จนประเทศแบ่งเป็น ๒ ขั้ว ก็ต้องลงโทษให้สาสม กับความชั่ว
ใครผิด ใครเลว ใครสามานย์ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องเช็คบิลกันรายตัว
ที่เห็น ตำตา ตอกย้ำ ทำให้ประเทศไทยแตกละเอียด ก็เหล่า “บ่างช่างยุ” พิธีกรช่อง ๑๑ สื่อของรัฐ ที่สร้างความแตกแยกจนใคร พากันหนาวสั่น!!!
สร้างความผิดต่อเนื่อง..กองทัพบกน่าเอาเรื่อง?...ทีหยั่งงี้ล่ะเชื่อง ไม่จัดการกันมัน??
-----------------------------
“ทองชุบ” สักวัน ก็ต้อง “ลอก”!!
เป็น “ทองแท้” คุณภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยต้องขอบอก??
แต่การที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” พระอาจารย์ของเด็กดื้อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไสออกมาช่วยนายกฯ ๒ สัญชาติ ท่าน “เสียศูนย์” ไปจมหู
ที่ประชาชนทวงถามสิทธิ์ ฆ่าประชาชนทำไม ๙๑ ศพ เป็นความชอบธรรม โปรดรับรู้
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” มิใช่มีแต่ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้น...แต่ทำไมชาวบ้านจึงใช้วาทะกรรม ทวงถามคนตาย ๙๑ ศพ ..ทั้งที่ “บรรหาร ศิลปอาชา”, “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”, “เนวิน ชิดชอบ” “สุวิทย์ คุณกิตติ” และ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็ส่งพรรคร่วมรัฐบาลทั่วหน้า!!
ทุกพรรคลงพื้นที่ได้เช้าเย็น..แต่ที่เขาจองเวร?..เพราะเขารู้เขาเห็น พรรคนี้ น่ามีปัญหา??
------------------------------
“ว่าที่นายกฯ” ต้องนิ่ง!!
แต่ที่ “กรณ์ จาติกวณิช” ขุนคลังคนดัง ทำการซุกซ่อนนั้น ข้ามหน้าข้ามตาจริง..จริ้ง!!
โดนบลัพกลับ จาก “คุณพี่ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” เลขาฯผู้กำกับการตลาดหลักทรัพย์
ที่ไม่เอาผิด “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โดนสาดโคลน ให้การเท็จการซุกหุ้น ของ “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะเธอไม่ผิด แล้วจะให้ลงโทษลงทัณฑ์ ได้ประการใดขอรับ
“ขุนคลังกรณ์” ตั้งท่า รังเกียจ ว่า “ท่านธีระชัย” เล็งรับใช้ใครเพื่อให้เข้าตา...ขณะเดียวกัน “นักลงทุน”ในตลาดหลักทรัพย์ ด่า “กรณ์” แหลกลาญ ทำทุกอย่าง ให้ ปชป.ชนะเลือกตั้ง
คนที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทรุด..คนเขาพูด...เริ่มจากจุดก่อหวอดจาก “เสี่ยกรณ์”ทุกครั้ง?
---------------------------
“แลนด์สไลด์” กันเป็นพิเศษ!!
นารีขี่ม้าขาว ใกล้นั่งบัลลังก์ทำเนียบ...เมื่อใกล้วันหย่อนบัตร “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียงหนุนเสียงศรัทธา ไหลมาเชียร์เธอทั้งประเทศ??
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกต, กลุ่มผู้คุมรีโมท กลุ่มคุมผลประโยชน์ประเทศเพื่อตัวเอง..ออกอาการแบบมวยถูกนับ..
สร้างเรื่องตอกลิ่ม เร้าอารมณ์ หมายไม่ให้มีเลือกตั้ง กันสิครับ
เป็นความเลวร้าย ของพวกบ้องตื้นสะดือตัน ที่จะเหยียบย่ำประชาธิปไตย เอา “เผด็จการ”ขึ้นมาใหญ่!!
ล้มเลือกตั้งทำสถานการณ์เลวกว่านรก..แค่สกัด “ปู”ไม่ให้เป็นนายกฯ..เป็นความสกปรก จริงๆ เจ้านาย??


ที่มา คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++

พท.เตรียมแถลงประชาธิปัตย์ปราศรัยราชประสงค์

เพื่อไทยแถลงการณ์การปราศรัยของประชาธิปัตย์ที่ราชประสงค์ ด้านปชป.อ้างชี้แจงข้อเท็จจริงผู้เสียชีวิตว่าไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลกระชับพื้นที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ที่พรรคเพื่อไทย( 23 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. พรรคเพื่อไทยจะมีการออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการปราศรัยที่แยกราชประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ และในวันเดียวกันนายจาตุรนต์ ฉายแสง "บ้านเลขที่ 111" พรรคไทยรักไทย ก็จะแถลงเรื่องการเลือกตั้งและการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่ราชประสงค์ โดยนายจาตุรนต์จะพบกับสื่อมวลชนที่โรงแรมโกลเด้นทิวลิปเรดิสัน ย่านพระราม 9

ทั้งนี้การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ ถูกจับตาอย่างมากว่าจะเป็นไม้เด็ดของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ที่หวังจะตีตื้นพรรคเพื่อไทย ที่โพลล์หลายสำนักทำนายว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปราศรัยที่ราชประสงค์ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ว่า การพูดในวันนั้นจะเป็นการอธิบายความ เพราะหลายคนคิดว่าผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากการที่รัฐบาลดำเนินการกระชับพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงมันไม่ใช่ และผู้ที่เสียชีวิตก็อยู่ข้างนอก ยกเว้นที่วัดปทุมวนารามเท่านั้น และกรณีดังกล่าวไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าหลังจากเปิดเวทีปราศรัยแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ถ้ารู้ความจริงแล้ว ก็เป็นเรื่องของประชาชน ถ้าประชาชนบอกว่าไม่เห็นเป็นไร และให้คะแนนเบอร์ 1 มาท่วมท้น ก็เป็นทางเลือกของประชาชน แต่ถ้าใครเห็นว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเขาก็เลือกเบอร์ 10 และคนที่แพ้เลือกตั้งก็ต้องเงียบและทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*******************************

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาร์ค.ทำเป็นกล้า แต่ขาสั่นบุกหาเสียง ราชประสงค์ 91 ศพ ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว !!?


 
 
กลายเป็นประเด็นร้อนที่คอการเมืองกำลังเฝ้าติดตาม...กับการที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เตรียมลงพื้นที่หาเสียงและเปิดเวทีปราศรัยบริเวณ สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมของปีที่ผ่านมา

หากมองในแง่การหาเสียงเลือกตั้งในช่วง “โค้งสุดท้าย” สิ่งสำคัญของการทำให้เกิดกระแสก็คือ การช่วงชิง “พื้นที่ข่าว” เพื่อให้ประชาชนเกิดความสนใจ โดยเฉพาะ “สื่อไทย” และ “สื่อต่างประเทศ” ที่เตรียมตัวรอทำข่าวกับวันปราศรัยที่กำลังจะมีขึ้น
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวถึงการจัดเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์บริเวณสี่แยกราชประสงค์ว่า...

“ตั้งใจจะพูดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและนโยบายสร้างความปรองดอง ซึ่งบริเวณราชประสงค์เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมรับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะดับไฟประเทศนี้อย่างไร

แม้ว่า การจัดเวทีปราศรัยบริเวณแยกราชประสงค์ อาจถูกนำไปโจมตีว่านำเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองมาเป็นประเด็นในการหาเสียง
แต่ นายอภิสิทธิ์ กับระบุว่า ไม่ว่าตนทำอะไรก็ถูกหยิบยกไปโจมตีอยู่แล้ว เขียนความจริงในเฟซบุ๊คส่วนตัวก็ถูกโจมตีใส่ร้ายมาตลอด พยายามจะปิดเฟซบุ๊ค”
เมื่อมาดูข้อเท็จจริง โดยมีนักวิชาการนำเหตุการณ์การชุมนุมในช่วงนั้นมาประมวล จะแสดงให้เห็นภาพได้ดังนี้

1. ในระหว่างการชุมนุมมีการสร้างภาพความขัดแย้งระหว่างทหารกับ นปช. โดยเฉพาะกองกำลังพล ร.2 รอ. ที่มีฉายาบูรพาพยัคฆ์กับฝ่าย นปช. ถึงกับมีการบ่งชี้ว่าเป็น “โจทก์เก่า” ส่งผลต่อการตั้งคำถามต่อความรอบคอบเหมาะสมในการตัดสินใจของรัฐบาลและ ศอฉ. ว่ามีทางเลือกที่จะใช้กำลังกับประชาชนหรือไม่?

2. ผลสืบเนื่องจากข้อ 1 ทำให้เกิดคำถามตามหลักสากล การกำหนดยุทธวิธีในการเข้าปะทะ (Rule of Engagement) จะต้องไม่ใช้หน่วยทหารที่ถึงขั้นละลายจากการปะทะครั้งก่อนหน้าหรืออาจมีอารมณ์ในการปะทะกับฝูงชนหรือประชาชน ซึ่งมีความโกรธแค้นอยู่เป็นทุนเดิม
การเลือกใช้กำลังทหารที่มีการเผชิญหน้ากับ นปช. อย่างต่อเนื่อง สร้างความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยแก่กำลังพลจะส่งผลต่อวิธีการปฏิบัติการและปฏิกิริยาสนองตอบต่อประชาชนพลเมืองต่างไปจากหน่วยทหารที่ได้รับการ “พักหรือเว้นวรรค”


จากการปฏิบัติหน้าที่ในสนาม เมื่อเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามหน่วยต่างๆ สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดของรัฐบาลและ ศอฉ. ในการตัดสินใจเลือกใช้กำลังพลที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวกับประชาชน จนส่งผลให้เกิดอคติอย่างรุนแรง และปฏิบัติต่อประชาชนอย่างรุนแรงโดยลำดับ
สิ่งเหล่านี้น่าจะป้องกันบรรเทาได้ด้วยการใช้หน่วยทหารที่มีความชำนาญเฉพาะ เช่น หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาทหาร หรือกลุ่มทหารพัฒนามากกว่าจะใช้หน่วยรบ
ขณะเดียวกันปัญหาในการบังคับบัญชากองทัพก็เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า...สายการบังคับบัญชาในระหว่างก่อนเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าบทบาทของกองทัพในเดือนเมษายนที่กดดันให้รัฐบาลต้องเจรจามากกว่าจะใช้กาลังทหารคำถามสำคัญจึงอยู่ที่ระบบการตัดสินใจและสายการบังคับบัญชาว่ารัฐบาล กองทัพ และ ศอฉ. ใช้หน่วยทหารกลุ่มเดียวกัน

