--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เสพสุข หาความสนุกส่วนตัว!!

“เดวิด คาเมรอน” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ วัยสะอ่อน พร้อม “ซาแมนทา” สตรีหมายเลข ๑ งดและระงับ มาจู๋จี๋อาบแดดช่วงคริสต์มาส ที่ประเทศไทยแล้วล่ะทูนหัว??

ทนเสียง แช่งชักหักกระดูก ของประชาชนชาวอังกฤษ ที่อดอยากไม่มีกิน..แต่ผู้นำกลับควักกระเป๋าใช้เงินส่วนตัว มาทุ่มล้างผลาญเงินนอกประเทศ

ผิดกับรัฐบาลไทย ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ใช้เงิน อย่างสะเด็ด

ใช้เงินหลวง งบแผ่นดิน ..อนุมัติ “รัฐมนตรี” ขี่เรือเหาะไปนอก..พร้อมทั้งปรนเปรอ “สส.รัฐบาล” และ “ สส.ในเครือข่าย” ให้ไปดูงานเมืองฝรั่งกันบานเบอะ..ถ้าเอาเงินมาให้คนไทยที่ยากจน จะแก้ปัญหาได้จมหู!!!

ผลาญเงินชาติเป็นกอบเป็นกำ...เล่นปู้ยี่ปู้ย่ำ?...ทำหยั้งงี้ได้ตลอดเวลา ยังไงก็ไม่รู้?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

พูดเอาดี วาจาแสนจะเก่ง!!!

แต่ “ฝ่ายทหาร” นักรบแห่งชาติ รุมประณาม “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียงบ๊งเบ๊ง??

ที่เปล่งเสียงว่า “ยุบสภาฯดีกว่าปฏิวัติ”

แต่ชายนักรบชาติทหาร กล่าวว่า “ปฏิวัติดีกว่า สิ้นชาติ”

โดยเหตุผลชาวบ้านต่างเห็นกันตำตา “รัฐบาลอภิสิทธิ์”
คอรัปชั่นกันปากมันเขรอะ หนำซ้ำบางคนยังแอบอ้างสถาบันเป็นนิจ.. เพื่อทำลายคนอื่นให้ย่อยยับ!!!!

หรือรัฐบาลจะเถียง...ถ้าเช่นนั้นส่งเสียง?...เรียงคิวเถียงทหาร เขาก็ได้นะครับ???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ลืม “หลักการ” ที่มุ่งมั่นสนิท!!!

“พรรคการเมืองใหม่” ใต้การกำกับคอนโทรล ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ฉะนั้น ถึงไม่มีเวลาขบคิด??

แต่ก่อนร่อนชะไร, คุยโม้โอ่เอาไว้, “พรรคการเมืองใหม่” จะเป็นน้ำดี เข้ามาไล่นักการเมืองน้ำเน่า ที่โกงกินชาติและบ้านเมือง ไม่ให้มีที่ยืน ที่อยู่

เท่าที่รับทราบมา สนามเลือกตั้งซ่อม เขต ๒ กทม. “สมศักดิ์ โกศัยสุข” หัวหน้าพรรค “สุริยะใส ตักกะศิลา” เลขาธิการพรรค ถอดหัว ไม่ยอมส่งผู้สมัครลงสู้

เขตเลือกตั้งซ่อมที่ ๒ นี้ “พรรคการเมืองใหม่” ในฐานะ “กลุ่มพันธมิตร” มีเสียงแข็งโป๊ก เพราะเป็นพื้นที่ ของพี่น้องเหล่าเต๊งตาชั้นเดียว คนจีนผู้มีฐานะ อยู่กันเป็นส่วนใหญ่!!!

ถ้าตั้งพรรคการเมือง...คอยจ้องหาแต่เรื่อง?..มีแค่ม๊อบเสื้อเหลือง ก็ได้????

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใส่เกียร์ถอยหลัง กลับลำ!!

ไม่ยอมรับนิมนต์ เป็นประธานสอบคลิปฉาว ที่แฉ “ตุลาการรัฐธรรมนูญ”...เพราะ “นิติบริการ” ท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รู้ว่า มีแต่เรื่องทำให้ตัวเองต้อยต่ำ???

เรื่องรู้ทิศทางลมแล้ว?.. ต้องยกหัวแม่โป้ง ให้ “บิ๊กบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” และ บิ๊กวิษณุ เครือข่าย” ๒ ศรีพี่น้อง คู่นี้

เป็นสายเลือดชาวสงขลา ที่แม่นกฎหมายระดับอ๋อง ขนาด “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลือดน้ำเค็มสงขลาด้วยกัน ยังชมไม่ขาดตลอดเวลา ที่ผ่านมาหลายปี

ต้องดูกันให้ออก “ท่านบวรศักดิ์-ท่านวิษณุ” ไม่ลดเพดานไปสร้างเรื่องยุ่ง..เมื่อยามอยู่กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” พอรู้ว่าต้องโดนเตะตัดขาแน่ ๆ ..ท่านก็ชะแว้ปถอนตัวออกมา!!!

ถ้า “บวรศักดิ์”ไม่ยุ่งกับใคร...คนนั้นเตรียมตกอำนาจได้..โอกาสตกกระได ไล่หลังจะตามมา?

+++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร.บางกอกทูเดย์

ปัญหาอยู่ที่ใคร !!!!!

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศชุมนุมยืดเยื้อระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้มีบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ...(แก้ทั้งฉบับ) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 71,543 คน เป็นผู้เสนอ 2.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...)พ.ศ. ...(หลายมาตรามี 6 ประเด็น) ส.ส.จำนวน 102 คน เป็นผู้เสนอ 3.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...(มาตรา 93-98) คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และ 4.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...(มาตรา 190) คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ

แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าเรื่องระบบเลือกตั้งที่แก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นมีการฟังเสียงประชาชนและศึกษากันมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเป็นการศึกษาของคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง โดยมีการเสนอลดจำนวน ส.ส. ลง และเพิ่ม ส.ส.สัดส่วน

แต่นายอภิสิทธิ์ก็ออกปากว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน เหมือนกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ จึงทำให้หลายฝ่ายไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะรัฐมนตรีที่มติเห็นชอบก็เพื่อลดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล

ที่สำคัญการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่จะจบภายใน 3 วัน แต่ยังมีกระบวนการของรัฐสภา หลังจากรับหลักการแล้วต้องไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดต้องเว้นระยะ 15 วัน แล้วจึงกลับมาพิจารณาในวาระ 3 ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าหากการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีก็ควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะก่อนหน้านี้เคยตั้งคณะ กรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายชุด หากครั้งนี้แก้ไม่สำเร็จอีก นายกรัฐมนตรีต้องรับ ผิดชอบด้วยการลาออก แม้ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรืองบประมาณ ซึ่งต้องยุบสภา เพื่อสร้างมาตรฐานทางการเมือง ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยหลายประเทศก็สร้างบรรทัดฐานนี้

นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เคยอภิปรายว่า นักการเมืองต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าคธรรมดา ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน

แต่ยังรวมถึงเรื่องจริยธรรมทางการเมืองหรือความรับผิดชอบทางการเมือง ที่วันนี้หลายฝ่ายมองว่านายอภิสิทธิ์เองคือตัวปัญหาและทำลายบรรทัดฐานทางการเมืองที่สังคมประชาธิปไตยยึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย แม้ยืนยันว่าไม่ได้สั่งให้ทหารฆ่าประชาชน แต่ก็สั่งให้ทหารสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน

เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจแยกได้จากวิกฤตบ้านเมืองวันนี้ที่ยังเต็มไปด้วย 2 มาตรฐาน และผู้นำที่ไร้จริยธรรมทางการเมือง

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

คดีพลิก! เซ็นทรัลเวิลด์ส่อแห้วประกันไฟไหม้ ฝรั่งยันเข้าข่ายก่อการร้าย แนะพึ่งศาลฟ้องเรียก5-6พันล้าน

เซ็นทรัลเวิลด์ส่อแววแห้วเคลมประกัน 1.3 หมื่นล้าน "เทเวศ"ชี้ฝรั่งระบุชัดเข้าข่ายก่อการร้าย แนะฟ้องร้องให้ศาลตัดสิน อาจได้เงินค่าเสียหาย 5-6 พันล้าน แต่ต้องใช้เวลานาน 5-7 ปี ส่วนห้างเซนเสียหายประมาณ 2 พันล้าน คาดว่าจะจ่ายให้ต้นปีหน้า

กรณีการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk : IAR) ให้กับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทุนประกันเกือบ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นเวิลด์ทุนประกัน 1.3 หมื่นล้านบาท และรับประกันก่อการร้ายกับห้างสรรพสินค้าเซนมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับประกันภัยก่อการร้าย ทุนประกัน 3.5 พันล้านบาท

นายอนันต์ เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ เทเวศประกันภัย กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศ (รีอินชัวเรอส์) มีจุดยืนว่า ความเสียหายของเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดจากภัยก่อการร้าย ดังนั้น เซ็นทรัลอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เนื่องจากกรมธรรม์ประเภทนี้จะคุ้มครองภัยที่เกิดจากการโจรกรรม หรือจลาจล และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินผู้เอาประกันภัย รวมถึงความสูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) จนทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียรายได้ แต่ไม่รวมภัยจากการก่อการร้าย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับที่สูงกว่า

"ที่บริษัทคาดว่าจะไม่คุ้มครอง เพราะรีอินชัวเรอส์เข้ามาพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้วพบว่าเข้าข่ายก่อการร้ายจริงๆ โดยดูจากบริบทรอบข้าง ไม่ได้ยึดคำประกาศของรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้ ตามเงื่อนไขของประกัน IAR จะมีหมายเหตุว่า ไม่คุ้มครองภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย เพราะเป็นภัยเฉพาะเจาะจง โดยยึดจากตัวอย่างเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 หรือ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้นมา และเหตุการณ์นี้เขาก็สรุปว่ารุนเเรงกว่าจลาจล"นายอนันต์กล่าว

นายอนันต์กล่าวว่า หากเซ็นทรัลพัฒนาเห็นว่าน่าจะมีข้อสรุปที่ดีกว่า และยังรู้สึกสงสัยกับจุดยืนของรีอินชัวเรอส์ ประกอบกับเห็นว่าค่าเสียหายที่จะได้รับจากการประกันก่อการร้ายต่ำกว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาท เซ็นทรัลก็อาจนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลได้ โดยให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาคดีความ ซึ่งอาจใช้เวลา 5-7 ปี ทั้งนี้ เห็นว่าทางรีอินชัวเรอส์น่าจะพร้อมชี้แจงกับผลสรุปดังกล่าว

นายอนันต์กล่าวว่า ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนที่ทำประกันก่อการร้ายมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งผลจากการประเมินความเสียหายคืบหน้าไปกว่า 95% ในเบื้องต้นพบว่า มูลค่าความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่เกินทุนประกัน โดยบริษัทจะรอข้อสรุปที่เหลือก่อนจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายได้ไม่เกินไตรมาส 1 ปีหน้า

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พลเมืองสหรัฐถูกเจ้าหน้าที่ไทยสอบสวนและตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในอเมริกา



เมื่อไม่นานมานี้ องค์สิทธิมนุษยชนโลกได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติการ <ทางสิทธิมนุษยชน>ที่กำลังเพิ่มระดับขึ้น โดยจะมีการเผยแพร่ข้อมูลใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

พลเมืองสหรัฐถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ไทยเนื่องจากกิจกรรมบนอินเตอร์เน็ต
นักข่าวไร้พรมแดนและองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก สหรัฐอเมริกา (“สิทธิมนุษยชน สหรัฐอเมริกา”) รู้สึกโมโหที่นายแอนโทนี ชัย ชาวอเมริกัน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ไทย ทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในปี 2549 ชัยมีเชื้อสายไทยและได้รับการรับรองสิทธิพลเมืองสหรัฐในช่วงปลายยุค 70 ชัยอาจเสี่ยงต่อการถูกจับกุมหากเดินทางกลับประเทศไทย
ในปี 2549 เจ้าหน้าที่ไทยได้ติดต่อบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ http://www.manusaya.com ซึ่งมีการเผยแร่ความเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และความเห็นดังกล่าวนั้นมาจากคอมพิวเตอร์ที่ชัยใช้ทำงาน ทางองค์กรเชื่อว่าบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ดังกล่าวให้ข้อมูล IP address ของชัยไปโดยที่ชัยไม่ทราบ และบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ดังกล่าวยังระงับการใช้งานเวปไซต์ดังกล่าวด้วย

“เรารู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยที่ ขยายวงกว้าง โดยมีนำมาใช้กับพลเมืองประเทศอื่นที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดทางการเมืองได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศไทย” องค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าว “กรณีของชัยเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันไม่ได้คัดค้านให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเข้ามาสอบสวนพลเมืองอเมริกันบนแผ่นดินอเมริกา และสิ่งที่ฉาวโฉ่มากกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ไทยสามารถขอให้บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินกิจการในสหรัฐปฏิบัติตามกฎหมายไทย และนี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันในแง่ของกฎหมายอเมริกันที่จะต้องปกป้องกิจการของพลเรือน เราขอเรียกร้องให้หน่วยงานยุติธรรมดำเนินการกับกรณีนี้” องค์กรสิทธิมนุษยชนและนักข่าวไร้พรมแดนประกาศ

