วิสา คัญทัพ
ชื่อบันทึกฉบับเต็ม
"ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย - หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น"
เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดแหลมคมและรุนแรงองค์ประกอบและแนวร่วมต่างๆของ “คนชั้นสูง” บวก “คนชั้นกลางส่วนบน” ซึ่งรวมกันเป็นชนชั้นปกครองก็จะดำเนินการสร้างเรื่องปลุกระดมความคลั่งชาติเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางชนชาติ
ขอย้ำว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นถึงที่สุดแล้วคือเรื่องผลประโยชน์ อำนาจบารมี ความไร้ซึ่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และความเป็นธรรม ส่วนความขัดแย้งทางชนชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากชนชั้นสูงที่ต้องการสร้างอิทธิพลและครอบครองผลประโยชน์ จึงสร้างรัฐชาติขึ้นมา แล้วทำสงครามรบราแย่งชิงดินแดนสร้างแคว้นสร้างอาณาจักร ทั้งๆ ที่ประชาชนธรรมดาสามัญมิได้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อขัดแย้งและต่อสู้ หากดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยความรักความสัมพันธ์อันดีน้ำใจไมตรี และภราดรภาพ ชายแดนของทุกประเทศในโลกที่ความขัดแย้งทางชนชั้นอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำที่สุดมักจะเป็นชายแดนที่สันติสงบ ประชาชนไปมาหาสู่สัมพันธ์กัน สืบผสมเผ่าพันธุ์กัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกัน ทำมาค้าขาย ไปมาหาสู่ ข้ามแดน make love not war อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
สังคมไทยวันนี้เป็นอย่างไร ความขัดแย้งทางชนชั้นดุเดือดแหลมคม บารมีและอำนาจของคนชั้นสูง ขุนศึก ศักดินาถูกท้าทายลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความขัดแย้งทางชนชาติจึงถูกกลุ่มสมุนบริวารที่รับใช้อำนาจเก่าหยิบยกขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น หมายลวงให้คนเสื้อแดงบางส่วนหลงทาง ดีที่แกนนำหลักขององค์กรเสื้อแดงยึดกุมแนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นได้มั่นคง ทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาเรื่องข้อพิพาทระหว่างดินแดนไทยกัมพูชาแจ่มชัด ส่วนคนชั้นล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ตื่นตัวในเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น และไม่ใส่ใจจดจำการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมบิดเบือนที่กระทรวงศึกษาธิการของรัฐชาติพยายามยัดเยียดให้ตลอดมาทุกรุ่นของเยาวชนตลอดร่วมร้อยปีที่ผ่านมา
ขุนวิจิตรวาทการไปเอาแผนที่จากเวียดนามที่เขียนโดยฝรั่งเศสมาอธิบายความให้จอมพล ป.พิบูลสงครามฟังว่าคนไทยมีเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เลยเกิดความคิดที่จะรวมชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เพื่อทำลายความหลากหลายทางชนชาติที่มีอยู่ในอาณาจักรสยาม (ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง) คำถามก็คือประชาชนธรรมดาทั่วไปพูดภาษาอะไรกันบ้าง และชนชั้นผู้ปกครองพูดภาษาอะไรในเวลานั้น โดยที่ภาษาไทยกับภาษาลาวแทบไม่ได้ต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน พูดกันโดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลก็เข้าใจเรียกว่า 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เว้นเสียแต่สำเนียงเสียงที่ต่างกันไปเท่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองในเมืองเวลานั้นอาจพูดภาษาลาวสำเนียงเมืองหลวงก็ได้ หรือพูดเหน่อแบบสุพรรณฯ สำเนียงเมืองหลวงสมัยอยุธยาเป็นอย่างไร หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน กระทั่งสำเนียงพูดสมัยขุนวิจิตรวาทการเองก็คงไม่เหมือนสำเนียงคนกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ (ชิมิ) เช่นนี้เป็นต้น ผมขออนุญาตยกข้อความซึ่งเรียบเรียงจากเค้าความบางตอนในต้นฉบับของหนังสือ "MA VIE MOUVEMENTEE" ฯ โดยปรีดี พนมยงค์ เขียนที่ชานกรุงปารีส เมื่อ 2 เมษายน 2517
(สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม(ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดารัฐมนตรีแห่งรัฐบาลนั้น มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)
ต่อมาประมาณอีก 4-5 เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย
ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุกระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่า สถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯ รำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ และมีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรป ในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน
ในการประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า "สยาม" มาจากภาษาสันสกฤต "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า "สยาม" แผลงมาจากจีน "เซี่ยมล้อ"
การเปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นประเทศไทย นอกจากจะเป็นการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสยามลงไปแล้ว แท้จริงข้อที่ว่าได้ “รวบรวมชนเผ่าไทย” นั้นยังน่าสงสัยว่า “ชนเผ่าไทย” มีจริงหรือไม่ ลำพังแผนที่ที่เอามาจากฝรั่งเศสย่อมไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะทำให้เชื่อได้ตามฝรั่งว่า การที่บอกว่ามีไทยอยู่ในที่ต่างๆทั่วอินโดจีน อาจหมายถึงไทยในความหมายที่เป็น “คน” ก็ได้เพราะในภาษาลาว คำว่า “ไท” มีความหมายว่า “คน” “ไทบ้านใด๋” ก็คือ “คนที่ไหน” เท่านั้นเอง จึงเป็นความเข้าใจผิดพลาด
ผมมีความเชื่อว่าสิ่งยืนยันถึงลักษณะการดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ภาษา ภาษาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทย อย่างศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ถูกนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ปฏิเสธด้วยหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบคำตอบว่ารากที่มาของภาษาไทยอาจมาจากภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทยเหมือนภาษาลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยล่ามแปลดังกล่าว ส่วนภาษาเขมร มีคำไทยเหมือนคำเขมรกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าตัวเลขไทย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แท้จริงแล้วเอามาจากเขมรหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้า พ้นจากเรื่องของภาษาก็คงเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ซึ่งจะยืนยันถึงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี พูดให้ถึงที่สุด ปรางแขก ปรางสามยอดที่ลพบุรี ประสาทหินพิมายที่โคราช หรือเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ และอื่นๆ ฯลฯ ย่อมเป็นของขอม หรือขแมร์ทั้งสิ้น หากพิจารณาย้อนไปยังยุคแห่งอานาจักรชัยวรมันที่ 7 เพราะฉะนั้น การพิจารณาปัญหาการปักปันเขตแดนจะเอายุคอาณาจักรซึ่งไม่เคยมีแผนที่แบ่งเขต มาปะปนกับยุครัฐชาติในปัจจุบันไม่ได้ ลองฟังทัศนะของนักประวัติศาสตร์อย่าง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
“ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน”
“กระแสชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทัน อย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง
ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ “แผนที่ภูมิศาสตร์ไทย” ของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆ นี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ
แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอนนั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น อประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้* ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้”
เมื่อศิลาจารึกที่นับว่าเก่าที่สุดยังถูกพิสูจน์ทราบว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ตัวเองให้ยิ่งใหญ่ แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่าที่บอกว่าเป็น “ของไทย” เครื่องดนตรี พิณ แคน ระนาด ซอ เมื่อขุดค้นรากที่มาแล้วก็หาไม่พบความเป็นของไทย ชนชั้นสูงที่ผูกขาดการปกครองในอดีตบิดเบือนประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย ได้ส่อเค้าให้เห็นการเปลี่ยนความรักสามัคคีของทุกหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์อันหลากหลายให้กลายไปเป็นไทยเดียวที่มีแต่ชื่อหากปราศจากวิญญาณ
ศูนย์รวมความเป็นชาติย่อมอยู่ที่ประชาชน ถ้าไทยเป็นชื่อที่ขุนวิจิตรมาตราและจอมพล ป.พิบูลสงคราม คิดขึ้นจากแผนที่ฝรั่งเศสที่อาจไม่รู้เรื่องชาวอุษาคเนย์ที่แท้จริง เหตุที่คิดในวันนั้นกำลังจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในวันนี้ด้วยน้ำมือของ “ชนชั้นสูง” กลุ่มเดิม เพราะปัญหาชนชาติ เนื้อแท้ก็คือปัญหาชนชั้น ถ้าเรายังเป็นประเทศสยาม พิณแคนระนาดซอก็ย่อมเป็นเครื่องดนตรีสยามอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสยามอยู่มานับเป็นพันปีแล้วขณะที่ประเทศไทยของ จอมพล ป.อยู่มายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีเลย
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นขณะนี้กำลังขับเคลื่อนไปม้วนเอาความขัดแย้งทางชนชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะรวมไปพัวพันถึงความสงสัยในเรื่องชื่อประเทศไทยที่ทำไมต้องเปลี่ยนจากสยาม ทำไม เพราะเหตุใด เปลี่ยนแล้วดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมโทรมถอยหลัง สามัคคีหรือแตกแยก โดยที่เวลานี้ตัวละครที่เปิดการแสดงนำร่องก่อนเป็น “กัมพูชา” แต่หากจัดการไม่ถูก ตัวละครก็จะเป็นเพื่อนบ้านชาติอื่นๆ ต่อไป เท่ากับว่าชื่อประเทศไม่เป็นมงคลนำมาซึ่งความแตกแยกทั้งชาวสยามด้วยกันเองและเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่าลืมว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรามักจะนึกถึงพระสยามเทวาธิราช ไม่เห็นมีใครอ้างถึงพระไทยเทวาธิราชเลย ลองไปฟัง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปรียบเทียบสยามเป็นบ้านทรายทอง ส่วนประเทศไทยเป็นแค่บ้านสว่างวงศ์
“คำว่าสยาม หรือ Siam นั้นหมายถึงดินแดนหรือแผ่นดิน หมายถึงบ้านเมือง ส่วนคำว่าไทย Thai/Tai หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ อาศัยร่วมกับคนชนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย/ไท ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่งชาติต่างๆ แขกชาติต่างๆ ลูกครึ่งอีกเยอะมาก..ดังนั้นเราจะต้องไม่สับสนระหว่างบ้านเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้ ยกตัวอย่าง อุปมาอุปมัยให้เห็นชัดๆ ก็คือบ้านทรายทองเป็นนามของบ้าน แต่คนที่อยู่ในบ้านนั้น มีทั้งสว่างวงศ์ มีทั้งพินิตนันท์ ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนร้ายพวก สว่างวงศ์ลุกขึ้นมายึดอำนาจแย่งชิงไป แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นบ้านสว่างวงศ์ก็คงพิลึกพิลั่น” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
ถึงวันนี้ ความพยายามที่จะ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” โดยบิดเบือนความจริงแห่งความเป็นมาของสยามเดิมทำท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะชาติเชื้อต่างๆในสยาม แท้จริงแล้วก็มิได้มี “คนไทย”เป็นส่วนใหญ่ หรือหนักกว่านั้น“ไทย” อาจไม่มีจริง ไทยเป็นเพียงคำที่แปลว่า “คน” ดังที่ได้กล่าวมา ที่สำคัญ ทุกคนที่ถูกบังคับให้เป็นไทยต้องเป็นไพร่เป็นข้าของคนชั้นสูงที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ แม้ในยุคโลกเจริญรุดหน้าเป็นโลกไร้พรหมแดนขณะนี้เสรีภาพที่แท้จริงก็ยังไม่บังเกิดขึ้น
ถึงที่สุดคนก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นคนไทยหรือเปล่า” และถ้ากูไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของกูหรือเปล่า ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “สยาม” แผ่นดินนี้ก็เป็นของกู แต่ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “ประเทศไทย” แผ่นดินนี้กูก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชกลับคืนมา เหมือนดั่งเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งลึกๆ แล้ว รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องเพราะคนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกไม่ใช่ไทยดังกล่าว และแผ่นดินที่เขาอยู่วันนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินสยามเดิม หากเป็นแผ่นดินประเทศไทยซึ่งมิใช่แผ่นดินของเขา
เราต้องยอมรับว่า การปราบปรามเข่นฆ่าไล่ล่าคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมวันนี้ นอกจากปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ยังปลุกประเด็นปัญหาชนชาติขึ้นมาเป็นเงาตามตัว เพราะคนที่ถูกปราบปรามดังกล่าวเป็นคนชั้นล่างจากท้องถิ่นต่างจังหวัด เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยบางกอกอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงอยากถามว่า การปลุกกระแสคลั่งชาติของพันธมิตรเสื้อเหลืองคือการทำงานเพื่อกลบเกลื่อนการต่อสู้ทางชนชั้นให้กลายเป็นเรื่องคนไทยแตกแยกกันเพราะปัญหาความขัดแย้งทางชนชาติใช่หรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องฐานะครอบงำของชนชั้นสูงให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามและทรงบารมีต่อไป
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ความขัดแย้งทางชนชาติล้วนมาจากการปลุกกระแสของคนชั้นสูงที่ดำรงฐานะเป็นผู้ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นด้านหลัก ประชาชนจำต้องฉลาด รู้เท่าทัน แยกแยะประเด็นให้ออก ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หลงวู่วามไปตามกระแส ซึ่งจะส่งผลเสียหายให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด.