นับตั้งแต่ เมษายน 2552, เมษายน 2553 และ พฤษภาคม 2553 สะท้อนการตัดสินใจแบบใด และเป็นการตัดสินใจที่แบบที่เล็งผลชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือหวังผลให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่? และมีแรงกดดันใดจากภายนอกโครงสร้างรัฐหรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาในระยะยาวที่สังคมไทยจะต้องขบคิดทบทวนปฏิบัติการของรัฐต่อประชาชน
มีข้อสังเกตว่า...อัตราส่วนของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่บาดเจ็บจากกระสุนปืน และน่าจะพิจารณาประกอบกับการปฏิบัติการของ ศอฉ. ว่าเป็นไปด้วยความละมุนละม่อมหรือไม่อย่างไร เพราะสัญญาณของความรุนแรงที่มากขึ้นน่าจะสัมพันธ์โดยตรงกับการห้ามรถกู้ชีพเข้าพื้นที่และมีเจ้าหน้าที่กู้ชีพถูกสังหาร
ดังนั้น กรณีนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า
“พื้นที่ราชประสงค์ไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เคยเข้าไปสลายการชุมนุมในพื้นที่ราชประสงค์เลย”
ประชาชนจึงอยากถามท่านกลับว่า...ท่านยกเมฆเอาอะไรมาพูด...เพราะหลักฐานต่างๆ มีให้เห็นมากมาย แต่ทางรัฐบาลกลับไม่พิสูจน์ว่าหลักฐานที่มีอยู่ใช่ของจริงหรือไม่? เพราะที่ผ่านมารัฐบาลทำได้เพียงบอกปัด และไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรมาโดยตลอด

ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงที่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ โดยยืนยันว่า...จะไม่มีการยกเลิกการจัดเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์ในวันดังกล่าว
เพราะไม่ได้เป็นการจัดเวทีกลางถนน แต่เป็นการจัดเวทีหน้าลานห้างเซ็นทรัลเวิล์ด และไม่ให้รถขบวนแห่ของผู้สมัครเข้ามาในบริเวณงาน จะให้เดินทางมาโดยรถไฟฟ้าแทน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด
ส่วนจะมีปัญหาเผชิญหน้ากับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่นั้น ขณะนี้ไม่รู้ว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าวเตรียมการมาแค่ไหน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคงเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ ซึ่งทุกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้ากัน
ในขณะที่เสียงหนึ่งของประชาชนได้แสดงความคิดเห็นกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พรรคประชาธิปัตย์ จะเปิดเวทีปราศรัยบริเวณสี่แยกราชประสงค์ว่า...
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว...ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์จะไปบอกความจริงกับคนไทย เรื่องการเสียชีวิตของประชาชน 91 ศพ ณ สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 นี้
ผมว่า...มันจะไม่เป็นธรรมแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่โดนกล่าวหาแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณอภิสิทธิ์ออกมายืนยันว่า...
การเสียชีวิตของคนไทยจำนวน 6 ศพในวัดปทุมนั้น ไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ!!
วันที่ 23 ที่ราชประสงค์...นายอภิสิทธิ์จะพูดสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับตัวคุณและพวกคุณ ก็ได้ เพราะวิธีการพูดฝ่ายเดียว อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะได้รับการยอมรับจากผู้สูญเสียโดยตรง แต่หากคุณอภิสิทธิ์ อยากจะอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้
ผมคิดว่า...ควรให้คุณแม่น้องเกด และเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูที่เป็นพยานปากสำคัญ ซึ่งมองเห็นน้องเกด และเพื่อนร่วมงานอีกคน โดนยิงทุรนทุรายจนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาขึ้นเวทีซักถาม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความบริสุทธิ์ใจของคุณอภิสิทธิ์
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะได้หายสงสัยเสียทีว่า...
ชายลึกลับที่ติดสติกเกอร์สีชมพูบอกสังกัด ยืนเล็งปืนจากรางรถไฟฟ้าลงไปในวัดปทุมวนารามนั้น จะใช่ “ชายชุดดำ” ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มักบอกกับประชาชนมาตลอดหรือไม่?
ที่สำคัญ “วีดีโอคลิป” ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถ่ายเอาไว้ ขณะชายลึกลับกลุ่มนั้นลงมือสังหาร ซึ่งภายหลังนำมาเผยแพร่ในหลายเว็ปไซต์ คงจะเป็นคำถามไว้ให้คุณอภิสิทธิ์ตอบให้หายสงสัย
เชื่อเถอะครับ! หัวอกคนเป็นแม่ ลูกตายอย่างไร ตายด้วยอะไร เวลาไหน มีหลักฐานอะไรบ้าง เธอเก็บไว้หมดแน่ๆ

หรือถ้าจะเป็นแบบ International คุณอภิสิทธิ์ควรเชิญทูตญี่ปุ่น และรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นเข้ารับฟังด้วยว่า...ทำไมจากขีดเส้นตายให้แถลงคดีผล การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ภายในสามเดือน...จึงไม่สามารถจะแถลงคดีได้ และไม่มีการบอกด้วยว่าจะทราบผลเมื่อไหร่??
เรื่องที่พูดมาทั้งหมดอยู่ที่ว่า...นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะกล้าหรือไม่?”

อย่างไรก็ตาม การยึดลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ต้องถือว่าเป็นการปรับ “กลยุทธ์” ก่อนถึงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เหมือนที่ “นายบัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงไว้หลังการประชุมคณะกรรม การอำนวยการเลือกตั้งตอนหนึ่งว่า... 

“นับจากนี้พรรคต้องทำให้ข้อเท็จจริงและแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันข้างหน้าว่าปร​ะเทศจะเป็นบวกหรือลบอย่างไรให้กระจ่าง เพราะไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนตกอยู่ใต้อิทธิพลการโฆษณาชวนเชื่อเพราะอันตรายมาก”

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วันเพิ่มผี

ท่านนายกรัฐมนตรี

ท่านว่า..มีคนใส่ไคล้ท่านว่า เป็นฆาตกรสังหารคนไทย 91 ศพ..ท่านกล่าวถึง “คนชุดดำ”ท่านยืนยันถึงผู้ก่อการร้าย

ย้อนกลับกันไปทีละฉาก..ลากย้อนกลับกันไปทีละวัน..จนถึง..เวลา 5 ทุ่ม..ของคืนวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

คืนนั้น..หลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดหลังเวทีเสื้อแดง..ระหว่าง วุฒิสมาชิก พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช..ในนามของประธานวุฒิสภา..ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธ์ุ และ..แกนนำเสื้อแดง..

พลเอก เลิศรัตน์...ณัฐวุฒิ และ จตุพร พรหมพันธ์ุ..ได้ออกมาบอกกล่าวกับคนเสื้อแดงว่า..เพื่อยุติการตายของพี่น้องประชาชนทั้งหลาย..เขาจะขอสลายการชุมนุม..

คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งแสดงความไม่พอใจและอยากจะสู้ต่อไป..แต่แกนนำทั้งหลายพยายามผ่อนปรนและดึงมวลชนให้รับรู้ถึงเหตุผล

ราตรีนั้นเป็นค่ำคืนแห่งข่าว..มีเรื่องเล่าข่าวร้ายมากมายถาโถมเข้าใส่แกนนำ..แต่ก็ไม่มีอะไรตราบจนรุ่งเช้า..

พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช..หนึ่งในกลุ่มวุฒิสมาชิกที่เข้าเจรจากับแกนนำเสื้อแดง..ให้ข่าวในเช้าวันนั้นว่า..เป็นเรื่องน่าเสียใจรัฐบาลยืนยันจะขอคืนพื้นที่

และสายวันนั้น..ฝ่ายรัฐบาลจึงดำเนินการใช้อาวุธสงครามและรถตีนตะขาบ..บุกข้ามเครื่องกีดขวาง..เปิดฉากสงครามกลางเมืองขึ้นมา..ทว่ามันไม่ใช่สงครามของกลุ่มอาวุธที่เท่าเทียมกัน..มันเป็นสงครามของหนังสติ๊กกับเอ็ม16

เป็นวันของศพกับเปลวไฟ..

เป็นวันเพิ่มผี..ในแต่ละนาทีของความวิปโยค..

หน้าจอโทรทัศน์..ของแต่ละหลังคาพลเมืองไทยในขณะนั้น..สิงสู่อยู่แค่ 2 ความรู้สึก..สะใจ กับ คลั่งแค้น..ไม่มีใครรู้ว่า..ความรู้สึกใดจะมากมายมากน้อยกว่ากัน..

นานมาจนถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า..วันที่ 3 กรกฎาคมที่..จะเป็นวันยืนยัน..ที่สะใจก็ไปเลือกประชาธิปัตย์..ที่คลั่งแค้นวิปโยค..ก็ยกบัตรให้เพื่อไทย

กาให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ถ้าเชื่อว่าเขาถูกใส่ไคล้..ทิ้งบัตรให้เพื่อไทย..ถ้าท่านไม่เชื่อ..