นายแอนโทนี่ ชัยบอกกับนักข่าวไร้พรมแดนและองค์กรสิทธิมนุษยชนในสหรัฐว่า “เจ้าหน้าที่ไทยคนหนึ่งที่มาสอบสวนบอกผมว่า เขาต้องการที่จะเก็บรักษาเอกสาร หนังสือเล่มเล็กๆที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยไว้ในที่ปลอดภัย ดัวยความกลัวที่ผมอาจจะไม่สามารถกลับไปประเทศไทยได้อีก ผมจึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่คนนั้น อัยการไทยและผู้แทนจากวังอย่างเต็มที่ โดยมีทั้งหมดสามคน ผมตอบคำถามทุกคำถามที่เขาต้องการเอาไปลงในรายงานตำรวจ ทั้งยังให้วรรณคดีและหนังสือเล่มเล็กๆเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ผมและผู้ช่วยได้รับผ่านทางไปรษณีย์มานานหลายปี ผมรู้สึกตกใจเจ้าหน้าที่ไทยตัดสินใจดำเนินคดีผมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

รัฐธรรมนูญอเมริกัน ฉบับแก้ไขครั้งที่สี่ บัญญัติว่า “สิทธิความปลอดภัยของพลเรือนในร่างกาย ที่อยู่อาศัย เอกสาร และสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ด้วยการถูกค้นและยึดโดยไม่มีเหตุอันสมควร และหมายค้นสามารถออกได้ต่อเมื่อมีเหตุอันเหมาะสม บนพื้นฐานของการให้สัตยาบันและคำปฏิญาณ และต้องมีการอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวสถานที่ที่ต้องการจะทำการค้น และทรัพย์สินที่ต้องการจะทำการยึด”
สำหรับท่านที่สนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ที่นี่ http://en.rsf.org/thailand.html และ http://en.rsf.org/surveillance-thailand,36673.html.

นักข่าวไร้พรมแดนเป็นองค์กรสื่อระหว่างประเทศที่ปกป้องสิทธิในการเผยแพร่และรับรู้ข้อมูลข่าวสาร องค์กรสิทธิมนุษยชนโลก สหรัฐอเมริกา (“สิทธิมนุษยชน อเมริกา”) คือองค์กรเอกชนในสหรัฐอเมริกาที่ตรวจสอบการดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกาว่ามีความสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลหรือไม่

ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มองพม่าสะท้อนถึงไทย

‘ผู้นำความคิด’ ยังปรับตัวเทปม้วนเก่าตัวอันตรายถึงเวลา ‘เลิกหลงอำนาจ’

เห็นข่าวทางการพม่าปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ซึ่ง “เธอ” ก็ปรับบทบาทและทีท่าใหม่ว่า พร้อมจะถกตัวต่อตัวกับ “นายพลตัน ฉ่วย” ผู้นำสูงสุดทางทหาร และพร้อมจะให้อภัยกับ “ผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องติดคุก” ก็ทำ ให้หวนนึกถึง “นักโทษทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังแฝงกายในต่างแดน...ว่าพร้อมจะ “ให้อภัย”...ใครหรือไม่???

โดยเฉพาะกับการไปพบปะกับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” รองนายกรัฐมนตรี ที่อาสาเดินสายกับทุก สี-ทุกขั้ว-ทุกฝ่าย...เพื่อทำให้ “แผนปรองดอง” กลายเป็น “ฝันที่เป็นจริง”

แต่ก็รู้สึกรำคาญหู...กับ “พวกรู้ไม่จริง” ที่ออกมาตำหนิว่า ไปเจอตัวนักโทษแล้ว ทำไมไม่จับ...เพราะถ้าคนรู้กฎหมาย ระหว่างประเทศดี...จะทราบว่า “เสธ.หนั่น” ไม่มีอำนาจ...ไม่มีหน้าที่ในการไปไล่ล่าตาม จับตัว และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การแจ้ง “เจ้าหน้าที่รัฐ” ของประเทศนั้นๆ ให้ดำเนินการตามขั้นตอน อีกทั้งยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่า ประเทศนอร์เวย์ที่ “ชาย 2 คน” ไปพบ กันนั้น ทางการไทยมี “หมายจับ” ส่งไปให้ แล้วหรือไม่อย่างไร...ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้าง ตัวเองว่า “เจอแล้ว...จับได้เลย” เหมือนพวกหลงงมงายบางกลุ่มที่กำลังคิดกัน

จะเห็นว่า...ความหวังที่เชื่อกันว่า... แผนปรองดองมีโอกาสที่จะสำเร็จนั้น... สามารถปลุกให้ “บรรดาซากศพ” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวก 111 หรือ 109 ดูมีชีวิต ชีวาขึ้นมาทันที...เพราะ “เขาเธอ” ต่างคาดหวังเช่นเดียวกันว่า จะได้รับผลพวงจากแผนปรองดอง...ให้กลับเข้ามาสู่สนาม การเมืองเร็วขึ้น เป็นเสมือนการ Rewind เทปม้วนเก่า...ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง... โดยเฉพาะกับตัว “นักโทษทักษิณ” ที่หลาย เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุ “กระชับพื้นที่” ก็ถูกมองข้ามก้าวผ่านไปแล้ว...

แต่เอาล่ะ...ในเมื่อ “เขา” คือ “ตัวปัญหาสำคัญของการเมืองไทย” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง “ให้ความสำคัญ” กับ “เขา”...อีกครั้ง... แต่อย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนภาพบางอย่าง ได้ดีว่า...การเมืองไทยเป็นเรื่องของ “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล”...และ “หลายคน” ต้องตกเป็น “เหยื่อการเมือง”...แบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว

ลองคิดดูว่า...ถ้าเมืองไทยมีกระบวนการใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมายและศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่มีข้อยกเว้นใดๆ...ไม่ว่า “ใครหน้าไหน” ก็ตามที...ป่านนี้ “เรา” คงไม่จำเป็นต้องไป Rewind เทปเก่า หรือ หนังม้วนเก่า...ยิ่งมาเห็นแนวคิดของ “ผู้เฒ่าการเมืองบางคน” ที่อ้างข้างๆ คูๆ ในเรื่องไม่ให้ “ลูกสมุนตัวเอง” ต้องลาออก จากเก้าอี้ “เสนาบดี” เพื่อจะไปสู้ศึกเลือกตั้ง ซ่อม...ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า “เทปม้วน เก่าหนังม้วนเก่า” ถือเป็นภัยอันตรายต่อ ความมั่นคงทางการเมือง...จริงๆ

ประเทศไทย “เสียโอกาสเสียเวลา” กับการพัฒนามามากพอแล้ว ถึงเวลาหรือ ยัง...ที่ “ผู้เฒ่าการเมืองทั้งหลาย” จะเลิก หวนคืนสู่สนามการเมือง เพียงเพราะ “หวงแหนอำนาจ” และ “อยากมีอำนาจ ค้ำฟ้า” และควรปล่อยให้ “การเมือง” มันพัฒนาไปตาม “จังหวะเวลา” ด้วยตัวของมันเอง...เลิกเสียทีกับการจุ้นจ้านก้าวก่าย...ไม่เข้าเรื่อง

อย่าลืมว่า...เวียดนามที่เคยล้าหลัง ไทยมานาน เวลานี้มีการพัฒนาประเทศ มาจนเกือบจะคู่คี่สูสี แถมบางอย่างยัง ก้าวกระโดดไกลกว่าไทยเสียอีก โดยเฉพาะเรื่อง 3จี...หากเรายังไม่คิด “ละเลิกหลงงมงาย” ก็ให้ระวังว่า “พม่า” ที่ “ผู้นำทางความคิด” ของเค้า...ยังกล้าปรับมุมมองและเริ่มกระทำจริง...