(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 มกราคม 2554)
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
ความจริงบนฝาผนัง
การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็นน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
เขมรสวนกลับ ต้อง'ฮุนเซ็น'สั่ง!
1/ 2
“มาร์ค”สั่งรื้อป้ายไม่สำเร็จ!!
ช้าเกินไปหรือเปล่ากับการออกมาบอกว่า 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา
เพราะยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันชัดเจน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เหมือนกับยอมรับไปก่อนแล้ว ว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ เพียงแต่ว่าไม่เจตนาที่จะบุกรุกเข้าไป
แถมในกลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คนนั้น หลายคนก็ได้สารภาพไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย
ดังนั้นการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชา ว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบกับเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
แต่ที่ต้องรอโอกาสชี้แจงกับประชาชน เพราะระมัดระวังความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่รอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน
โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การลงพื้นที่ ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นการมาอาสากับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะไปรับฟังว่า กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเอง แต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา
ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป นายพนิชก็มาถามว่า จะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรีกับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูล ได้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้
เช้าวันที่ 29 นายพนิช ก็ได้โทรมาหาแล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทางตชด. นายอภิสิทธิ์ จึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับตชด.แล้ว ก็ให้ประสานงานเข้ามา จะได้ดำเนินการให้
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือนายอภิสิทธิ์ทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว
“นี่คือที่มา ที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว
และได้มีการกางแผนที่โชว์ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ์นส.3ของนายเบ ปรากฎว่านส.3ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและนส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป โดยกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วีดีโอ ที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าแม้พยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ศาลจึงพิพากษาเฉพาะแค่ 5 คน
“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดน กัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันธุก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามในMOU 2543ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด”นายอภิสิทธิ์ยืนยัน
เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้ เขตแดนใดๆทั้งสิ้น จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีเหตุผล จะยกดินแดนให้กัมพูชา ถ้ามีเจ้าหน้าที่ส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องจะสะสางจัดระเบียบในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้คลางแคลงใจ
ปัญหาก็คือแนวทางของรัฐบาลในกรณีนี้ กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าไทยค่อนข้างจะเสียเปรียบ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยมักจะเดินช้ากว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอยู่แต้มหนึ่งเสมอนั้น
คงต้องดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยายามชี้แจงหรือไม่
เพราะล่าสุดทางทหารกัมพูชามีการทำป้ายกล่าวหาไทยรุกราน บนวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกออกมาแล้ว
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่าได้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้ประสานไปทางทหารกัมพูชา ให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว และคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
โดยป้ายที่ทหารกัมพูชาทำขึ้นมานั้น เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ขัดเลียบ เทปูนซีเมนต์ทำเป็นกรอบเขียนตัวหนังสือคำว่า ผู้รุกรานดินแดนเขมร คือคนไทย เป็นภาษาเขมรฉาบด้วยสีทองตั้งไว้ด้านหลัง โบสถ์ของวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ
ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ โดยจะให้ทหารไทย ที่ไม่ติดอาวุธ สามารถขึ้นไปบนวัด ได้วันละ 5 นาย
ในขณะที่ที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทหารหรือเปล่า กลับอยู่กันจนวัดเต็มไปหมด ซึ่งทางฝ่ายทหารไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งแม้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยได้ มีคำสั่งให้ทหารทำการรื้อถอนป้าย ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 ม.ค. 54 แต่จนถึงเวลาเที่ยงของวันเดียวกันทางฝ่ายทหารกัมพูชา ก็ยังไม่การรื้อถอนหรือดำเนินการใดๆ
และมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ยอมรับว่า ลำบากใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน
ดังนั้นการทำลายป้ายดังกล่าวต้องได้รับคำสั่งจากสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเท่านั้นจึงจะทำได้!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ช้าเกินไปหรือเปล่ากับการออกมาบอกว่า 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา
เพราะยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันชัดเจน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เหมือนกับยอมรับไปก่อนแล้ว ว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ เพียงแต่ว่าไม่เจตนาที่จะบุกรุกเข้าไป
แถมในกลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คนนั้น หลายคนก็ได้สารภาพไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย
ดังนั้นการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชา ว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบกับเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
แต่ที่ต้องรอโอกาสชี้แจงกับประชาชน เพราะระมัดระวังความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่รอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน
โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การลงพื้นที่ ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นการมาอาสากับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะไปรับฟังว่า กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเอง แต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา
ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป นายพนิชก็มาถามว่า จะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรีกับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูล ได้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้
เช้าวันที่ 29 นายพนิช ก็ได้โทรมาหาแล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทางตชด. นายอภิสิทธิ์ จึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับตชด.แล้ว ก็ให้ประสานงานเข้ามา จะได้ดำเนินการให้
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือนายอภิสิทธิ์ทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว
“นี่คือที่มา ที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว
และได้มีการกางแผนที่โชว์ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ์นส.3ของนายเบ ปรากฎว่านส.3ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและนส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป โดยกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วีดีโอ ที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าแม้พยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ศาลจึงพิพากษาเฉพาะแค่ 5 คน
“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดน กัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันธุก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามในMOU 2543ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด”นายอภิสิทธิ์ยืนยัน
เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้ เขตแดนใดๆทั้งสิ้น จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีเหตุผล จะยกดินแดนให้กัมพูชา ถ้ามีเจ้าหน้าที่ส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องจะสะสางจัดระเบียบในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้คลางแคลงใจ
ปัญหาก็คือแนวทางของรัฐบาลในกรณีนี้ กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าไทยค่อนข้างจะเสียเปรียบ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยมักจะเดินช้ากว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอยู่แต้มหนึ่งเสมอนั้น
คงต้องดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยายามชี้แจงหรือไม่
เพราะล่าสุดทางทหารกัมพูชามีการทำป้ายกล่าวหาไทยรุกราน บนวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกออกมาแล้ว
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่าได้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้ประสานไปทางทหารกัมพูชา ให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว และคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
โดยป้ายที่ทหารกัมพูชาทำขึ้นมานั้น เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ขัดเลียบ เทปูนซีเมนต์ทำเป็นกรอบเขียนตัวหนังสือคำว่า ผู้รุกรานดินแดนเขมร คือคนไทย เป็นภาษาเขมรฉาบด้วยสีทองตั้งไว้ด้านหลัง โบสถ์ของวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ
ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ โดยจะให้ทหารไทย ที่ไม่ติดอาวุธ สามารถขึ้นไปบนวัด ได้วันละ 5 นาย
ในขณะที่ที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทหารหรือเปล่า กลับอยู่กันจนวัดเต็มไปหมด ซึ่งทางฝ่ายทหารไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งแม้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยได้ มีคำสั่งให้ทหารทำการรื้อถอนป้าย ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 ม.ค. 54 แต่จนถึงเวลาเที่ยงของวันเดียวกันทางฝ่ายทหารกัมพูชา ก็ยังไม่การรื้อถอนหรือดำเนินการใดๆ
และมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ยอมรับว่า ลำบากใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน
ดังนั้นการทำลายป้ายดังกล่าวต้องได้รับคำสั่งจากสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเท่านั้นจึงจะทำได้!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
"บิ๊กจิ๋ว"ปูดกลางที่ประชุมแกนนำเพื่อไทย ระบุยังเหลือเชื้อ"รัฐประหาร" แนะปลุกมวลชนตื่นตัวสู้วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย(พท.) แจ้งว่า พท.มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พท. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิตได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ ดังนั้น โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป ดังที่มีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง แต่เชื่อว่าทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว ดังนั้น วิธีแก้ไม่ให้เกิดรัฐประหารมีทางเดียวคือ ต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องไม่ยอมรับ
นอกจากนี้ยังมีการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจ พท.ซึ่งมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นประธานร่วมกับแกนนำ หารือประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อสรุปว่า พท.ไม่ควรเร่งรีบแสดงท่าที ควรรอดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน หากพท.มีมติออกไปตอนนี้ก็จะถูกพรรครัฐบาลนำไปใช้เป็นข้อต่อรองทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรครัฐบาลจะเจรจาแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และมีโอกาสยุบสภาเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะรัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง คงไม่ให้ตัวเองช้ำไปมากกว่านี้ ดังนั้น พท.ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากอีกครั้ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิตได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ ดังนั้น โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป ดังที่มีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง แต่เชื่อว่าทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว ดังนั้น วิธีแก้ไม่ให้เกิดรัฐประหารมีทางเดียวคือ ต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องไม่ยอมรับ
นอกจากนี้ยังมีการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจ พท.ซึ่งมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นประธานร่วมกับแกนนำ หารือประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อสรุปว่า พท.ไม่ควรเร่งรีบแสดงท่าที ควรรอดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน หากพท.มีมติออกไปตอนนี้ก็จะถูกพรรครัฐบาลนำไปใช้เป็นข้อต่อรองทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรครัฐบาลจะเจรจาแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และมีโอกาสยุบสภาเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะรัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง คงไม่ให้ตัวเองช้ำไปมากกว่านี้ ดังนั้น พท.ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากอีกครั้ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554
"ทองใบ ทองเปาด์" หัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตอย่างสงบ ตั้งศพวัดพระศรีมหาธาตุ
นายทองใบ ทองเปาด์ ทนายความ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสียชีวิตอย่างสงบด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 23 มกราคมด้วยวัย 85 ปี ขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล
ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ศาลา 4 จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. โดยจัดพิธีประชุมเพลิงในวันที่ 29 มกราคม เวลา 16.00 น.
สำหรับประวัติของ นายทองใบ ทองเปาด์ เกิดที่ ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คน ของนายหนู และนางเหง่า มีอาชีพทำนา จบชั้นมัธยมศึกษา ที่จ.มหาสารคาม และมาเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าเรียนที่คณะสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วลาออกมาเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างศึกษาในกรุงเทพฯ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน จึงอาศัยเป็นเด็กวัด อยู่วัดชนะสงคราม มาตลอด
หลังจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความ ว่าความให้กับนักหนังสือพิมพ์ในคดีกบฏสันติภาพ เมื่อปี 2496 พร้อมกับทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่หนังสือพิมพ์ "ไทยใหม่" ร่วมกับ สุภา ศิริมานนท์ ต่อมาย้ายไปหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ร่วมกับ ทวีป วรดิลก ย้ายไป "สยามนิกร" "สุภาพบุรุษ-ประชามิตร" และ "ข่าวภาพ" โดยมีหน้าที่เขียนข่าวการเมือง มีฉายาว่า "บ๊อบการเมือง" (เนื่องจากขณะนั้น ทองใบไว้ผมยาว ทรงบ๊อบ)
ในปี 2501 ได้เดินทางร่วมคณะหนังสือพิมพ์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ สุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เมื่อกลับมาจึงถูกจับขังคุกหลายปีโดยไม่มีความผิด ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ พ.ศ.2509 ออกมาทำงานเป็นทนายความ และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
นายทองใบ ทองเปาด์ เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2527-2529 และได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2527 แต่นายทองใบปฏิเสธที่จะเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องรับรางวัลจากประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งในขณะนั้นมีภาพของผู้นำเผด็จการ และละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีลอบสังหารนายเบนีโย อากีโน (สามีของนางคอราซอน อากีโน) เมื่อ พ.ศ.2526
ที่มา.มติชนออนไลน์
ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ศาลา 4 จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. โดยจัดพิธีประชุมเพลิงในวันที่ 29 มกราคม เวลา 16.00 น.
สำหรับประวัติของ นายทองใบ ทองเปาด์ เกิดที่ ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คน ของนายหนู และนางเหง่า มีอาชีพทำนา จบชั้นมัธยมศึกษา ที่จ.มหาสารคาม และมาเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าเรียนที่คณะสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วลาออกมาเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างศึกษาในกรุงเทพฯ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน จึงอาศัยเป็นเด็กวัด อยู่วัดชนะสงคราม มาตลอด
หลังจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความ ว่าความให้กับนักหนังสือพิมพ์ในคดีกบฏสันติภาพ เมื่อปี 2496 พร้อมกับทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่หนังสือพิมพ์ "ไทยใหม่" ร่วมกับ สุภา ศิริมานนท์ ต่อมาย้ายไปหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ร่วมกับ ทวีป วรดิลก ย้ายไป "สยามนิกร" "สุภาพบุรุษ-ประชามิตร" และ "ข่าวภาพ" โดยมีหน้าที่เขียนข่าวการเมือง มีฉายาว่า "บ๊อบการเมือง" (เนื่องจากขณะนั้น ทองใบไว้ผมยาว ทรงบ๊อบ)
ในปี 2501 ได้เดินทางร่วมคณะหนังสือพิมพ์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ สุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เมื่อกลับมาจึงถูกจับขังคุกหลายปีโดยไม่มีความผิด ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ พ.ศ.2509 ออกมาทำงานเป็นทนายความ และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
นายทองใบ ทองเปาด์ เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2527-2529 และได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2527 แต่นายทองใบปฏิเสธที่จะเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องรับรางวัลจากประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งในขณะนั้นมีภาพของผู้นำเผด็จการ และละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีลอบสังหารนายเบนีโย อากีโน (สามีของนางคอราซอน อากีโน) เมื่อ พ.ศ.2526
ที่มา.มติชนออนไลน์
เปิดแผนยุทธการ'ปิเหล็ง2' ไส้ศึกชี้เป้าถล่มฐาน-ปล้นปืน!
การโจมตีปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่4 หรือ"ค่ายปิเหล็ง" ลักษณะคล้ายกันหวนกลับมาอีกในรอบ 7ปีไฟใต้ ซึ่งนักการทหาร การข่าวเชื่อมี "ไส้ศึก"
เหตุการณ์คนร้ายหลายสิบคนเปิดปฏิบัติการอุกอาจโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ร้อย ร.15121) หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ท้องที่บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันพุธที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจากคลังแสงในฐานสูญหายไปอีกหลายสิบกระบอกนั้น
ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเป็น "ปิเหล็ง 2"
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่ 4 ม.ค.2547 เกิดเหตุคนร้ายหลายสิบคน (ข่าวบางกระแสเชื่อว่าน่าจะมีเป็นร้อยคน) บุกโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส สังหารทหารที่เข้าเวรไป 4-5 นาย และปล้นอาวุธปืนไปทั้งหมด 413 กระบอก
ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 คนในพื้นที่เรียกกันติดปากว่า "ค่ายปิเหล็ง" และเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำมาสู่การก่อเหตุร้ายรายวัน ทั้งลอบยิง วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วถึง 4,370 ราย
7 ปีเศษต่อมา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 เกิดเหตุคนร้ายบุกโจมตีฐานทหารและปล้นปืนล็อตใหญ่ซ้ำอีก แม้ขนาดและความสำคัญของทหารกับจำนวนอาวุธปืนจะไม่สาหัสเท่าเมื่อครั้ง "ปิเหล็ง 1" แต่เมื่อพิจารณาจากแผนยุทธการของคนร้าย ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปฏิบัติการ "ปิเหล็ง 2"โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานที่ว่ามี "ไส้ศึก" หรือ "หนอนบ่อนไส้" คอยชี้เป้าให้โจรบุกปล้นค่าย!
ทหารสังกัด ร้อย ร.15121 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกบุกโจมตี เล่าให้ฟังว่า คนร้ายแต่งกายด้วยชุดลายพราง มีผ้าพันคอและโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ปฏิบัติการครั้งนี้คนร้ายรู้ตำแหน่งของเป้าหมายเป็นอย่างดี รู้รูปแบบการวางกำลงรวมทั้งจุดสำคัญๆ ภายในที่ตั้ง แม้กระทั่งตำแหน่งที่ ผบ.ร้อย (ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ 15121 ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ทำงานอยู่ คนร้ายก็ยังสามารถโจมตีได้อย่างตรงจุดพอดี
"เชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้มีคนข้างในรู้เห็นเป็นใจ" ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ฟันธง
สำหรับแผนประทุษกรรม ฝ่ายคนร้ายได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด กำลังชุดแรกประมาณ 10 คน ฉวยจังหวะหลังกำลังพลเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ใช้อาวุธปืนยิงก่อกวนบริเวณหน้าฐานใกล้กับถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ทำให้กำลังทหารภายในฐานทั้งหมดระดมกันมาช่วยยิงตอบโต้ด้านหน้า จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 และ 3 อีกประมาณ 20 คน ได้บุกทะลวงเข้าด้านหลังฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเปิดทาง และวิ่งผ่านรั้วสนามโดยใช้ไม้กระดานวางพาดเป็นสะพาน
เมื่อบุกเข้าไปในฐานได้แล้ว คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงทหาร วางเพลิงเผาโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ 4 หลัง รถจักรยานยนต์ 1 คัน และงัดโรงเรือนที่ดัดแปลงเป็นคลังอาวุธประจำฐาน ชิงอาวุธปืนไปประมาณ 50 กระบอก ทั้งเอ็ม 16 ปืนพกขนาด 11 ม.ม. เครื่องกระสุนหลายพันนัด และข่าวบางกระแสระบุว่าคนร้ายได้ปืนกลเบา เอ็ม 60 ไปด้วย
ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ หากใช้เส้นทางจากตัวอำเภอระแงะ เข้าถนนด้านข้าง สภ.ระแงะ ประมาณ 7-8 กิโลเมตร จะเจอสามแยกปาฮงดารอ จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายสามารถทะลุสายเอเซีย (ถนนสายใหญ่ระหว่างจังหวัด) ได้ จากสามแยกดังกล่าวตรงไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะถึงฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 จากหน้าฐานตรงไปอีกจะเข้า อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สภาพโดยรอบฐานเป็นป่า จากด้านหน้าเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตรจะเป็นภูเขากูจิงลือปะ ส่วนด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด
อาวุธที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่ามีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวมอยู่ด้วย!
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า คนร้ายปฏิบัติการได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมี "ไส้ศึก" อย่างแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาละเลยโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีศูนย์สั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอมานานแล้ว แต่กลับมีการทุจริตและถูกคัดค้านจากบางหน่วยจนโครงการต้องล้มไป
"ถ้ามีระบบกล้องวงจรปิดที่ดีและกระจายทั่วพื้นที่ คนร้ายจะไม่สามารถรวมคนมาก่อเหตุได้มากขนาดนี้ สงครามในภาคใต้ไม่ใช่สงครามตามแบบ แต่เป็นสงครามนอกแบบ แม้กองทัพจะพยายามปรับยุทธวิธีโดยใช้สงครามกองโจรเข้าสู่ แต่เราก็ทำสงครามกองโจรแบบตั้งรับ ทั้งยังไปตั้งรับในพื้นที่อิทธิพลของศัตรู จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสูญเสียตลอดมา" พล.ท.นันทเดช ระบุ
ขณะที่ "วอร์รูม" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) วิเคราะห์เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งเอาไว้ 3 ประการ คือ 1.ต้องการตอบโต้การทำงานของฝ่ายความมั่นคงที่รุกคืบงานมวลชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ตามนโยบายของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่
2.ท้าทายและลดความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลที่ทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการเมืองนำการทหาร และสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อให้งานมวลชนสะดุด และหวังผลให้แนวทางการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชะงักงัน
เหตุการณ์ "ปิเหล็ง 1" เมื่อ 7 ปีก่อนได้นำพาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะสงครามก่อความไม่สงบที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4 พันคน หลังจากนี้ต้องจับตาว่าเหตุการณ์ "ปิเหล็ง 2" จะเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหตุการณ์คนร้ายหลายสิบคนเปิดปฏิบัติการอุกอาจโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ร้อย ร.15121) หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ท้องที่บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันพุธที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจากคลังแสงในฐานสูญหายไปอีกหลายสิบกระบอกนั้น
ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเป็น "ปิเหล็ง 2"
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่ 4 ม.ค.2547 เกิดเหตุคนร้ายหลายสิบคน (ข่าวบางกระแสเชื่อว่าน่าจะมีเป็นร้อยคน) บุกโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส สังหารทหารที่เข้าเวรไป 4-5 นาย และปล้นอาวุธปืนไปทั้งหมด 413 กระบอก
ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 คนในพื้นที่เรียกกันติดปากว่า "ค่ายปิเหล็ง" และเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำมาสู่การก่อเหตุร้ายรายวัน ทั้งลอบยิง วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วถึง 4,370 ราย
7 ปีเศษต่อมา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 เกิดเหตุคนร้ายบุกโจมตีฐานทหารและปล้นปืนล็อตใหญ่ซ้ำอีก แม้ขนาดและความสำคัญของทหารกับจำนวนอาวุธปืนจะไม่สาหัสเท่าเมื่อครั้ง "ปิเหล็ง 1" แต่เมื่อพิจารณาจากแผนยุทธการของคนร้าย ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปฏิบัติการ "ปิเหล็ง 2"โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานที่ว่ามี "ไส้ศึก" หรือ "หนอนบ่อนไส้" คอยชี้เป้าให้โจรบุกปล้นค่าย!
ทหารสังกัด ร้อย ร.15121 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกบุกโจมตี เล่าให้ฟังว่า คนร้ายแต่งกายด้วยชุดลายพราง มีผ้าพันคอและโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ปฏิบัติการครั้งนี้คนร้ายรู้ตำแหน่งของเป้าหมายเป็นอย่างดี รู้รูปแบบการวางกำลงรวมทั้งจุดสำคัญๆ ภายในที่ตั้ง แม้กระทั่งตำแหน่งที่ ผบ.ร้อย (ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ 15121 ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ทำงานอยู่ คนร้ายก็ยังสามารถโจมตีได้อย่างตรงจุดพอดี
"เชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้มีคนข้างในรู้เห็นเป็นใจ" ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ฟันธง
สำหรับแผนประทุษกรรม ฝ่ายคนร้ายได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด กำลังชุดแรกประมาณ 10 คน ฉวยจังหวะหลังกำลังพลเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ใช้อาวุธปืนยิงก่อกวนบริเวณหน้าฐานใกล้กับถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ทำให้กำลังทหารภายในฐานทั้งหมดระดมกันมาช่วยยิงตอบโต้ด้านหน้า จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 และ 3 อีกประมาณ 20 คน ได้บุกทะลวงเข้าด้านหลังฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเปิดทาง และวิ่งผ่านรั้วสนามโดยใช้ไม้กระดานวางพาดเป็นสะพาน
เมื่อบุกเข้าไปในฐานได้แล้ว คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงทหาร วางเพลิงเผาโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ 4 หลัง รถจักรยานยนต์ 1 คัน และงัดโรงเรือนที่ดัดแปลงเป็นคลังอาวุธประจำฐาน ชิงอาวุธปืนไปประมาณ 50 กระบอก ทั้งเอ็ม 16 ปืนพกขนาด 11 ม.ม. เครื่องกระสุนหลายพันนัด และข่าวบางกระแสระบุว่าคนร้ายได้ปืนกลเบา เอ็ม 60 ไปด้วย
ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ หากใช้เส้นทางจากตัวอำเภอระแงะ เข้าถนนด้านข้าง สภ.ระแงะ ประมาณ 7-8 กิโลเมตร จะเจอสามแยกปาฮงดารอ จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายสามารถทะลุสายเอเซีย (ถนนสายใหญ่ระหว่างจังหวัด) ได้ จากสามแยกดังกล่าวตรงไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะถึงฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 จากหน้าฐานตรงไปอีกจะเข้า อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สภาพโดยรอบฐานเป็นป่า จากด้านหน้าเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตรจะเป็นภูเขากูจิงลือปะ ส่วนด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด
อาวุธที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่ามีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวมอยู่ด้วย!