โดย.พญาไม้ทูเดย์.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไม้ตายสุดท้ายประชาธิปัตย์: ปราศรัยใหญ่ 23 มิ.ย. หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์

และแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งถูกพรรคเพื่อไทยทิ้งห่างเรื่อยๆ จากการสำรวจของโพลทุกสำนัก ก็ตัดสินใจใช้ “ไม้ตาย” ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของการเลือกตั้ง
นั่นคือขุดประเด็น “เผาบ้านเผาเมือง” ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ขึ้นมาโจมตีโดยตรง
จริงอยู่ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรค รวมถึง นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค ต่างออกมาเปิดประเด็นเรื่องความขัดแย้งที่ราชประสงค์อยู่เรื่อยๆ แต่นั่นเป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อทั่วไป
แต่คราวนี้ พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจ “ทิ้งบอมบ์” ทางสัญลักษณ์ โดยบุกเข้าไปยังพื้นที่ขัดแย้งโดยตรง (ซึ่งในนัยทางการต่อสู้ ถือเป็นพื้นที่ที่คนเสื้อแดงรู้สึกเป็นเจ้าของ) โดยประกาศปราศรัยใหญ่หาเสียงหน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้

ที่ประชุมพรรคตัดสินใจเลือก “เซ็นทรัลเวิลด์”

บนเว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า การตัดสินใจเลือกเซ็นทรัลเวิลด์เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งตั้งใจเลือกพื้นที่ที่เกิดการชุมนุมและเกิดสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองโดยตรง ส่วนเนื้อหาจะมีทั้งการเล่าเหตุการณ์ที่พี่น้องประชาชนอยากเห็นอยากทราบและนำเสนอเรื่องที่ทางพรรคฯ ต้องการผลักดัน
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการเลือกสี่แยกราชประสงค์เพราะมีความหมายทางการเมือง (ข้อมูลจาก Springnews)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย้ำอีกครั้งก่อนเดินทางลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.เพชรบูรณ์ ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายพรรคจะเน้นการปราศรัยใหญ่ที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครจะพูดถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ผ่านมาและแนวทางการ สร้างความปรองดองในชาติเพราะสี่แยกราชสงค์มีความหมายเสมือนเป็นสัญลักษณ์ทาง การเมืองที่ผ่าน ถือเป็นจุดยุทธรศาสตร์ที่สำคัญในกรุงเทพ และไม่กังวลว่าจะถูกโจมตีว่านำเหตุการณ์ความวุ่นวายมาหาเสียงทางการเมือง เพราะที่ผ่านตนถูกโจมตีทุกเรื่องอยู่แล้ว
หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ รายงานข้อมูลจากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ แกนนำของพรรคไว้ดังนี้
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าววันที่ 18 มิถุนายน ถึงสาเหตุที่เปลี่ยนสถานที่ตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ใน กทม.วันที่ 23 มิถุนายน จากลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม.ไปเป็นสี่แยกราชประสงค์ว่า ทำเรื่องขอใช้ลานข้างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไป เหตุที่ต้องเปลี่ยนที่เพราะคนเสื้อแดงตามก่อกวนการหาเสียงของหัวหน้าปชป.โดย ชูประเด็นเรื่อง 91 ศพ หรือนายกฯมือเปื้อนเลือดตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบ
“การปราศรัยวันดังกล่าวจะพูดถึงความวุ่นวายทางการเมืองตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยจะชี้ให้เห็นว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่คนเสื้อแดงที่ไม่รู้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงทำอะไรบ้างในช่วง ที่เกิดเหตุการณ์ เมื่อได้ฟังข้อมูลแล้วก็อาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น การใช้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์เพราะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง เชื่อว่าจะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด ในวันที่ 3 กรกฎาคม”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการยุทธศาสตร์นโยบายหาเสียงของ ปชป.ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธาน เคยประเมินว่าคนทั่วประเทศโดยเฉพาะคน กทม. ยังไม่ลืมเหตุการณ์เรื่องการเผาเมืองของคนเสื้อแดง หากย้ำจุดนี้บ่อยๆ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนกลางๆ หรือคนที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด หันมากาพรรค ปชป. ให้พลิกกลับมาชนะพรรคเพื่อไทย (พท.) ในช่วงโค้งสุดท้ายได้
ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการการเลือกตั้งเขต กทม. ให้สัมภาษณ์ว่าการปราศรัยจะไม่กระทบกับบรรยากาศการลงทุน เพราะไม่ใช่การชุมนุม (ข้อมูลจาก News 100.5FM)

‘หมอเหวง’ บอกอย่าทำจะดีกว่า

ส่วนปฏิกริยาจากกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นพ. เหวง โตจิราการ แกนนำเสื้อแดงและผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า
อยากเตือนไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะไปเปิดปราศรัยใหญ่ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ว่า อย่าทำจะดีกว่า เพราะอาจทำให้ญาติพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตจากกรณีเหตุรุนแรงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. จำนวน 91 ศพ เกิดความไม่พอใจได้ แต่วามจริงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สามารถที่จะเปิดปราศรัยได้อยู่แล้ว เพราะถือเป็นสิทธิ์ ที่สามารถจะกระทำได้ ทั้งนี้ คนไทยไม่น้อยที่มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ อาจเห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะเหมือนเป็นการไปเหยียบย่ำผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่
หากให้คิดเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ กำลังพยายามเอาฝ่ามือไปปิดฟ้าก็ไม่มิด ไปปิดดวงอาทิตย์ก็ทำไม่ได้ จะเป็นเหมือนกับการตอกย้ำผู้เสียชีวิตหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนสติไปยังนายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ควรที่จะใช้วิธีหาเสียงที่มีความสร้างสรรค์
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ

วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ ปชป. เปลี่ยนกระแสได้หรือไม่?

ในสมรภูมิรบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบ การปราบปรามผู้ก่อการร้าย หรือการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบรัฐสภา วิธีการใช้อาวุธจะเป็นแบบ “จากเบาไปหาหนัก” อย่างเดียวกับที่คนไทยคุ้นเคยตามแถลงการณ์ของ ศอฉ.
“อาวุธเบา” ในที่นี้คือการต่อสู้กันทางนโยบายเชิงบวก แข่งกันว่านโยบายของใครจะถูกใจประชาชนมากกว่ากัน
แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ก็จะเริ่มงัดอาวุธที่หนักขึ้นเรื่อยๆ มาสู้ ซึ่งก็ได้แก่การโจมตีทางการเมืองด้วยวิธีต่างๆ ตั้งแต่เรื่องส่วนตัว วิถีชีวิต คำสัมภาษณ์ในอดีต ฯลฯ
เราเพิ่งเห็น “ภาพหลุด” ของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ กับนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ไปเมื่อไม่กี่วันนี้ ซึ่งก็ถือเป็น “อาวุธหนักขึ้น” ที่ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยงัดขึ้นมาสู้ หลังจากกระแสพรรคเพื่อไทยมาแรงแซงโค้ง
เช่นเดียวกัน ในอดีตเราก็เห็นการใช้ “อาวุธหนัก” อย่างเทปเสียงอภิสิทธิ์สั่งให้ปราบประชาชน (ซึ่งภายหลังยืนยันได้ว่าเป็นเทปตัดต่อ) มาโจมตีฝั่งพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การบุกเข้าไปปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งสูงของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ก็คงเทียบได้กับ “ระเบิดนิวเคลียร์” ลูกมหึมา
ในเชิงกลยุทธแล้วไม่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองในโพลทุกสำนัก และอาวุธอื่นๆ ถูกใช้ไปหมดคลังแล้ว ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระแสยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยลงได้
อยู่เฉยๆ ก็มีแต่แพ้ สู้งัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาสู้ เผื่อจะพลิกกระแสได้ ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า
ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ใช้ไม้ตายพลิกกระแสมาสำเร็จแล้วหลายครั้ง (แน่นอนว่าบางครั้งก็ล้มเหลว) โดยกรณี “คลาสสิก” ที่สุดก็คือวาทกรรม “จำลองพาคนไปตาย” ที่เอาชนะพรรคพลังธรรมได้ในการเลือกตั้งปี 2535 ยุคที่พรรคพลังธรรมขึ้นถึงจุดสูงสุด
ถ้าเป็นคนอื่น การใช้ยุทธวิธีแบบนี้มองได้ว่า “ฆ่าตัวตาย” แต่สำหรับประชาธิปัตย์ที่มีประวัติผลงานเก่าแล้ว ได้แต่บอกว่า “จับตาดู”
หากประชาชนรับฟังเรื่องราววันที่ 23 มิ.ย. และเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์ กระแสก็อาจเปลี่ยน
แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมากลับกัน เราก็คงสรุปบทเรียนได้ว่า “ยุทธวิธีเหมาะสม แต่ยุทธศาสตร์ผิดพลาดตั้งแต่แรก”

ที่มา.Siam Intelligence Unit

สงครามการตลาด-ขายพ่วง แผนชิงเมืองหลวง ปชป.-พท. !!?

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล2554


2นคราประชาธิปไตย กำลังทำหน้าที่อย่างเข้มข้น

พื้นทางการเมืองในชนบท ส่วนใหญ่แบเบอร์ไปแล้ว ตามโผ-ตามผลโพลของแต่ละพรรค

แต่ตัวแปร-ตัวแทน 33 นคราในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ-การเมือง ที่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับทุกพรรคการเมือง ยังไม่ตัดสินใจเกือบร้อยละ 50

แชมป์ภาคอีสาน-เหนือ ยังอยูในมือฝ่ายเพื่อไทย ส่วนภาคใต้-กรุงเทพฯเคยอยู่ในกำมือประชาธิปัตย์

ประชาธิปัตย์-เพื่อไทยเคยผลัดกันแพ้-ผลัดกันชนะคนละสมัย เป็นไปตามกระแสหลัก ที่มีแคมเปญการเมือง-การโฆษณา-มาร์เก็ตติ้งชี้นำในช่วงโค้งสุดท้าย

ขุนพล-ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย จะกางแผนชิงชัยในเมืองหลวงอย่างไร ?

วิชาญ มีนชัยนันท์ และอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีคำตอบ

"พรรคเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ พิสูจน์มาแล้วหลายเรื่อง"

"อภิรักษ์ โกษะโยธิน" หวังใช้กระแสอดีตผู้ว่าฯ-สายตานักการตลาด รั้งแชมป์เก่า ดึงพลังคนรุ่นใหม่ เพื่อปูทางกางแผนที่กลับสู่ "ทำเนียบรัฐบาล" อีกครั้ง

ตั้งเป้า 27 ที่นั่ง ด้วยสูตร 21 + 6

"เราตัดสินใจส่ง ส.ส.เดิม 21 คนป้องกันแชมป์ ส่วนอีก 12 เขตที่เหลือ เราหวังแค่ 6 เขตในพื้นที่เดิม อย่างเช่น นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เขต 7 เคยเป็น ส.ส. อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เขต 15 นางสาวจิตร์ภัส ภิรมย์ภักดี เขต 5 นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เขต 29 พ.ต.อ. น.พ.สามารถ ม่วงศิริ เขต 28"

ส่วนอีก 6 เขตที่เหลือมีการแข่งขันกันสูง ดอนเมือง สายไหม บางเขน หนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี ถือเป็น "พื้นที่ต้องห้าม" ของประชาธิปัตย์ที่ยังไม่เคยครอบครองเก้าอี้ไว้ได้

ทั้งหมดไม่ใช่ข้อมูลขายฝันเกินจริง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ วิเคราะห์ความน่าจะเป็นจากคะแนนนิยมที่สั่งสมไว้ 4 ปัจจัย

1.อาศัยฐานเสียงเดิมพื้นที่เก่า ส่ง ส.ส.หน้าเดิม 21 คน พร้อมกับปักธงชิงชัยผู้สมัครหน้าใหม่ใน 6 เขต

2.อาศัยคะแนนนิยมจากเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ที่พรรคประชาธิปัตย์ครอบครอง 3 สมัยซ้อนตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน

3.อาศัยแรงกระเพื่อมจากการเมืองท้องถิ่น ชี้ให้เห็นกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลข ส.ก.-ส.ข.ของพรรค

4.อาศัยสื่อใหม่ โซเชียลมีเดียของพรรคและสมาชิก ที่ลำพังของหัวหน้าพรรคคนเดียวก็มีผู้ชื่นชอบกว่า 6 แสนราย คาดการณ์ล่วงหน้า ช่องทางนี้จะส่งคะแนนเสียงให้พรรคถึง 1 ล้านเสียง

ชู "มาร์ค" ชิงเสียง First Vote

"หากแบ่งกลุ่มคนเป็นสัดส่วน จะพบว่ากลุ่มเยาวชนวัยรุ่น First Vote ก็พึ่งเปิดเทอม พนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยมีเวลาได้พบปะผู้สมัคร เราเลยต้องมีหน่วยเคลื่อนที่เจาะกลุ่มเป้าหมายให้เชื่อมโยงกับแผนโซเชียลมีเดียที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง"

"การหาเสียงแบบคู่ขนานเช่นนี้ มีผลในเชิงจิตวิทยา เวลาคนไปกาบัตรมีแนวโน้มจะเลือกเบอร์เดียวกันสูง ฉะนั้นการสร้างกระแสให้กลุ่มคนตรงกลางจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้"

"พรรคต้องท่องสุภาษิต ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน วันนี้แต่ละพรรคเกทับนโยบายแข่งกัน แต่เป็นสิ่งที่พูดหาเสียงได้ทำจริงไม่ได้"

"ผมเข้าใจ ว่าทำแบบไหนคนจะรู้สึกโดนใจ แต่เราเลือกที่ทำได้จริง"

เลือกตั้ง=ซื้อรถยนต์ ต้องดูอะไหล่

การเมืองไม่ใช่สินค้า ที่ไม่ถูกใจก็เปลี่ยนยี่ห้อได้ ดังนั้นป้ายเยอะและคำสวยติดหู ไม่อาจจะส่งผลต่อคะแนนนิยม เพราะเลือกตั้งมีผลกับชีวิตจริง

"การเมืองมันเหมือนซื้อรถยนต์สักคัน ต้องดูให้ละเอียดถึงอะไหล่ บริการหลังการขาย มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นมันไม่พอหรอกแค่คำพูดหวือหวา พรรคเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นมาแล้วหลายเรื่อง"

"ดรีมทีมเศรษฐกิจ" อาจสำคัญไม่เท่า "ผู้นำ"

"ปากท้องแม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เชื่อว่าวันนี้ประชาชนอยากเห็นเส้นทางอนาคตของประเทศ อยากเห็นผู้นำที่พาเดินออกจากวิกฤต"

"ผมเชื่อว่าประสบการณ์แรงกดดันทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นรัฐบาล ได้หล่อหลอมให้เกิดผู้นำอย่างคุณอภิสิทธิ์"

"วันนี้แม่ทัพมีเพียงคนเดียวคือคุณอภิสิทธิ์ ท่านจบเศรษฐศาสตร์ มีความสามารถด้านเศรษฐกิจ บัญชีรายชื่อของเรา จะเห็นว่าทุกคนมีประสบการณ์ทาง การเมือง เศรษฐกิจมาเยอะ"

ไม้ตาย คือ "กระแสโค้งสุดท้าย"

"การเมืองมีจุดขึ้น-ลงไม่ต่างจากสินค้า หากทำให้คนนิยมในช่วงท้ายสำเร็จ คะแนนจะดีดตัวพุ่งสูง ซึ่งพรรคมองว่าขณะนี้กำลังโหนกระแสจัดปราศรัยใหญ่ เรียงโซนรายพื้นที่ โดยเฉพาะเขตที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด"

"เรามุ่งหวังจะได้เสียงได้คะแนนมากกว่า 2 อาทิตย์สุดท้ายเป็นช่วงสำคัญ"

"หากเปรียบเทียบในเชิงกีฬา การเลือกตั้งก็เหมือนวิ่งแข่งระยะไกล ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น 100 เมตร เก็บแรง กักกระแสไว้โหมโค้งสุดท้าย ผู้ที่ออกตัวแรงในช่วงต้น อาจตกม้าตายโดนวิ่งแซงตอนจบ"

ไม้ตาย 3 ชุดที่เตรียมปล่อยหลังจากนี้ คือ ชุดที่ 1 ทิ้งทวนเวทีปราศรัยใหญ่ ท้าชนคู่แข่ง ชิงพื้นที่สื่อวันที่ 1 ก.ค. ก่อนการเลือกตั้ง 2 วัน

ชุดที่สอง ขายความซื่อสัตย์ ปูแผนบริหารอนาคตรัฐบาล 4 ปี แจกแจง ผลงาน-งบประมาณ ยืนยันความบริสุทธิ์ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ชุดสุดท้าย ปล่อยของโหนกระแส ขายฝีมือ-ความเป็นผู้นำของว่าที่นายก รัฐมนตรีคนที่ 28

"การเมืองไม่เหมือนการตลาด อย่าหวังใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจอย่างเดียวมาบริหารบ้านเมือง ผู้นำประเทศต้องมีประสบการณ์"

"ยิ่งลักษณ์ขายได้ เราต้องไปพ่วงเขา"

แฟนพันธุ์แท้และกระแส "ยิ่งลักษณ์"

ผมวิเคราะห์เป็น 3 อย่าง คือ อย่างแรก เขตชั้นใน จะเป็นคนกลุ่มนักธุรกิจ มีความรู้อยู่ในระดับกลางถึงระดับสูง คนเหล่านี้จะบริโภคข่าวเป็นตัวหลัก ถ้าชอบก็ชอบเลย ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

ส่วนระดับกลางก็จะมีตั้งแต่คนค้าขาย บ้านอยู่อาศัย แล้วก็ลงไปถึงคนที่เป็นพนักงานบริษัท ในระดับเขตพื้นที่ตรงนี้คนจะมีแนวความคิดชอบศึกษาการเมือง

ส่วนกลุ่มที่ 3 จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ เป็นเขตพื้นที่มีความเหนียวแน่น อย่างฝั่งตะวันออก คราวที่แล้ว เราได้มา 3 คน ถูกตัดสิทธิไป 2 ย้ายหนีไป 1 จากฝั่ง กทม.ในด้านตะวันออกอีก 6 คน ทั้งหมดเป็น 9 แสดงให้เห็นว่า เขตรอบนอกมีการแบ่งด้วยฐานคะแนนความชัดเจนของพรรคการเมืองและตัวบุคคลชัดเลย

"กระแสของการเมืองจะเป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนของพื้นที่ ส่วนของคน ส่วนของความรู้สึก ผมให้ไว้ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกระแสล้วน ๆ ถ้ากระแสดี เหมือนกับอดีตปี"44 เรามี 26 คน จาก 36 เขต ส่วนปี"48 เรามี 32 คน"

"กระแสส่วนหนึ่ง และก็มีอย่างอื่นแทรก ที่จะต้องไปลบจากนี้อีกประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ คือ การทุจริตและ การโกง อันนี้แรงมาก ถ้าจัดตั้งแรง ซื้อเสียงมาก คะแนนก็จะเบี่ยง"

หาแต้มขยัน-ขายพ่วงผู้หญิง

"ผมวิเคราะห์ว่า วันนี้ตัวบุคคลของพรรคการเมืองใกล้เคียงกันหมด ผิดกันเพียงคุณต้องไปเติมคะแนนว่า เป็นคนพื้นที่หรือเปล่า ใกล้ชิดหรือเปล่า เป็น ส.ส.เก่าหรือเปล่า"

ถ้า 3 ส่วนนี้ใกล้ชิด เป็น ส.ส.เก่า ทำงานในพื้นที่ ก็ใส่คะแนนไปได้เลย จาก 100 ก็ได้แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ดูความขยันระหว่างเลือกตั้ง ขยันเดิน ขยันพูด ขยันพบปะ ก็ได้อีก 20 เปอร์เซ็นต์

"คุณยิ่งลักษณ์ขายได้ เราต้องไปพ่วงเขา เขาขายได้ ขายความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นผู้หญิง"

เสียงสำคัญ-เจาะบ้านมีรั้ว

เสียงสะท้อนที่ดีที่สุดคือ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า เพราะเขาจะบอกเลยว่า เอาหรือไม่เอาพรรคไหน จากที่เราไปเดิน แต่กลุ่มคนที่เราไม่สามารถเช็กหรือสำรวจได้ คือกลุ่มคนบ้านมีรั้ว อันนี้สำคัญ

"ตอนนี้ผมมองว่ามันก้ำกึ่งกันทั้ง 33 เขต แต่เขตที่มีคะแนนต่างกันคือ เขตรอบนอกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ถ้าเป็นฐานของใครก็จะมีความชัดเจน แต่ในเขตชั้นกลางกับชั้นในมีความก้ำกึ่งกันระหว่างฐานเสียง ขึ้นอยู่กับว่าไปถึงช่วงกลางและช่วงปลาย จะมีการเปลี่ยนแปลง"

"วันนี้ไปที่ไหนก็บอกว่า อยากเจอคุณยิ่งลักษณ์ ถ้ากระแสของความชื่นชมนิยมคุณยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในระดับนี้ก็จะทำให้คะแนนสูงขึ้นไป โดยเฉพาะเสียงจากผู้หญิง"

นามสกุลดี + กระแส = มีชัย

"ถ้าตัดกระแส ผมยังมองว่า คนที่เป็น ส.ส.เดิมมีผลงานที่ได้เปรียบ ส่วน ผู้สมัครใหม่ ถ้ามีชื่อเสียงและนามสกุลดีพ่วงท้ายก็จะเป็นตัวบวก อย่าง วัน อยู่บำรุง"

"บางคนก็มีพื้นฐานเป็น ส.ก. อย่าง "พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ" เขต 16 กับ "พนิช วิกิตเศรษฐ์" จาก ปชป. เพิ่งจะมาเป็น ส.ส. คู่นี้ก็น่าชม"

คู่ "วัฒนา เซ่งไพเราะ" เพื่อไทย เขต 23 วัฒนา กับ "สุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์" จาก ปชป. นี่ก็น่าชม เพราะทั้งคู่เคยผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

ลีลาวดี วัชโรบล เขต 5 กับ จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทั้ง 2 คนไม่เคยเป็นส.ส. แต่พื้นฐานมีฐานพรรคเหมือนกัน

ลีลาวดีอาจจะได้เปรียบ เพราะเคยลงเลือกตั้งตรงนั้น มากกว่าและนานกว่า ส่วนจิตภัสร์ก็มี ส.ก. ส่วนหนึ่งที่ช่วย

ถ้าคิดเทียบเป็นรายเขตต้องมองความขยันบวกกับกระแส แต่ในที่สุดแล้ว พอตัดกระแสออกก็สูสี

หมวดเจี๊ยบ ร.ท.หญิงสุนิสา เลิศ ภควัต แข่งกับ อรอนงค์ คล้ายนก หมวดเจี๊ยบเองเป็นคนที่พอรู้จัก มีชื่อเสียง เขตพื้นที่ตรงนี้เป็นเขตของอดีต ส.ส.เรา คือ สุธา ชันแสง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นักโทษเรือนจำ นราธิวาส ก่อจลาจลทำร้ายจนท.เจ็บอื้อ..!!?