ดีไม่ดี...อีกไม่กี่ปี...หาก “คนการ เมืองทั้งหลาย” ยังไม่สำนึกและคิดถึง ประเทศชาติอย่างจริงๆ จังๆ...เผลอๆ “พม่า” จะเดินแผนปรองดองเสร็จก่อนไทยเสียอีกก็ได้...ใครจะไปรู้...555


ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทิศทางประเทศไทย

ทิศทางของประเทศไทย..จะไปทางไหน..อะไรทำให้ประเทศไทย..กลายเป็นประเทศที่มากมายไปด้วยปัญหา..มีแต่เรื่องราวไม่รู้จบ..มากไปด้วยความตายและคลุ้งควันต้องย้อนกลับไปดู..ประเทศไทยหลังจาก การล่มสลายของรัฐบาล..รสช.ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันอย่างมากมายหลายรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นมาหลายคน..มีการยุบสภา เลือกตั้งกันหลายหน

แต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้อย่างดี..ไม่มี ใครบาดเจ็บล้มตาย..ไม่มีใครใส่เสื้อต้องเลือก สี..ไม่มีเสียงระเบิดและข่าวคราวอวัยวะฉีกขาด..โรงแรมผุดขึ้นมาในทุกแหล่งท่องเที่ยว.. สนามบินดอนเมืองคับแคบแออัดจนไม่สามารถ รองรับการเดินทางไปกลับของนักท่องเที่ยว..

รัฐบาลหนึ่งแพ้เสียงในสภา..รัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมาเรื่องราวในเว็บไซต์ต่างๆ แม้จะเปิดกว้าง ในเนื้อหาแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นไป ของสถาบันชาติ..รัฐบาลไม่ต้องทำหน้าที่ปิดกั้น ปกปิดและเผชิญหน้า

เรา..คนไทยทั้งหลาย..เป็นสุขและสันติ..ทันทีทันใด..ที่มีผู้คบคิดกันกระทำการ ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ.. ประเทศก็เปลี่ยนไป..และเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ..

ถ้าประเทศไทยเป็นบริษัท..มันก็ใหญ่และ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ..จะให้ยามหรือพนักงาน รักษาความปลอดภัยเข้ามาบริหารจัดการ..ถ้าประเทศไทยเป็นกองมรดก..มันก็ใหญ่เกินไป สำหรับการจะให้ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาสืบสานตำแหน่งจนกิจการวิบัติวอดวาย

แต่เพราะความไม่พอเพียง..ของผู้ที่สมควร จะพอเพียง..เพียงเพราะอยากจะมีอำนาจให้ มากกว่าอำนาจที่พึงมี..ประเทศนี้จึงมีแต่กรรม..19 กันยายน 2549 มันไม่ใช่วันที่ เริ่มต้นของความวิบัติวอดวาย..เพราะเริ่มต้น ของความวิบัติวอดวายมันเกิดมาก่อนหน้า.. แต่ 19 กันยายน 2549 คือวันฌาปนกิจ.. ความสุขและสันติของประเทศ ของประชาชนไทย

หลังจากวันนั้น..ประเทศไทยเปลี่ยนไป.. เลวร้ายและเลวลง..คนไทยกับคนไทยต้องฆ่ากัน.. ทหารไทยต้องหยิบปืนมายิงประชาชนของเขาเอง..วันนี้..คิดจะย้อนคืนประเทศ..บนทาง สองแพร่ง..ที่ต้องตัดสินใจ..จะกลับไปเป็น 18 กันยายน 2549 หรือ 20 กันยายน 2549ถ้า 18 กันยาฯ..ก็คืนประเทศกลับมา ให้ประชาชนไปเลือกตั้งถ้า 19 กันยาฯ..ก็จูงมือกันไปพบกับความหายนะ


ที่มา.สยามธุรกิจ
********************

‘กลฟ้าสนั่นเสียง’

ช่วงนี้ข่าวสารการเมืองมีการแตกฉาน ซ่านเซ็นไปหลายทิศทางหลากประเด็น แต่ ที่ฮอตที่สุดคงไม่พ้นเรื่องยุบสภาฯ

“ไม่มีอะไรกดดันผม การที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะยุบสภาก็ต้องยุบ และการยุบสภาก็ดีกว่าการปฏิวัติ เพราะกลุ่มคน เสื้อเหลืองจะมาชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคมนั้น จะมาชุมนุมกันเพื่ออะไร ตอนนั้นสภา ก็ปิดแล้ว แต่เขาตั้งเป้าจะชุมนุมเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์และ นำไปสู่การรัฐประหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้ทหารมีแนวคิดจะรัฐ ประหาร ดังนั้น ยุบสภาก็ดีกว่า”

เฉพาะข่าวนี้เรื่องเดียวคลายปมการ เมืองไปได้เยอะที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในการแก้รัฐธรรมนูญ รมว. จอมดื้อ ไปยันชายแดนภาคตะวันออก เพราะชั่วโมงนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง นี้ขึ้นแน่ เพราะกำลังจกกันมือเติบ

ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้อีฉันอดคิด ถึงเรื่องตำราพิชัยสงครามแบบไทยโบราณ เป็น 21 กลยุทธ์ ที่ถูกผูกขึ้นเป็นร้อยกรอง เสนาะหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความหมายก็ลึกซึ้ง

มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า “กลฟ้าสนั่นเสียง” ...มีเนื้อหาดังนี้