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า คนร้ายปฏิบัติการได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมี "ไส้ศึก" อย่างแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาละเลยโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีศูนย์สั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอมานานแล้ว แต่กลับมีการทุจริตและถูกคัดค้านจากบางหน่วยจนโครงการต้องล้มไป
"ถ้ามีระบบกล้องวงจรปิดที่ดีและกระจายทั่วพื้นที่ คนร้ายจะไม่สามารถรวมคนมาก่อเหตุได้มากขนาดนี้ สงครามในภาคใต้ไม่ใช่สงครามตามแบบ แต่เป็นสงครามนอกแบบ แม้กองทัพจะพยายามปรับยุทธวิธีโดยใช้สงครามกองโจรเข้าสู่ แต่เราก็ทำสงครามกองโจรแบบตั้งรับ ทั้งยังไปตั้งรับในพื้นที่อิทธิพลของศัตรู จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสูญเสียตลอดมา" พล.ท.นันทเดช ระบุ
ขณะที่ "วอร์รูม" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) วิเคราะห์เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งเอาไว้ 3 ประการ คือ 1.ต้องการตอบโต้การทำงานของฝ่ายความมั่นคงที่รุกคืบงานมวลชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ตามนโยบายของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่
2.ท้าทายและลดความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลที่ทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการเมืองนำการทหาร และสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อให้งานมวลชนสะดุด และหวังผลให้แนวทางการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชะงักงัน
เหตุการณ์ "ปิเหล็ง 1" เมื่อ 7 ปีก่อนได้นำพาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะสงครามก่อความไม่สงบที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4 พันคน หลังจากนี้ต้องจับตาว่าเหตุการณ์ "ปิเหล็ง 2" จะเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวลับ-ข้อมูลใต้ดิน "ชินวัตร" เขย่า "มิ่งขวัญ-เฉลิม"
ข่าวลึกแต่ไม่ลับในพรรคเพื่อไทย กลายเป็น "ข่าวเปิด" ที่สร้างความหวั่นไหว สั่นสะเทือนประสาท ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปทั่วทุกก๊ก
ข่าว "คดียุบพรรคเพื่อไทย" กลายเป็นวรรคสำคัญของข่าววงใน ที่ผ่านหูของ "เฉลิม" ทะลุออกทางปากต่อปาก แพร่สะพัด
ทำให้ ส.ส.บางส่วนคิดหาทางหนีทีไล่กันอย่างอลหม่าน ราวกับรังมดโดนน้ำร้อน สวนทางกับก๊ก ส.ส. ภาคอีสานและภาคเหนือคิดก้าวข้าม "ทักษิณ" ไปก้าวคู่กับ "มิ่งขวัญ"
ทำให้ ส.ส.ส่วนใหญ่วิ่งเข้าใกล้ ประชิดวงใน เครือข่าย-พี่น้อง "ชินวัตร" เพื่อหาความอบอุ่น เตรียมสร้างกระแส-กระสุน เพื่อเป็นรังรอง-ทุนรอน เลือกตั้งครั้งหน้า
เกิดการเคลื่อนไหวระดับปรากฏการณ์ ของกระดานการเมือง เมื่อ "เฉลิม" ชิงประกาศทิ้งไพ่ ทิ้งพื้นที่ประธาน ส.ส.เพื่อไทย
เมื่อนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณชัดเจน-เปิดหน้า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คู่รักคู่แค้นของสิงห์เหลิม ขึ้นมาเป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล
"เฉลิม" เชื่อว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบหมายให้ "มิ่งขวัญ" นำทีมอภิปราย "ก็หมายความว่า เขาให้ใน สิ่งที่มิ่งขวัญทำไม่ได้" หรือมีนัยหนึ่งคือ ชูขึ้นมาให้เป็นเป้าให้ถูกฝ่ายตรงข้ามทุบจนน่วมไปเอง พร้อมกับพลิ้วไปตั้งหลัก ตั้งพรรคใหม่
ทั้งเฉลิม-มิ่งขวัญ จึงใช้งานวิวาห์ลูกชายครอบครัว "อยู่บำรุง" เป็นเวที จัดอีเวนต์ละครการเมือง
ด้วยการประกาศชื่อพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขณะที่ "เสี่ยอ่าง" แบ่งรับ-แบ่งสู้ แบบเก๋าเกม
"ผมแกงเผ็ด ผมไม่ใช่แกงจืดใส่ วุ้นเส้น เพราะฉะนั้น สารวัตรกับผมไปด้วยกันได้ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของเวลาและโอกาส...ลิเก เขาเล่นตอนปี่กลองดัง ยังไม่ดัง ยังไม่ตี ก็อย่าเพิ่งไปพูด..."
ขณะที่ "เฉลิม" ก็ประกาศวาทะอำพรางและแสร้งสร้าง "เกมกั๊ก" ว่า ไม่ไปไหน นอกจากไปบ้านอดีตนายกฯ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" น้องเขย "ทักษิณ" เท่านั้น
ตลอดวาระงานวิวาห์จึงปรากฏภาพ "เฉลิม" ใกล้ชิดคนสำคัญจากตระกูล ชินวัตร ทั้ง ยิ่งลักษณ์-เยาวภา-สมชาย และคนสำคัญแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า "สาโรจน์ พงษ์ชูเวช" วนเวียนรอบวง วี.ไอ.พี.การเมือง
ส่วนฉากของ "มิ่งขวัญ" ยังเนิบช้า-เนิ่นนาน-ย่ำและย้ำอยู่กับเรื่อง "มติพรรค" ที่จะยกยอดให้เขาได้เป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงชื่อแนบท้ายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
แต่อีกขา อีกแขนก็กอดเกี่ยว "เฉลิม" ให้อยู่ในกลเกมของ "เพื่อไทย"
มิ่งขวัญบอกว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างท่านเฉลิมกับผมก็ดี และ ท่านเฉลิมเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นทรัพยากรของพรรคและของสภา สำหรับผมแล้วไม่มีปัญหาอะไร"
พ้นจากงานวิวาห์ 24 ชั่วโมง พรรคเพื่อไทยยังป่วน
เมื่อแกนนำสาย "นายใหญ่" สั่งเช็ก ข้อมูลย้อนหลัง ค้นหาคนสร้างรอยแยกในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.ที่ให้สัมภาษณ์-พาดพิงถึง "เฉลิม"
แม้ปาก "เฉลิม" จะพูดว่า "การเมืองมีความเห็นแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก ถ้าคิดเห็นตรงกัน นั่นมันเผด็จการ คิดเห็นไม่เหมือนกันคือ ประชาธิปไตย"
แต่ฉากวิวาทใต้ดิน หลังงานวิวาห์ "มิ่งขวัญ" และ "เฉลิม" ไม่อาจบรรจบพบทางเดียวกันได้ ทั้งในสภาผู้แทนฯและในห้องประชุมพรรค
เว้นแต่ว่า ผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในพรรคจะบรรจบกันเสียก่อน
ข่าวลือ-ข่าวลับ เรื่องยุบพรรค ยังสั่นสะเทือน ส.ส.ทั่วทั้งพรรค
ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
ข่าว "คดียุบพรรคเพื่อไทย" กลายเป็นวรรคสำคัญของข่าววงใน ที่ผ่านหูของ "เฉลิม" ทะลุออกทางปากต่อปาก แพร่สะพัด
ทำให้ ส.ส.บางส่วนคิดหาทางหนีทีไล่กันอย่างอลหม่าน ราวกับรังมดโดนน้ำร้อน สวนทางกับก๊ก ส.ส. ภาคอีสานและภาคเหนือคิดก้าวข้าม "ทักษิณ" ไปก้าวคู่กับ "มิ่งขวัญ"
ทำให้ ส.ส.ส่วนใหญ่วิ่งเข้าใกล้ ประชิดวงใน เครือข่าย-พี่น้อง "ชินวัตร" เพื่อหาความอบอุ่น เตรียมสร้างกระแส-กระสุน เพื่อเป็นรังรอง-ทุนรอน เลือกตั้งครั้งหน้า
เกิดการเคลื่อนไหวระดับปรากฏการณ์ ของกระดานการเมือง เมื่อ "เฉลิม" ชิงประกาศทิ้งไพ่ ทิ้งพื้นที่ประธาน ส.ส.เพื่อไทย
เมื่อนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณชัดเจน-เปิดหน้า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คู่รักคู่แค้นของสิงห์เหลิม ขึ้นมาเป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล
"เฉลิม" เชื่อว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบหมายให้ "มิ่งขวัญ" นำทีมอภิปราย "ก็หมายความว่า เขาให้ใน สิ่งที่มิ่งขวัญทำไม่ได้" หรือมีนัยหนึ่งคือ ชูขึ้นมาให้เป็นเป้าให้ถูกฝ่ายตรงข้ามทุบจนน่วมไปเอง พร้อมกับพลิ้วไปตั้งหลัก ตั้งพรรคใหม่
ทั้งเฉลิม-มิ่งขวัญ จึงใช้งานวิวาห์ลูกชายครอบครัว "อยู่บำรุง" เป็นเวที จัดอีเวนต์ละครการเมือง
ด้วยการประกาศชื่อพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขณะที่ "เสี่ยอ่าง" แบ่งรับ-แบ่งสู้ แบบเก๋าเกม
"ผมแกงเผ็ด ผมไม่ใช่แกงจืดใส่ วุ้นเส้น เพราะฉะนั้น สารวัตรกับผมไปด้วยกันได้ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของเวลาและโอกาส...ลิเก เขาเล่นตอนปี่กลองดัง ยังไม่ดัง ยังไม่ตี ก็อย่าเพิ่งไปพูด..."
ขณะที่ "เฉลิม" ก็ประกาศวาทะอำพรางและแสร้งสร้าง "เกมกั๊ก" ว่า ไม่ไปไหน นอกจากไปบ้านอดีตนายกฯ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" น้องเขย "ทักษิณ" เท่านั้น
ตลอดวาระงานวิวาห์จึงปรากฏภาพ "เฉลิม" ใกล้ชิดคนสำคัญจากตระกูล ชินวัตร ทั้ง ยิ่งลักษณ์-เยาวภา-สมชาย และคนสำคัญแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า "สาโรจน์ พงษ์ชูเวช" วนเวียนรอบวง วี.ไอ.พี.การเมือง
ส่วนฉากของ "มิ่งขวัญ" ยังเนิบช้า-เนิ่นนาน-ย่ำและย้ำอยู่กับเรื่อง "มติพรรค" ที่จะยกยอดให้เขาได้เป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงชื่อแนบท้ายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
แต่อีกขา อีกแขนก็กอดเกี่ยว "เฉลิม" ให้อยู่ในกลเกมของ "เพื่อไทย"
มิ่งขวัญบอกว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างท่านเฉลิมกับผมก็ดี และ ท่านเฉลิมเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นทรัพยากรของพรรคและของสภา สำหรับผมแล้วไม่มีปัญหาอะไร"
พ้นจากงานวิวาห์ 24 ชั่วโมง พรรคเพื่อไทยยังป่วน
เมื่อแกนนำสาย "นายใหญ่" สั่งเช็ก ข้อมูลย้อนหลัง ค้นหาคนสร้างรอยแยกในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.ที่ให้สัมภาษณ์-พาดพิงถึง "เฉลิม"
แม้ปาก "เฉลิม" จะพูดว่า "การเมืองมีความเห็นแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก ถ้าคิดเห็นตรงกัน นั่นมันเผด็จการ คิดเห็นไม่เหมือนกันคือ ประชาธิปไตย"
แต่ฉากวิวาทใต้ดิน หลังงานวิวาห์ "มิ่งขวัญ" และ "เฉลิม" ไม่อาจบรรจบพบทางเดียวกันได้ ทั้งในสภาผู้แทนฯและในห้องประชุมพรรค
เว้นแต่ว่า ผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในพรรคจะบรรจบกันเสียก่อน
ข่าวลือ-ข่าวลับ เรื่องยุบพรรค ยังสั่นสะเทือน ส.ส.ทั่วทั้งพรรค
ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
"จตุพร"เผยทักษิณไม่โฟนอินเพราะไม่ได้อยู่น่านฟ้าสากล
เมื่อเวลา 23.30 น.คืนที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัยปิดการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยเริ่มกล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงผ่านโทรทัศน์ถึงกรณี 7 คนไทยถูกทางการกัมพูชาจับกุม รวมทั้งนโยบายขายไข่ไก่ชั่งกิโลกรัม จากนั้นได้กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีโฟนอินมายังที่ชุมนุม เนื่องจากขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง และไม่ต้องการให้รัฐบาลของประเทศนั้นได้รับผลกระทบ แต่ยืนยันว่าการชุมนุมในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้าต่อเมื่อเครื่องบินอยู่น่านฟ้าสากล
นายจตุพร ยังกล่าวถึงการชุมนุมในครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่ายังไม่กำหนดสถานที่ รวมถึงอาจเปิดปราศรัยพิเศษที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอนุญาต ทั้งยังมีแผนจัดการชุมนุมที่โบนันซ่า เขาใหญ่ แต่ยังไม่มีการกำหนดวัน เวลา ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในการชุมนุมครั้งนี้มีความพึงพอใจอย่างมาก ที่การชุมนุมไม่กระทบกับประชาชน เนื่องจากมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการที่ย่านราชประสงค์ไว้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ได้ทำการปราศรัยเสร็จสิ้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เริ่มทยอยเดินทางกลับทันที
ที่มา.เนชั่น
นายจตุพร ยังกล่าวถึงการชุมนุมในครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่ายังไม่กำหนดสถานที่ รวมถึงอาจเปิดปราศรัยพิเศษที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอนุญาต ทั้งยังมีแผนจัดการชุมนุมที่โบนันซ่า เขาใหญ่ แต่ยังไม่มีการกำหนดวัน เวลา ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในการชุมนุมครั้งนี้มีความพึงพอใจอย่างมาก ที่การชุมนุมไม่กระทบกับประชาชน เนื่องจากมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการที่ย่านราชประสงค์ไว้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ได้ทำการปราศรัยเสร็จสิ้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เริ่มทยอยเดินทางกลับทันที
ที่มา.เนชั่น
วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554
เติ้ง-หนั่น-สมศักดิ์ หารือลับ-สวนมาร์ค!
ปลาไหลพัฒนายืนยัน!!