หัวโจกไม่พอใจถูกค้นเรือนนอนเจอยาเสพย์ติด-มือถือ ปลุกนักโทษฮือขว้างของใส่เจ้าหน้าที่ เจ็บ 25 นาย

ในระหว่างที่นายเดชรัฐ สิมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง จำนวนกว่า 150 นาย ได้ร่วมกับนายสุพจน์ สุวรรณทิตย์ ผบ.เรือนจำนราธิวาส ตรวจค้นเรือนนอนของผู้ต้องขังชาย โดยให้ผู้ต้องขังชายทั้งหมด จำนวน 999 คน มารวมตัวกันอยู่ภายในลานสนามซึ่งอยู่ด้านหลังของที่ทำการ

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นเรือนนอนชายชั้น 1 และชั้น 2 อยู่นั้น เจ้าหน้าที่ได้พบยาบ้า ยาไอซ์ และโทรศัพท์มือถือจำนวนหนึ่งของนักโทษชายซุกซ่อนอยู่ภายในเรือนนอน จึงตรวจยึดเพื่อหาเจ้าของ

ทันใดนั้นได้มีนักโทษชายจำนวน 2 - 3 คน ซึ่งต้องคดีความมั่นคงเกิดความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ ด้วยการตะโกนปลุกระดมนักโทษชาย ให้ลุกฮือต่อต้านและกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่กำลังกระจายกำลังกันตรวจค้น เจ้าหน้าที่ซึ่งมีกำลังน้อยกว่า จึงได้พากันทะยอยออกจากประตูชั้นในภายในเรือนจำ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากการลุกฮือของนักโทษ แต่ประตูซึ่งมีขนาดเล็กและคับแคบทำให้หนีออกไม่ทัน จึงถูกกลุ่มนักโทษที่ไม่พอใจพากันวิ่งไปหยิบก้อนหิน และท่อนไม้ที่ใช้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งท่อเศษเหล็กแป๊ป ขว้างใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังทยอยกันหนีออกทางประตู จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 25 นาย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ที่อาการสาหัส เนื่องจากถูกขว้างศรีษะ ประกอบด้วย 1. พ.ต.ท.ปรีชา กิ่มเกลี้ยง สว.ป.สภ.เมืองนราธิวาส 2. ร.ต.ท.ชาติชาย มูลรักษ์ 3. ด.ต.ปรีชา ทองศรีไหม 4. วีระชัย สุกเพชร 5. ส.ต.ท.รักชาติ กังตะมโณ 6. นัฐพงษ์ แสงแก้ง 7. ส.ต.ท.กุมาล พูลเอียด 8. ส.ต.ท.ระพีภาษ ทวีสิน 9. ส.ต.ท.สัญฑัต หนูนัง 10. อส.รอมือลี สาลี 11. อส.อำรัน อะนีมามอ

ส่วนอีก 14 นาย ยังไม่ทราบรายชื่อ ถูกสิ่งของขว้างโดนตามร่างกายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ต่อมา นายธนน เวชกรกานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พล.ต.ต.ยงยุทธ เจริญวานิช รอง ผบ.ศชต.นายสุพจน์สุววรณทิตย์ ผบ.เรือนจำนราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันวางแผนปรึกษาหารือ เพื่อที่จะเข้าทำการระงับเหตุ โดยผู้ว่าฯได้ใช้โทรโข่งประกาศเจรจากับนักโทษที่ชั้น 2 ของที่ทำการเรือนจำเป็นระยะๆ เพื่อให้นักโทษที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แยกตัวเข้าไปอยู่ภายในเรือนนอน แต่การเจรจาไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานขอกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนกำลัง เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*****************************************

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ท้าพิสูจน์ โพลทักษิณ รักษาแชมป์ สมัยที่ 4 ชัยชนะอันตราย-แลนด์สไลด์สมัยที่ 2 !!?

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล 54

ต้นตำรับ-เจ้าสำนักด้านการสำรวจความนิยมทางการเมือง ปรากฏตัวเด่นชัดในยุค "ไทยรักไทย"

ยุคที่ "อัศวินคลื่นลูกที่สาม" พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กระโดดเข้าสวมบทหัวหน้าพรรคการเมือง

ทั้งองคาพยพของไทยรักไทย ครบเครื่องทั้งขุนพลคนเดือนตุลา-กองกำลังตึกชิน และนักการเมืองระดับพระกาฬ

พัฒนาต่อยอดกับเทคโนโลยีของกลุ่มชินคอร์ป ในการใช้เครื่องมือไอทีปรับใช้กับกลเกมการเมืองอย่างลงตัว

พัฒนาขั้นสูงสุด ด้วยการใช้ทีมนักสถิติอิมพอร์ตจากต่างประเทศ เข้าทำ การสำรวจทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

รวมตัวกับนักการเมืองลงพื้นที่สำรวจผ่านวิธีการ ใช้ตัวแทน-กลุ่มตัวอย่างแบบโฟกัสกรุ๊ป และกลุ่มตัวอย่างแบบสโนว์บอล

การเช็กเป้าหมาย-คะแนนนิยม สำรวจความพึงพอใจต่อนโยบาย และผลคะแนนล่วงหน้า ส่วนใหญ่จึงมีความแม่นยำ อยู่ในระดับ "น่าเชื่อถือ" ชวนให้ฝ่ายตรงข้ามระทึกขวัญ

ดังนั้นข้อมูล "ไฟลิ่ง โพล" ผลสำรวจความนิยมของประชาชนระดับ "เอ็กซ์คลูซีฟ" จึงเป็นเอกสารชิ้นแรกที่อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี "น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" ต้องฝ่าดงรถถัง เข้าไปเก็บออกจากตึกไทยคู่ฟ้า คืนวันรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ระดับความแม่นยำของ "ทักษิณโพล" มาจากการสังเคราะห์ ผลสำรวจจากสำนักโพลค่ายสหรัฐอเมริกา"แกลล็อบโพล"

ผลงานในช่วงไทยรักไทยลงสนามแข่งครั้งแรก การเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 คราวนั้นชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณโด่งดัง เรตติ้งสูงสุด ผลสำรวจระบุล่วงหน้าตั้งแต่โค้งแรก จนถึงโค้งสุดท้ายระบุว่า ไทยรักไทยจะได้ที่นั่ง 249 คน จาก 500 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร

ก่อนการเลือกตั้งในช่วง 7-10 วันสุดท้าย ใน พ.ศ.นั้น "พ.ต.ท.ทักษิณ" สร้างขวัญและกำลังใจให้ลูกพรรคทราบโดยทั่วกันว่า ไทยรักไทยเช็กเสียงโพลครั้งสุดท้าย ได้ไม่ต่ำกว่า 249 เสียง

แต่สมัยนั้นเป็นสมัยแรกที่ใช้ "ผลโพล" เป็นเครื่องมือ สร้างแคมเปญหาเสียง ดังนั้นแกนนำพรรคหลายคนไม่คิดเชื่อ

จนถึงวันลงคะแนน 6 มกราคม 2544 ผลการเลือกตั้งปรากฏพรรคไทยรักไทย ได้ ส.ส. 248 คน ต่ำกว่าผลโพล 1 เสียง

ระดับความแม่นยำของผลโพล ถูกนำมาต่อยอดในการเลือกตั้งสมัยที่สอง 2548

ในยุคไทยรักไทยสมัยรักษาแชมป์ มี "ปองพล อดิเรกสาร" เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง

มีตัวช่วย ตัวสำคัญชื่อ "ภูมิธรรม เวชยชัย" เป็นทีมงานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ด้วยการทำโพลทุกพื้นที่ ที่ผลคะแนนอยู่ในระดับก้ำกึ่ง

ปลายทางก่อนการลงคะแนนไม่กี่วัน "โพลทักษิณ" เปิดตัวเลขที่ ส.ส. 370 เสียง

แต่เป็นตัวเลขที่เหนือความคาดหมายแกนนำทุกคนในพรรค

ในช่วงนั้น กระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรี ดับเบิลแชมป์ แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้

แต่ผลการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 ตัวเลขออกมาที่ 377 เสียง

พรรคไทยรักไทย และ "พ.ต.ท. ทักษิณ" ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์-ถล่มทลาย ได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ยุคการเมืองประชาธิปไตยในรอบ 60 ปี

ในระหว่างเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ท่ามกลางการถล่มของ "ม็อบพันธมิตรฯ" ตลอดทั้งปี แต่ไทยรักไทยยังใช้ "ผลโพล" เป็นเครื่องมือ-เข็มทิศ ในการพัฒนานโยบายอย่างต่อเนื่อง

ผลสำรวจความนิยมที่แสดงให้เห็นว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ" นับวันจะทรงอิทธิพล-เพิ่มบารมี กลายเป็นหอกที่แหลมคม ที่หันกลับมาทิ่มแทง-ผลักดัน "พ.ต.ท. ทักษิณและไทยรักไทย" จนพ้นกระดานการเมือง

ในคืนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 "ไฟลิ่ง โพล" จึงถูกทำลายทิ้ง ก่อนที่คณะรัฐประหารจะค้นพบ "สมมติฐาน" และผลสำรวจ ที่มีระดับความแม่นยำ-น่าสยองขวัญ กับผู้ที่มีอำนาจนอกรัฐบาล

ส่งผลต่อการเลือกตั้งในสมัยพลังประชาชน ซึ่งจุติและเกิดใหม่หลังไทยรักไทย ตายจากพื้นที่ทางการเมือง-ตารางลงคะแนน