“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง


เรียงพลพยุหกำหนด


กฎประกาศถึงตาย


หมายให้รู้ถ้วนตน


ปรนปันงานณรงค์


ยวดยงกล่าวองอาจ


ผาดกำหนดกฎตรา


ยามล่าอย่าลืมตน


ทำยุบลสีหนารท


ดุจฟ้าฟาดแสงสาย


สำแดงการรุกรัน


ปล้นปลอมเอาชิงช่อง


ลวงเอาบุรีราชเสมา


ตรารางวัลเงินทอง


ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ


ยศอนันต์ผายผูก


ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน


การช้างม้าพลหาญ


ใช้ชำนาญการรบ


สบได้แก้จงรอดราษฎร์


ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ


แต่งทหารรั้งรายเรียง


เสียงคะเครงคะคร้าน


ทังพื้นป่าคะครัน


สนั่นฆ้องกลองไชย


สรในสรรพแตรสังข์


กระดึงดังฉานฉ่า


ง่อนงาช้างรายเรียง


เสียงบรรณพาคร้านครั่น


กล่าวกลศึกนั้น


กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง”

กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง ปกติเป็นการใช้กำลังทางทหารบุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้อง กลอง แตร สร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกร กับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง หากแต่เมื่อนักปกครอง หรือนักการตลาด ใช้ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้นิดหน่อย คือคงแนวคิดไว้ หากแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการ

เรามักจะเคยได้ยินว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่หากจะต่อยอดความคิดอีกสักนิด คือให้เขารู้ในสิ่งที่เราอยากให้รู้นั่นย่อมหมายถึงการคอนโทรลเกมให้เป็นไปตามใจเราจะบังคับทิศทาง และนี่ก็เป็นความช่ำชองที่พรรคแม่ธรณีบีบ มวยผมสั่งสมมากว่า 60 ปี จนสืบทอดมา ถึงทายาทรุ่นปัจจุบันที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรืออย่างน้อยงานนี้ก็ไขก๊อกมหาดไทยได้ไม่ยากเย็น...

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดเงินบริจาคงวดล่าสุด"บิ๊กบ้านปู"ทุนใหญ่เพื่อไทย-เสี่ยหมื่นล้านทุ่มจ่าย2พรรค-ภท.โลด18ล้าน

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนตุลาคม 2553 มีพรรคการเมืองแจ้งว่าได้รับเงินบริจาค จำนวน 13 พรรค ได้แก่

พรรคประชาธิปัตย์ ,การเมืองใหม่ , เพื่อแผ่นดิน ,กิจสังคม, ภูมิใจไทย ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) ,มาตุภูมิ ,อาสามาตุภูมิ ,เพื่อฟ้าดิน, เพื่อไทย ,ชาติไทยพัฒนา ,ประชาธรรม และ ประชาราช

พรรคที่ได้รับเงินบริจาคมากสุด คือ เพื่อไทย 3,065,763 บาท

รองลงมา ประชาธิปัตย์ 1,514,140 บาท

การเมืองใหม่ 619,160 บาท

มาตุภูมิ 560,000 บาท

เพื่อแผ่นดิน 265,000 บาท

ภูมิใจไทย 240,000 บาท

รวมชาติพัฒนา 200,000 บาท (นายเทพประสิทฐิ์ ประวาหะนาวิน)

ประชาธรรม 130,000 บาท (นายโภมาต เจริญภูวดล)

ประชาราช 61,000 บาท

ชาติไทยพัฒนา 50,000 บาท (บริษัทสยาม ซิมโพเซียม จำกัด-นายธรรมสาร ทิพรังศรี เจ้าของ)

อาสามาตุภูมิ 30,000 บาท (นายพงศ์กิติ รอดงามพงศ์)

เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท

กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)

ประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่ มากสุด นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล 51,140 บาท

การเมืองใหม่มีผู้บริจาครวม 10 ราย ในจำนวนนี้มาสุดคนละ 100,000บาท จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ นายสมชาย มีเหม็ง นางวิภาดาว กัปปิยบุตร นางนิรมล ลิมป์กิจเจริญ นางเพลินตา พัฒนสุวรรณ

เพื่อแผ่นดิน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด 190,000 บาท และนางปราณี เหนี่ยงแจ่ม 75,000 บาท

มาตุภูมิ 4 ราย ได้แก่ นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช 160,000 บาท นายกมลศักดิ์ สีวาเมาะ 100,000 บาท และ นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกิยา 20,000 บาท

พรรคเพื่อไทย จำนวน 5 ราย มากสุด นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เจ้าของกลุ่มบ้านปู (น้องชายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่) จำนวน 3,000,000 บาท

หากรวมตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 พรรคที่แจ้งว่าได้รับเงินบริจาคมากสุด 5 อันดับแรก
ภูมิใจไทย 18,720,000 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 17,564,951 บาท
เพื่อไทย 11,846,840 บาท
เพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท
การเมืองใหม่ 6,658,362 บาท

ทั้งนี้ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด ประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีนายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล นายณรงค์ ปิยะสมบัติกุล นายปิยะ ปิยะสมบัติกุล และ นายองอาจ ปิยะสมบัติกุล ถือหุ้นคนละ 21%

น่าสังเกตว่า นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยนายฉัตรชัยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจไม้วีเนียร์มูลค่านับหมื่นล้านบาท

ส่วนนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เคยบริจาคให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง

ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต้นปี54รู้ใครถูก-ผิดองค์กรต่างชาติเตรียมเปิดผลสอบสลายแดง

ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในไทยฉบับเต็มที่มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า ระบุจะทำให้รู้การพัฒนาของสถานการณ์แต่ละช่วง และจะบอกชัดเจนว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละเหตุการณ์ เผยการหาข้อมูลทำได้ยากเพราะ ศอฉ. สั่งเด็ดขาดห้ามให้ก่อนได้รับอนุญาต ทำให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นๆไม่สามารถเข้ามาสอบหาข้อเท็จจริงได้ ด้านผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมฯเฉ่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและนักสิทธิมนุษยชนในไทยมีอคติกับคนเสื้อแดงจนไม่ทำงานของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ญาติผู้เสียชีวิตหวังคนระดับสูงที่จะรับรางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่นประจำปีนี้แสดงบทบาทให้สมกับเป็นผู้ได้รับรางวัล


ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

จ็อบปกขาวของ "วัชระ เพชรทอง" แฉเรื่องฉาวและความลับของ "จตุพร"

พรรคอนุรักษนิยม-ฝ่ายขวา แบ่งงานกันทำทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร

งานมวลชนใต้ดิน-บนดิน อยู่ในหน้าที่- จ็อบพิเศษของ ส.ส.ที่มีประวัติเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน

วัชระ เพชรทอง อดีตนักกิจกรรม-การเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่แปลงร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงปรากฏชื่อ-เสียงในวาระแห่งการ "แฉ-ฉาว" และเรื่องราว "ลับ ๆ"

ล่าสุดเขาเปิดโปงหนังสือ "ปกขาว" ที่ไม่ปรากฏผู้เรียบเรียง แต่เป็นเสียงจากฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" ในนามผู้จัดทำที่ชื่อสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ

เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-กระบวนการยุติธรรมของไทย-เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 และเรื่องที่ว่าด้วยหนทางสู่การรัฐประหาร 2549 การฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย

พร้อมด้วยบทสรุปร้อน ๆ เรื่องฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร

ภายหลังการเปิดแถลงข่าวของ "วัชระ" ไม่ถึงชั่วโมง หนังสือชื่อ "ร้อน" ถูกปลดออกจากแผง

- สาเหตุที่หยิบยกเรื่อง "สมุดปกขาว" มาเป็นประเด็น มีการหวังผลยังไงบ้าง

ทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการร้องเรียนว่า สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หมิ่นทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นว่าเจตนาผู้เขียนกำลังละเมิดสิทธิประชาชนชาวไทย เป็นการใช้สิทธิสภาพนอก อาณาเขตจากนักกฎหมายต่างชาติ ซึ่งใช้นามว่าสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ

- ลำพังการอภิปรายในสภาอย่างเดียวจะมีค่าบังคับตามกฎหมายอย่างไร

ผมได้อภิปรายต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันศักดิ์สิทธิ์ และได้กระจายเสียงไปทั่วประเทศ ได้ส่งหนังสือฉบับนี้ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเฉียบขาด

- หวังผลจริงจังในเรื่องการดำเนินคดี ไม่ใช่แค่พูดในสภาใช่หรือไม่

ใช่ครับ ผมในฐานะ ส.ส.ทำหน้าที่ในการอภิปรายเป็นช่องทางในการที่จะดำเนินการสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ เพราะถ้าผมไม่อภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานชัยในฐานะประมุขนิติบัญญัติก็จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่

- จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีในความผิดกฎหมายอะไร มาตราใดบ้าง

ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และในความผิดฐานหมิ่นศาลก็มีมาตรา 198

- ข้อความใดที่เห็นว่าผิดกฎหมาย

ข้อความที่ผมคิดว่าดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจนก็คือ ในหน้า 76 ที่บอกว่า... คำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับ...แสดงว่าเราไม่ใช่นิติรัฐ ไม่มีหลักนิติธรรม หรือการกล่าวในหน้า 134 ว่า...ครอบงำศาลยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร...ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการหมิ่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนข้อความที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่ 20 และข้อความที่หมิ่นเหม่อยู่ในหน้าที่ 77 และข้อความที่หมิ่นชัดเจนอยู่ในหน้า 123

เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยผู้รับผิดชอบหนังสือนี้แต่อย่างใด แต่กลับมีคำนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ยอมใส่ยศพระราชทาน (พ.ต.ท.) ในหน้าคำนำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดเป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องกฎหมาย

- ถ้าประธานสภาชัย ชิดชอบ ไม่ดำเนินเรื่องถึง ผบ.ตร. แล้วคุณวัชระจะทำอย่างไรต่อไป

ประธานชัยก็ต้องถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าไม่มีความจงรักภักดี ผมมีหลักฐานคือหนังสือเล่มนี้ และขีดไฮไลต์ข้อความไว้แล้ว

- เป็นเพื่อนกับจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

เขาก็มีสิทธิเลือกเดินตามหลังคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณสามารถที่จะเลี้ยงคนด้วยเงินไม่จำกัด และมีเงินมากมายมหาศาลที่สามารถจ้างใครก็ได้ เราไม่อาจร่วมทางกันได้ ตั้งแต่เขาได้ไปเอาเงินทักษิณ ชินวัตร ไปใช้ในการเลือกตั้งที่รามคำแหงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขารับใช้ทักษิณตั้งแต่นำพลังนักศึกษารามคำแหงไปเป็นเครื่องมือให้แก่ระบบทักษิณ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ เอาไปเป็นเครื่องมือ เอาไปเป็นกองกำลัง ซึ่ง ไม่แท้จริง แต่เอาไปสร้างภาพ ก่อม็อบ

- เป็นการโหนกระแสในช่วงที่มีข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากหรือไม่

จริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เพราะในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรก็พูดชัดว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในกรณีนี้เมื่อนักกฎหมายตาน้ำข้าวมาตบหน้าประชาชน ชาวไทยทั้งประเทศ และตบหน้า นักกฎหมายไทย ผมก็ยอมไม่ได้จริง ๆ

แม้กระทั่งบอกว่า...มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ไม่รู้ถึงร้อยคนหรือเปล่า ฉะนั้นเขาได้เขียนความเท็จต่อประชาคมโลก และผมเชื่อว่าต้องมีฉบับภาษาอังกฤษที่เขาใส่ลงในเว็บไซต์เผยแพร่ไปทั่วโลก

- มีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายที่ว่า กฎหมายหมิ่นเป็นดาบสองคมเอามากลั่นแกล้งกันก็ได้

ปัจจุบันเราต้องยอมรับสภาพปัญหา ก่อนว่า มีขบวนการที่จะล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์อยู่จริง และคนเหล่านี้ก็ทำลายล้างสถาบันเพื่อจะสถาปนาอีกระบบขึ้นมา ผมเป็น ส.ส.ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทางกับกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************************

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลิ่น ‘ท็อปบูต’ ในสายลมหนาว!

บ้านเมืองจะวิกฤติต่อไปอีกยาวนาน แค่ไหนมิอาจทราบได้?!?!แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองยัง ไม่ลงตัว.. ก็มักจะมี “อีแอบ” ออกมาปั่นกระแส “รัฐประหาร” ให้สื่อมวลชนหัวหมุน กันอยู่เป็นประจำ.. นัยว่าพวกที่กุมอำนาจรัฐ อยู่นั้นคงอยากจะวอร์มอัพพวกลูกหาบ.. เพื่อสร้างบรรยากาศให้คลายความหนาวสั่น ลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย..

การออกมาปูดกระแส “การปฏิวัติ” รับลมหนาวในช่วงนี้.. ก็แค่ตีกันพวกตัวป่วนบ้านป่วนเมืองไม่ให้ซ่าส์เกินขีดจำกัด.. เพราะระยะหลังมานี้.. ยิ่งเข้าใกล้เทศกาล “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่”.. ก็มักจะมีพวกป่วนเมืองออกมาวาง “บึ้มผสมโรง” พร้อมกับเสียงพลุเสียงประทัดในช่วงเคาต์ดาวน์กันเกือบจะทุกปี..

แต่หากมองในมุมที่ลึกไปกว่านั้น.. ต้องยอมรับว่าการ “ปูดข่าว” ทหารกำลัง เตรียมการจะ “ยึดอำนาจ” นั้น..เป็นการขู่คำรามที่มาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี.. เพราะหลังจากงบประมาณแผ่นดินปี 54 ผ่านสภาฉลุยไปแล้วนั้น.. การแต่งตั้งโยกย้าย นายทหารระดับสูงก็เป็นไปตามเป้า..โดยเฉพาะ 5 เสือทบ.และแม่ทัพภาค 1-4 ล้วนอยู่ในคอนโทรลทุกคน..