ต้อง 400+100สูตรเดียว
ไม่ว่าประเทศใด หากนักการเมืองยังเน้นการแพ้ชนะเป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่น
โดยเฉพาะหากมีพรรคการเมืองที่คิดแต่จะเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่น
หรือคิดแต่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่พรรคตนเองจะต้องได้เปรียบ จะต้องได้มากกว่าพรรคอื่น
หรือแม้แต่กระทั่งว่า จะให้โหนใคร ให้คุกเข่าให้ใคร ขอแค่ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำได้ทั้งนั้น
หากบังเอิญประเทศไทยมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองแบบนี้ก็ต้องยอมรับชะตากรรมกันแล้วว่า
ในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ เสาหลักต่างๆ พากันเป็นแค่ไม้หลักปักเลน นักการเมืองก็ย่อมจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองกันอย่างอุตลุด โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะมอง จะรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า หรือประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวแล้วจริงๆ!!!
เพราะในขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นกระฉ่อนฉาว ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังร้อนระอุ แต่รัฐบาลกลับมาทะเลาะถกเถียงกับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องเพียงแค่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วน ส.ส.แบบเลือกตั้ง กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะมีเท่าไร
และเป็นการแก้แบบยึดเอาผลประโยชน์ของพรรคตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
สูตร 375 + 125 ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเพราะไม่มั่นใจว่า ส.ส.เลือกตั้งจะฝ่าด่านความรู้สึกประชาชนได้มากน้อยเพียงใด แต่มั่นใจในคะแนนของพรรคที่จะกวาด ส.ส.สัดส่วนได้มาก
ก็เลยเลือกที่จะให้มี ส.ส.เลือกตั้งแค่ 375คน แล้วมีส.ส.สัดส่วน 125คน
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไก่รองบ่อนแม้ว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับ เหมือนตกอยู่ในยุ้งข้าวเปลือก ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง
แต่ในแง่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่ละพรรคล้วนรู้ดีว่า ส.ส.สัดส่วนที่จะได้คงแค่กระหยิบมือเดียว ที่จะได้เป็นเนื้อเป็นหนัง มีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะเอาไว้ต่อรองได้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องได้จาก ส.ส.เลือกตั้งเท่านั้น
พรรคร่วมรัฐบาล ก็เลยต้องการใช้สูตร 400+100
คือมีจำนวนส.ส.เลือกตั้ง 400 คน ส.ส.สัดส่วนแค่ 100 เดียวก็พอ
เป็นการเถียงกันลากยาวเป็นเดือน ก็เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัวอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อประชาชนเริ่มเอียน เพราะเป็นการขัดแย้งที่เห็นชัดว่าเป็นการทำเพื่อตัวเอง ก็เลยมีสูตรออกมาเพื่อรอมชอมในการเมืองซีกรัฐบาล นั่นคือในเมื่อประชาธิปัตย์อยากได้ ส.ส.สัดส่วน 125 ก็เอาไป 125 ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากได้เก้าอี้ ส.ส.เลือกตั้ง 400 ก็เอาไป 400
กลายเป็นสูตร 400+125 อะร้าอร่ามไปอีกแบบ เพราะเท่ากับจะไม่ใช่ สภา500 แล้วแต่จะเป็นสภา 525 แทน
ทำยังกับการต่อรองเรียกสินบนใต้โต๊ะในยุคปัจจุบันอย่างนั้นแหละ มียืดได้หดได้ ตั้งแต่ 25% 30% ไปถึง35% แล้วแต่ว่าเส้นใครจะแข็งเส้นใครจะใหญ่กว่ากัน???
แต่เรื่องของตัวเลขจำนวน ส.ส. กลายเป็นตลกชวนหัวในทางการเมืองไปแล้ว เพราะตอนนี้กำลังคิดสูตรกันอย่างสนุกสนานบานเบอะไปถึงขนาด 21 สูตรกันแล้ว
ถึงขนาดที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ยังต้องขอหารือด่วนกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มกราคม
และต้องใช้เวลาในการหารือกันถึงประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งนายบรรหารได้บ่นกรณีที่ ส.ส.ขอสงวนคำแปรญัตติ 21 สูตร ว่า
“แหม ...ผมก็ไม่รู้ ชักปวดหัวแล้วนะเนี่ย มันเยอะแยะ สูตรอะไรบ้างก็ไม่รู้ เวลานี้สูตร 375+125 มี 400+100 มี 400+125 รู้เพียงเท่านี้ แล้วที่มีหลาย 10 สูตรไม่รู้มีสูตรอะไรบ้าง”
สุดท้ายแม้ว่านายบรรหารจะพูดแบบประนีประนอมว่า แต่ละสูตรก็ดีหมด และมีเหตุผลดีพอสมควร รวมทั้งสูตร 400+125 ที่ต้องการออมชอม
แต่ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “เรายืนหยัดในสูตรที่ 400+100 เท่านั้น”
ส่วนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะยืนยัน 375+125 ก็เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล!!!
รวมทั้งสุดท้ายสูตร 400+100 จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.และ ส.ว.ค่อนข้างเยอะจริงหรือไม่ นายบรรหารก็บอกเพียงว่า ยังไม่ทราบ ไม่ได้พูดกับใคร
“เมื่อมีมติเราก็ถือตามนั้น”นายบรรหารประกาศชัด
ในขณะที่นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ โฆษกพรรคกิจสังคม ก็ได้ออกมาแสดงท่าทีที่แตกต่างไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา คือพร้อมที่จะลู่ลมได้ โดยอ้างว่าจุดยืนของพรรคกิจสังคมนั้นเห็นด้วยกับแนวทางที่สามารถยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลได้
โดยยกว่าการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เสนอสูตร 400+125 ขึ้นมานั้นก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ที่จะสามารถทำให้สบายใจกันทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและประชาธิปัตย์
เหมือนพบกันครึ่งทาง
งานนี้เรียกว่าพรรคกิจสังคมพร้อมจะเอาใจทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามทางนายเทวฤทธิ์ กล่าวว่าเบื้องต้นแกนนำประชาธิปัตย์ติดต่อประสานงานมายังแกนนำพรรคกิจสังคม เพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะตกลงกันที่สูตรไหน
และอาจจะต้องรอมติจากงานเลี้ยงของพรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 24 มกราคม
“พรรคที่ไม่เห็นด้วยกับสูตร 375+125 ก็คงไม่พอใจที่ไปลดจำนวน ส.ส.ของเขา ซึ่งต้องเข้าใจเขาด้วยแต่ละพรรคก็มีเหตุผล แต่พรรครับได้ทุกสูตร แต่ต้องมีการพูดคุยกันก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะตอบเอง เออเองว่าจะเอาแบบนั้นแบบนี้ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดเสียก่อน สำหรับผมเห็นด้วยกับสูตร 400+125 เพราะคิดว่าน่าจะลดความขัดแย้งได้ ส่วนพรรคจะสนับสนุนส่วนไหนนั้นต้องรอให้มีมติอีกครั้ง” นายเทวฤทธิ์ กล่าว
เห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว
ชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่คิดแต่ผลประโยชน์นักการเมืองล้วนๆ...
ประชาชนไม่เกี่ยวเลยจริง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ต้อง 400+100สูตรเดียว
ไม่ว่าประเทศใด หากนักการเมืองยังเน้นการแพ้ชนะเป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่น
โดยเฉพาะหากมีพรรคการเมืองที่คิดแต่จะเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่น
หรือคิดแต่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่พรรคตนเองจะต้องได้เปรียบ จะต้องได้มากกว่าพรรคอื่น
หรือแม้แต่กระทั่งว่า จะให้โหนใคร ให้คุกเข่าให้ใคร ขอแค่ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำได้ทั้งนั้น
หากบังเอิญประเทศไทยมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองแบบนี้ก็ต้องยอมรับชะตากรรมกันแล้วว่า
ในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ เสาหลักต่างๆ พากันเป็นแค่ไม้หลักปักเลน นักการเมืองก็ย่อมจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองกันอย่างอุตลุด โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะมอง จะรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า หรือประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวแล้วจริงๆ!!!
เพราะในขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นกระฉ่อนฉาว ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังร้อนระอุ แต่รัฐบาลกลับมาทะเลาะถกเถียงกับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องเพียงแค่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วน ส.ส.แบบเลือกตั้ง กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะมีเท่าไร
และเป็นการแก้แบบยึดเอาผลประโยชน์ของพรรคตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
สูตร 375 + 125 ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเพราะไม่มั่นใจว่า ส.ส.เลือกตั้งจะฝ่าด่านความรู้สึกประชาชนได้มากน้อยเพียงใด แต่มั่นใจในคะแนนของพรรคที่จะกวาด ส.ส.สัดส่วนได้มาก
ก็เลยเลือกที่จะให้มี ส.ส.เลือกตั้งแค่ 375คน แล้วมีส.ส.สัดส่วน 125คน
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไก่รองบ่อนแม้ว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับ เหมือนตกอยู่ในยุ้งข้าวเปลือก ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง
แต่ในแง่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่ละพรรคล้วนรู้ดีว่า ส.ส.สัดส่วนที่จะได้คงแค่กระหยิบมือเดียว ที่จะได้เป็นเนื้อเป็นหนัง มีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะเอาไว้ต่อรองได้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องได้จาก ส.ส.เลือกตั้งเท่านั้น
พรรคร่วมรัฐบาล ก็เลยต้องการใช้สูตร 400+100
คือมีจำนวนส.ส.เลือกตั้ง 400 คน ส.ส.สัดส่วนแค่ 100 เดียวก็พอ
เป็นการเถียงกันลากยาวเป็นเดือน ก็เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัวอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อประชาชนเริ่มเอียน เพราะเป็นการขัดแย้งที่เห็นชัดว่าเป็นการทำเพื่อตัวเอง ก็เลยมีสูตรออกมาเพื่อรอมชอมในการเมืองซีกรัฐบาล นั่นคือในเมื่อประชาธิปัตย์อยากได้ ส.ส.สัดส่วน 125 ก็เอาไป 125 ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากได้เก้าอี้ ส.ส.เลือกตั้ง 400 ก็เอาไป 400
กลายเป็นสูตร 400+125 อะร้าอร่ามไปอีกแบบ เพราะเท่ากับจะไม่ใช่ สภา500 แล้วแต่จะเป็นสภา 525 แทน
ทำยังกับการต่อรองเรียกสินบนใต้โต๊ะในยุคปัจจุบันอย่างนั้นแหละ มียืดได้หดได้ ตั้งแต่ 25% 30% ไปถึง35% แล้วแต่ว่าเส้นใครจะแข็งเส้นใครจะใหญ่กว่ากัน???
แต่เรื่องของตัวเลขจำนวน ส.ส. กลายเป็นตลกชวนหัวในทางการเมืองไปแล้ว เพราะตอนนี้กำลังคิดสูตรกันอย่างสนุกสนานบานเบอะไปถึงขนาด 21 สูตรกันแล้ว
ถึงขนาดที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ยังต้องขอหารือด่วนกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มกราคม
และต้องใช้เวลาในการหารือกันถึงประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งนายบรรหารได้บ่นกรณีที่ ส.ส.ขอสงวนคำแปรญัตติ 21 สูตร ว่า
“แหม ...ผมก็ไม่รู้ ชักปวดหัวแล้วนะเนี่ย มันเยอะแยะ สูตรอะไรบ้างก็ไม่รู้ เวลานี้สูตร 375+125 มี 400+100 มี 400+125 รู้เพียงเท่านี้ แล้วที่มีหลาย 10 สูตรไม่รู้มีสูตรอะไรบ้าง”
สุดท้ายแม้ว่านายบรรหารจะพูดแบบประนีประนอมว่า แต่ละสูตรก็ดีหมด และมีเหตุผลดีพอสมควร รวมทั้งสูตร 400+125 ที่ต้องการออมชอม
แต่ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “เรายืนหยัดในสูตรที่ 400+100 เท่านั้น”
ส่วนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะยืนยัน 375+125 ก็เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล!!!
รวมทั้งสุดท้ายสูตร 400+100 จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.และ ส.ว.ค่อนข้างเยอะจริงหรือไม่ นายบรรหารก็บอกเพียงว่า ยังไม่ทราบ ไม่ได้พูดกับใคร
“เมื่อมีมติเราก็ถือตามนั้น”นายบรรหารประกาศชัด
ในขณะที่นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ โฆษกพรรคกิจสังคม ก็ได้ออกมาแสดงท่าทีที่แตกต่างไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา คือพร้อมที่จะลู่ลมได้ โดยอ้างว่าจุดยืนของพรรคกิจสังคมนั้นเห็นด้วยกับแนวทางที่สามารถยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลได้
โดยยกว่าการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เสนอสูตร 400+125 ขึ้นมานั้นก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ที่จะสามารถทำให้สบายใจกันทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและประชาธิปัตย์
เหมือนพบกันครึ่งทาง
งานนี้เรียกว่าพรรคกิจสังคมพร้อมจะเอาใจทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามทางนายเทวฤทธิ์ กล่าวว่าเบื้องต้นแกนนำประชาธิปัตย์ติดต่อประสานงานมายังแกนนำพรรคกิจสังคม เพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะตกลงกันที่สูตรไหน
และอาจจะต้องรอมติจากงานเลี้ยงของพรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 24 มกราคม
“พรรคที่ไม่เห็นด้วยกับสูตร 375+125 ก็คงไม่พอใจที่ไปลดจำนวน ส.ส.ของเขา ซึ่งต้องเข้าใจเขาด้วยแต่ละพรรคก็มีเหตุผล แต่พรรครับได้ทุกสูตร แต่ต้องมีการพูดคุยกันก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะตอบเอง เออเองว่าจะเอาแบบนั้นแบบนี้ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดเสียก่อน สำหรับผมเห็นด้วยกับสูตร 400+125 เพราะคิดว่าน่าจะลดความขัดแย้งได้ ส่วนพรรคจะสนับสนุนส่วนไหนนั้นต้องรอให้มีมติอีกครั้ง” นายเทวฤทธิ์ กล่าว
เห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว
ชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่คิดแต่ผลประโยชน์นักการเมืองล้วนๆ...