ยุคพลังประชาชน มี สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค

ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 หลังพ้นกระแสโหวตโน-รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 พลังประชาชนและกองกำลังเสื้อแดงยุคที่ 1 เต็มพื้นที่อีสาน-เหนือ รวมกับกองกำลัง "เพื่อนเนวิน"

คราวนั้น พลังประชาชนรับรู้ผล "โพลทักษิณ" ว่า ความน่าจะเป็นอยู่ในระดับ 240 เสียง ใกล้เคียงกับยุค ไทยรักไทยสมัยแรกลงสนาม

ผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ทำให้ฝ่าย "ทักษิณ" ชนะซ้ำเป็นครั้งที่ 3 ได้ ส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร 233 เสียง ชนะประชาธิปัตย์ที่ทำคะแนนได้ 165 เสียง

ได้นายกรัฐมนตรี 2 คน คือ สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์

ในการเลือกตั้งยุค พ.ศ. 2554 ถือเป็นยุคที่แข่งขันเข้มข้นถึงขีดสุด

เพื่อไทย-ที่เกิดใหม่ หลังพลังประชาชนตายจากพื้นที่กากบาทในคดียุบพรรค ชู "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ หมายเลข 1 หวังชิงแชมป์สมัยที่ 4

ในโค้งแรก "โพลทักษิณ" ประกาศตัวเลขเอาฤกษ์ ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 200 เสียง

โค้งที่สอง คนใกล้ชิดทักษิณ ประกาศตัวเลข 250 เสียง

และโค้งสุดท้าย "โพลทักษิณ" ประกาศข้ามน้ำ-ข้ามทะเลทรายจากดูไบ ให้ตัวเลข 270 เสียง และอาจทะลุไปถึง 300 เสียง อีกครั้ง

ประกอบกับผลของ "กรุงเทพโพล" ที่โหวตให้ "ยิ่งลักษณ์" มีสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มากกว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

แม้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่มีผลในดัชนีความเชื่อทางการเมือง

ผลการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 จะพิสูจน์ "ทักษิณโพล" อีกครั้ง

แชมป์เลือกตั้งสมัยที่ 4 อาจอยู่ไม่ห่างจากมือ "ทักษิณ" แต่จะส่งผลให้ได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 28 หรือไม่ ยังต้องลุ้นอีกหลายโค้งกว่าจะถึงเส้นชัย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เจาะ...ยุทธศาสตร์การเมือง เลือกตั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้

เรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน จะเป็นรัฐบาลชุดไหน เพราะเป็นปัญหาที่อยู่คู่ประเทศไทยมายาวนานเหลือเกิน ทุกคนก็ได้แต่ตั้งตารอว่า ใครจะมาเป็นผู้พิชิตปัญหานี้ให้หมดสิ้นไปเสียที

วันนี้ปี่กลองการเมืองเชิดกันอีนุงตุงนัง ทุกพรรคการเมืองเดินสายหาเสียง เพื่อหวังพาตัวเองให้เป็นรัฐบาล มีอำนาจบริหารประเทศ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่จะนำไปขาย นำไปหาเสียงกับประชาชนคือ “นโยบาย” เรื่องการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ย่อมต้องถูกบรรจุอยู่ในนโยบายของพรรคการเมืองใหญ่ๆ และพรรคการเมืองที่คาดหวังจะได้ส.ส.ในพื้นที่เหล่านี้

ชาวบ้าน ประชาชนในพื้นที่ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกัน สิ่งที่ต้องการมากที่สุด สิ่งที่อยากได้เป็นของขวัญในทุกโอกาสสำคัญ คือความสงบสุขของประชาชนชาว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ฉะนั้น เมื่อถึงเทศกาลเลือกตั้งก็ต้องสอดส่ายสายตาไปดูพรรคการเมืองใดบ้างที่มีนโยบายที่น่าจะจัดการหรือ บรรเทาปัญหาให้พวกเขาได้ และทำได้จริง

พรรคประชาธิปัตย์ที่มีส.ส.เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมอยู่เต็มพรืด ก็หาเสียงด้วยการขันอาสาเข้ามาสานต่อนโยบายที่ทำไว้เดิม ซึ่งคิดว่าดีอยู่แล้ว เช่น การจัดตั้งศอ.บต. รวมทั้งการมอบงบประมาณให้ไปบริหารจัดการอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช้ความเป็นส.ส.เดิม เป็นฐานหาคะแนนที่ยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้นยังเสนอให้ส.ส.ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดด้วย

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะชื่นชอบและไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อมากน้อยแค่ไหน เพราะสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้น ไม่แตกต่างจากรัฐบาลไหนๆ สักเท่าไหร่ สมัยพรรคไทยรักไทยเกิดความรุนแรงอย่างไร วันนี้ก็ยังคงซ้ำรอยแบบเดิมๆ

การแก้ปัญหาโดยรวมก็ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี น้อยเกินไป ไม่เคยเห็นภาพการลงพื้นที่ระหว่างที่เป็นรัฐบาลอย่างจริงจัง จริงใจ ที่เห็นก็มีเพียงการส่งกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเข้าไป

โดยเน้นปริมาณเข้าว่า แต่คุณภาพไม่ถึง รวมทั้งอัดงบประมาณลงไป

แต่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเพียงพอ เหตุการณ์ลอบทำร้าย ลอบสังหาร ลอบวางระเบิด ยังมีให้เห็นจนชินตาไม่ต่างจากอดีต

สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่ได้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว นช.พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯผู้หลบหนีคดี ณ ต่างแดน และเคยเป็นคนโหมไฟใต้ให้กระพือหนัก ด้วยวาทะที่แข็งกร้าว “โจรกระจอก” มาถือธงนำ ขออาสาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ใช้ความอ่อนน้อมสร้างความปรองดอง ก็จับยัดนโยบายแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไว้ในแคมเปญเช่นเดียวกัน

หลักใหญ่คือจะทำพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ปกครองพิเศษเหมือนกรุงเทพมหานคร และ พัทยา บริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขณะเดียวกันก็จะทำให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีเงินสะพัดในพื้นที่ภาคใต้ สำคัญคือจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อให้พี่น้องชาวมุสลิมได้ไปประกอบพิธีฮัจจ์ เพิ่มจากเดิม 12,000 คน เป็น 20,000 คน ดูและจัดการเรื่องที่พักยามเดินทางไปอย่างดี นอกจากนั้นจะบริหารจัดการให้พื้นที่ 3 จังหวัดเป็นศูนย์การผลิตอาหารฮาลาลส่งออกทั่วโลก

แต่ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทย ที่ตัดต่อพันธุกรรมมาจากพรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย จะไม่เคยได้รับความเชื่อมั่นจากชาวบ้านในพื้นที่สักเท่าไรนัก การได้ส.ส.ในพื้นที่เหล่านี้ในอดีตก็ล้วนเป็นเพราะความแข็งแกร่งของฐานเสียงเฉพาะตัวของส.ส.เท่านั้น

ดังนั้นจึงต้องจับตาดูว่าการนำเสนอนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่วันนี้ไม่มีผู้สมัครที่เป็นส.ส.เดิม จะมีก็เพียงแต่นายซูการ์โน มะทา อดีตส.ส.ยะลา จะสามารถทะลวงแทรกเข้าไปยึดพื้นที่ได้มากน้อยแค่ไหน นโยบายที่นำเสนอมาจะทำให้ชาวบ้านสัมผัสจับต้องได้ หรือเป็นเพียงการขายฝัน 3 ก.ค.จะได้รับคำตอบ

นักวิชาการในพื้นที่บางท่านบอกไว้ว่า นโยบายพรรคการเมืองไหนตรงใจชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้จับสัญญาณจากผลคะแนนส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในพื้นที่ เพราะส่วนใหญ่คนจะเน้นเลือกตัวบุคคลก่อนเรื่องอื่นๆ ถ้าผลคะแนนของพรรคเพื่อไทยแปรผกผันมีนัยยะเชิงบวกแสดงว่าประสบความสำเร็จ และจะต้องเดินหน้าทำนโยบายที่ประกาศไว้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยคาดหวังกับพื้นที่เหล่านี้ไม่น้อย ล่าสุดน.ส.ยิ่งลักษณ์ โชว์ภาพความเป็นหญิงแกร่ง ลงลุยพื้นที่ด้วยตัวเอง ทำให้นายอภิสิทธิ์และมวลหมู่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์สะอึกแบบคาดไม่ถึงไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆ จะกล้าลุย กล้าชนถึงเพียงนี้

แต่แน่นอนว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้พรรคเพื่อไทยก็ต้องบริหารจัดการเตรียมการล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี อาศัยช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะ เช็คสถานการณ์ประเมินแล้วว่าไม่มีความรุนแรงแน่นอน และยังต้องเดินทางไปแบบค่อนข้างกะทันหัน ไม่ให้เอิกเกริกจนเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัย

เมื่อลงไปแล้วเสียงสะท้อนที่กลับมาล้วนเป็นเชิงบวกทั้งสิ้น “ยิ่งลักษณ์” อาสาเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ ไม่เลือกว่าเป็นพื้นที่ตัวเอง หรือคู่แข่ง พื้นที่อันตรายยังกล้าไปเหยียบ โกยแต้ม โกยคะแนนไปไม่น้อย สมมติฐานเป้าหมายเบื้องต้นที่จะรักษา 1 เก้าอี้เดิมไว้ หวังเพียงบวกคะแนนปาร์ตี้ลิสต์นั้น หากกระแสตอบรับดีอาจหวังถึงเก้าอี้ส.ส.ที่จะเพิ่มเติมเข้ามาเป็นโบนัสพิเศษเลยก็ได้

อย่างไรก็ดี พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญนี้พรรคเพื่อไทยจะได้หรือจะเสีย ส่วนหนึ่งถึงส่วนใหญ่คือการบงการเกมของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตขุนพลใหญ่ภาคใต้ของพรรคไทยรักไทย คนใหญ่คนโตของชาวมุสลิม ว่าจะใส่เต็มที่ บี้เต็มร้อยให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่

หาก “วันนอร์” เหยียบเรือสองแคม หรือเทกำลังไปให้พรรคมาตุภูมิของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตผบ.ทบ.ผู้ปฏิวัติรัฐประหารกำราบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่วันนี้ขายนโยบายแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นนโยบายหลักของพรรค มากกว่าแล้ว พรรคเพื่อไทยคงตกที่นั่งลำบาก เพราะตัวผู้สมัครที่ดูจะมีภาษีกว่า พอฟัดพอเหวี่ยงกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ล้วนอยู่ที่พรรคมาตุภูมิ

ที่มา.thairecent
+++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพชรน้ำเอก !!?