ส่วนการเกลี่ยโผนายตำรวจระดับผู้บัญชาการไปจนถึงรอง ผบ.ตร. ก็ไม่ได้สะดุดอะไรมากมาย.. สื่อมวลชนเองก็พอ จะเห็นเค้าลาง “ผบ.ตร.คนใหม่” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีก ไม่ช้าไม่นานนี้.. เพราะถ้าหาก “ท่านวิเชียร” ใจไม่ถึงและแอบยืนถ่างขาเหมือนอดีต ผบ.ตร.คนก่อน.. ที่ชอบทำตัวเหมือนชื่อเป๊ะเลย!!!

คือเป็นดั่งเทียนที่ค่อยๆ มอดไปเรื่อยๆ จนหมดไส้เทียน..แล้วก็เกษียณไปจนน้องๆ ในกรมยังจำชื่อไม่ได้ว่า ผบ. คนก่อนนั้นชื่ออะไร??? ฟันธงได้เลยว่า “ผบ.ตร.ใบสั่ง” ได้กระโดดขึ้นมาเสียบคุม กรมปทุมวันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน..

แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้.. อาจจะต้องเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเกมให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้าง.. ก็อย่างว่า..มีที่ไหนเล่นวางตัววางเกม “สืบทอดอำนาจ” กันซะยาวเหยียดต่อจากนี้ไปอีกตั้ง 5-6 ปี.. ทีแรกก็เข้าตามแผนทุกขั้นทุกตอน.. เพราะอุปสรรค “เสื้อแดง” ซึ่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันนั้นก็แผ่วปลายอย่างที่เห็น.. “ผู้มีอำนาจและกองทัพ” ก็เริ่มจับทางถูกแล้วว่าจะสกัดม็อบจัดตั้งพวกนี้ได้ด้วยวิธีการเช่นใด???

แต่พรรคการเมืองเจ้ากรรมซึ่งเป็นคู่ขากับกองทัพในขณะนี้.. ดันต้องมาเจอะ เจอกับ “มรสุมยุบพรรค” ไม่เกินก่อนสิ้นปี 53 นี้ตามกำหนดการของศาลรัฐธรรมนูญ.. และก็ไม่รู้ว่าหวยจะออกมาเช่นใด..อาจจะ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ก็ได้ทั้งสองกรณี ??? เพราะก่อนหน้านี้ค่าย ปชป.นั้นต่างยืนยิ้มกันเหงือกแห้งแทบจะทุกคน..หากมีสื่อไป ถามเรื่องคดียุบพรรค..

ยิ่งทีมกฎหมายของพรรคนั้นมั่นใจ กันนักกันหนาว่า “ไม่มียุบ” อย่างแน่นอน.. แต่วันนี้ลองเดินปี่เข้าไปถามในคำถามเดิมๆ.. คำตอบที่ได้คือ “ความเงียบ” เพราะหลังจากทุกคนในพรรคต้องเจอกับ “คลิปทอร์นาโด” มาแบบเต็มๆ นับเกือบ 10 ลูก และนี่ยังมีอีกกี่ดอกก็ไม่รู้ที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเก็บไว้เป็น “ทีเด็ด” ก่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ..

และในเมื่อ “กองทัพ” นั้นยืนอย่าง โดดเดี่ยวโดยขาด “ฝ่ายการเมือง” (ก๊วน เดียวกัน)ไม่ได้ฉันใด.. “ประยุทธ์” ก็ขาด “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ด้วยเช่นกัน.. ดังนั้น “น้องมาร์ค” จึงวางเกมเร่งแก้รัฐธรรมนูญใน 2 มาตราอย่างไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย.. เพื่อเป็นการ “ปลุกม็อบ” ออกมาขยับแข้งขยับขา..

เผื่อบางทีมันลุกลามบานปลายทั้ง “เหลืองและแดง” มั่วกันไปหมด.. ก็จะได้เข้าทางใครบางคนที่เตรียมการ “เผาจริง” เข้ายึดอำนาจรัฐแบบไร้แนวต้าน.. แต่หาก “เกมแห่งอำนาจ” ยังสามารถควบคุมได้อยู่.. การ “เผาหลอก” ในรูปแบบขู่รายวันว่าจะ “ปฏิวัติ” นั้นก็จะทำเพียงเพื่อเบี่ยงเบนกระแสไปวันๆ..นี่แหละหนา..คือที่มาแห่งกลิ่น “ท็อปบูต” ในสายลมหนาว!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************************

มีด-อำนาจในมือประชาธิปัตย์ คมเฉือนเกม (ไม่) แก้รัฐธรรมนูญ ลุ้นระทึก-ซื้อเวลา "ยุบสภา"

พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นศูนย์กลาง-ข้อต่อ ทุกเครือข่ายอำนาจ

อย่างน้อยการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปสู่รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายยังต้องลุ้นวาระ "ยุบสภา" จากอำนาจในมือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

อย่างน้อยการออกแบบ "เครื่องมือ" สำหรับการเลือกตั้งด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับทหาร" ก็ต้องอาศัย "มติ" แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นอำนาจนำในสภาผู้แทนราษฎร

อย่างน้อยการปล่อย-ผ่านอำนาจที่เคยอยู่ในมือ "ประชาธิปัตย์และพวก" ไปสู่ฝ่ายอื่น ก็ต้องมีเครื่องมือ-ฐานอำนาจ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของอำนาจ "ตัวจริง" ก่อนเปลี่ยนผ่าน

มีด-อำนาจเครื่องมือที่อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์จึงมีคมทั้ง 2 ด้าน

ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 พรรค

ด้านหนึ่งเป็นเสียงสนับสนุนที่อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งบรรดากองทัพ-ทหารและเครือข่ายอำนาจที่มองไม่เห็น

ในการฝ่าพายุการแก้รัฐธรรมนูญ และการเตรียมตัวสำหรับการรับมือมรสุมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสามัญทั่วไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงต้องอาศัยมีดที่มีคมทั้ง 2 คม

ดังนั้นทันทีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 23-24 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ชัย ชิดชอบ และผู้นำฝ่ายบริหาร-สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องชีพจรลงเท้า เดินสายล็อบบี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนใน 2 มาตราหลัก

ทั้งมาตรา 93-98 เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง-เขตการเลือกตั้ง และมาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

แม้ว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ จะเสนอแก้ไขทั่วด้านทั้งหมด 6 มาตรา แต่คณะรัฐมนตรีจาก 7 พรรคก็เลือกมีมติเห็นชอบเพียง 2 มาตราที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม 2 มาตราก็ยังเป็นข้อกังขา-คาใจของเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ "สายใต้" ที่ผนึกรวมระหว่างสาย "ชวน หลีกภัย" และสายของ "บัญญัติ บรรทัดฐาน"