ประชาชนไม่เกี่ยวเลยจริง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
"ผลงาน" บอก "ฝีมือ"
โดย สรกล อดุลยานนท์
รู้สึกไหมครับว่า เรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศและความมั่นคง
ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ไม่ได้ว่าคุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีฝีมือ
เพียงแต่สงสัยว่าทำไมตั้งแต่ "อภิสิทธิ์" แต่งตั้ง "กษิต" ดูแลเรื่องต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านจึงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือพม่า
ด่านชายแดนที่เคยเป็นประตูระหว่างเพื่อนบ้านก็อยู่ในสภาพลักปิดลักเปิดเป็นประจำ
ทั้งที่ชายแดนของไทยติดกับ "พม่า" และ "กัมพูชา" ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด
"คนฉลาด" เขาต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
การวัดผลงานตามหลักการบริหาร เขาไม่ได้วัดว่าได้ไปประชุมร่วมกันกี่ครั้ง จับมือกันกี่หน
แต่เขาวัดกันที่ "ผลงาน" ครับ
คุณอภิสิทธิ์กล้าบอกไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาและพม่าในยุค "กษิต" นั้นดีกว่าในอดีต
ยกหูคุยกันได้
เป็นเพื่อนที่พอเกิดเหตุไม่พอใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่ละคนไม่ติดใจกัน
หรือมีอะไรดีๆ ก็บอกเพื่อน ชวนเพื่อนไปลงทุน
กรณี 7 คนไทย คือคำตอบที่ดีที่สุด
"ผล" ที่แสดงออกมาเป็นคำตอบว่าการบริหารงานของรัฐบาลนั้นเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับเรื่อง "3 จังหวัดชายแดนใต้"
การบุกถล่มค่ายทหารเมื่อ 2-3 วันก่อน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้ยกระดับขึ้นแล้ว
ใครที่บอกว่าสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้น
คนนั้นละเมอ!!!
เพิ่งเห็นตัวงบประมาณด้านการทหารที่รัฐบาลไทยใส่เข้าไป 1.4 แสนล้านบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงเวลาประมาณ 8 ปี
จากปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2554 รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ตั้งงบฯสำหรับดับไฟใต้ 19,102 ล้านบาท
สูงขึ้นเกือบ 50%
ตามหลักการบริหาร รัฐบาลใส่ "คน" และ "งบประมาณ" มากขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงกว่าเดิม
ถ้าคนเป็นนักบริหาร เขาจะตั้งคำถามว่า 1.ตัวผู้บริหารทำงานเป็นหรือเปล่า 2.ใช้คนทำงานถูกต้องหรือเปล่า
หรือ 3.ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาของเราถูกต้องหรือไม่
ทำแบบเดิมๆ มา 8 ปี ใส่เงินและคนเข้าไปมโหฬาร แต่ "ผล" ที่ออกมากลับแย่ลงกว่าเดิม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ งบประมาณด้านการทหารแม้จะเป็นเรื่องจำเป็น
แต่เป็นงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ใส่ลงไปเท่าไร ก็ไม่มีผลทางเศรษฐกิจงอกเงย
ดังนั้น หากรัฐบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน และทำให้ไฟใต้สงบลง
รัฐบาลจะได้มีงบประมาณไปใช้ในกิจการอื่นเพื่อก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น
เรื่องแบบนี้คุณอภิสิทธิ์ควรจะ "คิดนอกกฎ-บริหารนอกกรอบ" บ้าง
ไม่ใช่มัวแต่ "คิดนอกกรอบ" เรื่อง "ชั่งกิโลไข่ไก่"
หรือเป็นวิธีคิดใหม่ทางการบริหาร
สร้าง "รอยยิ้ม" ให้กับคนไทย
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน )
รู้สึกไหมครับว่า เรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศและความมั่นคง
ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ไม่ได้ว่าคุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีฝีมือ
เพียงแต่สงสัยว่าทำไมตั้งแต่ "อภิสิทธิ์" แต่งตั้ง "กษิต" ดูแลเรื่องต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านจึงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือพม่า
ด่านชายแดนที่เคยเป็นประตูระหว่างเพื่อนบ้านก็อยู่ในสภาพลักปิดลักเปิดเป็นประจำ
ทั้งที่ชายแดนของไทยติดกับ "พม่า" และ "กัมพูชา" ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด
"คนฉลาด" เขาต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
การวัดผลงานตามหลักการบริหาร เขาไม่ได้วัดว่าได้ไปประชุมร่วมกันกี่ครั้ง จับมือกันกี่หน
แต่เขาวัดกันที่ "ผลงาน" ครับ
คุณอภิสิทธิ์กล้าบอกไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาและพม่าในยุค "กษิต" นั้นดีกว่าในอดีต
ยกหูคุยกันได้
เป็นเพื่อนที่พอเกิดเหตุไม่พอใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่ละคนไม่ติดใจกัน
หรือมีอะไรดีๆ ก็บอกเพื่อน ชวนเพื่อนไปลงทุน
กรณี 7 คนไทย คือคำตอบที่ดีที่สุด
"ผล" ที่แสดงออกมาเป็นคำตอบว่าการบริหารงานของรัฐบาลนั้นเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับเรื่อง "3 จังหวัดชายแดนใต้"
การบุกถล่มค่ายทหารเมื่อ 2-3 วันก่อน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้ยกระดับขึ้นแล้ว
ใครที่บอกว่าสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้น
คนนั้นละเมอ!!!
เพิ่งเห็นตัวงบประมาณด้านการทหารที่รัฐบาลไทยใส่เข้าไป 1.4 แสนล้านบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงเวลาประมาณ 8 ปี
จากปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2554 รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ตั้งงบฯสำหรับดับไฟใต้ 19,102 ล้านบาท
สูงขึ้นเกือบ 50%
ตามหลักการบริหาร รัฐบาลใส่ "คน" และ "งบประมาณ" มากขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงกว่าเดิม
ถ้าคนเป็นนักบริหาร เขาจะตั้งคำถามว่า 1.ตัวผู้บริหารทำงานเป็นหรือเปล่า 2.ใช้คนทำงานถูกต้องหรือเปล่า
หรือ 3.ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาของเราถูกต้องหรือไม่
ทำแบบเดิมๆ มา 8 ปี ใส่เงินและคนเข้าไปมโหฬาร แต่ "ผล" ที่ออกมากลับแย่ลงกว่าเดิม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ งบประมาณด้านการทหารแม้จะเป็นเรื่องจำเป็น
แต่เป็นงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ใส่ลงไปเท่าไร ก็ไม่มีผลทางเศรษฐกิจงอกเงย
ดังนั้น หากรัฐบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน และทำให้ไฟใต้สงบลง
รัฐบาลจะได้มีงบประมาณไปใช้ในกิจการอื่นเพื่อก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น
เรื่องแบบนี้คุณอภิสิทธิ์ควรจะ "คิดนอกกฎ-บริหารนอกกรอบ" บ้าง
ไม่ใช่มัวแต่ "คิดนอกกรอบ" เรื่อง "ชั่งกิโลไข่ไก่"
หรือเป็นวิธีคิดใหม่ทางการบริหาร
สร้าง "รอยยิ้ม" ให้กับคนไทย
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน )
เศรษฐศาสตร์แห่งความเป็นมนุษย์ (Economics of Human Being): กรณีศึกษา คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์
ความยากไร้ของเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข GDP หรือสัมประสิทธิ์การกระจายรายได้ หากทว่าเกิดจากการตกอยู่ใต้วาทกรรมครอบงำของวิชาเศรษฐศาสตร์อเมริกัน ที่ลดทอนชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เหลือเพียง “วัตถุและกลไกตลาด” ที่เย็นชืดแห้งแล้ง
หากทว่า เศรษฐศาสตร์ที่มั่งคั่งรุ่มรวยด้วยชีวิตและวัฒนธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ กลับเจริญงอกงามในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในสำนัก Annales School ที่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการครอบงำของทฤษฎีวันเดือนปีและการเมืองแห่งวีรบุรุษ เพื่อเข้าสู่การค้นพบปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งเป็นกลไกแท้จริงในการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ให้รุดหน้าไป
โดยเฉพาะ Fernand Braudel นักประวัติศาสตร์ผู้หลงใหลในการศึกษาต้นกำเนิดของระบบทุนนิยมโลก (Capitalism) ที่เศรษฐกิจแบบตลาดและการแข่งขันเสรีเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น หากทว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละชีวิตประจำวันของแต่ละท้องถิ่น (Structure of Everyday Life) กลับมีความสำคัญในการชี้ขาดถึงความสำเร็จและล้มเหลวของการพัฒนาทุนนิยมและกลไกตลาดในแต่ละประเทศ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ชนชั้นนำ” ทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม ไม่เคยเล่นตามกติกาของการแข่งขันเสรี หากทว่ามากล้นไปด้วยการผูกขาดขูดรีดและต่อสู้แย่งชิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งรักโลภโกรธหลงอย่างถึงแก่นเป็นที่สุด
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่แนวทางการวิเคราะห์ระบบทุนนิยมของ Braudel ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือหรือแม้แต่สนใจจากแวดวงเศรษฐศาสตร์ไทย จึงทำให้เศรษฐกิจและภูมิปัญญาไม่อาจเข้าถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ตามที่ควรจะเป็น
นับเป็นโชคดีที่ปัญญาชนไทย 2 ท่านได้ยืนหยัดที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการวิเคราะห์สังคมตามทฤษฎีของ Braudel โดยหนึ่งในนั้นคือ คุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ นักคิดผู้อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทยนับไม่ถ้วน ส่วนอีกท่านคือ รศ.ดร. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่เนรมิตผลงานทางวิชาการเพื่ออธิบายความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทยได้อย่างลึกซึ้งคมคาย โดยที่กาลเวลาจะพิสูจน์ถึงคุณูปการของผลงานเหล่านั้น
18 มกราคม 2554 นับเป็นห้วงยามทางภูมิปัญญาที่น่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักคิดทั้งสองท่านได้มีโอกาสสนทนากันยาวนานถึง 7 ชั่วโมง โดยมีทีมงาน SIU และผู้คนอีกจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
เนื้อหาและความสนุกสุขสมของการปะทะสังสรรค์ทางภูมิปัญญาครั้งนี้ มีความสลับซับซ้อนและแตกแขนงเชื่อมโยงไปมากมาย จึงเป็นการยากที่จะนำเสนอในรูปของบทความอย่างเป็นระบบระเบียบ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความรู้สึกประทับใจบางประการกับบุคลิกภาพและชีวทัศน์ของคุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ จึงปรารถนาที่จะนำบางส่วนเสี้ยวที่ได้สัมผัสรับรู้มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมดื่มด่ำในการสนทนาที่ยาวนานนี้ (Longue durée)
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโหยกระหายสุดยอดแห่งความคิด แต่น้อยคนนักจะสืบค้นไปถึงที่มาที่ไปของกระบวนการสร้างสรรค์ทางความคิด ซึ่งอาจสรุปอย่างย่นย่อได้ว่า คือ การแลกเปลี่ยนบทสนทนากับสรรพชีวิตที่หลากหลายและแตกต่างจากตัวเรา