มาแรงเสียงดีท่วมท้น สำหรับ “เจมส์” อนุชา บูรพชัยศรี ผู้สมัคร เขต ๔ กทม. “คลองเตย –วัฒนา” พรรคประชาธิปัตย์ มีเสียงขานรับดียิ่ง จากพ่อยกแม่ยก และวัยรุ่นวัยใสวัย๑๘วัย๒๐ผู้เป็นเด็ก
เป็นปลื้มกับ “ว่าที่ สส.อนุชา” ที่เข้าตามตรอกออกตามประตู ดูแลชาวบ้านอย่างเป็นมิตร
ดีกรีเป็นนักเรียนนอก จบตรีเกียรตินิยมวิศวกรรมเครื่องกล จากออสเตรเลีย จบโทดีเด่นวิทยาศาสตร์พลังงานและการเผาไหม้ จากมหาวิทยาลัยลีดส์ อังกฤษ
เป็นนักการเมืองน้ำดีอนาคตไกลถึง “รัฐมนตรี” ไอเดียความคิดแจ่มแจ๋วเลิศหรู เน้นนโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ดับเบิ้ลรวยสุด ๆ ..ทั้งย้ำ ปัญหาของชาติที่ยุ่งเป็นยุงตีกัน ต้องหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่ม ชาติจึงสงบ!!
“น้องเจมส์”เป็นนักการเมืองมือทอง...ที่คิดแก้ปัญหาให้กับพี่น้อง?..แบบคนมีกึ๋นมีสมองครบ??

---------------------

“เดินสาย” ทะลุปรุโปร่ง ทุกที่!!!
“พรรคร่วมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ระดับคีย์แมนจับมือกันแน่น ด้วยดี???
เข้าถึงที่ไหน นโยบายโดนใจประชาชน...เพราะ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงษ์ชนะ-ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง-กรพจน์ อัศวินวิจิตร” ทุ่มนโยบายถูกใจคนทั้งเมือง
ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล ราคาน้ำมันลงมา สร้างคนในชาติให้เป็นนักกีฬา ที่ฟูเฟื่อง
นโยบายที่จัดหนัก ให้คนอยู่ดีกินดี จึงกระแทกหัวใจพ่อแม่พี่น้องประชาชน ไปหาเสียงที่ไหนคะแนนจึงขึ้นลิบ..ลิบ!!!
มองเป้า ของ ผู้แทนพรรคนี้....ได้สส.เข้าสภาฯไม่น้อยจ๊ะพี่..ดีไม่ดีไม่ต่ำกว่าสี่สิบ??

-------------------------

เพื่อนคู่คิด..มิตรถูกคอ!!
“เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล ยามนี้ตัวติดกัน อยู่ต่างประเทศ กับ “ทักษิณ ชินวัตร” นายห้างดูใบ ตราใบห่อ??
ร่วมกันปั่นความคิดชั้นดี จน “พรรคเพื่อไทย” และ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปได้อย่างสดสวย
ด้านธุรกิจ ของ “เสี่ยเพ้ง” ที่สร้างคอนโดฯแถวรัชดา ๒๐ กว่าไร่ ก็เดินหน้าดีด้วย
ลงทุนสร้างคอนโดฯระดับ ๕ ดาว ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ประชาชนที่รักและมิตรสหาย ต่างจองพึ่บเดียว หมดแล้ว เสร็จสรรพ!!!
เพราะ “เสี่ยเพ้ง” เป็นคนจริงใจ..พอทำคอนโดฯขาย...จึงขายได้อย่างเทน้ำเทท่า ไงล่ะครับ

-------------------------

อย่า “หลงกระแส”!!
ความนิยม ศรัทธา ในตัว “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ “พรรคเพื่อไทย” นั้นเป็นของแท้
ที่แน่ ๆ “น้องปู” ขี่ม้าขาว มาอย่าง ถูกทางกันแล้วล่ะ
ที่อยากเบรก..เหยียบเบรกให้หัวทิ่ม ก้อ,นักการเมืองเก่าเก๋าลายคราม ที่โหนกระแส อาจทำให้คะแนนดี ๆ หล่นตุ๊บ หายไปได้นะจ๊ะ!!
ปล่อยให้ “น้องปู” ซึ่งเป็นที่รักของประชาชน เดินหน้าหาเสียงอย่างเอกเทศ ทุกอย่างจะติดลมบน!!
“น้องปู”เป็นสินค้าห้าง..ฉะนั้นใครอย่าได้ทำให้พัง?..ถ้าบางคนยับยั้งปากมั่ง จะดีเหลือล้น

--------------------------

มังกรย่อมเป็นมังกร!!
อ่านเกมขาด ในฐานะที่ “ท่านบรรหาร ศิลปอาชา” อาบน้ำร้อนมาก่อน??
ยัดชื่อ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” ผู้มีหัวใจและกายติดกันกับ “ชาละวันพิจิตร” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์๕ พรรคชาติไทยพัฒนา
อยู่ในเขตเอนโซนแดนอันตราย? “เสี่ยอ๊อด” จึงลุยหาเสียงหนัก ไงล่ะจ้า
หากนิ่งนอนใจ ทำใจเย็น “เสี่ยประดิษฐ์” จะร่วงผล็อย ตกจากเก้าอี้ผู้แทน ไม่ได้เป็นปาร์ตี้ลิสต์ได้!!
“บรรหาร” นั้นสุดเขี้ยว...แม้แต่คนพรรคเดียว?..ยังเจอลูกเขี้ยวให้เสียวเลยล่ะเจ้านาย??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เจ้าสัว-ขุนทหาร เล็กเชอร์ประเทศไทย ก้าวข้ามความขัดแย้งเดินหน้าผลิตอาหาร-เกษตร !!?

คอลัมน์ โรดแมปประเทศไทย


นับถอยหลังไม่ถึง 19 วัน จะเป็นวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง นอกจากพรรคการเมืองจะหาเสียงกันอย่างคึกคักแล้ว ช่วงเวลานี้ยังมีข้อเสนอเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยฝากถึงรัฐบาลใหม่และสังคมไทยจากหลายเวที ล่าสุด "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) "พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา" อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โคจรมาพบกันบนเวทีเดียวกัน ในงานสัมมนา Thailand Lecture WISDOM for change" ครั้งที่ 3 จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา มีเนื้อหาน่าสนใจหลายประเด็น

ธนินท์ เจียรวนนท์ เปิดมุมมองเรื่อง "บริบทใหม่ทางธุรกิจการค้า" ว่า ตั้งแต่ทำธุรกิจมา 47 ปี วันนี้เมืองไทยอยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีมากเป็นประวัติศาสตร์ มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเหลือถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลไทยกลัวปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ไม่กล้าใช้เงิน ทั้งที่จริงควรนำเงินก้อนนี้มาลงทุนในด้านต่างๆ

"เกษตรกรที่รวยที่สุดในโลกวันนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น พวกเขานอนโรงแรม 5 ดาว ไปเที่ยวทั่วโลกเกษตรกรไต้หวันใช้เวลา 20 ปีก็ได้ไปเที่ยวทั่วโลก แต่เมืองไทยใช้เวลา 200-300 ปีเกษตรกรมีแต่หนี้ถามว่า เกษตรกรไทยขี้เกียจหรือผมยืนยันว่า ไม่ใช่ แต่ต้องมีผู้นำ นำไปในทางที่ถูกต้อง"

นอกจากนี้ควรพัฒนาธุรกิจที่มีศักยภาพคือ ลงทุนด้านการท่องเที่ยว ด้วยการไปศึกษาวิจัยประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อดึงนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง เช่น ดึงคนรวยชาวจีน อินเดีย หรือ รัสเซีย สัก 10 % มาเที่ยวประเทศไทยก็จะสามารถฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวได้อย่างมาก ส่งผลให้ใเกิดการสร้างงานและธุรกิจได้อีกมหาศาล

"การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีปล่องไฟ ไม่ทำให้ สิ่งแวดล้อมเสียหาย ต่อไปในอนาคตประชากรจีนจะมีมากถึง 1,300 ล้านคน อินเดียมี 1,000 กว่าล้านคน ฉะนั้นต้องไปดึงคนรวยจากประเทศเหล่านี้ 10 % มาเที่ยวเมืองไทย ลองคิดดูอะไรจะเกิดขึ้น เราจะร่ำรวยกันใหญ่ แต่รัฐบาลต้องบริหารจัดการเป็น ซึ่งหน้าที่นี้ต้องเป็นหน้าที่รัฐบาล ต่อไปนักท่องเที่ยวจากจีนต้องมหาศาล ถ้าหากเจาะจง มีงบประมาณ

มีเป้าหมาย มีงบฯส่งเสริมนักธุรกิจ แต่การเมืองต้องนิ่งก่อน ไม่ใช่เดินขบวนอยู่ร่ำไป คนรวยก็ไม่กล้ามาประเทศไทย ฉะนั้น ผู้นำประเทศทำอะไรต้องมีเป้าหมาย มีตัวเลข ต้องศึกษาว่า ลูกค้าต้องการอะไร ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อม"

เจ้าสัวธนินท์ กล่าวว่า นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว สินค้าเกษตรของไทยมีศักยภาพอย่างมากสามารถส่งออกอันดับหนึ่งของโลกได้ ทั้งปาล์ม ยางพารา มัน อ้อย ข้าว กุ้ง

แต่ต้องยกราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นเป็นทรัพย์สินที่มีค่า เพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยี ขณะที่รัฐบาลควรหาทางสร้าง

รายได้ให้เกษตรกรตามทฤษฎี 2 สูง รวมทั้งการสนับสนุนศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี รัฐบาลต้องสร้างคนเพื่อมา สร้างเทคโนโลยี จึงอยากฝากให้สถาบันการศึกษาผลิตบัณฑิตออกมาให้ตรงกับตลาดแรงงาน

"ผมอยากฝากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ สินค้าเกษตรของเราเป็นน้ำมันบนดิน เราต้องยกราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นเป็นทรัพย์สินที่มีค่าและใช้ไม่หมดอีกด้วย วันนี้เรามีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับไป กดทรัพย์สินให้ต่ำ ทำให้เรายากจน ถ้าทำได้ ผมเรียนว่า ประเทศไทยมีความหวังแน่นอน"