ทำให้สุเทพ-ผู้จัดการรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องทำหน้าที่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกับสมาชิกพรรคตัวเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล

นอกจากนั้นยังต้องใช้ต้นทุนต่อยอดกำไรให้กับผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรค ชาติไทยพัฒนา และสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีแห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไม่นับรวมวาระพิเศษกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย

ยังไม่นับรวมบรรดาเสือ-สิงห์-กระทิง-แรดใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ "สุเทพ" ต้องใช้ต้นทุนไปต่อทุน

เกมกึ่งขู่-กึ่งปลอบจึงถูกส่งสัญญาณไปถึงทุกพรรคทั่วทั้งกระดานการเมือง

"อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด จึงต้องพร้อมเลือกตั้ง อายุรัฐบาลอาจจะอยู่สั้นหรือยาวมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรค ปชป. การปลุกกลุ่มเสื้อสีต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจัยเหล่านี้สามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้รุนแรง จนรัฐบาลคุมไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องไม่ประมาท" เสียงสุเทพ-ก้องจากวงสนทนาเจรจาล็อบบี้-โน้มน้าว

เหนือสิ่งอื่นใด "สุเทพ" อ้างอำนาจเหนือ ขอให้ทุกคนก้าวพ้นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสนับสนุนอำนาจ "อภิสิทธิ์"

ทว่าด่าน-กับดักอำนาจที่ขวางทางแก้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่เฉพาะ "สภาล่าง- พรรคร่วม-ฝ่ายค้าน" เท่านั้น หากยังมี เครือข่าย "สภาสูง-วุฒิสมาชิก" ที่เป็น เครือข่ายอำนาจเก่า-ฐานอำนาจพันธมิตร ที่พร้อมจะโหวตสวน "มติ" ของคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 มาตรา

อย่างน้อยสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ครอบครองเสียงสภาล่างไม่น้อยกว่า 183 เสียง รวมกับเสียงของเครือข่ายในสภาสูงอีก ไม่น้อยกว่า 30 เสียง

แม้พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งระบบเขตใหญ่-เขตเล็ก แต่หากต้องเป็นเครื่องมือในการเสวยอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้ประชาธิปัตย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ "ทักษิณและพวก" ไม่ปรารถนา

การประกาศไม่ร่วมเป็นเครื่องมือผ่าตัด-รัฐธรรมนูญ จึงเป็นแนวทางการเมืองของฝ่ายเพื่อไทยและพวก ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้กับศัตรูที่เคยเป็นพันธมิตร

จำนวนมือในสภาผู้แทนราษฎรจึงจำเป็นสำหรับ "ร่าง-รัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ที่ต้องใช้เสียงจำนวน "เกินกึ่งหนึ่ง" ในวาระ 3 หรือปริมาณสุทธิ 310 เสียงขึ้นไป

นับมือของฝ่ายรัฐบาลมีสุทธิ 278 เสียง จาก 7 พรรค

แม้รวมมือของฝ่ายตรงข้ามที่หันมาโหวตล่วงหน้า แปรพักตร์จากฝ่ายค้านไว้อีกจำนวน 7 เสียง

จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-มีเสียงทั้งสิ้น 285 เสียง จึงต้องหวังเสียงจากสมาชิก "สภาสูง" อีกไม่น้อยกว่า 50 เสียง

เงื่อนไขความสำเร็จของการผ่าตัดรัฐธรรมนูญจึงอยู่ที่มีดในมือของ "วุฒิสภา"

หาก "40 ส.ว." ไม่ยอมยกมือรวมกับเครือข่าย "ส.ว.สายทักษิณ" ที่ร่วมหัวกันหดมือ หรืองดออกเสียง ก็ย่อมไม่สามารถผ่าตัดต่อลมหายใจให้รัฐธรรมนูญ 2550 กลายร่างใหม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิก "สภาสูง" เครือข่าย "40 ส.ว." ที่มีแนวโน้ม "คัดค้าน" การแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น ที่เป็นประโยชน์เฉพาะหน้า- เฉพาะนักการเมือง

ประโยชน์ที่พรรคร่วมคาดว่าจะได้รับจากการยกมือ-ออกเสียง ลงแรงในการโหวต 2 มาตรา คือ "ต้นทุน" ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ต่ำลง

หากเลือกตั้งเขตเล็ก หรือแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ย่อมทำให้สามารถคำนวณสูตรต้นทุนต่ำ-กำไรสูงได้ไม่ยาก

ทั้ง 3 พรรคใหญ่ในรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา จึงยกมือเห็นชอบ 2 มาตราตั้งแต่นอกเขตสภาผู้แทนราษฎร

เพราะการอยู่-การไปของนักการเมืองขาใหญ่อย่างบรรหาร ศิลปอาชา และครอบครัว หรือสุวัจน์และลูกน้อง ไม่นับรวมเนวินและเพื่อน ล้วนต้องพึ่งพา เครื่องมือเลือกตั้งแบบ "เขตเล็ก" เท่านั้น

จำนวน ส.ส.ที่จะปรับใหม่ตามแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังเป็น "สภา 500" แต่สัดส่วน-และเขตมีการจัดสรรอำนาจและระบบเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม

อย่างน้อยจำนวน ส.ส.เขตจาก 400 คน ก็จะเหลือเพียง 375 คน และเปลี่ยนระบบเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลับไปใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ประเภทนี้จาก 80 เป็น 125 คน

เขตเลือกตั้ง-ระบบเลือกตั้ง ถามแนวทางของคณะนักกฎหมายอาวุโสที่ ร่วมวงกับ "ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" ให้ความเห็นประกอบไว้ว่า

"จำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.สัดส่วนก็เป็น 375 ลดไป 25 คน"

ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก "หมอผ่าตัด" รอบแรกถกเถียงกันว่า "ส.ส.เขตจะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทนฯต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว"

ในแง่หลักการ-เหตุผล ย่อมฟังขึ้นในธง-ทิศทางที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากวิเคราะห์เรื่องปริมาณ-ตัวเลข-จำนวน และสถิติของ ส.ส.ระหว่างคู่แข่งที่สำคัญระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในนามพลังประชาชนเดิม

แต่หากประชาธิปัตย์พิเคราะห์รวมกันทั้งข้อมูล-สถิติ-กระแสความนิยม-เงื่อนไขทางการเมือง และความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วพบว่าตัวเองอาจเพลี่ยงพล้ำ

มีด-อำนาจที่อยู่ในมือของประชาธิปัตย์อาจไม่ถูกใช้ผ่าตัดรัฐธรรมนูญ แต่อาจนำไปใช้เฉือนคมในเกม "ยุบสภา" แทน


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++