ปัญญาญาณของพันศักดิ์จึงไม่ได้เริ่มต้นด้วย “ความคิด” จากภายในมันสมองเพียงอย่างเดียว หากทว่าได้อุทิศชีวิตวัยหนุ่มไว้กับความกระหายใคร่รู้ (Excitement of Life) ในการแลกเปลี่ยนหยิบยืมจากผองเพื่อนมนุษย์ผู้มาจากหลากหลายซอกหลืบเผ่าพันธุ์ ตั้งแต่กรุงลอนดอนแหล่งปะทะสังสรรค์ของเหล่าปัญญาชนกบฎ ไปจนกระทั่งถึงปัญญาชนสยามในนามของหนังสือพิมพ์จตุรัส
ความคิดอิสระและเปิดกว้างของพันศักดิ์จากการได้พบปะผู้คนในทุกอารยธรรม ได้กลับมาเป็นผลร้ายทิ่มแทงให้ต้องติดคุกคุมขังในห้วงวิกฤตบ้านเมือง แต่ก็เพราะสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว้างไกลอีกเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คณะฑูตสวีเดนได้ขับรถเก๋งคันหรูมากดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวเพื่อนที่น่ารักคนนี้โดยพลัน
การเดินทางลับเข้าเจรจากับรัฐบาลเวียดนาม การเข้าพบภรรยาของโจวเอินไหลแห่งพรรคคอมมิวสต์จีน การได้ฟังเสียงตบโต๊ะของฮุนเซนที่แสดงถึงไหวพริบทางการเมืองและความใจกว้างแบบชนชั้นนักเลงเก่า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่หล่อหลอมให้พันศักดิ์มีจิตใจและภูมิปัญญาแบบสากลที่ผสมควบรวมทั้งสายลมตะวันออกและภูผาตะวันตก
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าที่ลือลั่น จึงไม่ควรถูกพิจารณาเพียงผิวเผินว่าเป็นชัยชนะของเศรษฐกิจที่มีเหนือการเมืองแบบที่นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ไว้ หากทว่ายังต้องเข้าใจถึงการเจรจาต่อรองที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญเยี่ยงสายลับและสายสัมพันธ์ละเอียดอ่อนแห่งความเป็นมนุษย์ที่ข้ามไร้พรมแดนและอุดมการณ์ทางการเมือง
ความอับจนทางความคิดของนักออกแบบ ย่อมมีที่มาจากการหมกมุ่นในความคิดที่อยู่ในหัว แทนที่จะก้าวเดินออกมาสูดรับอากาศที่บริสุทธิ์จากความหลากหลายของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะเมื่อสายสัมพันธ์ทางสังคมเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรสนิยมและความชื่นชอบของผู้คนในการเสพรับสินค้าและบริการ
“ผี” นิทรรศการแห่งความคิดสร้างสรรค์ของ TCDC ย่อมสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยมิพักต้องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ทางอภิปรัชญาของชีวิตหลังความตายแต่ประการใด
อัจฉริยภาพของพันศักดิ์กลับไม่ได้อยู่ที่การคิดค้นปลุกเสกนิทรรศการ “ผี” ขึ้นมาจากความว่างเปล่า หากทว่าเกิดแต่การหยิบยืมและต่อยอดจากนิทรรศการเรื่อง “โลงศพของมนุษยชาติ” ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนถึงศิลปะแห่งการสานสัมพันธ์กับเครือข่ายภูมิปัญญาทั่วทุกมุมโลก ทำให้พันศักดิ์สามารถผลิตทดลองความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลุ่มลึกไปด้วยคุณภาพและปริมาณ โดยไม่ต้องสูญเสียเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่คนอื่นได้เริ่มต้นไว้แล้ว
หากประเมินจาก “ตัวเลข” ในบัญชีธนาคาร (Money) พันศักดิ์อาจไม่ติดอันดับแม้แต่ 1 ใน 1000 ของเศรษฐีไทย แต่สำหรับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทองเพื่อเสพรับความสุขและพึงพอใจ (Utility) พันศักดิ์ย่อมไม่เป็นสองรองใคร
“จักรยาน” คันละ 200000 แสนบาทของพันศักดิ์ ย่อมนับว่าแพงมหาโหดเมื่อเทียบกับจักรยานธรรมดาทั่วไป แต่เนื่องจากพันศักดิ์เข้าใจอย่างละเอียดยิบถึงองค์ประกอบและรูปแบบทางศิลปะของจักรยานพิเศษคันนี้ (Story) จึงทำให้ความสุขที่ได้จากการขี่จักรยานมีมากกว่าเพียงความพึงพอใจทางกายภาพ หากทว่าเป็นความดื่มด่ำทางใจที่ได้รับจากเรื่องเล่าและตำนาน
เครื่องเสียงชั้นเลิศจากยุโรปตะวันออกของพันศักดิ์ ย่อมไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินให้แต่เฉพาะโสตสัมผัส หากทว่าพรั่งพร้อมด้วยเก้าอี้เอนหลังที่สร้างความสุขแห่งกายสัมผัส ที่สำคัญยังมีการจัดวางตำแหน่งให้สมดุลสอดรับกับองค์ประกอบส่วนอื่นภายในบ้าน จึงช่วยเพิ่มสุนทรียะทางสายตาให้ลึกล้ำโดดเด่นยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า วัตถุแห่งชีวิตของพันศักดิ์ (Material of Life) ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหาซื้อมาได้ง่ายดายนัก แต่สำหรับมหาเศรษฐีที่สามารถสรรหาซื้อทุกอย่างได้สูงส่งยิ่งกว่าพันศักดิ์ ก็ไม่แน่ว่าจะเสพรับสุนทรียะของชีวิตได้ดีทัดเทียมกัน เนื่องจากความยากไร้ทางปัญญา (Intellectual Life) ที่จะเติมเต็มเรื่องเล่าให้กับวัสดุแพงหรูที่ฉวยคว้ามา
สุดท้ายแล้ว ความสุขของพันศักดิ์ยังไม่ถูกจองจำเข้าไว้กับโลกทางวัตถุ หากทว่ายังมีภารกิจทางปัญญาให้ค้นคว้าและเติมเต็มไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเครือข่ายของผู้คนจากทุกมุมโลกที่สานสัมพันธ์ไว้อย่างดีในวัยหนุ่มนั้นได้ย้อนกลับมาตอบแทนทางสุนทรียะให้กับวัยชราได้กัดกินผลไม้แห่งความตื่นรู้ได้อย่างเอร็ดอร่อยยิ่ง
ที่มา.http://www.siamintelligence.com/human-being/
หากทว่า เศรษฐศาสตร์ที่มั่งคั่งรุ่มรวยด้วยชีวิตและวัฒนธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ กลับเจริญงอกงามในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในสำนัก Annales School ที่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการครอบงำของทฤษฎีวันเดือนปีและการเมืองแห่งวีรบุรุษ เพื่อเข้าสู่การค้นพบปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งเป็นกลไกแท้จริงในการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ให้รุดหน้าไป
โดยเฉพาะ Fernand Braudel นักประวัติศาสตร์ผู้หลงใหลในการศึกษาต้นกำเนิดของระบบทุนนิยมโลก (Capitalism) ที่เศรษฐกิจแบบตลาดและการแข่งขันเสรีเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น หากทว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละชีวิตประจำวันของแต่ละท้องถิ่น (Structure of Everyday Life) กลับมีความสำคัญในการชี้ขาดถึงความสำเร็จและล้มเหลวของการพัฒนาทุนนิยมและกลไกตลาดในแต่ละประเทศ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ชนชั้นนำ” ทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม ไม่เคยเล่นตามกติกาของการแข่งขันเสรี หากทว่ามากล้นไปด้วยการผูกขาดขูดรีดและต่อสู้แย่งชิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งรักโลภโกรธหลงอย่างถึงแก่นเป็นที่สุด
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่แนวทางการวิเคราะห์ระบบทุนนิยมของ Braudel ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือหรือแม้แต่สนใจจากแวดวงเศรษฐศาสตร์ไทย จึงทำให้เศรษฐกิจและภูมิปัญญาไม่อาจเข้าถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ตามที่ควรจะเป็น
นับเป็นโชคดีที่ปัญญาชนไทย 2 ท่านได้ยืนหยัดที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการวิเคราะห์สังคมตามทฤษฎีของ Braudel โดยหนึ่งในนั้นคือ คุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ นักคิดผู้อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทยนับไม่ถ้วน ส่วนอีกท่านคือ รศ.ดร. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่เนรมิตผลงานทางวิชาการเพื่ออธิบายความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทยได้อย่างลึกซึ้งคมคาย โดยที่กาลเวลาจะพิสูจน์ถึงคุณูปการของผลงานเหล่านั้น
18 มกราคม 2554 นับเป็นห้วงยามทางภูมิปัญญาที่น่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักคิดทั้งสองท่านได้มีโอกาสสนทนากันยาวนานถึง 7 ชั่วโมง โดยมีทีมงาน SIU และผู้คนอีกจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
เนื้อหาและความสนุกสุขสมของการปะทะสังสรรค์ทางภูมิปัญญาครั้งนี้ มีความสลับซับซ้อนและแตกแขนงเชื่อมโยงไปมากมาย จึงเป็นการยากที่จะนำเสนอในรูปของบทความอย่างเป็นระบบระเบียบ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความรู้สึกประทับใจบางประการกับบุคลิกภาพและชีวทัศน์ของคุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ จึงปรารถนาที่จะนำบางส่วนเสี้ยวที่ได้สัมผัสรับรู้มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมดื่มด่ำในการสนทนาที่ยาวนานนี้ (Longue durée)
1. ศิลปะแห่งสายสัมพันธ์ที่หลากหลายรุ่มรวย (Connecting the dots)“อัจฉริยะ คือ ผู้ที่ชาญฉลาดในการหยิบยืมความคิดที่ดีที่สุดจากสรรพสิ่งรอบกาย”
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโหยกระหายสุดยอดแห่งความคิด แต่น้อยคนนักจะสืบค้นไปถึงที่มาที่ไปของกระบวนการสร้างสรรค์ทางความคิด ซึ่งอาจสรุปอย่างย่นย่อได้ว่า คือ การแลกเปลี่ยนบทสนทนากับสรรพชีวิตที่หลากหลายและแตกต่างจากตัวเรา
ปัญญาญาณของพันศักดิ์จึงไม่ได้เริ่มต้นด้วย “ความคิด” จากภายในมันสมองเพียงอย่างเดียว หากทว่าได้อุทิศชีวิตวัยหนุ่มไว้กับความกระหายใคร่รู้ (Excitement of Life) ในการแลกเปลี่ยนหยิบยืมจากผองเพื่อนมนุษย์ผู้มาจากหลากหลายซอกหลืบเผ่าพันธุ์ ตั้งแต่กรุงลอนดอนแหล่งปะทะสังสรรค์ของเหล่าปัญญาชนกบฎ ไปจนกระทั่งถึงปัญญาชนสยามในนามของหนังสือพิมพ์จตุรัส
ความคิดอิสระและเปิดกว้างของพันศักดิ์จากการได้พบปะผู้คนในทุกอารยธรรม ได้กลับมาเป็นผลร้ายทิ่มแทงให้ต้องติดคุกคุมขังในห้วงวิกฤตบ้านเมือง แต่ก็เพราะสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว้างไกลอีกเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คณะฑูตสวีเดนได้ขับรถเก๋งคันหรูมากดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวเพื่อนที่น่ารักคนนี้โดยพลัน
การเดินทางลับเข้าเจรจากับรัฐบาลเวียดนาม การเข้าพบภรรยาของโจวเอินไหลแห่งพรรคคอมมิวสต์จีน การได้ฟังเสียงตบโต๊ะของฮุนเซนที่แสดงถึงไหวพริบทางการเมืองและความใจกว้างแบบชนชั้นนักเลงเก่า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่หล่อหลอมให้พันศักดิ์มีจิตใจและภูมิปัญญาแบบสากลที่ผสมควบรวมทั้งสายลมตะวันออกและภูผาตะวันตก
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าที่ลือลั่น จึงไม่ควรถูกพิจารณาเพียงผิวเผินว่าเป็นชัยชนะของเศรษฐกิจที่มีเหนือการเมืองแบบที่นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ไว้ หากทว่ายังต้องเข้าใจถึงการเจรจาต่อรองที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญเยี่ยงสายลับและสายสัมพันธ์ละเอียดอ่อนแห่งความเป็นมนุษย์ที่ข้ามไร้พรมแดนและอุดมการณ์ทางการเมือง
2. สังคมวิทยาแห่งการออกแบบ (Sociology of Design)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) นับเป็นคำสวยหรูที่อาจทำให้ประเทศไทยวางแผนการพัฒนาอย่างผิดพลาดได้ โดยเฉพาะเมื่อความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ (Economy) ของคนส่วนใหญ่ ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดที่คำว่า “กลไกตลาด”