อย่างไรก็ตาม ท่านประธานซีพี เห็นว่า อุปสรรคของเศรษฐกิจไทยวันนี้คือ ปัญหาการเมืองมีปัญหาเรื่องสี หากการเมืองนิ่งกว่านี้ เมืองไทยจะดีกว่าปัจจุบันนี้ไม่รู้กี่เท่า นักธุรกิจจีนและฮ่องกงพูดถึงประเทศไทย ว่าการเมืองและเศรษฐกิจไม่ผูกพันกัน ถ้ามีความสมานฉันท์ เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นไม่รู้กี่สิบเท่า

ด้าน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปาฐกถาหัวข้อ "นโยบายเศรษฐกิจ เข็มทิศประเทศไทย" ว่า ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยหลายปีที่ผ่านมาก็คือ ไม่มีทิศทางและยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน เนื่องจากการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้การพัฒนาประเทศไทยหยุดชะงักมาเป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว ดังนั้นอยากเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศที่แท้จริง

อย่างไรก็ตามนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองวันนี้ ยังขาดจุดยืนและเป็นไปในลักษณะการเอาใจประชาชนมากกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ต้องรู้ว่าประเทศจะต้องเดินไป

ทางไหน ไม่ใช่จัดการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล ควรเป็นการเลือกตั้งที่มีนโยบายที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน

ดร.สมคิด กล่าวว่า ปัจจุบันราคาอาหารและพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลใหม่จึงควรกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนเพราะ เป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่วิธีการ ทำงานที่ผ่านมาใช้ไม่ได้ผลมีเพียงการกำหนดการประกัน รายได้หรือรับจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งไม่เพียงพอ สิ่งที่ควรจะเป็นคือนโยบายที่ศึกษาเจาะลึกไปถึงการผลิต การตลาด และ การนำเทคโนโลยีมาเพิ่มศักยภาพผลผลิต

นอกจากนี้พรรคการเมืองควรให้ความสำคัญกับนโยบาย ส่งเสริมด้านอาหารและพลังงานที่ในอนาคตจะมีความสำคัญทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาบุคคลากรและเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน"

"รัฐบาลใหม่ต้องกล้าตัดสินใจเรื่องใหม่ ๆ เพราะประเทศไทยต้องการจุดยืนที่ชัดเจนในการก้าวไปในอนาคต"

ขณะที่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา บรรยายเรื่อง "ความมั่นคงของประเทศไทย" ว่า ความมั่นคงของประเทศไทย ไม่ได้หมายถึงความมั่นคงด้านการทหารอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ส่วนสำคัญที่จะทำให้ประเทศมั่นคงคือ ความมั่นคงทางการเมือง ประเทศใดที่มีเสถียรภาพการเมืองจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพที่ดี

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เมืองไทยมีระบบการเมืองไทยที่ดีเพราะเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยืนยันว่า สถาบันกษัตริย์ ดูแลประชาชน ไม่คิดเป็นพวกใด สีใด และมีความเสมอภาคกัน แต่หลายส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองไม่อยู่ในที่ทางที่จะทำให้การเมืองมั่นคง ฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ อยากให้ประชาชนเลือกพรรคไหนก็ได้ แต่ต้องติดตามว่าสามารถทำได้อย่างที่หาเสียงหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลือกกลับเข้ามาอีก ส่วนปัญหาการคอร์รัปชั่นควรมีบทลงโทษให้หนัก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////
 

กนก รัตน์วงศ์สกุล เผยธาตุแท้ เขียนลง FB. อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย !!?

นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรข่าวเครือเนชั่น ได้โพสต์เผยแพร่บันทึกบนแฟนเพจ Kanok Ratwongsakul ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ซึ่งตั้งชื่อหัวข้อว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย” โดยกล่าวเปรียบเทียบการที่เขาไม่สามารถเข้าสู่ระบบในเฟซบุ๊กของเขา ก่อนที่จะมีผู้ช่วยเหลือทำให้สามารถกลับมาเล่นใหม่ได้ ว่า ยังไม่เท่ากับบ้านเมืองถูกยึด ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคการเมืองในการควบคุมของระบอบทักษิณ

นายกนก ระบุว่า บ้านตนหรือบ้านคุณหากถูกยึด ก็เดือดร้อนมากแล้ว แต่ยังไม่เท่าบ้านเมืองของเรา ถูกยึด สงกรานต์ปี 2552 มีคนทำลายการประชุมอาเซียน แขกเหรื่อผู้นำระดับประเทศ ต้องรีบเผ่นหนีแทบไม่ทัน ผู้บริหารประเทศเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็แทบเอาตัวไม่รอด นายกฯ กับรองนายกฯ คุมความมั่นคง ถูกไล่ทุบรถอย่างถ่อยเถื่อน เลขานายกฯ ถูกทุบ และลากตัวออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า คนชาติเดียวกันจะทำได้ หลังจากนั้น แกนนำหลายคนไม่ถูกคุมตัว บ้างมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง บ้างได้รับการประกันตัว สงกรานต์ปี 2553 คนหน้าเดิมหวนกลับมาก่อเหตุซ้ำที่รุนแรงกว่าปี 52 อย่างไม่น่าเชื่อ

“เขาเกณฑ์คนต่างจังหวัด อ้างว่า มาเรียกร้องประชาธิปไตย อ้างว่า ต่อสู้เผด็จการ ทั้งที่หลังเผด็จการ ปี 49 มีนายกฯ เป็นคนของเขาถึง 2 คน พวกเขาทำไมไม่รู้สึกว่าต้องเรียกร้องประชาธิปไตย ทำไมไม่ออกมาต่อสู้กับทหาร หรืออำมาตย์ พอคนที่ 3 ขึ้นมาเป็นนายกฯ จาก ส.ส.ชุดเดียวกันโหวตในสภาแท้ๆ พวกนี้ไม่ยอมรับ ต่อสู้ตามระบอบแพ้ในสภาแล้ว จึงออกมายึดถนน ยึดสี่แยก” นายกนก ระบุ

พิธีกรข่าวเครือเนชั่น ยังระบุอีกว่า ยังมีการโจมตีองคมนตรี มีบางคนจาบจ้วงสถาบันบนเวทีชุมนุม ประจวบเหมาะกับมีเว็บไซต์ลบหลู่สถาบันมากมาย มีใบปลิวอ่านผวนคำกลับมาก็เห็นชัดเจนว่า ด่าทอสถาบันรุนแรง ชายชุดดำฆ่าทหาร ลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 ฆ่าตำรวจ ประชาชน ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ส่วนแกนนำราว 20 คน ที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง กำลังจะได้เป็น ส.ส.นอกจากนี้ประเทศไทยก็กำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น

“พวกเราจะไม่ช่วย พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทยแล้วหรือ” พิธีกรชื่อดังระบุในตอนท้าย
สำหรับรายละเอียดของบันทึกดังกล่าวฉบับเต็มมีดังนี้

“อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”
by Kanok Ratwongsakul on Sunday, 12 June 2011 at 12:26


กลับมาแล้วพี่น้อง กลับเข้าบ้านตัวเองได้แล้วครับ ไม่ใช่ทำกุญแจหาย แต่ถูกผู้ไม่หวังดียึดกุญแจไป ดีที่มีแขกรับเชิญที่ช่อง 9 เขาช่วยกู้คืนมาได้ ผมขอบคุณมากครับ (เขาไม่ประสงค์ออกนาม) จะไปเปิดเพจใหม่ก็เสียดายข้อมูลที่เพจนี้

บ้านผมหรือบ้านคุณหากถูกยึด ก็เดือดร้อนมากแล้ว แต่ยังไม่เท่า “บ้านเมืองของเรา” ถูกยึด! สงกรานต์ปี 2552 มีคนทำลายการประชุมอาเซียน แขกเหรื่อผู้นำระดับประเทศ ต้องรีบเผ่นหนีแทบไม่ทัน ผู้บริหารประเทศเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็แทบเอาตัวไม่รอด นายกฯ กับรองนายกคุมความมั่นคง..ถูกไล่ทุบรถอย่างถ่อยเถื่อน เลขานายกฯ ถูกทุบและลากตัวออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า คนชาติเดียวกันจะทำได้

หลังจากนั้น..แกนนำหลายคนไม่ถูกคุมตัว บ้างมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง บ้างได้รับการประกันตัว สงกรานต์ปี 2553 คนหน้าเดิมหวนกลับมาก่อเหตุซ้ำที่รุนแรงกว่าปี 52 อย่างไม่น่าเชื่อ!

เขาเกณฑ์คนต่างจังหวัด อ้างว่ามาเรียกร้องประชาธิปไตย อ้างว่าต่อสู้เผด็จการ ทั้งที่หลังเผด็จการ ปี 49 มีนายกฯ เป็นคนของเขาถึง 2 คน พวกเขาทำไมไม่รู้สึกว่าต้องเรียกร้องประชาธิปไตย..ทำไมไม่ออกมาต่อสู้กับ ทหารหรืออำมาตย์ พอคนที่ 3 ขึ้นมาเป็นนายกฯ จาก ส.ส.ชุดเดียวกันโหวตในสภาแท้ๆ พวกนี้ไม่ยอมรับ

ต่อสู้ตาม ระบอบแพ้ในสภาแล้ว จึงออกมายึดถนน ยึดสี่แยก โจมตีองคมนตรี มีบางคนจาบจ้วงสถาบันบนเวทีชุมนุม ประจวบเหมาะกับมีเว็บไซด์ลบหลู่สถาบันมากมาย มีใบปลิวอ่านผวนคำกลับมาก็เห็นชัดเจนว่า ด่าทอสถาบันรุนแรง! ชายชุดดำฆ่าทหาร! ลอบยิงเอ็ม 79 ฆ่าตำรวจ ประชาชน

ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ลำพังแค่แกนนำราว 20 คนที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง..กำลังจะได้เป็น ส.ส.ก็ยากจะทำใจแล้ว แต่นี่..เรากำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น?!?

ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ลำพังแค่แกนนำราว 20 คนที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง..กำลังจะได้เป็น ส.ส.ก็ยากจะทำใจแล้ว แต่นี่..เรากำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น?!?
พวกเรา...จะไม่ช่วยพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทยแล้วหรือครับ?

ต่อมาบันทึกชิ้นดังกล่าวของนายกนก ได้ถูกเว็บไซต์ต่างๆ หยิบยกไปนำเสนอต่อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเว็บไซต์ในเครือข่ายของคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวกลับไปตรวจสอบบันทึกในหน้าแฟนเพจของเฟซบุ๊กนายกนก กลับพบว่าถูกลบออกไปแล้ว

สำหรับ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล เป็นผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดังในเครือเนชั่น โดยจบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวทางช่องฟรีทีวี เช่น ช่อง 7 และ โมเดิร์นไนน์ อีกด้วย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************