ความอับจนทางความคิดของนักออกแบบ ย่อมมีที่มาจากการหมกมุ่นในความคิดที่อยู่ในหัว แทนที่จะก้าวเดินออกมาสูดรับอากาศที่บริสุทธิ์จากความหลากหลายของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะเมื่อสายสัมพันธ์ทางสังคมเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรสนิยมและความชื่นชอบของผู้คนในการเสพรับสินค้าและบริการ
“ผี” นิทรรศการแห่งความคิดสร้างสรรค์ของ TCDC ย่อมสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยมิพักต้องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ทางอภิปรัชญาของชีวิตหลังความตายแต่ประการใด
อัจฉริยภาพของพันศักดิ์กลับไม่ได้อยู่ที่การคิดค้นปลุกเสกนิทรรศการ “ผี” ขึ้นมาจากความว่างเปล่า หากทว่าเกิดแต่การหยิบยืมและต่อยอดจากนิทรรศการเรื่อง “โลงศพของมนุษยชาติ” ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนถึงศิลปะแห่งการสานสัมพันธ์กับเครือข่ายภูมิปัญญาทั่วทุกมุมโลก ทำให้พันศักดิ์สามารถผลิตทดลองความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลุ่มลึกไปด้วยคุณภาพและปริมาณ โดยไม่ต้องสูญเสียเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่คนอื่นได้เริ่มต้นไว้แล้ว
3. ชีวิตที่ละเมียดไปด้วยเรื่องเล่า (The Story of Life and Happiness)เศรษฐศาสตร์ไม่เคยปรารถนาที่จะละเลยชีวิต โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของมนุษย์ (Utility) เหนือกว่ามายาแห่งเงินตรา (Money) แต่ด้วยความทะเยะทะยานที่จะผลักดันสาขาวิชาให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ จึงต้องพยายามทำให้ทุกตัวแปรที่เกี่ยวข้องสามารถวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ Utility ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของเศรษฐศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งสิ่งที่วัดได้และวัดไม่ได้ จึงถูกลดทอนให้เหลือแต่เพียงสสารวัตถุที่เย็นชืดจับต้องได้เท่านั้น
หากประเมินจาก “ตัวเลข” ในบัญชีธนาคาร (Money) พันศักดิ์อาจไม่ติดอันดับแม้แต่ 1 ใน 1000 ของเศรษฐีไทย แต่สำหรับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทองเพื่อเสพรับความสุขและพึงพอใจ (Utility) พันศักดิ์ย่อมไม่เป็นสองรองใคร
“จักรยาน” คันละ 200000 แสนบาทของพันศักดิ์ ย่อมนับว่าแพงมหาโหดเมื่อเทียบกับจักรยานธรรมดาทั่วไป แต่เนื่องจากพันศักดิ์เข้าใจอย่างละเอียดยิบถึงองค์ประกอบและรูปแบบทางศิลปะของจักรยานพิเศษคันนี้ (Story) จึงทำให้ความสุขที่ได้จากการขี่จักรยานมีมากกว่าเพียงความพึงพอใจทางกายภาพ หากทว่าเป็นความดื่มด่ำทางใจที่ได้รับจากเรื่องเล่าและตำนาน
เครื่องเสียงชั้นเลิศจากยุโรปตะวันออกของพันศักดิ์ ย่อมไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินให้แต่เฉพาะโสตสัมผัส หากทว่าพรั่งพร้อมด้วยเก้าอี้เอนหลังที่สร้างความสุขแห่งกายสัมผัส ที่สำคัญยังมีการจัดวางตำแหน่งให้สมดุลสอดรับกับองค์ประกอบส่วนอื่นภายในบ้าน จึงช่วยเพิ่มสุนทรียะทางสายตาให้ลึกล้ำโดดเด่นยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า วัตถุแห่งชีวิตของพันศักดิ์ (Material of Life) ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหาซื้อมาได้ง่ายดายนัก แต่สำหรับมหาเศรษฐีที่สามารถสรรหาซื้อทุกอย่างได้สูงส่งยิ่งกว่าพันศักดิ์ ก็ไม่แน่ว่าจะเสพรับสุนทรียะของชีวิตได้ดีทัดเทียมกัน เนื่องจากความยากไร้ทางปัญญา (Intellectual Life) ที่จะเติมเต็มเรื่องเล่าให้กับวัสดุแพงหรูที่ฉวยคว้ามา
สุดท้ายแล้ว ความสุขของพันศักดิ์ยังไม่ถูกจองจำเข้าไว้กับโลกทางวัตถุ หากทว่ายังมีภารกิจทางปัญญาให้ค้นคว้าและเติมเต็มไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเครือข่ายของผู้คนจากทุกมุมโลกที่สานสัมพันธ์ไว้อย่างดีในวัยหนุ่มนั้นได้ย้อนกลับมาตอบแทนทางสุนทรียะให้กับวัยชราได้กัดกินผลไม้แห่งความตื่นรู้ได้อย่างเอร็ดอร่อยยิ่ง
ที่มา.http://www.siamintelligence.com/human-being/
ทหารคนสนิท เผย นาทีระทึกผบ.ร้อย ร.15121 พลีชีพ
นายธนน เวชกรกานนท์ ผวจ.นราธิวาส เดินทางมาที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เขตเทศบา ลเมืองนราธิวาส เพื่อมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่ทหาร ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้า ยบุกปล้นคลังแสงฐานปฏิบัติการทหาร ร้อย ร.15121
โดยนายแพทย์วิรุฬ พรพัฒนกุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสรา ชนครินทร์ กล่าวรายงานว่า ทหารบาดเจ็บมารักษาอาการในโรงพยาบาลจำนวน 6 นาย ทหาร คือ จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ, ส.อ.สุพล ชูศรี, พลฯ ธันวา ยอดแก้ว, พลฯ อารีฟูดิน การี, ส.อ.ณัฐกิจ โพธิ์จันทร์ และ จ.ส.อ.สุคนธ์ สะมะบุ
ล่าสุดอาการของทหาร 4 นาย ปลอดภัยแล้ว ยกเว้น พลฯ ธันวา และ ส.อ.สุพล ซึ่งถูกกระสุนปืนที่หน้าอกอาการสาหัสมาก ยังอยู่ในห้อง ไอซียู และเมื่อเช้าวันนี้ ได้ส่ง พลฯ ธันวา ไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าเยี่ยมอาการ พลฯ สุคน สะมะบุ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นายธนน ผวจ.นราธิ วาส ฟังว่า ในคืนเกิดเหตุ ตนทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในบังเกอร์ริมถนนด้านหน้าของฐานปฏิบัติการ ขณะบุกโจมตีนั้น คนร้ายได้ใช้ระเบิดขว้างเข้าใส่ก่อน 5-6 ลูก ตนถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาล้มฟุบลง
"ช่วงนั้นแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้ารอบฐานปฏิบัติการดับพรึบลง จากนั้นได้ยินเสียงปืนที่คนร้ายยิงมาดังตูมๆ เพื่อกดดันไม่ให้ตนและเพื่อนทหารที่เข้าเวรยามอยู่ประมาณ 10 นาย ได้โงหัวขึ้นยิงตอบโต้ ตนและเพื่อนได้พยายามยิงต่อสู้กับคนร้าย แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันมืดไปหมด เห็นแต่แสงไฟจากปากกระบอกปืนของคนร้ายเป็นวูบๆ เหมือนกับแสงไฟจากแฟ๊ช จากกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ตนและเพื่อนได้ยิงตอบโต้ไปจนกระสุนปืนหมดแม็กกาซีนเลย"
ในขณะที่จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งจัดการเอกสารต่างๆ กับ ร.อ.กฤช ผบ.ร้อย ร.15121 กันอยู่ในอาคารน๊อกดาวน์หลังหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงานนั้น ไฟฟ้าจากหลอดนีออนในห้องดับพรึบลง จากนั้นมีกระสุนปืนพุ่งเข้าใส่อาคารน๊อคดาวน์มาจากทุกทิศทาง จนเป็นรูพรุนไปหมด โดยเฉพาะที่ประตูทางออกของอาคารน๊อคดาวน์ มีกระสุนปืนยิงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่สามา รถวิ่งฝ่าออกไปได้ เมื่อเห็นดังนั้น ร.อ.กฤช จึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง
"ขณะที่ ร.อ.กฤช กำลังกระโดดพุ่งลอยตัว เพื่อหนีออกทางหน้าต่างนั้น คนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ใต้ต้นลองกองกราดยิงปืนเข้าใส่นับร้อยนัด จนที่หน้าออก และลำตัวของ ร.อ.กฤช เป็นรูพรุนไปหมด ร่วงหล่นตุบลงมากองกับพื้นเสียชี วิตในทันที ส่วนผมได้กระโดดตามออกมาจึงถูกกระสุนปืนทีข้อเท้าข้างขวา ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว"
นอกจากนี้ จ.ส.อ.จินตนะ ยังบอกอีกว่า ขณะเกิดเหตุมีทหารอยู่ในฐานปฏิบัติการประมาณ 40 นาย แต่อยู่กระจัดกระจายกันอยู่กันคนละจุด และว่าหลังจากกระแสไฟฟ้าดับแล้ว บรรยากาศรอบข้างมืดไปหมด ไม่เห็นคนร้าย ทหารได้พยายามยิงตอบโต้คนร้าย ด้วยการสังเกตจากแสงไฟแวบๆ จากปลายปากกระบอกปืนที่คนร้ายยิงมาเท่านั้น
ที่มา.เนชั่น
โดยนายแพทย์วิรุฬ พรพัฒนกุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสรา ชนครินทร์ กล่าวรายงานว่า ทหารบาดเจ็บมารักษาอาการในโรงพยาบาลจำนวน 6 นาย ทหาร คือ จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ, ส.อ.สุพล ชูศรี, พลฯ ธันวา ยอดแก้ว, พลฯ อารีฟูดิน การี, ส.อ.ณัฐกิจ โพธิ์จันทร์ และ จ.ส.อ.สุคนธ์ สะมะบุ
ล่าสุดอาการของทหาร 4 นาย ปลอดภัยแล้ว ยกเว้น พลฯ ธันวา และ ส.อ.สุพล ซึ่งถูกกระสุนปืนที่หน้าอกอาการสาหัสมาก ยังอยู่ในห้อง ไอซียู และเมื่อเช้าวันนี้ ได้ส่ง พลฯ ธันวา ไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าเยี่ยมอาการ พลฯ สุคน สะมะบุ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นายธนน ผวจ.นราธิ วาส ฟังว่า ในคืนเกิดเหตุ ตนทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในบังเกอร์ริมถนนด้านหน้าของฐานปฏิบัติการ ขณะบุกโจมตีนั้น คนร้ายได้ใช้ระเบิดขว้างเข้าใส่ก่อน 5-6 ลูก ตนถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาล้มฟุบลง
"ช่วงนั้นแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้ารอบฐานปฏิบัติการดับพรึบลง จากนั้นได้ยินเสียงปืนที่คนร้ายยิงมาดังตูมๆ เพื่อกดดันไม่ให้ตนและเพื่อนทหารที่เข้าเวรยามอยู่ประมาณ 10 นาย ได้โงหัวขึ้นยิงตอบโต้ ตนและเพื่อนได้พยายามยิงต่อสู้กับคนร้าย แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันมืดไปหมด เห็นแต่แสงไฟจากปากกระบอกปืนของคนร้ายเป็นวูบๆ เหมือนกับแสงไฟจากแฟ๊ช จากกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ตนและเพื่อนได้ยิงตอบโต้ไปจนกระสุนปืนหมดแม็กกาซีนเลย"
ในขณะที่จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งจัดการเอกสารต่างๆ กับ ร.อ.กฤช ผบ.ร้อย ร.15121 กันอยู่ในอาคารน๊อกดาวน์หลังหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงานนั้น ไฟฟ้าจากหลอดนีออนในห้องดับพรึบลง จากนั้นมีกระสุนปืนพุ่งเข้าใส่อาคารน๊อคดาวน์มาจากทุกทิศทาง จนเป็นรูพรุนไปหมด โดยเฉพาะที่ประตูทางออกของอาคารน๊อคดาวน์ มีกระสุนปืนยิงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่สามา รถวิ่งฝ่าออกไปได้ เมื่อเห็นดังนั้น ร.อ.กฤช จึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง
"ขณะที่ ร.อ.กฤช กำลังกระโดดพุ่งลอยตัว เพื่อหนีออกทางหน้าต่างนั้น คนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ใต้ต้นลองกองกราดยิงปืนเข้าใส่นับร้อยนัด จนที่หน้าออก และลำตัวของ ร.อ.กฤช เป็นรูพรุนไปหมด ร่วงหล่นตุบลงมากองกับพื้นเสียชี วิตในทันที ส่วนผมได้กระโดดตามออกมาจึงถูกกระสุนปืนทีข้อเท้าข้างขวา ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว"
นอกจากนี้ จ.ส.อ.จินตนะ ยังบอกอีกว่า ขณะเกิดเหตุมีทหารอยู่ในฐานปฏิบัติการประมาณ 40 นาย แต่อยู่กระจัดกระจายกันอยู่กันคนละจุด และว่าหลังจากกระแสไฟฟ้าดับแล้ว บรรยากาศรอบข้างมืดไปหมด ไม่เห็นคนร้าย ทหารได้พยายามยิงตอบโต้คนร้าย ด้วยการสังเกตจากแสงไฟแวบๆ จากปลายปากกระบอกปืนที่คนร้ายยิงมาเท่านั้น
ที่มา.เนชั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)